บารมีใดในทศบารมี ที่ทำได้ยากที่สุด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย piranatch, 11 พฤศจิกายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    เพราะเจตนาในมหาทานที่ให้บุตร ของตน นั้นเองเป็นยิ่งกว่าอุปบารมี เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า บุตร ของตนนั้น มีค่ายิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของตน
    เพราะบุตรทั้งสอง มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของตน นั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าเป็นปรมัตถ์บารมีครับ สาธุ
     
  2. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659

    แล้วถ้าสิ่งที่รักดั่งลูก ที่บางคนเฝ้าคอยเช็ดขัดถูให้เงางามสะอาดสอาน เฝ้าระวังรักษาไม่ให้มีรอยขีดขวน เอาเข้าเช็คระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามเวลาสม่ำเสมอ

    ถ้าเช่นนั้น ถ้าเค้ายอมสละยกรถเต่าคันงามซึ่งเป็นสิ่งที่รักดั่งลูกนี้ ก็ถือว่าเป็นปรมัตถบารมีหรือ?
    แล้วลูกหมา ลูกแมว ช้าง ม้า สัตว์เลี้ยงอื่นๆหละ?

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  3. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ปัญจมหาบริจาค ที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท

    พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายในพระชาติที่ทรงเกิดเป็นพราหมณ์พระนามว่า สุเมธได้ออกบวชเป็นดาบส เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงได้ออกแสวงหาพุทธการกธรรมที่ควรบำเพ็ญได้พบบารมี ๑๐ เป็นธรรมที่ควรบำเพ็ญได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา พระองค์จึงอธิษฐานบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ นั้นเรื่อยมา นับเวลานานถึงสี่อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปป์กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    บารมีทั้ง ๑๐ นั้นท่านแบ่งเป็น ๓ ระดับคือ ระดับธรรมดาเรียกบารมี ระดับปานกลางเรียกว่าอุปบารมี และระดับสูงสุดเรียกว่าปรมัตถบารมี พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะต้องบำเพ็ญมหาทานทั้ง ๕ คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคบุตรธิดา บริจาคภรรยา บริจาคอวัยวะ และบริจาคชีวิต กล่าวคือ พระโพธิสัตว์บริจาคทรัพย์ บุตรธิดาและภรรยาเป็นบารมี บริจาคอวัยวะน้อยใหญ่เป็นอุปบารมี บริจาคชีวิตเป็นปรมัตถบารมี

    จากการศึกษาทำให้ทราบว่าปํญจมหาบริจาคเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะต้องบำเพ็ญ ตามที่ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าการบำเพ็ญปัญจมหาบริจาคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันซี่งปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ ดังนี้

    ในคัมภีร์พระไตรปิฎกได้กล่าวถึงปัญจมหาบริจาค คือ บริจาคทรัพย์ ๒๑ พระชาติ บริจาคบุตรธิดา ๑ พระชาติ บริจาคภรรยา ๑ พระชาติ บริจาคอวัยวะ ๓ พระชาติ บริจาคชีวิต ๓ พระชาติ

    ในคัมภีร์อรรถกถาได้กล่าวถึงปัญจมหาบริจาคของพระโพธิสัตว์ คือ บริจาคทรัพย์ ๒๕ พระชาติ บริจาคบุตรธิดา ๑ พระชาติ บริจาคภรรยา ๑ พระชาติ บริจาคอวัยวะ ๓ พระชาติ บริจาคชีวิต ๕ พระชาติ
    ในคัมภีร์ฏีกา ไม่ได้กล่าวแยกประเภทของปัญจมหาบริจาคไว้อย่างชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์ทำอะไรบ้าง แต่ได้กล่าวรวมไว้ว่า ปัญจมหาบริจาคเป็นเป็นคูณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญ หากไม่บำเพ็ญก็จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

    ปัญจมหาบริจาค ๕ ประการ มีความสำคัญยิ่ง เพราะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างยึด มหาบริจาคทั้ง ๕ นั้น เป็นบรรทัดฐานที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญ เร็วที่สุด ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ปานกลาง ๘ อสงไขย ๑ แสนกัป ช้าที่สุด ๑๖ อสงไขย ๑ แสนกัป

    บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ในการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ นี้ แม้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญแล้วก็ยังไม่สามารถขึ้นสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าได้หากยังไม่บำเพ็ญปัญจมหาบริจาค คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคบุตรธิดา บริจาคภรรยา บริจาคอวัยวะ และบริจาคชีวิต จึงสรุปลงไปว่า หากพระโพธิสัตว์ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าต้องผ่านการบำเพ็ญมหาบริจาคทั้ง ๕ นี้ให้ได้

    สำหรับพระชาติที่บำเพ็ญปัญจมหาบริจาคโดยเฉพาะไม่มี แต่อาศัยการบำเพ็ญบารมีมาหลาย ๆ พระชาติรวมกันจึงครบเป็นปัญจมหาบริจาค และพระชาติสุดท้ายทรงเกิดเป็น พระเวสสันดรทรงเน้นที่การบริจาคทานคือ บริจาคทรัพย์ บริจาคบุตรธิดา และบริจาคภรรยา แต่ด้วยความที่พระองค์ได้บริจาคอย่างอื่นมาตั้งแต่พระชาติก่อนแล้วจึงมารวมกันทำให้พระองค์บำเพ็ญได้ครบปัญจมหาบริจาคทั้ง ๕ ประการทำให้พระองค์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้

    จึงได้ข้อสรุปว่า ปัญจมหาบริจาคเป็นพุทธการกธรรม คือธรรมที่ทำให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องบำเพ็ญให้สมบูรณ์จึงจะบรรลุความปรารถนานั้นได้


    ตำราน่าอ่าน
    http://www.mcu.ac.th/userfiles/file/สารนิพนธ์2538-2552 มจร/255042.pdf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  4. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะได้ตรัสรู้ในชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์
    ของความถึงซึ่งในธรรมสโมทาน มีอัชยาศัยพอใจในเนกขัมมะ

    จึงสละราชสมบัติ บุตรภรรยา ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ คือการออกบวช
    บารมีทั้งหลายที่เคยสั่งสมมา จึงส่งผลให้ได้ตรัสรู้พระโพธิญาณ
     
  5. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659

    ได้ประเด็นครับ .. หากพิจารณาทั้งหมดนี้ซึ่งมี .. ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ..

    นอกจาก เนกขัมมะ นี้ผมยังไม่เห็นอันไหนที่เป็นปัจจัยโดยตรงของการได้มาซึ่งฌานสมาบัติเลยครับ
    (แน่นอนว่าต้องอาศัยบารมีอื่นๆ สนับสนุน เช่น ศีล เป็นปัจจัยของ สมาธิ เป็นต้น แต่ตัวนี้คือตัวปัจจัยโดยตรง)

    แต่ถ้าเรามองว่า เนกขัมมะ คือการสั่งสมนิสัยให้เกิดการทำสมาธิฌานสมาบัติ .. ก็แสดงว่าเรานุ่งขาวห่มขาว
    ปฎิบัติสมาธิกรรมฐานที่วัดหรือที่บ้าน ที่สะดวก ก็ถือว่าบำเพ็ญ เนกขัมมะ ถูกหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  6. หมอมด

    หมอมด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +208
    ....อยากฟังความเห็นของน้าบุญทรงด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    บารมีที่สร้างนั้น

    เราควรจะต้องมองสามเรื่องหลักๆดังนี้คือ
    1ความสำคัญ
    2ความยาก
    3ความที่ต้องทำให้มากๆ
    กระผมจึงขอกล่าวว่า ในพระชาติพระเวสสันดร นั้นเป็นมหาทาน แม้พระองค์ไม่ได้สละชีวิตให้ใคร แต่ชีวิตของพระองค์ก็เหมือนสละให้ผู้อื่นไปแล้วหมดสิ้น เป็นชีวิตที่ไม่มีใครสร้างบารมีได้ยิ่งกว่าพระองค์ ครับ ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ทานบารมี นี่มีความสำคัญมาก ทำได้ยากและต้องสั่งสมให้มากที่สุดครับ จึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่มาก มีบารมีมากครับ สาธุ
     
