กำเหนิดโลกและสิ่งมีชีวิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ฐสิษฐ์929, 19 กรกฎาคม 2013.

  1. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ตรงนี้เป็นอตีตังคญาณของหลวงปู่สาวกโลกอุดรที่หยั่งไปดูตั้งแต่การกำเหนิดของโลก ของจักรวาล ผมขออัญเชิญคำแสดงธรรมมาดังนี้ครับ
    ในห้วงของจักรวาลอันว่างเปล่าไม่ได้มีดวงดาวใดๆ แต่ปรากฏมีลมกรดร้อนแรงพัดจากสุดห้วงจักรวาลแห่งหนึ่งไปยังห้วงจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง การพัดนี้ก็ใช้เวลานานนับหลายล้านปี เมื่อพัดไปพัดมาก็เกิดแร่ธาตุในกระแสลมกรดด้วย กระแสลมนั้นไม่ได้มีเพียงสายเดียว แต่มีหลายสายพัดไปพัดมาปะทะกันก็หลายครั้ง ต่อๆมาอีกหลายล้านปี ก็เกิดการรวมตัวของแร่ธาตุก้อนใหญ่ขึ้นซึ่งภายในก้อนแร่ที่รวมกันนั้นภายในเป็นลมกรดพัดหมุนอยู่ภายใน ต่ออีกหลายล้านปี ก้อนแร่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นและจำนวนมากมายมหาศาลซึ่งเรียกกันว่าโลกหรือว่าดาวต่างๆนี้ละ ในจักวารมีดาวดวงหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทุกดวงแต่ถูกลมกรดพัดรุนแรงมากจนเกิดเป็นลูกไฟทั้งดวงมีความร้อนแรงมาก เราเรียกกันว่าดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์นี้เป็นสีน้ำเงินนะที่เราเห็นเป็นสีแดงนั้นเป็นประกายความร้อนที่แผ่ออกมา ต่อมาอีกหลายล้านปีก็เกิดฝนตกไปทั่วทั้งจักวาลและก็มีน้ำท่วมไปทั้งจักรวาล แต่ท่วมไปไม่ถึงดวงอาทิตย์เพราะมันร้อนมาก การท่วมของน้ำนี้ท่วมไปเกือบถึงดวงอาทิตย์ ไม่ท่วมแต่ดวงอาทิตย์เท่านั้น นอกนั้นดาวทุกดวงถูกน้ำท่วมทั้งหมด ต่อมาอีกหลายล้านปีน้ำก็ค่อยลดลงเรื่อยๆ
    มาที่โลกกันเลยโลกก็มีน้ำท่วมเช่นกันเมื่อน้ำลดลงใหม่ก็ปรากฏมีธาตุชนิดหนึ่งเป็นแสงระยิบระยับเต็มโลกไปหมด หลวงปู่สมมุติเรียว่าปรอธธาตุ ธาตุนี้ละที่เป็นต้นกำเหนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตที่เกิดก่อนคือสาหร่ายเกิดในน้ำ น้ำตอนนั้นก็เป็นน้ำร้อน สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นด้วยการรวมตัวของปรอธธาตุ เมื่อรวมกันเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้ก็เรียกว่าสัตว์ หากเคลื่อนที่ไม่ได้ก็เรียกว่าพืช
    การรรวมตัวเป็นสัตว์จะมีการรวมตัวขึ้นเป็นคู่มีทั้งเพศผู้เเละเพศเมียมีหลายๆคู่ การรวมตัวของเขาก็เกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติ ที่ไหนมีความหนาแน่นมากก็รวมเป็นสัตว์ตัวใหญ่ ที่ใดหนาแน่นน้อยก็เป็นสัตว์เล็ก ที่ใดมีพิษเมื่อรวมกันก็สัตว์ที่มีพิษ สัตว์แต่ละอย่างเกิดแยกกันกลุ่มใครกลุ่มมัน คนก็มีหลายกลุ่ม ต่อๆมันค่อยหากินเข้ามาหากัน สัตว์ชนิดแรกที่เกิดขึ้นมาก็คือหอย
    ปรอธธาตุที่เป็นธาตุต้นกำเหนิดนี้เขาก็ต้องการอาหารเหมือนคนเหมือนสัตว์ ตอนกำเหนิดโลกและสัตว์ใหม่ๆ ธาตุปรอดที่ยังไม่รวมตัวก็กินสัตว์เล็ก สัตว์น้อย หอยก็ถูกกินมากกว่าเขาเพราะเกิดก่อน เมื่อธาตุปรอธเข้ากินสัตว์ตัวใด ตัวนั้นก็ตายทันที แม้นแต่ปลาที่อยู่ในน้ำเมื่อกระโดดมาเหนือน้ำก็ถูกกินก็มี
    ทุกวันนี้ปรอธธาตุก็มีแต่เบาบางมาก ไม่สามารถรวมตัวเป็นคนเป็นสัตว์ได้ แต่เขาก็สามารถรวมตัวได้ชั่วขณะหนึ่งๆ

