อัศจรรย์!!! กระแสพลังธรรม.. พระขุนแผนพิชัยสมบัติเนื้อผงเหล็กน้ำพี้(ตำรับขุนแผนชมตลาด)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย smart7667, 29 กรกฎาคม 2013.

  1. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    บั้นปลายชีวิต

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนแผน ไปอยู่ที่ เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนท่านขุนช้าง ปรากฏว่า หลบไปอยู่ทาง เขาราวเทียน ภูเขาราวเทียนนี่อยู่ทางหลังอำเภอหันคา สองคนจำศีลภาวนาได้ฌานสมาบัติ ตายจากความเป็นคน ขุนช้างไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่สำหรับขุนแผน เวลาตายก็เข้าฌานตาย เพราะมีกำลังใจใหญ่ ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม

    แล้วท่านก็บอกว่า ขุนแผนขยันเกิด เพราะมีนิสัยชอบยุ่ง เขาถือว่าคนไทยที่มีน้ำใจดี เป็นคนของเขา เขาถือว่าเป็นพี่เป็นน้องเขา ตายจากสมัยนั้น แล้วก็มาเกิดในสมัย พระนารายณ์มหาราช มี นามว่า นายเหล็ก สมัยรัตนโกสินทร์ก็มาเกิดอีก แล้วก็ชอบยุ่งตามเคย อย่ารู้เลยว่าเป็นใคร
     
  2. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    นี่เป็นเรื่องของขุนช้างขุนแผน ตามที่เทวดา "ขุนช้าง" ท่านเล่า จริงเท็จอยู่กับท่าน ท่านแถมท้ายว่า อย่าเชื่อประวัติว่าขุนช้างเป็นคนหัวล้าน นั่นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นนิยายที่เขาเขียนขึ้นมาว่า ขุนช้างเป็นคนเลว ความจริงขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เวลานั้นท่านบอกว่า เป็นสมัยพระเจ้าพันวัสสาหรือ ที่เรียกกันว่า "พระเจ้าสามพระยา" นั่นเอง

    ขุนแผนนั้น ถ้าจะเอาความร่ำรวยกันจริง ๆ แล้ว มันก็รวยกว่าผม แต่ว่าเงินที่มันสะสมไว้มีน้อย ก็เพราะว่ามันแจกเขามาก ขุนแผนจึงรู้สึกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ในตนจนจริง ความจริงคำว่า "ขุนแผน" นี้ ไม่มีในทำเนียบของราชการ ชาวบ้านเขาตั้ง ขุนแผนก็ดีขุนช้างก็ดี ชาวบ้านเขาตั้ง ที่เรียกคนเผ่านี้ว่า "เผ่าขุนช้าง"
     
  3. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ที่มาของคำว่า "ขุนแผน" สำหรับ "ขุนแผน" ก็เหมือนกัน ที่เรียกว่า "ขุนแผน" ก็เพราะมันเป็นคนออกแบบออกแผนจู้จี้จุกจิก เห็นอะไรไม่ดีก็จัดสรร กราบบังคมทูลพระเจ้าพันวัสสา พระองค์ก็เห็นด้วยทุกประการ อาศัยที่มันเป็นคนวางแผน ชอบเปลี่ยนแปลง ชอบจัดระบบให้สมดุลย์อยู่เสมอ ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ขุนแผน"

    ขุนแผนหรือ "ไอ้แก้ว" ที่มันมีเมียเป็นปี๊บ ๆ น่ะ ความจริงไม่ใช่ว่ามันจะเป็นคนเจ้าชู้วิ่งหาผู้หญิง แต่ความจริงเจ้าแก้วกับผมลักษณะมันต่างกัน นี่ผมยืนให้ท่านดู ดูมาดนายช้างเสียบ้าง นายช้างน่ะ เป็นคนมาดดี สง่าผ่าเผย ตาผ่องใส แล้วก็หน้ารูปไข่นิด ๆ แต่ว่าหน้าเป็นหน้าของผู้ชาย ไม่ใช่รูปไข่ของผู้หญิง ลักษณะท่าท่างองอาจ นี่ท่านจะว่าละซี ว่าหน้าตาคงเหมือนช้าง ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ?

    ท่านอย่าว่าซิ นี่คนคุมช้างมันก็ต้องสง่าผ่าเผย มีกำลังเหมือนช้าง แต่ว่าช้างตัวนี้ มันเป็นตัวที่มีศักดิ์ศรี แต่ว่าเจ้าแก้วมันมีรูปร่างอีกอย่างหนึ่ง เจ้าแก้วนี่ถ้าจะดูลักษณะจริง ๆ มันก็เป็นคนสมส่วนสมสัด ท่าทางทะมัดทะแมง แต่ผิวเจ้าแก้วมันขาวกว่าผม ผมเป็นค่อนข้างขาว อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า เป็นคนขาว

    แต่ว่าเวลาเดินเดินแรง เพราะคุมช้างนี่ต้องเดินแรง เวลาทำงานผมช้าไม่ได้ ไอ้แก้วมันเรียกผมว่า "ไอ้โคล้งๆ" ชื่อจริง ๆ มันก็ไม่เรียก ผมชื่อ ศรี นะ ชื่อผมจริง ๆ ว่า "ศรี" เขาแปลว่า มิ่งขวัญ
     
  4. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ไอ้แก้วน่ะชื่อจริง ๆ เขาว่า พลายแก้ว พลายแก้ว คือ ช้างแก้ว ช้างที่มีกำลังใหญ่ ช้างตัวประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ ที่เขาให้ชื่อว่า "พลายแก้ว" ก็เพราะมันออกมาฤกษ์ดี โหรพยากรณ์ว่า เจ้าเด็กคนนี้จะมีอำนาจมาก สามารถจะปราบปรามข้าศึกได้ทุกทิศ โดยที่จะใช้กำลังคน เข้าประชิดกับข้าศึกด้วยกำลังไม่มาก

    ผมสวยสู้ไอ้แก้วมันไม่ได้ ไอ้แก้วมันสวยมาก ท่าทางมันดี กิริยาก็แช่มช้อยกว่า ผู้หญิงปัจจุบัน ผู้หญิงสมัยนี้น่ะ มันเป็นผู้ชายเสียมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงสมัยโน้นน่ะ เขาเป็นคนเก็บตัว มีจริยามารยาทดีพูดน้อย เห็นผู้ชายไม่ใช่ว่าจะวิ่งเข้าไปคุยจะไปควงกับผู้ชาย มีแต่จะเก็บตัวตามจารีตประเพณี เป็นคนน่ารัก แต่ลักษณะการย่อง ๆ หนีไปหาคู่รัก เวลาพ่อแม่เผลอ มันก็มีเป็นของธรรมดา แต่ว่าจริยาท่าทาง หน้าบ้านเขาดี ที่เจ้าแก้วมันมีเมียมากเพราะ...

    1. รูปร่างหน้าตามันดี สวยเก๋ มีเสน่ห์
    2. เป็นคนอ่อนโยน
    3. เป็นคนกตัญญูรู้คุณ
    4. มีจิตใจเผื่อแผ่ มันไม่ค่อยเก็บสตางค์ ไปที่ไหน มันก็จ่าย ให้ลูกน้องดะ เห็นคนยากจนเข็ญใจ มันก็สงเคราะห์ให้ตามสมควร มีอะไรพอที่มันจะช่วยเหลือได้ มันช่วยทุกอย่าง

    เวลานั้นบ้านเมืองมันกว้าง คนก็น้อย การทำไร่ไถนาก็เป็นของไม่ยาก เหมือนกับชาวเขาเวลานี้ อยากจะไปฟันป่าตรงไหนก็ไปกัน ทำกันได้ตามชอบใจ ใครไม่มีทุน ไม่มีรอน เจ้าแก้วมันก็ให้ ความจริงผมก็ไม่ยอมแพ้มันนะ ใครมาขอ ผมก็ให้เหมือนกัน แต่ว่า สู้มันไม่ได้ มันเที่ยวเก่ง มันพูดเก่งกว่า มีคนรู้จักมากกว่า ก็เลยมีคนมาไถมันมาก

    ในเมื่อมีคนมาไถมันมาก ผมมีคนมาไถน้อยกว่า ลูกไอ้แก้วก็เลยมาไถผม ต่อไปขึ้นมาบนบ้านบอก คุณพ่อไอ้นี่ดี คุณพ่อไอ้นั่นดี มันอยากว่าดีผมก็เลยให้มัน ลูกไอ้แก้วมันเรียกผมว่า "พ่อ" ทุกคนแหละ มันรักผมเหมือนพ่อ ผมก็รักมันเหมือนลูก ฉะนั้นตามนิยายปรัมปราที่เล่ากันมา มันทำเสียไปหมด คนขนาดเป็นขุนน้ำขุนนางเป็นพระยาแบบนั้น ใครจะเลวแบบนั้น เลิกพูดกันทีนะ..เรื่องไอ้แก้วกับไอ้ช้าง..!"
     
  5. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    กราบนมัสการขอบพระคุณบทความพิเศษจาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครับ.....
     
  6. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ยังไม่จบ!!!!ต่อมาเรื่องของ "นางบัวคลี่" นี้ หลวงพ่อได้เล่าที่ใต้ต้นไทรงาม อำเภอพิมาย จ.นครราชสีมา เมื่อ วันที่ 21 มีนาคม 2522 มีใจความว่า

    วันนั้นหลังจากที่หลวงพ่อพร้อมคณะนั่งฉันเพลใต้ต้นไทรงามเสร็จแล้ว ในขณะนั้น มีนางรุกขเทพธิดาองค์หนึ่ง (ผู้อารักขาต้นไทรงาม) ได้มาแสดงภาพให้หลวงพ่อเห็น โดยแต่งกายด้วยชุดเขียว ๆ แบบไทยโบราณมาเล่าว่า ตนเองชื่อ "บัวคลี่" ตายตั้งแต่สมัย ขุนช้างขุนแผน แล้วมาเป็นรุกขเทวดาสิงสถิตอยู่ที่นี่

    ท่านบอกว่า มีความรู้สึกเสียดายที่เป็นพระอริยะเบื้องต้น หากได้รับการสั่งสอนทีดี ก็คงจะบำเพ็ญไปนิพพาน เสียตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์

    หลวงพ่อได้ถามถึงเรื่อง "กุมารทอง" ที่ต้องผ่าท้องออกมานั้น ปรากฏว่าจริงๆ แล้ว บัวคลี่ไม่ได้ตายเพราะถูกขุนแผนผ่าท้องเอาลูกไปทำลูกกรอก ความจริงลูกกรอกเขาเกิดมาเพื่อให้คุณแก่พ่อแม่ และมีลักษณะพิเศษ คือ เวลาท้องนั้นท้องโตได้ยุบได้ บัวคลี่คลอดลูกออกมาเป็นลูกกรอก แล้วต่อมาอีก 3-4 เดือน จึงได้ตายด้วยโรคภัยธรรมดา

    เรื่องจริงๆ ที่หลวงพ่อเล่าก็มีเพียงแค่นี้ ด้วยเหตุนี้ ต่อมาภายหลังหลวงพ่อจึงได้ตั้งชื่อรถยนต์ของวัด ตามตัวบทในเรื่องขุนช้างขุนแผนเกือบทุกคัน เพื่อเป็นยานพาหนะใช้ในงานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ เช่น รถบัสใหญ่ 2 คัน ชื่อ "ขุนช้าง" และ "ขุนแผน" ส่วนรถเล็กรองลงมาก็มีชื่อว่า "สีหมอก" "พลายเพชร" และ "กุมารทอง" เป็นต้น
     
  7. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ท่านที่เข้ามาใหม่อ่านทีละหน้าด้วยจิตเย็นๆอ่านได้อรรถรสจะค้นพบอะไรลึกๆๆในสิ่งที่เห็นครับ!!!
     
