เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอบคุณพี่เฉลยและน้องนาคาที่เอาใจช่วยครับ
    จะลองเอาเอาขนมปังชุบน้ำไปวางไว้บ้าง เผื่อมีปา-ติ หาน

    จริงมีไก่อีกตัวมันตกจากรถเดินมาที่บ้านเลยเก็บมาเลี้ยงครับ
    เค้าเคยนอนแน่นิ่งไปเพราะขาเจ็บอักเสบ (ตกร่องไม้)
    คิดว่าตายไปแล้วด้วย ก็ลงมือขุดหลุมจะเอามาฝังไว้เหมือนกัน
    ปรากฎว่าเค้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง จนทุกวันนี้เค้าก็แข็งแรงดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยคับ

    [music]http://palungjit.org/attachment.php?attachmentid=46698[/music]

    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>love is blue ......Glaudine.MP3 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    (b-smile)(b-smile)(b-smile)

    ปล..น้องจิตต์ประภัสสร ได้รับพัสดุที่ส่งมาแล้วครับ
    พอวางหูปุ๊บ ของก็มาปั๊บเลยครับ+ ของที่ได้รับมีค่าทั้งนั้น ของคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2007
  2. virojch

    virojch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264

    ความเชื่อเป็นสิ่งที่เกิดจากการเผชิญ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง5 เกิดเป็นประสบการณ์ เป็นความรู้ ว่าเป็นเช่นนั้น มีอยู่ อันเป็นเหตุเป็นผล หรือบางครั้งเกิดจากศัรทธา ซึ่งทำให้เชื่ออย่างปราศจากเหตุผล และฝังรากลงสู่ความคิด จิตสำนึก และผมคิดว่ามันน่าจะลงไปถึงจิตใต้สำนึก(อันนี้ไม่แน่ใจนัก) ประเด็นคือว่า การที่เราจะเปลี่ยนความเชื่อหนึ่งๆอันเป็นอยู่ก่อนนั้น ไปสู่ความเชื่อใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยและการที่เราจะแกล้งบอกหรือเสแส้รงว่าเราเชื่อหรือไม่เชื่อโดยขัดแย้งกับกับความรู้ข้อมูลเก่าในใจเรา ทำให้พลังแห่งความเชื่อขาดพลังไปแล้วทีนี้แหละครับ ผมอยากทราบจาก อ.พี่ และเพื่อนๆครับว่าการที่จะเปลี่ยนความเชื่อเก่าๆ นั้น อ.พี่มีข้อแนะนำหรือสร้างกระบวนการอย่างไรไหมครับ (เพราะผมคิดว่ามันเป็นอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก) ถ้าเป็นความเข้าใจผิดขอรับคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ

    BELIEVE => THE POWER OF NOW
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    มหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ ครั้งที่ 12

    [​IMG] พลังยูเรอัส ระดับ 1,2
    โดย ดร.จิตรา องค์ปรีดาเทพสุรทิน


    คุณ Bassate แนะนำว่าเรื่องนี้ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ
    วิชานี้เข้มข้นมีมิติและความลึกไม่แพ้วิชาพลังจักรวาล เป็นการจูนคลื่นปรับสมดุลให้กับจิตใจและร่างกายเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานต้นกำเนิด นำไปใช้บำบัดรักษาได้ด้วย คนที่ได้วิชานี้ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม ใครสนใจลองไปฟังกันดูนะครับ
    ทราบมาว่าอาจารย์ท่านนี้มีอดีตชาติเกี่ยวข้องกับ อียิปต์ยุคต้นๆ เรื่องพลังปิรามิดและความลับต่างๆสมัย แอตแลนตีส ก็สอบถามท่านได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2007
  4. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    หวัดดีทุกท่าน
     
  5. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    สวัสดีเพื่อนๆในห้อง กับพี่นักเขียน สบายดีกันหรือป่าว ไม่ได้เข้ามานาน
    อ่านตามไม่ทันเลยอิอิอิ
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    กระบวนการเปลี่ยนความเชื่อเริ่มต้นที่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง

    ไม่ว่าความเชื่อหนึ่งๆจะอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกหรือระดับอื่นใด เมืิ่อเราเผชิญกับสถานการณ์หนึ่งๆ ความเชื่อที่เกี่ยวพันจะย้ายฐานมาอยู่ในระดับจิตสำนึกเสมอ และทำให้เราประพฤติปฏิบัติตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อนั้นๆ

    การแกล้งบอกหรือเสแสร้งว่าเราเชื่อหรือไม่เชื่อ โดยขัดแย้งกับข้อมูลที่เรามีอยู่ในใจนั้น จะเล็ดรอดเราไปเสมอก็ต่อเมื่อเราเรียกข้อมูลที่เรามีอยู่ในใจว่า-ความเป็นจริง โดยที่เราไม่หยุดสำรวจและตรวจสอบว่า ข้อมูลเดิมที่เรามีอยู่นั้นคือความเป็นจริงหรือเป็นเพียงความเชื่อเดิม ข้อมูลใหม่ๆที่ขัดกันกับข้อมูลเก่าที่เรามีอยู่ในใจ มักถูกตัดสินโดยปริยายเสมอๆว่า ไม่เป็นความจริง เพียงเพราะเรายึดถือว่าข้อมูลเดิมนั้นคือความเป็นจริงที่ลบล้างไม่ได้ ข้อมูลอื่นใดที่ขัดแย้งกับข้อมูลเดิมซึ่งเป็นเพียงความเชื่อนั้น จะถูกเราตัดสินโดยอัตโนมัติว่า-ไม่จริง

    เรารู้ได้ไม่ยากว่าเรากำลังมีความเชื่อในทิศทางที่ถูกต้องหรือทิศทางที่ผิด
    ความเชื่อในทิศทางที่ถูกต้องทำให้เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในทิศทางที่ดีเสมอ เพราะมันคล้องจองกับธรรมชาติความเป็นจริงของจักรวาลที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์พูนสุข ความรักและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การมีได้-เป็นได้-ทำได้อย่างสร้างสรรค์สมความปรารถนา