    ภานในโลกของเรานี้ก็เป็นลมกรดพัดไปพัดมาภายในโลกนี้อยู่ แผ่นดินไหวก็เพราะลมกรดมันพัดมาปะทะกัน
    ธาตุปรอธที่เหลือเขาก็อยู่ที่ใจกลางโลกของเรานี้แลฯ

    หอยเป็นสัตว์ชนิดแรกของโลก ได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์แล้วภายหลังที่หลวงปู่แสดงธรรม
    ดวงอาทิตย์เป็นสีน้ำเงิน ได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์แล้วภายหลังที่หลวงปู่แสดงธรรม
    ภายในโลกเป็นอากาศเป็นลมกรดนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถตรวจสอบได้
    แผ่นดินไหวนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง

    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  2. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    คำว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เป็นความจริงโดยแท้ เพราะหลวงปู่ได้เห็นพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ในภัทรกัปป์นี้แล้ว
     
  3. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    ช่วยเล่าต่อให้ฟังด้วยครับที่ว่าหลวงปู่เห็นพระพุทธเจ้าสี่พระองค์เเล้วเป็นมาอย่างไรผมไม่ได้ฟังตอนนี้
     
  4. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    พุทธวิสัย

    เรื่องนี้เกี่ยวข้องเป็นอจินไตยข้อที่ ๑.พุทธวิสัย แปลว่าลักษณะวิสัยของพระพุทธเจ้าเช่นว่าการบำเพ็ญบารมี การถือกำเหนิด การออกบวช การตรัสรู้ การเทศนาสั่งสอน ต่าง ๆ นี้ล้วยเป็นพุทธวิสัยความเป็นไปของพระพุทธเจ้า หากไม่เกี่ยวข้องกับธรรมมะโดยตรง หลวงปู่มักจะไม่ค่อยแสดง เพราะพุทธสาวกไม่อาจแสดงธรรมก้าวก่ายในส่วนพุทธวิสัยได้ การแสดงธรรมก็จะกล่าวถึงบ้างเฉพาะที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
    ในประเด็นนี้หลวงปู่ได้แสดงว่า เมื่อมนุษย์ได้กำเหนิดมาในโลกในยุคแรกๆนั้นก็อยู่ปะปนกับหมู่สัตว์อื่น การกิน การอยู่ การผสมพันธ์ ก็เช่นสัตว์เดรฉานทั่วไป ต่อๆมาก็มีการพัฒนาขึ้นโดยมีการครองคู่และรู้จักละอาย ได้หาสิ่งของมาปกปิดร่างกายและอวัยวะต่างๆ ในยุคนี้ละที่พระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปป์นี้มาตรัสรู้
    ก็พระพุทธเจ้าองค์แรกหลวงปู่ก็ได้เห็น องค์ที่ ๒ และ ๓ ท่านก็เห็นแต่ท่านไม่แสดงมาเท่านั้น
    องค์ที่ ๔ คือองค์ในปัจจุบัน หลวงปู่ได้แสดงไว้แยะมากเช่นว่าตอนที่กำเหนิดเดินได้ ๗ เก้า ตอนสำเร็จฌาน๑เมื่ออายุ ๗ ขวบ ตอนจะตรัสรู้ โปรดชฎิล ในวันมาฆบูชา เป็นต้น ซึ่งข้อความที่หลวงปู่แสดงนั้น ไม่ได้ตรงกับพระไตรปิฎกแต่อย่างใด ท่านจะแสดงได้อย่างไรหากว่าท่านไม่เข้าไปเห็นความเป็นจริงในขณะนั้น
    การแสดงธรรมใดที่จะมีส่วนก้าวล่วงพุทธวิสัย พลวงปู่จะต้องกล่าวคำขอขมาต่อพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เสมอ
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  5. มันตระเทวะ

    มันตระเทวะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +30
    พวกเอ็งนี่ ช่างซื่อจริงๆๆเด็กบ้านข้า มันอ่านมันก็รู้ว่าเป็นความเท็จ เป็นเรื่องที่นั่งเทียนเขียนขึ้นมา ทุกวันนี้ฝรั่งมันศึกษาเรื่องกำเนิดโลก กำเนิดชีวิตและวิวัฒนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แค่เอ็งมีความรู้วิทยาศาสตร์ม.ต้นเอ็งก็จะรู้ว่าข้อความในกระทู้ค่อนข้างไร้สาระไม่ตรงกะความจริงหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ดูสารคดีท่องโลกกว้าง ไทยพีบีเอสบ้างนะเอ็ง มันยิ่งชอบเอามาฉายเรื่องพวกนี้อยู่

    เชื่อง่ายจริงๆๆ เด็กสมัยนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p236img2.png
      p236img2.png
      ขนาดไฟล์:
      254.5 KB
      เปิดดู:
      88
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    อยากเห็นจังพระอาทิตย์สีน้ำเงิน
     
  7. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ใช้วาจาก็ไม่สุภาพเลยนะครับ และหลักที่หลวงปู่แสดงมีเหตุมีเหตุทั้งสิ้น คุณไม่เชื่อผมก็ไม่ได้บังคับให้เชื่อครับ
    ตรงนี้เป็นญาณหยั่งรู้ในอดีตที่จะมีเกิดขึ้นได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น คนทั่วไปรู้ไม่ได้หรอกครับ
    ฝรั่งก็เป็นแค่คนเดินดินล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น คนฝรั่งผมก็เห็นมาแยะนะครับ ไม่เห็นว่าจะเป็นผู้วิเศษตรงไหน
    เรื่องทางวิทยาศาสตร์นั้นเขาว่าอย่างไรก็เรื่องของเขาครับ อย่างไรผมก็เชื่อว่าพุทธศาสตร์สูงกว่า ดีกว่า ผมเชื่อปัญญาของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลายนั้นดีกว่าแน่นอนครับ
    วิทยาศาสตร์สอนได้แต่วัตถุที่เป็รรูปธรรมเท่านั้น แต่พุทธศาตร์สอนได้ทั้งรูปธรรมถึงนามธรรม อย่างไรก็สูงกว่าครับ
    อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นเด็กครับ ความรู้ความสามารถในทางโลกีย์วิสัยผมก็มีพร้อมครับ
    หลวงปู่สาวกโลกอุดรมีตัวตนจริงแม้นว่าตอนนี้ท่านจะละสังขารไปแล้วก็ตาม ลูกศิษย์ท่านก็มีอยู่ทั่วๆไป
    ผมก็ขอเตือนคุณโดยตรงว่าที่คุณพูดอย่างนี้ ไม่ได้เป็นผลดีกับคุณหรอกนะครับ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็มาจากสิ่งที่เล็กที่สุด ยังมีพลังงานบางอย่างที่คุ้มครองพระธรรมของพระพุทธองค์ให้ดำรงค์คงอยู่จบครบ ๕,๐๐๐ ปี ตอนนี้คุณกำลังท้าทายพลังงานที่ว่านี้อยู่ ทางที่ดีผมแนะนำว่าอย่าเสี่ยงเลยนะครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันเคยมีเพื่อนเรียนร่วมที่สถาบันท่านนึงที่สนใจและนับถือ ลัทธิ วิคคา อันนี้ได้ยินกะหูตัวเองนะคะ เขาบอกมันมีอยู่ลัทธิ นึงทางยิวติดๆรัสเซีย รับประกันเลยว่าถ้าร่วมลัทธิ แล้ว เหาะเหินเดินอากาศได้ทุกคน
     
  9. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ภาพถ่ายของดวงอาทิตย์สีน้ำเงินก็มีแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Image.jpg
      Image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      284
  10. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมนับถือพุทธครับ
     
  11. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สารปรอธธาตุ พลังอำนาจเหนือขีดจำกัด

