จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    วันนี้วันพระตรงกับวันอังคาร แรม ๘ ค่ำ เดือนแปด(๘) ปีมะเส็ง

    พระธรรมเทศนา โดย พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ผลของทานไปนิพพานได้

    วันนี้พระท่านแนะนำมา ให้พูดกำลังของทาน คือว่า ท่านบอกว่า กำลังของทานในศาสนาของเรา มีการทำบุญอยู่ ๓ อย่าง คือ:-

    ๑. ทาน
    ๒. ศีล
    ๓. ภาวนา

    วันนี้ให้ถือกำลังของทานเป็นสำคัญ กำลังของทานก็จะขอนำพระสูตรๆ หนึ่ง ถ้าเราเอาพระสูตรมาคุยกัน ก็เห็นจะคุยกันง่ายหน่อย ฟังกันรู้เรื่อง คือพระสูตรๆ หนึ่งที่เรียกกันว่า ท่านปูติคัตติสสะ ความมีอยู่ว่า

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี เวลานั้นองค์สมเด็จพระมหามุนีทรงปรารภ พระปูติคัตติสสะเถระ ทรงตรัสพระธรรมเทศนาว่า
    "อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ"เนื้อความมีอยู่ว่า ในเมืองนั้นปรากฏว่ามีกุลบุตรคนหนึ่ง ขณะที่ได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาระแรก ก็มีความเลื่อมใส เมื่อมีความเลื่อมใสก็ตั้งใจถวายตนในพระพุทธศาสนา นั่นก็หมายความว่า ต้องการจะบวชตลอดชีวิต เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้ว ก็ขออุปสมบทบรรพชาจากพระพุทธเจ้า เมื่อบวชเป็นพระแล้วไม่นานนัก ก็มีกำลังขั้นฌานโลกีย์ทรงตัวได้บ้าง ทรงตัวไม่ได้บ้าง กำลังยังไม่มั่นคง

    ต่อมา โรคร้ายก็ปรากฏกับร่างกายของท่าน มันเป็นตุ่มเล็กๆ นิดๆ ทั่วตัว ต่อมาเจ้าตุ่มนั้นก็โตขึ้นเท่าเม็ดถั่วเขียว จากเม็ดถั่วเขียวเท่าเม็ดถั่วเหลือง จากเม็ดถั่วเหลืองก็เท่าผลส้ม หนักเข้าๆ ก็โตเท่าผลมะตูม มันเต็มตัวไปหมด พอเม็ดต่างๆ พองใสโตเท่ามะตูมมันก็แตก แตกทั้งหมดเป็นนํ้าเหลืองเยิ้มทั้งร่างกาย ท่านก็ลุกไม่ไหว
    บรรดาพระทั้งหลายก็ปฏิบัติตามกำลัง ต่อมาไม่ช้าไม่นานนักกระดูกของท่านก็แตก คำว่า กระดูแตก นี่ตามบาลีไม่ได้บอกว่าแตกส่วนใดส่วนหนึ่ง คงจะแตกทั้งกาย ผ้าก็เลอะเทอะไปทั้งน้ำเหลือง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติไม่ไหว เมื่อปฏิบัติไม่ไหวก็พากันทิ้งปล่อยรอความตาย

    ท่านบอกว่า คืนวันที่พระทิ้ง สมมุติว่าทิ้งวันนี้นะ เวลาเช้ามืดพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตามลีลาการตรวจอุปนิสัยของสัตว์พระพุทธเจ้านี่ ตามพระสูตรๆ นี้ บอกว่า มีสองเวลา คือ:-
    ถ้าเวลาเช้ามืดท่านตรวจจากขอบจักรวาลเข้ามาถึงที่อยู่ของพระองค์
    ถ้าเวลาตอนเย็นพระองค์ก็ตรวจจากที่อยู่ของพระองค์ไปหาขอบจักรวาล
    แต่วันนั้นเป็นเวลาตรวจอุปนิสัยของสัตว์ในตอนเช้ามืดจากขอบจักรวาลเข้า ในสถานที่อื่นก็ยังไม่เห็นว่าใครจะบรรลุมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    ต่อมา เมื่อทรงตรวจใกล้เข้ามาเขตวิหารของพระองค์ พระปูติคัตติสสะ นี่อยู่วิหารของพระพุทธเจ้าอยู่วิหารเดียวกัน ปรากฏว่า ท่านก็เห็นพระปูติคัตติสสะว่ามีนิสัยเป็นอรหันต์ในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ พระติสสะ หรือ ปูติคัตติสสะ (ปูติคัต เขาแปล่า เน่า พระติสสะผู้มีร่างกายเน่า)
    ในวันพรุ่งนี้จะได้บรรลุมรรคผลคือ อรหันต์ พร้อมกับนิพพาน และก็ทรงทราบว่าเวลานี้บรรดาพระลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายพากันทอดทิ้ง เธอมีร่างกายเน่าไปทั้งตัว ผ้าก็เต็มชื้นไปทั้งนํ้าเหลืองเกรอะกรังทั้งร่างกาย ทั้งผ้า กระดูกร่างกายก็แตกขยับร่างกายไม่ไหว ก็ทรงดำริต่อไปว่า"นอกจากตถาคตเสียแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งแก่เธอได้"

    ฉะนั้น เวลาเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ก็เสด็จออกจากวิหารของพระองค์ ทำเป็นว่าเที่ยวไปในวิหาร เรียกว่าเดินไปเดินมาก็แวะห้องของพระติสสะ ทรงเอากานํ้ามาตั้งที่เตาต้มให้ร้อน แล้วเอาผ้าที่เปื้อนนํ้าเหลืองของเธอมาหวังจะซัก
    ก็พอดีพระสงฆ์เห็นเข้าก็บอกว่า
    "งานนี้ข้าพระพุทธเจ้าทำเอง พระพุทธเจ้าข้า"
    ท่านก็เลยหยิบผ้าที่มีนํ้าเหลืองมาบอกว่าต้มนํ้าให้ร้อน เอาผ้านี้ต้มขยี้ให้หมดนํ้าเหลือง แล้วท่านก็เอาผ้าผืนหนึ่งไปชุบนํ้าร้อนมา ค่อยๆ เช็ดตัวของพระติสสะ ที่น้ำเหลืองกรังทั้งตัว เช็ดจนกระทั่งนํ้าเหลืองแห้งหมด ร่างกายสะอาด เวลานั้นพระติสสะก็มีความเบาใจชื่นใจ มีอาการปลอดโปร่งขึ้นมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ที่ทำตอนนั้น ก็คือ พระพุทธเจ้า กำลังก็เกิดมาก
    ต่อมา องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงตรัส เห็นเธอมีกำลังเบาใจ
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    "ภิกษุ ร่างกายของเธอนี้ มีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ จะนอนทับแผ่นดินเหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์"
    และต่อมาก็ทรงตรัสเป็นคาถาว่า
    "อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ
    ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง"
    ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
    "ภิกษุ ไม่นานนักหนอร่างกายนี้จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว จะนอนทับผืนแผ่นดินที่บุคคลทั้งหลายเขาจะทอดทิ้งไป เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์"
    พอท่านฟังเพียงเท่านี้ ท่านบรรลุอรหัตผล พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณ แล้วก็นิพพานทันที

