นั่งสมาธิแล้วได้อะไร(ประสบการณ์ตรงจากการบวชพระ1พรรษา)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tsukino2012, 7 มิถุนายน 2013.

  1. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    [​IMG]

    นั่งสมาธิแล้วได้อะไร (ประสบการณ์ตรงจากการบวชพระ ๑ พรรษา)

    เป็นเวลา ๒๗ ปี ที่ผมไม่เชื่อ ไม่รับรู้ ไม่สนใจ เรื่องการปฏิบัติธรรมใดๆ และตัวเองก็ยังนับถือศาสนาอิสลามตามแม่อีกด้วย
    ไม่มีญาณ ไม่มีสัมผัสใดๆ ไม่เคยเจอผี ไม่เคยมีลางสังหรณ์ใดๆ ไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญ ไม่ไหว้พระ เรียนปริญญาตรีอยู่
    ก็เรียนๆเพื่อให้มันจบๆไป ชีวิตความรักก็ผิดหวังทุกครั้งไป โดนหลอกบ้าง รักข้างเดียวบ้าง จบมาก็ติดทหาร
    ไปหางานทำก็ไม่ได้ที่ตรงสาย ขายของก็ขาดทุน ธุรกิจส่วนตัวก็โดนเพื่อนโกง ไปเป็นลูกจ้างโดนเอารัดเอาเปรียบ
    เป็นเจ้านายคนก็ช่วยเหลือลูกน้องจนเอาตัวไม่รอด พ่อแม่ก็มาเลิกราแยกทางกันในตอนที่อายุมากกันแล้ว พี่ไปทางน้องไปทาง


    ชีวิตมีแต่ปัญหา ปัจจุบันมีแต่ตัว ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง จนมาถึงปี ๒๐๑๒
    อยู่ดีๆก็ปวดหัวไมเกรนซะเฉยๆ ดูทีวีหรือเล่นคอมได้ชั่วโมงนิดๆก็จะปวดหัวทันที ไปทำงานไม่นานก็ความดันขึ้นอีก
    เป็นความดันโลหิตสูง เป็นหนักเข้าต้องไปโรงพยาบาล ปวดหัวมากจนถึงกับคิดว่า จะต้องตายแน่แล้ว
    เวียนหัวตาแดงก่ำ มีอาเจียน แขนขาชา ลมหายใจร้อนเป็นไฟ หลังจากฉีดยาเข้าเส้นพร้อมน้ำเกลือ
    ก็ยังทรมานอยู่ ๒-๓ ชั่วโมง ก็หลับลงไปได้ ต่อมาได้ตื่นมากลางดึก เวลาราวๆตี ๒ เป็นห้องพิเศษนอนคนเดียว
    ลืมตามาเห็นเงาดำยืนล้อมรอบเตียง เป็นเงาคนหลายคน ในใจขณะนั้นคิดว่าคงมารับเราแล้ว
    แต่ด้วยความปวดหัวมากก็เลยขอนอนก่อน เมื่อตื่นมาตอนเช้า พบว่าตนเองนั้นยังไม่ตาย ก็ยังงงกับเงาประหลาดนั้นอยู่
    หลังจากออกจากโรงพยาบาลมา ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม มักจะปวดหัวไมเกรนอย่างรุนแรง
    ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ยิ่งงานที่ต้องจ้องหน้าจอ หมดสิทธิ์


    สรุปช่วงนั้นทำงานไม่ได้ เลยอยู่ดูแลคนแก่ที่บ้าน ครอบครัวผมมีย่าเหลืออยู่ ๓ คน ย่าแท้ๆและน้องสาวของย่าอีกสอง
    จู่ๆน้องสาวย่าทั้งสองคน ก็ป่วยเป็นมะเร็งพร้อมกัน เป็นมะเร็งลำไส้คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็เป็นมะเร็งถุงน้ำดี
    เราก็ว่างงานอยู่ ประกอบกับสงสารที่ลูกหลานแกไม่มีใครสนใจ ก็เลยไปช่วยดูแลแก ย่าคนที่เป็นมะเร็งลำไส้ได้ไปผ่าลำไส้
    พักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่นานก็กลับบ้านได้ แต่ย่าคนที่เป็นมะเร็งถุงน้ำดีนั้นเป็นอัมพฤษครึ่งตัว เพราะระยะของโรคนั้นมากแล้ว
    ต้องคอยเช็ดขี่เช็ดเยี่ยวเปลี่ยนแพมเพิสให้แก และต้องคอยให้อาหารทางสายยาง ดูแลแกมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม
    เป็นที่น่าสลดกับชีวิตมาก แล้วแกก็ตายไปต่อหน้าต่อตา เขาว่าจิตสุดท้ายก่อนตาย ถ้าคิดถึงสิ่งดีๆจะได้ไปที่ดี
    มีคนแนะนำให้ภาวนาพุทโธ อย่าว่าจะให้ภาวนาพุทโธเลย แค่กำหนดลมหายใจเข้าออกก็ยังทำไม่ได้เลย
    ก็ก่อนตายทรมานซะขนาดนั้น


