เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ได้รับแล้วครับ อนุโมทนาด้วยครับ เป็นบุญที่มีแสงว่างเรืองรองมากๆครับ สาธุ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ว่าด้วยกรรมและผลแห่งกรรม นั้นขออธิบายว่า
    ตอนที่1คือ
    เราทำกรรมดี แต่ผลที่ได้รับในปัจจุบันไม่ดี ตรงนี้ขอให้อย่าไปวิตกหรือเสียใจ นั่นเป็นเพราะ ความดีที่เราทำไว้ยังไม่มากพอหรือยังไม่ให้ผล พูดง่ายๆคือกรรมดียังไม่ให้ผลนั่นเอง แต่เป็นเพราะกรรมไม่ดีที่เราทำไว้ในอดีตมันมีกำลังมากประจบเหมาะกับกาลเวลานั้นที่มันให้ผลพอดี จึงทำให้เกิดทุกข์ขึ้น ฉนั้นจึงต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง คือ มันไม่ใช่ผลของความดีที่เราทำในปัจจุบันนั่นเอง เมื่อมันคนละสาเหตุกันจึงไม่ต้องไปกังวลอะไร ดังนั้นจึงต้องตั้งมั่นทำดีต่อไปโดยไม่ย้อท้อ เมื่อกรรมไม่ดีให้ผลหมดลงไปเมื่อไหร่ กรรมดีที่เราทำไว้จักให้ผล เมื่อนั่นความสุขในชีวิตเราก็จะบังเกิดขึ้นทันทีครับ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ว่าด้วยกรรมและผลแห่งกรรม นั้นขออธิบายว่า
    ตอนที่2คือ
    เราทำกรรมไม่ดี แต่ผลที่ได้รับในปัจจุบันคือมีแต่สิ่งดีๆเกิดอยู่กับเรา ตรงนี้ขออธิบายว่า เพราะเหตุแห่งกรรมไม่ดีที่เราทำในปัจจุบันยังไม่ให้ผล แต่ผลที่ได้รับคือเป็นผลจากกรรมดีในอดีตที่เราเคยกระทำไว้ให้ผลในกาลเวลาขณะนั้นพอดี เช่นนี้จึงทำให้เราไม่ทุกข์ร้อนใดๆกลับมีความสุข
    ในกรณีนี้จึงเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้เราหลงผิดและเพลิดเพลินในการทำกรรมไม่ดี เพราะไปเข้าใจว่าเวรกรรมไม่มีจริง เหมือนทำชั่วแล้วได้ดีเป็นต้น ดังนั้นตรงนี้จึงไม่ควรประมาทแต่ควรรีบพิจารณาว่า ในเมื่อเราได้พลาดพลั้งทำกรรมไม่ดีไปแล้วนั้น แม้วันนี้เราจะยังไม่ได้ผลที่ไม่ดีนั้น แต่แน่นอนว่าอนาคตกรรมไม่ดีเหล่านั้นต้องให้ผลแน่นอน ฉนั้นจึงควรรีบกลับตัวกลับใจละกรรมไม่ดีหยุดทำบาบ เพื่อจะได้ไม่สร้างกรรมชั่วต่อไปอีก เพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องรับผลกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้นที่จะตามมาให้ผลนั่นเองครับ สาธุ
     
  4. peeyapa

    peeyapa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +107
    สวัสดีค่ะคุณ tjs ส่งข้อความไปแล้วได้รับไหมคะ ช่วยตอบหน่วยนะค่ะ อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ได้รับแล้วครับ กำลังทะยอยตอบให้ครับ
     
  6. ฐนพลศ์

    ฐนพลศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +289
    สวัสดีครับคุณ tjs จะขอรบกวนถามคำถามขอความเมตตาด้วยนะครับ
    1. ต้วผมเองเกิด วันจันทร์ 24ตุลาคม 2520 อยากให้ช่วยดูครับ เหมือนทุกวันนี้จะดีก็แย่ ว่างเมื่อไรเป็นมีปัญหาเข้ามาตลอด จะเป็นแบบนี้ไปตลอดมั้ยครับ ทุกวันนีิ้พยายามหมั่นสวดมนต์ นั่งสมาธิ
    สร้างกรรมดี ลดกรรมที่ไม่ดีลง จะช่วยในเรื่องชีวิตที่แย่ๆได้มากน้อยครับ