    ทีนี้ก็มาว่าถึง กฎของกรรม เมื่อพระติสสะ (คำว่า ปูติคัต แปลว่า เน่า เติมเข้ามา) เมื่อพระปูติคัตติสสะนิพพานแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าให้ทำเจดีย์ พระพุทธเจ้าสั่งเผาร่างกายแล้วเอากระดูกบรรจุเจดีย์เข้าไว้ ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า
    "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า พระติสสะทำกรรมอะไรไว้ จึงมีร่างกายเน่า และกระดูกแตก"
    ความจริงท่านถามไว้สองตอน ฉันขอรวบรัด และก็ในที่สุด ได้บรรลุอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณไปนิพพานได้
    องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า
    "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ปูติคัตติสสะ หรือพระติสสะอย่างเดียวก็ได้ ในชาติก่อนโน้นเธอเป็นพรานฆ่านก คือดักนกบ้าง ยิงนกบ้าง เอามาขายกับอิตทรชนที่มีสตางค์ บางวันถ้ายังขายไม่หมด มีนกน้อยๆ ก็ย่างเก็บไว้ขายในวันพรุ่งนี้ บางวันก็นกเหลือมากก็ย่างบ้าง ส่วนที่ยังเหลือจะขายสดในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะปล่อยไว้เฉยๆ ก็เกรงว่านกจะบินหนีไป ก็เลยหักขาบ้างหักกระดูกบ้าง ป้องกันนกบิน" ท่านกล่าวว่า"เพราะกรรมอย่างนี้เป็นปัจจัยให้ติสสะ มีกายเน่า และก็มีกระดูกแตก"

    ต่อไปขั้นที่สองที่พระถามว่า ผลบุญอะไร จึงได้สำเร็จพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ และก็นิพพานในเวลาเดียวกัน ข้อนี้ญาติโยมฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ
    เพราะมีพระจำนวนมาก บอกผลของทานไม่สามารถจะไปนิพพานได้ แต่ว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า ผลของทานไปนิพพานได้
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัย เมื่อติสสะฆ่านกขาย วันหนึ่งปรากฏว่า มีพระขีณาสพ พระขีณาสพก็คือพระอรหันต์ มาบิณฑบาตในเวลาเช้า นายพรานนกเห็นเข้าก็นิมนต์ท่านยืนอยู่ก็รับบาตรมา มีความรู้สึกว่าเขาทำบาปทุกวันไม่เคยทำบุญเลย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็สั่งคนในบ้านให้ทำกับข้าวให้รสอร่อยที่สุดที่ชอบที่สุด เอาเนื้อนกนั่นแหละทำ เมื่อทำเสร็จก็นำไปใส่บาตรพระ จนเต็มเป็นที่พอใจของตนเอง"

    ท่านบอกว่า ได้ผลบุญ คือถวายทานกับพระขีณาสพนี่เอง (คำว่า ขีณาสพ คือ พระอรหันต์) มาชาตินี้ชาติสุดท้ายเป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ นี่ที่ท่านบอกว่าให้ปรารภเรื่องทานเป็นสำคัญ เพราะว่าการทำบุญในพระพุทธศาสนามี ทาน ศีล ภาวนา จะได้ทราบกันว่า การให้ทานหรือทำทานนี่ สามารถเป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานได้

    ทีนี้ก็ขอย้ำกล่าวถึงบุญ การถวายทานนี่มีอานิสงส์ไม่เสมอกัน ถวายทานเป็นส่วนบุคคลก็มีอานิสงส์ตามลำดับ ก็ขอตัดเอาขั้นสูงเลย ที่ท่านบอกว่า
    ถวายทานแก่พระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีอานิสงส์ไม่เท่าถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
    ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
    ถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
    ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
    และต่อมาท่านต่อว่า
    "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ"
    การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทุกอย่าง
    ก็หมายความว่า การสร้างหนังสือธรรมะ การให้วิชาความรู้ หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่สอนธรรมะแก่คนก็ดี สอนกรรมฐานแก่คนก็ดี นี่เป็นธรรมทาน สอนกรรมฐานเป็นทานขั้นสูงสุด


    ฉะนั้น เวลานี้ท่านแนะนำให้บอกญาติโยมตามตรงว่า การที่วัดนี้จัดให้มีการถวายสังฆทานชุดเล็กก็ดี ชุดใหญ่ก็ตาม และชุดหนึ่งคนเดียวก็ตาม จะหลายคนร่วมกันทำก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์ในการถวายสังฆทาน และสังฆทานของท่านมีอานิสงส์มากกว่าพระติสสะถวายแด่พระขีณาสพ เพราะว่าพระขีณาสพเป็นพระอรหันต์องค์เดียว
    ตามบาลีท่านบอกไว้แล้วว่า
    ถวายทานแก่พระอรหันต์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
    ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานแด่พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
    ถวายทานแด่พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
    อานิสงส์สูง ฉะนั้น ทุกคนให้มั่นใจในทานที่ถวายแล้ว สวัสดี*

    Cr..by... มูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2013
  2. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    :: ข้อคิดจากความฝัน ::


    [​IMG]


    ...เมื่อคืนก่อนฝันว่าทานข้าวกับญาติพี่น้องอยู่บ้านตัวเอง และหนึ่งในนั้นก็มีลุงซึ่งเป็นคนดื่มเหล้า-เมาตลอด พร้อมเพื่อนลุงมาทานข้าวด้วยกันกับญาติฝ่ายแม่ ในฝันก็กินข้าวอยู่ ไปพูดคุยกันยังไงไม่รู้ เราเลยทะเลาะกับเพื่อนลุงซะงั้น ประมานว่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่ใช่คนทะเลาะกับใครง่ายขนาดนี้ แต่จนแล้วจนรอดเพื่อนลุงคนนั้นโมโห คว้าปืนที่ตัวเองพกติดตัวมาขู่จะยิงเรา ต่อหน้าครอบครัวเรา เราก็ตกใจแต่ก็ไม่ได้ถ้าอะไร จะยิงก็ยิง แต่เรื่องก็จบด้วยดี เพราะไม่มีใครตอบโต้ เพื่อนลุงคนนั้นก็เก็บปืน แต่จิตเรานี่สิ ทำไมถึงรู้สึกมีอารมณ์ (ปกติฝันแล้วจะไม่ค่อยรู้สึกมาที่กาย แต่ ณ ตอนนี้เริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่จิตก็ยังอยู่ในฝัน)


    [​IMG]


    ...จากนั้นสักพัก เราก็หันไปมองท้องฟ้า เห็นกลุ่มควันหรือเมฆสีดำอยู่บนท้องฟ้าพุ่งมาหาพวกเรา ณ ตอนนั้นพอเห็นปุ๊บมีความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งชั่วร้าย เหมือนพญามารขี่ม้าดำพุ่งเข้ามาทั้งกองทัพ เรากรีดร้องคนแรกที่เห็น จากนั้นไม่ถึงวินาทีก็นึกถึงลูกแก้วจักรพรรดิ์แห่งสมเด็จองค์ปฐมครอบบ้านเราและพวกเราทุกคนไว้ เรารีบพาทุกคนเข้าไปในตัวบ้าน ทุกคนดูตื่นตระหนก ในใจเราคิดว่าเราต้องดูแลทุกคนเพราะไม่มีใครปฏิบัติธรรมหรือฝึกมีจิตระลึกถึงพระหรือฝึกเจริญสติกันเลย เราจะเริ่มที่แม่ก่อนเพราะก็คุยกันเรื่องฝึกจิตพอสมควร แต่ปรากฏว่าแม่ตั้งสติได้ดีที่สุด แล้วคนที่เราคาดว่าน่าจะพึ่งได้อีกคนคือน้องชาย เป็นเด็กเกเรแต่น่าจะจิตแข็ง แต่ที่ไหนได้น้องร้องไห้เสียสติมากกว่าคนอื่น


