พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธเจ้า

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content --><TABLE class=toccolours id=WSerie_Buddhism style="BORDER-RIGHT: #060 1px solid; BORDER-TOP: #060 1px solid; FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 1em 1em; BORDER-LEFT: #060 1px solid; BORDER-BOTTOM: #060 1px solid; TEXT-ALIGN: center" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=170><TBODY><TR><TD style="FONT-SIZE: 100%" colSpan=2><SMALL>ส่วนหนึ่งของ</SMALL>
    พุทธศาสนา


    [​IMG]

    ประวัติพุทธศาสนา</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>ศาสดา</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    </TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>ไตรสรณะ</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>พระพุทธ &middot; พระธรรม &middot; พระสงฆ์
    </TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>ความเชื่อและการปฏิบัติ</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>ศีล &middot; ธรรม
    ศีลห้า &middot; ศีลแปด
    บทสวดมนต์และพระคาถา</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>คัมภีร์และหนังสือ</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>พระไตรปิฎก
    พระวินัยปิฎก &middot; พระสุตตันตปิฎก &middot; พระอภิธรรมปิฎก</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>นิกาย</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>เถรวาท &middot; อาจริยวาท (มหายาน) &middot; วัชรยาน &middot; เซน</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>สังคมพุทธศาสนา</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%">เมือง &middot; ปฏิทิน &middot; บุคคล &middot; วันสำคัญ &middot; ศาสนสถาน &middot; วัตถุมงคล</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 95%; COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #8a9e49" colSpan=2>ดูเพิ่มเติม</TD></TR><TR><TD style="FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>ศัพท์เกี่ยวกับพุทธศาสนา
    หมวดหมู่พุทธศาสนา</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระพุทธเจ้า ( Buddha) เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา พุทธศานาทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตนเหมือนกันแต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน ฝ่ายเถรวาทให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระโคตมพุทธเจ้า และกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตกับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความสำคัญเท่า ฝ่ายมหายานนับถือพระพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาททั้งหมดและมีการสร้างพระพุทธเจ้าเพิ่มเติมขึ้นมาจนบางองค์มีลักษณะคล้ายเทพเจ้าของศาสนาฮินดู
    ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่า พระพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธเจ้า) พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสต์กาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>

    [แก้] ความหมายของคำว่าพุทธะ

    ในพระพุทธศาสนา พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน") หมายถึงบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วอย่างถ่องแท้ ในชั้นอรรถกถา จำแนกพุทธะออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันได้แก่
    1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีเรียกเพียง "พระพุทธเจ้า" คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ (พระโคตมพุทธเจ้า) เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    2. พระปัจเจกพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเองแต่จำเพาะผู้เดียว มิได้สอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
    3. อนุพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้เนื่องด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม
    ในอรรถกถาบางแห่งจำแนกเป็น 4 ดังนี้
    1. พระสัพพัญญูพุทธะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
    2. ปัจเจกพุทธะ
    3. จตุสัจจพุทธะ (สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้บรรลุอรหัตตผล)
    4. สุตพุทธะ (ผู้เป็นพหูสูตร)
    http://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธเจ้า

     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [แก้] คำที่ใช้กล่าวเรียกพระพุทธเจ้า

    มีหลายคำดังจะกล่าวต่อไปนี้
    • พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึง ท่านผู้ที่กำลังบำเพ็ญ บารมี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    • อังคีรส หมายถึง ท่านผู้มีรัศมีแผ่ออกมาจากพระกาย
    • สิทธัตถะหมายถึง ท่านผู้ที่มีความเพียรพยายาม เมื่อต้องการสำเร็จ เป้าหมายที่ประสงค์จะทำ
    • พระมหาบุรุษ เป็นคำที่ใช้เรียก พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ อีกความหมายหนึ่งคือ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่
    • ตถาคต เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระองค์เองมี ความหมาย 8 อย่างคือ
      1. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น
      2. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น
      3. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ
      4. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น
      5. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น
      6. พระผู้ตรัสอย่างนั้น
      7. พระผู้ทำอย่างนั้น
      8. พระผู้เป็นเจ้า
    • ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง การเชื่อถือปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
    • ธรรมกาย หมายถึงท่าน ผู้มีธรรมในกาย
    • ธรรมราชา หมายถึง ท่านผู้เป็นราชาแห่งธรรม
    • ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร หมายถึง ท่านผู้เป็นใหญ่โดยเป็นเจ้าของธรรม
    • ธรรมสามี หมายถึง ท่านผู้เป็นเจ้าของธรรม
    • ธรรมิศราธิบดี หมายถึง ท่านผู้เป็นอธิปดีในธรรม เป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า
    • บรมศาสดา, พระบรมศาสดา หมายถึง ท่านผู้เป็น ศาสดาอันยอดยิ่ง พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู
    • พระผู้มีพระภาคเจ้า
    • พระพุทธเจ้าหมายถึง ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบ ด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
    • พระศาสดา หมายถึง ท่านผู้ทรงสอนชนทั้งปวง
    • พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า]], พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
    • ภควา หมายถึง ท่านผู้เป็นผู้มีโชค หรือ ท่านผู้จำแนกแจกธรรม
    • มหาสมณะ
    • โลกนาถ, พระโลกนาถ หมายถึง พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก
    • สยัมภู, พระสัมภู หมายถึง ท่านผู้ตรัสรู้ได้โดยตนเอง ไม่มีใครมาสั่งสอน
    • สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    • พระสุคต, พระสุคโต หมายถึง ท่านผู้เสด็จไปดีแล้ว
    [แก้] พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายเถรวาท

    [​IMG] [​IMG]
    พระพุทธรูปปางประทับยืน พบที่ปากีสถาน ศิลปะคันธาระสมัยพุทธศตวรรษที่ 5-6


    ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว 25 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 25 และพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือพระศรีอารยเมตไตรย ในทัสศนะเถรวาทถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือพระองค์พบทางดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และเผยแพร่หนทางนั้นต่อสรรพสัตว์ ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใดๆ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำความดี (บารมี) มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์)

    [แก้] ประเภทของพระพุทธเจ้า

    ในพระไตรปิฎกจะแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้
    การแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าตามวิธีการสร้างบารมี<SUP class=reference id=_ref-0>[1]</SUP>,
    1. ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๔ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
    2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๘ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
    3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๑๖ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธเจ้าในอดีต
    ในหลักฐานฝ่ายเถรวาทกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตไว้ 25 พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า 25 พระองค์"
    หากแบ่งตามกัปป์ โดยการนับอสงไขยในที่นี้ จะนับอสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก จะมีพระพุทธเจ้าในอดีตดังต่อไปนี้
    • กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์<SUP class=reference id=_ref-1>[2]</SUP>
      1. พระตัณหังกรพุทธเจ้า
      2. พระเมธังกรพุทธเจ้า
      3. พระสรนังกรพุทธเจ้า
      4. พระทีปังกรพุทธเจ้า
    • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
      1. พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
    • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
      1. พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      3. พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      4. พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
      1. สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
      2. สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า
      3. สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า
    • ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน[3]
      1. กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. บางตำราว่าเป็นมัณฑกัป บางตำราก็ว่าเป็นสารกัป.
        1. พระปทุมมุตระพุทธเจ้า
      2. สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป
      3. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
        1. พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      4. สูญกัป 60,000 กัป
      5. วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
        1. พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
        3. พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      6. สูญกัป 24 กัป
      7. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
        1. พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      8. สูญกัป 1 กัป
      9. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
        1. พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      10. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
        1. พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      11. สูญกัป 60 กัป
      12. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
        1. พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
      13. สูญกัป 30 กัป
      14. กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
        1. พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
        3. พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
        4. พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
        5. พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [แก้] พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายมหายาน

    นิกายมหายานยอมรับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาททั้งหมดและยังสร้างพระพุทธเจ้าอีกมากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์และมีสถานะเหมือนเทพเจ้าในศาสนาฮินดู นิกายมหายานเชื่อว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่ดับสูญแต่ไปประทับ ณ พุทธเกษตรซึ่งเป็นดินแดนที่งดงามกว่าสวรรค์ พระพุทธเจ้าตามคติมหายานแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
    1. อาทิพุทธะ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาพร้อมกับโลกและประทับอยู่กับโลกเป็นนิรันดร์ มีบทบาทคล้ายพระพรหมในศาสนาฮินดูที่เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
    2. พระมานุสสพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าที่อวตารมาจากอาทิพุทธะมาเกิดในโลกมนุษย์และบำเพ็ญเพียรในฐานะพระโพธิสัตว์จนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานแล้วจะไปอยู่กับอาทิพุทธะ คล้ายกับคติของศาสนาฮินดูที่เมื่อทำความดีถึงขั้นสูงสุดจะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของมหาพรหม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจจุบัน ทางมหายานเรียกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระมานุสสพุทธะด้วยเช่นกัน
    3. พระธยานิพุทธะ เป็นพุทธะที่อวตารมาจากอาทิพุทธะเช่นกันแต่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจฌาน (ธยาน) ของอาทิพุทธะไม่ได้ผ่านการบำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ พุทธะเหล่านี้ประทับบนสวรรค์ ในสภาวะกายทิพย์ มีเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่มองเห็นได้
    4. พระพุทธเจ้าอื่นๆ เช่น พระสัทธรรมวิทยาตถาคต พระไภษัชยคุรุทั้ง 7 พระสหัสประภาราชาศานติสถิตยตตถาคต
    [แก้] อ้างอิง

    1. <LI id=_note-0> [1]
    2. [2]
    <!-- Pre-expand include size: 3411/2048000 bytesPost-expand include size: 3409/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/2000--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:673-0!1!0!!th!2 and timestamp 20071210010601 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2".
    หมวดหมู่: พระพุทธเจ้า | อภิธานศัพท์พุทธศาสนา
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://board.dserver.org/g/gaytiplokvil/00000428.html
    หัวข้อ : [SIZE=+3]ฌาณ4 คืออะไรครับ[/SIZE]
    ข้อความ : ฌาณ4 คืออะไรครับ มีอะไรบ้าง แล้วจะสำเร็จอย่างไร แล้วผมเคยได้ยินจากหลองพ่อท่านหนึ่งว่า ศาสนาทุกศาสนา ล้วนสามารถทำให้ทุกคนไปสวรรค์ได้ บางศาสนาก็สามารถไปถึงฌาณ4ได้ เช่น ศาสนาพรหามห์แต่ศาสนาพุทธ มากกว่าตรงที่ฉวยโอกาสตอนได้มีฌาณ4 พิจารณาโลกเพื่อหาทางหลุดพ้น

    จาก : moon - 19/10/2005 11:34

    *****************************************

    ข้อความ : ใช่แล้วครับ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ดังนั้น คนที่นับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างแท้จริงก็ไปสวรรค์ได้ครับ เพราะ ชาวสวรรค์ก็ไม่ได้นับถือพุทธกันทุกคนหรอกครับ อันที่จริง ศาสนาพราหมณ์ก็ไปถึงฌาน 8 ได้ครับ ดูตัวอย่างได้จากการที่พระพุทธเจ้า เคยปฏิบัติธรรมในสำนักอุทกดาบสแล้วสำเร็จฌาน 8

    สมาธิ คือ "ความตั้งมั่นแห่งจิต" มี 3 ประเภท คือ
    1. ขณิกสมาธิ เป็นแบบชั่วประเดี๋ยว แต่ก็มีประโยชน์ในแง่ของการเรียนและการทำงานครับ
    2.อุปจารสมาธิ อันนี้แบบเฉียดๆ จะได้ฌานครับ
    3.อัปปนาสมาธิ เมื่อปฏิบัติ "กรรมฐาน" จนจิตตั้งมั่นถึงอุปจารสมาธิแล้ว จะสามารถกำจัด "อุปสรรคทั้ง 5 ประการ" ได้ แล้วทำจนถึง "ปฐมฌาน" จิตจะเป็นอัปปนาสมาธิขึ้นได้

    คำว่า "ฌาน" แปลว่า "เพ่ง" สามารถใช้คำว่า "สมาบัติ" ซึ่งแปลว่า "ถึงพร้อม" แทนได้ หรือจะใช้เป็น "ฌานสมาบัติ" ก็ได้
    ฌานสมาบัติ มีอยู่ทั้งหมด 8 ขั้น เมื่อปฏิบัติ "กรรมฐาน" ที่"สามารถ" ทำให้จิตไปถึงฌานได้ แล้วฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะยกระดับจิตไปสู่ฌานที่สูงขึ้นตามลำดับดังนี้
    1. ปฐมฌาน คือ ฌานแรกที่จะได้ มีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา (แต่อย่าเพิ่งไปสนใจองค์ต่างๆ ให้มากเลยครับ เพราะ ถ้าเราทำได้เองก็จะเข้าใจเองครับ และควรปรึกษาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ)
    คนยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ยังทรงปฐมฌานไว้ได้ก่อนตาย จะได้ไปเกิดใน "พรหมโลก" เช่นเดียวกับขั้นที่สูงกว่านี้ แต่ว่าเป็นพรหมคนละชั้นกัน อายุ และ ระดับจิต ต่างกัน
    2.ทุติยฌาน มีองค์คือ ปิติ สุข เอกัคคตา
    3.ตติยฌาน มีองค์คือ สุข เอกัคคตา
    4.จตุตถฌาน มีองค์คือ อุเบกขา เอกัคคตา
    คำว่า "เอกัคคตา" หมายถึง อารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว เมื่อได้ฌาน 4 อาจน้อมจิตไปเพื่อให้ได้ "อภิญญา" คือ การแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ
    5. อากาสานัญจายตนฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์
    6.วิญญาณัญจายตนฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์
    7.อากิญจัญยายตนฌาน กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์
    8.เนวสัญญานาสัญญายตนะ กำหนดความมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์

    ฌาน 5-8 เมื่อได้บำเพ็ญได้แล้ว เรียกว่า สำเร็จ "อรูปฌาน" คือ ถ้ายังทรงฌานไร้รูปเหล่านั้น จนกระทั่งสิ้นอายุขัย จะได้ไปเกิดเป็น พรหมที่ไม่มีรูปไม่มีร่าง มีแต่นามธรรม (หยุดการก่อกรรมทั้งมวล แต่ไม่มี
    โอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาเสียด้วย เพราะ ไม่มีรูปธรรม)

    การที่จะสำเร็จฌานได้นั้น ต้องปฏิบัติ "กรรมฐาน" ครับ ซึ่งมีถึง 40 วิธี แต่ประเภทที่ทำให้ได้ฌานคือ
    1. กสิณ 10 อย่าง ทำให้ได้ถึงฌาน 4 แล้วจะต่อไปถึง 8 เลยก็ได้ครับ การเพ่งกสิณทำให้ได้อิทธิปาฏิหาริย์ครับ แต่ถ้าจะทำต้องมีครูบาอาจารย์ให้ท่านอยู่ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดครับ
    2.อานาปาณสติ คือ ติดตามดูลมหายใจเข้า-ออกครับ เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุดครับ อย่างไทยเราก็มักกำหนดพุท-โธ ดังนี้เป็นต้น
    3.พรหมวิหารภาวนา จะเป็นเมตตา กรุณา มุทิตา หรืออุเบกขาก็ได้ครับ ทำให้ได้อานิสงส์มาก ใช้ระงับ "โทสะ" ได้ดี อันที่จริงมีอานิสงส์ถึง 13 ประการครับ เป็นต้นว่า ไม่มีศาสตราวุธหรือยาพิษใดทำร้ายได้ (กรณีที่ได้ฌาน) แต่อุเบกขาจะมีโอกาสได้ถึงฌาน 4 ในขณะที่ 3 อย่างแรก มากสุดก็ฌาน 3 ครับ
    4.กายคตาสติ อันนี้รู้สึกว่าจะถึงปฐมฌานนะครับ แต่ไม่ค่อยแน่ใจ กายคตาสติ คือ การพิจารณากาย โดยความเป็นของปฏิกูลครับ เกี่ยวข้องกับเรื่องการตัดกิเลสและ "อภิญญา" ครับ

    สรุปแล้วถ้าปรารถนาในฌานต้องทำ "กรรมฐาน" ประเภทดังกล่าว และการที่จะทำกรรมฐานทำให้มีสมาธิได้ดี ก็ต้องปราศจากภัยเวรครับ พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ครับ ก่อนปฏิบัติกรรมฐานก็ควรสมาทานศีล และแผ่เมตตาในสรรพสัตว์เสียก่อนก็จะดีมากครับ และธรรมที่ทำให้ไม่ขัดสน และลดละความเห็นแก่ตัวอันเป็นเหตุให้รักษาศีลได้ดีก็คือ "ทาน" และ "เมตตา" ครับ

