วิริยาธิกะพิเศษบันทึก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pco-, 7 มิถุนายน 2010.

  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    :cool:คุณมาถามแบบนี้เล่นเอาผมอายเลยนะ ผมเข้าวัดมาตั้งนาน สองนาน ยังไม่ได้อะไรเลย เพียงใจมันเบากว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเอง ถ้าต้องถาม แบบนี้ ผมคงตอบแบบรวบลัด แบบงูๆปลาๆเท่านั้น เพราะไม่ถึงจริง เพียงแต่อารมย์ มันผ่านเข้ามาเมื่อก่อน แค่แว๊บๆประเดี๋ยวประด๋าว แค่นั้นเอง ผมว่า การถือศิล ๕ ก็มี ๓ แบบ ที่เข้าถึง เบื้องต้น หยาบ กลาง ละเอียด ถ้าถึงขั้นนี้ ว่าตามหลวงพ่อ ก่อน รักษาศิลยิ่งกว่าชีวิต จะละเอียด ขนาดไหน อย่างที่ว่ามานั่นแหละครับ ถ้าว่า รักษา บ้างไม่รักษาบ้าง เขาเรียก ลูบๆคลำๆศิล ก็เหมือนผมนี้แหละ


    ก็เหมือนผมนี่แหละ เดี๋ยวจริง เดี๋ยวไม่จริง เข้าๆออกๆ บางครั้ง เดี๋ยวถวายชีวิต เดี๋ยวถอย มาตั้งหลัก มีกำลัง ก็สู้ต่อ รบไม่แทบจะไม่ชนะเลย มาตั้งหลัก ขนเสบียงนะ ให้เข้มแข็ง เหมือนนักรบ ถอยมาวางแผน ขืนรบไป เดี๋ยว ลูกน้องตายหมด ต้องถอยมาตั้งหลัก คิดวางแผน จะรบแบบไหน ถึงจะชนะ ข้าศึกได้ ส่วนด้านธรรมะ ของผมนี้ อย่างนี้ไม่ไหว ผมจะ ขนเสบียงอย่างอื่น เตรียมรอในวันข้างหน้า ถ้อ อย่างนี้ ไป สร้างอย่างอื่นต่อ ในหลายๆแบบ นี่คือแบบฉบับของผม ชนะได้ครั้ง ก็ยังดี ๆกว่าไม่ชนะเลย แพ้ตลอดกาล ก็ไม่ไหวเหมือนกัน


    พระอริยเจ้าขั้นแรก ยังถือตัวตนอยู่เลย แต่อยู่ในขอบเขตนะ นางวิสาขาแต่งงาน อายุ ๑๖ เป็นพระโสดาบัน ไม่แน่ใจว่ากี่ขวบ มีลูก ๒๐ คน มีหลานออกมา อีก คนละ ๒๐ เป็น ๔๐๐กว่าคน อายุของนางวิสาขา อายุ ๑๒๐ ปี ยังสาว เหมือน อายุ ๑๘ นี่ ตอนที่พระเจ้าปเสนทิโกศล ไปดูตัว นางวิสาขา ถาม หมอ ชีวกโกมารภัต ว่านางวิสาขาคนไหน พ่อปู่ หมอชีวก ให้ดู ตอนนางวิสาขา ลุกขึ้น จะใช้มือ พยุงกายขึ้น หนุ่มๆสาวๆไม่ต้องใช้แขนท้าว ลุกขึ้นเร็วๆไวไวๆนั่นแหละ พระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงได้รู้ว่า นางวิสาขาคนไหน
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:มันไม่เสมอไปหรอกนะ อยู่กับหลวงพ่อ บางที คนที่ไม่เข้าวัด ยังดีกว่าก็มีนะ ตอนผมเข้ามาใหม่ๆ นึกว่า คนที่มาวัดหลวงพ่อ ต้องเป็นพระอริยเจ้าหมด ที่ไหนได้ ผิดถนัดเลยครับ ชนมาทุกรูปแบบ ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อลาย คนที่อยู่ไกล้ ถ้าทำไม่ดี ก็เหมือนอยู่ไกล ถ้าอยู่ไก้ล ไม่เคยมาเลย แต่เคารพหลวงพ่อ ก็เหมือนอยู่ใกล้ หลวงพ่อ ฉนั้นไม่จริงหรอกนะ อยู่การปฏิบัติ ของเรามากกว่า ถ้ายิ่งเข้าถึงธรรม เข้าถึงแก่นพระศาสนา อันนั้น ยิ่งอยู่ใกล้ พระตถาคต ใกล้หลวงพ่อ


    เมื่อก่อน ผมคล่องพุทโธ แต่เพราะอยากได้ฤทธิ จึงเปลี่ยนคำภาวนา มาตอนหลัง เริ่มเฝือ มาเดี๋ยวนี้ ก็ภาวนา พระคาถา เงินล้านบ้างพิจรณา ถึงควมตาย บ้าง พิจรณากายบ้าง แล้วแต่มันจะคิดได้เมื่อไหร่ เด๋ยวนี้ นอนฟังธรรมะ คำสองคำหลับ ตื่นมาบางครั้ง ได้ยินคำสองคำหลับ แทบไม่ฟังธรรมะเลย มันตัดหลับ ไปเลย สัมปจิตฉามินี่ ตอนเป็นภารโรง ท่องประจำ เพราะช่วงนั้น พวกทำไสยศาสตร์มาเยอะ เลยทาองบ่อย มาตอนหลังทิ้งหมดเลย นานๆ จะท่องสักครั้ง ถ้าท่องได้ ตัวนี้ เป็นคาถาอภิญญา นะ


    ผมก็ประเภท จับหลัก ขี้ควาย เอาอะไรไม่ได้ เลยหันมาพิจรณากาย บ้าง ฤทธิเมื่อก่อนอยากได้มาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่อยากได้แล้ว ถึงอยากมันก็ไม่ได้หรอก ก็เลย หย่อยยานไปมากเลย ขนาดว่า บวชเณร ที่หลวงพ่อ บวชทุกปี บวชพระบ้างจนกระทั่ง ถึงยุคหลวงพ่อนันท์ บวชธุดงค์ เงี้ย ปีเป็นร้อยๆ ไม่เคยนึกถึงเลย ทำแล้วทำเลย ไม่ได้ตามนึกถึง ถ้าพูดถึงอานิสงฆ์ บวก กันแล้ว ตก ๓๐ ปีนี่ ไม่รู้เกิดเป็นเทวดา พรหม ไม่รู้ กี่หมื่นกัป แค่สังฆทานครั้งเดียวหลวงพ่อบอก ใช้อานิสงฆ์ทานยังไม่ทันหมด ไปพินพานก่อนนี่ เดี๋ยวไปด่านช้างก่อนครับ เดี๋ยวมาว่าต่อ เอ่าพี่ พีทีโอมาต่อครับ วันนี้อาจจะแวะวัด แม่ชี ก.ม. ๘ ครับ
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ rungdao

    แต่คำว่าวาสนาบารมีมันสร้างกันได้ เลยไม่ขอยอมแพ้ ปั่นเอาเองก็ได้เนาะ

    ว่าถึงเรื่องสังขาร มันสอนเรานะคะคุณลุง มันเตือนเราด้วย ถ้ามันจะหมดหน้าที่วันไหน เราก็พร้อมที่จะสละมัน ทิ้งมันไว้ อะไรก็ไม่ต้องคิด ไม่มีทั้งเราและเขา หรือ(ลูก-เมีย-เงิน ฯลฯ) ของเรา ของเขา อันนี้ก็อ่านของหลวงพ่อที่สอนให้เราฝึกก่อนนอน แล้วคิดถึงพระนิพพานเข้าไว้ มุ่งตรงไปที่เดียวเป็นอารมณ์ ...






    :cool:คำว่าบารมี มันต้องสร้างเอง ใครก็มาสร้างให้ไม่ได้หรอกนะ พระพุทธองค์ก็ดี หลวงพ่อก็ตาม ท่านได้แต่แนะนำเรา สอนเรา เราไม่ทำ บารมีมันจะเกิด ตรงไหนล่ะ เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจหรอก ว่าบารมีเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าบำเพ็ญอย่างไร พระสาวกทำอย่างไร ไม่เข้าใจเลย แต่ใจมันฟุ้ง อยู่หลายปี ตอนเป็นเด็กๆ อยากเป็นพระพุทธเจ้า เหาะได้ไปทั่วโลก อยากมีเมียประเทศ ละ ๑ คน คิดไว้ ต้องสวยๆนะ คิดอยู่หลายปีทีเดียว มันฟุ้ง บ้าบอคอแตก อะไรของมันขนาดนั้น เพ้อเจ้อ ไปเรื่อย ถ้าเขียนนิยาย ก็คืน เป็น สิบๆเรื่องนะ จนมาเจอ อ่านประวัติ หลวงปู่ปาน ที่หลวงพ่อเราท่านเขียนไว้ พ.ศ.๑๘ อ่าน ๒-๓ รอบวางไม่ลง เล่มเดียว อ่าน ๒-๓ วันจบ พ.ศ. ๑๙ บวชเณร มากราบหลวง ปู่หลวงพ่อต่างๆ และมาหาหลวงพ่อ ไม่นึกหรอกนะ ว่าจะมาเขียนในพลังจิต และ มาคุยกับพี่ พีทีโอ พี่ๆน้องๆลูกๆหลานๆแหละ อย่างที่เคยเล่ามาในกระทู้ต่างๆนั่นแหละ