    ...เรารวมทุกคนไปอยู่ที่หน้าโต๊ะพระ แม่จัดแจงให้ทุกคนตั้งสติ นั่งเป็นวงกลม นั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากัน ส่วนตัวเราพาน้องชายแยกออกมาเพราะอาการหนักสุด โอ๋น้อง แล้วให้น้องตั้งสติดูภาพพระอริยสงฆ์ที่แขวนไว้ บอกว่าพระอยู่กับเราเสมอ ฯลฯ จนน้องอ่อนลงเริ่มตั้งสติได้ แล้วเราก็ตื่นขึ้นมา



    ...ตั้งแต่ตอนที่เห็นควันดำๆ ก็เริ่มกึ่งมีสติอยู่ที่กาย แต่ก็รู้ว่าฝัน จะว่านิมิตก็ไม่ใช่ทั้งหมด ประเด็นที่อยากเล่าให้อ่านนั้น ไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่องของความฝันที่ดูจะธรรมดาและไร้สาระ แต่ตั้งแต่ตื่นมาก็รู้สึกเหมือนจิตจะวิปัสสนาไม่หยุด


    ข้อแรกเลย... ที่เราทะเลาะกับเพื่อนลุงนั้น เราจะไปโทษเขาไม่ได้ แม้เขาจะพาลหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตาม แต่มันอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่จิตเราว่าตัวเรานั่นล่ะจะควบคุมตัวเองได้ดีขนาดไหน ปฏิบัติมาทั้งชีวิตเราใช้มันได้จริงไหม ต่อให้คนอื่นเขาจะแสดงกิริยาอะไร หรือแม้จะมาหาเรื่องเรา เรานิ่งได้จริงหรือเปล่า?... "จิตของเรา"


    ข้อที่สอง... เราเป็นคนแรกที่เห็นสิ่งผิดปกติแล้วกรีดร้องดังลั่น นั่นแปลว่า เรายังมีสติไม่ดีพอ จิตของเราก็ยังไม่ดีที่มีการปรุงแต่งขนาดนั้น เพียงแค่ตาเห็นรูปก็ปรุงไปแล้วว่า "สิ่งนั้นไม่ดี"


    ข้อที่สาม... กรีดร้องปุ๊บ คิดถึงพระ ระลึกถึงลูกแก้วจากท่านพ่อคุ้มครองทุกคน นี่เป็นสิ่งที่เราระลึกถึงอยู่เสมอในยามหลับและตื่น นั่นคือระลึกถึงพระ หรือพุทธานุสสติ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะคิดถึงพระเสมอ ถ้าสติไม่ดี แล้วจิตขาดที่ยึดเหนี่ยว เราก็ไม่อาจตั้งสติกลับดีได้มากมาย


    ข้อที่สี่... คนที่คิดว่าจะแข็งแกร่ง พึ่งพาได้ แต่กลับพึ่งไม่ได้ ส่วนคนที่คิดว่าเราเป็นห่วงมากที่สุด แต่กลับตั้งรับสถานการณ์ได้ดี นั่นแปลว่าอะไรๆ ก็ไม่เที่ยง เราดูคนที่ภายนอกไม่ได้ แม้แต่คนในครอบครัวเราก็ตาม การดูที่จิตจึงสำคัญมากกว่า และตัวเราเองอย่าเอาบรรทัดฐานของตนไปเทียบกับใครว่าเขาต้องดีอย่างนั้น เขาต้องทำอย่างนี้ แท้ที่จริงเรากับเขาก็มีไม่ต่างกัน เพียงแต่ใครจะได้เริ่มลงมือก่อนเท่านั้นเอง มันจึงไม่มีเขา ไม่มีเราที่ใครจะเก่งเกินใคร


    ข้อที่ห้า... จากจิตใต้สำนึกทั้งในยามหลับและตื่น "พุทธานุสสติ" ช่วยจิตใจเราได้มากจริงๆ แม้ว่าในความฝันนั้นเกิดจากความฟุ้งซ่านบ้าง ธาตุขันธ์แปรปรวนบ้าง ฯลฯ แต่ก็นับว่า "พระรัตนตรัย" เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตเราได้ดีและเร็วที่สุดที่สามารถทำให้เราตั้งสติได้


    ข้อที่หก... แม้ความฝันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจบลงแล้ว เราก็ควรจะเห็นไตรลักษณ์ในปัจจุบันขณะเสมอ ความฝันก็คือความฝัน เกิดขึ้นแล้วก็จบ ไม่มีสาระอันใดทั้งนั้นนอกจากอยู่กับปัจจุบัน เราต้องนึกถึงตรงนี้ให้มากๆ แยกแยะให้ออก ความฝันไม่เที่ยง สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่เที่ยง จึงไม่มีอะไรต้องยึดติดเป็นสาระหรือเอาไปตีเป็นประเด็นในชีวิตประจำวัน



    สรุป... ไม่ว่าทั้งยามหลับหรือตื่น แม้แต่ในฝันนั้น เราควรมีจิตใต้สำนึกที่ดี เพราะอย่างน้อยที่สุดหากเจอแม้แต่เรื่องเล็กน้อย จิตเราก็ควรจะไม่คิดฟุ้งซ่านหรือจิตตกได้ เพราะหลายคนถ้าฝันเหมือนจริงมากๆ ก็คิดกังวลไปต่างๆ นานาแล้วว่าเป็นลางอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าพิจารณาดีๆ ตั้งสติกับปัจจุบัน เห็นไตรลักษณ์ มันก็จะไม่มีอะไรเลย และสิ่งหนึ่งที่ปฏิบัติมาแล้วเห็นผลได้จริงคือ จิตเกาะพระ หรือพุทธานุสสติ ที่เราบอกตัวเองเสมอว่า "ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเราจะคิดถึงพระก่อน" และก็ทำได้ดีเสมอมา อาจจะช้าบ้าง เร็วบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีพระในจิต การที่เราปฏิบัติมาสม่ำเสมอบางทีอาจตกม้าตายในน้ำตื้นได้ ไม่มีสิ่งใดบอกเราได้นอกจากเราเจอด้วยตนเองในเหตุการณ์จริง อดีต-อนาคตจึงไม่มีผลกับเรา เพราะทุกอย่างอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น ที่มันจะมีผลต่อชีวิตหรือจิตใจเรา


    ...ขอให้ทุกท่านได้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม และสำหรับผู้ปฏิบัตินั้น จุดเริ่มต้นคือศีลของเรา ขอให้รักษาไว้ให้ดี ศีลนี้นำมาปฏิบัติทั้งกายและจิต และจิตเรานั้นก็ควรมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ไปหลงใหลกับสิ่งที่เข้ามากระทบได้ง่ายก็ควรเป็น "พุทธคุณ-พระรัตนตรัย" หรือ "พระพุทธเจ้า" ผู้ประเสริฐที่สุดแล้วก็นับว่าเป็นการปฏิบัติที่แท้จริงที่เราควรนำศีลเข้ามาใส่จิต น้อมอาราธนาพระเข้าสู่จิตเรา ให้ท่านได้นำทางเราไปหาทางสว่างจนวันสุดท้ายของชีวิต


    ...ขอบคุณที่ทุกท่านอ่านจบนะคะ จริงๆ แล้วไม่ได้มีสาระอะไรมาก แต่อยากเล่าให้อ่าน เผื่อใครจะเจอเหตุการณ์อะไรใกล้เคียงก็อยากจะเตือนสติไว้ว่า "อย่าลืมไตรลักษณ์และอย่าลืมคิดถึงพระ" กันนะคะ สำหรับช่วงหลังนี้ชีวิตเน้นไปทางโลกทิพย์บ่อย เรื่องเล่าทั่วไปเลยอาจจะน้อยลงบ้าง แต่ก็จะหาเรื่องทางโลกที่มีเป็นธรรมดานี้มาเล่าให้อ่านกันค่ะ มีเยอะแยะมากมายเลยแต่พอจิตพิจารณาหรือวิปัสสนาจบก็วางลง แล้วลืมหมด... อันสัญญาทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง ฮ่าๆ...