  8. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ผู้เห็นโทษในกามสวะ มีใจฝักใฝ่ในพรมจรรย์ จึงถือบวช

    เพื่อคลายคลายกามวิตก เพราะเห็นโทษแห่งกาม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อฌานอภิญญา ญาณ

    ดังนั้นผู้ที่ได้ฌาน แม้จะเป็นโลกียะ ตัวเมตตาอุเบกขา อัปมัญญาจิต

    ความเป็นสังขารุเบกขาญาณ มันก็เป็นการอบรมไปในตัวอยู่แล้ว

    ไม่งั้นแล้ว พระชาติที่เป็นพระเวสสันดร จะบริจาคบุตร

    ให้กับชูชกเฆี่ยนตีต่อหน้าต่อตา และบริจาคภริยาได้อย่างไร

    แม้บัลลังค์ของใจก็ไม่อาจเคลื่อน แต่กลับโสมนัส ไม่หวั่นไหว ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของการบำเพ็ญ

    นั่นเพราะ มีจาคะทั้งความเป็นนามธรรม และรูปธรรม ต่อสิ่งเร้าผัสสะอารมณ์ภายใน

    ก็มาจากเนกขัมมะ ออกจากปราสาทราชวังค์ พากันมาอยู่ป่า

    แต่หลังจากนั้น ท่านทั้งสี่ก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อม อย่างผาสุก ณ เมืองสีพี ผ่านความเป็นปัญจมหาบริจาค

    ลองพิจารณาดูสิ ผู้ที่เราเชื่อว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ และเชื่อว่าท่านอบรมบารมีมาดีแล้ว

    อย่างหลวงปู่ทวด สมเด็จโต ครูบาศรีวิชัย หลวงพ่อปาน หลวงปู่ดู่ ครูบาชัยยะวงค์ ฯลฯ ล้วนต่างครองผ้ากาสาวพัสตร์กันทั้งนั้น

    ส่วนสำหรับ InvisibleForce จะเสื้อสีนึง กางเกงอีกสีนึง

    ก็คงไม่มีใครว่าหรอกม้าง บางแห่งเสื้อสี... กางเกงสี...

    อบรมที่ใจไปก่อน หากเต็มที่ของมันแล้ว

    ก็คงจะออกไปในทางรูปธรรม อันเป็นแก่นสารแห่งปัพพัชชา
    ของผู้พอใจปรารถนา ที่จะสละห่วงอันเป็นโลก และห่วงอันเป็นทิพย์ เพื่อรู้แจ้งโลก ออกสั่งสอนธรรม

    ดังนั้น คุณจะใส่ลายพาด ลงกลอน ขึ้นเขาลงห้วย ในที่อันสงัดวิเวก โคนไม้ เรือนอาศัย มีความเป็นกัมมวาที

    แต่อย่าไป ยกล้อเงาจักรยาน บ่อยก็แล้วกัน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  9. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659

    อ่านท่อนหลังแล้วงงออกนอกทะเล พออ่านจบจึงอ้อ สรุปว่าไปที่เรืองของรูปโปรไฟล์ผมซะงั้น ..

    รูปโปรไฟล์นี้ผมเลือกมาให้มีส่วนสอดคล้องกับชื่อ InvisibleForce ครับ หารูปอื่นแล้วไม่ค่อยโดนเท่าไร .. เพราะคำว่า Invisible แปลว่ามองไม่เห็น แต่รูปคือสิ่งที่จะต้องมองเห็นมันก็เลยหายาก .. จะเอารูปแนวพลังจิตก็เกรงว่าจะมีคนหาว่าผมเป็นแนวเทพจุติมาอ้างตนอีกก็เลยข้ามรูปพวกนั้นไป และ มาลงเอยที่รูปนี้ซึ่งใช้บริบทสะท้อนในส่วนของ Invisible ได้ดี ผมคิดว่าอันนี้ใกล้เคียงที่สุด ณ ตอนนี้แล้ว
    (รูปนี้เค้าจงใจให้เห็นเงาครับ .. เพราะว่าเดี๋ยวคนจะคิดว่าเป็นรูปกระโดดแทน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  10. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อย่าไปสนใจเลยเรื่องรูป ผมมุ่งตอบไปที่ ที่คุณบอกว่า

