เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    รู้แล้วหรือยัง ว่าพระพุทธองค์สอนอะไร?

    หากสรุปลงมาในประโยคเดียวไม่ได้ ก็ถือว่ายังไม่เข้าใจว่าพระพุทธองค์สอนอะไร
     
  2. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    คุณคงได้คำตอบเเล้วนะ เรา นั้นยึดอะไรไว้
     
  3. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ^
    ก็เเยบคายดีไม่ใช่เล่นนี้ ได้คำตอบที่ชัดเจนเเล้วนะ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มานั่งคุยกันต่อไปถึงเรื่อง หลวงตาหวัง จะไปเทศน์
    เมื่อ หลวงตาหวัง ท่านลงไปแล้ว ท่านอาจารย์ผู้ทรงวุฒิมีอาวุโส ไม่ใช่ หลวงพ่อปาน ไม่ใช่ หลวงพ่อเล็ก ไม่ใช่ ท่านสมภารเย็น แล้วก็ไม่ใช่ใคร ไม่บอกชื่อท่านพระอาวุโสผู้ใหญ่เวลานั้นมีหลายท่านด้วยกัน แต่ว่าองค์นี่ท่านสนุกสนาน ชอบเล่นกับพวกเด็ก ๆ ท่านมีอารมณ์ขำ เด็ก ๆ รักท่าน เมื่อตีระฆัง เราก็รู้สัญญาณว่าเวลานี้ หลวงตาหวัง ลงไปศาลาแล้ว พวกเราก็ห่มจีวรพาดสังฆาฎิ เดินลงไปเป็นแถว มีพระอาจารย์ใหญ่นำหน้าลงไปด้วย ไปนั่งฟัง หลวงตาหวัง เทศน์เต็มอาสนสงฆ์หมด
    แหม.....ญาติโยมคืนนั้นรู้สึกมีธรรมปีติมาก เห็นพระลงมาฟังเทศน์ ได้เวลาแล้ว หลวงตาหวัง ก็ขึ้นธรรมาสน์ ตะเกียงก็สว่าง แกก็เปิดหนังสือออกอ่าน อ่านไปอ่านมา ดูไปดูมา ดูมาดูไป มันก็อ่านไม่ออก เพราะไอ้คนไม่เคยเรียนหนังสือมันจะอ่านออกได้ยังไง แต่ว่าคณะที่ลงไปนั้น คณะกลุ่มของ หลวงตาหวัง ทั้งนั้น ที่ลงไปนั่งเป็นแถวน่ะ พระที่ท่านไม่ได้ตุ๋นด้วยท่านไม่ได้ลงไป แกทำท่าอ่านไม่ออก ญาติโยมพุทธบริษัทที่มาก็รู้ทั้งหมดว่า หลวงตาหวัง นี่น่ะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสไม่เคยเรียนหนังสือมาเลย แล้วท่านจะมานั่งเทศน์ได้ยังไง มาอ่านพลิกหน้าพลิกหลัง พลิกหลังพลิกหน้า พลิกไปพลิกมามันก็อ่านไม่ออก
    ญาติโยมก็ชักเริ่มแล้ว เริ่มก้มหน้า ไม่ใช่ร้องไห้ ก้มหน้าหัวเราะ ยิ้มกันไปยิ้มกันมา เอาผ้าอุดปาก พวกเราก็ชักงอไปงอมา แต่ไม่กล้าส่งเสียง
    ทีนี้ หลวงตาหวัง แกดูยังไงแกก็อ่านไม่ออก แกบอก "โยม ! เดี๋ยว ! อ่านไม่ออกแฮะ "
    ตอนนี้ฮาตึงแล้ว
    "โยม ! เดี๋ยว ๆ ลองไปอ่านที่หัวอาสนสงฆ์ บางทีมันจะอ่านออกบ้าง"
    มาที่หัวอาสนสงฆ์ นั้งข้างหน้าเพื่อน อ่านเท่าไรมันก็อ่านไม่ออก ทีนี้ท่านหัวหน้าบอกว่า
    "นี่กราบพระพุทธเสียก่อนซี กราบพระพุทธช่วย (โธ่ ! อยู่ ๆ แกมาถึงเขานิมนต์ขึ้นธรรมาสน์ก็ขึ้นไปเลย) เห็นไหมเล่า คนที่ขึ้นไปเทศน์เขาต้องกราบพระพุทธเสียก่อน พระพุทธท่านช่วยอ่านเองแหละ”