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ใน อิสระแห่งความปรารถนา (หน้า 47) ว่า
    สภาพแวดล้อมของเธอ
    คือภาพของอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดและความเชื่อของเธอ
    ที่มองเห็นได้เป็นสภาวะสามมิติทางกายภาพ


    พี่นักเขียนจึงเชื่อว่าการสำรวจสภาพแวดล้อมของเรา เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถสำรวจได้ว่า ความเชื่อของเรากำลังเป็นไปในทิศทางใด หากเราตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เผชิญกับปัญหาน้ำท่วม บ้านทรุด หลังคารั่ว เผชิญกับความรกรุงรัง เผชิญกับสภาพทรุดโทรม เผชิญกับปัญหาหนี้สิน ปัญหาสัมพันธภาพ เผชิญกับปัญหาขโมย-โจร ฯลฯ และเราก็ตกอยู่ในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดี เราควรจะตระหนักว่า สภาพแวดล้อมทางกายภาพเหล่านี้คืิอภาพสะท้อนสภาวะจิตของเรา สภาวะจิตของเราเป็นไปในแง่ลบก่อน สภาพแวดล้อมในแง่ลบจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่ในทางกลับกัน

    ความเชื่อในทิศทางที่ผิดทำให้เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในทิศทางที่ไม่ดีเสมอ เพราะมันขัดแย้งกับธรรมชาติความเป็นจริงของจักรวาล มันทำให้เรารู้สึกหมดหวัง ขาดแคลน ลำบากยากไร้ แตกแยก ไม่รัก เกลียด โกรธ ขาดการสนับสนุน มีไม่ได้-เป็นไม่ได้-ทำไม่ได้ดังปรารถนา

    ที่คุณ vir กล่าวว่า Believe = Power of Now นั้นถูกต้องที่สุด เพราะท่านอาจารย์กล่าวไว้เสมอๆว่า เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของเรา และพลังอำนาจที่ก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างในประสบการณ์ชีวิตของเรานั้นคือ พลังอำนาจแห่งปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่า ความเชื่อคือพลังอำนาจแห่งปัจจุบัน

    เมื่อเราเผชิญกับการได้มี-ได้เป็น-ได้ทำสมความปรารถนา เรามักจะยอมรับได้โดยปริยายว่า ความเชื่อในทิศทางที่ก่อให้เกิดความมุ่งมั่น เจตนาที่ดีและความปรารถนาอันแรงกล้าของเรา นำพาความสุขความสำเร็จเหล่านั้นมาสู่ตัวเรา แม้ว่าคนจำนวนไม่น้อยอาจยกพลังอำนาจที่ทำให้ความสุขความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นว่า เป็นพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือปัจจัยอื่นๆที่อยู่นอกตัวตนของเขา แต่ปัจจัยที่แท้จริงนั้นก็คือความเชื่อของเขาที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปัจจัยเหล่านั้น

    แต่เมื่อเราเผชิญกับความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ความไม่ได้-ไม่มี-ไม่เป็น คนจำนวนมากมักจะมองไม่เห็นว่าความเชื่อในทิศทางที่ก่อให้เกิดความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจ เจตนาไม่ดีและความกลัว นำพาความทุกข์และความล้มเหลวมาสู่ตนเอง เมื่อเราเผชิญกับสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง-เจ็บป่วย เผชิญกับอุปสรรคในหน้าที่การงาน เผชิญกับอุปสรรคเกี่ยวกับการเงิน เผชิญกับปัญหาสัมพันธภาพ เรากลับกล่าวโทษเชิื้อโรค กล่าวโทษแพทย์ กล่าวโทษยา กล่าวโทษพันธุกรรม กล่าวโทษผู้อื่น กล่าวโทษสถานการบ้านเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ เรามักจะไม่คิดว่าปัญหา อุปสรรคและความล้มเหลวทั้งหลายมาจากความเชื่อของตนเอง

    หากเราเข้าใจในธรรมชาติของกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาล เข้าใจในธรรมชาติและพลังอำนาจของจิตวิญญาณ ได้ว่า จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้นๆ เราจะตระหนักได้ว่า:
    ความเชื่อคือพลังอำนาจแห่งปัจจุบัน
    ความเชื่อคือปัจจัยหลักที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราเป็นไปได้ หรือ เป็นไปไม่ได้ ความเชื่อคือปัจจัยที่ก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา เพราะความเชื่อดึงดูดสรรพสิ่ง สถานการณ์ และปัจจัยที่คล้องจองกับความเชื่อนั้นๆมาสู่วิถีชีวิตของเรา


    เราควรจะตระหนักได้ว่า พลังอำนาจทั้งหมดที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นไปนั้น-อยู่ที่เรา
    แม้แต่ท่านอาจารย์อนาลัยก็กล่าวไว้ว่า ทางเลือกทั้งหมดเป็นของเรา หากเราเลือกจะไม่แก้ไขตนเอง แต่มุ่งหวังที่จะแก้ไขผู้อืิ่น แก้ไขสิ่งที่อยู่ภายนอก เราก็เลือกทำในส่ิงที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ซึ่งทำให้มันเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

    การกล่าวโทษปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ เป็นการยอมยกพลังอำนาจทั้งหมดให้สิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตนของเรา ซึ่งทำให้เราพบกับหนทางตัน ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์และภาวะต่างๆที่เราไม่อาจแก้ไขได้

    การเปลี่ยนความเชื่อเป็นของยากก็ต่อเมื่อเรายอมจำนนกับการตกเป็นเหยืิ่อของปัจจัยที่อยู่ภายนอกตัวตนของเรา ผู้ที่เปลี่ยนความเชื่อไม่ได้ หรือเห็นว่าการเปลี่ยนความเชื่อเป็นของยาก เป็นเพราะ :
    1. เขาไม่มองย้อนกลับมาดูตนเองหรือสำรวจตนเอง เขามองหาปัญหา มองหาสาเหตุจากภายนอกโดยไม่ยอมสำรวจว่าต้นเหตุของปัญหานั้นอยู่ที่ความเชื่อของตนเองเสมอ
    2. เขายกพลังอำนาจให้กับผู้อื่น ให้กับสิ่งอื่นๆที่อยู่ภายนอกตัวตนของเขา เขาเชื่อว่าเขาแก้ปัญหาที่ตนเองไม่ได้ แต่ต้องแก้ด้วยการใช้พลังอำนาจจากผู้อิื่นหรือสิ่งอื่นที่อยู่ภายนอก
    3. เขาขาดความศรัทธาในจิตวิญญาณของตนเอง