    บารมีแปลว่า กำลังใจนั่นแหละ ตามหลวงพ่อพูด คนบอกว่าไม่มีบารมี มันส้างกันได้ ขน ขยัน กันได้ พูดแต่ปาก แล้วไม่ทำ บารมีที่ไหน มันจะเกิด ผมน่ะ บุญทุกอ่างเมื่อก่อน ไหนๆก็พูดกันมาแล้ว ก็ขอพูดต่อไป ผมทำไปทุกอย่างแหละ ทั้งใช้กำลังกายนี้ ทำมานานพอดู ในชาตินี้ ก็หลายวัดนะ ทาสี ใช้แรงงาน โบสถ วิหาร ทาสีพระ ทาสีศาลา อย่างวัด ก.ม.๘ นี่ อ.ด่านช้าง ศาลา กุฏิ วิหาร พระ ทาสี ไม่ได้ทาสีก็ เมรุเผาผีนี่ ช่วยหาเงิน ไม่ได้ทาสี ของเก่านะ ช่วยทำมาหมด ไม่เคยเอาเงินนะ ขอกินข้าวเท่านั้น มีเงินก็ร่วมอีกนะ ที่พูดนี่ เราทำได้แล้วถึงพูด ถ้าทำไม่ได้จะไม่พูด และพูดไม่ออกอายเขา กฐินผ้าป่า เคยไปคณะต่างๆในต่างจังหวัด เหนือ กลาง ออก ตก แต่ใต้ ไม่เคยไปเลย จังหวัดประจวบ เคยอธิฐาน ไปแต่ไม่ได้ไป กระทั่งแก่นี่ ก็ยังไม่เคยได้ไปแต่ฝากเขาไปทำบุย เคยนำบุญไปบอก เอาของไปแจกเด็กๆ ชาวบ้านชาวเขา หลายที่ ตุ่มน้ำ แท๊งน้ำ ปิ่นโต ของแห้ง เสื้อผ้า ขนมเด็กๆของใช้ ถึงจะไม่มาก แต่ก็ได้ทำแล้ว


    จนเกิดเป็นบารมี มีกำลัง อธิษฐาน ให้ฝนตกได้ เกินกว่า ๑๐ ครั้งแล้ว ในชาตินี้ แล้วถือสิล ๘ ชดเชยให้ท่านทั้งหลายทุกๆพระองค์ คือ สร้างบารมี จนเกิดเป็นเดชเดชะ ด้วยอำนาจบุญ ที่เราทำ จึงได้เกิด ได้ พร้อมด้วยอำของพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ พระปัจเจกะนุภาพ พระสังฆานุภาพ พรหมานุภาพ เทวานุภาพ คุณของบิดามารดา คูรอุปฌาชย์อาจารย์ทั้งหลาย ท่านช่วยเกิดพลานุภาพ ฉนั้น เราต้องมีกำลังใจ พอสมควร แก่บุญที่ทำ ถ้าไม่มีไม่เกิด มันก็เป็นไป ไม่ได้ไช่ไหม และปีที่ไป ธุดงค์กับหลวงพี่ อ.เล็ก วัดท่าขนุน เดือนกูมภาพัน ฝนตก ต้อนรับ ขนาดว่า ๑๓ วันครึ่ง หรือ ๑๔ วันครึ่งนี่แหละ จริงๆ ๒ เดือนนี่ เป็นหน้าแล้งนะ แล้วไม่ใช่ในป่า มันจะร้อนจนตับแลบ กับออกจากห้วยขาแข้ง สิ้นเดือน มี.ค. ๓๖ และก่อนจะไปธุดงค์กับพระ อ.เล็ก ผมได้ ไปอยู่กับพระหลายองค์ ในป่าที่ต่างๆไปไม่ไกลนัก หลายที่หลายหน เจอ รู้ในสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ในถ้ำ บางจุดบางที่ ทั้งๆตัวเอง ยังกลัวตายทุกอย่าง แต่ก็ต้องทำใจ สู้ กลัวๆกล้าๆ เมื่อกลัวได้ ก็ต้องทำใจ ให้กลัวน้อยลง ปรง ให้เราหนี ไปอยู่ ในถ้ำ หุบ เหว บนยอดเขา บนต้นไม้ บ้านเรือน อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเราตาย มันก้คงหนีไม่พ้นหรอกนั่นแหละ มันจะเบาลงในการกลัวตายกลัวสัตว์ กัดกินหรือทำร้าย เอา หรือกลัวผี ทั้งๆก็โดนผี หลายประเภท กระทืบอก บีบคอ จับมัดมือไพร่หลัง ทำตัวให้หมุน มันก็ยังกลัวผีอยู่นะ สำหรับผมนะครับ


    ถ้าเราเอาจริง บารมีมันก็เกิด ตามภาวะปัจจัย ที่เราทำถึงทำได้ ถ้าเกินกำลังของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ หรอกนะ ต้องพึ่ง บารมีของพระท่านช่วย ในกรณี เหตุ สำคัที่เจอ ในกรณี อุบัติเหตุ เห้นพระไม่เห็น ไม่สนแล้ว ต้องเรียก หลวงปู่หลวงพ่อ พระช่วยไว้ก่อน บางครั้งไม่ทันนึกด้วยซ้ำไป อุบัติเหตุเกิดแล้ว ช้าไป ไม่รู้กี่ก้าว นี่เรื่องจริงที่ประสบมาครับ การทำบุยนี่ ผมใช้กำลังทำมานับเป้นสิบๆปี หนักด้วย บางครั้งน้อยใจ กำลังตอนนั้นะ ทำไมเรา แม้แต่ ทำบุญ เราต้องใช้กำลังหนักๆทั้งนั้นเลย ทั้งแรงกายแรงใจ โถมเข้าไปไม่ย่อท้อ แต่มันมี วัน ท้อและถอย อย่างว่าแหละ ครับผมประเภท ไม่เหมือนชาวบ้านเขา มีทั้งพระฆราวาส ส่วนใหญ่ บอก อย่าท้อนะ อย่าถอยนะ ท้อได้อย่าถอย มันจริงหรือเปล่าไม่รู้นะ ที่พูดบอกกันมานั่นน่ะ ผมว่าไม่จริงนะ ผมว่า มันทำได้กันกี่คน ผมทำมาขนาดนี้ ยังท้อถอยตลอด ผมน่ะเบื่อไม่อยากทำงาน ท้อ ถอยมาตั้งหลัก มีกำลัง ก้ลุก ขึ้น ทำไหม่ เวลาเราป่วย มันก็ทำงานไม่ได้แล้ว ไปไม่ไหว ก็ต้องหยุดทำ หยุดกี่วันก็ว่าไป หายป่วยไปทำไหม่ บางทีเบื่องานนี้ ท้อถอย ผมก้เปลี่ยนงานใหม่ หาเงิน หางานที่มันดีกว่า งานนี้ จะทำสวนไร่นา เลี้ยงสัตว์ ต่างๆ ถ้าไม่ท้อถอย ก็ทำมันอย่างเดียว ไม่ต้องเปลี่ยนใช่ไหม ทำไม ชาวไร่ชานา ต้องเปลี่ยนการปลูก ผัก ปลูก ผลไม้ เปลี่ยนสายพัน ก้เพาะเบื่อ ท้อถอย เปลี่ยนสายพันที่มันดีๆ ก็จะได้ ราคาดีๆ ได้ ผล ต่อสู้ทนทาน กับโรคภัยต่างๆได้


    เวลาผมทำสมาธิกรรมฐาน ทำไม่มันทั้งเบื่อทั้ง ถอย ขี้เกียจ บางทีมันต้องอาสัยปัจจัย หลายๆอย่างนะ ครับ กำลังกายไม่ดี ทำสมาธิได้ บางวัน อยากทำไม่อยากเลิก เพราะอะไร ก็เพราะกำลังกายใจ ของเรายังไม่มีอำนาจ ต่อสู้กับข้าสึก ได้เพียงพอ อ่อนแอ ทั้งกำลังกายใจ ไม่เอาแล้วเลิก ไม่ทำไม่เทิมแล้วนี่ เห็นไหม ถ้ามันรบชนะ กันหมด คนที่ปฏิบัติธรรมน่ะ ผมว่ามันมีพระอรหันต์เต็มเมืองแล้ว น่ะเอาแค่ ศิล๕ เนี่ย คนทั้งโลก มีเกือบหมื่นล้านคน คนที่รัก สงบ ไม่ต้องครบหรอก สิล ๕ น่ะ เอาสัก ๒-๓ข้อก็ได้ ให้มันมั่นคงจริงๆ ตามที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านพูดน่ะ มันมีเท่าไหร่เชียว ถ้ามีสักครึ่งโลก นี่ ผมก็ว่า อยู่ด้วยกันมีความสุขแล้วนะ นี่ จริงไหม ก็มีคนเขาพูดกันเยอะแยะ ทั้งในพลังจิตเรานี่แหละ ไม่ต้องไปที่อื่นแล้ว ท้อได้ อย่าถอยนะ บางคน บอก อย่าท้ออย่าถอย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าที่พูด ทำได้ไหม และเข้าใจกันหรือเปล่า ที่พูดออกมากันนั่นน่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2013
  4. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    มาแล้วค่าา .. เอ ทำไมหายกันไปไหนหมดเนี่ย

    ก่อนอื่นเอาบุญมาผากค่ะ เมื่อวานส่งเงินไปทำบุญ ๔ รายการ หนึ่งในนั้นเป็นวัดถ้ำเขากะจีด้วยค่ะ ขอบคุณคุณลุงบุญอีกครั้งนะคะ คราวหน้ามีอะไรดีๆ ก็บอกกันมั่งนะคะ ทำตามกำลังหรือให้ร่วมอนุโมทนาบุญก็ได้ค่ะ

    หลวงตาม้าท่านว่า สิ่งที่ควรต้องทำก็มีอะไรบ้างล่ะ

    อ่อนน้อมถ่อมตน ...
    สวดมนต์...
    แผ่เมตตา...
    โมทนาบุญ...