    อ่านดูแล้ว อาจจะเข้าใจว่า ยุ่งยากน่าเบื่อ แต่อันที่จริงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับ คนที่ชอบเข้าฌานบ่อยๆ ก็เพราะเขาติดในรสแห่งความสงบสุขของฌานครับ เพราะ เป็นความสุขที่เลิศกว่ากามทั้งหลายเป็นไหนๆ

    แต่ในฐานะ ที่เราเป็นชาวพุทธ เราทั้งหลายย่อมทราบดีว่า ฌานสมาบัตินี้ ไม่ใช่ที่สุดแห่งการพ้นทุกข์ แต่เมื่อเรามีฌานอยู่แล้ว ก็สามารถใช้ในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" ได้ครับ เมื่อบารมีแก่กล้าพอก็สามารถบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้ครับ หากบารมียังไม่ถึงก็ยังมีประโยชน์คือได้สั่งสมบารมีและอุปนิสัยเพื่อการหลุดพ้นต่อไป

    จาก : สุนิมมิต - 25/10/2005 17:37

    ********************************************

    ข้อความ : คำว่า "อุปสรรคทั้ง 5 ประการ" ผมหมายถึง สิ่งที่ขัดขวางการทำความดีเช่นการฝึกสมาธิ เรียกว่า "นิวรณ์" มี
    1. กามฉันทะ ความติดใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
    2.พยาบาท ความปองร้าย ผูกอาฆาต
    3.ถีนมิทธะ (ถี-นะ-มิด-ทะ) ความหดหู่ เซื่องซึม ความง่วง ความกลัว
    4.อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนรำคาญใจ
    5.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ในการบำเพ็ญฌานสมาบัติ หรือสงสัยว่าตอนนี้เราได้ฌานหรือยัง เป็นต้น

    การเริ่มต้นที่ดี ต้องปรึกษากับครูบาอาจารย์ก่อนนะครับ หรือถ้ามีท่านอยู่ควบคุมดูแลด้วยก็ยิ่งดีครับ คำว่า "ครูบาอาจารย์" ผมหมายถึงท่านผู้มีคุณวิเศษหรือมีความชำนาญในการปฏิบัติกรรมฐานครับ ไม่ได้หมายถึง ครู ตามสถาบันศึกษาวิชาทางโลกครับ

    จาก : สุนิมมิต - 25/10/2005 17:47

    <!-- A=61.19.218.25 X= -->
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/02/Y4076473/Y4076473.html
    ความคิดเห็นที่ 5

    การจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชา นิยมตั้ง

    1. พระปฏิมา (นิยมปางมารวิชัย) รำลึกถึงพระพุทธเจ้า

    2. ตั้งเทียน 2 เล่ม ไว้จุดบูชา พระธรรม และพระวินัย

    3. ปักธูป 3 ดอกบนกระถางธูป เพื่อจุดบูชาพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า คือ 3.1. ปัญญาคุณ (พระคุณคือพระปัญญา
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.tsaj.org/webboard//lofiversion/index.php?t1783.html

    phuyama
    Jul 8 2006, 11:16 AM

    ในหลวงรับสั่ง ‘ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี...’