    หากเราเชื่อว่าความเชื่อคือพลังอำนาจแห่งปัจจุบัน และเชื่อว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่คล้อยตามความเชื่อคือปัจจัยที่ก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา เราจะตระหนักได้ว่า การเปลี่ยนความเชื่อเริ่มต้นได้จากการสำรวจตนเอง

    พี่นักเขียนเชื่อและมีประสบการณ์ด้วยตนเองเสมอๆว่า ความซืิ่อสัตย์ต่อตนเองเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับกระบวนการเปลี่ยนความเชื่อทั้งหลาย เพราะหากเราไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง เรามักจะไม่ยอมสำรวจความเชื่อของตนเอง และมักจะด่วนตัดสินว่า ปัญหาหรืออุปสรรคทั้งหมดมาจากผู้อิื่น หรือสิ่งอื่นๆที่อยู่ภายนอกตนเอง และเชื่อต่อไปว่าเรากำลังตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์เลวร้ายทั้งหมด ตกเป็นเหยื่อของการกระทำของผู้อื่น หรือตกเป็นเหยิื่อของความไม่ดีของผู้อิื่น เป็นต้น

    ความซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสามารถสำรวจความเชื่อ และอาจทำให้เราสามารถค้นพบสิ่งที่เราปิดบังตนเองมาตลอดชีวิต เช่น ปิดบังเจตนาที่แท้จริงของตนเอง ปิดบังความเห็นแก่ตัว ความโอ้อวด ความหยิ่งยะโส ความขี้ขลาด ความไม่รู้ ความเท็จ ความเห็นแก่ได้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกลียด ความไม่จริงใจ ความเกียจคร้าน ฯลฯ

    แต่ปัญหาหลักคือ สิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีมักเล็ดรอดการสำรวจของเราไปเสมอ เรามักจะได้ยินผู้ที่เผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในชีวิตมักกล่าวเสมอๆว่า เขาเป็นคนดี เขาไม่เคยเบียดเบียนหรือคดโกงผู้ใด เขาเป็นผู้ถือศีล ฯลฯ และเขาก็พยายามแสวงหาสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกตัวตนของเขาว่า อะไรหรืิอใครคือต้นเหตุแห่งปัญหาและอุปสรรคในชีวิตของเขา คนเหล่านี้ปฏิเสธที่จะสำรวจความเชิื่อของตนเอง เขามักปิดบังตนเอง เพราะเกรงว่าการสำรวจตนเองจะทำให้เขาค้นพบสิ่งที่เขาตระหนักได้ว่า เป็นคุณสมบัติที่ศาสนาหรือสังคมเรียกมันว่า-ความไม่ดี ดังนั้นแทนที่จะสำรวจตนเองเพื่อค้นให้พบและแก้ไขสิ่งเหล่านี้ เขาจึงแสวงหาเหตุจากภายนอกหรือแสวงหาความไม่ดีจากภายนอกหรือจากผู้อื่น เพื่อปิดบังตนเองต่อไป

    ความเชื่อในทางที่ผิดก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตของเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ สถานภาพทางการเงิน หรือ สัมพันธภาพ ฯลฯ เพราะความเชื่อในทางที่ผิดก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบที่คล้อยตามความเชื่อนั้นๆ

    มันเป็นการยากที่บุคคลจะยอมสำรวจความเชื่อของตนเอง เมื่อเขาพอใจที่จะปิดบังความคิดในแง่ลบที่เขาเรียกมันว่าความไม่ดีของตนเองต่อไป และแสวงหาความไม่ดีจากภายนอก เช่นความไม่ดีของผู้อื่น และกล่าวโทษว่าความไม่ดีเหล่านั้นเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายในชีวิตของเขา หากชีวิตของเขาเผชิญกับอุปสรรคหรือปัญหา บุคคลเหล่านี้มักจะพยายามหาคนผิด หรือผู้ที่เขาเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา

    แท้ที่ิจริงแล้วการสำรวจตนเองและค้นให้พบความคิดในแง่ลบของตนเอง เช่น ค้นให้พบ เจตนาแฝง เจตนาไม่บริสุทธิ์ ค้นให้พบความเห็นแก่ตน ความหยิ่งยะโส ความขี้ขลาด ความไม่รู้ ความเท็จ ความเห็นแก่ได้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกลียด ความไม่จริงใจ ความเกียจคร้าน ฯลฯ จะทำให้ค้นพบ pattern หริือแบบแผนของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบที่คล้อยตามความเชื่อในทางที่ผิดที่เป็นผลมาจากความคิดในแง่ลบที่ซ่อนเร้นเหล่านี้

    ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีความโลภ เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ได้ มักมีความเชื่อในทางที่ผิดว่า สังคมเต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม เชื่อว่าผู้ร่วมงานหนีปัญหา เชื่อว่าผู้อื่นขาดความรับผิดชอบ ฯลฯ แทนที่จะมองหาปัญหาจากภายนอก เราควรจะสำรวจความเชื่อของตนเองด้วยการมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองเป็นที่ตั้ง เพราะหากปราศจากความซื่อสัตย์ต่อตนเองเราจะหาความเชื่อที่ผิดไม่พบ และท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า

    ความเชื่อที่ผิดทำให้เธอหาความจริงไม่พบ

    เมื่อเราค้นพบจุดด่างพร้อย หรือสิ่งที่เรียกว่าความไม่ดีเหล่านี้ ยอมรับและตระหนักได้ว่ามันคือรากเหง้าที่ก่อให้เกิดความเชื่อในทางที่ผิดและยังผลให้เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ ความเชื่อในทางที่ผิดเหล่านี้ก็จะร่วงหล่นไปเองอย่างปราศจากพิษภัย แต่คนส่วนมากมักจะตื้อดึงที่จะยอมรับและสำรวจความเชื่อของตนเอง เพราะเขามักเชื่อต่อไปว่า การยอมรับจะทำให้เขาเสียหน้าหรือเสียศักดิ์ศรี แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ได้เสียหน้าหรือศักดิ์ศรี แต่เสียปัญญาให้กับความไม่รู้ต่อไปอย่างน่าเสียดาย