    ปล. ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  3. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937


    [​IMG]
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอกล่าวคําอนุโมทนาสาธุ กับครูพี่ภู แหม๊..ครูพี่ภูเข้าถํ้าไปไม่นานกลับออกมา ท่านได้นําธรรมะของท่านออกจากจิตจากใจมาด้วย ช่างเป็นธรรมทานอย่างสูงส่ง เพราะธรรมะก็คือ การเข้าถึงจิตตนนั้นเอง และท่านได้มาแบบมาดใหม่เลยที่เดียว เพราะท่านได้นําความในใจออกมาแสดงให้เราๆท่านๆได้เห็นว่า"การหลงตนก็คือการหลงกิเลสนั้นเอง" เพราะถ้าเราไม่มีอะไรๆแล้ว แล้วอะไรละ?จะมาทําให้เราเป็นทุกข์ได้ เพราะเราก็ไม่มีในเราแล้วเช่นนั้น จึงขออนุโมทนาสาธุค่ะครูพี่ภูเป็นอย่างสูงค่ะ
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ดูกายแล้วดูจิต ดูความคิดให้เป็นธรรม)

    เวลาเจอเจ้านายไม่ดี...ให้ถือว่าเรามีโอกาสแสวงหาและเรียนรู้

    -ดูเป็นตัวอย่าง...แต่ถ้าเจอเจ้านายเขาทำ ให้ถือว่ามีครูดี...

    ...ทุกคนต้องเป็นทั้งเจ้านายคนอื่น และเป็นเจ้านาตัวเองทั้งสิ้น...

    -ท่านพุทธทาสสอนไว้...ไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่เป็น แต่เมื่อถึงคราวต้องเป็นอะไร

    ...ก็แล้วแต่ "ต้องเป็นให้เป็น" ...

    ...เมื่อศรัทธาเจ้านายไม่ได้...ก็อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ความหมาย...

    -คนอื่นจะเป็นอย่างไรเรื่องของเขา...หันมาทำตัวเองให้น่าศรัทธาก็พอ...

    ...เวลาของคนเรามีน้อย...อย่าต่อสู้และต่อต้านในสิ่งที่เสียเวลา...ตัวอย่างมีให้เห็น

    ...เลือกทำแบบที่เราศรัทธา...ขอฝากธรรมะของท่านพุทธทาสไว้เป็นคติสอนจิตสอนใจ

    -ตนเองไม่ว่าจะทำอะไร...ถ้าเรามีความศรัทธา มีสติ อยู่เสมอจะทำสิ่งใดนั้นจะต้องถึง

    ...เป้าหมายปลายทางและสมดั่งความตั้งใจที่ปรารถนาขอฝากไว้เป็นธรรมทานค่ะ...

    ...ขอกราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนเจ้าค่ะเพื่อนำมาปฏิบัติตามเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2013
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 17 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Natcha@uk

    สมาชิกบ้านนี้ ไปไหนกันหมดเนี่ย... เหลือเราต้อนรับแขกผู้มาเยือนอยู่คนเดียว ...
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ

    ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คือ อาศัยการสำเหนียกกำหนดพิจารณาธรรมอยู่ทั้งกลางวันและ

    กลางคืน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีอยู่ ปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    ก็มีปรากฏอยู่ได้เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ ได้สูด ดม ลิ้ม เลียและสัมผัสอยู่ จิตใจเล่า? ก๊มีอยู่

    -ความคิดนึก รู้สึก ในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภาย

    นอกภายใน ก็มีอยู่ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา...

    ...เขาแสดงความจริง คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ...

    -เช่น ใบ ไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงจากต้น...เมื่อผู้ปฏิบัติมาพินิจพิจารณา ด้วยสติปัญญา

    ...โดยอุบายนี้อยู่เสมอแล้ว...ชื่อว่า ได้ฟังธรรมอยู่ทุกเมื่อ ทุกกลางวันและกลางคืนแล...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต...

    ...น้อมกราบองค์หลวงปู่มั่นด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ให้มั่นใจในพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ปัญหาใดๆ ถ้าหากไม่เกินวิสัยในกฎของกรรม ให้ขอบารมีพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ย่อมขจัดปัดเป่าแก้ไขได้ พุทธคุณ คือคุณของผู้รู้ อันหมายถึงพระตถาคตเจ้า เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ดังนั้น บุคคลใดไม่ลืมพุทธคุณ ก็พึงกระทำตามให้ถึงซึ่งพุทธคุณด้วยธรรมคุณ คุณของพระธรรม อันหมายถึงทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค นั่นแหละ บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งพุทธคุณและธรรมคุณ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยกำลังใจเต็ม ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่งสังฆคุณใน ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน-พระสกิทาคา-พระอนาคา-พระอรหันต์

    คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัยในบวรพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใดถึงแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุข และจักสุขยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเข้าถึงซึ่งแดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่ไปนั่นแหละ ให้มองดูจิต-ดูกายของตนนั่นแหละเป็นสำคัญ ถ้ามุ่งต้องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริง อย่าเพ่งโทษในจริยาของผู้อื่น ให้เห็นความร้อนในจิตของตนเองให้มาก และเห็นโทษของความร้อนในจิตนั้น ก็จักปฏิบัติฝึกจิตของตนให้พ้นไปจากความร้อนได้ในที่สุด


    ※ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กายเดินทาง จิตก็เดินทาง เช่นกัน
    ต่างกันเพียงแค่นิดเดียวก็คือ กายเดินทางมีแต่หนทางเลื่อมหรือสูญสิ้นอย่างเดียว
    และคนจะเห็นสัจธรรมว่าร่างกายของเรานี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริงๆ ก็ต่อเมื่อความตายมาเยือนผู้นั้น
    ตราบใดความตายยังไม่มาเยือน ก็ยังไม่เห็นสัจธรรม
    ่่
    ส่วนจิตเดินทางนั้น ไม่มีคำว่าเสื่อมหรือสูญสิ้น แต่หากฝึกจิตหรือภาวนาก็มีโอกาสพบกับความสว่าง
    สว่างมากหรือน้อยก็อยู่กับผู้ปฎิบัตินะ่นเอง เพราะมีความศรัทธากับความเพียรไม่เท่ากัน
    เหตุผลก็เพราะ กำลังใจหรือบุญบารมี นั่นเอง
    แต่ถ้าใครอยากรู้วิธีสร้างบันไดบุญแบบง่ายๆก็ให้สอบถามกันมา ก็เริ่มจากการทานบารมี ศีลบารมี บำเพ็ญบารมี
    หรือทำบุญทำทานเล็กๆน้อยๆ นี่คือบุญเบื้องต้น ต่อไปบุญขนาดกลาง ตรงนี้ถือว่าสำคัญไม่น้อย
    เพราะว่าบุญขนาดกลางที่ว่านี้จะนำพาให้เราอยากลงมือปฎิบัติธรรมนั่นเอง
    บุญขนาดกลางนี้จะนำจิตใจของตนสงบได้บ้าง อาจจะเป็นแค่ชั่วคราวก็ยังดี ดีกว่าจิตใจไม่สงบเลย
    เมื่อเราขยันสวดมนต์ทุกๆวัน ถ้าทำได้จิตใจก็จะสงบไว
    จิตใจคนเรานิ่งหรือสงบเมื่อไหร่ เราก็อยู่สุขเมื่อนั้น ทุกข์ก็อาจจะลดน้อยลงไปทุกทีๆ จนทุกข์หายหมดได้
    ก็เพราะว่า จิตเข้าโหมดเอกัคคตารมณ์เป็นนิจ พอเลยเขตแห่งทุกข์ไปได้ ต่อไปจิตจะถึงวิมุตติสุขในที่สุดได้
    แล้วเราจะเข้าค่อยๆเข้าใจธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี

    พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า ผู้ปฎิบัติจะต้องเข้าไปให้ถึงตัวปัญญาของเราให้ได้
    แต่มีข้อแม้นว่า ก่อนอื่นจะต้องรักษาศีล๕ เป็นอย่างต่ำให้ครบเสียก่อน
    เพราะถ้าศีลไม่ครบแล้วจะมีผลต่อจิตใจโดยตรงกับผู้ปฎิบัตินั้นๆ หรือเพราะว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างมารบกวนจิตมิให้สงบ
    หรือไม่ให้เข้าถึงความดี ที่เราเรียกว่า นิวรณ์๕ นั่นเอง
    แต่ถ้านิวรณ์คอยรบกวน จะทำให้จิตไม่นิ่งหรือไม่พบความสงบของจิตใจนั่นเอง
    เมื่อเราสอบผ่านเรื่องศีลกันไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปถึงจะเข้าเรื่องการภาวนา
    การภาวนาหรือการเจริญสติหรือเจริญกรรมฐานนั่นเอง แต่กรรมฐานก็มีอยู่สองประเภท
    นั่นก็คือ หนึ่ง สมถกรรมฐาน ว่าด้วยทำจิตให้เป็นสมาธิหรือนิ่งสงบเป็นหลัก
    คำว่าสมาธิก็มีตั้งสมาธิเล็กน้อย(ขณิกสมาธิ) สมาธิขนาดกลางเรียกว่า อุปจารสมาธิ(เฉียดฌาน)
    ส่วนสมาธิระดับสูงก็คือ อัปปนาสมาธิ(ฌาน) เป็นต้น
    สอง วิปัสสนากรรมฐาน ว่าด้วยเรื่องปัญญาแทบทั้งสิ้น
    ถ้าผู้ปฎิบัติไม่เจริญมรรคแล้วก็จะไม่มีทางพบตัวปัญญาตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วนั้น
    ว่าแต่ว่า การเข้าถึงวิมุตตินั้น ไม่ว่าจะเป็นสายปัญญาวิมุตติ หรือเจโตวิมุตติ ท้ายที่สุดก็ต้องเดินตามมรรคอยู่ดี
    เพราะว่า ถ้าผู้ปฎิบัติท่านใด เจริญตามรอยอริยมรรค หรือมรรคมีองค์๘(ศีล สมาธิ ปัญญา)แล้วย่อมไม่หลงทางแน่
    เพราะจะมีสติ จิตมีสมาธิและปัญญาครบนั่นเอง
    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลาย หรือนักปฎิบัติธรรมทั้งหลาย จงจดจำตรงนี้ไว้หน่อย นั่นก็คือ...
    แต่ถ้าหากจิตใจไม่นิ่ง ไม่สงบก้ไม่มีทางพบตัวปัญญาตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้วอย่างแน่นอน
    (จิตเป็นสมาธิหรือจิตนิ่งสงบนี้เขาเรียกว่า สมถสมาธิ ส่วนจิตปัญญานั้นเรียกว่า วิปัสสนา)
    เมื่อจิตเป็นวิปัสสนาแล้ว นั่นก็จะหมายถึง การนำจิตที่มีปัญญานั้นพิจารณาธรรมกันต่อไปได้
    และขอให้จดจำกันอีกนิดว่า คำว่า จิตส่งใน จะมีแต่เฉพาะผู้ที่มีจิตเป็นสมถหรือวิปัสสนาเท่านั้น
    แต่ในขณะที่กำลังส่งจิตเข้าในนั้น ก็อย่าให้ฝืนจิต เพราะจิตจะคอยบอกหรือคอยเตือนว่าพอแล้ว
    หรือเลิกพิจาณาธรรมต่างได้แล้ว อย่ารอให้จิตหมดกำลังก่อน เดี๋ยวจิตจะเสียหายได้
    ตรงนี้อยากบอกตามตรงว่า ผู้ปฎิบัติมองข้ามกันมาก เพราะเมื่อส่งจิตเข้าในมากเกินไปแล้ว
    แต่ถ้าพลังจิตใกล้จะหมด มารมักจะเข้าแทรก เช่น นิมิตต่างๆ พอนิมิตเกิดขึ้นมาก็จะพาจิตเราหลงได้ง่าย
    เพราะจิตขาดปัญญาในขณะที่ขาดพลังจิตนั่นเอง ณ จุดตรงนี้ ถ้าหากผู้ปฎิบัติไม่สังเกตให้ดีแล้ว ย่อมหลงได้ง่าย
    เพราะเรื่องในจิตคือเรื่องโลกทิพย์ ไม่มีใครมาบอกหรือมาคอยสอนสั่งกันได้ ยกเว้น ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบจริงๆ
    ก็มักจะมีครูบาอาจารย์หหรืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเอง ขออนุญาตกล่าวถึงปัจจัตตังนิดหน่อย
    สรุปแล้ว ถ้าจิตวิปัสสนาธรรม(พิจาณาธรรม)มาก ผู้ปฎิบัติเองก็จะรู้ว่า จะต้องนำจิตมาพักที่ฌานหรือสมาธิเท่านั้น
    และตรงนี้นี่แหล่ะ เป็นอาาหารของจิตหรือที่พักจิตอย่างดี สำหรับผู้ปฎิบัติทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นระดับพระอริยเจ้าขึ้นไป
    ท่านมักเข้านิโรธสมาบัติ หรือนำจิตเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ นั่นเป็นการดับว่าด้วยเรื่องเวทนากับสัญญาอย่างดี
    ขออนุญาตกล่าวมาถึงตรงนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ปฎิบัติบางท่าน
    แต่ถ้าหากผู้ปฎิบัติทราบกันเป็นอย่างดีแล้วก็ให้ก้าวข้ามเลยไป และปฎิบัติให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
    ขอให้เจริญมรรคให้สูงๆยิ่งขึ้นไป นั่นก็คือ ทำมรรคให้ถึงผล ทำผลให้ถึงนิพพาน นั่นเอง
    ทำท่าจะยาวไปอีก จึงขอจบธรรมะแต่เพียงเท่านี้ก่อน
    ขอให้ผู้ปฎิบัติดีแล้ว หรือสูงแล้วก้พยายามมั่นฝึกสติให้รวมกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    แล้วท่านก็จะรู้ว่า จิตมันแน่น มันมั่นคงมากขนาดไหน โดยเฉพาะมั่นคงต่อพระรัตนตรัย
    และท่านจะพบคำว่า ไร้ตัวตนจริง หรืออยู่เหนือขันธ์๕จริง ไม่มีอะไรมาทำให้จิตสั่นไหวอีกต่อไป(ลมบนมันเย็น)