    หลวงตาท่านว่า เห็นใครทำดีที่เป็นบุญเป็นกุศลให้อนุโมทนาไปเลย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย

    ที่สำคัญต้องทำอารมณ์ให้ดีๆ เป็นการบันทึกบุญ ถ้าอารมณ์ไม่ดี บันทึกบุญไม่ได้ ว่าแต่จะทำยังไงให้อารมณ์ดีทั้งวันและทุกวัน นั่นแหละประเด็นล่ะ ...


    ฟังๆดูเหมือนการทรงอารณ์ฌาณยังไงก็ไม่รู้นะคะ (ทั้งๆที่ดิฉันก็ยังไม่ได้ฌาณใดๆเลย แหะๆ)
     
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:อนุโทนาสาธุครับทุกๆบุญที่คุณทำ นั่นนะซี หายไหนกันหมด ไม่มีใครมาตอบ เจ้าของกระทู้ ก็หายเงียบเลย หรือ ไปไหนกับนางแก้ว คู่ทุก คู่ยากกันนะ หรือพาไปหาอีหนูลองๆ ลงไป แหมอิจฉาจังเลย เอ่า เรื่องของท่าน มันเป็นสิ่งที่ ท่านพี่ ต้องสั่งสม ของท่านก็ว่ากันไป อย่าไปขัดคอเขาใช่ไหม หลาน ของใครของมัน ต่างคน ต่างทำหน้าที่ ที่มีอยู่ ให้เจริยก้าวหน้าต่อไป ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนบุญของหนู ส่วนลุง ไปทำบุญ ร่วมกับแม่ชี ก.ม.๘ พื้น แม่ชีให้ช่างมาถู ขัดพื้น หน้าหลวงปู่ ทาสีเสร้จแล้ว เหลือแต่ช้างยังไม่เสร็จ หน้าตัก ๕ วา ๙ นิ้ว และเหลือหลังคายังไม่สร้าง


    เดี๋ยวไปดูรูปก๊อปปี้รูปมาได้หรือเปล่าถ้าได้เดี๋ยวนำของเก่ามาให้ชมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2013
  6. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณลุงคะ ที่ว่า "ท้อได้แต่อย่าถอย" มันคงเป็นการให้กำลังใจคนน่ะค่ะ ว่าเวลาที่มีอุปสรรคเข้ามาในชีวิต หรือแม้แต่ช่วงที่ตกต่ำสุดๆของชีวิตนั้น ขออย่าได้ถอยจากความดี อย่าได้ถดถอยไปหาความเสื่อมต่างๆ ...

    เกิดเป็นคนไม่มีใครไม่เจออุปสรรค ไม่มีใครเกิดมาสบายอย่างเดียว ในโลกใบนี้นั้น .. เมื่อก่อน ดิฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ ยังไม่เข้ามาสายนี้ ความชั่วนั้นสุดๆ เกินบรรยาย มหาที่วัดที่ดิฉันไปบ่อยๆนั้นท่านว่า ดิฉันนั้นมามืด ไปสว่าง
    ไอ้ที่ว่ามามืดนั้นท่านๆคงเข้าใจ ไอ้ที่ไปสว่างนั้น เพราะก็กลับใจค่ะ พอมาเจอตัวทุกข์ได้ ก็เลยตื่น ...

    การทำความดี บางทีมันท้อค่ะ แต่มันถอยไม่ได้นี่คะ บางครั้งหรือหลายๆครั้งดิฉันสวดมนต์ไปทั้งน้ำตา มันนองหน้าอาบแก้ม แต่ก็กลืนกินน้ำตาตัวเองค่ะ แต่เราก็ต้องยอมรับ เพราะหลายๆสิ่งมันคือการกระทำของเราเองที่มันย้อนคืนมาให้ เลยต้อง "กัดฟัน" ยอมรับมัน ... สำหรับคนอื่นๆ ดิฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะ

    ส่วนการสร้างบารมีนั้น บางคนเขาสร้างกันสบายๆค่ะ บางคนปฎิบัติบูชา นั่งสมาธิ ทำกรรมฐานได้เป็นวันๆ แต่ดิฉันมันก็แค่งูๆปลาๆค่ะ ฤทธิ์นั้นก็อยากได้เป็นธรรมดา ทั้งๆที่ไม่อยากเห็นผี แต่ก็อยากได้ทิพยจักษุญาณ เหอๆๆๆ ก็เลยต้องทำอย่างอื่นร่วมด้วย

    สำหรับคุรลุงนั้นดิฉันว่าการลงทั้งแรงกายและแรงใจแบบนั้น มันทำกันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะคะ ดิฉันว่ามันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจดีออก และขออนุโมทนาบุญกับคุณลุงในทุกๆบุญด้วยค่ะ

    เดี๋ยวดึกๆค่อยเข้ามาใหม่นะคะ ขอตัวไปสวดมนต์ฝากกระแสแผ่พลังก่อนนะคะ
     
  7. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... มาห้องนี้แล้วสบายใจดี ห้องอื่นมันเถียงกันให้วุ่นวาย น่าเบื่อ พ่อเจ้าประคุณแม่เจ้าประคุณทั้งหลายเก่งๆกันทุกคนเลย มาคุยกับพี่ pco_ดีกว่า สบายดีมั้ยพี่pco_ หายเงียบไปหลายวันเลย แหมซุ่มทำอะไรอยู่เหรอครับ หรือไม่สบายครับ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ รักษาสุขภาพกันทุกคนนะครับ
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ชีวิตของเราทุกๆคน มีกรรมเป็นตัวกำหนด เราทำสิ่งใดไว้ ไม่ช้าหรือเร็วเราก็ต้องได้รับผลกรรมนั้นตอบสนองคืนมา ... กว่าจะรู้ตัว ดิฉันก็เสียเวลาไปมากโข แต่ก็ยังดีที่ยังมีโอกาส ทุกอย่างมันมีเหตุและผลของมัน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คงไม่มีอย่างนี้ .. ดิฉันจำคำครูอยู่คำหนึ่ง จำจนถึงวันนี้ค่ะ ท่านว่า " อย่าหายใจทิ้งไปวันๆ " และมีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ป่วยเป็นไข้ทับฤดูเกือบตาย เข้าใจทันทีเลยค่ะว่า ตอนที่ยังไม่เป็นอะไรเราก็ยังมีโอกาสทำความดีได้ ลองไม่สบายขึ้นมา จะนั่งจะนอนจะลุก ก็โอดโอย ไม่ต้องถามว่าสวดมนต์ นั่งสมาธิได้ไหม แต่ก็เตรียมตัวตายไปแล้วค่ะวันนั้น ตัดใจจริงๆ แต่พลาดตรงที่ไม่ได้กำหนดว่าตายแล้วจะไปไหน มันคิดได้แค่นั้นว่าถ้าตายจริงก็จะไปล่ะ ไม่ห่วงใคร อะไรทั้งนั้น .. แต่ดันไม่กำหนดภาพพระ ไม่คิดถึงพระนิพพาน ไม่แม้แต่สวดภาวนา ..
    จู่ๆ หัวใจก็เต้นถี่รัว แล้วก็อ่อนลง .. แต่ก็รอดมาได้ ทำให้ได้ประสปการณ์ว่า เอาเข้าจริงเราก็ไม่ได้ทำเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ พอรอดมาได้ แม้บางวันจะขี้เกียจ เหนื่อย หรืออารมณ์ไม่ค่อยปรกติ อย่างน้อยๆในวันหนึ่งนี่ต้องสวดภาวนาในใจแล้วค่ะ หรือใช้จิตแว่บไปหาหลวงปู่หลวงตาสักนิดก็ยังดี
    มีอยู่อย่างหนึ่งที่เพิ่งคิดได้ค่ะ คือใช้จิต อนุโมทนาบุญกับทุกๆคนที่กระทำแล้วซึ่ง ทาน ศีล ภาวนา คือว่าบางวันที่เราไม่ได้ไปทำบุญทำทานที่ไหน บางวันก็นั่งอยู่หน้าหิ้งพระหรือหน้าบ้าน ยกมือขึ้นตั้งจิต กับผู้ที่ได้ทำความดีทั้งหลายอนุโมทนาบุญกับพวกเขาเหล่านั้น แม้แต่ใครที่เข้า-ออก ฌาณนิโรธสมาบัติ สำเร็จมรรคผลวิชาต่างๆในวันนั้นๆ ก็ตั้งจิตอนุโมทนาไปกับเขา ...
    ก็ในเมื่อทุกย่างสำเร็จด้วยใจ เลยได้แง่คิดนี้มา ใครจะลองเอาไปทำบ้างก้ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคะ

    แฮ่ๆๆ ช่วงนี้บ้าๆค่ะ ... ทำทุกอย่าง เลยขอเข้าเป็นสมาชิกพิเศษๆให้เข้ากับกระทู้นี้ด้วยคน สาธุ
     