    2. (คุณแม่) อายุ 63 เกิดกันยายน ปีขาล ตอนนี้กำลังไม่สบายรักษาตัวอยู่ ถามว่าท่านจะอยู่ได้อีกนานมั้ยครับ ทุกวันนี้จะทำบุญให้แม่ตลอดผลบุญนี้ช่วยคุณแม่ผมได้กี่มากน้อยครับ

    3. (พ่อแฟน-เสียแล้ว) ชื่อธนพล จิตรจรเกิดจันทร์ 26 กันยายน 2481 เสียเมื่อธันวาคม 2555
    ปัจจุบันท่านอยู่สบายมั้ย ถ้าไม่สบายมีอะไรขาดเหลือและจะทำอะไรบ้างเพื่อให้ท่านได้สบายจากที่เป็นอยู่

    สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณ tjs ไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ
    ขออนุโมทนากับสิ่งดีๆที่ได้ทำได้ปฎิบัติด้วยนะครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =========

    คุณแม่ผิวดำแดง อายุ64-65อันตรายมากครับ เพื่อความแน่ใจต้องทราบวันเดือนปีเกิดของคุณแม่ครับ ส่งpmไปให้ด้วยครับ
     
  8. ฐนพลศ์

    ฐนพลศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +289
    ส่ง pm ให้แล้วครับผม ขอบคุณครับ
     
  9. peeyapa

    peeyapa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +107
    ขอบพระคุณค่ะ จะทำตามที่แนะนำค่ะ
     
  10. รสธรรม

    รสธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +808
    ปลื้มปิติจังค่ะ เหมือนคุณก้องบอกให้แคททราบว่าบุญนี้มีจริงๆนะ แคทอยากเห็นแสงแห่งบุญบ้างจัง แต่ถึงไม่เห็นก็จะหมั่นทำบุญต่อไป เพิ่งสวดมนต์เสร็จ และต่อด้วยสวดชินบัญชร 3 จบ ใช้มโนภาพว่า
    กำลังสวดถวายต่อหน้าพระพุทธเจ้า เป็นกุศโลบายแคทเองจะได้ตั้งใจสวด ไม่วอกแวก ขออุทิศให้อาจารย์คุณก้อง และคุณก้องด้วยค่ะ
     
  11. peeyapa

    peeyapa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +107
    ขอถามหน่อยค่ะ ถ้าชะตาขาดจะต่อชะตาอย่างไรทำอย่างไรบ้างคะ ขอบคุณค่ะ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =========

    การต่อชะตาขาดนั้นทำได้หลายวิธี แต่หากเป็นกรณีขาดแบบหมดอายุไข นั้น ต้องบวชพระ หรือหากเป็นหญิงต้องบวชพราหม์เท่านั้น คือต้องปฏิบัติอยู่ในศีลเท่านั้นจึงสามารถต่ออายุไปได้ คือชีวิตที่เหลือต้องไม่ทำบาบและอยู่ในฝ่ายกุศลเท่านั้น ครับ

    ส่วนการต่อชะตาทั่วไปกรณีชะตาขาดทั่วๆไป ให้ถวายสังฆทาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปหรือจะมีไตรจีวร สบงด้วยก็ได้ และเงินปัจจัยมากกว่าอายุของตน พร้อมด้วยต้องปล่อยปลาที่ต้องถูกฆ่าแน่ๆจากในตลาด นำมาปล่อยถ่ายชีวิตไปจำนวน9ตัวครับ