    พี่นักเขียนเข้าใจว่าความเชื่อจะอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกก็ต่อเมื่อเราปิดบังตนเอง หรือไม่ได้สำรวจตนเองอย่างละเอียดด้วยความซื่อสัตย์ เพราะหากเราซื่อสัตย์ต่อตนเอง เราจะค้นพบต้นเหตุแห่งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของเรา ซึ่งได้แก่ความเชื่อในทางที่ผิดเสมอ มันมักจะมีรากฐานมาจากมุมมองที่ตั้งอยู่บนสิ่งที่ศาสนาและสังคมเรียกว่าความไม่ดี ซึ่งเรามักจะปิดบังหรือซ่อนเร้นสิ่งเหล่านี้จากตนเองเสมอๆ แต่เราก็กลับตกเป็นเหยื่อของมันเสียมากกว่า เพราะมันก่อให้เกิดความเชื่อในทางที่ผิดและทำให้เราตกอยู่ในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ

    ณ วินาทีใดที่เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบต่อผู้ใด ต่อสถานการณ์ใดในชีวิต เราจึงควรจะเริ่มต้นด้วยการสำรวจความเชื่อที่เป็นต้นเหตุของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบนั้นๆ เราจะพบได้ไม่ยากว่า เรากำลังมีความเชื่อใดอยู่ หากมันคืิอความเชื่อในทางที่ผิด-เราย่อมมีความรู้สึกที่ไม่ดี หากมันเป็นความเชื่อในทางที่ถูก-เราย่อมมีความรู้สึกที่ดี มันตรงไปตรงมาเช่นนั้นเสมอ

    แต่ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกไม่ดีต่อผู้ใดและสถานการณ์ใดๆแล้ว และเราจะยังยืนยันว่ามันคือความเชื่อที่ถูกต้องหรือความเป็นจริงต่อไป เราก็จะตกอยู่ในอารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบนั้นๆต่อไป เราก็จะรู้สึกไม่ดีต่อไป ซึ่งทางเลือกนั้น-ก็เป็นของเรา

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ยกตัวอย่างความเชื่อหลักไว้ในหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา บทที่ 6 กระแสจิตกับความเชื่อ ซึ่งเป็นสาระที่พี่นักเขียนเชื่อว่าจะช่วยทำให้เราสามารถนำมาใช้สำรวจความเชื่อของเราได้เสมอในทุกกรณี ในชีวิตประจำวันของเรา เพราะความเชื่อหลักเป็นต้นเหตุของความเชื่อในทางที่ผิดอื่นๆอีกมากมายค่ะ


    [​IMG]
    การปลิดความเชื่อในทางที่ผิดทิ้งไป
    เป็นสิ่งที่งดงามเสมือนใบไม้ร่วง
    (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2007
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Still Young

    เรื่องหมา พลาดไม่ได้...

    เมื่อพี่นักเขียนอายุได้ 2 ขวบ คุณพ่อของพี่นักเขียนเดินทางไปประเทศ Germany เมื่อกลับมาถึงสนามบินดอนเมือง ท่านก็โทรเข้ามาบอกกับคุณแม่ว่า กลับมาถึงดอนเมืองแล้ว และจะขอพาแหม่มมาพักที่บ้านด้วย เธอชื่อ Connie คุณแม่ถามว่า มาอยู่กี่วัน คุณพ่อก็หัวเราะแล้วบอกว่า คงจะมาอยู่ยาวเลย คุณแม่เลยไม่หัวเราะด้วย เล่นเอาคุณอาและคนในบ้านพากันโกลาหล ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไรที่คุณพ่อไปพาแหม่มสาว Connie กลับมาจาก Germany ด้วย

    ปรากฏว่าพอรถมาถึงบ้าน Connie เพิ่งอายุได้ 2 เดือนก็วิ่งเริ้ดเข้ามาทักทายทุกคนในบ้าน เขาคือลูกสุนัขพันธุ์ German Shepherd สีดำสนิทขนเป็นมัน ตัวอ้วนกลม ขาแข้งอ้วนแข็งแรง แก้มสีน้ำตาลอ่อน มีไฝที่แก้มซ้าย ฟันขาวและลิ้นเป็นสีชมพูน่ารักเป็นที่สุด ทำให้ทุกคนในบ้านพากันโล่งอก แล้วแม่สาวน้อย Connie ก็กลายเป็นขวัญใจของคนทั้งบ้าน เพราะเขาถูกหัดมาจาก Germany ให้ sit ให้ shake hand ให้ roll ให้ beg ให้ down (หมอบ) ทำให้เด็กๆในบ้านหัดพูดฝรั่งกันยกใหญ่ เพราะพูดไทยกับเจ้าหนู Connie ไม่รู้เรื่อง แต่พูดภาษาอังกฤษปุ๊บ เขาจะทำตามทุกอย่างทันทีทันใด คุณพ่อของพี่นักเขียนบอกกับพี่นักเขียนว่า Connie อายุ 2 เดือน เทียบเท่ากับพี่นักเขียนซึ่งมีอายุ 2 ขวบ พี่นักเขียนก็รับเอาโดยปริยายว่า เราอายุเท่ากัน เราจะเป็นเพื่อนเล่นกันตลอดไปนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    ตกกลางคืน หนู Connie ก็แย่งพี่นักเขียนกระโดดขึ้นไปบนเตียง แล้วแย่งนอนบนอกคุณพ่อ พี่นักเขียนจำได้ว่าคุณพ่อถูกคุณแม่ส่งลงไปนอนอยู่ห้องนอนในห้องเล่นเปียโนชั้นล่างกับเจ้าหนู Connie หลายคืน พี่นักเขียนก็ตามไปขอนอนด้วย แต่คุณแม่ไม่ให้ จนในที่สุดต้องหัดให้เจ้าหนู Connie นอนตรงห้องโถงหน้าห้องนอนของพี่นักเขียน เวลาผ่านไปร่วมปี Connie โตวันโตคืนจนกระทั่งวันหนึ่ง ประตูห้องนอนคุณพ่อเปิดแง้มอยู่ Connie ดีใจมาก รีบกระโดดกลับขึ้นไปบนเตียงแล้วไปนอนบนอกคุณพ่อเหมือนเคย แต่ตอนนั้นเขาอายุขวบเศษแล้ว จำได้ว่าคุณพ่อร้องลั่นว่าตัวเธอหนักจัง หายใจไม่ออก ได้ยิน Connie เห่า ทำเสียงเป็นลูกสุนัขอีกครั้งอย่างน่าขัน