  8. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ผมเป็นผู้ที่มีกิเลสหนา ปัญญาหยาบอย่างหนักจึงไม่มีทางทราบได้หรอกครับว่าพ่อท่านบ่าว ท่านมืดสนิทจะบรรลุขั้นไหนได้..แต่ท่านกระทำทุกอย่างเพื่อพระศาสนาทั้งสิ้น ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย ก็กราบได้สนิทใจ เพราะท่านถือศีลมากกว่าเรา ๆและผมมากนักครับ...อีกองค์หนึ่งที่ปฏิบัติดี คือ อาจารย์ต้อม วัดกม.26ในครับ ท่านถือศีลกินเจ มาแต่เด็ก ปัจจุบันฉันเจมื้อเดียวครับ
     
  9. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    อาจารย์มานี ท่านเป็นครูสอนผมสมัยเรียนประถมศึกษาครับ..ท่านว่า..พระอริยะสงฆ์ หรือสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าและอริยะบุคคล ยังมีอยู่ในโลกนี้นะคะลูก.. ผู้ที่จะเป็นอริยะสงฆ์หรืออริยะบุคคล ต้องได้ชั้นโสดาบันขึ้นไป ในเมืองไทยมีอยู่เยอะค่ะ เขาจะไม่อวดอ้างกันหรอกค่ะ ผู้รู้ทั้งหลายเมื่อสนทนาธรรมกันแล้ว ก็จะรู้กันเองน่ะค่ะ ไม่ต้องมีใครบอก เขาจะไม่อวดอุตริมนุสธรรมกันหรอกค่ะ พวกเรา ๆ ท่าน ๆ ถือว่ายังมีบุญอยู่ที่เกิดมาในเมืองพุทธ และยังมีสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ยังโปรดสั่งสอนให้เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ถือว่าโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพุทธมามกะเป็นองค์อุัปถัมถ์ในศาสนาพุทธ บ้านเมืองก็เป็นเมืองพุทธ ยังมีพระอริยสงฆ์ อยู่ ก็เหลืออยู่แต่อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายแหละค่ะ จะยังคงพยุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองต่อไปได้หรือไม่ เพราะุ้ถ้าพุทธบริษัท 4 ยังอยู่ครบ พระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่สืบไป


     
  10. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ใจสื่อถึงใจ
    จิตสื่อถึงจิต
    ลองพินิจคิดตรองดู..ตรอง
     
  11. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    [​IMG]
    มีการปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์สวนป่าแม่ลาน..ใกล้วัดนางโอ
    [​IMG]
    ยะลา ปัตตานี แบบที่เห็นทุกวัน...มาได้ไม่มีอะไรแต่ต้องระวัง.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2013
  12. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ท่านที่จะร่วมบุญท่านสามารถติดต่อได้ทางพีเอ็มและโทรศัพท์(กลางวันโทรได้ครับ)ว่าท่านจะเช่าอะไรท่านใช้ของอะไรแล้วจะเกิดเป็นมหามงคล เราต้องให้ท่านบูชาแล้วดีและไม่อยากให้ท่านเสียเปล่าท่านต้องคุ้มค่าครับ ด้วยรักและเคารพครับ หน้า1 มีรายการและรูป รายการพิเศษน้ำมันเมตตา สีผึ้งอาจารย์ทองวัดสำเภาเชยยังมีครับแท้แท้แท้ ไม่มีบิดเบือนแน่...
     
  13. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    สีผึ้งดีหลายทางจะบอกเป็นพิเศษ แต่ปฏิบัติตามได้ไหมเป็นอีกเรื่องครับ น้ำมันเมตตาใช้เถอะดีแต่ต้องมั่นใจ หากใจไม่มั่นอย่าเล่นของแบบนี้เสียเงินเปล่า แต่ที่แห่งนี้ทำบุญทุกกระเบียดนิ้วครับ เช็คได้เลย ท่านที่ชอบทางเมตตา ต้องปรึกษากันทางพีเอ็มเด้อ...เดี๋ยวจัดให้ทางพีเอ็มครับ สวดมนต์มากๆนะน้องห้างฉัตรรักษาพลังใจครับ...ด้วยรักและเคารพครับ...
     
  14. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ขอกล่าวของอาจารย์ทองวัดสำเภาเชยท่านเสกพระเยอะมากครับครับ ผมถามท่านจำได้ม่าย อาจารย์ท่านส่ายหน้า ท่านเสกเหรียญตาหลวงทองวัดหลักห้ารุ่นพระราชทานเพลิงศพให้ ท่านมองดูท่านก็ทราบเลยว่าเหรียญยังไม่เสกแต่ท่านเสกชั่วครู่บอกว่าเสกเต็มแล้วเจ้าของเหรียญท่านเป็นพระดีเทวดามาช่วยเร็วโยม ดีดีๆ สาธุกับโยมนะ...
     
  15. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พระเครื่องของวัดคูหาภิมุข ยะลา เป็นของที่อาจารย์ทองเสกให้ทุกรุ่นที่ท่านพระครูพิทักษ์ธรรมสุนทรสร้างเพราะท่านเป็นศิษย์อาจารย์ทอง วัดสำเภาเชยครับ!!!อาจารย์ทองนี้ท่านไม่ได้เป็นพระเสกหลวงพ่อทวดแต่คนเข้าใจตามที่ปั่นกระแส..ท่านอาจารย์เรียนตำราหลวงพ่อเริ่มครับ ยันต์ต่างๆท่านเอามาจากตำราทั้งนั้นครับ...เรื่องจริงๆครับ(เข้าใจผิดมาก พระที่ทราบคือ พ่อท่านมุขวัดปิยาราม ปัตตานีที่ท่านเป็นทีมสวดของสายช้างให้ท่านทราบดีครับ ขอบอกครับ...)
     
  16. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ส่วนพ่อท่านบ่าวที่เราๆนับถือท่านเป็นพระกรรมฐานพระแท้ๆที่หากราบยากแล้ว ไม่ใช่พระเกจิอาจารย์ขลังจ๋าแต่สร้างขลังให้ถึงใจได้แน่นอนครับ!!!!
     
  17. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    อ่านความจริงด้วยจิตสะอาดบริสุทธิ์และมีปัญญาญาณ!!!!ธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) เมื่อไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์บรรจบกัน ทำอย่างไรจะไม่ให้ฤทธิ์เสื่อมถอย



    ทำอย่างไรอภิญญาและเครื่องรางของขลังจึงจะไม่เสื่อม






    บทนำก่อนเข้าสู่บทความ เพื่อความเข้าใจกันและความสมานฉันท์


    ขอให้ใช้วิจารณญาณในบทความที่จะกล่าวต่อไปนี้ เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ควรนำเสนอเพราะไม่นำไปสู่การบรรลุธรรม แต่ด้วยได้พิจารณาความเป็นจริงในปัจจุบันแล้วว่าคนส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเครื่องรางของขลังกันอยู่ ทั้งในอดีตก็มีมา, ปัจจุบันก็เป็นอยู่ และในอนาคตก็คงห้ามกันไม่ได้ ดังนี้ ผู้เขียนจึงขออธิบายตามขีดจำกัดความสามารถในการ “ค้นคว้าทางจิต” ซึ่งอาจมีส่วนถูกส่วนผิดบ้างไม่ ๑๐๐% ในเมื่อท่านทั้งหลายยังคงพึ่งพาอาศัยเครื่องรางของขลัง ก็ขอนำเสนอแก่ท่านที่พึ่งพาอาศัยเครื่องรางของขลัง ส่วนท่านที่ไม่สนใจ ก็ขอให้พิจารณาเพียงแนวทางนี้เป็น “สัมมาทิฐิ” หรือไม่ หากไม่ ก็ขอให้ท้วงติง แต่หากเป็นสัมมาทิฐิแล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายสนับสนุนย่อมเป็นการดีมากกว่าการโต้เถียง เพราะจะได้ผลบุญในวิทยาทานครั้งนี้ร่วมกัน





    สาเหตุใดจึงต้องสะสมเครื่องรางของขลังชนิดใหม่อยู่เรื่อยๆ จนเกินจำเป็น


    สำหรับนักสะสมเศษซากวัตถุนิยมที่ไร้จิตวิญญาณ มักแสวงหาแต่เครื่องรางของขลังแล้วไม่รู้จักการปฏิบัติดูแล จนเครื่องรางของขลังเหล่านั้นไม่เหลือพลังที่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เป็นแค่เศษซากวัตถุไว้เป็นที่ระลึกต่างหน้าเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้นักสะสมเหล่านี้ ต้องแสวงหาเครื่องรางของขลังชนิดใหม่ๆ ไม่จบไม่สิ้น จนกองเต็มบ้านไปหมด แต่ไร้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพราะไร้ซึ่งพลังจิตวิญญาณครอบครองสถิตอยู่นั่นเอง ในสมัยโบราณ ท่านที่มีเครื่องรางของขลังประจำตัวนั้น จะมีไม่มากนัก ดังเช่น วรรณคดีไทยในโบราณ มักจะมีอาวุธหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายเพียงอย่างเดียวเป็นต้น แต่ในสมัยปัจจุบัน นักสะสมจะใช้ “เงิน” ในการเช่าบูชาซื้อหามากมายเต็มไปหมด ทว่า สะสมมากเท่าไรก็ไม่พบว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มีแต่หลอกตัวเอง ปลอบใจตัวเอง พูดโกหกว่าของตนมีฤทธิ์ไปเช่นนั้นเอง หากได้เข้าใจถึงที่มาของพลังจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในเครื่องรางของขลังแล้ว ก็จะได้เข้าใจว่าเหตุใดตนมีเครื่องรางของขลังมากมายแต่ไม่เห็นความศักดิ์สิทธิ์อย่างผู้อื่นบ้างเลย หากลองปรับพฤติกรรมการดูแลเครื่องรางของขลัง แม้นมองไม่เห็นจิตวิญญาณที่สถิตอยู่ แต่ให้มองว่าสิ่งเหล่านี้มีชีวิตินทรีย์มีจิตใจเหมือนเราบ้าง เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ก็จะทำให้ปัญหาการสะสมเครื่องรางของขลังใหม่ๆ ที่วนเวียนเดิมๆ หมดไปได้ และจะได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง






    “ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” ดังนี้จึงต้องซื้อหาเครื่องรางของขลังใหม่ๆ อยู่เรื่อย


    นี่คือสัจธรรมความจริงเที่ยงแท้ตลอดกาลแห่งพระพุทธเจ้า ตรัสเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ไม่เว้นแม้แต่เรื่องอภิญญาและเครื่องรางของขลังทั้งหลาย ล้วนต้องมีอันเสื่อมสลายหายสิ้นความขลังทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่จีรังยั่งยืนตลอดไป แม้นแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสวลีนี้ก็ยังทรงละสังขารจากโลกไปในวันหนึ่ง ดังนี้ จึงไม่แปลกเลยที่ หลายท่านมักแสวงหาเครื่องรางของขลังชนิดใหม่ๆ และจำต้องเสียเงินในการเช่าบูชามากมาย บางท่านมีเครื่องรางของขลังเต็มหิ้งยังไม่พอ นำมาห้อยตามตัวเต็มไปหมด โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าวัตถุเหล่านั้น ไม่เหลือพลังความขลังเสียแล้ว เหลือเพียงเศษซากวัตถุที่ขาดพลังจิตวิญญาณไปสิ้น และนี่คือที่มาของบทความที่จะนำเสนอต่อไปนี้





    จำแนกประเภทแหล่งพลังในสิ่งศักดิ์สิทธิ์






    ที่มาของพลังแห่งอภิญญาและเครื่องรางของขลัง


    จำต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จะมีความศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมี “พลังอำนาจจิต” และพลังอำนาจจิตนั้น เป็นพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ อยู่ในจักรวาลนี้ ที่เรียกว่า “พลังจักรวาล” นั้นมีอยู่มากมายหลายประเภท เมื่อคนเรามีชีวิตจะมีพลังชีวิต จึงสามารถขับเคลื่อนไปได้ อุปมาก็เหมือนรถยนต์มีน้ำมันหล่อเลี้ยงก็เคลื่อนที่ได้ แต่เมื่อตายลง พลังชีวิตซึ่งก็คือพลังงานรูปหนึ่ง ไม่สูญหายไปไหน แต่จะหวนกลับคืนสู่ธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ มีสีมีความถี่ (สเปคตรัม) และมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การใช้พลังชีวิตที่ยังอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องเข้ากันได้ดีกับพลังชีวิตของมนุษย์นี้ หากใช้เป็นหรือใช้ได้ถูกวิธี ก็จะมีผลดีต่อธรรมชาติด้วย คือ ไม่ก่อให้เกิดสารพิษจากการเผาผลาญพลังงาน การใช้พลังงานที่นอกเหนือจากพลังแสงอาทิตย์, พลังรังสีต่างๆ การใช้พลังที่มองไม่เห็นนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานคู่อารยะธรรมของโลกทุกยุคทุกสมัย ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีวัดพลังงานชีวิตเหล่านี้ ที่เรียกว่า “กล้องถ่ายออร่า” ซึ่งทางองค์การนาซ่าได้ใช้ในการสำรวจสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั่นเอง เครื่องรางของขลังที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีพลังชีวิตที่เรียกว่า “ออร่า” เช่นนี้ จึงจะจัดว่าศักดิ์สิทธิ์และช่วยเหลือมนุษย์ได้จริง ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ร่างกายของคน เป็น “มวลสาร” ที่รองรับและดึงดูด “พลังศักดิ์สิทธิ์” เหล่านี้ได้ดีที่สุด เฉกเช่นเดียวกับเหตุผลว่าทำไม ดวงจิตของพระโพธิสัตว์หรือมหาเทพทั้งหลาย จะต้องจุติลงมาอาศัยในร่างมนุษย์จึงจะสามารถบำเพ็ญบุญบารมีได้มากนั่นเอง ดังนั้น แม้นไม่มีวัตถุมงคลใดๆ เลย ใช้ร่างกายของตนเองนั้น ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากจักรวาล ที่มีอยู่ในธรรมชาติก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้ที่ไม่ถนัดวิธีนี้ จำต้องอาศัยพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดลงไว้ในเครื่องรางของขลังแทน ดังที่จะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป






    ๑. พลังบริสุทธิ์ (พลังเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น)