  9. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ผมก็ป่วยเหมือนกัน เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายครับ เป็นมาสองสามปี ต้องฟอกเลือดอาทิตย์ละ ๓ ครั้ง อาทิตย์ อังคาร ศุกร์ ฟอกครั้งละ ๔ ชั่วโมงเต็มเลทนิดหน่อย ตอนแทงเข็มเบอร์ ๑๗ ดูดเลือดออกมาฟอกเจ็บสุดๆเลยครับ จำได้เลย วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔ ตอนสัก ๖ โมงเย็นผมปวดหัวมากฉีดมอร์ฟีนไปเข็มนึงก็ไม่หายปวด มันปวดจนเส้นเลือดฝอยในตาแตก สักพักผมก็ช็อกไปรู้สึกว่าอทิสมานกายตัวเองลุกขึ้นมานั่ง แต่ลุกออกจากร่างกายไม่ได้ ลุกนั่งสองครั้ง ก็นอนลงเหมือนเดิม ช่วงนั้นไม่มีความห่วงใยในร่างกายแม้แต่น้อยเลย เบื่อมันจริงๆ มันเจ็บมันปวดจริงๆ เห็นทุกข์ในการมีร่างกายมาก ถึงว่าท่านหลวงปู่พระราชพรหมยานท่านจึงเบื่อการมีร่างกาย ตอนนี้ก็ฟอกเลือดต่ออายุไปวันๆครับ ร่างกายอยากจะตายก็เชิญตาย อยากจะป่วยก็เชิญป่วย ไม่สนใจมันแล้ว พยายามทำบุญทุกอย่างเอาไว้ครับ ใครเขาจะว่าเราดีหรือว่าเราชั่วอย่างไรก็ช่างเขา ชาตินี้เราเอาตัวเราให้พ้นนรกก็พอ ชาตินี้มันป่วยชนิดวันเว้นวัน สงสัยชาติก่อนนี้ผมคงทำผิดศีลข้อปาณาติบาตและทรมานสัตว์ให้ได้รับความทุกข์ยากลำบากเอาไว้เยอะจัด ชาตินี้เขาจึงมาเอาคืนอย่างไม่มีคำว่าปราณีปราศัย จะไปทำบุญทำทานที่ไหนก็ลำบากเดินทางไกลไม่ค่อยได้ มันเหนื่อยง่ายเหลือเกินครับ เดินอยู่ดีๆก็หน้ามืด ชาตินี้ก็ใช้หนี้กรรมเขาให้มันเบาบางลง ชาติหน้าเดี๋ยวมาสร้างพระโพธิญาณต่อครับ ดูผมเป็นตัวอย่าง อย่าทำผิดศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ให้มากนัก มันจะป่วยแบบผม
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    :cool: เอ่าขออวดหน่อย นะ เรื่องการปวยนี่ของผมน่ะ คงไม่แพ้ท่านหรอกนะ แต่ว่า มันคนละแบบ มันทรมาน มา ก่อน พ.ศ.๒๐ อีกนะ แต่มันก็อยู่มาได้ ชนิด บางครั้ง คิดเป็นธรรมดดา ปวดตามเส้นเอ็น หัวยันตีน ตีนยันหัว ไม่มีส่วนไหนเลย ที่ไม่ปวด มากคือ มาอยู่จุดเดียว ที่หลังกับเอว ปวดทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าสนธนาธรรม หรือคุยกันเรื่องอื่นๆ จะเบาหรือลืมไปชั่วขณะครับ ถ้าเป็นมากๆ ก็เป็นไข้นเส้น หนักกว่าไข้รรมดา ถ้าใครเป็นคงเข้าใจนะครับ ชาติหน้า ของกรรมผมไม่รู้ไม่เห็น แต่ชาตินี้ เต็มๆเลยครับ เรื่องปานาติบาตนี่ ไม่น้อยหน้าใครเลย แต่ก็คงไม่น้อยหน้าใครเลย แต่คงสู้ ชาวประมงทะเลไม่ได้ดอกนะ เพราะเขามีอาชีพอย่างนั้น


    การป่วยนี่ ผมเป็นความดัน สูง ร้อน มันก็ขึ้น อะไรเกิดขึ้น มันเสือกเป็นก่อนล่วงหน้าอีก บางครั้งแม้ ใจสบาย แต่กายยังเป็นอยู่เลย ทนแทบไม่ไหว ใครพูดผิดหู ก็ยังขึ้น ขึ้นมากๆ ปวดหัวแทบละเบิด หน้ามืด ตาลาย หวิวๆ กายสั่น นานๆครั้ง ไอ้หมอที่ว่า ถ้าชำนานการ ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าหมอใหม่ มันไม่มีความรู้ ขี้เกียจพูดกับมัน มีแต่ความรู้ วางยาก็ไม่ได้เรื่อง ผมสอึกครึ่งเดือน ไม่หยุด ๆตอนหลับเท่านั้น ลิ้นไก่มีนเปิด มันไม่ปิด จึงสอึกไม่หมอนั้นไม่ต้องคุย มีอยู่หมอเดียว เขาเอาอยู่ แค่ชั่วโมงเดียว ไม่เล่ารายละเอียด ความดันต่ำ ก็ขึ้นสูง ร้านขายยา บางร้านบอก ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยก้รู้เสียว่ามี


    ยังเถียงเราอีกไอ้เราก็เลยนิ่งๆไว้ หมอทุกหมอหลายๆหมอบอก ให้ระวังเส้นเลือดฝอยแตก ไอ้เราก็ระวัง กลัวแบบลุงยกทรง เส้นเลือดฝอยแตก ท่านนอนหายใจแขม่นอยู่ ตก ๒ ปี ผู้ไปเยี่ยมบอก น่าเวทนามากๆเลย นอนไม่รู้สึกตัว ถ้าจน คงไม่มีปํญญาแน่เลย เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา เวลากินก๊ยวเตี๋ยว มันไปขวางคอ ทำให้หายใจเกือบหยุดเต้น เป็นอยู่เกือบปี แต่ไข้จับสั่นนี่ สมัยเด็ก ๆเป็นอยู่หลายปี ต้องนอนตากแดด รอให้มันหายเอง กินยาบางที่ไม่หาย บางทีก็ กินขี้ไก่แห้ง ตากแดด เอามาต้มกินกิน บ่อยๆไม่กินคงโดนตีแน่ๆ และเมื่อปี ๓๘ ไข้มาลาเลีย สลบไป เกือบวัน หมอด่านช้างบอก ให้ทำใจได้แล้ว ไม่มีใครรอด เลยที่เป็นแบบนี้นะ


    เรียกว่าหมอเอา สายยาง เสียบเข้าไปใน ทวารเบา ฟื้นขึ้นมา ๒-๓ทุ่ม มันปวดบอกไม่ถูก ให้หมอเอาออก หมอไม่ยอม ก็เลยบอกหมอ ให้เอาออกเถอะ มันทนไม่ไหวจริงๆ หมอต้องยอม และให้สัญญากันไว้ ถ้าเยี่ยวไม่ออก ให้เอาเสียบเข้าไปใหม่ ไอ้เราก็ดีใจหน่อย ไม่งั้น คงไม่ไหว แต่เวลาไปเบา ต้องเบ่งอยู่เกือบ บางครั้ง ๑๐ กว่านาทีเชียว และไม่บอกหมอ ทนเบ่งเอา มันดีกว่า เอาสายยางเสียบลำกล้อง ผมน่ะเจอหมอหลายประเภท อย่าให้เล่าเลย ที่เจอ ไปเล่าที่อื่นมาบ้างแล้วแลกเปี่ยน คนที่เขาบอก ว่าเขาทุกมากๆ ไอ้เราก็บอก เป็นเหมือนผมไหมเล่า เขาก็เลย บอกเอ่อมีเพื่อน คนอื่นที่ยิ่งกว่าเรา ยังมีอยู่


    เรื่องป่วยนี่ เล่าเป็นวันคงไม่จบหรอกครับ ท่านธรรมะสามี ตอนพวก ทำไสยศาสตร์ใส่ มีกระดูก อยู่ วาง ที่มือผมเต็มไปหมด มันกำลังเข้าไปในมือผม เต็มไปหมด ตัวผมเริ่ม เป็น ๒ กาย เหมือนในหนัง กายซ้อนกาย ไอ้ผมก็ท่อง สัมปจิตฉามิ แล้วว่าเร็วๆขึ้นไปตามลำดับ กระดูกนั้นเริ่ม หายไป จากมือเรา ไอ้กาย เริ่ม จะแยกออก มันก้เขยิบเข้าที่อย่างเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก เมื่อต้นปีนี้ ร่างกายมันเหมือนคล้าย เมาเบอๆ เรียวแรงไม่มี คล้านเหมือนจะตาย ก็เลย สวม พิจรณา ในด้านความตาย ว่าเอ่ อยู่ๆเป็นได้อย่าง ไร เมื่อไปคุยกับ อ.ณัฐวุฒิ ท่านบอกท่านก็เป็นลค้ายๆกัน ท่านบอกท่านโดนไสยศาสตรคนมันทำเอา อ.แดงครูแดงแกก็บอก แกก็เป็น มันเล่นหนัก เพราะแก เป็นคนทำ บายสี เครื่องบวงสรวง


    เรื่องโรคนี่ ไม่ใช่ เป็นเรื่องกฎของกรรมเก่า อย่างเดียวนะ แต่ในด้านไสยศาสตร์ก็ไม่เบา ๒ แรงบวก นะ บางที่ เรื่อง โรค เรื่องกรรม นี่ มีทั้งกรรมเก่า และกรรมใหม่ ๒ แรงบวก ใครเข้าใจอย่างไร ผมไม่รู้ แต่ผมเข้าใจ ของผมแบบนี้ครับ พูดมากไป คนที่เขาไม่รู้ และไม่เข้าใจ เหมือนพวกเรา มันจะยุ่งเหมือนกันนะ ท่านที่เข้ามาอ่าน บางเรื่องบางอย่างไม่เข้าใจ ก็ให้เป็น ว่าอ่านนิทานก้แล้วกันครับผม
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    rungdao
    สมาชิก