    ยังไปสอนเขาที่ศาลาอีก หลวงตาหวัง ก็เอา กราบ ๆ พระพุทธ ขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์เปิดหนังสืออ่านเท่าไร อ่านไปอ่านมา อ่านยังไงมันก็ไม่ออก แกก็โมโห คิดว่าพวกเราต้มแล้วซิ มองหน้าพวกเราเป็นแถวตั้งแต่ต้นจนปลาย ไอ้พวกนี้เป็นที่ปรึกษาแนะนำให้ขึ้นมาเทศน์ แกก็เลยเทศน์ฉบับพิเศษ เสียงดังลั่นว่า
    "ไอ้.........แม่ ! โครตแม่มึงแกล้งกูนี่หว่า บอกว่าขึ้นธรรมาสน์แล้วจะอ่านออก นี่มันอ่านไม่ออก ไอ้....แม่ ! แกล้งกู"
    พวกเราก็ฮาตึง ชอบใจ เรียกว่าหายปวดท้อง บรรดาญติโยมทั้งหลายก็ฮาตึงไปตาม ๆ กัน เป็นการครื้นเครงแทนที่จะโกรธ แกลงมาที่หน้าอาสนสงฆ์แกยังด่าอีก แล้วแกก็เดินกลับชี้หน้าไปทุกคนด่าหมด พวกเราก็ยิ้มชอบใจแทนที่จะโกรธ จะโกรธทำไม แผนการของเรามันสำเร็จผลนี่ เพราะอะไร เพราะแกอยากทรชน คือเทศน์ไม่เป็นแล้วก็อยากจะเทศน์ ก็เลยดัดสันดานเสียด้วยวิธีนั้น
    แต่ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้นเช้า หลวงพ่อปาน สั่งตีระฆังประชุม พูดถึงเรื่อง หลวงตาหวัง ลงมาเทศน์ ท่านบอกว่า
    "มันเป็นการไม่สมควร การทำแบบนั้นทำให้พระเสียกำลังใจ ทำให้ญาติโยมพุทธบริษัทเสียกำลังใจ"
    พูดไปพูดมาก็บอก "มันไม่มีใครหรอกวะ ไอ้ที่มายุ หลวงตาหวัง ขึ้นธรรมาสน์น่ะ"
    ชี้ดะไปเลย ชี้มาตรงหน้าแป๊ะทุกรายเลย ถามว่า “ จริงไหม ?"
    ทุกองค์ก็พนมมือบอกว่า "ขอรับ"
    ถามว่า "ทำไมจึงทำยังงั้น ?"
    คนอื่นเขาก็เงียบเสียง เจ้าลิงดำพูดตัวเดียวบอกว่า "หลวงตาหวัง แกไม่เจียมตัวขอรับ แกรู้แล้วว่าแกอ่านหนังสือไม่ออก ก็ยังจะไปเทศน์ ถ้าจะไปห้ามแกก็จะหาว่ากันลาภสักการะของแก กันความดีของแก ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้ละก็แกจะยับยั้งตัวเองได้ยังไง ?"
    หลวงพ่อปาน ก็ยิ้มละไม บอก "เออ.....ดี ! ดีแล้ว รู้จักการฝึกพระให้รู้จักประมาณตนของตนเอง"
    ท่านก็เลยหันไปหา หลวงตาหวัง บอก "หลวงตาหวัง ทีหลังจำไว้นะ สิ่งใดถ้ามันเกินวิสัยของเรา เราอย่าไปทำมันเข้า ไอ้ที่เขาทำแบบนี้น่ะ เขาไม่ได้แกล้งเรานะ เขาสอนเรา ฟังได้ยินไหมล่ะ เขาบอกว่าถ้าเตือนแบบธรรมดา ๆ ก็เกรงว่าคุณน่ะจะไม่รับฟังเขา คุณจะหาว่าเขากลั่นเขาเเกล้งกัดกันลาภสักการะกันความดี นี่เขาสั่งสอนคุณ จำไว้นะ ทีหลังจงอย่าทะเยอทะยานอย่างนี้อีก"
    นิทานเรื่องนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันจบ ไม่รู้จะพูดอะไร สวัสดี *
     
  5. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ความเป็นเรามันไม่ เกิดไม่เเก่ ไม่ตาย เราไม่ใช่จิต เเต่ไปยึดจิต จึงมีขันธ์5
    เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าจิตเที่ยงอีก จิตเป็นเราอีก
    ก็เรียกว่าไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
     