    เป็นพลังสูงสุดของทุกแสงสีรวมกัน ทำให้มีสเปคตรัมเป็นสีขาว อันเกิดจากมนุษย์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ปลดปล่อยออกมายามเมื่อมีชีวิต และเมื่อตายลง ก็จะเคลื่อนที่ออกจากโลก ไปไกลแสนไกล แต่ก็ยังสามารถส่งพลังแห่งความบริสุทธิ์ลงมายังโลกได้ตลอดเวลา พลังบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นพลังแห่งการมีชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน หากขาดซึ่งพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ปกป้องแล้ว มนุษย์ย่อมจะได้รับพลังด้านลบ เกิดโรคร้ายเบียดเบียนได้รับความตายมากมาย พลังเหล่านี้ ได้แก่ พระพุทธเจ้า, พระอรหันต์ ต่างๆ ที่บรรลุธรรมแล้วตายจากโลกไป พลังชีวิตนี้สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตร่างกายมนุษย์ให้ยืนนานได้มากกว่าปกติ ดังที่พบพระอรหันต์หลายรูปมีอายุยืนยาวนานผิดปกติ ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงว่าหากเจริญอิทธิบาทสี่คล่องแล้วย่อมสามารถยืดอายุอยู่ได้ยาวนานตามประสงค์ทีเดียว นี่แสดงให้เห็นถึงการศึกษาพลังแห่งความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ ที่เป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิตให้ยืนยาวนานได้โดยแท้ เราจึงจัดพลังบริสุทธิ์แห่งพระอรหันต์เป็นพลังขั้นสูงสุด





    ๒. พลังคุณธรรม (พลังเพื่อความดีงามแก่มหาชน)


    เป็นพลังรองลงมาจากพลังบริสุทธิ์สีขาว พลังคุณธรรมจะมีรัศมีหรือแสงสีทอง อันเกิดจากมนุษย์ที่มีจิตใจดีงาม แต่อาจยังไม่บรรลุธรรม ยังไม่หลุดพ้น ยังมีกิเลสความไม่บริสุทธิ์อยู่ ทว่าก็มีความเมตตาแก่มวลมนุษย์ด้วยกัน มีความโอบอ้อมอารี และมีคุณธรรมที่สูงส่ง อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้คือ “พลัง” ไม่ใช่ “ทาส” ดังนั้น อย่าได้ริอาจสั่งหรือตั้งเป้าให้พลังเหล่านี้ทำตามใจอยากของตนเอง และอย่าโวยวายเมื่อไม่ได้รับผลตามใจตน จะเอาวิสัยแบบลูกค้าคือพระเจ้ามาใช้กับพลังเหล่านี้ไม่ได้ เพราะพลังก็คือพลัง หากขาดซึ่งเครื่องยนต์กลไกลที่จะดำเนินไปแล้ว ก็ไร้ผลสิ้นเชิง ดังนั้น ต่อให้มีพลังก็เหมือนมีน้ำมันแต่ไม่มีรถยนต์ จะไปไหนก็ไม่ได้ ดังนั้น เมื่อรับพลังเหล่านี้ ที่เรียกว่า “เทพประทานพร” แล้ว จำต้องมีการ “ขับเคลื่อน” กลไกล คือ ร่างกายของเรา ไปตามพลังที่ได้รับด้วย บางท่านได้พลังในการทำดี แต่ไปใช้พลังในด้านลบ กลับเป็นการฝืนพลังและได้รับความเสียหายต่อมาอีกด้วย ดังนั้น แม้นว่าได้รับพลังแล้วจะนอนรอพรไม่ได้ จำต้องมีการทำกิจการตามที่ตนขอไว้ให้สำฤทธิ์ผลด้วย แหล่งพลังเหล่านี้เรียกว่ามหาเทพ เช่น องค์พรหม, องค์ศิวะ, องค์นาราย ฯลฯ





    ๓. พลังบุญ (พลังเพื่อผลบุญในอนาคตแก่ตน)


    เป็นแหล่งพลังที่มีพละกำลังรองลงมาจากพลังคุณธรรม ได้แก่ มนุษย์ด้วยกันที่ตายลงแล้วจิตใจดีงามทำความดี แต่ยังไม่หวังผลขนาดเพื่อมหาชนแบบมหาเทพ ทำความดีเพื่อตนเองได้สบายใจเฉพาะหน้าบ้าง ดังนั้น ยังไม่ได้ตั้งจิตเพื่อมหาชน เมื่อคนเหล่านี้ตายลง จะปล่อยพลังชีวิตตนเอง ออกจากโลกไปไกล ไปอยู่ในที่สงบสุขกว้างขวาง รอเวลาเดินทางกลับมาเกิดใหม่ ที่เรียกว่า “สวรรค์” (แบบมหาเทพจะเรียกว่าพรหมโลก) ซึ่งมวลพลังมากมายที่อยู่รอบโลกในจักรวาลนั้น จะส่งพลังบางส่วนมาช่วยคนที่มี “เครื่องรับ” ที่จับกระแสคลื่นพลังชนิดเดียวกันได้ เพราะมีจิตที่มีพลังความถี่สอดคล้องกัน หากตอนยังมีชีวิต ให้ถ่ายออร่าคู่กัน ออร่าก็จะผสานกลมกลืนกันราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน เรียกว่า “มีบุญสัมพันธ์กัน” การส่งพลังมาช่วยคนที่ยังมีชีวิตบนโลกนี้ “มีเหตุผลชัดเจน” ไม่ใช่เป็นแบบสุ่ม ไม่ใช่เกิดขึ้นแบบมั่ว มีระบบระเบียบการจัดการชัดเจนโดยธรรมชาติจัดสรร ที่เรียกว่า “เทวดาประจำตัว” คือ เมื่อมีพลังชีวิตหนึ่งเคลื่อนมาสู่โลกมนุษย์เข้าสู่เซลที่ปฏิสนธิแล้ว เพื่อเตรียมกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนั้น จะมีพลังรายล้อมมาด้วย ไม่ได้มาโดเดี่ยว เรียกว่าเป็นเทวดาประจำตัว คอยดูแลเด็กทารกจนโต ดังนี้ แม้ไม่มีเครื่องรางของขลังใดๆ เลย มนุษย์ทุกคนก็ล้วนมีเทวดาประจำตัวคอยดูแล หรือ มีพลังปกป้องตนเองที่ได้รับจากจักรวาลอยู่แล้วเป็นเบื้องต้นบางส่วน ตราบเมื่อบำเพ็ญเพียรทางจิตขั้นสูง จนคลื่นกระแสพลังจิตส่งไปสื่อกับพรหมโลก หรือ มหาเทพต่างๆ ได้ ก็จะได้รับพลังจากมหาเทพเหล่านั้นเพิ่มเติม ดังเช่น ฤษีที่บำเพ็ญตบะ แล้วได้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั่นเอง






    ๔. พลังฤทธิ์ (พลังเพื่อยังชีพบนโลกทั้งดีและไม่ดี)


    เป็นแหล่งพลังงานจากเทวดาที่อาศัยบนโลก แต่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น พวกคนธรรพ์ในธาตุกายสิทธิ์, นาคที่อยู่ใต้บาดาลในแม่น้ำโขง, วิทยาธรที่อาศัยอยู่ในกุมารทอง ฯลฯ เป็นต้น เทวดาเหล่านี้มีบุญบารมีน้อย จึงไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นสูง ยังต้องอาศัยอยู่บนภพที่คาบเกี่ยวกับโลกมนุษย์ และยังไม่ได้สัมผัสสวรรค์เนื้อแท้ที่ปราศจากความวุ่นวายจากมนุษย์ ที่มีแต่เทวดาและนางฟ้าด้วยกัน แต่ก็มีพลังมาก มีอิทธิฤทธิ์พอตัว (แต่จะน้อยกว่ามนุษย์ที่ฝึกจิตขั้นสูง) ด้วยเพราะคนมองไม่เห็นและสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยการกำหนดจิตก็ถึงทันที จึงสามารถทำงานต่างๆ ช่วยคนได้อย่างมากมาย อีกทั้งยังอยู่อาศัยบนโลกมนุษย์จึงใกล้ชิดมนุษย์และสามารถช่วยมนุษย์ได้ตลอดเวลา มากกว่ามหาเทพและพระอรหันต์ ที่หลุดพ้นไปจากโลกไกลแล้ว ดังนั้น จึงไม่แปลกที่หลายท่านจะนิยมเครื่องรางของขลังประเภทนี้ ซึ่งจะช่วยงานผู้ครอบครองอย่างขะมักเขม้นเพื่อเก็บสะสมบุญบารมีนั่นเอง เพราะพลังบริสุทธิ์แบบอรหันต์จะไม่ละเมิดกฎแห่งกรรม จะส่งพลังมาช่วยเฉพาะช่วงเวลาที่กรรมเปิดอำนวย ในขณะที่พลังคุณธรรมแบบมหาเทพจะเลือกช่วยคนได้จำกัดเพราะห่างไกลจากโลกพอสมควร จำต้องเลือกช่วยเหลือคนดี จึงจะได้ผล ดังนี้ พลังฤทธิ์ของเทวดาที่อยู่บนโลก จึงเป็นแหล่งพลังงานบนโลกที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ทั่วไป และให้ผลได้ทั้งดีและไม่ดีขึ้นกับผู้ใช้ จำต้องใช้ให้ถูกวิธี






    ๕. พลังมืด (พลังเพื่อกิจการต่างๆ บนโลก ในด้านร้าย)


    เรียกง่ายๆ ว่า “ไสยดำ” ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกันดี ลักษณะของไสยดำคือการนำเอาพลังด้านมืดหรือด้านลบมาใช้งาน ไม่ได้อัญเชิญพลังจากเทวดาเข้ามาดูแลมนุษย์ แต่เป็นการเอาพลังสัมภเวสีบ้าง พลังจากสัตว์นรกบ้าง ที่ล่องลอยวนเวียนอยู่ ไม่ได้ไปสู่ภพภูมิที่ถูกต้องนั้น นำมากักขังตรึงไว้ เลี้ยงไว้อยู่กับตนด้วยอิทธิฤทธิ์ เพื่อใช้ไปในทางที่เสื่อม ไม่ได้ใช้พลังเพื่อช่วยเหลือคนดี ไปสนับสนุนการทำเลวของคนเลวทั้งหลายนั่นเอง พลังมืดเหล่านี้ แฝงอยู่ในเครื่องรางของขลังหลายประเภทมากมาย บางท่านก็มีไว้ในครอบครองร่วมกับเครื่องรางของขลังที่มีพลังด้านบวก เป็นเอาว่าจับมารบกันเองในบ้านเฉยๆ เสียอย่างนั้น บางท่านก็ได้รับผลกระทบจากพลังที่ต่างขั้วกันนี้ ทำให้ภายในบ้านแตกแยกความสามัคคี ไม่รักใคร่สมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน ของประเภทนี้จะไม่ขอกล่าวถึงมากนักในบทความที่จะอธิบายต่อไปนี้






    ระดับพลังจักรวาลที่สถิตอยู่ในเครื่องรางของขลัง


    จำต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า “พลังชีวิต” ประกอบไปด้วย “จิต” และ “วิญญาณ” เมื่ออยู่ร่วมกันเรียกว่า “จิตวิญญาณ” เช่น ภูติ, ผี, เทวดา ล้วนมีการอยู่ในลักษณะของจิตวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เราเห็นกรณีเป็นผี เรามักเรียกว่า “ผี หรือ วิญญาณ” แต่สิ่งที่เราเห็นเมื่อเป็นเทวดา เรามักเรียกส่า “กายทิพย์” แท้แล้วทั้งสองอย่างนั้น เป็นอย่างเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผีหรือกายทิพย์ เพราะเมื่อเวไนยสัตว์ทุกชนิดตายลง ก็จะจุติและปฏิสนธิทันที ไม่มีการรอคั่น แสดงว่าสิ่งที่เราเห็นนั้น ล้วนแต่ “มีชีวิตินทรีย์” คือ เกิดใหม่ในภพใหม่แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่มีลักษณะแตกต่างกันไปตามกำลังบุญบารมีเท่านั้นเอง หากมีบาปมากบุญน้อย กายทิพย์ก็น่าเกลียด เป็นเหมือน ผี เหมือน เปรต เราเห็นเข้าก็ไปเรียกว่า “วิญญาณ” แต่หากกายทิพย์สวยงาม เป็น เทพ เป็น เทวดา เราก็มักคิดว่าไม่ใช่วิญญาณ แท้แล้วสิ่งที่เราเห็นเรียกว่า “ขันธ์ห้าชุดใหม่” ของจิตดวงนั้นๆ อาศัยรวมกัน คือ มีครบทั้ง วิญญาณ, เวทนา, สัญญา, สังขาร, รูปนาม (จิตและรูปขันธ์) คือ มีทั้งการรับรู้, ความสุขทุกข์เจ็บปวด, มีที่อาศัยแห่งจิต, มีรูปร่างให้เห็นได้ ฯลฯ มนุษย์เราเองก็มีขันธ์ห้า โดยอยู่อาศัยในกายเนื้อที่ขยับเคลื่อนไหวได้สะดวก แตกต่างจากเทวดาบางตนที่ขันธ์ห้าอาศัยในธาตุกายสิทธิ์ก็มี ในต้นไม้ก็มี การเคลื่อนไหวทำบุญสะสมบารมีจึงยากกว่า ได้ผลบุญน้อยกว่า เป็นต้น