    "ก็แสดงว่าเรานุ่งขาวห่มขาว ปฎิบัติสมาธิกรรมฐานที่วัดหรือที่บ้าน
    ที่สะดวก ก็ถือว่าบำเพ็ญ เนกขัมมะ ถูกหรือไม่"

    ผมก็เลยตอบไปว่า จะเสื้อสีนึง กางเกงสีนึงก็ได้

    เพราะบางแห่งบางวัด เสื้อขาว กางเกงดำ (หรือผ้าถุงผ้าซิ่นดำ สำหรับ ญ.) ก็มีให้เห็น

    เพราะขาวหมด มันเปื้อนได้ง่าย เวลานั่งไปนั่งมา

    แต่ถ้าหากคุณอยู่บ้าน บางคนชุดนอนก็มีเลยนะนั่น ต้องมี! ก็ไม่เป็นไร หากเหมาะสม

    แต่ถ้ามันจริงขึ้นมา ก็หนีไม่พ้นที่จะผ้าย้อมฝาด ตามสถานะของกรรม

    สรุป มาถึงบางอ้อแค่รูปโปรไฟล์ ข้ามช็อทเรื่องชุด ไปซะแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  11. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659
    เป็นไม้รรทัดเลยนะคับ ถ้าตรวจคำผิดด้วยจะขอบคุณมากเลยคับ

    บอกกะได้คับเวลาอยู่บ้านผมโป้นั่งบูชาพระก็มี .. ที่ผมยกมาไม่ใช้เพื่อผมคับ หลายคนในนี้เข้าใจว่าเนขขัมมะต้องทิ้งทุกอย่างไปบวชเลย

    ผมแค่พยายามเสนอแนวทางให้ บางคนเค้ามีพ่อแม่ต้องดูแลก็มีด้วยนะคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  12. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    นั่นไง ว่าแล้วเชียว

    ผู้บำเพ็ญบารมี ก็น่าจะเข้าใจอยู่น๊า เรื่อง เนกขัมมะ

    เนกขัมมะ เป็นการดำเนินในองค์มรรค หนึ่งในโพธิปักขิยธรรม

    แน่นอนทุกคนมีหน้าที่ มีครอบครัว จึงได้บอกไงว่า เป็นไปตามสถานะของกรรม ของแต่ละบุคคล ตามเหตุปัจจัย

    บารมีทุกอย่างไม่มีสิ่งใด ยิ่งหย่อน ยากง่าย ไปกว่ากันหรอก

    เพียงแต่ล้วนเป็นเหตุปัจจัย เอื้ออำนวยผล ต่อกัน

    มีพ่อแม่ให้เลี้ยงดู ก็ต้องดูจริยาอย่าง พระสุวรรณสาม ตามเหตุปัจจัยที่จะรองรับการกระทำ ของตน (เพื่อโลก เพื่อญาติ เพื่อตน หรือจริยา3)

    อะไรที่เป็นความดี มีหลักมีเป้าหมาย ก็ทำไป มีชาดกให้ได้ศึกษาดำเนินตามในพระจริยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2013
  13. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ก็ในเมื่อทุกบารมีจะต้องเกื้อหนุนกันไป ดังนั้นบารมีใดก็ล้วนกระทำได้ยากทั้งนั้น!
    (เพราะมิใช่วิสัยของบุคคลธรรมดา ที่จะพึงบำเพ็ญให้บริบูรณ์ได้)

    แต่ที่ยากสุดต้องบอกกันเป็นช่วงๆ ถึงจะเห็นได้ชัดเจน

    ข้าพเจ้าเห็นว่าการบำเพ็ญทสบารมีในช่วงเบสิกนั้นแหละยากที่สุด เพราะเราต้องใช้กำลังใจทุ่มเทขนาดไหนเพื่ออบรมณ์ตนเองเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ต้องล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนกว่าจะตั้งไข่ได้!