    ส่วนการสร้างบารมีนั้น บางคนเขาสร้างกันสบายๆค่ะ บางคนปฎิบัติบูชา นั่งสมาธิ ทำกรรมฐานได้เป็นวันๆ แต่ดิฉันมันก็แค่งูๆปลาๆค่ะ ฤทธิ์นั้นก็อยากได้เป็นธรรมดา ทั้งๆที่ไม่อยากเห็นผี แต่ก็อยากได้ทิพยจักษุญาณ เหอๆๆๆ ก็เลยต้องทำอย่างอื่นร่วมด้วย

    สำหรับคุรลุงนั้นดิฉันว่าการลงทั้งแรงกายและแรงใจแบบนั้น มันทำกันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะคะ ดิฉันว่ามันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจดีออก และขออนุโมทนาบุญกับคุณลุงในทุกๆบุญด้วยค่ะ

    เดี๋ยวดึกๆค่อยเข้ามาใหม่นะคะ ขอตัวไปสวดมนต์ฝากกระแสแผ่พลังก่อนนะคะ





    :cool:หนูนี่ไม่ธรรมดานะ ที่เข้าใจในหลักของธรรมะ คนที่ไม่มีปัญญา เขาพูดกันแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ และคนที่เขาปฏิบัติเหมือนเราก็ตาม ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ ก็พูดไม่เป็นหรอกนะ ถ้าคนเราไม่คุยกัน ก็จะไม่เห้น ปัญญา ซึ่งกันและกัน ถ้ามาวัดท่าซุงก็ แวะมาคุยได้ครับ มาเยี่ยมบ้างนะ เพราะว่า คนเรา แม้ในสายเดียวกัน เขายังพูดกับเราไม่รู้เรื่องเลย ต่อให้พุทธภูมิ ก็เหอะ บางท่านนะ ไม่เข้าใจเอาเลย แต่ก็ไม่ว่าหรอก คนเราทำมา ไม่เหมือนกัน และการสั่งสมมา ยังไม่เท่ากัน ถึงไม่เข้าใจ ในเรา เพราะอะไร เพราะโดนมา เราทำมาถึงรู้ ถ้าเราไม่ทำมา ก็คงไม่เข้าใจ เหมือนเขาเหล่านั้นนั่นแหละ แค่แต่งตัว เขาบางคน ยังไม่เข้าใจเลย เหมือนไม่ได้ใช้ปัญญา แถมบางคนเขายังรังเกียจ เอ่อ ก็เรายังเป็นอยู่ จะให้เข้าใจเราได้ไง เน๊าะ

    ก็เพราะเราไม่มีปัญญา มีญาณ หลบหลีก เหมือนคนอื่นเขา ถึงได้โดน เต้มๆ เจอแต่ของจริงดิบๆ ทนได้ก็ทนๆไม่ได้ ก็ให้มันตายไปเลย หรือย่อยยับไปเลย มาถึงตอนนี้ นึกภูมิใจไปได้ระดับหนึ่งเท่านนั้นครับ ที่เราเจอมา อ๋อ มันคือ ทำที่ทำให้เรา ได้รู้ได้เรียน ได้เห็น แห่ง โลก ของความเป็นจริง และคงหาคำตอบมาให้ตัวเอง ให้ได้ และเข้าใจถึงที่สุด ผมเคยถาม กับแม่ที่ผมเคารพ ท่านบอกว่า ก็เราบำเพ็ญมาแบบนี้ และทำแบบนี้มาทุกภพ ทุกชาติ ท่านบอกเรามีครูเยอะ ต้องเรียนรู้ มาสอนตัวเอง ไม่ได้ ไปสอนคนอื่นหรอก เอาไว้สอนตัวเองพอ ในเมื่อเราเข้าใจแบบนี้ เราต้องพยายามทำตัวเองให้ไหว้ตัวเองให้ได้ แล้วมันเข้าหลักของพ่อ ที่ท่านสอน จะช่วยเหลือ ผู้อื่น ให้ช่วยเหลือตัวเองก่อนให้ได้ก่อน จะสอนคนอื่น ต้องสอนผู้อื่น ต้องสอนตัวเองก่อน ให้เข้าใจก่อน เป็นข้อสำคัญที่สุดจริงๆ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ


    ผมเคยสนธนากับแม่ แม่ครับ คนที่บำเพ็ญ มาในด้าน วิริยาธิกะ บารมีมันเหมือนถอยนะ ท่านตอบ มันไม่ถอยหรอก มันเท่าเดิม ผมตอบ ท่านไปว่า ไม่ถอยก็เหมือนถอยแหละ ครับแม่ สมมุติ ปราถนาในด้าน วิริยาธิกะ มาได้ครึ่งหนึ่ง ได้ ๘ อสงไขย กำไลยแสนมหากัป สมุติอีก ถ้าพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ จะเปิดโลกได้ แค่ครั้งเดียว เท่านั้น มนุษย์ เทวดา พรหม นิพพาน สัตว์นรก เห็นกันหมด ในเมื่อเห็นกันหมด แม้ สัตว์ นรก มด ปลวก สัตว์ต่างๆ เห็นความอัศจรรย์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใครๆก็ทำความปราถนา เป็นพระพุทธเจ้า กันมากมาย เหลือคนานับ ถ้าในด้าน ปัญญา ธิกะ ทำความปราถนา กันมาก แล้วที่เขาทำ มาในด้านนี้ เขาก็เต็มก่อน เป็นพระพุทธเจ้าก่อน เราอีก ในด้าน ปัญญาธิกะ ๔ อสงไขยกำไลยแสนมหากัป ถ้าศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกำไลยอีกแสนมหาปกัป นี่เขาก็แซงเราอีกแล้ว เขาเต็มก่อนเราไง ได้ไปเป็นพระพุทธเจ้ากันอีกแล้ว ไม่แซงหน้าก้เหมือนแซง อีก เนี่ยแล้วคน ที่ ทำความปราถนาต่อ ๆไปอีก แล้วกว่าจะหมดไป ๑ อสงไขย พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ ไม่แน่ใจว่า ไม่รู้กี่แสน กี่ล้านๆพระองค์


    น่าคิดเหมือนกันน่ะครับ ท่านๆพี่ๆน้องๆ ลูกๆหลานๆ ก็เราทำกันมา ๑๖ อสงไขย กำไลยอีกแสนมหากัป ที่ท่านลา ก็โมทนาสาธุ ที่ไม่ลาก็อนุโมทนาสาธุ ๑ อสงไขย มันนับไม่ได้ คำนวนไม่ได้ เรียกว่า ๑ อสงไขยกัป ไม่ใช่นับ ว่า ๑-ร้อย พัน หมื่น แสน ล้านๆ กัป ไม่รู้ จนนับไม่ถ้วน ไม่มีวิธีนับนั่นแหละ เรียก ๑ อสงไขยกัป ไม่ขออธิบายละเอียกกว่านี้ ท่านพี่อธิบายหน่อยก็ดี หรือท่านธัมมะสามี อธิบายให้คนอื่นเขาเข้าใจหน่อย เพื่อเป็นวิทยาทานครับผม ขอต่อแถมอีกนิดครับ และผมถาม แม่ครับ พระโพธิสัตว์ ที่มีบารมเต็มแล้ว แบบพระศรี หลวงปู่ปาน หลวงปู่ทวด หรือท่านที่ จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ นั้นน่ะ สามารถ แบ่งกาย ไปเกิด ในที่ต่างๆ พร้อมกันหลายๆที่ได้หรือไม่ เหมือนพระเรวัตตะ ที่ท่านเป็นพระอรหันตื ๗ ขวบ ปฏิสัมภิทาญาณ ที่เนรมิต กุฎิ เป็นพันๆหลัง ทำป่าให้เป็นเมือง มีพระอยู่เป็นแสนๆพระองคื ตอนที่พระพุทธเจ้าจะไปโปรด เพื่อประกาศ ความเป็นพระอรหันต์ของท่านๆเป็นน้องชายของพระสารีบุตร และเลิศในด้านอะไรอีกจำไม่ได้ครับ


    แม่ท่านตอบผมมาว่า ท่านทำได้อยู่แล้ว เพราะบารมีของท่าน ที่บำเพ็ญมาในด้าน ของพระโพธิสัตวืเต็มแล้ว สามารถทำได้ครับ นี่ไม่ต้องเชื่อครับ ผมแค่นำมาให้เป็นข้อคิดเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  12. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ขอคุยแค่เรื่องนับเวลานะครับ เอากันแค่นับกัปป์ก็พอแล้ว ใช้หลักฐานทางธรณีวิทยา เพราะพระในพระไตรปิฎกใช้คำว่า “ แผ่นดินสูงขึ้น ” ตามที่ท่านหลวงปู่พระราชพรหมยานท่านเคยเล่าว่า ภัทรกัปป์นี้เริ่มต้นเมื่อ 20 ล้านปีที่แล้ว เมื่อ 12 ล้านปีก่อน พระพุทธะกกุสันโธบรมศาสดามาตรัสรู้ เมื่อ 8 ล้านที่ผ่านมา พระโกนาคมน์พุทธเจ้ามาตรัสรู้ เมื่อ 3 ล้านปีที่แล้ว พระพุทธะกัสสปพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เมื่อ 2601 ปีก่อน พระพุทธอังคีรสศากยมุนีมาตรัสรื้อขนสัตว์ไปพระนิพพานอยู่ ต่อไปในกาลข้างหน้าอีก 1 ล้านปีกว่าๆเกือบสองล้านพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัส ต่อจากพระศรีอาริย์จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสอีก ๕ พระองค์ ค่อยหมดภัทรกัปป์ ถ้าสมมุติว่าให้พระโพธิสัตว์เว้นห่างกันองค์ละ 6 ล้านปี ภัทรกัปป์นี้ก็น่าจะมีอายุประมาณ 50-60 ล้านปี
    เทียบคำว่า กัปป์ในบาลี กับ ยุคที่ตรวจทางธรณีวิทยา
    ยุคไทรแอสซิก (251.0 ถึง 199.6 ล้านปีมาแล้ว) = 1 กัปป์
    ยุคจูแรสซิก (199.6 ถึง 145.5 ล้านปีมาแล้ว) = 1 กัปป์
    ยุคครีเทเชียส (145.5 ถึง 65.5 ล้านปีมาแล้ว) = 1 กัปป์ เหล่านี้เป็นต้น​