    ดังนั้น ในตัวมนุษย์ก็มี “พลังศักดิ์สิทธิ์” อยู่เช่นกัน คือ “พลังจิตวิญญาณ” สาเหตุที่เรียกว่าพลังจิตวิญญาณ เพราะประกอบไปด้วย “จิต” ซึ่งมีพลังในการหยั่งรู้, สั่งการ ฯลฯ ส่วนวิญญาณก็เป็นพลังงานอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเครื่องมือให้จิตใช้ครองร่างกาย ควบคุมร่างกาย และปกป้องคุ้มครองไม่ให้ดวงจิตอื่นๆ เข้ามาแย่งอยู่ในร่างกายของตนได้ บางท่านวิญญาณอ่อนแอบางจุด หรือที่เรียกว่าออร่ามีปัญหา หรือกายทิพย์มีปัญหา นั่นเอง ทำให้ดวงจิตของเจ้ากรรมนายเวรที่จ้องอาฆาตล้างแค้น เข้ามาแฝงปนในร่างกายเนื้อ และแปรเปลี่ยนรหัสพันธุ์กรรม “ดีเอ็นเอ” ของเซลในร่างกายให้สอดคล้องกับคลื่นพลังจากดวงจิตนั้นๆ จนก่อเกิดเป็น “เซลมะเร็ง” เกาะกินเซลและเนื้อเยื่อปกติขึ้นในที่สุด ดังนี้ แม้จะตัดเอาเซลมะเร็งออกไป แต่ดวงจิตอาฆาตนั้น ยังกลับมาเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมของเซลปกติได้อีก จึงทำให้กลับเป็นมะเร็งได้อีก





    การมีชีวิตอยู่แบบไม่มีจิต เช่น เซลแต่ละเซลในร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเซลเม็ดเลือดขาวที่ขยับไปกินเชื้อโรคได้เอง, เซลสืบพันธุ์ที่ขยับไปสืบพันธ์ได้เอง ฯลฯ เซลเหล่านี้ไม่มีจิต แต่อาศัย “วิญญาณ” หรือมวลพลังออร่า หรือปราณ หล่อเลี้ยง และที่มีรหัสพันธุ์กรรมเดียวกัน ด้วยเพราะคลื่นพลังจากดวงจิตที่อาศัยอยู่ในร่างนั้นๆ เป็นต้นแบบแม่พิมพ์ และด้วยเหตุนี้จิตจะสามารถควบคุมการทำงานทุกส่วนในร่างกายได้ แม้แต่เซลขนาดเล็ก เช่น เซลไขกระดูก จิตเรานั้นสามารถสั่งการให้เซลพวกนี้ผลิตไขกระดูกเพิ่มเติมได้ ดังนั้นจำต้องแยกแยะระหว่าง “สิ่งมีชีวิต” ทางวิทยาศาสตร์ กับชีวิตินทรีย์ในทางพุทธศาสนา เพราะชีวิตินทรีย์ในทางพุทธศาสนาพิจารณา “จิต” เป็นสำคัญ ส่วน “สิ่งมีชีวิต” ในทางวิทยาศาสตร์ พิจารณา “การสืบพันธ์” ได้ เป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากพิจารณาว่าเม็ดเลือดหรือเซลบางชนิดในร่างกาย แตกตัวได้ และมีพันธุ์กรรมแตกต่างจากเดิม ก็ควรเรียกว่า “สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่” เกิดขึ้นในร่างกายเรา เช่น เซลมะเร็ง สามารถแบ่งเซลได้และมีพันธุ์กรรมต่างจากเดิม ก็น่าจะนับเป็นการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตใหม่ จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่เดิม แต่ในทางพุทธศาสนาพิจารณาจิตเป็นสำคัญ จึงไม่เรียกว่าเป็นชีวิตินทรีย์ หากไม่พบว่ามีจิต ดังนี้ แม้พืชบางชนิดจะมีปราณ หรือออร่า หรือพลังวิญญาณเป็นพื้นฐาน แต่ขาดดวงจิตอาศัย เช่น ตะไคร่น้ำ ก็ไม่จัดเป็นชีวิตินทรีย์ ไม่รับรู้เวทนาความสุขทุกข์ แต่ก็ยังสามารถขยายพันธ์ได้ ส่วนต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีดวงจิตเทวดาไปอาศัย ก็จะเรียกเป็นชีวิตินทรีย์ ไม่ควรโค่นลง หากจำเป็นต้องตัด ควรขอขมาเทวดาแล้วอัญเชิญดวงจิตเทวดาไปอยู่ที่ใหม่ที่จัดให้แทน






    ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ถือเอาว่า “การสืบพันธุ์” เป็นเครื่องกำหนดสิ่งมีชีวิต แต่ถือเอาว่า “การรับรู้สุขทุกข์” ได้ คือ มี “จิตผู้รู้” เป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ดังนี้ จึงมี “สิ่งมีชีวิตบางชนิดทางวิทยาศาสตร์ที่สืบพันธุ์ได้แต่ไม่มีจิต” และในทางพระพุทธศาสนาก็ถือว่า “สิ่งที่มีจิตผู้รู้แม้นไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต” เช่น คนที่เป็นหมัน ก็เป็นสิ่งมีชีวิต, จิตอรหันต์ที่ตายแล้วแต่มีความรับรู้ได้และไม่เกิดใหม่อีกก็เป็นชีวิต (ชีวิตที่ไม่เกิดและไม่ดับอีก) การกระทำต่อสิ่งที่มีดวงจิต จะต้องรับกรรม เช่น ตัดไม้ก็ต้องรับกรรม เพราะทำลายที่อยู่ของรุกขเทวดา การฆ่าสัตว์ก็ต้องรับกรรม การกินสาหร่ายขนาดเล็กที่ไม่มีจิตก็ไม่ต้องรับกรรม (จริงๆ มีกรรมทุกครั้งที่มีการกระทำ แต่รับผลไม่มากนัก จึงถือว่าไม่มีเลย) และธรรมชาติมีการสืบเนื่อง (สันตติ) เป็นเรื่องธรรมดา เช่น ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่เกิดต่อเนื่องแบบเดิมๆ จะเรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีกแบบหนึ่งได้หรือไม่ เพราะมีการเคลื่อนไหว และมีการสืบเนื่องแบบเดิมๆ มีการให้ผลเป็นสิ่งที่เหมือนเดิม ได้กลุ่มก้อนชนิดใหม่ ที่เหมือนเดิม จะเรียกว่าเป็นการ “สืบพันธุ์” หรือไม่ คำตอบทางวิทยาศาสตร์ก็คงไม่ยอมรับว่าเป็นการสืบพันธุ์เพราะไม่นับสารนิวเคลียร์ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ไวรัสและเชื้อโรคหลายชนิดก็เป็นอย่างนี้ คือ มีการเกิดต่อเนื่องคล้ายหรือเหมือนของเก่า โดยอาศัยสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยอำนวย ในทางวิทยาศาสตร์ยอมรับไวรัสว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ในทางพุทธศาสนาไม่ได้มองเช่นนั้น เพราะไวรัสเป็นเพียงการสืบเนื่องที่ไร้การรับรู้ทางจิต เหมือนการเกิดขึ้นแล้วดับไปของอะไรบางอย่างตามธรรมชาติ เช่น ปฏิกิริยาลูกโซ่ต่างๆ ดังนี้ ยังมีสิ่งต่างๆ ในโลกอีกมากที่เกิดขึ้นสืบเนื่อง และขยับได้ ธรรมชาติสร้างมา แต่ไม่มีดวงจิตอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคต ก็อาจมีจิตที่ก่อกรรม บุญทำกรรมแต่งให้ต้องไปสถิตหรือจุติในสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่า การเกิดขึ้นของสิ่งที่สืบเนื่องและขยับเขยื้อนได้นั้น มาก่อนการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นภายหลัง เมื่อมี “ดวงจิต” มาอาศัยต่างหาก





    สิ่งที่ขยับเขยื้อนและสืบต่อเนื่องได้นั้นมีมากมาย บางท่านค้นพบ “ตัวเปรี้ยว” ซึ่งวิ่งหนีได้ ขยับได้ แต่ไม่มีดวงจิตอาศัย เสมือนเป็นรากฐาน เป็นหุ่น ที่รอการจุติของดวงจิตบางชนิด ที่ก่อกรรมและต้องมารับกรรมจุติในตัวเปรี้ยวเหล่านี้ต่อไปในอนาคต ตัวเปรี้ยวเหล่านี้ มี “พลังปราณหรือวิญญาณ” แต่ไม่มี “ดวงจิต” การจับตัวเปรี้ยวมากิน จึงมีกรรมน้อย ที่เรียกว่า “ไม่ใช่การฆ่าสัตว์” แต่ในอนาคตหากมีดวงจิตมาอาศัยในตัวเปรี้ยวเมื่อไรการจับตัวเปรี้ยวมากินก็จะเกิดกรรมขึ้นทันที ยังมีสิ่งมีชีวิตในทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่ไม่มีชีวิตตามหลักพุทธศาสตร์ และมีผู้ค้นพบใน “ป่าหิมพาน” ในทาง “คริสต์ศาสนา” น่าจะเทียบได้กับ “สวนเอเดน” คือ สถานที่ที่ธรรมชาติจำลองแบบสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมา ให้มีพลังวิญญาณก่อน ก่อนที่จะนำพาดวงจิตมากมายมาอาศัยสถิตอยู่ แล้วก่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในทางพระพุทธศาสนานั่นเอง






    เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นขอย้อนกลับไปสู่การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตบนโลก เริ่มจากธรรมชาติของการเกิดจักรวาลทำให้เกิดโลกที่พร้อมจะเกิดสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น (ที่เรียกว่าพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าในที่นี้หมายถึงสรรพสิ่ง ก็คือธรรมชาติสร้างตัวเอง) จากนั้น ดวงจิตที่บริสุทธิ์จากดาวดวงเดิมที่สลายไม่อาจเกิดสิ่งมีชีวิตได้แล้ว ก็จะมาสำรวจแล้วแผ่พลังปราณบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือ พลังชีวิตต่างๆ ลงไปในพื้นดิน, น้ำ, ท้องฟ้า ฯลฯ สิ่งต่างๆ ก็เริ่มมีพลังขับเคลื่อนไหวและสืบต่อเนื่อง จากนั้น ก็จะบังเกิดสิ่งที่มีชีวิตทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่มีดวงจิตอาศัย จนกลายเป็น “สวนเอเดน” หรือ “ป่าหิมพาน” ที่พร้อมจะให้มนุษย์อาศัยได้ จากนั้น ดวงจิตที่บริสุทธิ์ก็นำพาดวงจิต “พรหม” เข้ามาเกิดขึ้นบนโลกครั้งแรก ดังนี้ จึงเกิดเป็นตำนาน “พระพรหมสร้างโลก” คือ ลงมาจุติเป็นพวกแรกๆ เพื่อสร้างระบบระเบียบและแนวทางการดำเนินชีวิตไว้บนโลก แต่แท้แล้วโลกใบนี้ไม่ได้มีคนนั่งปั้น ธรรมชาติสร้างเอง ที่เราเรียกกันว่า “พระเจ้าผู้สถิตอยู่ทุกสรรพสิ่ง” ซึ่งก็คือ “สรรพสิ่ง” หรือก็คือ “ธรรมชาติ” นั่นแหละ ที่สร้างตัวเองขึ้นมา จากนั้น พรหมซึ่งบำเพ็ญพรหมจรรย์ และอาศัยการบำเพ็ญฌานเป็นเนืองนิตย์ไม่อาจรับรู้ถึงดินแดนที่เรียกว่า “อาณาจักรพระเจ้า” หรือ “นิพพาน” ได้ ดวงจิตที่บริสุทธิ์ผู้นำพาดวงจิตพรหมมาเกิด ก็ต้องช่วยกันส่ง “ดวงจิตพระบุตร” หรือก็คือ “พระโพธิสัตว์” ลงมาจุติ ช่วยมนุษย์โลก (ดวงจิตพรหม) เหล่านั้น ด้วยการสอนให้มีความรักความเสียสละ การช่วยเหลือกัน และสละทิ้งความอยากได้อาลัยในโลก หรือแม้นแต่รสชาติแห่งฌาน (หากติดฌานจะกลับไปยังพรหมโลกอีก จะไม่ได้นิพพาน) แล้วพระเจ้า หรือดวงจิตที่บริสุทธิ์จะมีพลังดึงดูดจิตที่หลุดพ้นนั้นกลับคืนสู่อาณาจักรพระเจ้าหรือนิพพานนั่นเอง (คลื่นพลังสอดคล้องกันจะไหลไปสู่ที่เดียวกัน)





    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาของพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆ ของจักรวาลและของโลก ซึ่งก็คือ พลังชีวิตแหล่งต่างๆ ที่สอดคล้องและส่งเสริมต่อมนุษย์ หากมนุษย์รู้จักนำมาใช้ก็จะได้ประโยชน์ที่เรียกกันว่า “ไสยศาสตร์” เช่น พวกเครื่องรางของขลังต่างๆ ที่นำมาใช้ประกอบอาชีพให้เจริญก้าวหน้า เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแบ่งระดับพลังของเครื่องรางของขลังตามหลักการข้างต้น ออกเป็นสองแบบง่ายๆ คือ