    [​IMG]
    สภาพของยายวรรณา ในวาระสุดท้าย เสวยผลกรรมที่ได้กระทำมา

    [​IMG]
    สุดท้ายก็ไม่มีใครหนีพ้น ความตายเป็นธรรมดา

    [​IMG]
    มาจากความว่างเปล่า กลับสู่ความว่างเปล่า


    ช่วงที่แกยังไม่ตายก็เริ่มอ่านหนังสือธรรมะของโรงพยาบาล เป็นของวัดท่าซุง มโนมยิทธิ จึงเริ่มมีความสนใจในการทำสมาธิ
    เริ่มอ่านเรื่องญาณ ทิพจักขุญาณ อภิญญาญาณ เริ่มนั่งสมาธิวันแรกที่โรงพยาบาลนั้นเอง คืนนั้นโดนผีอำ ทำให้ระลึกเอาได้ว่า
    อาการอย่างนี้เราเคยเป็นมาก่อน หวนระลึกว่าในสมัยนั้นอายุราวๆ ๑๐ ขวบคุณครูก็ได้ให้นั่งสมาธิที่โรงเรียนเหมือนกัน
    ถึงได้เชื่อว่าการนั่งสมาธินั้นเป็นเหตุที่ทำให้ถูกผีอำ ผมนั้นชอบดูหนังผี เลยเป็นแฟนรายการ “คนอวดผี”
    และได้ติดตามฟังข้อธรรมะดีๆจากทางคุณ “ริว จิตสัมผัส” อยู่เสมอ และในวันหนึ่งคุณ “เจน ญาณทิพย์” ก็เข้ามาในรายการ
    มาบอกว่าเห็นผีตรงนั้นตรงนี้ ทำให้เกิดความสนใจในบุคคลคนนี้ จึงได้ไปซื้อหนังสือของเขามาอ่าน
    ตั้งแต่นั้นมา “เจน ญาณทิพย์” จึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับตัวผม ได้สนใจที่จะปฏิบัติธรรมมากขึ้น
    และแล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้เข้าไปในเวบบอด “Yantip” และได้ไปพบกับห้องชมรมศินาราเข้า
    ได้ไปลองเปิดบารมีวิชชาสามของอาจารย์ภราดรภาพ เพราะอยากรู้อยากเห็นอยากลอง
    เขาว่าถ้าเปิดบารมีผ่านจะติดต่อสื่อสารกับครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ได้ แต่ปรากฏว่าผมเปิดไม่ผ่าน เพราะตัวผมนั้น
    มีความอยากได้อยู่มากอาจารย์ภราดรบอกว่ายังไม่ถึงวาระ ต้องไปบวชพระเสียก่อน


    [​IMG]

    [​IMG]

    ไม่เคยคิดมาก่อนว่าระยะเวลาไม่ถึงปีดี จะทำให้เรากลับมานับถือพุทธ ไม่เคยมีความคิดจะบวชอยู่ในหัว
    แต่ก็ได้ไปบวชจนได้ แม่ก็เสียใจที่เราขอเลิกนับถือศาสนาอิสลามและจะขอมาบวช ๑ พรรษา ถึงกับทำให้แม่หลั่งน้ำตา
    แต่เพราะความอยากรู้อยากสัมผัสของตนเอง ยังไงก็ต้องบวช และได้รับปัจจัยร่วมบุญจากทางศินารา
    เป็นจำนวนเงินประมาณ ๔๐๐๐ กว่าบาท และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด


    ช่วงบวชใหม่ๆจะนั่งสมาธิทุกวัน ประมาณวันละ ๓๐ นาทีบ้าง ๑ ชั่วโมงบ้างตามอารมณ์
    ด้วยความที่เพิ่งเริ่มนั่งสมาธิได้ไม่นาน จิตยังไม่คุ้น ทำให้ไม่สามารถทำให้จิตนิ่งได้เลย
    นั่งภาวนาตามลมหายใจเข้าพุทโธออก จิตก็ยังไปคิดโน้นคิดนี่ได้ ทั้งที่จิตนึงก็รู้ว่านั่งอยู่
    อีกจิตก็จับลมหายใจอยู่ จิตนึงก็ภาวนาพุทโธอยู่ ก็ยังคิดเรื่องอื่นไปพร้อมๆกันได้
    ด้วยเหตุนี้ก็เลยต้องเพิ่มกรรมฐานให้แน่นขึ้นไปอีก ลองมาหลายหลาย
    ทั้ง “นะมะพะถะ” “สัมมา อะระหัง” เพ่งลูกแก้ว “ยุบหนอ” “พองหนอ” ฯลฯ
    แต่สุดท้ายมาถูกจริตที่พุทโธเหมือนเดิม เมื่อถูกสอนให้ภาวนาพุทโธมาตั้งแต่เด็กๆ
    เผลอเมื่อไรเป็นได้กลับมาภาวนาพุทโธเลยไม่เปลี่ยนคำบริกรรมแล้ว แต่อาศัยเพิ่มกรรมฐานเข้าไป
    เป็นหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับสอง
    นับไปเรื่อยๆจนถึงร้อยแล้วกลับมานับหนึ่งใหม่ และได้จินตนาการถึงภาพที่เป็นเลขที่เรานับอยู่ด้วย
    แรกๆก็นับได้ไม่ถึงร้อย เพียงแค่สัก ๒๐-๓๐ จิตมันฟุ้งซ่าน คิดอะไรต่างๆนาๆ
    บางครั้งราวกับฝันทั้งๆที่ยังนั่งอยู่ พอระลึกขึ้นได้ก็ลืมไปแล้วว่านับถึงเท่าไร ต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่
    มีอาการอยู่อย่างนี้ประมาณ ๒-๓ วัน ต่อมาจิตก็ค่อยๆเลิกฟุ้งซ่านตามลำดับ
    ไม่ถึงสัปดาห์ก็สามารถนับถึงร้อยได้โดยที่ไม่ลืม ไม่ผิดผลาดใดๆ กระบวนการนับใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที


    [​IMG]

    และในวันที่ ๘ ของการบวชนี่เอง ผมได้นั่งสมาธิกับเพื่อนพระรูปหนึ่ง เพียงสองคนในห้องพระ
    ปรากฎว่า นับยังไม่ทันถึง ๘๐ ก็มีนิมิตภาพปรากฎขึ้น ซึ่งปรกติจะเห็นเป็นโพลงสีม่วงๆ
    อยู่ดีๆกลายเป็นภาพเหมือนกับฟีล์มเอ็กเรย์ ภาพที่เห็นนั้นต่างจากที่เคยเจอ ถ้าเป็นภาพจากอาการฟุ้งซ่าน
    มักจะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว แต่ครั้งนี้เป็นภาพนิ่ง เพียงภาพเดียว และปรากฏอยู่ไม่นาน
    ภาพนั้นคือภาพของทารกแฝดในครรภ์ เมื่อลืมตามาด้วยความฉงน จึงได้หันไปถามเพื่อนพระว่า


    ผู้เขียน : “ท่านมีลูก ๒ คนรึเปล่า”
    พระเพื่อน : “เปล่าผมมีคนเดียว”
    ผู้เขียน : “เมียกำลังท้องลูกอีกคนมั้ง”
    พระเพื่อน : “เมียผม เขาทิ้งผมกับลูกไปนานแล้ว ตอนนี้ไม่มีเมีย”
    ผู้เขียน : “เคยทำแท้งรึเปล่า”
    พระเพื่อน : “.............................ก็มีบ้าง โอ้ย! ใครๆก็มีน่ะ สมัยวัยรุ่น”
    ผู้เขียน : “ภาพที่เห็นเป็นเด็กแฝด”
    พระเพื่อน : “!!!!..........................เห็นจริงๆหรือวะเนี่ย”
    ผมก็บอกให้อุทิศบุญให้ลูกตามระเบียบ แต่เพื่อนพระยังถามต่อว่า “รู้เพศรึเปล่า”
    พอไม่ได้นั่งสมาธิแล้วก็เลยไม่รู้ มาลองนั่งกำหนดรู้ดูทีหลังก็ไม่ได้ผล


    จากวันนั้นทำให้ผมเชื่อแล้วว่า จิตสัมผัส มีจริง ใช้งานได้จริง และฝึกกันได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งบารมีเก่า
    และไม่จำเป็นต้องเห็นผีมาก่อน หลังจากนั้นด้วยความร้อนวิชา ก็ไปลองนั่งสมาธิกับคนอื่นดูบ้าง
    ในพรรษานั้นมีผู้มาบวชเณรแก้บนอยู่หนึ่งคน ก็เลยจับเณรมานั่งสมาธิดู ปรากฎว่านั่งกับเณร
    ปรากฏภาพนิมิตที่เข้ามาเบลอมาก ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคือรูปอะไร ต่อมาได้ลองกับพระอีกหนึ่งรูป
    ปรากฏว่าเห็นภาพนิมิตเป็นงูเห่าสีดำตัวใหญ่มาก จึงถามได้ความว่า เขาเคยไปตีงูตายตัวหนึ่ง
    ซึ่งเป็นงูเห่าตัวใหญ่มากๆสีดำเมี่ยมที่กลางทุ่งนา มาถึงตอนนี้ทำให้เข้าใจไปว่า
    ผู้ที่บวชพระน่าจะได้รับบุญมากพอจึงทำให้สามารถที่จะสื่อได้ แต่บุญที่ได้จากการบวชเณรอาจจะไม่พอ
    แต่ก็มาเข้าใจในภายหลังว่ามันมีปัจจัยหลายๆอย่างเป็นตัวตัดสิน


    [​IMG]

    เมื่อมีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรจากการฝึกสมาธิ และได้ทดลองด้วยตนเองมาแล้ว
    ผมก็หมั่นกรวดน้ำลงดิน แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลมาตลอด จนในคืนวันที่ ๒๐ ของการบวชนี่เอง
    ปรากฏว่ามีดวงจิต ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ ได้มาเข้าฝัน มาพูดคุยกับผม
    โดยจะปรากฏมาเป็นเสียงผู้ชายกับเสียงผู้หญิง เป็นสองเสียงที่พูดพร้อมกันและดังก้องกังวาลมาก
    ซึ่งก่อนเสียงจะมานั้นได้เกิดความกดดันรุนแรง


    [​IMG]

