กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 23 กรกฎาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าเปิดธรรมส่องโลก สอนอรรถสอนธรรมสอนหลักความจริงให้ฟัง โลกทั้งหลายมีความเชื่อความเคารพเลื่อมใส การทำบาปทำกรรมอะไรก็เบาบางลง ในช่วงพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๆ ทีนี้พอพระพุทธเจ้าผ่านไปเท่านั้นละ ไม่มีใครมาชะมาล้างแล้ว นั่นกิเลสมันทำงานเต็มที่มัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงต้องได้มาเป็นระยะ ๆ ไม่อย่างนั้นสัตวโลกไม่มีความหมาย นี่เป็นหลักธรรมชาติลบไม่สูญที่ว่านี่ พระพุทธเจ้าของเรามานี้ได้วางศาสนาไว้ คือสำหรับน้ำคือธรรมอันสะอาดชะล้างความสกปรกของกิเลส ที่มันปิดบังหูตาของสัตวโลก กิเลสบอกว่านรกไม่มี ไม่มียังไงพระพุทธเจ้ามาสอน สอนบอกทุกกิทุกกี ผู้มีอุปนิสัยเบาบางมันก็เชื่อก็เป็นไปตาม ก็ผ่านไปได้ ๆ ผู้ไม่เชื่อมันก็จมของมันไปอย่างนั้นละ

    เพราะเหตุนั้นศาสนาจึงต้องมาเป็นระยะ ๆ เช่นอย่างนี้ พวกเราพอรู้บุญรู้บาปบ้าง ก็เพราะคำสอนพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าน้ำดับไฟ ก็อย่างนั้นซี ถ้าพระพุทธเจ้าไปเสีย ธรรมก็ไปพร้อม ไม่วางไว้สั่งสอนโลก มันก็มืดแปดด้านตั้งแต่โน้นมา ไม่มีคำว่าศีลว่าธรรม มองไม่เห็นไม่คิดกันเลย มีแต่เรื่องของกิเลสตัณหาติดพันตลอดเวลา ต่างกันอย่างนั้นนะ กิเลสกับธรรม กิเลสปลอมล้วน ๆ ฟังว่าปลอมล้วน ๆ กิเลสออกมาตัวไหนความจริงไม่มี ธรรมออกตรงไหนจริงล้วน ๆ ลบล้างกันไปอย่างนั้น จึงต้องมีธรรม โลกมีอยู่ดั้งเดิมแล้ว ธรรมมีมาเป็นระยะ ๆ แต่เป็นระยะนะพระพุทธเจ้ามา ไม่ได้มาติดกันตลอด มาเป็นระยะ

    กัปหนึ่ง ๆ พระพุทธเจ้าดูว่าอย่างน้อย เคยอ่านในตำราตั้งแต่ ๑ องค์ ๒ องค์ละ อย่างกัปธรรมดา ถ้าเป็นภัทรกัปก็มีพระพุทธเจ้าหลายองค์ เช่น ภัทรกัปเรานี้ก็มีพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ ทีนี้เวลามาตรัสรู้ก็วางระยะกันห่าง ๆ ระยะห่างนี้เรียกว่า พุทธันดร พุทธันดร คือระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ องค์นี้มาแล้ว เป็นระหว่าง แล้วองค์นี้มา ๆ พอหมดกัปนี้ไปแล้ว นั่นเป็นสุญญกัป กัปนี้ต่อกัปนั้นยังไม่มีพระพุทธเจ้าแหละ วางระยะนี้เรียกว่าสุญญกัป สัตวโลกไม่มีความหมายอันใดเลย เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วโลกธาตุ ตอนนี้ร้อนมากที่สุด พอพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็เป็นน้ำดับไฟขึ้นมา เป็นระยะ ๆ อย่างนั้น เป็นมาอย่างนี้ตลอดกี่กัปกี่กัลป์ ฟังว่ากัป กัปหนึ่ง ๆ นานเท่าไร แล้วกี่กัปกี่กัลป์มาแล้วท่านตรัสรู้เรื่อยมาอย่างนี้เรื่อย ๆ แล้วยังจะเรื่อยไปอีก ต้นไม่มี ปลายไม่มี ตรัสรู้ไปเรื่อย เหมือนกิเลสไม่มีต้นมีปลาย ธรรมะก็มี เป็นแต่เพียงว่าเป็นระยะ ๆ หากไม่มีต้นมีปลาย ตรัสรู้เรื่อย ๆ