    “ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี จะอยู่จนฉลองพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 100 ปี”
    นั่นคือพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เวลาจัดถวายพระพรและขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่จะถวายพระพรว่า ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมพรรษาเกินกว่า 100 พรรษา ซึ่งท่านผู้หญิงบุตรีได้กรุณาอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสดังกล่าวมาเล่าให้ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีคนหนึ่งของไทยฟัง
    อาจารย์เผ่าทองอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสนี้มาเล่าให้แขกกลุ่มหนึ่งของไทยธนาคารฟังเมื
    ่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา
    . แม้การฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 8-12 มิถุนายนที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ได้สร้างความปลื้มปีติและความประทับใจแก่ปวงชนชาวไทยไม่รู้ลืม แต่เบื้องหลังงานพระราชพิธียังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เป็นความรู้และน่าสนใจอย่างยิ
    ่ง ไทยธนาคารได้จัดงานย้อนรำลึกถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยเชิญอาจารย์เผ่าทองมาเป็นวิทยากร เล่าแบบเจาะลึกในทุกพระราชพิธี เพื่อให้ปวงพสกนิกรได้ซาบซึ้งและอิ่มใจมากยิ่งขึ้น
    อาจารย์เผ่าทอง เล่าว่า งานฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปี เรียกว่า รัชดาภิเษกสมโภช ครองราชย์ครบ 50 ปี เรียกว่า กาญจนาภิเษกสมโภช หากครองสิริราชสมบัติครบ 75 ปี จะเรียกว่า ฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษก
    “แต่งานฉลอง 60 ปีครั้งนี้ พระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงนับเป็นไดมอนด์จูบิลี แต่เมื่อฉลองครบ 100 ปี ก็จะเป็นพระราชพิธีที่สำคัญมากที่สุด เรียกว่า อมรินทร์ภิเษกสมโภช”
    โคมไฟระย้า 6 คู่ในพระนั่งอมรินทรวินิจฉัยนั้นได้แต่ใดมา ?
    อาจารย์เผ่าทอง เล่าว่า ในวันที่ 8 มิถุนายนนั้น มีพระราชพิธีพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ความหมายของพระราชพิธีนี้ก็คือการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่บรรพบุรุษนั่นเอง ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญมากในประเทศไทย เพราะคนไทยเราก่อนที่จะฉลอง เริ่มความสนุกสนานอะไรก็ตาม เราต้องนึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษเสียก่อนเพื่อความเป็นมงคล
    พระราชพิธีนี้มีขึ้นที่พระนั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระที่นั่งองค์นี้มีโคมไฟระย้า หรือ Chandelier จำนวน 6 คู่ ซึ่งโคมไฟแก้วทั้ง 6 คู่นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสั่งมาเพื่อติดประดับที่วังสวนสุนันทา แต่เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สวรรคต
    “รัชกาลที่ 5 ทรงอาลัย จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้นำเอาโคมไฟนี้มาประกอบเข้ากับหลอดกระแสไฟฟ้าติดที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเพื่
    อใช้กับกระแสไฟฟ้า นับว่าเป็นโคมไฟคู่แรกที่ได้ใช้กับกระแสไฟฟ้า และพระที่นั่งนี้ก็เป็นอาคารแรกในประเทศไทย และเป็นอาคารแรกของพระบรมมหาราชวังที่มีกระแสไฟฟ้าใช้”
    ในหลวงทรงจุดธูปเทียนจากซ้ายไปขวา
    พระราชินีทรงจุดธูปเทียนจากขวามาซ้าย
    ในที่พระที่นั่งองค์นี้มีนพปฎลมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น มีพระที่นั่งบุษบกมาลา สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ข้างบนประดิษฐานพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ ปางอุ้มบาตรองค์เล็ก พระพุทธรูปปางนาคปรก ปางถวายเนตร ปางสมาธิอยู่ด้านหลัง เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร หรือพระพุทธรูปประจำวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 และพระมเหสี
    การเรียงลำดับพระบรมโกศพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ก็มีเกร็ดอยู่ว่า พระบรมโกศของรัชกาล 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 อยู่ด้านกลาง มีแท่นรองวางพระบรมโกศของรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8 อยู่แถวหน้า พระมเหสีเทวีอยู่ 2 แถวหลังของพระบรมโกศทุกรัชกาล
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงจุดธูปเทียนนมัสการพระพุทธรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงจุดธูปเทียนจากซ้ายไปขวา และสมเด็จพระบรมราชินีจะทรงจุดจากขวามาซ้าย นี่เป็นโบราณราชประเพณี
    การเสด็จออกมหาสมาคม
    เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ทรงสายสะพายสีชมพูนั้นคือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลจุลจอ
    มเกล้า สายสะพายจะเป็นสีชมพู จะทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้เมื่อเป็นพระราชพิธีส่วนพระองค์ภายในที่เกี่ยวข้องกับ
    พระราชวงศ์ หรือสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า
    ในพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม ที่พระที่นั่งอนันตมหาสมาคม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน มีพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช ซึ่งจะมีการนำพระพุทธรูปแทนองค์บุรพมหากษัตริย์เข้าประกอบพระราชพิธี โดยมีพระพุทธรูปแทนพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยทุกพระองค์ พระพุทธรูปแทนพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาทั้ง 34 พระองค์ พระพุทธรูปแทนพระเจ้ากรุงธนบุรี และพระพุทธรูปแทนรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 ในแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งหล่อจากแร่ทองแดงที่ขุดได้ใน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้น
    ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี และที่สำคัญคือเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ จะมีการเชิญพระกลดที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการลดหลั่นชั้นยศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงใช้พระกลดสีเหลือง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงใช้พระกลดสีแดง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงใช้พระกลดสีม่วง มีระบาย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ก็ทรงใช้ร่มหรือฉัตรธรรมดา
    สำหรับบทบวงสรวงบุรพมหากษัตริย์นั้น ราชครูวามเทพมุนีเป็นผู้อ่าน ซึ่งบทบวงสรวงนี้ อาจารย์วรพิญ สดประเสริฐ กับอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต เป็นผู้ประพันธ์ มีพระนามของพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลและทุกพระองค์
    เพชรพระมหาวิเชียรบดีหนัก40กะรัต
    พระราชพิธีในวันที่ 10 มิถุนายน คือพระราชพิธีเวียนเทียนสมโภช และพิธีการสถาปนาสมณศักดิ์ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ อันประกอบไปด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นทองคำลงยาประดับอัญมณี แต่สมัยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อเพชรจากอินเดียน้ำหนัก 40 กะรัตขึ้นมาประดิษฐานไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ มีความหมายว่าเป็นของหนัก เป็นภาระของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าในการปกครองประเทศต้องแบกรับทั้งทุกข์ทั้งโศก โรคภัยของประชาชนทั้งประเทศด้วย ด้วยสิ่งนี้พระมหาพิชัยมงกุฎจึงมีน้ำหนัก 7.2 กิโลกรัม
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในครั้งรัชกาลที่ 1 เวลาที่ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ เสด็จฯ เทียบพระนครทางชลมารคคือทางเรือให้ประชาชนชมพระบารมี บางช่วงท่านโปรดให้เอาเชือกผูกห้อยเอาไว้กับหลังคาด้านในของเรือพระที่นั่ง เวลาที่เสด็จฯ ผ่านประชาชนจึงต้องเหยียดพระองค์ขึ้นให้พระเศียรไปเสมอกับมหามงกุฎ
    ลำดับที่สองพระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม เพราะว่ามีดหรือดาบเป็นอาวุธที่มีคมด้านเดียว ด้านหนึ่งเป็นสัน ด้านหนึ่งมีคม ถ้าใครเอาด้านที่เป็นสันฟันก็ไม่ตาย ถ้าเอาด้านคมฟันก็ตาย แต่พระแสงขรรค์นั้นมีคม 2 ด้าน พลิกด้านบนและด้านล่าง ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา เสมอกันหมด
    ต่อไปก็คือ พระวาลวีชนีกับพระแส้จามรี ใช้ขจัดปัดเป่าให้เกิดความร่มเย็นกับประชาชนราษฎร ธารพระกรคือไม้เท้า ทำจากไม้ชัยพฤกษ์ ใช้สำหรับพยุงพระองค์ พระมหากษัตริย์ไปเยี่ยมราษฎร
    ลำดับสุดท้ายคือฉลองพระบาทเชิงงอน ใช้งอนพระบาทเพื่อไม่ให้พระบาทสัมผัสแผ่นดิน เนื่องจากสมมติว่าเป็นสมมติเทพ เพราะหากพระบาทสัมผัสกับแผ่นดิน ก็จะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง
    เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงวันนี้ ทุกพระองค์เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์โบราณมงคลนพรัตนราชวัชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลแรกของไทย ประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4
    “เกร็ดความรู้คือในสมัยพระเจ้านะโปเลียน ที่ 3 ของฝรั่งเศสทรงส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น 1 สูงสุดของฝรั่งเศสมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แต่รัชกาลที่ 4 ทรงตรัสว่าเราไม่มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนฝรั่งเศสเลยจะทำอย่างไรดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ขึ้น โดยใช้สายสะพายเป็นสีเหลือง แถบสองข้างเป็นสีเขียว และมีดารานพรัตน์ประดับด้วยอัญมณีพลอย 9 ประการ ส่งไปถวายพระเจ้านะโปเลียนที่ 3
    พระเจ้านะโปเลียนที่ 3 จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ต่างชาติพระองค์แรกที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ และประเทศไทยก็เป็นประเทศแรกของเอเชียที่มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์”
    เผาใบสมิทเพื่อให้ทรงพ้นภยันตราย-โรคันตราย
    ช่วงการทำพิธีบายศรีนั้น ผู้ที่อยู่ในพระราชพิธีต้องเวียนเทียน 3 ครั้ง และใช้มือขวาปัดควันออก โบกควันเข้าไปในพระมหาเศวตฉัตร เมื่อครบ 3 รอบเทียน ก็จะกลับมาที่พราหมณ์ราชครู จากนั้นราชครูจะนำไปปัก พานที่ปักเทียนบรรจุข้าวสารไม่บรรจุทราย กระถางธูปในวังจะบรรจุข้าวสารเพราะถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ไม่ใส่ทรายเพราะถือว่ามีคนเหยียบย่ำ
    จากนั้นพราหมณ์ราชครูจะดับเทียนด้วยวิธีใช้ใบพลู 9 ใบ 1 เรียงแล้วดับเทียนให้สนิท แล้วใช้ใบพลูโบกควัน 3 ครั้ง ให้เข้าสู่พระมหาเศวตฉัตร ดับแล้วใช้แป้งกระแจะเจิมลงตรงกลางใบพลู แล้วพราหมณ์ราชครูเชิญแป้งบนใบพลู แล้วเชิญแป้งไปถวายเจิมที่โคนของพระมหาเศวตฉัตร ซึ่งมีผ้าสีชมพูผูกอยู่ที่โคน แถบผ้าสีชมพูนี้จะมีการถวายทุกปีในวันฉัตรมงคล ใช้ผูกของเป็นสิริมงคลสูงสุดเป็นการถวายพระพร สมโภชสิริราชสมบัติเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
    พราหมณ์ราชครูจะเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทูลเกล้าฯ ถวายน้ำพระมหาสังข์ น้ำเทพมนต์ ถวายใบสมิท การถวายน้ำพระมหาสังข์ ถ้ามีอาวุโสสูงกว่าก็ให้รดที่ศีรษะคนมีอาวุโสต่ำกว่า แต่เมื่อพระราชครูรดพระเจ้าอยู่หัว ก็จะถวายที่พระหัตถ์ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงรับแล้ว ก็จะทรงแตะที่เส้นพระเจ้า ที่พระเศียร จากนั้นถวายใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก เป็นสัญลักษณ์แทนตรีศูล ซึ่งเป็นอาวุธของพระอิศวร ในหลวงทรงเหน็บที่หูขวา พราหมณ์ถวายบังคม 3 คาบ จากนั้นก็ไปถวายบังคมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อที่จะไปถวายน้ำพระมหาสังข์ที่พระหัตถ์เช่นเดียวกัน
    จากนั้นพระราชครูไปเชิญใบสมิทมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงโปรดเกล้าฯ ให้พระราชครูถวายพระพรเป็นภาษาสันสกฤต ในหลวงทรงขอให้ให้พรเบาๆ จากนั้นทรงรับใบสมิท
    ใบสมิทแรกคือใบมะม่วงจำนวน 25 ใบ ทรงรับแล้วปัดพระองค์ แต่ถ้าเป็นโบราณต้องใช้คำว่าฟาดพระองค์ เอาสิ่งที่ไม่ดีภยันตราย 25 ประการ แทนที่ด้วยใบมะม่วง 25 ใบออกไปจากพระองค์ จากนั้นทรงรับใบสมิทลำดับที่ 2 เป็นใบทอง 32 ใบ แทนอุปัทวันตราย อุบัติเหตุทั้ง 32 อย่าง ฟาดพระองค์ จากนั้นทรงรับใบสมิทลำดับ 3 คือใบตะขบ 96 ใบ แทนโรคอันตราย 96 โรค ในโบราณมีโรคอันตราย 96 โรค จากนั้นราชครูจะนำเอาใบสมิทไปเผาทิ้งที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวจ
    ะแคล้วคลาดจากภยันตราย โรคันตราย จากนั้นก็ทรงพระสุหร่ายและเสด็จฯ กลับ
    โปรดให้ใช้เพลงมหาชัยถวายพระเกียรติยศ
    สำหรับพระราชพิธีในวันที่ 11 และ 12 มิถุนายนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงรับพระประมุขทั่วโลกที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ในหลวงทรงยื่นพระหัตถ์ให้ก่อน เพราะทรงมีอาวุโสสูงสุดกว่าพระประมุขทั่วโลก เป็นธรรมเนียมว่า ผู้น้อยจะไม่ยื่นมือไปให้ผู้อาวุโสสัมผัส
    เมื่อพระประมุขทุกพระองค์เข้าประจำที่ที่พระเก้าอี้ จะทราบว่าองค์ไหนนั่งพระเก้าอี้ไหน ให้ดูที่พระเขนย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเขนยมีครุฑแดง แต่ละราชวงศ์จะมีตราประจำอยู่
    เมื่อนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลจบแล้วเพลงสรรเสริญพระบารมีก็บรรเลงขึ้น แต่มีพระประมุขหลายชาติมิได้ทรงทราบว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงประจำของในหลวงจึงทรงผุดลุกผุดนั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกไม่ได้ทรงยืน แต่เมื่อพระประมุขทั้งหลายทรงยืน พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงยืนด้วย
    “เรื่องที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือเมื่อนายกฯ ถือเป็นผู้มียศต่ำสุดในสถานที่แห่งนั้น จึงกราบบังคมทูลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้พระประมุขชาติอื่นเข้าใจด้วย ในหลวงมีพระราชดำรัสตอบเป็นภาษาไทย แต่หากพระประมุขอยู่กับพระประมุข ก็จะมีพระราชดำรัสเป็นภาษาของชาตินั้นๆ และจะมีคำแปลเป็นตัวหนังสือถวายก่อนหน้าหรือภายหลัง จบแล้วดนตรีบรรเลงเพลงมหาชัย อันนี้เป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะมีรับสั่งว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงประจำพระองค์ ถ้ามาเปิดตอนจบแล้ว ก็แปลว่าพระประมุขทุกชาติต้องมาถวายความเคารพพระองค์ ซึ่งไม่ถูกต้อง เนื่องจากพระประมุขทุกชาติมีศักดิ์เสมอกันหมด ด้วยเหตุนี้จึงโปรดให้ใช้เพลงมหาชัย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของรัตนโกสินทร์”
    พระเศวตฉัตร 9 ชั้นมีความหมาย
    ส่วนพระราชพิธีจัดเลี้ยงพระประมุขทั่วโลกที่พระที่นั่งสถิตยมโหฬารนั้น พระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงรับพระราชอาคันตุกะที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้ ในท้องพระโรงกลางประดิษฐานพปฎลมหาเศวตฉัตร พระที่นั่งพุฒตาลกาญจนสิงหาสน์ อยู่ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น
    พระมหาเศวตฉัตร 9 ชั้นนี้ มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ของไทยเป็นใหญ่เหนือทิศทั้ง 9 ความจริงแล้วทิศมี 32 ทิศ แต่ทิศที่สำคัญมี 10 ทิศ คือทิศหลัก 4 ทิศ คือ เหนือ ใต้ ออก ตก ทิศรอง 4 ทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ฯลฯ ทิศที่ 9 คือทิศเบื้องล่างและทิศสุดท้ายคือทิศเบื้องบน
    ทิศเบื้องบนนั้นถวายเป็นสถิตแก่เทพยดาฟ้าดินทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เทพยดาฟ้าดินจึงปกปักรักษาพระมหาเศวตฉัตรของไทยให้รอดมาเป็นเอกราชจนถึงท
    ุกวันนี้
    โคมระย้าในพระที่นั่งมีตำนาน
    นอกจากนี้ มี Chandelier ขนาดใหญ่ในท้องพระโรงกลาง Chandelier ช่อนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นโคมไฟระย้าที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก เป็นอันเดียวที่อยู่ในทวีปเอเชีย อีก 9 อันอยู่ในยุโรปและตะวันออกกลาง
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท จึงได้นำมาติดตั้งอยู่ที่พระที่นั่งจักรีตลอดมา เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ประเทศชาติตลอดมา
    เมื่อเสด็จฯ ยังพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร จะมีการจำลองบุษบกมาลาจากพระที่นั่งมาประดิษฐานโดยฝีมือช่างศิลปาชีพ เป็นทองคำทั้งองค์ ประดับเพชร ฉัตร 7 ชั้นเป็นเพชร และมีหัตถกรรมไทยอีกหลายอย่างที่แสดงถึงช่างฝีมือชั้นสูงของไทย ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝ่ายในร้อยขึ้น ใช้ดอกพุทธชาดในวังโบราณ ดอกเล็กๆ ละเอียด ฝอย และกลิ่นหอมมากมาร้อยเป็นรูปกระแต ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝ่ายในร้อยขึ้น สำหรับพระราชทานพระราชอาคันตุกะในวันเลี้ยงในพระที่นั่งจักรีด้วย
    จานทองคำทำให้ฝรั่งเศส
    จานโชว์เพลตของพระประมุขเป็นทองคำ ของทั่วไปเป็นถมเงิน จานมาจากบริษัท แซทส์ จากฝรั่งเศส แก้วเหล้ายี่ห้อ โมเซย์ จาก สาธารณรัฐเช็ก
    สำหรับปกเมนูแกะสลักจากไม้โมกมันกรอบเป็นทองคำ มีพระปรมาภิไธย ภปร. ของคนอื่นเป็นทองคำลงยา แต่ของพระประมุขเป็นเพชร ท่านผู้หญิงสุพรเพ็ญ หลวงเทพ เป็นผู้ถวายงานในครั้งนี้ เราลืมไปว่าฝรั่งเป็นธรรมเนียมเก็บสะสมเมนู ท่านผู้หญิงสุพรเพ็ญเลยทำเต็มที่ พระประมุขทุกพระองค์จึงทรงนำกลับไปหมด
    เมื่อพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสจบแล้วไม่ใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีแต่ใช้เพลงมหาชัย
    เพราะเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ศักดิ์ศรีเสมอกัน ทุกพระองค์ทรงยืนถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัว ทรงชนแก้ว สุลตาลบรูไนเป็นมุสลิม แชมเปญจะไม่มีแอลกอฮอล์ และของพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่มีแอลกอฮอล์ จากนั้นทุกพระองค์ก็ประทับพระเก้าอี้
    สุลตาลบรูไนมีพระราชดำรัสตอบ โดยตามประเพณีจะต้องมีการสวดบทคัมภีร์อัลกุรอาน เพราะทรงเป็นมุสลิม หลังจากทรงอ่านจบก็จะมีพระราชดำรัสเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากนั้นก็เปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี เพราะสุลตาลบรูไนมีพระราชดำรัสแทนพระมหากษัตริย์ทุกประเทศ ก็จบเหตุการณ์สำคัญทั้งหมด
    เพื่อให้ปวงพสกนิกรได้ซาบซึ้งและเข้าใจราชประเพณีตลอดจนขนบธรรมเนียม ฯลฯ ไทยธนาคารมีกำหนดจะเชิญอาจารย์เผ่าทองไปเดินสายพูดเรื่องนี้อีก 6 รอบทั่วประเทศ