    เริ่มต้นด้วยเสียงสวดมนต์ ซึ่งจับใจความได้ประมาณว่า “นะโมนะ มะนู” ว่าซ้ำๆอยู่พักหนึ่ง
    และก็บอกกับเราต่อด้วยเสียงผู้ชายว่า “จงอย่างสงสัย เจ้าเป็นหน่อเนื้ออย่างไม่ต้องสงสัย”
    โดยมีเสียงผู้หญิงพูดต่อท้ายย้ำซ้ำๆอยู่หลายครั้งว่า “จงอย่าสงสัย อย่าสงสัย อย่าสงสัย”
    มองไม่เห็นร่างเห็นแต่ศิลาหินกับภาษาบาลีที่ลอยอยู่ ลืมตาขึ้นมากลางดึก เวลาเพิ่งประมาณสี่ทุ่มเอง
    ก็ยังแปลกใจอยู่เพราะไม่เคยเจอแบบนี้ ก็เลยอุทิศบุญไปให้เขาด้วยบท “อิทัง เม” เพราะทำเป็นอยู่อย่างเดียว
    จากนั้นได้ลุกขึ้นมานั่งพิจารณาว่าเมื่อสักครู่นี้มันอะไร อาการคล้ายๆผีอำ แต่มีความแตกต่างอยู่
    ประจวบเหมาะกับผมที่หันหน้าไปทางหน้าต่างกุฏิก็ตกใจเล็กๆ เห็นเป็นเงาขาวๆ ตาโบ๋ ปากอ้า
    ตัวยาวมาก กุฏิชั้น ๒ ยังยืนจากข้างล่างโผล่มาถึง แต่เห็นแค่แว้บเดียวเท่าเวลาฟ้าแลบ
    ประสบการณ์เห็นผีด้วยตาเนื้อครั้งแรกในชีวิต เป็นความประทับใจที่สุด วันนี้ที่รอคอยก็มาถึง
    เชื่อว่าผีมีจริงอย่าง ๑๐๐% ในวันนี้


    หลังจากบวชได้ประมาณเดือนกว่าๆ ผมได้ฝึกสมาธิและกรวดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
    และก็ยังชวนเพื่อนพระมานั่งด้วยกันประจำ แต่ไม่มีภาพนิมิตใดๆปรากฏในสมาธิอีกแล้ว
    ในวันหนึ่งเพื่อนพระรูปที่มีกรรมทำแท้ง ได้มาถามผมอีกว่ารู้คำตอบรึยัง พอเขาถามจบปุ๊บ
    ภาพปรากฏขึ้นมาในจิตทันที เป็นรูปภาพเหมือนกุมารทองยืนท้าวเอวอยู่ ๒ คน
    ก็เลยบอกไปว่าเป็นผู้ชายทั้งคู่ ตั้งแต่ช่วงนั้นเวลามีการคุยกับใคร
    เมื่อถูกถามก็มักจะเริ่มมีภาพปรากฏขึ้นมาในจิต ทั้งๆทียืนคุยกันอยู่
    แต่ก็ไม่ใช่จะมีภาพปรากฏกับทุกคน เป็นเพียงบางคน บางครั้งคำถามแรกๆภาพก็ยังไม่มา
    พอคุยไปเรื่อยๆถึงจะค่อยๆปรากฏมา ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นภาพเหมือนรูปถ่าย บางทีก็เป็นรูปคน
    สามารถที่จะระบุเพศและลักษณะได้ แต่จะไม่เห็นหน้า บางครั้งเห็นทั้งครอบครัว
    สามารถทายทักว่าเขามีพี่มีน้องชายหญิงกี่คนได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้มาเป็นภาพเสียทุกครั้ง
    ในบางคราวจะปรากฏเป็นความรู้สึกนึกคิด คือเข้าใจว่าเขาจะถามอะไรก่อนเขาจะพูดออกมาบ้าง
    รู้คำตอบที่เขาถามบ้าง ต่อมาก็เริ่มรู้สึกถึงความสว่างของแต่ละคน สัมผัสได้ว่าคนนี้จิตใจดี
    คนนี้จิตใจขุ่นมัว ผลจากการฝึกสมาธิดังที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น ไปหักล้างกับความเข้าใจเดิมๆที่ว่า
    จะต้องหลับตานั่งสมาธิเท่านั้นถึงจะเห็น ซึ่งในความเป็นจริงนิมิตภาพมาในจิต
    ไม่ได้ใช้ตาเห็นจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องลืมตาหรือหลับตาถึงจะสามารถเห็นภาพนิมิตได้

    จากการศึกษาเรื่องสภาวะของฌานและการทดลองปฏิบัติที่ผ่านมา อารมณ์ของฌาน ๑ ก็คือ
    เมื่อเรานั่งไปสักพัก ภาวนาพุทโธอยู่ จิตเริ่มนิ่งขึ้นละเอียดขึ้น สำหรับผมก็จะปรากฏนิมิต
    คล้ายหมอกควันสีม่วงขึ้น ลักษณะคล้ายๆโพรงหรือถ้ำ เมื่อใดที่จิตไม่นิ่งหรือมีอารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจ
    จากเสียงภายนอกก็ดี นิมิตหมอกควันเหล่านั้นจะหายไป ส่วนอารมณ์ของฌาน ๒
    คำบริกรรมภาวนาว่าพุทโธหายไป เหลืออยู่เพียงจิตที่มีอารมณ์สบายๆ รู้ตัวว่าตนเองไม่ได้ภาวนา
    แต่ขอปล่อยอารมณ์นิ่งๆอย่างนั้นไว้ก่อน มีอาการตัวโยกตัวเอนบ้าง อาการดังกล่าวตำราเรียกว่า “ปีติ”
    ต่อมาอารมณ์ฌานที่ ๓ คืออาการตัวโยกไม่มีแล้ว และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ชัดเจนว่าจิตไม่ได้คิดอะไร
    แต่จะปรากฏอารมณ์ความสุขที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ประมาณว่า ให้อยู่กับสุขอย่างนี้ไปทั้งวันก็ยังได้
    และอารมณ์ฌาน ๔ คือไม่รับรู้กาย กายดับ ทิ้งจิตแยกออกมา แม้ลมหายใจก็ไม่รู้สึก
    ในช่วงนี้ตัวผมเข้าได้แค่ฌาน ๒ ไม่สามารถไปถึงฌาน ๓ ได้ เพราะว่า พอปีติเกิดตัวเอน
    จิตก็ตกใจบังคับให้กายตั้งตรง ก็เท่ากับทรงสมาธิไว้ที่ฌาน ๒ หรืออย่างหนักก็ถอยไปฌาน ๑
    สมาธิไม่ก้าวหน้าอยู่พักใหญ่ แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่จำเป็นจะต้องทำสมาธิให้เข้าฌานได้ถึงระดับ ๔
    จึงจะมีสัมผัส เพียงแค่ฌาน ๒ หรืออาจจะแค่ฌาน ๑ หากเราฝึกสมาธิบ่อยๆ
    จะสามารถยกระดับจิตให้มีพลังมากขึ้น ยิ่งระดับฌานที่เข้าได้สูงขึ้น กำลังจิตก็จะมากขึ้น
    และสัมผัสได้มากขึ้นตามไปด้วย