  6. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    :cool: เห็นว่าเขาเปลี่ยนเวปใหม่แล้วนะ ^^
     
  7. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ขอตอบแบบ นิพพานเป็นนิพพานหน่อย

    จิตก็เป็นจิต จิตเป็นธรรมชาติรู้ ก็ต้องรู้เฉยๆ

    ที่รู้แล้วไม่เฉย เพราะ อุปทานเข้าไปรู้

    อุปทานรู้ สำคัญว่า จิตเรา เป็นผู้รู้

    ผู้รู้ในระดับนี้ จึงรู้แบบยึดมั่น

    เมื่อหมดความยึดมั่น ผู้รู้ไม่มี มีแต่รู้และถูกรู้

    เมื่อนั้น ขันธ์๕ ย่อมไม่ใช่ อุปทานขันธ์๕

    ทุกอย่างก็ดำเนินตามกิจ ตามปัจจัย โดยปราศจากความยึดมั่น ความเห็นวิปลาสใดๆ

    นั้นแล จิตเรา ก็ไม่ได้หมายถึงจิตของเรา เป็นเพียงแต่โวหารชาวโลก ตรัสกับโลกเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอบพระคุณมากเลยครับ ตอนนี้ทางคณะ 5 กำลังทำโครงการใหม่เพิ่มหลายอย่างเลย แต่ผมไม่ได้ติดตามรายละเอียดทั้งหมดครับ
     
  9. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    วันที่ ๗ กรกฏา นี้ ได้ข่าวว่ามีงานทักษิณา

    ในงานมี บรรยยายธรรมปฐมวิปัสสนา และวิปัสสนาชั้นสูงจากครูบาอาจารย์สายวิปัสสนา
     
  10. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ถ้าเข้าถึงสภาวะนั้นจริงๆ มันไม่ยึดของมันเอง
    เหมือนคุณกินข้าวอิ่มแล้ว คุณต้องบอกกับตัวเองหรือเปล่าว่าอิ่มแล้วนะ อิอิอิ

    ส่วนการสนทนาเพื่อสื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันก็แล้วแต่น๊ะ :cool:
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!....

    มาตะเภาเดียวกันหมด ถามไปไม่คิดตอบ

    ดีแต่จะอวดโม้โชว์ภูมิย่างเดียว ง่ายนะที่หาวิธีกดคนอื่นไว้ก่อน

    เหมือนใครบางคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ตัวเองจะได้ชูคอเป็นกระปอมก่า

    แสดงว่าไม่เคยอ่าน เพื่อจะตอบกลับเลยสิ เพราะสรุปไปนานแล้ว

    อย่าบอกนะว่าไม่มี เดี๋ยวจะโดนหงายหมาอีก55+

    คิดแต่จะพูดในสิ่งอยากพูดเท่านั้นหรือ น่าสม...จริงๆนะ

    ไหนๆก็คุยนักคุยหนาว่าเข้าถึงแก่นได้แล้ว

    โม้ว่า"กลับมาอยู่ที่รู้"และ "ระลึกรู้ได้ตลอดเวลา"

    รู้ที่ไหน? จึงรู้อยู่ที่รู้ได้? ชัดๆนะ

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ทำเป็นตีขุม หมดมุขแล้วสิ

    เด็กมันยังรู้เลย ตีความเอาเองเข้าไปได้ น่าอายนะ

    อยากพูดอะไรพูดไปไม่มีใครว่า

    "อย่าอ้างพระพุทธพจน์" แล้วตีความเอาเองตามชอบใจ

    ที่คุณลีลาฯ ชอบใข้มากคำนี้ "พระพุทธพจน์กิเลสอ้าง"

    ควรต้องนำมาตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงให้ดีกับหลายๆพระสูตรเสียก่อน

    ค่อยอ้าง จะไม่โดนกิเลสเอามาอ้างแทนอย่างที่เป็นอยู่

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    แปลกแต่จริงในสมัยนี้ สาวกเก่งเกินหน้าพระศาสดาที่บัญญัติไว้