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมีมากต่อมาก เรานับคนเดียวนี่ ๑ , ๒ ,๓ อย่างนี้จนกระทั่งถึงวันตาย จะให้ครบพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้นี้ไม่มีทาง มากขนาดนั้นละ เพราะกี่กัปกี่กัลป์ นานสักเท่าไร อุบัติเรื่อยพระพุทธเจ้า ถึงจะห่างก็ตามก็อุบัติอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้น ๑ กับ ๒ กับ ๓ เข้าไปก็ ๔ , ๕ เข้าไปล่ะซี ก็มากขึ้น ๆ เรื่องพระพุทธเจ้า เราอ่านสวดมนต์นั่นแหละ อ่านไป ๆ เขาเขียนฟุตโน้ทไว้ข้างล่าง วงเล็บเอาไว้ พวกเขาพิมพ์เองแล้วก็มาเขียนฟุตโน้ทไว้ว่า สมฺพุทฺเธ อฏฺฐวีสญฺจ ทฺวาทสญฺจ สหสฺสเก ฯ นี้ละ จากนั้นก็ สมฺพุทฺเธ ปญฺจปญฺญาสญฺจ ฯ เรื่อยไปถึง สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเตฯ คือกราบไหว้พระพุทธเจ้าเท่านั้นพระองค์ เท่านี้พระองค์ ขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าเป็น ๒ ล้าน ๓ ล้านพระองค์ขึ้นไป

    พอจบลงแล้วเขาเขียนไว้ข้างล่าง เรียกว่าเหมือนว่ากลืนไม่ลง เหลือเชื่อ เราดูแล้วเราสลดสังเวช นี่ละคนตาบอดเขียนธรรมพระพุทธเจ้า ก็มาเอามูตรเอาคูถทาศาสนาไว้ ว่าเหลือเชื่อนั่นละคือมูตรคือคูถ โปะความจริงของศาสนาไว้ มาว่าอะไรล้าน ๆ พระพุทธเจ้า ว่ากี่แสนล้าน ๆ เท่านั้นไม่คำนวณได้เลย มากขนาดนั้นนะพระพุทธเจ้า นี้คือหลักความจริง ให้พากันจำเอาไว้นะ

    อะไรจะมากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ตั้งกัปตั้งกัลป์มีอยู่ตลอด ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่ก็พระพุทธเจ้าของเรา ออกจากนี้ก็พระอริยเมตไตรย์ ผิดไปตรงไหน เล็งญาณตลอดทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว ถึงระยะนั้นจะมาอย่างนั้น ตามที่พระญาณหยั่งทราบตลอดไม่มีคลาดเคลื่อนเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ คือพระพุทธเจ้าเรา เช่นอย่างเวลาท่านเสด็จลงมาจากชั้นดาวดึงส์นี้ สัตวโลกปรารถนาพุทธภูมินี้ โถ ไม่ใช่น้อย ๆ นะ เป็นล้าน ๆ ล้าน ๆ ปรารถนาพุทธภูมิ เห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าเลยปรารถนาพุทธภูมิ ทีนี้ท่านก็สรุปลงไว้ ที่ปรารถนามาก ๆ นี้ สักจำนวนเท่านี้จะได้สักคนหรือสองคนก็ไม่ทราบแหละ

    ฟังซิ มันยากไหมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นล้าน ๆ จะได้สักคนสองคนก็นับว่ามาก นั่นเห็นไหม ความยากของความเป็นศาสดา ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ายากลำบากขนาดไหน มีอยู่ ๓ ประเภท ประเภทที่หนึ่ง ปรารถนามา ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป อันดับที่สอง ๘ อสงไขยแสนมหากัป สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในขั้นที่สอง ขั้นที่สาม ๔ อสงไขยแสนมหากัป เช่นพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขยแสนมหากัปเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา นานไหม กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้ายากขนาดไหน เพราะฉะนั้นมันถึงเล็ดลอดไปไม่ได้ จะให้เป็นไปตามความปรารถนามันไม่สำเร็จ