    สารปรอธธาตุเป็นต้นกำเหนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
    คนทำอะไรได้ สารปรอธก็ทำได้เพราะเขาเป็นบรรพบุรุษของเรา ทำได้มากกว่าเราอีก
    เราคิดเป็นเขาก็คิดเป็น และเขาก็สามารถรับรู้ความคิดของลูกหลานของเขาได้
    สารปรอธนี้ละมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมของคนเรา
    ในอดีตผู้ที่ต้องกรรมหนักถึงกับธรณีสูบ สารปรอธเป็นผู้กระทำให้เกิดธรณีสูบ
    สารปรอธที่ยังมีอยู่แม้นว่าไม่สามารถจะรวมตัวเป็นสิ่งที่มีชีวิตได้อีก แต่ก็มีพลังอำนาจตามธรรมชาติอย่างมหาศาล เช่นว่า
    ๑.แดนอาถรรพ์ทั้งหลายก็หมายถึงเป็นบริเวณที่เขาขึ้นลงเป็นประจำ(เขาอยู่ใต้โลก) ขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่ออาหาร อาหารของเขาคืออะไร ก็คนก็สัตว์นี้ละครับ ตรงไหนเป็นแดนอาถรรพ์ตรงนั้นก็จะมีคนเสียชีวิตกันบ่อย ต้นไม้ใหญ่ทำไมจึงมีอาถรรพ์ก็เพราะเป็นที่เขาขึ้นลงเป็นประจำ
    ๒.คุ้มครองธรรมโดยทำร้ายผู้ทำลายธรรมเมื่อเขามีโอกาส คุ้มครองธรรมของศาสนานี้ให้อยู่ครบ ๕,๐๐๐ ปี
    ๓.รวมตัวให้ปรากฏไปตามความนึกคิดของคนแล้วสลายตัว เช่น ผีสางต่างๆ ที่เห็นกัน หรือจานบิน จานผี ที่เห็นกันไปทั้งโลก
    ๔.รวมตัวเพื่อทำกิจกรรมบางอย่างแล้วสลายตัว เช่น สร้างปิรามิตร
    หลวงปู่แสดงธรรมว่าไม่มีมนุษย์ต่างดาวที่ไหนมาหรอก ก็สารปรอธนี้ละเขารวมตัวของเขา รวมไปตามความคิดของคนบ้าง ตามธรรมชาติของเขาบ้าง แต่มันมีความหนาแน่นน้อยมันจึงสลายตัวไป ไม่เป็นตัวเป็นตนเหมือนยุคแรก
    โรคไหลตายก็เขานี้ละเวลาเขาหิวขึ้นมาเขาก็กินได้ทั้งหมด ยิ่งพวกบาปหนาสาหัสพวกนี้ละที่เขาจะเลือกเป็นอาหารในลำดับต้นๆ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ก็ตายเหมือนเดิม
    ดังนั้นเราไม่ควรว่ากล่าวจาบจ้วงธรรมที่ผู้ปฏิบัติธรรมได้แสดงไว้ดีแล้วนั้น รวมทั้งกล่าวจาบจ้วงพระอาจารย์ที่ท่านสอนธรรมไม่ว่าระดับใดเป็นรายบุคคลด้วย
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013
  12. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    สารปรมาณูธาตุเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสามารถสัมผัสได้ด้วยพระญาณซึ่งทางวิทยาศาสตร์กว่าจะรู้ว่าเป็นอะตอมที่เล็กที่สุดในสะสารกว่าจะรู้เรื่องได้ก็ล้าหลังพระพุทธเจ้าไปหลายโยชน์ ศาสนาพุทธเป็นพุทธศาสตร์ อย่าเอาวิทยาศาสตร์มาเปรียบมันต่างกันยิ่งกว่าพื้นดินกับพื้นฟ้าหลายเท่านัก มันจะบาปตายนั่นหนา พูดอย่างนี้ก็พูดมาได้
     
  13. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    ขอบอกว่าแสงสีที่ร้อนมากคือสีน้ำเงินนะครับไม่ใช่สีแดง และหลวงปูแสดงว่าดวงอาทิตย์ดูดพลังงานจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลมาไว้ที่ตัวเขาเอง ซึ่งมีพลังงานความร้อนที่สูงมาก จึงเป็นสีน้ำเงิน ไม่ได้มาจากในตัวของดวงอาทิตย์เอง เพราะถ้าเป็นเช่นว่านั้นป่านนี้ระดับพลังงานความร้อนที่ออกมาจากตัวเองมากมายขนาดนั้น ตัวของเขาเองคงจะอยู่ไม่ได้เหมือนกันคงจะเเตกระเบิดไปนานแล้ว อย่างว่าความเป็นไปของโลกนั้นเป็นอจินไตยจะมีใครหนอที่จะรู้ได้ละเอียดลึกซึ่งได้เช่นพระพุทธเจ้า มนุษย์ปุถุชนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส เหตุฉะไหนหนอจึงจะรู้ได้ละเอียดทุกแง่ทุกมุม แม้กฎทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จะมีความแน่นอนเพียงใดก็ยังผิดพลาดได้ ด้วยทุกสิ่งเปลี่ยนแปรไปตามเหตุและปัจจัยทางธรรมชาติ แล้วจะมีสิ่งใดที่แน่นอนเชื่อถือได้บนโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
     