    Fwd: mail
    http://www.tsaj.org/webboard//lofiversion/index.php?t1783.html
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    <!-- / sig -->http://palungjit.org/showthread.php?t=22445

    ไหว้ 5 ครั้ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )<O[​IMG]</O[​IMG]
    วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html<O[​IMG]</O[​IMG]

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า<O[​IMG]</O[​IMG]
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู<O[​IMG]</O[​IMG]
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู<O[​IMG]</O[​IMG]
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา<O[​IMG]</O[​IMG]
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์<O[​IMG]</O[​IMG]
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี<O[​IMG]</O[​IMG]
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน<O[​IMG]</O[​IMG]
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์<O[​IMG]</O[​IMG]
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม<O[​IMG]</O[​IMG]
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    <!-- / sig -->http://palungjit.org/showthread.php?t=22445

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7


    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย

    เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา

    พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน
    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    <!-- / sig -->http://palungjit.org/showthread.php?t=22445


    วันที่ 14 สิงหาคม 2550
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]


    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร<O:p</O:p

    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร<O:p</O:p



    <O:p</O:p
    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ<O:p</O:p
    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ<O:p</O:p
    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ<O:p</O:p
    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ<O:p</O:p
    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ<O:p</O:p
    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ<O:p</O:p
    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ<O:p</O:p
    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ<O:p</O:p
    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ





    ไหว้ 5 ครั้ง<O:p</O:p

    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์<O:p</O:p
    วัดเทพศิรินทราวาส<O:p</O:p



    <O:p</O:p
    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรห<SUP>°</SUP> สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน<SUP>° </SUP>พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต<SUP>°</SUP> เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ทุติยมฺปิ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ตติยมฺปิ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ตติยมฺปิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ตติยมฺปิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O:p</O:p
    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ<O:p</O:p
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- / message --><!-- edit note -->
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    <!-- / sig -->http://palungjit.org/showthread.php?t=22445

    วิธีการไหว้ ๕ ครั้ง ( มนต์พิธี )<O:p</O:p

    คนเราทุกคน ในวันหนึ่งๆ จะต้องไหว้ให้ได้ ๕ ครั้ง เป็นอย่างน้อยคือ ในเวลาค่ำใกล้จะนอน ตั้งใจระลึกถึงพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะอันสูงสุดและท่านผู้มีพระคุณแก่ตน คือ มารดาบิดา และครูอาจารย์ โดยประนมมือ<O:p</O:p
    ๑. นมัสการพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า<O:p</O:p
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๒. ไหว้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า<O:p</O:p
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๓. ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ว่า<O:p</O:p
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๔. ไหว้คุณมารดาบิดา ว่า<O:p</O:p
    มัยหัง มาตาปิตูนังวะปาเท วันทามิ สาทะรัง กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ๕. ไหว้ครูอาจารย์ ว่า<O:p</O:p
    ปัญญาวุฑฒิกะเร เต เต ทินโน วาเท นะมามิหัง กราบลงหนหนึ่ง<O:p</O:p
    ต่อจากนั้น พึงตั้งใจแผ่เมตตาจิตไปในเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ว่า ขอท่านทั้งหลายอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันหมดทั้งสิ้น เทอญ.
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า
    http://palungjit.org/showthread.php?t=21054


    ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า<O:p</O:p

    ธูป 1 ดอก นิยมใช้ไหว้ศพ เจ้าที่ เจ้าทาง ภูมิ ผี ต่างๆ กล่าวคือวิญญาณธรรมดาที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นชั้นเทพ<O:p</O:p
    ธูป 2 ดอก ไม่ปรากฏนิยมใช้<O:p</O:p
    ธูป 3 ดอก นิยมไหว้พระพุทธ อันมีความหมายถึง พระรัตนตรัย หรือแม้แต่การไหว้เทพก็มีผู้ไหว้ 3 ดอก เช่นกัน อันมีความหมายถึงพระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม<O:p</O:p
    ธูป 4 ดอก ไม่ปรากฏนิยมใช้<O:p</O:p
    ธูป 5 ดอก มีผู้นิยมใช้ไหว้ตี่จูเอี้ย โดยปักที่กระถางธูป 3 ดอกและข้างประตู ข้างละ 1 ดอก นอกจากนี้ก็มีผู้นิยมไหว้พระรูปรัชการที่ ๕ คงมีคติมาจากรัชการที่ ๕ ก็ใช้ 5 ดอก การไหว้ท้าวจตุโลกบาลก็นิยมใช้ธูป 5 ดอก เพราะหมายถึงทิศใหญ่ทั้ง 5 อันมี ตะวันตก ตะวันออก เหนือ ใต้ และทิศกลาง ตามความเชื่อของชาวจีน รวมทั้งเทพอื่นๆ ก็เห็นมีปรากฏ<O:p</O:p
    ธูป 6 ดอกไม่นิยมใช้<O:p</O:p
    ธูป 7 ดอก นิยมไหว้พระภูมิไชยศรี นอกจากนี้ก็มีผู้ที่เคารพบูชาพระอาทิตย์ก็นิยมไหว้ ซึ่งความหมายของธูป 7 ดอก ก็หมายถึงความคุ้มครองวันทั้ง 7 ในหนึ่งสัปดาห์<O:p</O:p
    ธูป 8 ดอก ชาวฮินดูนิยมใช้ธูป 8 ดอก ในการไหว้เทพแทบจะทุกองค์ ที่เป็นเทพชั้นสูง อันได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม พระแม่อุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี พระพิฆเนศ พระขันธกุมาร ร่วมไปถึง พระราม พระกฤษณะ ด้วยจะพบว่า กล่องธูปที่ใช้บรรจุธูปหอมของอินเดียกล่องหนึ่งจะมีธูป 8 ดอก ให้บูชาครั้งละ 1 กล่องเล็ก นอกจากนี้ก็มีความเชื่อว่า การไหว้พระราหู ก็นิยมใช้ธูป 8 ดอกเช่นกัน<O:p</O:p
    ธูป 9 ดอก นับเป็นจำนวนธูปที่นิยม ใช้ในการไหว้ทั้งพระทั้งเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยคนไทยถือว่าเลข 9 เป็นเลขมงคล หมายถึงความเจริญก้าวหน้า หากแต่ในประเทศอื่นเขาไม่ได้นิยมเช่นคนไทย<O:p</O:p
    ธูป 10 ดอก สำหรับชาวจีนดั้งเดิมแล้วนิยมใช้เลขนี้ในการจุดธูปเช่นเดียวกันคนไทยนิยมเลข 9 เลขสิบนับเป็นเลขเต็ม และความหมายของสิบ (ภาษาจีนคือจั๊บ)นั้นหากจะประดุจนิ้วมือก็หมายถึงการจับได้เต็มไม้เต็มมือ ได้อะไรที่เต็มมือ ได้อะไรที่เต็มสิบก็คือความสมบูรณ์เต็มที่<O:p</O:p
    ธูป 11 ดอก ไม่ปรากฏความนิยม<O:p</O:p
    ธูป 12 ดอก ชาวจีนนิยมไหว้เจ้าแม่กวนอิม บางคนใช้
    13 ดอก แต่จะไหว้เฉพาะในช่วงเดือน 12 เท่านั้น<O:p</O:p
    ธูป 14, 15 ดอก ไม่ปรากฏความนิยม<O:p</O:p
    ธูป 16 ดอก นิยมใช้ในพิธีบวงสรวงบูชาเทพ บูชาครู หรือพิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดาที่สำคัญต่างๆ 16 ดอก หมายถึง สวรรค์ 16 ชั้น<O:p</O:p
    นอกจากนี้ที่ได้สืบเสาะมาก็มี 31 ดอก และ 32 ดอก<O:p</O:p
    ที่นิยมใช้ในการบวงสรวง เช่นเดียวกันกับ 16 ดอก <O:p</O:p
    โดย ธูป 31 ดอก หมายถึงการเชิญเทพทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ต้องเป็นการบวงสรวงเครื่องบัดพลีใหญ่<O:p</O:p
    หรือ ธูป 32 ดอก หมายถึง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน และบนโลกมนุษย์ อีก 1 จะนิยมใช้ในการบวงสรวงใหญ่เท่านั้น เพราะเครื่องบวงสรวงต้องมากเพียงพอกับการอัญเชิญด้วย<O:p</O:p
    เจ้าคุณอมร วัดบวรนิเวศ กรุงเทพฯ ท่านให้ข้อคิดที่น่าสนใจมากคือ จำนวนเท่าไร มันอยู่ที่ใจ มนุษย์ตั้งกันขึ้นมาเอง ตามความพอใจ ซึ่งที่จริงแล้วหากใจเป็นสมาธิศรัทธาจริง มือเปล่า ใจเปล่า ก็ศักดิ์สิทธิ์ ได้<O:p</O:p
    ผู้เขียนเองก็มีความเห็นตรงกันเพราะเวลาเราฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือจบมือขึ้น สาธุ อนุโมทนากุศลนั้น ท่านเชื่อไหมว่า อานิสงส์แรงนักแล แค่เอามือเปล่าจบขึ้นเหนือหัวตั้งจิตให้มั่น กล่าวคำว่า สาธุ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนบทความนี้ ซินแสน้อย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ***** คนเราทุกวันนี้ ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้าแต่เพียงด้านเดียว <O:p</O:p
    ให้เอากระจกหกด้าน มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง<O:p</O:p
    สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) *****<O:p</O:p

    <!-- / message -->
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมนำเรื่องราวไปลงที่เว็บ ลานธรรมจักร &raquo; กระดานสนทนา
    กระทู้ ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14369

    ลานธรรมจักร &raquo; บทความธรรมะ
    กระทู้ ไหว้ 5 ครั้ง ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14368