    Connie กลายเป็นพี่เลี้ยงของพี่นักเขียนเหมือน Nana ในหนังเรื่อง Peter Pan เพราะเขาจะคอยระแวดระวังตลอดคืน ไม่ให้ใครเข้าไปในห้องนอนของพี่นักเขียน เช้าขึ้นเขาก็เป็นคนแรกที่ทักพี่นักเขียนเมื่อตื่นขึ้น และต้องลงมาข้างล่างพร้อมกันทุกวัน Connie โตเร็วมาก จนพี่นักเขียนอายุได้ 4 ขวบชอบขี่หลังให้ Connie เป็นม้าบ่อยๆ Connie ก็ไม่เคยว่า บอกให้วิ่งก็วิ่ง ให้หยุดก็หยุด ยอมให้ขี่หลังเป็นม้าตลอด จนวันหนึ่งคุณพ่อเห็นและดุว่าพี่นักเขียนตัวอ้วน Connie จะหลังแอ่นไม่สวย เรากลัว Connie เสียโฉมเลยเลิกทำ แต่เขาก็ไม่ได้หลังแอ่นและเป็นหมาแสนสวย หน้าหวาน ขนตายาว ยิ้มเก่ง

    เวลาผ่านไป 20 ปี พี่นักเขียนอายุ 22 ปีเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย Connie อายุ 20 ปี เขามีลูกให้เรา 4 คลอก คลอกละ 8-13 ตัว ได้พ่อพันธุ์จากต่างประเทศทุกครั้ง และลูกของ Connie ก็ออกมาสวยมากทุกคลอก เราเก็บลูกไว้แต่เพียงเฉพาะตัวผู้คลอกละหนึ่งตัว นอกนั้นต้องตัดใจขายบ้างแจกไปบ้าง น้ำตาตกหลายรอบ จำได้ว่าไม่ชอบเลยที่ต้องเห็นลูกๆของ Connie จากไป

    วันหนึ่งพี่นักเขียนกลับมาจากมหาลัย Connie ไม่ออกมาทักอย่างเคย ตามไปดูก็พบว่าเขานอนอยู่ในห้องรับแขก ดูง่วงเหงาหาวนอน ก็ไม่มีใครสงสัย เพราะเขาไม่เคยล้มป่วยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต หมอก็ไม่เคยออกความเห็นเกี่ยวกับสุขภาพของ Connie นอกจากชมว่าเขาแข็งแรง

    แต่วันต่อมา Connie ก็ยังไม่ลุก และไม่ยอมกินอาหารเลย พี่นักเขียนไปรับสัตว์แพทย์จากคลีนิคใกล้บ้านมาที่บ้าน เพราะคุณหมอประจำที่เคยพาไปหาแก retire ไปแล้ว หมอหน้าใหม่ตรวจดูอาการ Connie แล้วก็หันมาทำท่าหงุดหงิดกับพี่นักเขียน แล้วถามว่า "บ้านคุณตีหมาใช่ไหม?" พี่นักเขียนงง แต่ก็ถามกลับอย่างฉุนนิดหน่อยว่า "คุณหมอหมายความว่าไง?" หมอก็ตอบว่า "เขาท่าถูกตีจนเดินไม่ได้นะเนี่ย" พี่นักเขียนโกรธมากเพราะว่าเรารัก Connie มากและรู้สึกว่าถูกกล่าวหา

    พอคุณหมอเห็นว่าเราโกรธก็เปลี่ยนคำถามเป็นว่า "สุนัขของคุณอายุเท่าไร?"
    พี่นักเขียนก็ตอบว่า "20"
    หมอตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากค้าง พูดว่า "หา? จริงหรือเปล่าเนี่ย?"
    แล้วก็เลยฟังหัวใจใหม่ ที่นี้เรียก Connie ว่า "คุณย่า" แล้วแนะนำให้ป้อน Brand (ซุปไก่สกัด)

    ปรากฏว่า Connie นอนไม่ลุกอยู่ 3 วัน พี่นักเขียนป้อน Brand ให้ทานวันละ 4-6 ขวด เพราะเขาไม่กินอะไรเลย
    วันที่่ 4 Connie ก็ลุกขึ้นเดิน ก่อนพี่นักเขียนจะไปมหาลัย เขาก็มาทัก จูบลาเป็นปกติก่อนไปเรียน
    บ่ายวันนั้นมีแขกมาที่บ้านช่วงที่เขากำลังเดินอยู่นอกบ้าน เด็กที่บ้านก็เลยเรียกให้เขาเข้ากรง
    แต่เมื่อแขกไปแล้ว เด็กก็ลืมปล่อยเขา ตกบ่ายจัดทุกคนในบ้านได้ยินเสียงดังโครม
    Connie ถีบกรงจนกลอนหัก แล้ววิ่งออกไปจากกรง ไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างสุดแรงเกิด แล้วก็ล้มตัวลงนอน


    พี่นักเขียนกลับมาจากมหาลัยตอนเย็น ไม่มีใครกล้าเอา Connie ไปฝังโดยที่พี่นักเขียนไม่เห็นหน้าเขาก่อน
    แต่กว่าพี่นักเขียนจะกลับถึงบ้านเย็นนั้น Connie ก็หลับไปอย่างไม่มีวันตื่นแล้ว เขานอนนิ่งๆกับสนามหญ้าหน้าบ้าน ตรงจุดโปรดของเขา
    สัตว์แพทย์มาตรวจเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพี่นักเขียนจะถึงบ้าน ก็พบว่าเขาหัวใจหยุดเต้นไปเฉยๆ ด้วยอายุ 20 ปีเต็ม ซึ่งหมอบอกว่า
    เทียบกับคนเราเขาก็อายุประมาณร้อยกว่า