  14. มันตระเทวะ

    มันตระเทวะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +30
    เอ็งจักเอาอะไรกับข้าล่ะพ่อหนุ่มข้ามันคนแก่ ที่ต่างจังหวัดบ้านข้าเขาก็พูดเช่นนี้กันทั้งนั้น มิแปลกอันใดเลยนะจ๊ะ พ่อคุณ

    ที่เอ็งว่ามีเหตุผลข้าว่ามันไม่ตรงข้อเท็จจริงเลยสักนิด ความรู้วิทยาศาสตร์ม.ต้นมันก็รู้แล้ว เอ็งอย่ามาอ้างว่า "เป็นญาณหยั่งรู้ในอดีตที่จะมีเกิดขึ้นได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น คนทั่วไปรู้ไม่ได้หรอกครับ "
    เลยมันเป็นเรื่อง ที่นักต้มตุ้นทั่วไปเขาใช้กัน เรื่องพวกนี้เขาศึกษากันมาตั้งแต่มีอารยธรรมของมนุษญ์เขารวบรวมมามีเครื่องไม้เครื่องมือมีการทดลอง
    ถ้าผู้วิเศษเอ็งมีญาณรู้จริง มันก็ต้องสอดคล้องกันสิ

    แต่เอ....ข้าดูๆๆ แล้วมันมิได้สอดคล้องกันเลย แลถ้าผู้วิเศษเหล่านี้รู้จริงเอ..ทำไมไม่มีใครมอบรางวัลโนเบลทางฟิสิกส์ ทางเคมี ทางการแพทย์ให้เลยล่ะ ก็ไหนว่ารู้เรื่องทั้งทางวัตถุและไม่ใช่วัตถุไง ถ้าอ้างว่าเรื่องทางจิตทดสอบไม่ได้ก็ลองเรื่องทมางวัตถุที่ว่ารู้นักรู้หนาสิ โลกมันจะได้พัฒนาก้าวไกล

    พุทธศาตร์ก็พุทธศาตร์ วิทยาศาสตร์ก็วิทยาศาสตร์จุดยืนมันต่างกันมันค้นหาคำตอบของปัญหาคนล่ะแบบ เอ็งเอามาบนกันมั่วเพื่อให้ฟั่นเฟือนเล้นหรืออย่างไร

    ฝรั่งก็เป็นแค่คนเดินดินล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้นแล้วมีใครไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เอ็งช่วยยกตัวอย่างมาให้ข้าฟังสักคนสิมีใครไม่ตายบ้าง แม้พระพุทธองค์ยังทรงดับขันธปรินิพพาน ยังคงตายแต่การตายของพระองค์เป็นการดับแบบไม่เหลือเชื้อเช่นนั้นแล เรื่องนี้มิได้เกี่ยวอะไรกับฝรั่งแต่เกี่ยวกับองค์ความรู้ของมนุษญ์ที่สั่งสมกันมาตั้งแต่มนุษย์คนแรกมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตั้งคำถามแล้วอารยธรรมเก็บสะสมมา

    ความเชื่อส่วนความเชื่อนะจ๊ะ ความจริงส่วนความจริง ความเชื่อย่อมไม่จำเป็นว่าจักต้องเมือนความจริงก็ได้

    แล..อีกอย่างที่เอ็งว่า"คุณไม่เชื่อผมก็ไม่ได้บังคับให้เชื่อครับ" ก็แสดงว่าที่อ้างว่าเป็นคำสอนเป็นข้อมูลเป็นความจริงอะไรที่หลวงปู่สาวกโลกอุดร บอกนี้ เอ็งก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่ใช่ไหม? เพราะถ้าเอ็งรู้ ทำไมเอ็งถึงต้องเชื่อล่ะ ความเชื่อนี้เองที่ยืนยันว่าเอ็งไม่รุ้ว่าจริงหรือไม่ ใช่ไหมเพราะถ้าเอ็งรุ้เอ็งก็แค่รู้ จะไม่มีเรื่องความเชื่อโดยเด็จขาดเหมือนเอ็งรู้ว่าแมวมีจริงเอ็งเคยเห็นมัน เอ็งก็คง
    ไม่บอกว่าเอ็งเชื่อว่ามีแมว เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องเชื่อหรอกเพราะข้ารู้ว่ามันไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอย่างเด็จขาด