    หลังจากที่ผ่านบารมีช่วงเบสิกมาได้แล้ว(เลือดตาแทบกระเด็น) ก็เป็นช่วงที่เราเข้าสู่การบำเพ็ญในขั้นอุปปารมี
    ช่วงนี้ง่ายขึ้นมานิดนึง เพราะว่าเรามีนิสัยเดิมเป็นพื้นฐานมาก่อน(ตกนรกหมกไหม้มานาน เริ่มฉลาดขึ้น)เริ่มฉลาดในการบำเพ็ญ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ฯลฯ

    หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่การสั่งสมบารมีในขั้นปรมัถบารมีแล้ว ง่ายมากๆเลย เพราะบารมีทุกอย่างคล่องตัวขึ้นจะหยิบจับอะไรก็มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่ทำอะไรเหยาะแหยะเหมือนเด็กๆที่กำลังหัดเดิน(ไม่ค่อยตกนรกบ่อยเหมือนสมัยก่อน จึงมีเวลาสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่)

    จนกระทั้งได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นสี่อสงไขยกำไรแสนมหากัปล์ หรือแปดอสงไขย หรือสิบหกอสงไขย ฯ ถ้าลองได้รับพุทธพยากรณ์เสียอย่างเดียวแล้ว กำลังใจไม่รู้มาจากไหน เหมือนความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แค่เอื้อมๆนะ

    ก็พระองค์ท่านตรัสหนึ่งไม่มีสองนิ จะผิดพลาดได้รึ?

    เพราะฉะนั้นบารมีในขั้นสุดท้ายนี้ง่ายมาก จะทานลูกทานเมียสละชีวิต เป็นใบ้ เป็นผู้เรืองฤทธิ์อภิญญาขนาดไหน สั่งสอนชักนำใคร มันง่ายดายมาก เพราะเราสั่งสมเอาไว้แล้ว เหลือแค่เจริญให้ยิ่งๆขึ้นไปเท่านั้น

    ลองปัจจุบันนี้เราท่านทำได้มั้ยละ บริจาคลูกเมีย บริจาคชีวิตเป็นทาน เป็นใบ้ ทนทุกขเวทนาแบบสุดๆ ฯลฯ
    โอ๊ย มันทำได้ยากเหลือเกิน นั้นเพราะอะไร เพราะบารมีเรายังไม่ถึงขั้นใช่ไหม?
    ถ้าทำถึงขั้นแล้วจะยากอะไร แค่รอต่อยอดบารมีเท่านั้นแหละ...

    ถามว่ามรรคผลนิพพานเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาใช่มั้ย?

    ข้อนี้ฉันใด การเข้าสู่กระแสธรรม(พระโสดาบัน) ก็มีความยากที่สุดฉันนั้น
    เพราะหากเข้าสู่กระแสธรรมซะอย่างแล้ว เวียนว่ายตายเกิดเต็มที่เพียงแค่เจ็ดชาติ
    ความเป็นพระสกิทาคามี ความเป็นอนาคามี และพระอรหันต์ ย่อมเป็นที่นอนใจได้!
    นี่แหละความยากมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่เข้าสู่กระแสธรรมให้ได้ก่อน แล้วทุกอย่างมันง่ายหมด

    ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ความยากมันอยู่ที่ตรงนี้ ตรงเบสิกบารมีนี้แหละ
    ไม่ใช้อยู่ตรงที่ตัวบารมีในแต่ละข้อ! (เพราะท่านต้องบำเพ็ญให้ถึงขั้นปรมัตถจนหมดทุกข้ออยู่แล้ว ดังนั้นมันสะเทือนถึงกันหมดโดยปริยาย)

    ด้วยความปราถนาดีโปรดเข้าใจ ^_^
     
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ง่ายๆ...กับสมัยนี้ ไม่มีบัตรไม่มีสิทธิ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

    <IMG src='http://www.bloggang.com/data/misterhong/picture/1215443433.jpg' width=300>