    เรื่องราวของ Connie เป็นเพียงเรื่องที่พี่นักเขียนอยากจะ share ความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้คือ

    สัตว์เลี้ยงเป็นภาพสะท้อนความเชื่อของเจ้าของ

    สัตว์เลี้ยงจะอายุยืนยาวเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อของเจ้าของ

    พี่นักเขียนเติบโตขึึ้นมาพร้อมกับ Connie จนเราไม่เคยคิดถึงอายุของเขา
    และนึกว่าเราเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเสมอ

    แต่หลังจากสัตวแพทย์มาให้ "ความรู้ของเขา"กับพี่นักเขียนว่าสุนัขมีอายุอย่างมากได้เพียง 10 กว่าปี สุนัขตัวต่อๆมาที่พี่นักเขียนเลี้ยง ก็มีอายุลดลงมาจาก 15 ปี ลงมาจนเหลือเพียง 10 ปี ตามความเชื่อที่พี่นักเขียนเปลี่ยนไป-ตามที่สัตวแพทย์บอก

    ทุกวันนี้พี่นักเขียนและสามีเดินทางบ่อย จนไม่อยากเลี้ยงสุนัข เพราะสงสารเขา
    และพี่นักเขียนก็เชื่อท่านอาจารย์อนาลัยจนหมดใจ
    เกรงว่า หากเลี้ยงอีก เขาคงจะอายุยืนกว่าเรา
    จนไม่กล้าเลี้ยงอีกน่ะแหละ กลัวเราจะไปก่อนเขา


    (rose) ขอให้กาแฟหายวันหายคืนค่ะ (rose)

    คุณ Mead เอา Brand ให้เขาทาน หรือต้มซุปไก่ใส่เกลือให้มีรสอ่อนๆแล้วกรองใสๆ พี่นักเขียนเคยเอาซุปไก่กรองใส่ขวดนมให้เขาดูดน้ำซุปอุ่นๆแบบ Baby ให้สุนัข Chow Chow อีกตัวชื่อ Leo ซื้อมาจากจตุจักร เป็นไข้หัดตอนเขาอายุได้เพียงเดือนเศษ หมอบอกว่าตายแน่ใน 2 วัน แต่พี่นักเขียนต้มซุปไก่ใส่ขวดนมให้ดูดวันละ 6-10 หน เขารอดตาย และอยู่กับพี่นักเขียนมาจน 6 ปี ก็ต้องยกให้คนอื่นเพราะครอบครัวพี่นักเขียนย้ายมาอเมริกา ทุกวันนี้เขาอายุ 12 ปี ยังแข็งแรงดีอยู่ค่ะ

    หารูป Connie ยังไม่เจอ เอารูป Leo มาให้ดูก่อน (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Leo.jpg
      Leo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.9 KB
      เปิดดู:
      41
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอบคุณครับพี่ฯ
    ตอนนี้เค้าไปสบายแล้วครับ
    เมื่อคืนหมอเห็นว่าไม่ทานอะไร เค้าเลยลองฉีดโปรตีนเข้าเส้น
    กลับมาบ้านหยอดอาหารเหลวให้ทานก็อาเจียนทุกครั้ง

    อุทาหรณ์ของคนเลี้ยงสุนัขและแมว
    ควรผ่าตัดทำหมัน ดีกว่าการฉียยาคุม เพราะตอนอายุมากจะโอกาสมากทำให้ให้มดลูกอักเสบเป็นหนองได้ง่าย

    มันก็จะเลียหนองเข้าสู่กระเพาะอาหาร เกิดการสะสมของเชื้อโรค แพร่กระจายไปตามเส้นเลือด ทำให้เม็ดเลือดขาวไม่สามารถฟองหรือสร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นมาใหม่ได้ อาการที่เห็นคือม่านตาขยาย ลิ้นและเหงือซีด มีน้ำมูกข้นที่จมูก
    และแพ่กระจายเข้าสู่ปอดและกระเพาะอาหารในระยะสุดท้าย หายใจแรงเหมือนมีน้ำในปอด ทำให้ร่างกายไม่รับอาหาร อาเจียนตลอดเวลา

    สำหรับผู้เลี้ยงที่ฉีดยาคุมให้กับสัตว์เลี้ยง ถ้าเค้าเริ่มมีอาการไม่กินอาการ มีหนองไหลเนื่องจากมดลูกอักเสบ ภายใน 3 วันให้รีบไปหาหมอทันที และให้เค้ากินแบรนด์กับสปอนเซอร์ ผ่านสลิงค์ฉีดยาดีที่สุด (เอาเข็มออกด้วย)

    เมื่อเช้าเห็นวินาทีที่เค้าไปพอดีเลยช่วยส่งวิญญาณเค้าไปสู่สุขคติ
    ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงร้องไห้เวลาต้องจากกัน เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าโลกของจิตวิญญาณเป็นโลกแห่งความเป็นจริงไม่น้อยไปกว่ากัน เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ไม่จดจ่อให้เศร้าใจ ได้แต่ให้ความรักกับเค้าไปทำให้เค้าสุขใจที่สุดไปเค้าพบแต่สิ่งดีๆที่รออยู่ข้างหน้าครับ

    (deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2007
  9. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    หายไปนานเลยคุณaxzon ทุกคนสบายดีจ้า
    เข้ามาบ่อย ๆ สิ เดี๋ยวอ่านไม่ทันจริง ๆ นะ (deejai)
     