    พระพุทธพจน์ ชัดเจนโดยไม่ต้องความใดๆ แต่ก็ยังชอบใส่สีตีไข่เข้าไป

    จิต คือ ธาตุรู้ หรือ ผู้รู้ ไม่ต้องมีอุปาทานจึงรู้ เช่น"พุทโธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    มันก็รู้ของมันอยู่แล้ว รู้เฉย ก็คือรู้อยู่รู้ รู้ยึด ก็คือรู้อยู่ที่เรื่อง

    มีพระพุทธพจน์ชัดๆว่า

    "จิตของข้าพเจ้า ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ ดังนี้"...ฉวิโสธนสูตร

    เมื่อสอนเก่งเกินกว่าพระบรมศาสดา เมื่อบอกว่า "จิตเรา ไม่เป็นผู้รู้"

    แล้วอะไร?ที่เป็นผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ ดังที่พระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    รู้ผิด ไม่รู้จักอริยสัจจ์๔ ตามความเป็นจริง

    รู้เป็นยึดเพราะมีอวิชชาครอบงำ จึง เกิดตัณหา เกิดอุปาทานขึ้น

    เมื่อผู้รู้ ไม่มี แล้วอะไรมารู้ แล้วสิ่งที่ถูกรู้มาจากไหน ในเมื่อไม่มีผู้รู้อยู่

    ว่าแล้วมาอีหรอบเดียวกัน "พวกนัตถิกทิฐิ" ลัทธิืั้ว่าด้วย"อะไรก็ไม่มีอยู่จริงทั้งนั้น"

    เมื่อหมดความยึดมั่น "ความยึดมั่น"นั่นมันเป็นคุณลักษณะ

    ต้องมีที่ตั้งที่อาศัย ตั้งอยู่เองลอยๆไม่ได้ (อย่ามั่ว-พูดเบาๆหน่อย)

    น่าเศร้าใจจริงๆที่ศาสนาพุทธ ที่มีกุลบุตรได้ขานนาคเข้ามาเพื่อล้มล้างพระพุทธพจน์นั่นเอง.

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  14. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ถามจริงๆนะครับ เข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนอยู่หรือไม่ ระหว่างคำว่า วิญญาณ ในพระสูตรที่ยกมานี่ พิจารณาเท่าไรมันก็คนละวิญญาณในความหมายที่เรียกว่าจิตเลย สักนิดเดียวก็ไม่มี แถมตถาคตไม่ได้กล่าวว่าวิญญาณเป็นจิต หรือ จิตคือวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นขันธ์ เมื่อวิญญาณเป็นขันธ์เกิดขึ้นพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่นเกิดการเสพเกิดการ...ต่อไปๆ ก็จะไม่สิ้นสุด ที่ไม่ให้ยึดวิญญาณหมายความว่า ไม่ยึดในการรับรู้ว่ามันเป็นนั่นว่ามันเป็นนี้ ไม่ใช่เรื่องของจิต เพราะผู้รับรู้ก็คือจิต และผู้เสพที่แท้จริงก็คือจิต ไม่ว่าจะเป็น ภาวตัณหา หรือ วิภาวตัณหา และอื่นๆอีกมาก แต่เหตุที่จิตนั้นสามารถเสพสิ่งต่างๆนั้นได้เกิดความยินดีพอใจในรูปนาม ก็เนื่องด้วยวิญญาณ จึงให้ละความเชื่อถือเพราะจะทำให้จิตเศร้าหมอง เป็นทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้หมายความว่า อย่าไม่ยึดเอาจิตหรือถือมั่นเอาจิตปล่อยจิตทิ้งไปเพราะมันเกิดและดับขึ้นเองลอยๆ
    ที่สำคัญ จิต ก็คือ จิต มีสติก็คือรู้ ถึงจะรู้หรือไม่ก็ตามจิตก็ยังคงเป็นจิตตามนั้นดังเดิม การจะรับสิ่งใดเข้ามาและเสพมันไปก็เป็นเพียงเหตุให้จิตนั้นเศร้าหมอง เมื่อทราบว่าเหตุใดจิตจึงเศร้าหมอง จึงจะพิจารณาได้ แต่...บางคนไม่รู้ว่าจิตตนกำลังเศร้าหมองหรือสว่างไสว ทึกทักเอาเองว่าจิตตนนั้นแลประเสริฐเลิศเลอนัก จึงไม่สามารถรับรู้ความนัย ที่พระศาสดาและเหล่าพระขีณาสพเจ้าทรงถ่ายทอดมา เป็นเพียงแต่รู้โวหาร ไม่ได้สัมผัสด้วยการพิจารณารวมไปถึงพิจารณาในสิ่งที่ไม่ใช่ฐานะแห่งตน จึงไม่อาจจะตีความและเข้าใจความหมายของธรรมนั้นๆ ได้ พุทธศาสนาเป็นทางเอกแน่แท้และแน่นอนตามความเป็นจริง ยากมากจะนั่งเดาความคิดผู้อื่น แต่ง่ายที่สุดคือเดาความคิดตนเอง อาจเข้าใจผิดบ้างและเข้าใจถูกบ้าง แต่สักวันหนึ่งคงจะต้องเข้าใจไม่ช้าก็เร็วและหากพิจารณาดีแล้วหากจะสายก็ใช่ว่าเสียทั้งหมดเพราะทุกๆคนล้วนเป็นไปตามกรรมที่ก่อไว้ ช้าเร็วนั้นก็ขึ้นกับกรรมและวาสนาที่สั่งสมมา
    สาธุคั๊บ
     
