บทเรียนจากการไล่ล่า 'พระอรหันต์'

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 1 สิงหาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    โดยทัศนะส่วนตัว ผมเห็นว่าชาวพุทธเราส่วนใหญ่ ยังคงชอบ 'ไล่ล่าหาพระอรหันต์' กันอยู่ บ้างก็เพื่อกราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคล, บ้างก็จะไปขอส่วนสรีระของท่านมาบูชา ไม่ว่าจะเป็นกระดูก ฟัน หรือแม้แต่ 'ขี้' ก็เอา บ้างก็เพื่ออยากได้ บุญ-ทาน ที่หว่านลงบนเนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์ เพื่อเปี่ยมอานิสงส์สูงสุด ไม่รู้ไปเชื่อตำราที่ไหนมา ที่ว่า การทำบุญแบบทวีคูณ คูณแฟกเตอร์ ๑๐๐ เท่าไปเรื่อยๆ จาก ทำทานต่อสัตว์เดรัจฉาน ได้บุญน้อยกว่ากับคนทุศีล ๑๐๐ เท่า ทำทานแก่คนทุศีล ได้บุญน้อยกว่าคนมีศีล ๕ ถึง ๑๐๐ เท่า ฯลฯ ทำบุญแด่พระธรรมดาๆ หรืออริยสงฆ์ชั้นต้น ก็ยังได้บุญน้อยกว่า พระอรหันต์ เป็นต้น ไล่ไปเรื่อยๆ ฯลฯ กระทั่งถึง ธรรมทาน การให้ธรรมะเป็นทานสูงสุด

    พุทธบริษัทเรา จึงเฝ้าเค้นหาล่าพระอรหันต์มาให้ได้แบบองค์เป็นๆ เพื่อจะได้อานิสงส์แห่งบุญสูงๆ เพราะเป็นขั้นเกือบสูงสุดทีเดียว นี้คือ ความบ้า อย่างหนึ่ง
    ผมไม่แน่ใจนักว่า ทฤษฎีทวีคูณ ทีละร้อยๆ แบบนี้ จะถูกต้องหรือไม่ แต่ผมรู้เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนมาอย่างหนึ่งนะครับว่า ท่านไม่เคยสอนให้เรา อยากได้ อยากมี อยากเป็น แม้แต่การทำบุญทำทาน ก็เป็นไปเพื่อ สละ ละอัตตา ตัวตน เพื่อความไม่มี ไม่เอา ไม่เป็น ทั้งสิ้น ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดไล่ล่าหาพระอรหันต์มาทำบุญ เพื่อตัวกูของกู จะได้มีบุญวัตถุที่สูงๆ ขึ้นไปนั้น ไม่น่าจะถูกต้องตามพระพุทธประสงค์เลย

    อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง ชาวพุทธเราจึงอ่อนแอ และถูกหลอกได้ง่าย พระพุทธเจ้าให้เราพึ่งตนเอง ก็ดันไปพึ่งพระอรหันต์ (ถึงแม้จะเป็นอรหันต์จริง) ก็ยังเป็นเหตุปัจจัยภายนอกอยู่ดี พระพุทธเจ้าให้บูชาพระธรรมวินัย ก็ดันไปบูชาพระอวดปาฏิหาริย์ ไปซื้อกระเป๋าหลุยส์ให้พระนอกรีตที่ทรยศแม้ต่อพระธรรมวินัย อย่างนี้เป็นต้น ชาวพุทธเราทุกวันนี้ จึงอ่อนแอมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ในหนังสือ 'อตัมมยตาประยุกต์' ที่ว่า "พุทธศาสนาเรา อ่อนแอ ไม่ก้าวหน้า ก็เพราะ พุทธบริษัทไม่รู้จัก อตัมมยตา !!!"

    อตัมมยตา หมายถึง ภาวะที่ไม่ต้องเนื่องหรืออาศัยปัจจัยอะไรๆ ได้แก่อสังขตธรรมอันเป็นธรรมที่ปราศจากตัณหา หรือภาษาของท่านพุทธทาสก็คือ "กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย"

    ด้วยเหตุนี้ที่ปรากฏเป็นข่าว กรณี 'หลวงปู่เณรคำ' จึงมิได้ทำให้ผมแปลกใจมากนัก มันมีมาอยู่เรื่อยๆ และยังจะมีมาอีกในอนาคต ตราบใดที่จิตกูยังอยากจะเอาโน่นเอานี่อยู่ ตราบนั้นก็จะมีคนสร้างอรหันต์จำแลงมาสนองความอยากจนได้ในรูปแบบต่างๆ (จงอย่าได้แปลกใจ หรือ เสื่อมศรัทธาต่อพระศาสนาเลยครับ พุทธศาสนายังคงบริสุทธิ์ เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาลนาน)