    ทีนี้เมื่อท่านสำเร็จขึ้นมาแล้วเล็งญาณดู ใครปรารถนาเป็นพุทธภูมิจะสำเร็จไม่สำเร็จนี้ ถ้าท่านทำนายแล้วนั่นละยังไงก็ลบไม่สูญ เช่น นาย ก. ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทำนายแล้วว่า นาย ก.นี้ ถึงภัทรกัปนั้นจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น อัครสาวกข้างซ้าย ชื่ออย่างนั้น ข้างขวาชื่ออย่างนั้น อย่างนี้แล้วแก้ไม่ตก ต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ถ้าลงพระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้วไม่มีทางแก้ตกแหละ พลิกไม่ได้เลย

    ถ้ายังไม่ทรงทำนายเปลี่ยนก็ได้ เช่น เป็นพุทธภูมิมาปรารถนาเป็นสาวกภูมิเป็นสาวกก็ได้อยู่ ถ้าลงได้ทำนายแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งทำนายแล้วว่า ถึงระยะนั้น ๆ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น อัครสาวกข้างซ้ายชื่อว่าอย่างนั้น ข้างขวาชื่อว่าอย่างนั้นแล้ว แล้วอย่างไรก็ลบไม่สูญ อันนี้จะต้องถึงจุดเลย นี่เรียกว่า ลัทธพยากรณ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้วเป็นอันว่าตายตัวเลยไม่เป็นอย่างอื่น คือเล็งตามความจริงของผู้นี้จะไปอย่างนั้นแล้ว ถึงจุดนั้นแน่ บอกตามนั้น ถ้าไปจะล้มละลายก็ยังไม่ทำนาย ถ้ารายใดได้ทำนายแล้วต้องได้เป็นแน่นอน

    พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงหลวงปู่มั่นเรา ท่านภาวนาพอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร ประหวัดถึงพุทธภูมิแย็บเข้ามาแล้วถอยเสีย ว่างั้นนะ พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร ประหวัดถึงพุทธภูมิ ที่ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่ก่อนท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้ความอยากพ้นทุกข์ก็อยากเป็นกำลัง เร่งความเพียรเข้าไปพอถึงจุดจะเข้าด้ายเข้าเข็มที่จะเข้าหลักเข้าเกณฑ์ เรื่องของพุทธภูมิก็แทรกเข้ามาก็ถอยเสีย ๆ ท่านว่าอย่างนั้น

    ทีนี้เวลาความอยากพ้นทุกข์เต็มกำลังหนามากขึ้นทุกวัน ๆ ก็เลยมาประมวล การเป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาสอนโลกก็ทำประโยชน์ได้มากมายนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลก สำหรับความบริสุทธิ์แล้ว เป็นพระพุทธเจ้ากับสาวก ก็สิ้นทุกข์ถึงพระนิพพานได้ด้วยกัน เราขอถอนตัวจากความเป็นพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นสาวกอรหันต์ ท่านขอถอนตัวในจิตของท่านเอง นี่คือยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พอถอนตัวนี้จิตก็พุ่งเลย หายห่วง ที่ปรารถนาพุทธภูมิพอแทรกเข้ามาปั๊บแต่ก่อนถอย ๆ จิตถอย ๆ ทีนี้แทรกมาก็ไม่ถอย ปล่อยเลย นั่นท่านว่างั้น เห็นไหมล่ะ เพราะฉะนั้นลวดลายของศาสดาท่านจึงยังมี ความรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง โห พิสดารมากทีเดียว ความรู้พวกเปรตพวกผี สัตว์นรกอเวจีอะไรไม่ต้องพูด ท่านแจ่มแจ้งหมด นี่ละลวดลายของพุทธภูมิยังมีอยู่ แม้จะพลิกตัวมาเป็นสาวกแล้วก็ตาม ลวดลายของศาสดายังมี

    นี่ที่ว่าธรรม คือธรรมนั้นเป็นของจริงล้วน ๆ เลย กิเลสแล้วปลอมล้วน ๆ เท่ากันเลย กิเลสปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมก็จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่พระพุทธเจ้ามาตรัสสอนโลก ทรงเล็งญาณรอบเรียบร้อยแล้วจึงไม่มีผิด ว่าอะไร ๆ ไม่ผิดเลย เพราะทรงเล็งดูเรียบร้อยแล้ว นี่เรียกว่าของจริง ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น ท่านจึงให้นามว่า เอกนามกึ แปลว่า หนึ่งไม่มีสอง