    ที่ว่าอย่าพูดหยุดพูดมันไม่เป็นผลดีกะข้า เพราะ ข้าพูดขัดในเอ็งใช่หรือไม่ ถ้าข้าเออ ออ อวย กะเอ็งก็คงจะเป็นผลดีกะข้าเป็นแน่แท้ มนุษย์เรานี่นะเอากับมันสิ แต่พอดีข้ายืนข้างสัจจะไม่ใช่จิตที่เจ้าเล่ห์กลิ้นกลอกของมนุษย์

    ส่วนหลวงปู่สาวกโลกอุดรมีตัวตนข้าไม่สนใจ ข้าสนใจแค่เรื่องเดียวคือสัจจะ
     
  15. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ครับ ไม่มีพระอาทิตย์หรือดาวฤกษ์สีน้ำเงินครับ บนท้องฟ้าแน่นอนครับ จะมีแค่สี แดง แสด เหลือง ขาวเท่านั้นครับถ้าใช้ตามอง

    เหตุผลอธิบายยากหน่อย อาจจะชวนงง แต่จะลองพยายามดูครับ

    ก่อนอื่นขอพูดถึงแสงก่อนแสงที่เราเห็นว่ามีเจ็ดสี นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของแสงนะครับมันมีแสงที่เรามองไม่เห็นอีกด้วย โดยเขาจะพูดว่าแสงมันต่างกันได้ยังไงเขาพูดด้วยความยาวคลื่นของมัน กะความถี่ของมัน ถ้าความยาวคลื่นมากความถี่จะน้อย ถ้าความถี่มากความยาวคลื่นจะน้อย นอกจากนี้ความถี่ยังบอกให้ทราบถึงพลังงาน พลังงานมากความถี่มากความยาวคลื่นน้อย
    อันนี้คือที่เขาแบ่งคราวๆๆ แสงที่มีความถี่ ความยาวคลื่นเท่ากัน จะมีพลังงานเท่ากันนั้นเอง


    แสงที่เรามองเห็นเราเรียกว่าแสงในช่วงที่ตามองเห็น(ความยาวคลื่น 400 นาโนเมตรถึง700นาโนเมตร)คือตาเราตรวจจับแสงในช่วงความยาวคลื่นนี้ได้แล้วสมองเป็นตัวแปรสีออกมา แต่ถ้าเป็นช่วงความยาวคลื่นที่ต่ำกว่า(ต่ำกว่า700นาโนเมตร มีอัลตราไวโอเล็ต เอกซ์ แกรม่าตามลำดับสูงไปต่ำกว่า)
    หรือสูงกว่าช่วงที่ตามองเห็น(อินฟราเรด ไมโคเวฟ คลื่นวิทยุต่ำไปสูงกว่า)เราก็จะมองไม่เห็น

    เรียงได้ว่าอัลตราไวโอเล็ต เอกซ์ แกรม่า แสงที่มองเห็น อินฟราเรด ไมโคเวฟ คลื่นวิทยุ


    ในช่วงที่ตามองเห็นแสงจะมีเจ็ดสี โดยที่ม่วงมีความยาวคลื่นต่ำสุด ความถี่มากสุด พลังงานจึ่งมากที่สุดในเจ็ดสี แดงก็จะเป็นไปในทางทางที่ตรงข้าม คือความยาวคลื่นมากสุด ความถี่ต่ำสุด พลังงานจึ่งต่ำที่สุด

    ทีนี้แสง เป็นได้ทั้งอนุภาคและคลื่น

    ทีนี้กลับมาที่ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ของเรามีพลังงานไม่เท่ากัน(ขึ้นปฏิกริยานิวเคลียส์ฟิวชั่นที่ใจกลางของมัน ) โดยเราสามารถดูคร่าวๆๆถึงความร้องได้จากสีของมัน แดง จะมีพลังงานน้อยกว่าแสด แสดน้อยกว่า เหลือง ที่เราเห็นว่ามันมีสีต่างเหล่านี้ ความจริงมันผลิตแสงออกมาในทุกความยาวคลื่นแต่ตาเราจับได้แค่แสงในช่วงคลื่นที่ตามองเห็นเท่านั้น เราจึ่งเห็นดาวมีสีเหล่านี้ ช่วงความยาวคลื่นที่มากกว่าหรือน้อยกว่าเรามองไม่เห็นแม้ว่าจะมีแสงในช่วงนั้นผลิตจากดาวออกมามากกว่าก็ตาม

    ทีนี้แสงความถี่น้อย พลังงานที่ใช้สร้างน้อย ผลิตได้ง่ายกว่าแสงความถี่มากกว่าพลังงานที่ใช้สร้างมากกว่า