  10. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ค่ะคุณMead ก่อนอื่นเราต้องพิจารณาว่าจุดประสงค์ที่เราเรียนสิ่งเหล่านี้นั้นเพื่ออะไร? ความสามารถทางจิตวิญญาณเหล่านี้มีอยู่จริง หากเราเรียนเพียงเพื่อให้มีความสามารถพิเศษเหนือผู้อื่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการเรียนฤทธิ์ตามที่น้องนาคา, คุณเฉลยและคุณโอบนิธิเค้าคุยกัน ถ้าเป็นด้วยเหตุนี้ก็สมควรแล้วที่คุณเฉลยจะแสดงความเป็นห่วงว่าจะทำให้เราติด หรือหลงในพลังอำนาจเหล่านี้ เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าหัวใจหรือเป้าหมายของการเรียนรู้ในเรื่องจิตวิญญาณก็เพื่อให้เราเข้าถึงคำว่ารักโดยปราศจากเงื่อนไข หรือรักโดยไม่หวังผลตอบแทน ถ้าหากเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ได้ก็เป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งค่ะ.. และถึงแม้ว่าจะช่วยเหลือเค้าได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ดีใจไปกับสิ่งนั้น และต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ.. ( อันนี้อาจารย์สอนมาค๊า.. อิอิ.. )
    (b-hmm)
     
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    คุณ Vir ลองฝึกนั่งสงบอยู่นิ่ง ๆ ให้จิตมีสมาธิหรือทำจิตให้ว่างก่อนแล้วค่อยป้อนคำถามออกมาทีละเรื่อง และคิดอยู่เรื่องเดียวเป็นเวลานาน ๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะพบคำตอบโดยบังเอิญ อาจจะโดยการอ่านหนังสือในเรื่องนั้นพอดีหรือมีคนพูดให้ฟังหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เราสะดุดคิดขึ้นมาและรู้สึกว่าใช่เลยอะไรประมาณนี้แหละค่ะ ลองดูนะคะเผื่อจะได้ผล

    พอดีอ่านอยู่จึงเอามาให้คุณ Vir ลองศึกษาดูค่ะ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ

    บทที่ 4 ประสาทสัมผัสภายใน
    หน้า 57 ความรู้และเข้าใจในพื้นฐานของโลกแห่งความเป็นจริง
    คำถามทั้งหลายเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลายมีคำตอบอยู่ภายในตัวตนของเธอ คำตอบเหล่านี้ปรากฏขึ้นเมื่อเธอละประสาททั้งห้าของเธอจากการรู้เห็นโลกทางกายภาพและจดจ่อกับโลกภายใน ในภาวะดังกล่าวนี้ประสาทสัมผัสภายในชนิดที่หกจะทำหน้าที่ มันจะทำให้เธอเกิดความรู้และแรงบันดาลใจอย่างฉับพลัน ปรากฏการณ์อันเกิดจากการใช้ประสาทสัมผัสภายในชนิดนี้มักทำให้เกิดประสบการณ์ที่เปิดเผยถึงบุคลิกภาพ

    ปัญหาของเธอทั้งหลายคือ เธอจะพยายามตีความหมายข้อมูลที่ได้รับด้วยคำนิยามที่เธอจะเข้าใจได้ เธอมักจะพยายามอธิบายด้วยคำพูดหรือภาพ ความพยายามของเธอมักบิดเบือนข้อมูลเหล่านี้ไปจากความเป็นจริง ประสบการณ์ที่ได้จากประสาทสัมผัสภายในชนิดนี้และชนิดอื่น ๆ มักเป็นสิ่งที่ไม่อาจแสดงออกทางกายภาพหรือกล่าวเป็นคำพูดได้ แต่บุคคลผู้รู้เห็นข้อมูลและความรู้เหล่านี้จะรู้ถึงความเป็นจริงอย่างคมชัด

    หน้า 64
    การรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยประสาทสัมผัสภายใน
    เป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้เธอรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ
    ได้ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริง

    นี่เป็นคำสอนในวิชาพลังจักรวาล
    ร่างกายคนเรามีจักระ 7 จักระ ถ้าจักระ 5 ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างไหล่ได้รับการเปิดแล้วและนำมาฝึกฝนอย่างถูกวิธีเราก็จะมีหูทิพย์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถได้รับคำสอนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนที่ชี้นำเราสอนให้รู้ถึงการพัฒนาจิตวิญญาณและฝึกฝนปฏิบัติในการทำสมาธิ และเราสามารถจะได้รับคำแนะนำของท่านเหล่านี้ได้ ตามปกติเรามักจะได้รับคำสอนมากมาย แต่จะคิดว่าเป็นความคิดของเราเองและปฏิเสธว่าสิ่งนี้ไม่ใช่คำสอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน หรือที่เราเรียกว่าความคิดของสวรรค์ ( Divine thoughts ) ซึ่งส่งมาถึงจิตเราโดยตรง แต่เราคิดไปว่าเป็นความคิดของเราเอง ความคิดจากสวรรค์นี้คืออาจารย์ของเรา เราควรจะน้อมรับเอาไว้ด้วยความเคารพ

    เมื่อจิตใจและจิตวิญญาณของเราพัฒนาสูงขึ้น เราก็จะรู้วิธีใช้ความสามารถใหม่ ๆ เหล่านี้ และถ้าเราพัฒนาได้สูงขึ้นอีกเรื่อย ๆ เราก็จะเริ่มเข้าใจความจริงได้โดยไม่ต้องเรียนรู้จากผู้อื่น และเราจะรู้สึกถึงการลื่นไหลของความคิดของเรา ที่ประสานกับจิตวิญญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนสูงสุด เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว..
    (b-glass)
     
  12. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    ง่วงนอนจังเลย ราตรีสวัสดิ์ทุกคนจ้า (b-2love)
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG]

    ตื่นรึยัง! แวะมาปลุก อิอิ
    ได้เวลาทานโอวัลตินกะขนมปังแล้วคับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image012.gif
      image012.gif
      ขนาดไฟล์:
      11.2 KB
      เปิดดู:
      444
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2007
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ชวนดูดาว:
    ระหว่างนี้ถ้าใครสนใจดาราศาสตร์ มองท้องฟ้าชม