    ขอฝากคำว่า คนที่เห็นทุกสิ่งคือสมมุติ หรือธรรมดาไปหมด นั่นแสดงว่าไม่ธรรมดาสำหรับคนทั่วไป
    แต่จะธรรมดาสำหรับอริยบุคคลจริง
    ไม่ยากหรอกนะ คำว่า อริยบุคคล ถ้าอยากเป็น ง่ายนิดเดียวก็ทำจิตของเราให้เป็นพระโสดาบันให้ได่ก่อน
    หรือจะมีคำถามอีกต่อไปว่า แล้วทำยังไง แต่จะไม่บอกกับผู้ถามเฉยๆ แต่จะให้ลงมือปฎิบัติธรรมกันที่นี่ เดี๋ยวก็จะรู้เอง
    เพราะอริยบุคคลเขาเรียกคนที่จิตเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ แต่จะเป็นอริยบุคคลระดับไหน หรือชั้นไหน
    ก็ให้ลงมือปฎิบัติถึงจะรู้ได้ สัมผัสด้วยใจเท่านั้น ไม่ใช่เอาแต่ถาม หรืออ่านตำรา อันนั้นไม่ใช่ แค่เรารู้ความหมายเท่านั้นเอง

    อย่าเพิ่งไปเชื่อหรือไม่เชื่อใคร ตามหาดวงจิตของตนให้พบก่อน เดี๋ยวก็จะพบตัวปัญญาของตนโดยไม่ยากเลย
    เมื่อพบขุมปัญญาของตนเองแล้ว ผู้ที่ชอบมีความลังเลหรือสงสัย หรือลูกอีช่างถาม จะหมดไปทันที
    ตัวปัญญาที่ว่ามานี้ มีทุกคน แต่จะหาพบกันหรือไม่ เท่านั้นเอง


    ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุขกาย สบายใจ และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 สิงหาคม 2013
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เรายอมแพ้คน

    -เพื่อเอาชนะกิเลส

    ...ดีกว่ายอมแพ้กิเลส...

    ...เพื่อเอาชนะคน...

    ...พระพยอม กัลยาโณ...

    ...กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ...
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ธรรมะจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

    "...คนไม่สนใจธรรม ...ธรรมก็ไม่เข้าถึงคน...

    ...จึงกลายเป็นคนก็สักว่าคน.....ธรรมก็สักว่าธรรม...

    ...ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้.....แม้คนจะมีจำนวนมาก...

    ...และแสดงธรรมให้ฟังทั้งพระไตรปิฏก...จึงเป็นเหมือน...

    ...เอาน้ำใส่หลังหมา...หมามันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมก็...

    ...มีความหมายในใจคน.....เมื่อน้ำไม่มีความหมาย...

    ...บนหลังหมาฉันใด...ฉนั้น...

    ...น้อมกราบหลวงปู่มั่นด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "มีดพร้าที่วางไว้นอกกายของเราเป็นอย่างหนึ่ง
    ที่เหน็บพกไว้เป็นอย่างหนึ่ง
    และที่ถือไว้กับมือเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    เวลาจะนำออกมาใช้ให้ทันท่วงที มีดที่วางไว้นอกกายย่อมนำมาใช้ช้ามาก ที่เหน็บพกก็เร็วขึ้นบ้าง ส่วนมีดที่เราถือไว้ในมือย่อมใช้ได้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ธรรมที่เราเรียนมาอย่างหนึ่ง ธรรมที่ได้จากการศึกษาอบรมกับอาจารย์อย่างหนึ่ง และธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจของเรา ซึ่งเนื่องจากอบรมกับครูอาจารย์นี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน

    ธรรมที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียนมา โดยที่ไม่ได้อบรมทางด้านจิตใจเลย เช่นเดียวกับมีดที่วางไว้นอกกาย ธรรมที่จำมาได้จากการอบรมสั่งสอนของครูอาจารย์ว่าท่านสอนอย่างไร เช่นเดียวกับมีดที่เหน็บไว้ในพก ส่วนธรรมที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติซึ่งเนื่องมาจากอุบายที่ได้จากอาจารย์เป็นผลประจักษ์ขึ้นกับใจ เช่นเดียวกับมีดที่ถือไว้ในมือ และธรรมส่วนนี้แลจะเป็นเครื่องรักษาความปลอดภัยให้แก่เรา ได้มากกว่าธรรมทั้งสองประเภทนั้น"

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๕
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    กราบพระแม่ชีประทุม สังขารไม่เน่าเปื่อย พระอรหันตเถรี ศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านนิพพานแล้ว 9 ปี
    เรียนเชิญลูกหลานพ่อฤาษี เดินทางผ่านมา อ.ปากช่อง แวะเข้าไปกราบท่าน รวมทำบุญทะนุรักษาธรรมสถานนี้ไว้ คงปฏิปทาพ่อให้ทรงสืบไป...

    Cr...สัพพะ พุทธะ สัพพะ ชยันโต.../ ลูกพระพุทธ บุตรพระธรรม

    โมทนาสาธุค่ะ ที่ท่านได้นำภาพสถานปฏิบัติธรรมของ คุณแม่ชีประทุม มาลงในเฟสบุคให้เราได้รำลึกถึง ความหลังเมือ เกือบยี่สิบปีที่แล้ว ...ที่เราได้เคยไปกราบท่าน และได้เคยไปพักพิง...ร่วมทำบุญและปฏิบัติธรรม กับท่าน 2 วัน ครั้งนั้น ยังมิได้มีอาคารสถานปฏิบัติธรรมอย่างในรูป. มีเพียงแค่กุฏิเล็กๆที่ท่านอยู่เท่านั้น...เมื่อเห็นภาพท่านอีกครั้ง ...เราถึงกับกลั้นน้ำตาด้วยความปิติ ไว้ไม่อยู่...ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสกลับไปเมืองไทย เราต้องกลับไป กราบคุณแม่ ผู้มีพระคุณ ท่านนี้ อย่างแน่นอน (แต่ตอนนี้ ขอส่งจิตขึ้นไปกราบท่านข้างบนแทน )
    ...นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่ทำให้เราได้กลับมาย้อนอดึต ภาพความทรงจำเก่าๆ ที่มีต่อคุณแม่และ สถานปฏิบัติธรรมแห่งนีอีกครั้ง..

    ขอเชิญชวน เพื่อนๆลูกหลานหลวงพ่อฤๅษีทุกท่าน... ที่อยู่เมืองไทย ใครมีโอกาสไป ปากช่อง นครราชสีมา อย่าลืมแวะเข้าไปที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ไปกราบพระอรหันตเถรี ลูกศิษย์หลวงพ่อฯ นะคะ ...ท่านเป็นตัวอย่างของลูกศิษย์หลวงพ่อที่ตาม หลวงพ่อ ไปนิพพานได้สำเร็จแล้วค่ะ เหลือแต่พวกเราที่จะต้องรีบเร่ง เพียรพยายามปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ถึงซื่งพระนิพพาน เช่นเดียวกับท่าน ..นิพพานะ สุขัง... ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2013
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปล่อยให้โลกมันหมุนเวียนไป
    ปล่อยให้ลมหายใจมันเข้าออกไป
    ปล่อยให้ร่างกายมันเคลื่อนไหวไป

    เราก็แค่กำหนดรู้เฉยๆ ดูเฉยๆป็นไหม
    แต่ถ้าจิตนิ่งพอก็ดูได้ เห็นได้ รู้ได้ แต่อย่าพยายามไปเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น
    เพราะไม่มีประโยน์ เพราะตัวเรานี่แหล่ะก็จะเป็นทุกข์มากขึ้น
    เพราะทั้งหมดก็แค่สมมุตติ มิใช่ของจริง