    <IMG src='http://image.free.in.th/v/2013/ih/131114075909.jpg' width=300>
     
  15. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659
    หล่อมากเลยท่านอสุรินทร์ ขออนุโมทนาด้วยครับ และขอให้ท่านสมปรารถนาในสิ่งที่มุ่งหมาย ^^
     
  16. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เป็นตัวอย่างบัตรของผู้อื่นอ่ะนะ เจอในเนตเลยนำมาทำโมเสค กลบชื่อเจ้าตัวเขาไว้

    ส่วนของเจ้าตัว บัตรมันเริ่มแหว่งแล้ว หลายปีดีดัก

    คนกราบพระองค์เดียวกัน ยังได้บุญไม่เท่ากัน

    นั่นเพราะอะไรก็ลองพิจารณาดูล่ะกัน

    บางคนไม่มีแผนที่เข็มทิศ เขารู้แต่เพียงว่าเป็นความดี หรือไม่แน่ว่าเพียงตามกระแส เขายังพากันทำ

    แล้วคุณๆล่ะ ผู้มีแผนการเดินทาง
     
  17. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659
    ผมไม่ไปเทียบกับคนอื่นหรอกครับ เพราะว่าผมไม่รู้ว่าคนอื่นในอดีตนั้นเค้าทำมามากน้อยแค่ไหนแล้ว .. เอาแค่ผมทำดีขึ้นโดยวัดที่ใจผมเอง ถ้าดีขึ้นผมรู้เองผมก็พอใจแล้วในเรื่องนั้นๆ ^^

    ท่านอสุรินทร์ ลองเล่าแรงบันดาลใจให้ฟังหน่อยสิครับ เช่น ว่าไปทำมาตั้งแต่เมื่อไร ตอนนั้นคิดอย่างไร ครับ เผื่อว่าคนอื่นอาจจะประยุกต์แล้วทำเป็นแบบอย่าง และท่านก็น่าจะได้ส่วนบุญนี้อีกด้วยนะครับ ^^
     
  18. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    มันเป็นความรู้สึกที่นานมาแล้ว ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา

    เป็นแต่เพียงธาตุมาประชุม ตายไปก็เป็นปุ๋ย ให้กับต้นไม้ใบหญ้า

    เฮ้ย..มันมีประโยชน์เพียงแค่นี้เองหรือเวลาตายไป นอกจากเป็นเถ้าถ่าน กลับคืนสู่ธาตุ

    เท่านี้ล่ะครับ ท่านอาจารย์ใหญ่ InvisibleForce
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    นี่ บางคนน่ะที่เค้าเป็นผู้หญิง เค้าบริจาคเส้นผมก็มี บริจาคให้กับผู้ป่วยที่ทำคีโม

    แล้วผมร่วงหรือไงนี่ล่ะ แล้วคนๆนั้น เค้าก็เลี้ยงเส้นผมไว้ให้ยาวๆ

    แล้วเค้าก็ตัดเอาไปบริจาค เพื่อทำวิกผมให้กับผู้ป่วย

    ซึ่งธรรมดาผู้หญิงจะรักสวยรักงามต้องไว้ผมยาว แต่เค้าสามารถสละออกบริจาคได้

    หากเคยดูละครแนวๆ ลูกสาวกำนัน พ่อกำนันนี่จะวางมาด เอาลูกซอง พาดบ่าเลย หวงมาก!!

    "ลูกสาวข้าเอ็งอย่าแหยม !!! แม้เพียงขนหน้าแข้ง" ขนาดไม่ใช่ของตัวแท้ๆ แต่คงเพราะหัวใจของความเป็นพ่อล่ะนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2013
  20. InvisibleForce

    InvisibleForce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +659

    อาจมีผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้ชายด้วยก็ได้นะครับ (จะให้ผู้ป่วยมะเร็งผู้ชาย ใส่วิกผมผู้หญิง! จะดีเหรอครับ)
    แล้วท่านอสุรินทร์จะไปบริจาคผมบ้างหรือป่าวคับ

    แต่ผมว่ากรณีท่านอสุรินทร์ พ่อกำนันคงไม่หวงหรอกนะครับ คงจะกลัวไปเจ๊าะแจ๊ะลูกสาวบ้านอื่นแทนมากกว่า .. อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...