    ๑. ระดับจิตวิญญาณ เป็นระดับพลังที่สูงมาก กล่าวคือ มีทั้งจิตและวิญญาณอาศัย เสมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งทีเดียว เพียงแต่เครื่องรางของขลังนั้นไม่ได้แสดงความเป็นสิ่งมีชีวิตออกมาให้เห็นโดยตรง แต่จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นต่างหากที่แสดงความสามารถพิเศษออกมาในทางลับได้ อาทิเช่น ธาตุกายสิทธิ์ที่มีดวงจิตเทวดาอาศัยอยู่, กุมารทองที่มีจิตวิญญาณของเทวดาสถิตอยู่, ศาลพระภูมิที่มีการอัญเชิญจิตวิญญาณมาอาศัย ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการแสวงหาพลังงานในจักรวาลตามธรรมชาติ เพื่อนำมาช่วยในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เครื่องรางของขลังประเภทที่มีจิตวิญญาณนี้ ผู้ครอบครองไม่จำเป็นต้องอัดพลังปราณเข้าไปเสมอๆ แบบที่มีแต่วิญญาณแต่ไม่มีจิต เพราะดวงจิตที่อาศัยอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นเอง จะเป็นผู้ดึงพลังมาหล่อเลี้ยงดวงจิตเอง เพียงแต่ดูแลเครื่องรางของขลังนั้นให้ถูกวิธี ทำให้ดวงจิตที่อาศัย อยากอาศัยอยู่ได้นานและช่วยเหลือการงานของตน ไม่ละทิ้งเครื่องรางของขลังไปสถิตที่อื่นก็เพียงพอ





    ๒. ระดับวิญญาณไม่มีจิต เป็นระดับพลังที่ไม่สูงมากนัก กล่าวคือ ไม่มีจิตอาศัย ไม่สามารถรับความรู้สึกนึกคิดได้ ไม่สามารถสั่งการกระทำการใดได้ เป็นแค่พลังที่หล่อเลี้ยงจิตเฉยๆ เมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องออร่าก็จะเห็นออร่า เช่นกัน อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “พลังปราณ” ที่ผู้มีพลังจิต ใช้จิตอัดถ่ายเทพลังปราณไว้ในเครื่องรางของขลังชนิดนี้ ซึ่งจะมีคุณสมบัติตามจิตของผู้ปลุกเสกกำหนดไว้นั้นๆ จนกว่าจะเสื่อมสลายหายไปตามกาลเวลา (ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน อนิจจัง) ดังนั้น เครื่องรางของขลังประเภทนี้ จำต้องอาศัยการช่วยกระตุ้นพลังปราณด้วยจิตของผู้ครอบครอง เช่น ดาบบางชนิดผู้ทำอัดพลังปราณลงไป ผู้ใช้ก็ต้องใช้ปราณหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เครื่องรางของขลังประเภทนี้จึงจัดเป็นเพียงแค่เครื่องมือเฉยๆ ไม่จัดเป็นสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องให้การเลี้ยงดู แต่จำต้องได้รับพลังปราณอัดหล่อเลี้ยงเข้าไป เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เสมอ





    ในการดูแลเครื่องรางของขลัง จำต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ตนมีอยู่นั้น มีจิตวิญญาณชนิดใดอยู่หรือไม่ หรือเป็นแค่เพียง “ปราณหรือวิญญาณ” ที่ไม่มีจิต ซึ่งผู้มีอิทธิฤทธิ์ใช้พลังปราณของตนอัดลงไป หรืออัญเชิญหรือดึงพลังมาจากแหล่งอื่นหรือไม่ ก็จะสามารถดูแลจัดการเครื่องรางของขลังของตนเองได้ถูกต้องเหมาะสม ไม่เสื่อมพลังง่ายไป ยกตัวอย่างเช่น พระเครื่อง ไม่มีจิตของพระองค์ที่คล้องอยู่ แต่หากได้อัญเชิญของพลัง ก็จะได้รับพลังที่เหมือนองค์ท่านมาสถิตในพระเครื่องนั้นๆ หากผู้มีพระเครื่องไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ไม่เกิดผล แต่หากปฏิบัติจิตอย่างดี พลังที่ได้รับไปจะช่วยจูนให้จิตของเราพัฒนาขึ้นได้ เหมือนการที่ถูกคลื่นจูนปรับให้เหมือนกันนั่นเอง เช่นนี้ การมีพระเครื่องไว้ในครอบครองจึงเกิดผลดี ซึ่งองค์ท่านจะมาช่วยเราแค่บางครั้งเท่านั้น เช่น เกิดอุบัติเหตุท่านรับรู้ได้ก็มาช่วยได้บางครั้งที่เคราะห์กรรมเปิดให้เท่านั้น ดังนั้น เราจำต้องพึ่งตนเองทุกครั้ง ย่อมเป็นการดีกว่าพึ่งพาอาศัยแต่พลังขององค์พระ





    สาเหตุหกประการแห่งความเสื่อมแห่งอภิญญาและของขลัง


    ๑. ลาภ คือ ความหลงใหลในลาภ จนเกิดเป็นความโลภ เช่น เรียกค่าครูมากเกินไป ผิดครู จนนำความวุ่นวายมาสู่ตัวเอง และยังความเสื่อมแห่งอภิญญามาในที่สุด

    ๒. ยศ คือ ความหลงใหลในยศตำแหน่ง ที่เขามอบให้เพื่อใช้งานเรา เช่น เศรษฐีจ้างให้เราเป็นตำแหน่งหมอประจำตัว เราหลงยอมทำตาม เขาใช้งานเราไปเลวก็ทำ ทำแบบนี้ จนนำทางตนเองไปสู่ความเสื่อมสิ้นหมดทั้งอภิญญาและตัวตนเอง

    ๓. สรรเสริญนินทา คือ ความหลงใหลในคำสรรเสริญนินทา เผลอลืมตนขาดสติ หลงตนเองมากเกินไป สภาวะจิตค่อยๆ เลื่อนออกจากสภาวะเดิม ไม่อาจระลึกสภาวะอารมณ์ของจิตเดิมที่มีอำนาจจิตได้ ทำให้อภิญญาค่อยๆ เสื่อมลง

    ๔. ปฏิบัติบกพร่อง คือ เดิมที่ปฏิบัติเคร่งครัดจนเกิดอภิญญา ภายหลังมีอภิญญาก็ปฏิบัติหละหลวม ย่อหย่อน เกียจคร้าน ลดน้อยถอยลงไป จนถึงความเสื่อมในที่สุด ดังนั้น การปฏิบัติที่หละหลวมของตนเองก็นำไปสู่อภิญญาเสื่อมได้ในที่สุด

    ๕. ศีลธรรมบกพร่อง คือ ศีลธรรม หรือกฎระเบียบเดิมที่ครูบาอาจารย์เคยวางไว้ให้ เมื่อมีอภิญญาเข้าแล้วก็ละเลยไม่สนใจในศีลธรรม ที่เรียกว่า “ผิดครู” ไม่ทำตามสัญญาหรือคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ เมื่อศีลธรรมเสื่อม อภิญญาก็เสื่อมตาม

    ๖. จิตตก คือ จิตที่ตกต่ำจากระดับเดิม เช่น เกิดความกลัวตาย, ตกทุกขเวทนา ได้รับผลกรรม, ป่วย, ฯลฯ เมื่อจิตถดถอยตกต่ำลงจากระดับเดิมลงไป ทำให้กำลังจิตลดลงและเสื่อมถอยจากอภิญญาเดิม รวมทั้งเครื่องรางของขลังก็เสื่อม
     
  18. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    อ่านความจริงด้วยจิตสะอาดบริสุทธิ์และมีปัญญาญาณ!!!!ธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) เมื่อไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์บรรจบกัน ทำอย่างไรจะไม่ให้ฤทธิ์เสื่อมถอย
    ทำอย่างไรอภิญญาและเครื่องรางของขลังจึงจะไม่เสื่อม






    บทนำก่อนเข้าสู่บทความ เพื่อความเข้าใจกันและความสมานฉันท์


    ขอให้ใช้วิจารณญาณในบทความที่จะกล่าวต่อไปนี้ เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ควรนำเสนอเพราะไม่นำไปสู่การบรรลุธรรม แต่ด้วยได้พิจารณาความเป็นจริงในปัจจุบันแล้วว่าคนส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเครื่องรางของขลังกันอยู่ ทั้งในอดีตก็มีมา, ปัจจุบันก็เป็นอยู่ และในอนาคตก็คงห้ามกันไม่ได้ ดังนี้ ผู้เขียนจึงขออธิบายตามขีดจำกัดความสามารถในการ “ค้นคว้าทางจิต” ซึ่งอาจมีส่วนถูกส่วนผิดบ้างไม่ ๑๐๐% ในเมื่อท่านทั้งหลายยังคงพึ่งพาอาศัยเครื่องรางของขลัง ก็ขอนำเสนอแก่ท่านที่พึ่งพาอาศัยเครื่องรางของขลัง ส่วนท่านที่ไม่สนใจ ก็ขอให้พิจารณาเพียงแนวทางนี้เป็น “สัมมาทิฐิ” หรือไม่ หากไม่ ก็ขอให้ท้วงติง แต่หากเป็นสัมมาทิฐิแล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายสนับสนุนย่อมเป็นการดีมากกว่าการโต้เถียง เพราะจะได้ผลบุญในวิทยาทานครั้งนี้ร่วมกัน





    สาเหตุใดจึงต้องสะสมเครื่องรางของขลังชนิดใหม่อยู่เรื่อยๆ จนเกินจำเป็น


    สำหรับนักสะสมเศษซากวัตถุนิยมที่ไร้จิตวิญญาณ มักแสวงหาแต่เครื่องรางของขลังแล้วไม่รู้จักการปฏิบัติดูแล จนเครื่องรางของขลังเหล่านั้นไม่เหลือพลังที่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เป็นแค่เศษซากวัตถุไว้เป็นที่ระลึกต่างหน้าเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้นักสะสมเหล่านี้ ต้องแสวงหาเครื่องรางของขลังชนิดใหม่ๆ ไม่จบไม่สิ้น จนกองเต็มบ้านไปหมด แต่ไร้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพราะไร้ซึ่งพลังจิตวิญญาณครอบครองสถิตอยู่นั่นเอง ในสมัยโบราณ ท่านที่มีเครื่องรางของขลังประจำตัวนั้น จะมีไม่มากนัก ดังเช่น วรรณคดีไทยในโบราณ มักจะมีอาวุธหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายเพียงอย่างเดียวเป็นต้น แต่ในสมัยปัจจุบัน นักสะสมจะใช้ “เงิน” ในการเช่าบูชาซื้อหามากมายเต็มไปหมด ทว่า สะสมมากเท่าไรก็ไม่พบว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ มีแต่หลอกตัวเอง ปลอบใจตัวเอง พูดโกหกว่าของตนมีฤทธิ์ไปเช่นนั้นเอง หากได้เข้าใจถึงที่มาของพลังจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในเครื่องรางของขลังแล้ว ก็จะได้เข้าใจว่าเหตุใดตนมีเครื่องรางของขลังมากมายแต่ไม่เห็นความศักดิ์สิทธิ์อย่างผู้อื่นบ้างเลย หากลองปรับพฤติกรรมการดูแลเครื่องรางของขลัง แม้นมองไม่เห็นจิตวิญญาณที่สถิตอยู่ แต่ให้มองว่าสิ่งเหล่านี้มีชีวิตินทรีย์มีจิตใจเหมือนเราบ้าง เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ก็จะทำให้ปัญหาการสะสมเครื่องรางของขลังใหม่ๆ ที่วนเวียนเดิมๆ หมดไปได้ และจะได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง






    “ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” ดังนี้จึงต้องซื้อหาเครื่องรางของขลังใหม่ๆ อยู่เรื่อย


    นี่คือสัจธรรมความจริงเที่ยงแท้ตลอดกาลแห่งพระพุทธเจ้า ตรัสเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ไม่เว้นแม้แต่เรื่องอภิญญาและเครื่องรางของขลังทั้งหลาย ล้วนต้องมีอันเสื่อมสลายหายสิ้นความขลังทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่จีรังยั่งยืนตลอดไป แม้นแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสวลีนี้ก็ยังทรงละสังขารจากโลกไปในวันหนึ่ง ดังนี้ จึงไม่แปลกเลยที่ หลายท่านมักแสวงหาเครื่องรางของขลังชนิดใหม่ๆ และจำต้องเสียเงินในการเช่าบูชามากมาย บางท่านมีเครื่องรางของขลังเต็มหิ้งยังไม่พอ นำมาห้อยตามตัวเต็มไปหมด โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าวัตถุเหล่านั้น ไม่เหลือพลังความขลังเสียแล้ว เหลือเพียงเศษซากวัตถุที่ขาดพลังจิตวิญญาณไปสิ้น และนี่คือที่มาของบทความที่จะนำเสนอต่อไปนี้