    แล้วอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหมดและเทวดา ครูอาจารย์ ของเราครับมี
    สิ่งสำคัญเวลาชะตาขาดหรือตกนั้น จะกินเวลานานทั้งปี ปีนั้นต้องไม่ประมาท คือ ไม่ทำบาบ และสวดมนต์ปกติทุกวัน การเดินทางยามวิกาลก็ไม่ควรครับ ก็ขอให้ทำตามนี้ก็จะเกิดผลดีครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2013
  13. uncle loy

    uncle loy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +28
    คุณปฎิบัติได้ดีแล้ว อนุโมทนาบุญที่ทำ และจิตที่เป็นกุศลครับ ผมก็เป็นนักปฏิบัติคนนึง ถ้านิมิตเห็นผู้ชายแต่งชุดขาวมีเครา แสดงว่าเคยมีสัญญากับผมมาก่อน ผมตั้งใจจะทำงานใหญ่คับ สร้างสมเด็จองค์ปฐมกับวิหารขนาดใหญ่ ถูกกำหนดมาครับ อธิษฐานให้บริวารทั้งหลายที่มาเกิดร่วมชาติได้มาร่วมสร้างบารมี คงได้พบกันคับ
     
  14. Tham Tham

    Tham Tham สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +19
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ และขอรบกวนถามบ้าง ดิฉันสวดมนต์ทุกเช้า วันละครึ่งชั่วโมง แต่เป็นการสวดมนต์ในใจไม่ออกเสียง ไม่ทราบว่าได้หรือไม่ค่ะ และดิฉันมีเทวดาค้มครองหรือไม่ ทุกครั้งที่สวดมนต์เสร็จก็จะอุทิศบุญกุศลให้เทวดาประจำตัว ไม่ทราบว่าท่านได้รับหรือไม่ค่ะ และขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขออนุโมทนาในการเพียรปฏิบัติ ตรวจดูแล้วทุกเช้าตรู่ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ใส่ชุดขาวประกอบโดยส่วนใหญ่ การสวดมนต์โดยไม่ออกเสียงแต่เป็นการภาวนาภายในจิต อย่างนี้จิตจะรวมเป็นสมาธิยากแต่หากทำได้จะดีมากเพราะหากว่า ในขณะที่สวดมนต์ในใจอยู่หากมีเสียงอะไรดังมากระทบก็อาจจะไม่มีสติได้ หรือขณะสวดมนต์ในใจอยู่แล้วไม่มีสมาธิ มีความคิดแทรกเข้ามาก็ทำให้การภาวนาไม่ถูกไม่ต่อเนื่อง ตรงนี้จึงเป็นการฝึกสมาธิที่ดีมากครับ

    ส่วนการอธิฐานอุทิศ ท่านเทวดาท่านได้รับเสมอครับดีแล้วครับ ขอให้เพิ่มให้ท่านบิดามารดาญาติๆ มิตร เจ้ากรรมนายเวร และเจ้าที่ เจ้าทาง ด้วยจะดีมากครับ หรือให้ทุกสรรพจิตทุกดวงครับ ทุกชั้นภพครับ

    ไหนๆก็สวดมนต์แบบภาวนาในใจแล้ว ให้ทำสมาธิต่อให้เปลี่ยนมาเหลือแค่การฝึกสติตามดูลมหายใจเข้าออก ดูว่าจิตมันคิดมันปรุงแต่งอะไรชอบไปไหน ให้พิจารณาไตรลักษณ์ปลงปล่อยวางให้ได้ครับจะได้ปัญญาและเกิดบุญกุศลมากครับ
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จากการเจริญสมาธิและเจริญสติ มานานพอสมควร เมื่อคืนจึงเกิดปัญญาเห็นสภาพความเป็นธรรมชาติของสติ จึงขอเล่าสู่กันฟังดังนี้ คือ
    ตอนที่1 สภาวะการเกิดขึ้นของสติ ตรงนี้ขออธิบายว่า เหตุแห่งการเกิดของสตินั้นสามารถเกิดขึ้นได้สองลักษณะ ดังนี้