    ..... แล้วท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ท่านบอกว่า คำนับอสงไขยในสมัยก่อน ปัจจุบันก็คือ จำนวน ล้าน ก็พออนุมานได้ว่า 1 กัปป์ จะมีอายุเวลาอยู่ระหว่าง 50 – 80 ล้านปีเป็นประมาณ 1 ล้าน กัปป์ หรือ 1 อสงไขยน่าจะมีอายุราวๆ = ห้าร้อยล้านล้าน ถึงแปดร้อยล้านล้านปี
    ..... อันนี้ถูกผิดผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่น่าจะใช่ เพราะคิดดูครับ แค่ร้อยปีเนี่ย ยังนานมากสำหรับเรา อายุคนมากที่สุดแค่ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ไม่เกินนี้ ทุก ๑๐๐ ปี อายุจะลดลง ๑ ปี ลองคิดดูว่าการเกิดของเราจะมากน้อยเพียงใด สมมุติเรามีอายุ แสนปี ๑กัปป์ เราจะเกิดประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ / ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ = 500 ชาติ ๑อสงไขยเราก็จะเกิด 500 X 1,000,000 = 500,000,000 ล้านชาติ โอยมากมายเอาการ นี่แค่สมมุติเอาอายุสูงสุดของมนุษย์นะครับ ถ้าอายุแบบคนปัจจุบันจะมากมายขนาดไหนครับ การเกิดเป็นทุกข์สมแท้ดังพระพุทธดำรัส ไม่แปลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เก็บเอาน้ำตาของคนๆนึงที่เกิดในวัฏฏะสงสารมารวมกัน จะมากมายมากกว่าน้ำในมหาสมุทร ผิดถูกจริงเท็จเป็นประการใด ผมขอน้อมรับไว้เพียงผู้เดียว ฯ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ไฟดับเลยหันมาพิมทางไอแพทร้อนทนไม่ไหวนี่ขนาดอยู่ขัางนอก. นะผิดถูกไม่ว่ากันอาจจำมาผผิดกันบ้างแต่ผมน่ะสงสัย. 1 หนึ่งอสงไขยกับครับ. ที่หลวงพ่อท่านอนุมานดังนี้ครับ. อายุ1กัปมีเมล็ดพันผักกาดอยู่ในถัง. กว้าง1โยชน์สูง 1 โยชน์100ปีของมนุษย์เท่ากับ. 1 วันของสวรรค์ชั้นดาวดึงเทวดาเอา. ออก1มาหนหนึ่งเม็ดจนกว่า. เมล็ดพันผักกาดหมดถังเรียกว่าอายุ. 1. กัปกัปหนึ่งนี้มันนัมันนับไม่รู้กี่. หมื่นล้านปีมนุษย์. ผมว่าที่ท่านว่ามา. มันถึงอายุ. 1 กัปหรือเปล่าไม่รู้นะและอุปมาอีกแบบ. ภูเขาสูง 1. โยชน์กว้าง 1. โยชน์. 100 ปีมนุษย์เทวดา เอาผ้ามาปัด หนึ่งครั้งจนกว่า ภูเขานั้นเตียนเท่าแผ่นดิน. เรียกว่า อายุ. ๑กัปท่านรองคูนเอาแล้วกัน. พระเทวทัต ตกอเวจีในมหานรก. 5.000 ปีมนุษย์เท่านั้นครับ. แค่อึดใจในอเวจี.


    1 อสงไขยนี่ท่านกว่าว่า. มันนับไม่ได้คำนวนไม่ได้. เรียกว่าอายุ 1 อสงไขยที่ท่านกว่าวมาันยังนับได้อยู่ครับ. แต่วันที่ท่านกว่าว่า. พระศรีอริยเมตรัยมาตรัสรู้นั้นผมอ่านอยู่ ถ้านับเดี๋ยวนี้ตงไม่ถึง ล้านปีแล้วครับ. ตอนที่ท่านกว่าวไว้. ล้านปีเศษๆครับผิดถูก ก็ คงนิดหน่อยครับ. และกัปนี้เริ่มต้นมาได้. ไม่ถึง. 30. ล้านปี. ผมจำได้ไม่ชัดนักน่าจะ 25 ล้านปีถึง. ไม่น่าจะเกิน. 28 ล้านปีนะครับ. ผมเคยอ่ายหลายเที่ยว. ไม่เป็นไร. จำผิดให้อภัยกันครับมันนานแล้ว. ผมความจำมันเสื่อม. แต่อย่างไหนถ้าจำหนักแน่นจะฟันธงเลยครับ. ท่าน
    องไต้นคว้ามาใหม่เพื่อให้ถูกต้องยิ่งขึ้นครับเดี๋ยว. คนเขาจะหาว่าลูกศิษย์หลวงพ่อ. นำคำสอนมาผิดเยอะครับผม. เอาให้มันผิดน้อยที่สุดครับผมคงความถูกต้องให้มากที่สุด. เท่าที่จะทำได้. ถ้าสิ่งใดผิด. ที่ผมทำไป โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โปรด. งดดอด โทษให้กระผมด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  14. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    สวัสดีครับ พี่บุญทรง คุณ ธัมมะสามี ..พี่ pco เเละเพื่อนๆ ทุกท่าน ..
    ผมเพิ่งเข้ามาอ่าน พบอาการป่วย ของ คุณ ธัมมสามี ...เเล้วรู้สึกเห็นใจ เเละขอเป็นกำลังใจนะครับ ...ผมมีประสบการณ์ตรงจาก คุณพ่อ ที่มีอาการป่วยเเบบ นี้

    ไตทำงาน ใด้ 20 เปอร์เซ็นต์ มาเป็นเวลาสิบเอ็ดปี ตรวจพบเมื่อ 2545 ...ผมตัดสินใจ รักษาเเบบเเผนปัจุบัณ อย่างเต็มที่ ...เเละ ใช้ สมุนไพร บางชนิด เเต่สกัดดวยวิธีการสมัยไหม่
    เมื่อตอนตรวจพบอาการ คนในครอบครัวคาดว่า คูณพ่อ จะใด้ฟอกเลือด ภายใน ปี 2546 เเต่ ณ ปัจุบัณ 2556 คุณ พ่อ อยู่เป็น ปรกติ เเละผลเลือด โดยเฉพาะ ค่า ครีเอตินีน ต่ำลงจนเกือบเป็น ปรกติ จากที่เคย พบเเพทย์ ทุกเดือนระยะหลัง ห่างเป็น 2 ถึงสามเดือนครั้ง

    หากคุณ ธัมมะสามี อ่านพบ เเล้วถ้าสนใจ เเจ้งมาที่ผมจะใด้ เเนะนำวิธีการ เป็น วิทยาทาน ครับ ไม่ต้องมีสินจ้างรางวัลใดๆ

    อีกอย่างคือ ผมทำบุญ เเบบพุทธภูมิ "วิริยาธิกะ พิเศษ " ที่ใด้ บำเพ็ญมา พร้อมทั้ง อาราธนา พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เเละคุณเเห่งท่านทั้งหลาย ในไตรโลกธาตุ อุทิศ ให้คุณพ่อ อยู่เสมอ

    เเละ ในการนี้ผม ก็ ขออาราธนา บารมี ในเเบบเดียวกัน เพื่อ ระงับ สลายอาการเจ็บป่วย ของคุณ " ธัมมะสามี " ให้ทุเลาเบาบาง ทั้ง อารการป่วย เเละ ปราศจาก ทุกขเวทนาใดๆ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  15. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... อ๋อพี่บุญทรงครับ การนับกัปป์ของนรก กับการนับกัปป์ของมนุษย์ต่างกันครับ ยมโลกียนรก ๑ วัน เท่ากับเวลาในเมืองมนุษย์ ๙ ล้านปี เป็นต้น สังขยาเนี่ยผมว่ามหา ๖ ประโยคอย่างหลวงตามหาบัวลูกศิษย์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระโพธิสัตว์ที่ลาช่วยองค์พระปัจจุบันไม่พลาดแน่นอน ท่านหลวงตาก็เป็นพระอริยเจ้า ญาณของท่านน่าจะแจ่มใสชัดเจนเชื่อถือได้ และท่านเป็นองเดียวที่กล้าพูดแบบไม่แคร์สื่อ ไม่กลัวพระอื่นคัดค้าน แล้วการนับการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ก็นับเฉพาะเวลาการเกิดในโลกมนุษย์เป็นคนและสัตว์ตั้งแต่นกกระจอกขึ้นมาถึงช้าง มันจะนานนักหนาขนาดใหน เอาแค่เก็บนิ้วก้อยไว้ชาติละนิ้ว จนครบ ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัปป์ ก็ถมอ่าวไทยให้เป็นภูเขาได้สบายๆ ถ้าปัญญาญาณของผมผิดไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ แต่ผมว่าท่านหลวงปู่ฤาษีท่านรู้เวลา ของกัปป์แน่นอน แต่มันไม่มีประโยชน์ในการเข้าพระนิพพาน ท่านจึงไม่กล่าวเอาไว้ให้ชัดเจนครับ ญาณระดับหลวงปู่พระราชพรหมยานผมว่าท่านรู้เวลากัปป์นี้แน่ๆ
     