    ที่จริงผมไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีนี้เลย แต่บังเอิญมีประสบการณ์ตรงที่ได้ไปเกี่ยวข้องบางเหตุการณ์อยู่ จึงเห็นว่า หากประสบการณ์ตรงของผมนี้จะมีประโยชน์ต่อพวกเราชาวพุทธก็ยินดี (เสี่ยงกับพวกอลัชชี) ครับ

    หลายปีมาแล้ว ด้วยความสนิทกับกับเจ้าของยาสีฟันสมุนไพรชื่อดังของไทย เธอเป็นคนใจบุญสุนทาน มักเปิดบ้านเป็นลานธรรมแล้วนิมนต์พระหลากหลายมาเทศน์สอนธรรมตามกาล จึงมีโอกาสแวะเวียนไปฟังธรรมที่นั่นเป็นครั้งคราว ก่อนไปก็ได้ยินเสียงสรรเสริญร่ำลือประโคมกันใหญ่ บ้างว่า พระองค์นี้มีฤทธิ์ มีรถนำขบวนยาว ตำรวจล้อมหน้าล้อมหลัง ราวกับเป็นบุคคลสำคัญของชาติ ซ้ำยังมีเฮลิคอปเตอร์เป็นของตนเอง???

    ทำให้ผมเริ่มตั้งข้อสังเกตตั้งแต่นั้นมา เอ๊ะ นั่นใช่ศิษย์ของพระตถาคตเจ้าหรือไม่? พระป่าอะไร เหตุใดอลังการงานสร้างขนาดนั้น แล้วชื่อหลวงปู่เณรคำเนี่ย จะเป็นพระแก่ (หลวงปู่) หรือเณรกันแน่ อายุอ่อนกว่าผมตั้ง ๑๒ ปี เหตุใดจึงเรียก 'หลวงปู่' ??? แต่ด้วยความเกรงใจ และทัศนคติของชาวพุทธ ที่มักยอมเปิดใจกว้างรับฟังไว้ก่อน เชื่อไม่เชื่อ ก็ค่อยนำสิ่งที่ท่านสอนไปพิจารณาโดยแยบคายอีกที

    อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนอาวุโสผู้นี้ เธอให้ผมไปตาม 'เณรคำ' มาฉันเช้า ผมจึงมีโอกาสอยู่สองต่อสองกับท่านพักหนึ่ง ก็ถือโอกาสปุจฉาธรรมข้อหนึ่งกับท่านไป
    “จริงไหม ที่มีในพระไตรปิฎกว่า คนเราหากบรรลุอรหัตผล แล้วไม่ไปบวชใน ๗ วัน จะต้องตาย”

    ซึ่งท่านก็ตอบได้พอสมควร แต่มิได้ลึกซึ้งอะไรมาก สักพัก มีพระลูกศิษย์หอบกระสอบเงินสด ที่ญาติโยมบริจาคมานั่งนับหน้าตาเฉย อยู่ข้างๆ ที่ผมนั่ง อีกครู่หนึ่งก็มีคุณป้า ๓ คน บุกเข้ามาจะกราบท่านให้ได้ เมื่อได้กราบสมใจแล้ว ทั้ง ๓ ป้าก็กล่าวคำสรรเสริญเยินยอสารพันว่าศรัทธาท่านผ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (ปาฏิหาริย์อันเป็นการอวดอุตริมนุษธรรม) แล้วคุณป้าคนหนึ่งก็ถาม

    “พระอรหันต์ มีหน้าที่ทำอะไรเหรอ เจ้าคะ?”

    ก่อนเณรคำจะตอบ แกหันไปมองพระลูกศิษย์ที่กำลังจดจ่ออยู่กับการนับเงินในกระสอบนั้น (ประมาณว่า เงินเยอะขนาดต้องนับกันเป็นหลายชั่วโมง) แล้วหันมายิ้มแบบคนเจ้าเล่ห์ แล้วตอบทั้ง ๓ ป้าว่า

    “นั่นไงล่ะ หน้าที่ของพระอรหันต์ นับเงินสด!!!”

    จบข่าวแล้ว (ผมนึกในใจ) และแล้วศรัทธาจากทั้ง ๓ ป้า ยังไม่จางหาย พวกเธอผู้มีรายได้กระเบียดกระเสียด สู่อุตส่าห์ควักกระเป๋ากางเกง เอาเงินมารวมกันทั้ง ๓ ป้า ได้มาราว ๘๐๐ บาท ถวายให้หลวงปู่เณรคำ แล้วกล่าวว่า

    “พวกอิฉัน ขอต่อบุญด้วยนะคะ” (พวกเธอกล่าวด้วยคำบริสุทธิ์และตั้งใจจริง)

    แต่เณรคำ (จำต้องเรียกตามสมมุติไปก่อน) กลับพูดอย่างดูแคลนเธอทั้งสามว่า

    “ต่อบุญกันแค่นี้เองเหรอ ทำไมน้อยจัง?”