    หลังจากฝึกสมาธิมาได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มเห็นสิ่งแปลกๆ วับๆแวมๆ เป็นเงาดำๆเป็นตัวคน
    ระบุเพศได้ชัดเจน ตามสถานที่ต่างๆ แต่เห็นด้วยหางตา มาแว้บเดียวเหมือนฟ้าแล้บ
    โดยที่ไม่ได้กำหนดจิตอยากรู้ มาแบบอัตโนมัติเลย บางทีก็ได้กลิ่นน้ำอบ เป็นเสียงเลยก็มี
    จะเป็นเสียงโหยหวนในคืนวันโกนมาพร้อมหมาหอน ก้องเหมือนเปิดลำโพง
    แม้ฝนตกก็ได้ยินชัดแจ๋ว อาการขนลุกขนพองเมื่อพูดคุยเรื่องลึกลับ หรือตอบคำถามต่างๆ
    ส่วนใหญ่ขนลุกเป็นการคอนเฟิร์มตัวเองว่า ที่คุยกันถูกต้อง มา ณ จุดนี้ ญาณหรือตัวรู้นั้น
    น่าจะมีแบบอัตโนมัติด้วย คือเราไม่ได้กำหนดรู้ ไม่ได้ทรงสมาธิ ก็เข้ามากระทบได้เอง
    แต่ในตอนนี้จะแบบอัตโนมัติก็ดี หรือแบบอุปจารสมาธิก็ดี ผมก็ยังสื่อสารกับดวงจิตเหล่านั้นไม่ได้


    ต่อมาก็พบปัญหาจากการทายทัก เนื่องด้วยความเป็นภาพที่มาในจิต
    หากเรารู้เรื่องของผู้ถามมาบ้างหรือเป็นคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่พี่น้อง จิตจะปรุงแต่ง
    ทำให้นิมิตที่เข้ามาไม่ใช่ของจริง เป็นนิมิตจากความจำของเราปัญหาที่พบก็คือ
    เราแยกไม่ออกว่า นิมิตภาพที่เข้ามา อันไหนของจริง อันไหนจิตปรุงแต่ง
    นิมิตอาจจะมาทีเดียวหลายรูป อาจจะมีรูปใดรูปหนึ่งเป็นความจริงหรือไม่จริงทั้งหมดก็ได้เหมือนกัน
    ฉะนั้นเราก็ไม่ควรหยุดที่จะพัฒนาระดับของฌานให้สูงขึ้น เพราะยิ่งระดับฌานสูงขึ้น
    เราจะแยกแยะนิมิตภาพที่เป็นอุปาทานได้ดีขึ้น หลังจากฝึกสมาธิมาได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มเห็นสิ่งแปลกๆ
    วับๆแวมๆ เป็นเงาดำๆเป็นตัวคน ระบุเพศได้ชัดเจน ตามสถานที่ต่างๆ แต่เห็นด้วยหางตา
    มาแว้บเดียวเหมือนช่วงเวลาเท่าฟ้าแล้บ โดยที่ไม่ได้กำหนดจิตอยากรู้ ซึ่งมาให้เห็นเองแบบอัตโนมัติ
    บางทีก็ได้กลิ่นน้ำอบ หรือเป็นเสียงเลยก็มี บางทีมาเป็นเสียงโหยหวนในคืนวันโกนมา
    พร้อมเสียงหมาหอน กึกก้องเหมือนเปิดลำโพง แม้ฝนตกก็ได้ยินชัดเจน
    อาการขนลุกขนพองเมื่อพูดคุยเรื่องลึกลับหรือตอบคำถามต่างๆ
    ส่วนใหญ่ขนลุกเป็นการคอนเฟิร์มตัวเองว่าที่คุยกันถูกต้อง มา ณ จุดนี้ทำให้เข้าใจว่า “ญาณ”
    หรือตัวรู้นั้น น่าจะมีแบบอัตโนมัติด้วย คือเราไม่จำเป็นต้องกำหนดรู้ ก็จะมีภาพปรากฏขึ้นมาได้เอง


    [​IMG]