  16. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    อีกเรื่องครับ เกี่ยวกับ "ยุคสมัยเเห่ง การตรัสรู้ เเห่งองค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้า ในกัปนี้ " ผมเคยให้ความเห็น ไว้ในอีกกระทู้หนึ่ง ผมขออนุญาต เลื่อนขึ้นมา ไว้เเถวบน เเละลองอ่านดูอีกครั้งนะครับ

    ผิดตก ประการใดจะใด้ ช่วยกัน พิจารณาครับ

    ( ท่าน "ธัมมะสามี" ครับ ผมใด้ตอบ คำเเนะนำ เป็นการส่วนตัว (ที่เคยใช้กับคุณพ่อ ผม ในการรักษาประคับประครอง อาการป่วยเเล้วนะครับ )
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    :cool:อ๋อไม่เป็นไรครับ ต้องขอโทษจริงๆ เพราะผมก็อ่านมาหลายเที่ยว คงจำผิดบ้าง แต่เรื่องอุปมากัปนี้ไม่ผิดแน่นอน ฟังมาหลายองคืครับ ไม่เถียงคะคานนะครับ แต่อยากจะให้ถูกมากที่สุด มีพวกเราเท่านั้น ที่จะ จำผิดกัน แต่ก้เป็นอันว่า รู้กันครับ คำสอนหลวงพ่อฤาษี มีตำรามากมาย ไม่สามารถ นำมากล่าวได้หมด ผมนำมากว่าวแค่เศษ ล่วงๆเท่านั้น และในโลกนี้ มีองค์เดียวเท่านั้น ที่เขียนตำรา ทุกรูปแบบ ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้เรียนรู้ ตั้งแต่สูงถึง ต่ำ ทั้งทางโลกและทางธรรมครับ ผมก็อ่านผ่านมานานแล้ว จึงจำผิดและถูก หลวงตามหาบัวผมก็เคยอ่านประวัติท่าน


    ทำบุญ ช่วยชาติก็เคยทำ จะสายไหน ก้เหมือนกันหมด แต่ถ้าท่านไม่มีหน้าที่ ท่านไม่ทำ ตรงนี้อยู่ที่การสั่งสมมานะครับ ๑๖ อสงขัยนี่มีสายท่านเท่านั้น ในยุคปัจจุบัน ที่ได้กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัจฐาน ๔ มีอยู่ ๒ องค์ ที่ท่านเคยกว่าวไว้ หลวงปู่ปาน กับท่านเท่านั้นครับ หลวงมั่น ผมก็เคารพที่สุดองค์หนึ่งครับ แต่จะแยกแยะ ว่า องค์ไหน ค้านคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม ถ้าค้านก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถ้าเข้าถึงธรรม จะเป็นธรรมอันเดียวกันหมด ไม่มีฝักฝ่ายไหนอีก ถ้าผมจำผิด ขออภัยนะ ผมก็ยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ สิ่งที่เรา ว่าถูก อาจผิดได้ สิ่งว่าผิด อาจถูกได้ พทธภูมิ ต้องเรียนรู้เอง แต่ก็ต้องเรียนรู้ จากพระโพธิสัตว์ ทุกรุ่น ที่สูงๆ ขึ้นไป


    และศึกษากับพระอรหันต์ ด้วยทุกรูปแบบ และใช้ปัญญามาคำนวนศึกษาอีกที พุทธภูมิ ไม่เชื่ออะไรใครง่ายๆ อยู่แล้ว ต้องชนทุกรูปแบบ ผมไม่มีปัญญาญาณอะไร ชนแต่ของดิบๆครับ และศึกษา ธรรมะ ของหลวงพ่อมากที่สุด องค์อื่น ก็ศึกษา แต่มันคอยลืม แต่มันก็อดมีทิฏฐิไม่ได้ครับ พอดีมีพระมาหาเดี๋ยวเข้ามาใหม่ครับขอบคุณครับ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool: ผมก็เคยไปตอบ หลายกระทู้แล้วครับ คุณพงค์ภูพาน แต่มันคอยจะลืมอยู่เรื่อยๆครับ เมื่อกี้ พระมาหา ก็เลยถามเรื่องกัป ท่านก็พูดคล้ายๆผมบอกนั่นแหละ ท่านบอก บางคน ไปพูด ไม่เหมือนกัน เป็นธรรมดา บางที กัปบ้าง กัลบ้างก็ว่ากันไป จริงๆ ก็อยากจะให้มันถูกมากที่สุดครับ เอาว่าเรา มาสร้างบารมีของเรา ไปเรื่อยๆ ก้แล้ว มีอะไร ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง หรือยังไม่ครบสูตร ก็ช่วยกันได้ อยู่แล้ว ทำให้มันถูก ยิ่งๆขึ้นไป มันไม่มีอะไรถูกทั้งหมด และไม่มีอะไร ผิดทั้งหมด ใครรู้แค่ไหน มันก็พูดได้แค่นั้นครับ ไม่ว่ากัน ความรู้ มันตามกันกันทันได้ แต่การสั่งสมอมรมมา ได้แค่ไหน แล้ว แต่ของใครของมันครับ



    การเรียนรู้ของครูบาอาจารย์ เราควร จรรโรงไว้ ให้ถูกต้องมากที่สุด เพราะ ทุกๆพระองค์ ได้เอาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสั่งสอน ตัวท่านเอง จนบรรลุธรรม แล้วเอาธรรมที่ได้ มาสั่งสอน พุทธบริษัท ทั้งหลาย ให้ได้ประโยชน์ มากที่สุด พระอรหันต์ ทั้ง ๔ แบบ มีความ สามารถ ไม่ เท่ากันได้ และปฏิสัมภิทาญาณ คุมทั้ง สุกขวิปัสโก คุมวิชชาสาม คุมอภิญญหก และระดับ ปฏิสัมภิทาญาณ ยังมีความรู้ ไม่เสมอกัน แต่ท่านเคารพในธรรม ซึ่งกันและกันครับ ให้เกียจกันเสมอๆ แล้วยุคนี้ เป็นหน้าที่ ของพระโพธิสัตว์ ที่ลามาช่วยพระศาสนา ให้เจริญ รุ่งเรื่องอีกครั้ง และพระศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง


    เมื่อปี ๒๘ ไม่เกิน ๓๐ ครูบาอาจารย์ ท่านกว่าวว่า ตอนนี้พระศาสนากำลังเจริญ รุ่งเรือง โคนคอดอกบัว เป็นทองถึง ใกล้ ไปถึงคอบัวตอนนี้ ผ่านมา๒๐ กว่าปี น่าจะคุม ดอก บัวแล้ว แต่เต็มหรือยังก็ไม่ทราบได้ ท่านได้กว่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัส ว่า ต่อไปนี้ จะมีพระอริยเจ้า มีพระอรหันต์ มาก เหมือน พระพุทธองค์ ทรงมีชีวิตอยู่ ครับ พระศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง จะไปเริ่ม เสื่อม ก็โน่นแหละ พ.ศ. ๔,๕๐๐ จะค่อยๆเริ่มเสื่อมลงไปตามกาล ตามเวลา พระโพธิสัตว์ ก็ทยอยลากันไปเรื่อยๆ ผมว่าโน่นแหละ สิ้นพระศาสนา เพราะผมได้ยิน ในงานกฐิน วัดขุยโพธิ อ.เดิมบางนางบวช พวกเขาอธิษฐาน


    พวกใน พลเอก อะไร ผมจำชื่อไม่ได้ เขากว่าว ต่อหน้ามหาชนคนเป็นพัน จำเพราะคณะนี้นะ ผมได้ยินว่าเขาอธิฐาน พวกเขาจะมาเกิด ค้ำชู พระศาสนา ให้ครบ ๕.๐๐๐ ปี ในตอน ที่จะครบ ห้าพันปี พระบรมสารีริกธาตุ จะเสด็จรวมตัว เป็นพระพุทธองค์ เทศ ๗ วัน ๗ คืน ขอให้ได้ สำเร็จมรรคผล ตอนนั้น แล้วไปนิพพาน นี่การปราถนาแต่ละกลุ่ม จะไม่เหมือนกันครับ พระโพธิสัตว์ พระองค์ไหน มีกำลังมาก ก็ช่วยได้มาก มีกำลังน้อยกว่า ก็ช่วยได้น้อยกว่าครับ เหมือนในยุค ปัจจุบัน องค์ไหน ควรทำอย่างไร ท่านรู้หน้าที่ของท่าน ต่างองค์ ต่างทำหน้าที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้วครับ