    ดางหางมหัศจรรย์ครับ : holmes Comets
    ที่กำลังเป็นข่าวฮือฮาในวงการดาราศาสตร์ตอนนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    ดาวหางดวงนี้น่าสนใจมากๆครับ เพราะว่ามันแปลก ไม่ใช่แปลกที่หาง แต่มาแปลกที่หัว
    ทั้งที่ได้เห็นตลอดคืนช่วงฤดูหนาวด้วย แต่เมืองไทยกลับเงียบมาก สื่อไม่พูดถึงเลย
    แม้จะเรียกว่า "ดาวหาง" แต่เราก็อาจจะไม่เห็นหางของมันหรือเห็นได้ยาก
    เพราะหางของดาวหางจะถูกลมสุริยะเป่าชี้ไปในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ
    และขณะนี้โลกอยู่ในตำแหน่งค่อนข้างจะตรงกันระหว่างตัวดาวหางกับดวงอาทิตย์พอดี

    ที่แปลกคือดาวหางดวงนี้กำลังขยายขนาดฝุ่นละอองจนโตขึ้นเท่ากับดาวพฤหัสและขยายออกไปเรื่อยๆ
    ปกติดาวหางที่เคลื่อนที่ห่างออกไปจากโลกจะมีขนาดเล็กลง

    มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มุม 45 องศาจากขอบฟ้า ตั้งแต่เวลา 3 -4 ทุ่มเป็นต้นไป..
    ลองดูครับถ้ามีกล้องสองตายิ่งชัด เป็นดาวหางที่นักดาราศาสตร์ติดตามศึกษาในความแปลกของมัน

    และจะมีปรากฎการณ์ฝนดาวตกช่วงวันที่ 17-18 พ.ย.นี้เวลาเที่ยงคืน
    ชมรมนักดาราศาสตร์จะยกทีมนำกล้องดูดาวมากันที่ ไอยราปารค์ อุทัยธานีครับ
     
  15. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    บอกเล่าประสบการณ์อีกนิด สำหรับการเปลี่ยนความเชื่อ กรณีคนที่มีปัญหาสุขภาพ อย่าพลาดเล่ม "จิตวิญญาณประสานกาย" จินตวดีเคยมีปัญหาสุขภาพที่เสื่อมถอย (อันเกิดจากการโหมงานหนักเกินกำลัง) และโรคภูมิแพ้ อย่างแรงอันเป็นโรคประจำตัว ถึงขนาดอาจต้องหยุดการทำงานเลยทีเดียว เพราะต้องเดินทางประจำ แต่ร่างกายรับไม่ไหว หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ดิฉันได้ทำแบบฝึกฝน โดยการเปลี่ยนความเชื่อตัวเอง จินตนาการถึงสุขภาพที่ดี ร่างกายที่สมดุลย์ เป็นกลาง และเซลล์ที่กำลังรักษาตนเอง ดิฉันจดจ่อกับมันเพียงประมาณ 5 นาทีเท่านั้น (แต่ตั้งใจจริง) ก่อนนอน และหลับ แค่เพียง 3-4 วัน ดิฉันได้ยินเสียงในความฝันว่า "ตั้งแต่นี้ไปเธอจะมีสุขภาพดีขึ้น" ซึ่งดิฉันมั่นใจว่ามันเป็นเสียงจากตัวตนภายใน หลังจากนั้นคุณเชื่อมั้ย ว่าสุขภาพของดิฉันดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ เหมือนคนปกติทุกประการ ไม่เหนื่อย และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งยาเหมือนอย่างเคย (ประหยัดค่ายามากเลยทีเดียว)
     
  16. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อนุโมทนากับความสำเร็จครับ
    (y)(y)(y)(y)(y)(b-flower)(b-love2u)(verygood)(*)(*)(*)(*)(*)
     
  17. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    กำลังคิดจะ print ตั้งแต่หน้าแรกเอาเย็บเป็นเล่มเก็บไว้ ต้องใช้กี่แผ่นนะเนี่ย เพราะคำอธิบายของคุณนักเขียน ขยายความอะไรที่ยังติดขัดอยู่ได้อีกเยอะเลย
     
  18. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สวัสดีครับ
    ตอนนี้งานรัดตัวจนกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้เลย
    ดาวหาง holmes นั้นสงสัยเพราะว่าไม่มีหางให้เห็นมั๊งเลยไม่สนใจกันเพราะดูไม่สวยเหมือนดาวหางทั่วๆ ไป

    คุณ JINTAWADEE ถ้าจะปรินซ์มาอ่านคงต้องกระดาษเกือบๆ 200 แผ่นละมั๊งตอนนี้
     
  19. virojch

    virojch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    ขอขอบคุณ อ.พี่ อย่างสูงครับ ผมรู้สึกได้มุมมองที่กว้างเเละชัดเจนยิ่งขึ้นมากเลยครับ ต่อไปนี้ผมจะเริ่มสำรวจความเชื่อของตัวเองอย่างซื่อสัตย์และจะพยายามขจัดความนึกคิดในแง่ลบออกไป จะพยายามมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทุกเรื่อง จริงๆแล้วผมจะค่อนข้างไปทางใช้เหตผลต่อสิ่งต่างๆมากโดยใช้พื้นฐานความเชื่อหรือความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง อยู่กับสิ่งที่เป็นกายภาพค่อนข้างมาก ต่อไปนี้จะพยายามเข้าหาโลกภายในให้มากๆครับ

    ขอบคุณคุณ ขจรวรรณด้วยครับที่แนะนำสิ่งดีๆ ซึ่งสิ่งที่เราเคยรู้อยู่แล้วแต่ลืมม้นไปเพราะขาดการให้ความสำคัญมันไป ตอนนี้คุณขจรวรรณเปิดหน้าต่างบานนี้ให้ผมแล้วครับขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    รอคุณMead เธอรวบรวมให้อยู่เหมือนกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะมีเวลาว่างทำให้เราได้เมื่อไหร่ ระหว่างนี้ว่าง ๆ ก็เข้าไปอ่านในเวปของพี่นักเขียน รู้สึกว่าได้อะไรอีกเยอะเลยค่ะ เป็นการทบทวนไปในตัว บางเรื่อง ตก ๆ หล่น ๆ ก็ต้องตามเก็บให้หมดค่ะ.. ( ตอนนี้รู้สึกเซลล์สมองเปลี่ยนแปลงจนแสบไปหมดแล้ววววว.. อิอิ.. )
    (b-flower)
     

แชร์หน้านี้

Loading...