    1สติเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติของมันเอง เพราะปกติความระลึกได้ ความระลึกรู้ ตื่นรู้ หรือที่เรียกว่าสตินั้นเป็นอาการอย่างหนึ่งที่ประกอบอยู่กับจิต เกิดอยู่กับจิตอยู่แล้ว นั่นเอง อันอาการของจิตนั้นมีหลายอาการ สติหรือความระลึกรู้นี้เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิต ดังนั้นเมื่อมีปัจจัยมากระตุ้นหรือเหมาะสม สติจึงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันเอง สภาวะนี้อาจมีหลายเหตุปัจจัยมากระทำให้เกิดต่ออีกที เช่น เกิดการกระทบกระทั่งอย่างรุนแรงหนักหน่วง จึงทำให้ตื่นตัว จึงเกิดสติ เกิดขึ้น หรือ สติเกิดจากสภาวะที่จิตว่างไม่ได้รับหรือเสพอารมณ์ใดๆ ตัวสติรู้จึงวิ่งเข้าไปหาจิต จิตจึงเสพอารมณ์นี้ไว้ เกิดสติรู้ขึ้นมา หรืออาจจะเกิดจากกรณีที่อดีตเคยฝึกฝนสติมามาก เป็นความเคยชินจนปัจจุบันจิตจึงเสพ สติได้โดยง่ายเป็นปกตินั่นเอง

    2สติเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยสภาวะที่เกิดการสงบระงับชั่วขณะหนึ่งของจิต สภาวะนี้เรียกว่า อาการสำรวมระวัง นั่นเอง เมื่อมีอาการสำรวมระวังเกิดขึ้น ในขณะนั้น จิตจะละอารมณ์ทั้งหลายออกเป็นจิตว่างชั่วขณะ และในสภาวะนี้นั้น ความระลึกได้ระลึกรู้หรือสติตัวรู้ย่อมเกิดขึ้นแก่จิต จิตจึงเสพอยู่ด้วยสติคือความระลึกรู้เกิดขึ้นนั่นเอง อันความสำรวมระวังนั้น แท้จริงแล้วก็คือ อินทรีย์สังวร คือการสำรวมระวังในอินทรีย์นั้นเองครับ
    ดังนั้นจึงสังเกตุได้ว่า หากผู้ใด มีอาการสำรวมระวังเกิดขึ้นแล้ว อันความระลึกรู้หรือสติย่อมเกิดตามมาด้วยเสมอเป็นปกติ ครับ

    ดังนั้นสุดท้ายไม่ว่าท่านจะฝึกสติให้เกิดด้วยวิธีใดก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับจริตของท่าน เพื่อการได้มาซึ่งสติเพื่อการทำให้เกิดขึ้นของสติ เพื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติธรรมก้าวหน้าต่อไปเพื่อความพ้นทุกข์ครับ สาธุ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    กระผมขอกล่าวอุปมาเปรียบเทียบการเกิดของสติดังนี้ว่า

    อันเสียงระฆังที่ดังกังวาลปลุก บรรชิตให้มีสติตื่นจากภวังค์ได้ฉันใด

    อันความสำรวมระวังนั้นไซร้ ย่อมปลุกจิตให้มีสติตื่นต่ออุปกิเลสที่ปรุงแต่งจิตได้ฉันนั้น
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การเจริญสติ ตอนที่2 สภาวะหลังจากการมีสติรู้
    ในตอนนี้ขออธิบายว่า หลังจากที่สติระลึกรู้เกิดขึ้นแล้ว ต่อจากนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากการเจริญสติของกระผม ทำให้เกิดปัญญาเห็นว่า สภาพความเป็นไปหลังจากที่จิตมีสติระลึกรู้แล้วนั้น จะมีสภาวะความเป็นไป 5ลำดับขั้นหรือ5ประการด้วยกัน ดังนี้คือ

    1 เมื่อจิตมีสติระลึกรู้แล้ว จิตยังคงไหลไปตามความนึกคิด หรืออารมณ์ที่กระทบนั้น เป็นสภาวะที่จิตมีสติรู้ก็จริง แต่เพราะความไม่มีปัญญาจึง ยังพอใจยังหลงไหลยึดติดในความนึกคิดนั้นๆ จิตจึงไหลไปตามสิ่งที่รู้นั้นเอง บางครั้งเรียกว่าหลงรู้ หรือยังหลงอยู่ในอารมณ์เครื่องปรุงแต่งกระทบเหล่านั้น ท้ายที่สุดย่อมเป็นทุกข์เพราะไปยึดมั่นถือมั่นนั่นเองครับ