    แต่ของจริงๆมันอยู่ภายในกายหรือลึกเข้าไปภายในจิต หรือจิตในจิต
    ตามดูจิตตนเข้าไป ตามดูจนกว่าจะรู้เท่าทัน ก็คือมองเห็นความเกิดดับของสังขารขันธ์หรือเจตสิกต่างๆ
    หรือเห็นความรู้สึกและนึกคิดของตนไป จิตตนยังไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ขอให้ตามดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เห็นเข้าสักวัน
    พอเห็นความเกิดดับทุกธรรม เดี๋ยวก็จะเห็นเจตสิกเกิดขึ้นและดับลงไปพร้อมกับตัววิญญาณขันธ์ หรือตัวจิตนั่นเอง
    ถ้าฝึกจิตให้นิ่งบ่อยๆ จิตก็จะมีปัญญาเกิดรู้ หรือตามรู้เท่าทันการเกิดดับของเหล่าธรรมทั้งหลาย
    นั่นก็แสดงว่า เริ่มมองเห็นกิเลสของตนชัดบ้างแล้ว แต่ถ้าจิตไม่นิ่งพอก็จะมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจน
    ปฎิบัติไป ทำไปเรื่อยๆ ฝึกให้ชิน ถ้าจะเอาดีทางนี้จริง ต้องเลิกสนใจทางโลกบ้าง
    เพราะสติก็มีน้อยกันอยู่แล้ว บางท่านนานๆจะรู้สึกตัวขึ้นมาสักทีนึง เพราะวันๆนึงจะยุ่งอยู่กับคนรอบข้าง
    หรือการงาน หารู้ไม่ ผู้ใดเผลอสติก็เท่ากับปล่อยจิตไปกับทางโลกจนเคยชิน
    อย่างนี้แล้วจะให้จิตมันปล่อยวางกับเรื่องต่างกับทางโลกได้อย่างไร นี่ไง ว่าทำไมพวกเรายังมีความทุกข์อยู่
    แท้ที่จริงแล้ว ความทุกข์นั้นก็คือธรรมชาติ ที่มันมาพร้อมกับขันธ์๕ หรือร่างกายของเรา
    เพียงแต่เราไม่ได้สังเกตดูให้มันดีๆเท่านั้นเอง
    โน้นแหล่ะ ละทางโลก หรือมีโอกาสปลีกวิเวกถึงจะรู้ ถึงจะเห็นทุกข์กันได้ชัดเจน
    ที่เหล่านักปฎิบัติพากันปฎิบัติธรรมกัน ก็เพื่ออยากพ้นทุกข์จริงๆเสียที นั่นเอง


    ผู้คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์กันก็เพราะว่า ตัวสังขารขันธ์(เจตสิก)หรือความรู้สึกของเรา นี่แหล่ะ
    ผู้ไม่ปฎิบัติธรรม หรือปฎิบัติธรรม แต่ยังเข้าไม่ถึงธรรม ก็ยังรู้สึกว่าตนเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง
    ปฎิบัติธรรมก็เพื่อสู้กับความจริง อยู่กับความจริงให้ได้นั่นเอง จุดประสงค์อื่นไม่มี เพราะไม่ต้องการ
    จริงๆแล้ว ใครมิได้ทำให้เราทุกข์หรอก แต่เราหนีตัวสังขารขันธ์ของตนไม่ได้ เท่านั้นเอง
    คนที่จะละตัวที่ว่านี้กันได้ ก็คือ จิตจะต้องเดินผ่านทั้งสมถะ+วิปัสสนามาอย่างต่อเนื่อง
    เพราะแค่ปัญญาธรรมดาๆ อาจจะเอาไม่อยู่ เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีสติดีแล้ว ก็ให้ขยันเจริญปัญญาให้มาก
    เจริญปัญญาให้กลายเป็นญาณให้ได้ เพราะถ้าผู้ใดทำอย่างที่ว่าได้ ต่อไปเราไม่ต้องคอยระวังว่าเผลอสติหรือจิตตก
    เพราะจิตระดับนี้แล้วมันเกิดความรู้สึกมาเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องทำให้มันเกิด
    หรืออาจจะเรียกว่ามหาสติ มหาปัญญาก็ได้
    ตามดูความรู้สึกนึกคิดของตนให้มาก หรือดูตัวสังขารขันธ์หรือตัวเจตสิกกับวิญญาณขันธ์หรือตัวจิตของเราให้มากๆ
    แล้วท่านก็จะเก่งและชำนาญไปโดยมิรู้ตัว

    อย่าลืมนะครับ สำหรับผู้ที่อยากออกจากทุกข์ของตนเองให้ได้ ต้องหมั่นภาวนาบ่อยๆ
    ออกจากทุกข์ของตนให้ได้เสียก่อน หรือออกจากขันธ์๕ ให้ได้เสียก่อน
    แล้วค่อยมาว่ากันเรื่อง นิพพาน
    ขอให้ทุกท่านในที่นี่ มีแต่ความสุข ความสบายใจ ดั่งจิตของข้าพเจ้าตอนนี้และทุกๆวันด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ
    ข้าพเจ้า ไม่รู้จะให้อะไรกับพวกเรา นอกจากธรรมะคือความจริง
    ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว ทุกประการฯ
    ข้าพเจ้าขอกราบแทบฝาพระบาทพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยเศียรเกล้า สาธุๆๆ กราบๆๆ
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    อุปสรรคของความสําเร็จ
    ในการทํางานนั้นๆ ย่อมมีอุปสรรคอยู่หลายอย่าง...
    ก็เป็นธรรมดา แต่ที่สําคัญชั้นแนวหน้านั้นก็คือ...ความเบื่อหน่าย...มันเบื่อหน่ายง่าย
    ไม่ว่าจะทํางานอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาแล้ว...จิตจะเสียกําลัง
    ไม่มีแก่ใจที่จะทํา กําลังตก...เบื่อหน่าย...มีอาการท้อแท้ เฉื่อยชา อ่อนเพลีย
    มีอันให้เป็นไปต่างๆ ทําให้งานนั้นๆไม่สําเร็จไปได้...
    ที่มาธรรมะของหลวงปู่จรัญ ฐิตธัมโม
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2013
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ข้อเท็จจริงแห่งจิต​

    ที่เราวุ่ยวายมีแต่ความทุกข์กันทุกๆวันนี้...ก็เพราะเราไปแส่หามาไปตามทุกข์มาอยู่ในจิต
    ข้อเท็จจริงแล้วนั้น...จิตมันอยู่ของเขาเฉยๆเป็นอารมณ์อันหนึ่งที่เขาคิดเท่านั้น แต่ความคิดนั้นเราต้องประกอบด้วยสติระลึกรู้อยู่เสมอ...คิดอะไร...กําหนด คิดหนอ...คิดหนอ...คิดอะไร? คิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ จิปาถะ เท็จจริงแล้วนั้นจิตเป็นธรรมชาติ คิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ ได้เป็นเวลานาน เหมือนกับเครื่องบันทึกเสียงนั้นเอง...
    ที่มาธรรมะหลวงปู่จรัญ ฐิตธัมโม
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    จิตมีพระนิพพาน เป็นอารมณ์


    ผู้ถาม : ถ้าจิตเราจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เวลาตายเราจะมีสติไหมคะ.....?