    คือพระพุทธเจ้าจะอุบัติครั้งละองค์เท่านั้นไม่มีสอง เพราะความเป็นพระพุทธเจ้านี้เป็นได้ยากแสนสาหัส จะเป็นได้ทีละพระองค์เท่านั้นก็ลำบากแสนสาหัสแล้ว นี่หนึ่ง ๒.พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ลงได้หยั่งทราบทำนายอะไรแล้วต้องเป็นอย่างนั้นเลย นี่ก็เรียกว่า หนึ่งไม่มีสองเป็นคู่แข่ง แล้วธรรมที่ตรัสแสดงออกมานี้ก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ดีเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง สมบูรณ์พูนผลต่อมรรคผลนิพพาน สมบูรณ์แบบทุกอย่าง นี่ ๓ ประเภท

    ประเภทที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าอุบัติได้ทีละองค์เท่านั้น

    ประเภทที่สอง พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์แม่นยำหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีอะไรเป็นคู่แข่ง

    ประเภทที่สาม สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้นี้ ตรัสไว้ชอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่มีที่จะต่อจะเติมที่ตรงไหนอีกแล้ว สมบูรณ์พูนผล ๓ ประการนี้เรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง

    ศาสนาของเราก็ยังมีอยู่ นี่ก็ ๒,๕๐๐ ที่ท่านว่าถึงระยะนั้นศาสนาจะเป็นอย่างนั้น ๆ ท่านเล็งหมดแล้วนะนั่น ท่านเล็งไปหมดแล้ว มันเป็นของมันไปเอง ด้วยอำนาจของกิเลสมันหนาเข้า ๆ ศาสนาก็หดเข้ามาย่นเข้ามา ๆ ต่อไปศาสนาไม่มี คำว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มีเลยในความรู้สึกของสัตว์ มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานดีดดิ้น เป็นกิเลสล้วน ๆ พันหัวใจสัตว์ จึงมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวใจสัตวโลก ไม่มีน้ำดับไฟคือธรรม เมื่อถึงศาสนาหมด-หมดอย่างนั้น

    ไม่ใช่ในคัมภีร์ใบลานที่จดจารึกไว้แล้วหมดนะ จดจารึกไว้ยังไงก็มีอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีใครสนใจที่จะเชื่อ ในธรรมทั้งหลายมันไม่เชื่อ เชื่อตามกิเลสล้วน ๆ ไปเลย กิเลสลากไปหมดเลย หมดเนื้อหมดตัวไปหมด มีสิบขากิเลสลากไปทั้งสิบขา มีสิบแขนกิเลสลากไปสิบแขน มีเท่าไรมันลากไปหมดไม่มีเหลือเลย ในครัวเรือนนั้นมีเป็ดมีไก่มีหมูมีหมา มีวัวมีควาย มีเด็กเล็กเด็กน้อย กิเลสลากไปหมด ตั้งแต่พ่อแม่ลงไป ปู่ย่าตายาย กิเลสลากไปหมดเลย ใครอยากถูกกิเลสลากอย่างนั้นไหม

    ถ้าไม่อยากถูกกิเลสลากอย่างนั้น ก็ให้ฉุดให้ลากตัวเองเสียก่อนซิ แล้วจะได้ฉุดลากลูกเต้าหลานเหลนให้เป็นคติตัวอย่างอันดีต่อไป เขาจะได้ยึดปฏิบัติก็จะได้แคล้วคลาดปลอดภัยสงบร่มเย็นต่อไป หรืออยากได้ยี่สิบขาให้มันลากอีก สิบขาไม่พอ มันก็สุดวิสัยถ้าลงขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่ทราบจะไปสอนยังไงแล้ว กิเลสลากทีเดียวได้ไปสิบขาเลย ฟาดครั้งที่สองได้ไปอีกยี่สิบขา คนทั้งคนเลยเป็นท่อนฟืน ไม่มีแข้งมีขามีหูมีตา กิเลสเอาไปหมดเลยมันเกินไปมนุษย์เรานี่