    ทีนี้เรามาดูที่ดาวฤกษ์ สีที่เราเห็นจะบอกพลังงานที่ของมันอย่างคร่าวๆๆ โดยมันจะมีสีอะไรขึ้นอยู่กับว่ามันผลิตแสงในช่วงคลื่นที่ตามมองเห็นช่วงใดออกมามากที่สุด ถ้าผลิตในช่วงคลื่นสีแดงมากสุด มันก็จะมีสีแดง

    ทีนี้เราบอกแล้วว่าพลังงานขึ้นกับความถี่พลังงานมากความถี่มาก สมมติว่าดาวฤกษ์สีแดง มันผลิตแสงช่วงความยาวคลื่น700กว่านาโนเมตรโดยประมาณ ขึ้นมามากกว่าสีอื่น(ในช่วงตามองเห็น)ใช่ไหมครับ เราจึ่งเห็นสีแดงมากกว่า ทีนี้ถามว่ามันผลิตแสงที่เกิดในช่วงความยาวคลื่นที่ต่ำกว่าสีแดงออกมาหรือไม่ คำตอบคือใช่ แต่เรามองไม่เห็นเองเพราะตาเราจับมันไม่ได้ แสงในช่วงอินฟราเรด ไมโครเวฟ เป็นต้น แต่เรามองไม่เห็น ทั้งนี้เพราะ ถ้ามันมีพลังงานมากพอที่จะผลิตแสงสีแดงออกมาเป็นจำนวนมากเช่นนั้น มันก็ต้องมีพลังงานที่มากพอที่จะใช้ผลิตแสงในช่วงที่พลังงานต่ำกว่าออกมาได้มากเช่นกัน เพียงแต่ตาเราตรวจจับไม่ได้ แสงในช่วงอื่นของช่วงที่ตามมองเห็น ที่มีความยาวคลื่นสูงกว่าสีแดงก็ถูกผลิตออกมาเช่นกันแต่น้อยกว่า สีแดงจึ่งเห็นชัดกว่า เพราะพลังงานของดาวแต่ละดวงมีจำกัดที่ค่าหนึ่ง และการยิ่งแสงมีความถี่สูงพลังงานที่ใช้สร้างก็จะยิ่งต้องใช้มากขึ้น แสดสูงกว่าแดง ม่วงสูงกว่าแสด เอกซ์สูงกว่าม่วง

    ถ้าเห็นดาวเป็นสี แสด หรือเหลือง พลังงานของดาวก็จะสูงกว่าแดงมากขึ้นไปตามลำดับ จึ่งผลิตโพตอนของแสงในช่วงความถี่เหล่านี้ออกมาได้มากกว่าในช่วงความถี่ของสีแดงหรือสีที่ต่ำกว่าโดยเฉลี่ย สีของมันจึ่งเข้มกว่าจนเกห็นชัดกว่า ทีนี้พอถึงสีเขียว พลังงานจะมากพอจนสร้าง สีแดง สีแสด สีเหลือง สีเขียวออกมาด้วยจำนวนมากมายมหาศาล(แม้จะไม่ได้เท่ากัน) มันจึ่งรวมกันเป็นสีขาว ไม่จำเป็นว่าต้องมีเจ็ดสีครบจึ่งจะได้สีขาวนะครับ ตั้งแต่นั้น คือต่อให้มันมีพลังงานมากกว่านี้มันก็ยังคงเปล่งสีขาว และต่อให้มันมีพลังงานมากมากจนผลิตแสงในช่วงอัลตราไวโอเล็ต เอกซ์ แกรม่าออกมามากกว่าในช่วงตามองเห็นเราก็ยังคงเห็นมันเป็นสีขาวอยู่ดีเพราะเราตรวจจับได้แค่ในช่วงความยาวคลื่น400 นาโนเมตรถึง700นาโนเมตรเท่านั้น จึ่งเห็นเป็นสีขาวอยู่ดี


    สรุป ดาวฤกษ์ที่เห็นจึ่งมีเพียงสีแดง แสด เหลือง ขาวเท่านั้น ไม่มีวันที่จะเป็นสีน้ำเงินโดยเด็จขาด ต้องขออภัยถ้างงเพราะหนึ่งเราไม่ได้ใช้สมการเราใช้คำพูดธรรมดา ถ้าเอากันจริงๆๆเป็นวิทยาศาสตร์ระดับสูงต้องใช้ศาสตร์หลายศาสตร์หลายสาขามาผสมในการอธิบายจึ่งจะเข้าใจและต้องเป็นคนที่เชี่ยวาญด้วยอันนี้แตค่พูดแบบสรุปคร่าวๆๆ