    หลังจากงมหาทางให้พ้นฌาน ๒ อยู่จนรับกฐินเสร็จ หลังจากสึกออกมา ก็ได้มีโอกาสไปพบกับเด็กสาวผู้มีญาณ
    เพราะฝึกปฏิบัติมาตั้งแต่เด็กๆ ปัจจุบันอายุ ๒๐ ต้นๆแล้ว เจ้าหล่อนมีชื่อว่าแพท ได้มีโอกาสพูดคุยกัน
    และน้องแพทก็ได้ให้คำแนะนำมาหลายแบบ สุดท้ายวิธีผ่านฌานที่ ๒ สำหรับผมคือ
    ต้องเปลี่ยนอิริยาบทมานอนสมาธิแทน เพราะตัวเรามักจะโยก พอนอนสมาธิ ก็ไม่โยกล่ะ ( เส้นผมบังภูเขาจริงๆ )
    แต่น้องแพทได้ย้ำว่าการใช้อิริยาบถในการนอนอาจจะเผลอหลับได้ อย่าเอาความง่วงมาเป็นอารมณ์
    ในวันนั้นเอง ผมสามารถเข้าฌาน ๓ ได้ แต่แค่แว้บเดียวจริงๆ
    เพราะมดเจ้ากรรมดันมากัดจุดสำคัญเข้าให้สมาธิกระจายเสียสิ้น สุดท้ายเวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
    ตอนที่อยู่มนอารมณ์ฌาน ๓ นั้น ได้ปรากฏนิมิตเป็นอักษรขึ้นมาว่า “ทิพ”
    เมื่อออกสมาธิมาจึงได้ไปถามน้องแพทว่าคำว่า “ทิพ” ที่ปรากฏหมายความว่าอะไร
    น้องแพทได้บอกว่านั่นเป็นชื่อเจ้ากรรมนายเวร ของผมเอง ซึ่งหลังจากกลับมาที่บ้าน
    ผมก็ได้ลองนอนสมาธิอีก แต่กว่าจะเข้าฌาน ๓ ได้นั้นยากจริงๆ ผมต้องทำสมาธิเป็นชั่วโมงอารมณ์ถึงจะนิ่ง
    หลายวันต่อมาผมสัมผัสได้อีกครั้ง ครั้งนี้นิมิตเป็นอักษรปรากฏว่า “สงสาร ลำบาก”
    ทำให้ผมได้รู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรมิได้ตามเราเพื่อจะจองเวรเสมอไป


    นอนภาวนามาครึ่งเดือน คิดอยากเปลี่ยนสถานที่ปฏิบัติดูบ้าง
    ชะตาฟ้ากำหนดให้ได้มีโอกาสมาสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นเทวสถานปฏิบัติธรรมบนภูเขา
    ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกที่อยู่ใกล้กับวัดพระบาทน้ำพุ โดยมีพ่อปู่ฤาษีขี้เถ้า “ธัมมะรัตตะโน”
    เป็นเจ้าสำนัก ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกัน ปู่ฤาษีก็ได้ไล่ให้ผมไปอยู่ถ้ำร้าง
    ผมก็ชอบลองของอยู่แล้ว ปู่ฤาษีก็ส่งคนมานำทางผมไป ตอนขาขึ้นเขาก็ลำบากหน่อย
    เพราะจากถ้ำปู่ฤาษีต้องลงเขาและเดินตัดทุ่งนาและป่าหญ้าลึกเข้าไปเป็นกิโล
    ทางขึ้นเขาก็ไม่มี ต้องปีนป่ายอาศัยเกาะกิ่งไม้ยึดตัวเองไว้ บางทีก็พลาดไหลลงมาเหมือนกัน
    เพราะผมแบกสัมภาระมาเยอะ ( น้ำกับนมอย่างละสองแพ็ค ) พอมาถึงที่คนที่มาส่งก็ขอตัวกลับในทันที


    [​IMG]

    ภายในถ้ำนั้นเงียบสงัด เป็นสถานที่ปิด ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ
    สมกับเป็นถ้ำร้าง ห้องส้วมไม่มี กลางคืนมืดสนิท ผมได้ตกลงกับปู่ฤาษีว่าจะลองอยู่ในถ้ำสัก ๓ วัน
    อาศัยดื่มนมกับน้ำเพียงเท่านั้น ( เพื่อฝึกความอดทน ) ตลอดคืนในถ้ำนั้นเอง
    จะได้ยินเสียงที่เป็นเสียงลึกลับหาที่มาไม่ได้ตลอดคืน เช่น เสียงน้ำหยด ทั้งที่ไม่มีน้ำ
    แต่โชคดีหน่อยที่ในถ้ำไม่มียุงเลย และเฉพาะเวลาที่กำลังฝึกสมาธิเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงน้ำเปาะแปะๆ
    เข้าใจว่าอาจจะเป็นพยานาคมาพ่นน้ำเล่น ใจก็ไม่เป็นสมาธิ เพราะอยากจะเห็นพยานาค
    เมื่อลืมตาหันไปดูก็ไม่พบอะไรและเสียงน้ำก็เงียบไป ตกดึกแม่ตะเคียนในถ้ำก็มาอำอีก
    เห็นเราขยับไม่ได้เอาใหญ่ พุ่งเข้ามากอดซะเผลินเลย สักพักมีผีพระมาอีก ๒ รูป มาตำหนิผม
    ประมาณว่ามารบกวนเขา อาจจะเป็นเพราะแม่ตะเคียนเข้ามากอดผมกระมัง
    พอตอนกลางวันก็มีฝูงลิงเข้ามาแอบจ้องอยู่บนช่องด้านบนของถ้ำ เผลอไม่ได้
    จะปีนลงมาขโมยนมไปกิน สรุปอยู่ถ้ำมา ๓ วัน นอกจากอดอาหาร ทานแต่นมแล้ว
    ก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษ ไปถามปู่เรื่องแม่ตะเคียนกับผีพระ ๒ รูป ปู่ฤาษีก็บอกว่ามีจริง
    และบอกกับผมว่า “คราวหน้าลองมาใหม่สัก ๗ วัน” ผมนึกในใจ
    “จะให้อยู่กับแม่ตะเคียน ๗ วันเรอะ!! ได้เสียตัวกันพอดี”