    หลวงพ่อ : อ้าว.......ถ้าเราจับเป็นอารมณ์เวลานั้นมีสติ เพราะเวลานั้นอารมณ์มันสูงจัด ถ้าเวลาเริ่มป่วยเอาจิตจับไว้เลยนะ ทีนี้ในช่วงกลางระหว่างที่ป่วย มันจะดิ้นตูมตามอย่างไรก็ตามจิตมันจะไม่ปล่อย

    ถ้าจิตนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน ถ้าทำเป็นฌาน เป็นเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว และเวลาที่เราตายน่ะ ตัวมันตาย แต่ใจเราไม่ตาย ใจมันก็หาที่ไป

    ฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ ใจเราก็นึกถึงพระนิพพาน มันก็ไปที่นั้นแหละ ไม่ชอบไปที่อื่น ชวนไปนิพพานแห่งเดียว สรุปแล้วจงตั้งอารมณ์ไว้อย่างนี้เสมอ คือ

    ๑. เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นปกติ ไม่สงสัยในคำสอน

    ๒. ชีวิตนี้มีความตายเป็นที่สุด ก่อนตายขอทำความดีเพื่อความสุขในชาตินี้ และมีพระนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    ๓. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา พยายามระวังในศีล ๕ ใหม่ ๆ อาจจะพลาดบ้าง ถ้าล่วงไปโดยที่ไม่ตั้งใจ ศีลไม่ขาด

    เมื่อใจทรงศีล ๕ เป็นปกติ และอารมณ์อื่นก็ทรงตามที่กล่าวมา ท่านเรียกว่า พระโสดาบัน มีพระนิพพานเป็นที่ไปแน่นอนถ้าทำได้ตามที่บอกนะ


    หลวงพ่อตอบปัญหา เรื่อง การปฏิบัติธรรม
    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษี
    )


    Cr...Fb ปัจจัตตัง
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ประสบการณ์จริงที่เกิดกับข้าพเจ้านํามาเล่าสู้กันฟังค่ะ
    ก่อนจะกลับไทยข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนสนิทที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองลอนดอนเราก็คุยกันไปตามประสาเพื่อนที่ชอบธรรมะเพราะเขาก็มีความศรัทธาในพระศาสนา และบอกว่าหลวงพ่อโสภณ ท่านมาจําวัดอยู่ที่วัดอัมวราวดี ที่ลอนดอน ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ท่านได้มาจําพรรษาที่อังกฤษ และข้าพเจ้าก็อยากไปกราบท่านมาก และเพื่อนเขาก็บอกก็แวะมาก่อนที่จะเดินทางชิ เราก็บอกเขาว่ามันไม่มีเวลาแล้ว แต่ใจนั้นก็อยากจะไปกราบท่าน พอไปถึงสนามบินและก็เข้าไปเช็คตั๋วและกระเป๋าเพื่อจะเดินทางแต่ช่วงรอเช็คกระเป๋า เจ้าหน้าที่ก็หยุดเสียดื้อๆเราก็งงๆอยู่ว่าหยุดทําไม?หรือมีปัญหาอะไร? แต่พอเวลาผ่านประมาณ20นาที่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเครื่องบินมีปัญหาแต่ก็ไม่บอกว่ามีปัญหาอะไร?แล้วก็บอกต้องงดบินแล้ว แล้วก็ให้ผู้โดยสารไปรอที่จะไปพักโรงแรมชั่วคราวก่อน แล้วก็จะบอกว่าเมื่อไหร่?ที่จะพร้อมจะเดินทางก็จะแจ้งให้ทราบ แล้วก็รอถึงสองวันผู้เขียนก็เลยโทรหาเพื่อนให้มารับไปกราบหลวงพ่อโสภณจนได้ และก็ได้สนทนากับท่านแล้วก็เล่าให้ท่านฟังว่าเครื่องบินไม่ขึ้นจะให้โยมมากราบท่านก่อน ท่านก็ยิ้มและเมตตามาก และพอท่านทําพิธีสวดมนต์แล้วก็ญาติโยมถวายอาหารเสร็จ สามีก็โทรตามว่าได้เที่ยวบินแล้ว ให้ตรงไปที่สนามบินเลยเพราะจะต้องเดินทางด่วน ผู้เขียนนี่ทั้งซึ้งทั้งดีใจจะได้กลับไทย และก็ต้องขอขอบคุณสามีของเพื่อน คือโสภาที่ทําหน้ารับส่งให้ผู้เขียนได้ไปกราบท่านสมความตั้งใจค่ะ แม้แต่ความตั้งใจอย่างจริงใจและอยากจะไปกราบท่านถึงจะไม่สะดวกแต่ท่านก็จัดสรรค์ให้ได้จะว่าเป็นเหตุบังเอิญที่ไม่บังเอิญก็ได้จึงนํามาเล่าสู้กันฟัง ค่ะ ขอให้ท่านผู้ตั้งใจจริงในการปฏิบัติธรรมให้ท่านจงเจริญๆและก้าวหน้าในธรรมและปรารถนาในมรรคผลนิพพานก็ให้ท่านจงได้สําเร็จโดยปราศจากอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อารมณ์จิตของพวกเราเป็นยังไงบ้าง
    หลังจากเที่ยวไปรับรู้เรื่องราวต่างๆนานามา

    นั่นแหล่ะ ข้อสอบ หรือบททดสอบโดยตรงของจิตเราทั้งนั้นเลย
    แต่ถ้าจิตเราเป็นอกัคคตารมณ์ หรือมีอารมณ์จิตเป็นหนึ่งเดียวตลอด
    ไม่ว่าจะมีบทอะไรมาทดสอบก็จะผ่านหมด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหล่ะ
    แต่ความจริงแล้ว มันมีแค่เกิดและดับเท่านั้นเอง นอกนั้น ไม่มี
    มันเป็นธรรมดาเช่นนี้ มันเป็นธรรมชาติแห่งจิตเช่นนี้เอง
    แต่ถ้าจิตเรามีปัญญาซะอย่างเดียว เมื่อจิตมีปัญญาหรือรู้ไปซะทุกอย่างแล้ว
    เราก็พลอยรู้ตามไปด้วย

    พยายามจับสติกับจิตมารวมเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ นั่นแหล่ะ เราถึงจะรู้ความหมาย
    หรือเข้าใจ คำว่า เอกัคคตารมณ์ มันแปลว่าอะไร
    เรียนธรรม อย่ามัวหลงทาง คือหลงไปตามหาความหมาย นั่นแสดงว่าเรากำลังเรียนธรรมกันทางโลก
    แต่เรียนธรรมในทางที่ถูกต้องนั้น ต้องนำจิตมาเรียน จิตเราก็แปลว่า เอาความรู้สึกตัว(สติ)และความนึกคิด(จิต)
    เอาเป็นโจทย์หรือเอามาตั้งเป็นสมการไว้เลย เพราะธรรมของเราจริงๆนั้น มันก็จะผุดมาจากจิตเราทั้งนั้น
    แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังปฎิบัติกันยังไม่ได้ ยังไม่ถึงนั้น เขาไม่ผิดหรอก ก็เลยชักชวนกันไปชมบารมีกับผู้อื่นเขาเพลิน
    จนเลินไปว่า แต่กว่าธรรมเขาเหล่านั้นผุดออกมาจากจิตนั้น เขาเฝ้าเพียรปฎิบัติ ผ่านอะไรมามากมาย
    พระพุทธองค์ก็ทรงแนะให้กับผู้ปฎิบัติทุกท่านให้ พยายามตามหาจิตตนเองก่อน
    เพราะว่าธรรมะหรือตัวปัญญาก็อยู่ที่ในตัวจิตของเรานี่แหล่ะ
    เมื่อทุกคนค้นพบจิต ก็จะพบธรรมในจิตของตนเองได้ทุกคน เมื่อพบจิตก็พบปัญญา เดี๋ยวก็พบธรรมะเอง
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    เอ้า! เตรียมตัว
    ละปิติไวๆ ละตัวเฉยไวๆ ให้เหลือแค่ตัวรู้ รู้อย่างเดียว รู้แล้วก็วาง
    พบเห็นอะไร วิปัสสนาดะ
    ครูอย่าไปช่วยเร่ง ให้น้องเขาช่วยตนเองเยอะๆ
    เพราะวันหน้าท่านนี้จะไปช่วยคนอื่นอีกแยะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...