    ผมลุกขึ้นออกจากที่เคยนั่ง เดินกลับไปทางที่ที่เคยเดินเข้าไป แล้วเดินอย่างเซ็งๆ ออกไปจากสิ่งแวดล้อมนั้น คิดเอาเองในใจว่าผู้นี้ ไม่ใช่ทั้ง 'หลวงปู่ ไม่ใช่ทั้ง 'เณร' แล้วล่ะ แต่คงเป็นได้แค่ 'อลัชชี' ผู้ปล้นสะดมชาวพุทธ และบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา !!!

    ตื่นเถิดชาวพุทธ ปลุกจิตสำนึกให้พุทธะ ให้รู้ตื่น เบิกบาน ด้วยธรรมอันพระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว การประพฤติพรหมจรรย์ ทำทาน-ถือศีล-ปฏิบัติภาวนา ก็เพื่อการสละ ละอัตตาตัวตน เพื่อพ้นทุกข์, ให้หยุดอยาก หยุดยึดกันได้แล้ว มิใช่จ้องแต่จะตามล่าหาพระอรหันต์เพื่อตักตวงบุญตุนกุศลจนเต็มล้นยุ้งฉางแห่งตัวกูของกูจนบ้ากันไปใหญ่

    ท้ายที่สุดนี้ ผมขอโอกาสฝากข้อคิดเตือนสติไว้ จะกราบไหว้ ฝังฝากรากลึกแห่งศรัทธาลงไปที่พระอาจารย์รูปหนึ่งรูปใด หรือคณะบุคคลหนึ่งคณะบุคคลใดก็ตาม ขอให้พิจารณาบัญญัติ ๑๒ ประการ ที่ผมตั้งข้อสังเกตมาไว้ให้ดีก่อน จะได้ไม่มาเสียใจในภายภาคหน้านะครับ

    บัญญัติ 'ดูพระปลอม'

    ๑. มักพูดเปรยว่าชาติก่อนเราเป็น แม่ (พ่อ) - ลูกกัน

    ๒. อวดอ้างปาฏิหาริย์ที่มิใช่คำสอนฯ

    ๓. ทำตัวเป็นเทพเจ้า ให้ศิษย์เฝ้าอ้อนวอน

    ๔. ไม่จริงจังต่อคำสอนแห่งพระพุทธองค์

    ๕. คำสอนส่วนใหญ่ ไม่เนื่องด้วยการหลุดพ้น (วิมุตติธรรม, วิราคะธรรม)

    ๖. เลือกโปรดคน โดยดูว่า รวย/จน เป็นเป้าประสงค์

    ๗. มีทรัพย์สิน/ความเป็นอยู่ เกินกว่าที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระธรรมวินัย

    ๘. ชอบสร้างสิ่งใหญ่โต โอ้อวด ผลาญเงินมากมาย

    ๙. อ่อนกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของตัวเอง ไม่ชัดเจนในประวัติการบวช

    ๑๐.ไม่ยำเกรงต่อพระอาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่

    ๑๑.แอบเอาวันเวลาเกิดญาติโยมผู้มั่งคั่งไปทำคุณไสยฯ

    ๑๒.ทำตัวยิ่งใหญ่ เกิน 'พระภิกษุ ผู้ขอข้าวคน'

    �����¹�ҡ��������Ҿ�����ѹ�� : ��ʹҾ������ͧ : ���Ƿ���� : ���Ѵ�֡�͹�Ź�
     
  2. Note_nt

    Note_nt Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +88
    วิธีสร้างบุญบารมี เป็นหนังสือของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันครับ แต่ก่อนก็ไม่รู้พอได้อ่านก็รู้สึกว่าเป็นประโยชน์กับชาติปัจจุบันนี้จนถึงนิพพาน(ไม่รู้ว่าชาติไหน)เลยครับ มีบอกทุกอย่างนะครับ ทาน ศีล สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน อ่านแล้วทำตามแล้วจะเป็นประโยชน์ให้บารมีเต็มเร็ว ยังไม่นิพพานก็จะเกิดมามีทุกข์น้อย สมัยก่อนเคยทำทานให้อาหารปลาตลอดเพราะคิดว่าได้บุญเท่ากันหมดทุกอย่าง ตอนนี้ก็ทำบุญอย่างอื่นที่หลากหลายจากเดิมได้บุญมากกว่า แต่ก็ยังให้อาหารปลาแล้วก็ยังบ่อยกว่าเดิม ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จากไม่เคยได้เข้าใกล้พระ ก็เข้าใกล้ขึ้น ได้ฟังธรรมดีดีจากท่าน ได้ขวนขวายหาเทศน์ของครูบาอาจารย์มาฟัง ค่อยๆปลงได้บ้างตามลำดับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกที่ทำให้สนใจอ่านหนังสือธรรมะ ทำให้คิดเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน แล้วทำมาจนทุกวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    กรมกินพระ
    จะลอยตัวอยู่เหนือปัญหา
    และคอยกินพระที่กำลังสร้าง
    ความมั่งคั่งรูปต่อต่อไป!!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...