    จำแนกประเภทแหล่งพลังในสิ่งศักดิ์สิทธิ์






    ที่มาของพลังแห่งอภิญญาและเครื่องรางของขลัง


    จำต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จะมีความศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมี “พลังอำนาจจิต” และพลังอำนาจจิตนั้น เป็นพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ อยู่ในจักรวาลนี้ ที่เรียกว่า “พลังจักรวาล” นั้นมีอยู่มากมายหลายประเภท เมื่อคนเรามีชีวิตจะมีพลังชีวิต จึงสามารถขับเคลื่อนไปได้ อุปมาก็เหมือนรถยนต์มีน้ำมันหล่อเลี้ยงก็เคลื่อนที่ได้ แต่เมื่อตายลง พลังชีวิตซึ่งก็คือพลังงานรูปหนึ่ง ไม่สูญหายไปไหน แต่จะหวนกลับคืนสู่ธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ มีสีมีความถี่ (สเปคตรัม) และมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การใช้พลังชีวิตที่ยังอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องเข้ากันได้ดีกับพลังชีวิตของมนุษย์นี้ หากใช้เป็นหรือใช้ได้ถูกวิธี ก็จะมีผลดีต่อธรรมชาติด้วย คือ ไม่ก่อให้เกิดสารพิษจากการเผาผลาญพลังงาน การใช้พลังงานที่นอกเหนือจากพลังแสงอาทิตย์, พลังรังสีต่างๆ การใช้พลังที่มองไม่เห็นนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานคู่อารยะธรรมของโลกทุกยุคทุกสมัย ปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีวัดพลังงานชีวิตเหล่านี้ ที่เรียกว่า “กล้องถ่ายออร่า” ซึ่งทางองค์การนาซ่าได้ใช้ในการสำรวจสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั่นเอง เครื่องรางของขลังที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีพลังชีวิตที่เรียกว่า “ออร่า” เช่นนี้ จึงจะจัดว่าศักดิ์สิทธิ์และช่วยเหลือมนุษย์ได้จริง ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ร่างกายของคน เป็น “มวลสาร” ที่รองรับและดึงดูด “พลังศักดิ์สิทธิ์” เหล่านี้ได้ดีที่สุด เฉกเช่นเดียวกับเหตุผลว่าทำไม ดวงจิตของพระโพธิสัตว์หรือมหาเทพทั้งหลาย จะต้องจุติลงมาอาศัยในร่างมนุษย์จึงจะสามารถบำเพ็ญบุญบารมีได้มากนั่นเอง ดังนั้น แม้นไม่มีวัตถุมงคลใดๆ เลย ใช้ร่างกายของตนเองนั้น ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากจักรวาล ที่มีอยู่ในธรรมชาติก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้ที่ไม่ถนัดวิธีนี้ จำต้องอาศัยพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดลงไว้ในเครื่องรางของขลังแทน ดังที่จะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป






    ๑. พลังบริสุทธิ์ (พลังเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น)


    เป็นพลังสูงสุดของทุกแสงสีรวมกัน ทำให้มีสเปคตรัมเป็นสีขาว อันเกิดจากมนุษย์ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ปลดปล่อยออกมายามเมื่อมีชีวิต และเมื่อตายลง ก็จะเคลื่อนที่ออกจากโลก ไปไกลแสนไกล แต่ก็ยังสามารถส่งพลังแห่งความบริสุทธิ์ลงมายังโลกได้ตลอดเวลา พลังบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นพลังแห่งการมีชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน หากขาดซึ่งพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ปกป้องแล้ว มนุษย์ย่อมจะได้รับพลังด้านลบ เกิดโรคร้ายเบียดเบียนได้รับความตายมากมาย พลังเหล่านี้ ได้แก่ พระพุทธเจ้า, พระอรหันต์ ต่างๆ ที่บรรลุธรรมแล้วตายจากโลกไป พลังชีวิตนี้สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตร่างกายมนุษย์ให้ยืนนานได้มากกว่าปกติ ดังที่พบพระอรหันต์หลายรูปมีอายุยืนยาวนานผิดปกติ ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงว่าหากเจริญอิทธิบาทสี่คล่องแล้วย่อมสามารถยืดอายุอยู่ได้ยาวนานตามประสงค์ทีเดียว นี่แสดงให้เห็นถึงการศึกษาพลังแห่งความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ ที่เป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิตให้ยืนยาวนานได้โดยแท้ เราจึงจัดพลังบริสุทธิ์แห่งพระอรหันต์เป็นพลังขั้นสูงสุด





    ๒. พลังคุณธรรม (พลังเพื่อความดีงามแก่มหาชน)


    เป็นพลังรองลงมาจากพลังบริสุทธิ์สีขาว พลังคุณธรรมจะมีรัศมีหรือแสงสีทอง อันเกิดจากมนุษย์ที่มีจิตใจดีงาม แต่อาจยังไม่บรรลุธรรม ยังไม่หลุดพ้น ยังมีกิเลสความไม่บริสุทธิ์อยู่ ทว่าก็มีความเมตตาแก่มวลมนุษย์ด้วยกัน มีความโอบอ้อมอารี และมีคุณธรรมที่สูงส่ง อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้คือ “พลัง” ไม่ใช่ “ทาส” ดังนั้น อย่าได้ริอาจสั่งหรือตั้งเป้าให้พลังเหล่านี้ทำตามใจอยากของตนเอง และอย่าโวยวายเมื่อไม่ได้รับผลตามใจตน จะเอาวิสัยแบบลูกค้าคือพระเจ้ามาใช้กับพลังเหล่านี้ไม่ได้ เพราะพลังก็คือพลัง หากขาดซึ่งเครื่องยนต์กลไกลที่จะดำเนินไปแล้ว ก็ไร้ผลสิ้นเชิง ดังนั้น ต่อให้มีพลังก็เหมือนมีน้ำมันแต่ไม่มีรถยนต์ จะไปไหนก็ไม่ได้ ดังนั้น เมื่อรับพลังเหล่านี้ ที่เรียกว่า “เทพประทานพร” แล้ว จำต้องมีการ “ขับเคลื่อน” กลไกล คือ ร่างกายของเรา ไปตามพลังที่ได้รับด้วย บางท่านได้พลังในการทำดี แต่ไปใช้พลังในด้านลบ กลับเป็นการฝืนพลังและได้รับความเสียหายต่อมาอีกด้วย ดังนั้น แม้นว่าได้รับพลังแล้วจะนอนรอพรไม่ได้ จำต้องมีการทำกิจการตามที่ตนขอไว้ให้สำฤทธิ์ผลด้วย แหล่งพลังเหล่านี้เรียกว่ามหาเทพ เช่น องค์พรหม, องค์ศิวะ, องค์นาราย ฯลฯ





    ๓. พลังบุญ (พลังเพื่อผลบุญในอนาคตแก่ตน)


    เป็นแหล่งพลังที่มีพละกำลังรองลงมาจากพลังคุณธรรม ได้แก่ มนุษย์ด้วยกันที่ตายลงแล้วจิตใจดีงามทำความดี แต่ยังไม่หวังผลขนาดเพื่อมหาชนแบบมหาเทพ ทำความดีเพื่อตนเองได้สบายใจเฉพาะหน้าบ้าง ดังนั้น ยังไม่ได้ตั้งจิตเพื่อมหาชน เมื่อคนเหล่านี้ตายลง จะปล่อยพลังชีวิตตนเอง ออกจากโลกไปไกล ไปอยู่ในที่สงบสุขกว้างขวาง รอเวลาเดินทางกลับมาเกิดใหม่ ที่เรียกว่า “สวรรค์” (แบบมหาเทพจะเรียกว่าพรหมโลก) ซึ่งมวลพลังมากมายที่อยู่รอบโลกในจักรวาลนั้น จะส่งพลังบางส่วนมาช่วยคนที่มี “เครื่องรับ” ที่จับกระแสคลื่นพลังชนิดเดียวกันได้ เพราะมีจิตที่มีพลังความถี่สอดคล้องกัน หากตอนยังมีชีวิต ให้ถ่ายออร่าคู่กัน ออร่าก็จะผสานกลมกลืนกันราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน เรียกว่า “มีบุญสัมพันธ์กัน” การส่งพลังมาช่วยคนที่ยังมีชีวิตบนโลกนี้ “มีเหตุผลชัดเจน” ไม่ใช่เป็นแบบสุ่ม ไม่ใช่เกิดขึ้นแบบมั่ว มีระบบระเบียบการจัดการชัดเจนโดยธรรมชาติจัดสรร ที่เรียกว่า “เทวดาประจำตัว” คือ เมื่อมีพลังชีวิตหนึ่งเคลื่อนมาสู่โลกมนุษย์เข้าสู่เซลที่ปฏิสนธิแล้ว เพื่อเตรียมกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนั้น จะมีพลังรายล้อมมาด้วย ไม่ได้มาโดเดี่ยว เรียกว่าเป็นเทวดาประจำตัว คอยดูแลเด็กทารกจนโต ดังนี้ แม้ไม่มีเครื่องรางของขลังใดๆ เลย มนุษย์ทุกคนก็ล้วนมีเทวดาประจำตัวคอยดูแล หรือ มีพลังปกป้องตนเองที่ได้รับจากจักรวาลอยู่แล้วเป็นเบื้องต้นบางส่วน ตราบเมื่อบำเพ็ญเพียรทางจิตขั้นสูง จนคลื่นกระแสพลังจิตส่งไปสื่อกับพรหมโลก หรือ มหาเทพต่างๆ ได้ ก็จะได้รับพลังจากมหาเทพเหล่านั้นเพิ่มเติม ดังเช่น ฤษีที่บำเพ็ญตบะ แล้วได้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั่นเอง






    ๔. พลังฤทธิ์ (พลังเพื่อยังชีพบนโลกทั้งดีและไม่ดี)


    เป็นแหล่งพลังงานจากเทวดาที่อาศัยบนโลก แต่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น พวกคนธรรพ์ในธาตุกายสิทธิ์, นาคที่อยู่ใต้บาดาลในแม่น้ำโขง, วิทยาธรที่อาศัยอยู่ในกุมารทอง ฯลฯ เป็นต้น เทวดาเหล่านี้มีบุญบารมีน้อย จึงไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นสูง ยังต้องอาศัยอยู่บนภพที่คาบเกี่ยวกับโลกมนุษย์ และยังไม่ได้สัมผัสสวรรค์เนื้อแท้ที่ปราศจากความวุ่นวายจากมนุษย์ ที่มีแต่เทวดาและนางฟ้าด้วยกัน แต่ก็มีพลังมาก มีอิทธิฤทธิ์พอตัว (แต่จะน้อยกว่ามนุษย์ที่ฝึกจิตขั้นสูง) ด้วยเพราะคนมองไม่เห็นและสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยการกำหนดจิตก็ถึงทันที จึงสามารถทำงานต่างๆ ช่วยคนได้อย่างมากมาย อีกทั้งยังอยู่อาศัยบนโลกมนุษย์จึงใกล้ชิดมนุษย์และสามารถช่วยมนุษย์ได้ตลอดเวลา มากกว่ามหาเทพและพระอรหันต์ ที่หลุดพ้นไปจากโลกไกลแล้ว ดังนั้น จึงไม่แปลกที่หลายท่านจะนิยมเครื่องรางของขลังประเภทนี้ ซึ่งจะช่วยงานผู้ครอบครองอย่างขะมักเขม้นเพื่อเก็บสะสมบุญบารมีนั่นเอง เพราะพลังบริสุทธิ์แบบอรหันต์จะไม่ละเมิดกฎแห่งกรรม จะส่งพลังมาช่วยเฉพาะช่วงเวลาที่กรรมเปิดอำนวย ในขณะที่พลังคุณธรรมแบบมหาเทพจะเลือกช่วยคนได้จำกัดเพราะห่างไกลจากโลกพอสมควร จำต้องเลือกช่วยเหลือคนดี จึงจะได้ผล ดังนี้ พลังฤทธิ์ของเทวดาที่อยู่บนโลก จึงเป็นแหล่งพลังงานบนโลกที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ทั่วไป และให้ผลได้ทั้งดีและไม่ดีขึ้นกับผู้ใช้ จำต้องใช้ให้ถูกวิธี






    ๕. พลังมืด (พลังเพื่อกิจการต่างๆ บนโลก ในด้านร้าย)


    เรียกง่ายๆ ว่า “ไสยดำ” ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกันดี ลักษณะของไสยดำคือการนำเอาพลังด้านมืดหรือด้านลบมาใช้งาน ไม่ได้อัญเชิญพลังจากเทวดาเข้ามาดูแลมนุษย์ แต่เป็นการเอาพลังสัมภเวสีบ้าง พลังจากสัตว์นรกบ้าง ที่ล่องลอยวนเวียนอยู่ ไม่ได้ไปสู่ภพภูมิที่ถูกต้องนั้น นำมากักขังตรึงไว้ เลี้ยงไว้อยู่กับตนด้วยอิทธิฤทธิ์ เพื่อใช้ไปในทางที่เสื่อม ไม่ได้ใช้พลังเพื่อช่วยเหลือคนดี ไปสนับสนุนการทำเลวของคนเลวทั้งหลายนั่นเอง พลังมืดเหล่านี้ แฝงอยู่ในเครื่องรางของขลังหลายประเภทมากมาย บางท่านก็มีไว้ในครอบครองร่วมกับเครื่องรางของขลังที่มีพลังด้านบวก เป็นเอาว่าจับมารบกันเองในบ้านเฉยๆ เสียอย่างนั้น บางท่านก็ได้รับผลกระทบจากพลังที่ต่างขั้วกันนี้ ทำให้ภายในบ้านแตกแยกความสามัคคี ไม่รักใคร่สมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน ของประเภทนี้จะไม่ขอกล่าวถึงมากนักในบทความที่จะอธิบายต่อไปนี้