  15. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
  16. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    **** บางส่วนในคิริมานนทสูตร

    อดีตชาติเราตถาคต ก็ได้หลงท่องเที่ยวอยู่ในสงสารวัฏนี้ช้านาน นับด้วยร้อย ด้วยพันแห่งชาติเป็นอันมาก ทำบุญทำกุศลก็ปรารถนาแต่ จะให้พ้นทุกข์ ให้เสวยสุขในเบื้องหน้า เข้าใจว่าตายแล้ว จึงจะพ้นจากทุกข์ ครั้นเมื่อตายจริงก็ตายแต่ธาตุแต่ขันธ์ เท่านั้น ส่วนใจนั้นไม่ตาย จึงต้องไปเกิดอีก เมื่อไปเกิดอีก ก็ต้องตายอีก เมื่อเช่นนี้จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ที่นิยมกัน ว่าตาย ก็คือตายเน่าตายเหม็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้ ชื่อว่า ตายเล่นตายไม่เน่า ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย หาต้น หาปลายมิได้ ที่ตายแท้ตายจริง คือตายทั้งรูปแตกขันธ์ดับ ตายทั้งจิตทั้งใจ มีแต่พระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันต ขีณาสพเท่านั้น ท่านเหล่านี้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ดูกร อานนท์ ในอดีตชาติเมื่อเรายังไม่รู้ เข้าใจว่าตายแล้วจึงจะ พ้นทุกข์ ทำบุญทำกุศลก็มุ่งเอาแต่ความสุขในเบื้องหน้า ครั้นตายไปก็หาได้จากทุกข์ตามความประสงค์ไม่ มาปัจฉิม ชาตินี้เราจึงรู้ว่า สวรรค์และพระนิพพานมีอยู่ที่ตัวนี้เอง เราจึงได้รีบเร่งปฏิบัติให้ได้ให้ถึงแต่เมื่อยังเป็นคนอยู่จึงได้พ้น จากทุกข์ และได้เสวยสุขอันปราศจากอามิส เป็นพระบรมครู สั่งสอนเวไนยสัตว์อยู่ทุกวันนี้ ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    http://www.fungdham.com

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    พุทธจิต จิตผู้รู้ จิตภาวนา 12 ม.ค 26 - 29 พ.ย 31

    .....รวมจิตใจเข้าไปภายใน.....ผ่านดวงจิตผู้รู้ภายใน.....ลมหายใจมัดจิต...
    ..จิตของพระองค์เป็นผู้รู้ลมหายใจ....ฯลฯ