    [​IMG]

    ๑๓ มค ๕๖ ไปเปิดบารมีวิชชาสามกับทางศินาราเป็นครั้งที่ ๓ ก็ยังไม่ผ่านเหมือนเดิม
    บวชก็แล้วทำไมยังไม่ผ่าน ไม่เป็นไร ช่างมัน รอรอบหน้า ถ้ายังไม่ได้อีกก็รอรอบต่อๆไป
    จากนั้นก็ลองฝึกสมาธิด้วยกสิณสีดู ปรากฏว่าสามารถเข้าสมาธิได้ไวมาก
    ใช้แค่กระดานฟิวเจอร์บอดสีดำ แล้วเอากระดาษสีแดงตัดเป็นวงกลมขนาดเท่าลูกฟุตบอล
    แปะที่กึ่งกลาง เอามาเพ่งแล้วก็ภาวนาว่า “สีแดง ๑ สีแดง ๒ สีแดง ๓......สีแดง ๑๔ สีแดง ๑๕”
    จากนั้นก็หลับตา แล้วเพ่งภาพติดตา ที่จะเป็นวงกลมสีออกเขียวๆ ภาวนาว่า “แดง แดง แดง แดง...”
    พอวงกลมนิมิตหายก็ลืมตามาเพ่งใหม่ ทำแบบเดิมซ้ำ ๓-๔ ครั้ง จากนั้นเพิ่มระยะเวลาการเพ่ง
    เป็น ๓๐ วินาที คือ “สีแดง ๑ สีแดง ๒ สีแดง ๓......สีแดง ๒๙ สีแดง ๓๐” แล้วหลับตา
    เพ่งนิมิตวงกลม เพ่งและก็ภาวนาว่า “แดงๆๆๆๆ” แล้วก็ปล่อยจิตเข้าสมาธิไปเลย
    เพ่งด้วยวิธีใช้กสิณแบบนี้ ไม่ถึง ๕ นาทีก็เข้าถึงฌาน ๒ ได้แล้ว วิธีนี้ถึงจะได้ผลไวมาก
    แต่เพราะการเพิ่งกสิณก็ยังต้องนั่งสมาธิ เลยติดที่ตัวโยกเหมือนเดิม แต่ดีหน่อยตรงที่ว่า
    เดิมกว่าเกิดอาการตัวโยกจะกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง



    ที่ผมเอาเรื่องราวประสบการณ์ของตัวเองมาลงให้อ่านกันนั้น
    หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่กำลังปฏิบัติอยู่หรือแค่คิดแต่ยังไม่เริ่มสักทีให้ได้มีไฟในการปฏิบัติ
    หากเราตั้งใจจริงมีความเพียร ย่อมสำเร็จได้ทุกคน ไม่สำคัญว่าในอดีตจะต้องมีบุญญาธิการหรือบารมีให้มากเลย
    ที่ต้องมีคือ อิทธิบาต ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา พยายามมันไปเรื่อยๆ เจออุปสรรคก็อย่าได้เสียกำลังใจ
    ท้อแท้แต่อย่าท้อถอย อนาคตที่สดใสก็จะรอเราอยู่ การที่คนส่วนใหญ่ไปคิดว่า
    กว่าจะปฏิบัติให้สำเร็จได้ต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผิด จริงๆแล้วอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น
    หากเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุด ทำตัวเองให้สะอาดทั้งภายนอกและภายใน
    และตามหากรรมฐานที่ถูกกับจริตของเราให้เจอและปฏิบัติให้ถูกทาง ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกล


    เป็นความเข้าใจส่วนตัวมาจากผลการปฏิบัติและใช้คำอธิบายเพื่อให้อ่านเข้าใจได้ง่าย
    อาจจะมีทั้งส่วนที่ถูกต้องตามตำรา และส่วนที่ต่างจากตำราไปบ้าง
    ผิดถูกประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้





    [​IMG]


    รวมบทความ

    นั่งสมาธิแล้วได้อะไร(ประสบการณ์ตรงจากการบวชพระ1พรรษา)

    ก่อนปฎิบัติต้องทำความเข้าใจเรื่อง "ทาน ศีล ภาวนา รวมถึงการแผ่เมตตา และการอุทิศบุญ"

    วิธีฝึก วิธีคิด สำหรับผู้อยาก"บวชใจ"

    รักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุดต้องรักษาให้ถึงใจ

    ความหมายแท้จริงของการทาน "เจ"

    วิธีฝึกจิต รับรู้สภาวะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2013
  2. poochai

    poochai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +115
    ยินดีด้วยครับ
     
  3. shevvy

    shevvy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +300
    ขอบคุณที่เล่าให้ฟังคับ:cool:
     
  4. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ขอ อนุโมทนา สาธุด้วยครับ....

    สิ่งที่คุณ เล่ามา..นับเป็นประโยชน์ มาก และเติมกำลังใจ แก่ นักปฎิบัติ ได้ดี ทีเดียว..
    สมแล้ว ที่ มีใจฝักใฝ่ ทาง วิมุตติธรรม...แสวงหาแต่วิเวก...ผลที่รออยู่ อัศจรรย์ แน่ๆ

    ขอให้สำเร็จดังใจปรารถนา....และเจริญ ในธรรมยิ่งขึ้นไป....