    ระดับพลังจักรวาลที่สถิตอยู่ในเครื่องรางของขลัง


    จำต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า “พลังชีวิต” ประกอบไปด้วย “จิต” และ “วิญญาณ” เมื่ออยู่ร่วมกันเรียกว่า “จิตวิญญาณ” เช่น ภูติ, ผี, เทวดา ล้วนมีการอยู่ในลักษณะของจิตวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เราเห็นกรณีเป็นผี เรามักเรียกว่า “ผี หรือ วิญญาณ” แต่สิ่งที่เราเห็นเมื่อเป็นเทวดา เรามักเรียกส่า “กายทิพย์” แท้แล้วทั้งสองอย่างนั้น เป็นอย่างเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผีหรือกายทิพย์ เพราะเมื่อเวไนยสัตว์ทุกชนิดตายลง ก็จะจุติและปฏิสนธิทันที ไม่มีการรอคั่น แสดงว่าสิ่งที่เราเห็นนั้น ล้วนแต่ “มีชีวิตินทรีย์” คือ เกิดใหม่ในภพใหม่แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่มีลักษณะแตกต่างกันไปตามกำลังบุญบารมีเท่านั้นเอง หากมีบาปมากบุญน้อย กายทิพย์ก็น่าเกลียด เป็นเหมือน ผี เหมือน เปรต เราเห็นเข้าก็ไปเรียกว่า “วิญญาณ” แต่หากกายทิพย์สวยงาม เป็น เทพ เป็น เทวดา เราก็มักคิดว่าไม่ใช่วิญญาณ แท้แล้วสิ่งที่เราเห็นเรียกว่า “ขันธ์ห้าชุดใหม่” ของจิตดวงนั้นๆ อาศัยรวมกัน คือ มีครบทั้ง วิญญาณ, เวทนา, สัญญา, สังขาร, รูปนาม (จิตและรูปขันธ์) คือ มีทั้งการรับรู้, ความสุขทุกข์เจ็บปวด, มีที่อาศัยแห่งจิต, มีรูปร่างให้เห็นได้ ฯลฯ มนุษย์เราเองก็มีขันธ์ห้า โดยอยู่อาศัยในกายเนื้อที่ขยับเคลื่อนไหวได้สะดวก แตกต่างจากเทวดาบางตนที่ขันธ์ห้าอาศัยในธาตุกายสิทธิ์ก็มี ในต้นไม้ก็มี การเคลื่อนไหวทำบุญสะสมบารมีจึงยากกว่า ได้ผลบุญน้อยกว่า เป็นต้น





    ดังนั้น ในตัวมนุษย์ก็มี “พลังศักดิ์สิทธิ์” อยู่เช่นกัน คือ “พลังจิตวิญญาณ” สาเหตุที่เรียกว่าพลังจิตวิญญาณ เพราะประกอบไปด้วย “จิต” ซึ่งมีพลังในการหยั่งรู้, สั่งการ ฯลฯ ส่วนวิญญาณก็เป็นพลังงานอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเครื่องมือให้จิตใช้ครองร่างกาย ควบคุมร่างกาย และปกป้องคุ้มครองไม่ให้ดวงจิตอื่นๆ เข้ามาแย่งอยู่ในร่างกายของตนได้ บางท่านวิญญาณอ่อนแอบางจุด หรือที่เรียกว่าออร่ามีปัญหา หรือกายทิพย์มีปัญหา นั่นเอง ทำให้ดวงจิตของเจ้ากรรมนายเวรที่จ้องอาฆาตล้างแค้น เข้ามาแฝงปนในร่างกายเนื้อ และแปรเปลี่ยนรหัสพันธุ์กรรม “ดีเอ็นเอ” ของเซลในร่างกายให้สอดคล้องกับคลื่นพลังจากดวงจิตนั้นๆ จนก่อเกิดเป็น “เซลมะเร็ง” เกาะกินเซลและเนื้อเยื่อปกติขึ้นในที่สุด ดังนี้ แม้จะตัดเอาเซลมะเร็งออกไป แต่ดวงจิตอาฆาตนั้น ยังกลับมาเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมของเซลปกติได้อีก จึงทำให้กลับเป็นมะเร็งได้อีก





    การมีชีวิตอยู่แบบไม่มีจิต เช่น เซลแต่ละเซลในร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเซลเม็ดเลือดขาวที่ขยับไปกินเชื้อโรคได้เอง, เซลสืบพันธุ์ที่ขยับไปสืบพันธ์ได้เอง ฯลฯ เซลเหล่านี้ไม่มีจิต แต่อาศัย “วิญญาณ” หรือมวลพลังออร่า หรือปราณ หล่อเลี้ยง และที่มีรหัสพันธุ์กรรมเดียวกัน ด้วยเพราะคลื่นพลังจากดวงจิตที่อาศัยอยู่ในร่างนั้นๆ เป็นต้นแบบแม่พิมพ์ และด้วยเหตุนี้จิตจะสามารถควบคุมการทำงานทุกส่วนในร่างกายได้ แม้แต่เซลขนาดเล็ก เช่น เซลไขกระดูก จิตเรานั้นสามารถสั่งการให้เซลพวกนี้ผลิตไขกระดูกเพิ่มเติมได้ ดังนั้นจำต้องแยกแยะระหว่าง “สิ่งมีชีวิต” ทางวิทยาศาสตร์ กับชีวิตินทรีย์ในทางพุทธศาสนา เพราะชีวิตินทรีย์ในทางพุทธศาสนาพิจารณา “จิต” เป็นสำคัญ ส่วน “สิ่งมีชีวิต” ในทางวิทยาศาสตร์ พิจารณา “การสืบพันธ์” ได้ เป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากพิจารณาว่าเม็ดเลือดหรือเซลบางชนิดในร่างกาย แตกตัวได้ และมีพันธุ์กรรมแตกต่างจากเดิม ก็ควรเรียกว่า “สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่” เกิดขึ้นในร่างกายเรา เช่น เซลมะเร็ง สามารถแบ่งเซลได้และมีพันธุ์กรรมต่างจากเดิม ก็น่าจะนับเป็นการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตใหม่ จากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่เดิม แต่ในทางพุทธศาสนาพิจารณาจิตเป็นสำคัญ จึงไม่เรียกว่าเป็นชีวิตินทรีย์ หากไม่พบว่ามีจิต ดังนี้ แม้พืชบางชนิดจะมีปราณ หรือออร่า หรือพลังวิญญาณเป็นพื้นฐาน แต่ขาดดวงจิตอาศัย เช่น ตะไคร่น้ำ ก็ไม่จัดเป็นชีวิตินทรีย์ ไม่รับรู้เวทนาความสุขทุกข์ แต่ก็ยังสามารถขยายพันธ์ได้ ส่วนต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีดวงจิตเทวดาไปอาศัย ก็จะเรียกเป็นชีวิตินทรีย์ ไม่ควรโค่นลง หากจำเป็นต้องตัด ควรขอขมาเทวดาแล้วอัญเชิญดวงจิตเทวดาไปอยู่ที่ใหม่ที่จัดให้แทน






    ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ถือเอาว่า “การสืบพันธุ์” เป็นเครื่องกำหนดสิ่งมีชีวิต แต่ถือเอาว่า “การรับรู้สุขทุกข์” ได้ คือ มี “จิตผู้รู้” เป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ดังนี้ จึงมี “สิ่งมีชีวิตบางชนิดทางวิทยาศาสตร์ที่สืบพันธุ์ได้แต่ไม่มีจิต” และในทางพระพุทธศาสนาก็ถือว่า “สิ่งที่มีจิตผู้รู้แม้นไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต” เช่น คนที่เป็นหมัน ก็เป็นสิ่งมีชีวิต, จิตอรหันต์ที่ตายแล้วแต่มีความรับรู้ได้และไม่เกิดใหม่อีกก็เป็นชีวิต (ชีวิตที่ไม่เกิดและไม่ดับอีก) การกระทำต่อสิ่งที่มีดวงจิต จะต้องรับกรรม เช่น ตัดไม้ก็ต้องรับกรรม เพราะทำลายที่อยู่ของรุกขเทวดา การฆ่าสัตว์ก็ต้องรับกรรม การกินสาหร่ายขนาดเล็กที่ไม่มีจิตก็ไม่ต้องรับกรรม (จริงๆ มีกรรมทุกครั้งที่มีการกระทำ แต่รับผลไม่มากนัก จึงถือว่าไม่มีเลย) และธรรมชาติมีการสืบเนื่อง (สันตติ) เป็นเรื่องธรรมดา เช่น ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่เกิดต่อเนื่องแบบเดิมๆ จะเรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีกแบบหนึ่งได้หรือไม่ เพราะมีการเคลื่อนไหว และมีการสืบเนื่องแบบเดิมๆ มีการให้ผลเป็นสิ่งที่เหมือนเดิม ได้กลุ่มก้อนชนิดใหม่ ที่เหมือนเดิม จะเรียกว่าเป็นการ “สืบพันธุ์” หรือไม่ คำตอบทางวิทยาศาสตร์ก็คงไม่ยอมรับว่าเป็นการสืบพันธุ์เพราะไม่นับสารนิวเคลียร์ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ไวรัสและเชื้อโรคหลายชนิดก็เป็นอย่างนี้ คือ มีการเกิดต่อเนื่องคล้ายหรือเหมือนของเก่า โดยอาศัยสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยอำนวย ในทางวิทยาศาสตร์ยอมรับไวรัสว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ในทางพุทธศาสนาไม่ได้มองเช่นนั้น เพราะไวรัสเป็นเพียงการสืบเนื่องที่ไร้การรับรู้ทางจิต เหมือนการเกิดขึ้นแล้วดับไปของอะไรบางอย่างตามธรรมชาติ เช่น ปฏิกิริยาลูกโซ่ต่างๆ ดังนี้ ยังมีสิ่งต่างๆ ในโลกอีกมากที่เกิดขึ้นสืบเนื่อง และขยับได้ ธรรมชาติสร้างมา แต่ไม่มีดวงจิตอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคต ก็อาจมีจิตที่ก่อกรรม บุญทำกรรมแต่งให้ต้องไปสถิตหรือจุติในสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่า การเกิดขึ้นของสิ่งที่สืบเนื่องและขยับเขยื้อนได้นั้น มาก่อนการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นภายหลัง เมื่อมี “ดวงจิต” มาอาศัยต่างหาก





    สิ่งที่ขยับเขยื้อนและสืบต่อเนื่องได้นั้นมีมากมาย บางท่านค้นพบ “ตัวเปรี้ยว” ซึ่งวิ่งหนีได้ ขยับได้ แต่ไม่มีดวงจิตอาศัย เสมือนเป็นรากฐาน เป็นหุ่น ที่รอการจุติของดวงจิตบางชนิด ที่ก่อกรรมและต้องมารับกรรมจุติในตัวเปรี้ยวเหล่านี้ต่อไปในอนาคต ตัวเปรี้ยวเหล่านี้ มี “พลังปราณหรือวิญญาณ” แต่ไม่มี “ดวงจิต” การจับตัวเปรี้ยวมากิน จึงมีกรรมน้อย ที่เรียกว่า “ไม่ใช่การฆ่าสัตว์” แต่ในอนาคตหากมีดวงจิตมาอาศัยในตัวเปรี้ยวเมื่อไรการจับตัวเปรี้ยวมากินก็จะเกิดกรรมขึ้นทันที ยังมีสิ่งมีชีวิตในทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่ไม่มีชีวิตตามหลักพุทธศาสตร์ และมีผู้ค้นพบใน “ป่าหิมพาน” ในทาง “คริสต์ศาสนา” น่าจะเทียบได้กับ “สวนเอเดน” คือ สถานที่ที่ธรรมชาติจำลองแบบสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมา ให้มีพลังวิญญาณก่อน ก่อนที่จะนำพาดวงจิตมากมายมาอาศัยสถิตอยู่ แล้วก่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในทางพระพุทธศาสนานั่นเอง






    เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นขอย้อนกลับไปสู่การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตบนโลก เริ่มจากธรรมชาติของการเกิดจักรวาลทำให้เกิดโลกที่พร้อมจะเกิดสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น (ที่เรียกว่าพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าในที่นี้หมายถึงสรรพสิ่ง ก็คือธรรมชาติสร้างตัวเอง) จากนั้น ดวงจิตที่บริสุทธิ์จากดาวดวงเดิมที่สลายไม่อาจเกิดสิ่งมีชีวิตได้แล้ว ก็จะมาสำรวจแล้วแผ่พลังปราณบริสุทธิ์ ซึ่งก็คือ พลังชีวิตต่างๆ ลงไปในพื้นดิน, น้ำ, ท้องฟ้า ฯลฯ สิ่งต่างๆ ก็เริ่มมีพลังขับเคลื่อนไหวและสืบต่อเนื่อง จากนั้น ก็จะบังเกิดสิ่งที่มีชีวิตทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่มีดวงจิตอาศัย จนกลายเป็น “สวนเอเดน” หรือ “ป่าหิมพาน” ที่พร้อมจะให้มนุษย์อาศัยได้ จากนั้น ดวงจิตที่บริสุทธิ์ก็นำพาดวงจิต “พรหม” เข้ามาเกิดขึ้นบนโลกครั้งแรก ดังนี้ จึงเกิดเป็นตำนาน “พระพรหมสร้างโลก” คือ ลงมาจุติเป็นพวกแรกๆ เพื่อสร้างระบบระเบียบและแนวทางการดำเนินชีวิตไว้บนโลก แต่แท้แล้วโลกใบนี้ไม่ได้มีคนนั่งปั้น ธรรมชาติสร้างเอง ที่เราเรียกกันว่า “พระเจ้าผู้สถิตอยู่ทุกสรรพสิ่ง” ซึ่งก็คือ “สรรพสิ่ง” หรือก็คือ “ธรรมชาติ” นั่นแหละ ที่สร้างตัวเองขึ้นมา จากนั้น พรหมซึ่งบำเพ็ญพรหมจรรย์ และอาศัยการบำเพ็ญฌานเป็นเนืองนิตย์ไม่อาจรับรู้ถึงดินแดนที่เรียกว่า “อาณาจักรพระเจ้า” หรือ “นิพพาน” ได้ ดวงจิตที่บริสุทธิ์ผู้นำพาดวงจิตพรหมมาเกิด ก็ต้องช่วยกันส่ง “ดวงจิตพระบุตร” หรือก็คือ “พระโพธิสัตว์” ลงมาจุติ ช่วยมนุษย์โลก (ดวงจิตพรหม) เหล่านั้น ด้วยการสอนให้มีความรักความเสียสละ การช่วยเหลือกัน และสละทิ้งความอยากได้อาลัยในโลก หรือแม้นแต่รสชาติแห่งฌาน (หากติดฌานจะกลับไปยังพรหมโลกอีก จะไม่ได้นิพพาน) แล้วพระเจ้า หรือดวงจิตที่บริสุทธิ์จะมีพลังดึงดูดจิตที่หลุดพ้นนั้นกลับคืนสู่อาณาจักรพระเจ้าหรือนิพพานนั่นเอง (คลื่นพลังสอดคล้องกันจะไหลไปสู่ที่เดียวกัน)





    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาของพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆ ของจักรวาลและของโลก ซึ่งก็คือ พลังชีวิตแหล่งต่างๆ ที่สอดคล้องและส่งเสริมต่อมนุษย์ หากมนุษย์รู้จักนำมาใช้ก็จะได้ประโยชน์ที่เรียกกันว่า “ไสยศาสตร์” เช่น พวกเครื่องรางของขลังต่างๆ ที่นำมาใช้ประกอบอาชีพให้เจริญก้าวหน้า เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแบ่งระดับพลังของเครื่องรางของขลังตามหลักการข้างต้น ออกเป็นสองแบบง่ายๆ คือ




    ๑. ระดับจิตวิญญาณ เป็นระดับพลังที่สูงมาก กล่าวคือ มีทั้งจิตและวิญญาณอาศัย เสมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งทีเดียว เพียงแต่เครื่องรางของขลังนั้นไม่ได้แสดงความเป็นสิ่งมีชีวิตออกมาให้เห็นโดยตรง แต่จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นต่างหากที่แสดงความสามารถพิเศษออกมาในทางลับได้ อาทิเช่น ธาตุกายสิทธิ์ที่มีดวงจิตเทวดาอาศัยอยู่, กุมารทองที่มีจิตวิญญาณของเทวดาสถิตอยู่, ศาลพระภูมิที่มีการอัญเชิญจิตวิญญาณมาอาศัย ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการแสวงหาพลังงานในจักรวาลตามธรรมชาติ เพื่อนำมาช่วยในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เครื่องรางของขลังประเภทที่มีจิตวิญญาณนี้ ผู้ครอบครองไม่จำเป็นต้องอัดพลังปราณเข้าไปเสมอๆ แบบที่มีแต่วิญญาณแต่ไม่มีจิต เพราะดวงจิตที่อาศัยอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นเอง จะเป็นผู้ดึงพลังมาหล่อเลี้ยงดวงจิตเอง เพียงแต่ดูแลเครื่องรางของขลังนั้นให้ถูกวิธี ทำให้ดวงจิตที่อาศัย อยากอาศัยอยู่ได้นานและช่วยเหลือการงานของตน ไม่ละทิ้งเครื่องรางของขลังไปสถิตที่อื่นก็เพียงพอ





    ๒. ระดับวิญญาณไม่มีจิต เป็นระดับพลังที่ไม่สูงมากนัก กล่าวคือ ไม่มีจิตอาศัย ไม่สามารถรับความรู้สึกนึกคิดได้ ไม่สามารถสั่งการกระทำการใดได้ เป็นแค่พลังที่หล่อเลี้ยงจิตเฉยๆ เมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องออร่าก็จะเห็นออร่า เช่นกัน อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “พลังปราณ” ที่ผู้มีพลังจิต ใช้จิตอัดถ่ายเทพลังปราณไว้ในเครื่องรางของขลังชนิดนี้ ซึ่งจะมีคุณสมบัติตามจิตของผู้ปลุกเสกกำหนดไว้นั้นๆ จนกว่าจะเสื่อมสลายหายไปตามกาลเวลา (ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน อนิจจัง) ดังนั้น เครื่องรางของขลังประเภทนี้ จำต้องอาศัยการช่วยกระตุ้นพลังปราณด้วยจิตของผู้ครอบครอง เช่น ดาบบางชนิดผู้ทำอัดพลังปราณลงไป ผู้ใช้ก็ต้องใช้ปราณหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เครื่องรางของขลังประเภทนี้จึงจัดเป็นเพียงแค่เครื่องมือเฉยๆ ไม่จัดเป็นสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องให้การเลี้ยงดู แต่จำต้องได้รับพลังปราณอัดหล่อเลี้ยงเข้าไป เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เสมอ





    ในการดูแลเครื่องรางของขลัง จำต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ตนมีอยู่นั้น มีจิตวิญญาณชนิดใดอยู่หรือไม่ หรือเป็นแค่เพียง “ปราณหรือวิญญาณ” ที่ไม่มีจิต ซึ่งผู้มีอิทธิฤทธิ์ใช้พลังปราณของตนอัดลงไป หรืออัญเชิญหรือดึงพลังมาจากแหล่งอื่นหรือไม่ ก็จะสามารถดูแลจัดการเครื่องรางของขลังของตนเองได้ถูกต้องเหมาะสม ไม่เสื่อมพลังง่ายไป ยกตัวอย่างเช่น พระเครื่อง ไม่มีจิตของพระองค์ที่คล้องอยู่ แต่หากได้อัญเชิญของพลัง ก็จะได้รับพลังที่เหมือนองค์ท่านมาสถิตในพระเครื่องนั้นๆ หากผู้มีพระเครื่องไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ไม่เกิดผล แต่หากปฏิบัติจิตอย่างดี พลังที่ได้รับไปจะช่วยจูนให้จิตของเราพัฒนาขึ้นได้ เหมือนการที่ถูกคลื่นจูนปรับให้เหมือนกันนั่นเอง เช่นนี้ การมีพระเครื่องไว้ในครอบครองจึงเกิดผลดี ซึ่งองค์ท่านจะมาช่วยเราแค่บางครั้งเท่านั้น เช่น เกิดอุบัติเหตุท่านรับรู้ได้ก็มาช่วยได้บางครั้งที่เคราะห์กรรมเปิดให้เท่านั้น ดังนั้น เราจำต้องพึ่งตนเองทุกครั้ง ย่อมเป็นการดีกว่าพึ่งพาอาศัยแต่พลังขององค์พระ





    สาเหตุหกประการแห่งความเสื่อมแห่งอภิญญาและของขลัง


    ๑. ลาภ คือ ความหลงใหลในลาภ จนเกิดเป็นความโลภ เช่น เรียกค่าครูมากเกินไป ผิดครู จนนำความวุ่นวายมาสู่ตัวเอง และยังความเสื่อมแห่งอภิญญามาในที่สุด

    ๒. ยศ คือ ความหลงใหลในยศตำแหน่ง ที่เขามอบให้เพื่อใช้งานเรา เช่น เศรษฐีจ้างให้เราเป็นตำแหน่งหมอประจำตัว เราหลงยอมทำตาม เขาใช้งานเราไปเลวก็ทำ ทำแบบนี้ จนนำทางตนเองไปสู่ความเสื่อมสิ้นหมดทั้งอภิญญาและตัวตนเอง

    ๓. สรรเสริญนินทา คือ ความหลงใหลในคำสรรเสริญนินทา เผลอลืมตนขาดสติ หลงตนเองมากเกินไป สภาวะจิตค่อยๆ เลื่อนออกจากสภาวะเดิม ไม่อาจระลึกสภาวะอารมณ์ของจิตเดิมที่มีอำนาจจิตได้ ทำให้อภิญญาค่อยๆ เสื่อมลง

    ๔. ปฏิบัติบกพร่อง คือ เดิมที่ปฏิบัติเคร่งครัดจนเกิดอภิญญา ภายหลังมีอภิญญาก็ปฏิบัติหละหลวม ย่อหย่อน เกียจคร้าน ลดน้อยถอยลงไป จนถึงความเสื่อมในที่สุด ดังนั้น การปฏิบัติที่หละหลวมของตนเองก็นำไปสู่อภิญญาเสื่อมได้ในที่สุด

    ๕. ศีลธรรมบกพร่อง คือ ศีลธรรม หรือกฎระเบียบเดิมที่ครูบาอาจารย์เคยวางไว้ให้ เมื่อมีอภิญญาเข้าแล้วก็ละเลยไม่สนใจในศีลธรรม ที่เรียกว่า “ผิดครู” ไม่ทำตามสัญญาหรือคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ เมื่อศีลธรรมเสื่อม อภิญญาก็เสื่อมตาม

    ๖. จิตตก คือ จิตที่ตกต่ำจากระดับเดิม เช่น เกิดความกลัวตาย, ตกทุกขเวทนา ได้รับผลกรรม, ป่วย, ฯลฯ เมื่อจิตถดถอยตกต่ำลงจากระดับเดิมลงไป ทำให้กำลังจิตลดลงและเสื่อมถอยจากอภิญญาเดิม รวมทั้งเครื่องรางของขลังก็เสื่อม
     
  19. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    รหัสลับในนัยยะของ..พระเครื่อง

    พระเครื่องโดยทั่วไป เกิดจากการอัญเชิญพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทับสถิตในวัตถุมงคลนั้นๆ ในขณะทำพิธีอัญเชิญที่เรียกว่า “การปลุกเสกพระ” ซึ่งจิตที่สื่อไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ เช่น องค์หลวงปู่ทวด ก็จะทรงแผ่พลัง “ปราณ, ออร่าหรือวิญญาณ” แบ่งออกมาสถิตอยู่ในวัตถุมงคลนั้นๆ โดยไม่มีการ “แบ่งจิต” เช่นนี้ วัตถุมงคลก็จะมีพลังแบบเดียวกับองค์หลวงปู่ทวด แต่จะไม่มีจิตของหลวงปู่ทวดที่จะมาสิงสถิต รับรู้เจ็บปวด หรือกระทำกรรมใดๆ ร่วมกับผู้ครอบครองวัตถุมงคล พลังที่ได้รับมาสถิตอยู่ในวัตถุมงคลนี้ หากวัดเป็นคลื่นพลังงานแล้ว จะเป็นคลื่นพลังงานเดียวกับจิตของหลวงปู่ทวด เสมือนหนึ่งเดียวกัน เพียงแต่ไม่มีจิตในการรับรู้สั่งการ เสมือนว่าผู้ได้ครอบครองได้พลังชีวิตบางส่วนของหลวงปู่ทวดมาอยู่กับตนนั่นเอง ซึ่งจะแตกต่างกับการแบ่งภาคจิตมาเกิดขององค์หลวงปู่ทวด ที่จะมาเกิดเป็นคนได้สมบูรณ์และทำกิจการต่างๆ ได้มากกว่า ดังนี้ จึงต้องเข้าใจว่า แม้นมีพลังของหลวงปู่ทวดแล้ว ยังต้องมีการกระทำของตนเองเป็นเครื่องขับดันอีกด้วย จึงจะเกิดผลที่ชัดเจน เพราะพระเครื่องนั้น “ไม่มีจิต” ผู้เป็นเจ้าของนั้นมีจิต จึงต้องใช้จิตของตนกระทำโดยใช้พลังที่ได้รับมาในทางที่ดีงาม จะเห็นผลที่ชัดเจน ว่าพระเครื่องนั้นๆ ศักดิ์สิทธิ์จริง


     
  20. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    ขอบพระคุณท่านผู้วิจัยและเรียบเรียงเป็นความรู้แก่มหาชนครับ!!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...