    *****************************

    เฮ้อ!!!
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเหนือหัว
    ท่านยังยืนยันเช่นเดียวกับพระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    รูปสัญญา นามสัญญา
    วิสุทฺธจิตฺเต อานนฺท เท.ว สญฺญา สุตฺวา โส อาพาโธ ฐานโส ปฏิปสฺสมฺเภยฺย ดังนี้ ดูกรอานนท์ เมื่อท่านไปถึงสำนักพระคิริมานนท์แล้ว ท่านจงบอกสัญญา ๒ ประการ คือ รูปสัญญา๑ นามสัญญา๑ คือว่ารูปร่าง กายตัวตนทั้งสิ้นก็ดี คือนามได้แก่จิตเจตสิกทั้งหลายก็ดี ก็ให้ปลงธุระเสีย อย่าถือว่ารูปร่างกายจิตเจตสิกเป็นตัวตน และอย่าเข้าใจว่าเป็นของของตน ทุกสิ่งทุกอย่างความจริง เป็นของภายนอกสิ้นทั้งนั้น ดูกรอานนท์ ถ้าหากว่า รูปร่างกายเป็นตัวตนเราแท้ เมื่อล่วงสู่ความแก่เฒ่าชรา ตาฝ้า หูหนวก เนื้อหนังเหี่ยวแห้ง ฟันโยกคลอน เจ็บปวด เหล่านั้น เราก็จักบังคับได้ตามประสงค์ ว่าอย่าเป็นอย่างนั้น อย่าเป็นอย่างนี้ นี่เราบังคับไม่ได้ตามประสงค์ เขาจะเจ็บ จะไข้ จะแก่ จะตาย เขาก็เป็นไปตามหน้าที่ของเขา เรา หมดอำนาจที่จะบังคับบัญชาได้ เมื่อตายเราจะพาเอาไป สักสิ่งสักอันก็ไม่ได้ ถาเป็นตัวตนของเราแล้ว เราก็คงจะพา เอาไปได้ตามความปรารถนา ดูกรอานนท์ ถึงจิตเจตสิกก็ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของของตน หากว่าจิตเจตสิกเป็นเรา หรือเป็นของของเรา เราก็จักบังคับได้ตามประสงค์ว่า จิต ของเราจงเป็นอย่างนี้จงเป็นอย่างนั้น จงสุขสำราญทุกเมื่อ อย่าทุกข์อย่าร้อนเลยดังนี้ ก็จะพึงได้ตามปรารถนา นี่หาเป็น เช่นนั้นไม่ เขาจะคิดอะไรเขาก็คิดไป เขาจะอยู่จะไปก็ตาม เรื่องของเขา เพราะเหตุร่างกายจิตใจเป็นอนัตตา ไม่ใช่ ตัวตน ไม่ใช่ของของตน ให้ปลงธุระเสีย อย่าเข้าใจถือเอา ว่าเป็นตัวตนและของของตนเถิด. ดูกรอานนท์ ท่านจงไป บอกซึ่งสัญญาทั้ง ๒ ประการคือรูปและนามนี้ โดยเป็น อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนและไม่ใช่ของของตน ให้พระคิริมานนท์ แจ้งทุกประการ เมื่อพระคิริมานนท์แจ้งแล้ว การอาพาธ ความเจ็บปวดและทุกขเวทนาก็จะหายจากร่างกายของ พระคิริมานนท์หมดสิ้น จะหายอาพาธโดยรวดเร็วด้วย ภนฺเต อริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยกัสสปะผู้เป็นประธาน ในสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ข้าฯ ด้วยประการ ดังนี้แล.
     
  19. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    อันที่แท้จิตใจนั้นเป็นลม อันเกิดอยู่สำหรับโลก ไม่ใช่จิตใจของเรา โลกเขาตั้งแต่ง ไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ กาลเป็นภายหลัง ถ้าหากว่าเป็นจิตใจของเรา เราพา เอามาเกิด ครั้นเกิดขึ้นแล้วจิตใจนั้นก็หมดไป ใครจะ เกิดขึ้นมาได้อีก นี่ไม่ใช่จิตใจของใครสักคน เป็นของ มีอยู่สำหรับโลก
     
  20. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำว่า "จิต"ในทางพุทธศาสนา หมายถึง ใจ หรือ หัวใจ ซึ่งย่อมหมายรวมไปถึง สมองและระบบประสาทอื่นๆอีกด้วย เนื่องจากในสมัยครั้งพุทธกาล วิชาการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้ามากนัก จึงใช้คำว่า "จิต"แทน ระบบการทำงานของหัวใจ สมอง และระบบประสาทของร่างกาย ซึ่งก็ย่อมหมายรวมไปถึง ร่างกายทุกส่วนของร่างกายอีกด้วย
    เมื่อถึงยุคสมัยปัจจุบัน วิชาการแพทย์ และ วิทยาศาสตร์ เจริญก้าวหน้า ถ้าท่านทั้งหลาย ได้เรียน ได้ศึกษา ได้ค้นคว้า หาความรู้ เกี่ยวกับ หลักวิชาการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ ท่านทั้งหลาย ก็จักมีความรู้เกึ่ยวกับคำว่า "จิต"ได้เป็นอย่างดี แน่นอน ขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...