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

    และเว็บวัดถ้ำเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่ > หมวดธรรมะศึกษาธรรมะน่ารู้-บทความธรรมะ
    กระทู้ ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า
    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?p=36226#post36226

    วัดถ้ำเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่ > หมวดธรรมะศึกษาธรรมะครูบาอาจารย์
    กระทู้ ไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=2553
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2007
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10866

    ร้อยเรื่องราว "ในหลวง" ผ่าน "เหรียญกษาปณ์"

    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01lad01101250&day=2007-12-10&sectionid=0115


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เป็นอีกหนึ่งงานที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยกรมธนารักษ์ ได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "เล่าเรื่องในหลวงผ่านเหรียญและเครื่องอิสริยยศ" ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

    ภายในงานได้รวบรวมเรื่องราวพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจและพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ที่นำเสนอด้วยการจัดแสดงเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก ที่กรมธนารักษ์ผลิตขึ้นในโอกาสอันเป็นมหามงคลต่างๆ เช่น เหรียญที่ระลึกทองคำเนื่องในโอกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เหรียญที่ระลึกเรื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เป็นต้น <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ร.ต.อ.กุศิก มโนธรรม นายกสมาคมเหรียญกษาปณ์แห่งประเทศไทย บอกว่า นิทรรศการครั้งนี้ได้รวบรวมเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกตลอด 60 ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ ซึ่งมีมากมายนับร้อยแบบ

    "เหรียญที่ระลึกนี้จะทำให้รู้ว่า ในช่วง 60 ปีแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอะไรบ้าง ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างไรต่อประชาชนบ้าง เช่น เหรียญฝนหลวง เหรียญรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ เหรียญซีเกมส์ ซึ่งนอกจากสะท้อนให้เห็นถึงพระเมตตาแล้ว ยังสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพด้านต่างๆ ของพระองค์ด้วย อาทิ ด้านวิจัยและพัฒนา ด้านศิลปวัฒนธรรม และด้านการกีฬา เป็นต้น"

    นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินที่หาดูได้ยากและไม่เคยจัดแสดงที่ใดมาก่อน อาทิ พานพระมหากฐิน เครื่องอิสริยยศหมวดต่างๆ เครื่องสิริมงคล รวมทั้งเหรียญหายาก เป็นต้น

    นายกสมาคมเหรียญกษาปณ์ฯ บอกว่า ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน ส่วนใหญ่เป็นของหายากตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของช่างทองหลวงที่ประณีตงดงามมาก และบางชิ้นมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

    "นิทรรศการครั้งนี้นอกจากจะได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านเหรียญที่ระลึกแล้ว ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย เช่น เครื่องอิสริยยศที่มีหลายประเภท อาทิ ดาบ พระเต้า กาน้ำ ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยยศที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงใช้เพื่อประกอบเกียรติยศ หรือกระโถน เครื่องอุปโภคที่นอกจากจะใช้ประกอบพระอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์แล้ว ยังใช้สำหรับขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้วย"

    สนใจชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 ธันวาคม เวลา 10.00-20.00 น. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROc1lXUXdNVEV3TVRJMU1BPT0=&sectionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TUE9PQ==

    วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6220 ข่าวสดรายวัน

    กลอนปีใหม่สมเด็จพระเทพฯ รับปีหนูดี แข็งขันขยันจริง

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>จัดงานเป็นครั้งที่ 9 สำหรับ "รวมใจจงรักพระจักรี" โดย สยามดิสคัฟเวอรี่, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ที.ซี.ซี. แลนด์ จำกัด เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ และถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยได้รับพระมหา กรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่แกรนด์ฮอลล์ สยามดิสคัฟเวอรี่

    ภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโล่รางวัลแก่เยาวชนผู้ชนะเลิศการประกวดบทร้อยกรองหัวข้อ "ร้อยกรอง น้อมเกล้าฯ เจ้าแผ่นดิน" จากนั้นเสด็จฯ ทอดพระเนตรการออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการ และมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นด้วยพระมหา กรุณาธิคุณ พระปรีชาสามารถ และพระวิริยอุตสาหะของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อพัฒนาการเกษตร พัฒนาชนบท และส่งเสริมให้แก่ราษฎร เพื่อประโยชน์สุขของประชาราษฎร์ และมูลนิธิพระบรมราชูปถัมภ์
    [​IMG]

    ได้แก่ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ มูลนิธิ โครงการหลวง มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ร้านดอยตุงไลฟ์สไตล์ มูลนิธิสาย ใจไทย บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ร้านจิตรลดา ร้านภูฟ้า โครงการเซรามิก สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และร้านศิลปาชีพ 904 ที่พร้อมใจกันมาร่วมออกร้านจำหน่ายพืชผัก ผลไม้สด ไม้ดอก ไม้ประดับ ขนมคาว ขนมหวาน สินค้าเกษตรแปรรูป เครื่องหนัง เครื่องแก้ว และงานศิลปหัตถกรรม

    ท่านผู้หญิงวิลาวัณย์ วีรานุวัตติ์ เลขาธิการคณะกรรมการร้านจิตรลดา กล่าวว่า ครั้งนี้มีผลิตภัณฑ์คอลเล็กชั่นเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์รูปหนู ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระ ราชทานให้กับร้านจิตรลดาทุกปีและครั้งนี้เป็นคอลเล็กชั่นปีชวด มีเสื้อยืดโปโล 8 สี ได้แก่ สีชมพู สีขาว สีแดง สีเทา สีฟ้า สีเหลือง สีม่วง และสีเขียว จำหน่ายตัวละ 250 บาท นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์ปักภาพฝีพระหัตถ์อื่นๆ อีก โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผ้าฝ้ายทอมือ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของร้านจิตรลดา อย่างเช่น กระเป๋า กล่องใส่ข้าวสาร หมอน ที่ใส่โทรศัพท์มือถือ มาร่วมจำหน่ายในงานครั้งนี้

    เกตุวลี พิศาลบุตร กรรมการดำเนินงานร้านภูฟ้า กล่าวว่า ร้านภูฟ้านำผลิตภัณฑ์จากฝีมือของชาวบ้านในจังหวัดต่างๆ มาร่วมจำหน่าย นอกจากนั้นยังมีสินค้าภาพวาดฝีพระหัตถ์คอลเล็กชั่น ปีหนูใหญ่ ไทยรวมพลัง อาทิ นาฬิกาติดผนัง หมวก การ์ดอวยพรปีใหม่ ร่ม สมุดบันทึก ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานกลอนอวยพรปีใหม่ฝีพระหัตถ์ไว้ในลายการ์ดนี้ด้วย โดยได้ทรงพระราชนิพนธ์กลอนปีใหม่อวยพรประชาชนทุกคนไว้ว่า

    "Happy New Year 2008 สวัสดีปีชวดหนู 2551

    ถึงปีหนูเจอหนูใหญ่ไม่ใช่เล็ก แม้ยังเด็กก็เก่งกล้าสามารถยิ่ง

    เป็นหนูดี แข็งขันขยันจริง ไม่มัวนิ่งดูดายเหนื่อยหน่ายใจ

    พ่อแม่หนูพี่ป้าและน้าอา ทุกคนมามีพลังช่วยกันแก้ไข

    ให้ปีชวดเป็นปีของคนไทย มีโชคชัยใจสบายหายทุกข์เอย"

    นอกจากนี้ยังมีเสื้อยืดคอปกปักลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ ปีหนูใหญ่ ไทยรวมพลังทั้ง 6 สีมีร่วมจำหน่ายในครั้งนี้ และสำหรับประชา ชนที่ยังต้องการเสื้อสีชมพู ปีหนูใหญ่ ไทยรวมพลัง เดินเข้ามาซื้อในร้านภูฟ้าได้ทันที โดยเสื้อสีชมพูนั้นตอนนี้เริ่มเหลือติดร้านบ้างแล้ว และในวันที่ 25 ธ.ค. จะผลิตเพิ่มขึ้นอีก 20,000 ตัว เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน

    ผู้สนใจร่วมชมงานและอุดหนุนผลิตภัณฑ์คุณภาพต่างๆ จากโครงการและมูลนิธิต่างๆ ในราคาพิเศษได้ในงานรวมใจจงรักพระจักรี ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 12 ธ.ค. ที่ แกรนด์ฮอลล์ สยามดิสคัฟเวอรี่
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>Hello money! เมื่อ "มือถือ" จะกลายเป็นกระเป๋าตังค์
    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000143918