    2 เมื่อจิตมีสติระลึกรู้แล้ว จิตเกิดวิตกวิจารณ์ จิตจึงวางสิ่งที่รู้ลง เพราะด้วยความไม่แน่ใจหรือมั่นใจเพราะไม่มีปัญญารู้ทันในสิ่งที่รู้เหล่านั้น ในสภาวะนี้ ด้วยอาการของจิตที่เป็นวิตกวิจารณ์นี้ จิตจึงละปล่อยวางสิ่งที่รู้อันเป็นอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลง จิตเมื่อปล่อยวางลงจึงไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อารมณ์เครื่องปรุงแต่งเหล่านั้น ก็ดับไป เพราะจิตไม่ได้ส่ายไปหาหรือเข้าไปรับอารมณ์เครื่องปรุงแต่งเหล่านั้น นั่นเอง จิตย่อมเข้าสู่ความว่างชั่วขณะหนึ่ง นั่นเอง แต่สภาวะของสติในข้อนี้ อันอารมณ์เครื่องปรุงแต่งดังกล่าวยังไม่ได้ดับไปอย่างหมดเชื้อด้วยปัญญา จึงเกิดมีกลับมารบกวนจิตเป็นปกติได้เสมอ จนกว่าจิตจะมีปัญญาโดยแท้จริงจึงดับ อารมณ์เครื่องปรุงแต่งเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง

    3 เมื่อจิตมีสติระลึกรู้แล้ว จิตอาศัยสมาธิฌาณเป็นอารมณ์ประกอบ จิตจึงข่มหรือตัดละปล่อยวางสิ่งที่รู้หรืออารมณ์เครื่องงปรุงแต่งเหล่านั้นทั้งหลายลงทันที ดับลงทันที แต่เป็นลักษณะของการข่มตัดลงไปด้วยสมาธิฌาณ นั่นเอง หลังจากนั้น จิตจึงละปล่อยวางสิ่งที่รู้อันเป็นอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลง จิตเมื่อปล่อยวางลงจึงไม่มีความยึดมั่นถือมั่น นั่นเอง จิตย่อมเข้าสู่ความว่างชั่วขณะหนึ่ง บริสุทธิ์ขณะหนึ่งเช่นกัน แต่สภาวะของสติในข้อนี้ อันอารมณ์เครื่องปรุงแต่งดังกล่าวยังไม่ได้ดับไปโดยหมดเชื้อด้วยปัญญา จึงเกิดมีกลับมารบกวนจิตเป็นปกติได้อีก จิตย่อมต้องเผชิญอยู่อย่างนี้ ไปจนกว่าจิตจะมีปัญญาโดยแท้จริงจึงดับ สิ่งที่สติรู้หรืออารมณ์เครื่องปรุงแต่งเหล้านี้ได้อย่างแท้จริง

    4 เมื่อจิตมีสติระลึกรู้แล้ว จิตอาศัยการปล่อยวางอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลงทันที แบบธรรมชาติ คือไม่ไปข่มบังคับอะไร อาศัยแค่รู้ว่า เมื่อมีสติรู้ เกิดขึ้นกับอะไรก็ตาม แต่จะเป็นอะไรก็ได้ก็ไม่ไปสนใจใส่ใจ เมื่อเกิดรู้แล้วก็ให้วางลงทันที วิธีการแบบนี้เป็นการอาศัยการปล่อยวางอย่างเป็นไปตามกลไกลตามธรรมชาติของมัน ด้วยวิธีการนี้เมื่อกระทำจนเกิดเป็นความเคยชิน จิตย่อมเกิดปัญญารู้แจ้งได้เองด้วยประสพการณ์ของจิตเอง คือเกิดปัญญารู้ได้เอง จึงละปล่อยวาง สิ่งที่รู้ อันคืออารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลงได้เอง ส่งผลให้จิตเข้าสู่ความว่าง เป็นจิตว่างจากกิเลสอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งปวง เป็นจิตห่างไกลกิเลสได้ในที่สุดครับ