    มองไปที่ไหนมันเห็นแต่ขอนซุงนะ คือแข้งขาตีนมือไม่มี กิเลสลากเอาไปกินหมด ยังเหลือแต่ขอนซุง ครอกแครก ๆ อยู่ตามเสื่อตามหมอน อู๊ย ทุกขัง อนิจจัง เราไม่อยากพูดมากพูดเพียงเท่านี้แหละนะ พูดมากมันจะเข้าเนื้อพวกเรานี่แหละ พวกนั่งฟังอยู่นี่แหละ โห ให้เห็นดูซิจิต อะไรจะอัศจรรย์เท่าจิต เปิดกว้างไม่มีอะไรเสมอจิตเลยนะ เวลาปิดบังไม่มีอะไรเสมอกิเลส มืดไปหมดเลย ตามีสิบตาก็ไม่มีความหมาย มีกี่หูกี่ตากี่ดวงใจ ถ้าใจกิเลสครอบไว้แล้วดำหมดด้วยกัน ไม่มีความหมายอะไรเลย พอเราบำเพ็ญธรรมนี้ค่อยสว่างขึ้น ๆ ทีนี้กิเลสค่อยจางไป ๆ ความมืดดำกิเลสมันครอบไว้ ความมืดดำคือกิเลสมันครอบเอาไว้ เวลาชำระสะสางสร้างคุณงามความดีเข้าไป นี่เรียกว่าชะล้างเข้าไป ๆ ไหลเข้าไป ๆ จุดสุดท้ายก็ลงทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา

    บุญ กุศล ศีล ทาน มากน้อยนี้เป็นเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลมาจากที่ต่าง ๆ จะลงมาทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา เป็นที่รวมแห่งกุศลทั้งหลายที่เราสร้างมามากน้อย ไม่หายไปไหน จะไหลป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่นั้นแหละหากยังไม่เข้าจุด ไปไหนไม่ไป ทีนี้พอจะเข้าจุดแล้ว สายบุญทั้งหลายที่เราสร้างมามากน้อยนั้นจะมารวมลงที่จิตตภาวนา พอจิตตภาวนาแล้วก็พุ่งเลย พ้นทุกข์ไปเลย คือจิตตภาวนามีอยู่ด้วยกันแต่ยังไม่ได้หลักเกณฑ์มันก็มี เวลาได้หลักเกณฑ์มันก็พุ่งของมัน เวลาไม่ได้หลักได้เกณฑ์นี้ภาวนานี้มันก็พาวนไปเสีย ไม่ได้ภาวนาอบรมใจให้สงบ มันพาวนให้วุ่นวายไป นี่รวมเข้าไป

    เมื่อเวลาวาสนาบารมีแก่กล้าแล้วมันหากเป็นเองในจิต เพราะอำนาจแห่งกุศลนี้แหละหนุนมัน บันดลบันดาล เรื่องจิตตภาวนามันขี้เกียจขนาดไหนมันหากเป็นของมันเองไม่ขี้เกียจ มันหากหมุนของมันไป ๆ อย่างนั้น ต่อไป ๆ มันก็พุ่งของมันไปได้เลย นี้เป็นที่รวมของกุศลของเราที่สร้างมามากน้อย แหล่งใหญ่คือทำนบใหญ่ได้แก่ภาวนา ลงในจุดนี้ทั้งนั้น ลงนี้ก็พุ่งเลย นี่เป็นที่รวมแห่งกุศลทั้งหลายมารวมที่จุดนี้ วันนี้เอาเท่านั้นละนะไม่พูดมาก

    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ�

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    พยายามเตือนตัวเองเสมอว่าเกิดมาชาตินี้แล้วอย่าให้เสียชาติเกิด บุญนักหนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีอวัยวะครบ สติไม่วิปลาส แล้วก้อได้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยาก
     
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ข้าพเจ้าเชื่อ ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้เรื่องต่างๆ ก็ตรงหมด แต่ก็มีความสงสัยอยู่อย่างนึง คือ เหตุใด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงเป็นชาวคอร์เคเซี่ยน และล้วนประสูติอยู่แต่ใน ประเทศแม่ของชาวอารยัน คือ ชมพูทวีป อันได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน เปอร์เซียตะวันออก อัฟกานีสถาน เนปาล และรัสเซียใต้ คงจะเพราะคนทางนั้นมีความก้าวหน้าทางศิลปะวัฒนธรรมมายาวนาน
     
  4. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    ขอน้อมกราบบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อย่าสงสัยในพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลายครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...