    อิทธิบาท 4....ที่คุณกล่าว ถือเป็น ยอด แห่ง การดำเนิน มรรค จริงๆ.....
     
  5. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่เข้าถึงธรรมจากการปฏิบัติด้วยตนเองค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น
     
  6. ku09

    ku09 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    โมทนาบุญค่ะ และขอบคุณที่มาเล่าเป็นประสพการณ์จริงโดยไม่ได้โอ้อวด
    เกินจริง เล่าแบบง่ายๆภาษาฆราวาส ตรงไหนได้ก็บอกว่าได้,ไม่ได้ก็บอกไม่ได้ ดิฉันก็ปฏิบัติบ้างไม่สมำ่เสมอ แต่จะพยายามทำให้ได้ค่ะ
     
  7. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    :cool:อนุโมทนาสาธุในบุญด้วยค่ะ ขอให้เจริญทางโลกและทางธรรมค่ะ
     
  8. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    สาธุครับ ประสบการณ์จริงแบบนี้มีประโยชน์มาก หลังจากทำสถมะจนจิตอิ่ม ประณีตละเอียดดีแล้ว อย่าลืม พิจารณาวิปัสสนาควบคู่ไปด้วยนะครับ ตัวนี้มีประโยชน์มาก จะทำให้ไม่เฝือหลังจากที่ได้ญาณรู้ต่างๆ อันเป็นของแถมจากสมถะกรรมฐาน ซึ่งโดยมากแล้วจะไปติดที่ฤทธิ์กันเสียส่วนใหญ่

    ขอโมทนาในธรรมทานนี้ด้วยครับ สาธุๆ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    [​IMG]
     
  10. สุขสวัสดิ์

    สุขสวัสดิ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +1
    เคยนั่งสนทนาและโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้วันที่มาบอกบุญลาอุปสมบทที่วัดผ่องพลอย(ชมรมศินารา) ผมก็ยังเปิดไม่ผ่าน องค์ครูบาอาจารย์ ก็ไม่เคยสัมผัสได้เลยว่าจริงๆเป็นใคร ปัจจุบันก็หมั่นสวดมนต์ นั่งสมาธิบ้างตามโอกาส บางทีก็ท้อครับ ถามตัวเองว่าทำไปทำไม ทำแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ขออนุโมทนาด้วยอีกหลายๆครั้งครับ
     
  11. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    การฝนทั่งให้เป็นเข็ม ต้องใช้เวลาครับ

    การปฎิบัติหากเรากะเวลาหวังผลไว้ระยะสั้นเกินไป

    พอไม่เกิดผลก็เลยเบื่อ พาลไม่อยากปฎิบัติ

    ความเบื่อหน่ายจะความคาดหวังและไม่เป็นไปตามหวังนี้แหละครับ

    ที่จะบั่นทอนความเพียรเราทิ้งไป

    เพราะแต่ละคนอดทน มุ่งมั่น ได้ไม่เท่ากันครับ

    คนที่ทนได้ ถ้าไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นมีความเพียรมากๆ

    ก็ต้องเป็นคนที่ได้เจอได้เห็นอะไรกับตัวเองมาจนเชื่อ

    มิฉะนั้น โลกเราคงมีแต่คนที่บรรลุธรรมขั้นสูงกันหมด

    ไม่เป็นไรหากใครจะเสพติดกิเลส ปล่อยเขาไป

    เราพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นดีที่สุดครับ

    ไม่ใช่ว่าเราปฎิบัติแล้ว เราสูงกว่าเขานะ

    เราแค่ปฎิบัติในสิ่งที่ควรเป็น เป็นธรรมดาเป็นปรกติ

    แต่ผู้เสพติดกิเลส พวกเขาเหล่านั้นทำตัวต่ำลงไปเอง


    ก็ขอให้พยายามครับ ถ้าท้อเบื่อ ก็พัก ไม่ใช่หยุด

    อยากทำ มีอารมณ์ ก็เอาสักหน่อย

    ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป

    ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องหวัง ทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าไปหยุด

    แล้วจะสำเร็จแน่ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2013
  12. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
  13. ริมฝั่งของ

    ริมฝั่งของ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +310
    โมทนาสาธุครับ ขอให้สมหวังตามที่ท่านตั้งความปราถนาไว้..
     
  14. 5000

    5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,491
    ค่าพลัง:
    +7,121
    อ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ เขียนตามที่ปฏิบัติ เป็นขั้นตอน น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ปฏิบัติฯ หลาย ๆ ท่านเลย
     
  15. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    [​IMG]

    ขอบคุณครับบบบบบ

    ขอให้ประสบความสำเร็จก้าวหน้าในการฝึกจิตกันทุกคนครับ
     
  16. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
  17. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เหาะได้เมื่อไหร่ มาสอนผมด้วยนะครับ อยากเหาะครับ
     
  18. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ขอบคุณครับ สาธุ สาธุ
     
  19. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ถ้าผมเกิดเหาะได้ขึ้นมา

    คิดว่าผมควรบอกคนอื่นไหมครับ

    และถ้าเกิดเหาะได้จริง

    ก็เพราะปฎิบัติอย่างที่ผมได้พิมไว้นั่นแล

    ฉะนั้น ถึงผมก็ไม่ต้องบอกใคร ถ้าผมเหาะได้

    คนที่ปฎิบัติตามก็เหาะได้เหมือนกันนั่นแล

    ๕๕๕
     
  20. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

แชร์หน้านี้

Loading...