    5 เมื่อจิตมีสติระลึกรู้แล้ว จิตอาศัยการปล่อยวางอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลงด้วยปัญญา เข้าไปรู้แจ้งในสิ่งที่รู้ ในอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลาย รู้แจ้งในไตรลัษณ์ของอารมณ์เครื่องปรุงแต่งเหล่านั้นแล้วนั่นเอง หรือที่เราเรียกว่าเดินวิปัสสนามหาสตินั่นเอง เมื่อนั้น จิตย่อมเกิดปัญญารู้แจ้งจึงละปล่อยวาง สิ่งที่รู้ อันคืออารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลงได้ ส่งผลให้จิตเข้าสู่ความว่าง เป็นจิตว่างจากกิเลสอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งปวง จิตจึงสะอาดบริสุทธิ์ เป็นจิตห่างไกลกิเลสได้ในที่สุดครับ

    ดังนั้นจากที่ได้กล่าวมาขอแนะนำว่าท่านควรเลือกเดินสติ ตามจริตของท่านและขอแนะนำว่าไม่ว่าท่านจะฝึกสติแบบไหน แต่สุดท้ายท่านต้องมีปัญญาในการดับอารมณ์เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายลงให้ได้แบบไม่เหลือเชื้อ ไม่อย่างนั้น อารมณ์เครื่องปรุงแต่งหรืออุปกิเลสทั้งหลายย่อมกลับมาเบียดเบียนรังควานท่านได้อีก แบบตีงูให้หลังหัก หรือเฟี่ยงงูไม่พ้นคอ นั่นเองครับ สาธุ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อคืนเจริญสมาธิ มีความเห็นว่า
    ปัญญาทางโลกมีมากมาย แต่ก็ไม่มีส่วนช่วยให้หลุดพ้นได้
    ปัญญาทางธรรม ทั้งไตรปิฏกก็มีมากมายแต่สุดท้ายก็รวมลงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    และหัวใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ทุกพระองค์ต่างก็เหมือนกัน คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เราจะเจริญปัญญามากอย่างไรก็รวมลงที่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้น
    แม้ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกก็บอกไว้แล้ว อย่างนี้เหมือนกัน คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ
    จงทำหัวใจจิตใจของตนให้เป็นดั่งเช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์คือหัวใจดวงนี้มีเพียง คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สร้างให้เป็นสติสร้างให้เป็นปัญญาเกิดอยู่อย่างนี้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ครับ สาธุ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สุญญตา คือ ความว่าง ว่างจากกิเลส ว่างจากตัวตน คือการมีสติปัญญารู้แจ้งในอนัตตลักษณะ

    อนัตตะลักขณะ เป็นอย่างไร เล่า ก็อนัตตะลักขณะ เป็นอย่างนี้คือเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา เป็นใครหรือของใครหรือแม้ของเรา ที่ควรจะไปยึดมั่นถือมั่น

    สัมมาทิฏฐิ ธรรมข้อนี้เกิดได้อย่างไรเล่า เกิดได้เพราะเห็นต่อเนื่องจากธรรมข้อที่ว่า อนิจจะลักขณะ
    แล้วอนิจจะลักขณะ เป็นอย่างไรเล่า ก็อนิจจะลักขณะเป็นอย่างนี้คือเห็นว่า รูปนามทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เป็นลักษณะที่ไม่เที่ยง
    เมื่อ พิจารณาในอนิจจะลักขณะ เกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ทุกขะลักขณะ ก็เกิดตามเช่นนี้ มีความเห็นว่าเป็นทุกข์ เมื่อทุกขลักขณะปรากฏเป็นเช่นนี้ อนัตตะลักขณะก็ ปรากฏตามเช่นนี้
    ว่าเมื่อรูปนามทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เป็นลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้ว จึงเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตน ที่ควรยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
    จิตจึงปล่อยวาง ในทุกข์สุข คือปล่อยวางในตัณหาอุปาทานทั้งหมด เป็นสุญญตาจิต ยังจิตให้เป็นผู้หลุดพ้นห่างไกลกิเลสเป็นที่สุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...