    ผมย้ำเสมอในหลายกระทู้ ไม่ได้อวดนะ ผมเจอพระโพธิสัตว์ ทั้ง ผู้หญิงผู้ชาย พระ แม้เกิดเป็นหมา หลวงพ่อ ท่านสิงดอก เกิกอีก ๓ ชาติบารมีเต็ม ท่านเจ้าโทน และท่านที่ อยู่ถ้ำด้วยกัน เจอมาหลายรูปแบบ ทั้งพระโพธสัตว์ ที่เป็นพระพระอริยเจ้า หลายระดับ ก็หลายสิบพระองค์ แม้แต่ปู่บุญเหลือ เป็นฆราวาส หนองคายจะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ อาศัยหาประสบการณ์ จากแต่ละองค์ นิดๆหน่อย ๆ ท่านเหล่านั้น ได้สงเคราะ ตามเหตุตามปัยจัย ที่เราไปกราบท่านครับ ผมส่วนใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็น ไปเจอของจริง มาแทบทั้งสิ้น เดี๋ยว นี้ มันคิดว่า คอยไปดู บ้านคนอื่น บ้านตัวเองไม่สร้าง เหมือนหลวงพ่อฟัก พูด กับ พระ อ.หลวงพี่วิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน เพชรบูรณ์ ขออ้างอิง คุณพระศรีรัตนตรัย ทุกพระองค์ พระปัจเจกะพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พรอริยสงทั้งหลาย พรหม เทวดา พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย บิดามารดา ครูอปฌารย์อาจารย์ ก็ขอให้ท่านธัมมะสามี ท่าน หาทาง รักษาให้หายป่วย โดยเร็ววัน เข้าถึง พระโพธิญาณ ตามวาสนาบารมีของท่าน จนได้บรรลุเป้าหมาย อันสำคัญ ถ้าไม่ลา ก็จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ โดยพลัน สาธุ สาธุ สาธุ สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  19. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ขอเอาใจช่วยนะคะ ขอให้มีเวลาสร้างคุณความดีและบารมีได้นานๆค่ะ
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ขอโทษนะครับ มันฟุ้ง ตื่นมา ตี ๓ มันคิดแต่เรื่องนี้ เรื่องกัป และอสงไขย เลยต้องมาขอตอบให้คลายลง ใจจะได้ไม่ทุกข์ หรือใจผมมันไม่ยอมลงให้กันแน่ครับ ถึงฟุ้งขนาดนี้นี่ มันคิดอย่างเดียว ต้องมาตอบให้ พวกท่านๆทั้งหลาย ได้ พอเข้าใจกันบ้าง ไม่งั้นหัว มันปวด ขออุปมาตาชั่งก่อนนะครับ ที่เรียนเป็นนักเรียน ๒ คืบ เป็น ๑ ศอก ๔ ศอก เป็น ๑ วา ๒๐ วา เป็น ๑ เส้น ๒๐ เส้น เป็น ๑ กิโลเมตร ๔๐๐ เส้น เป็น ๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร นี่ผมเมื่อก่อนเขาเรียนกันแบบนี้ครับ ๒๕ สตาง เป็น ๑ สลึง ๔ สลึง เป็น ๑ บาท ๒๐ บาทเป็น ๑ ตำลึง ๒๐ ตำลึง เป็น ๑ ชั่ง ๖๐ ชั่ง เป็น ๑ หาบ ถ้าคนรุ่นเก่าๆ คงได้เรียนแน่นอนครับ


    ตัวอย่างในสมัยก่อนโน้น เขานับ -๑ -หนึ่ง ๑๐-สิบ-- ๑๐๐-หนึ่งร้อย- ๑,๐๐๐-หนึ่งพัน-๑๐,๐๐๐-หนึ่งหมื่น-๑๐๐,๐๐๐-หนึ่งแสน-๑,๐๐๐,๐๐๐-หนึ่งล้าน-๑๐,๐๐๐,๐๐๐-หนึ่งโกฏิ เมื่อก่อนเขานับแบบนี้ครับ เลิกเอาเมื่อในสมัยรัฐบาลไหนก็ไม่ทราบ จำไม่ได้ เขาบอกว่า คำว่านับโกฏิ มันเหมือน โกฏิผี เขาจึงเลิกใช้กัน ใช้คำเรียก แบบนี้ เมื่อนับถึงล้าน ๑ ล้าน ๑๐ ล้าน ๑๐๐ ล้าน ๑,๐๐๐ ล้าน ๑๐,๐๐๐ล้าน ๑๐๐,๐๐๐ ล้าน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ล้าน ล้าน นี่เขาเลิกใช้การนับโกฏิผี แต่ขอย้อน ไปอีก เมื่อดึกดำบรรพ ขอกว่าวชื่อ ครูบาอาจารย์หน่อย ท่านพ่อฤาษี หน่อย ท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้ เขานับ หนึ่งพันล้าน เป็น ๑ โกฏิเคยได้ยินกันไหม ไม่ใช่ความรู้ ผม จึงต้องเอ่ย ท่านหน่อย เมื่อก่อน เขาสอนบวกลูบคูณหารไว้ดีแล้ว แต่คนรุ่นใหม่ มาเปลี่ยนหมด จึงทำให้นักเรียนเข้าใจยากขึ้น เด็กเขาเอามาให้ผมสอน ผมบอก สอนไม่ได้ ไม่เป็น ก็พ่อเล่นเปลี่ยนแปลงหมด เขาทำไว้ดีแล้ว ทำให้คนรุ่นเก่า และใหม่อย่างผม ทำไม่เป็น แต่เด็ก เดี๋ยวนี้ มันจบม.๓ มันเสือก อ่านหนังสือไทย ไม่ค่อยออก ใช้เวลา อ่านเขียนเรียนเป็นสิบปี เมื่อก่อนแค่ ๔ ปี ยุคพ่อผม ป.๔ เป็นครู เป็นนายร้อย ก็ต้องยอมรับแหละนะ เพราะยุคมันเปลี่ยนไปหมดครับ


    และขอย้อนมาเรื่องกัป นิดหนึ่งครับ ผมจะอุปมาอุปมัย ไม่ให้ละเอียดนัก เอาแค่พอรู้ เพราะไม่มีเวลา ถึงเพียงนั้นนะ ก็คงต้องให้ พวกพุทธภูมินั่นแหละ เรียนรู้ให้จบ เพราะมันหลีกไม่ได้ อยู่แล้ว ทั้งทึษดี และปฏิบัติ ต้องครบสูตร ไม่งั้น ความปราถนา ของพวกท่าน ไปไม่ถึงหรอก เพราะพวกท่านต้องไปเป็นครูเขา จำเป็นต้องเรียนรู้หมด ทุกวิชาทุกแขนง ผมเรียนมาเท่าที่ผมบอกได้ เท่าที่ทำมา จึงพอรู้งูๆปลาๆไง ผมคุยได้ทุกรูปแบบ มันจะไม่ละเอียด เท่านั้นเอง เห็นผี ก็งูๆปลาๆ เห็นเทวดา หรือพรหม ก็งูๆปลาๆ เห็นนิพพานก็งูๆปลา มันรู้ยังไม่จริง แค่สัมผัสนิดๆเอง แต่คุยได้ อวดกับเขาบ้าง ถ้าเป็นผู้รู้จริง มันต้องต้องได้ ทรงอารมย์ ตลอด เป็นปรกติ อัตโนมัต ไม่ว่าขั้นใด แต่ผม ประเภท งูๆปลาๆ ถึงได้ตอบแบบนี้ ยังเป็นผู้ศึกษา อยู่ โดนมารหรอกจนแทบเป็นบ้า ว่า ผมเอง จบกิจ ในพระพุทธศาสนา มาแล้วได้หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านรักษาให้ และอีกอย่าง ของจริง กับของปลอม มันเดินคู่ขนานกัน จึงแยกยากมากๆครับ ต้องใช้ปัญญา ขั้นสูง จึงแยกออกได้


    การ นับอายุ ของเทดา แต่ละชั้น มันก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น เทวดาชั้นจตุมหาราชิกา ๕๐ ปีของเรา ๑ วันของท่าน ดาวดึง ๑๐๐ ปีของเรา เท่าน ๑ วันของท่าน ชั้นยามา ๒๐๐ ปีของเรา เท่า ๑ วันของท่าน ชั้นดุสิต ๔๐๐ ปี ของเราเท่า ๑ วันของท่าน ชั้นนิมมานรดี ๘๐๐ ปี ของเรา เท่า ๑ วันของท่าน ชั้น ปรนิมมานรดี อาจพิมผิดบ้างนะ ๑,๖๐๐ ปีของเรา เท่า ๑ วันของท่าน เอาแค่นี้ พอ แต่ว่าชั้นพรหม สูงๆขึ้นไป จนอายุ เป็นหมื่นๆกัป เลยนะครับ ว่าตามตำราครูบาอาจารย์ครับ ที่ท่านเอามาในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติ ของท่าน ฉนั้น วันเดือนปี ก็นับแบบเรา แต่ ในแต่ละชั้น อายุก็ว่ากันไป ตามขั้น ตามชั้นครับ และไม่ได้ ร่ายละเอียด อายุแต่ละชั้น มีอายุสูงสุดเท่าใด พวกท่านๆ คง อ่านกันมาบ้างแล้ว ทั้งในพระไตรปิฏก หรือตำราครูบาอาจารย์ จริงๆ รู้ไปมาก ก็ยากนาน เหมือนหลวงปู่ ครูบาพรหมจัก วัดพระบาทตากผ้า ลำพูน ตอบหลวงพ่อครับ พระอริยเจ้าพูดอะไร ย่อมมีเหตุผลครับ ส่วนหลวงพ่อตอบ รู้น้อยๆ ก็พลอยลำคาญ เนี่ยคือการตอบโต้ ของท่าน ส่วนหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี ท่านพูดว่า เป็นพระอรหันต์ ไม่เห็นมันยากเลย เคี้ยวหมาก มันยาก กว่าตั้งเยอะ นี่ ก็ท่านเป็นแล้ว ใช่ไหม จึงพูดได้ ไอ้เราจะพูดแบบนั้นคงไม่ได้แล้ว มันคนละเรื่องเลย

    เดี๋ยวมาต่ออีกนิดครับ เรื่องของกัป
     

แชร์หน้านี้

Loading...