    อย่างไรก็ตามถ้าไปดูType of star on their color จะเห็นว่ามีเจ็ดสี แต่สีในที่นี้ไม่ใช่เกิดจากตามองดูดาวฤกษ์แล้วเห็นว่ามันเป็นสีนั้นนี้ แต่เกิดจากการใช้เครื่องมือวัดแสงในช่วงที่ตามมองเห็น แล้วดูว่าความยาวคลื่นเข้มสุดของดาวแต่ละดวงที่วัดมีค่าเท่าไหร่แล้วนำมาจัดลำดับ โดยนำไปเทียบกับสเปกตรัมของอะตอมของธาตุบนโลก เวลาที่ได้รับพลังงานแล้วเปล่งสี(จริงๆๆคือแสง)นัี้นออกมา แล้วสร้างตารางขึ้นมาแบ่งเป็น o b a f g k m (แต่ละตัวยังซับซ้อนลงไปอีกจนมีแต่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะรู้จะอ่านได้) ทั้งนี้เพราะมีประโยชน์ในการบอกว่ามีธาตุอะไรเป็นองค์ประกอบของดาวและมีอุณหภูมิเฉลี่ยเท่าไหร่

    ทีนี้ภาพถ่ายที่เห็นเป็นสีน้ำเงินไม่ใช่ว่ามันมีสีนั้น แต่มันเป็นสีที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี อันที่จริงภาพนี้เป็นภาพถ่ายของดวงอาทิตย์ เรานี่เอง เขายังมีอีกหลายสี คือเขาต้องการถ่ายภาพดวงอาทิตย์จากแสงเฉพาะแค่ช่วงที่เขาสนใจเท่านั้น เขาจึ่งกรองแสงสีอื่นออก แล้วตรวจจับเฉพาะแสงในช่วงความยาวคลื่นนั้นนี้เท่านั้นแล้วฉายเฉพาะแสงนั้นบนฟิมล์ หรือ เทคโนโลยีสมัยใหม่ แล้วสร้างสีขึ้นเองเพื่อให้เห็นภาพชัดจะได้ศึกษาได้ ภาพสีน้ำเงินที่เห็นคือภาพที่ถ่ายจากแสงของดวงอาทิตย์ที่กรองเฉพาะ ช่วง 17.1 นาโนเมตร เท่านั้น เรียกว่าภาพ FelX ถ่ายโดยดาวเทียม SoHo ของน่าซ่า และ องค์การอวกาศแห่งยุโรป ดูดวงอาทิตร์เราสิคุณเห็นว่ามันเป็นสีน้ำเงินหรือ? ภาพนี้ภาพดวงอาทิตย์เรานี่แหละ

    ไม่มีดวงอาทิตย์สีนั้นอย่างเด็จขาดเมื่องมองด้วยตาเปล่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  16. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    หลวงปู่รู้เห็นด้วยอตีตังคฌานครับ
     
  17. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สาธุครับ
     
  18. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    เอาตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ยังพิสูจน์มิได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจักไม่มีนะจ๊ะ และวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ก็ยังมีอีกเยอะนะจ๊ะ จริงไม่จริงจ๊ะ เรื่องรูปธรรม กับ นามธรรม แค่นี้ไม่ Get หรอจ๊ะ ของบางอย่างสามารถวัดออกมาเป็นรูปธรรมให้เห็นได้ไหมจ๊ะ เช่น สภาวะนิพพานเป็นเช่นไร มีคนไปวัดออกมาในรูปแบบทฤษฎีหรือวิทยาศาสตร์ละจ๊ะ
     
  19. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    เถียงกันไม่จบหรอก ก็เป็นตาบอดคล้ำช้างกันอยู่ จะให้ว่าอย่างไรหละจ๊ะ พ่อคุณ
     
  20. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    ปรามาสกันเข้าไปซิ ดูุถูกกันเข้าไปซิ หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล โปรดจำนามนี้ให้ชัดๆ ผมเฝ้ารอดูอยู่ เป็นอยู่กันเช่นไรโปรดนำมาเล่าเท้าความกระผมด้วยนะครับ ว่าพวกท่านมีสุขหรือทุกข์ประการใดบ้าง ที่ถามในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ไม่แน่เราเคยอาจจะเป็นศัตรูกัน หรือ ญาติกันก็ได้ ถึงได้บรรจบเวียนกันมาพบอีกครั้งหนึ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...