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 ธันวาคม 2550 15:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ครั้งหนึ่งการพกเงินสดเยอะๆ เป็นฟ่อนดูเชย เก่า และล้าสมัย วันเวลาเปลี่ยนไป จากพวกบ้าหอบฟางจึงพัฒนากลายเป็นคนที่ต้องพกพาบัตรเครคิต บัตรพลาสติกที่แค่รูดปื๊ดๆ ก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามใจนึก กระเป๋าตังค์ของใครหลายคนจึงแฟบลง แต่โป่งพองไปด้วยการ์ดเล็กๆ มาแทนที่ธนบัตร

    วันนี้เทคโนโลยีก้าวล้ำ "โทรศัพท์เคลื่อนที่" ถูกทำให้เป็นมากกว่าเครื่องมือสื่อสาร นวัตกรรมที่ผสมผสานระหว่างคลื่นวิทยุกับซิมมือถือได้รับการพัฒนาให้เป็น อีกหนึ่งช่องทางสำหรับบริการการเงิน

    มือถือเครื่องเดียวกำลังจะกลายเป็นทั้งเงินสด หรือบัตรเครคิต เป็นบริการชำระเงินที่ง่ายดายกับชีวิตประจำวัน จะโอนเงิน จ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า ชอปปิ้งผ่านอินเทอร์เน็ต แค่ปลายนิ้วสัมผัส

    "อติรุจฒน์ โตทวีแสนสุข" กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรูมันนี่ เล่าให้ฟังถึงเส้นทางและการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบกระเป๋าตังค์อิเล็กทรอนิกส์นี้

    วันนี้ เป็นที่น่ายินดีที่เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) ในประเทศไทยได้เริ่มมีผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจหลายรายหันมาให้ความสำคัญ และมีการพัฒนาประยุกต์ใช้งานให้สอดรับกับการแข่งขันและการให้บริการกันมากขึ้น โดยทุกรายต่างมุ่งนำเอาประโยชน์มาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ การแข่งขัน การให้บริการ

    จากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ไอซีที เอ็กซ์โป 2007 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้โชว์เทคโนโลยีใหม่ "RFID Sim" (อาร์เอฟไอดี ซิม) หรือซิมโทรศัพท์มือถืออัจฉริยะ หลังจากถูกนำออกแสดงสู่สายตาชาวโลกในงานคาร์ตส 2007 (CARTES 2007) ที่เป็นงานเทรดโชว์ด้านระบบความปลอดภัยแบบดิจิตอล รวมถึงเทคโนโลยีสมาร์ทการ์ดต่างๆ ทั้งนี้มีผู้ประกอบการมากกว่า 500 รายจากทั่วโลกนำเทคโนโลยีมาโชว์ และมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมชมงานอีกกว่า 20,000 ราย ทั้งกลุ่มธนาคาร ผู้ให้บริการมือถือ

    นวัตกรรม RFID SIM เป็นอีกหนึ่งของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของไทยไปอีกขั้น และบอกถึงความสามารถด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ผสมผสานระหว่างคลื่นวิทยุ RFID กับซิมมือถือของทางทรูมูฟ ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้บริการอีคอมเมิร์ซ หรือจุดชำระเงินต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วยโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว โดยไม่ต้องเปลี่ยนโทรศัพท์

    ซึ่งตัว RFID SIM นี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง ทรูมันนี่ กับวอทช์ดาต้า ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของจีน โดย RFID SIM นี้จะเป็นเสมือนกระเป๋าสตางค์แบบออฟไลน์ โดยสามารถโอนเงินจากบริการทรูมันนี่ ที่เป็นกระเป๋าสตางค์แบบออนไลน์ลงไปในตัว RFID SIM ได้อย่างง่ายดาย และการบรรจุแอปพลิเคชันรองรับการใช้งานเพื่อชำระค่าผ่านทาง เช่น ค่าโดยสารรถไฟฟ้า, ชอปปิ้งผ่านอินเทอร์เน็ต และใช้เป็นบัตรแสดงรหัสเปิดประตู เป็นแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัยสูง สามารถใช้งานได้ทั้งซิมแบบเติมเงินและจดทะเบียน ที่มีแผนเปิดให้บริการในปีหน้าโดยจะอยู่ภายใต้การดูของบริษัท ทรูมูฟ และบริษัท ทรูมันนี่

    นายอติรุฒน์ โตทวีแสนสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทรู มันนี่ กล่าวว่า หลายผู้ผลิต หลายผู้พัฒนา พยายามพัฒนาการประยุกต์ใช้อาร์เอฟไอดี กับบริการร่วมใช้งานทางธุรกรรมอื่นๆ กับบริการมือถือ ยังมีผลสำเร็จได้ไม่มากนัก เนื่องจากมีหลายปัจจัยในเรื่องอุปสรรคของการนำชิปอาร์เอฟไอดี ไปใช้งานร่วมกับเครื่องโทรศัพท์ ที่มีข้อจำกัด หรือการให้เครื่องทำหน้าที่เป็นตัวรับส่ง หรือแม้กระทั่งการบรรจุ แอปพลิเคชันในการใช้งาน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=233 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=233>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ด้วยโจทย์นี้เอง ทรูมันนี่ ได้ร่วมมือกับวอทช์ดาต้า บริษัทผู้ผลิตนวัตกรรมชั้นนำด้านตลาดรักษาความปลอดภัยข้อมูลในสมาร์ทการ์ด มัลติแอปพลิเคชันระดับโลก จากการนำเทคโนโลยีชั้นนำด้านระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลของวอทช์ดาต้า มาใช้ในการพัฒนาบริการการเงินบนมือถือแบบ Contactless ด้วยเทคโนโลยี Radio Frequency Identification คือ RFID SIM จนเป็นระบบชำระค่าบริการต่างๆ แบบไร้สายได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์มือถือให้สิ้นเปลือง ทั้งนี้ ทรูได้จดลิขสิทธิ์เทคโนโลยีนี้แล้ว

    "การโอนเงินจำนวนมากสู่ RFID SIM คงไม่ปลอดภัย
    ในกรณีที่โทรศัพท์มือถือเกิดสูญหาย บริการ Auto Refill จึงเหมาะที่จะรองรับในจุดนี้ โดยผู้ใช้สามารถกำหนดได้ว่า ถ้าเงินใน RFID SIM เหลือน้อย ให้เติมเงินเข้ามาโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้มีเงินใน RFID SIM 500 บาท ใช้ไปจนเหลือ 100 บาท ระบบจะเติมเงินให้ 500 บาทโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเติมเงินเข้าบัญชีเท่าไหร่นั้นผู้ใช้สามารถกำหนดได้"

    "RFID SIM" จะบรรจุแอปพลิเคชันทรู มันนี่ เซอร์วิส อยู่ในตัวซิม โดยจะมีเสาอากาศพ่วงอยู่ ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณไปยังเครื่องรับ โดยมีลักษณะการใช้งานคล้ายกับสมาร์ทการ์ด ซึ่งตัว RFID SIM นั้นจะแตกต่างจากสมาร์ทการ์ดตรงที่ผู้ใช้จะสามารถดูจำนวนเงินที่เหลืออยู่ได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ และสามารถเช็กดูการใช้งานล่าสุดได้ว่าได้ไปใช้จ่ายที่ไหนบ้าง รวมถึงมีบริการ Auto Refill ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าจะโอนเงินจากบัญชีสู่ตัว RFID SIM เมื่อเงินในบัญชีเหลือน้อยโดยอัตโนมัติ

    นายอติรุฒน์กล่าวว่า หลายคนเชื่อว่าการทำอีคอมเมิร์ซเป็นการทำธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่พอเข้ามาถึงเมืองไทย มันไม่ประสบความสำเร็จเหมือนต่างประเทศ ด้วยปัจจัยหลายด้าน ทั้งในเรื่องของความ เข้าใจในการใช้บริการ จำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ความมั่นใจในการให้บริการ และที่สำคัญคือความปลอดภัยในการชำระเงิน ซึ่ง ณ วันนี้ RFID SIM จะยกระดับความปลอดภัยจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซอีก ระดับ รวมถึงการใช้งานที่ง่ายเพียงแค่มีตัวอุปกรณ์การอ่านก็สามารถเลือกจ่ายเงินได้ทันที ซึ่งราคาอุปกรณ์ ก็มีราคาแค่ 100-200 บาท

    การแพร่ขยายในการใช้งาน

    นายอติรุฒน์กล่าวว่า แน่นอนว่าเราจะต้องให้บริการอย่างครบวงจร ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะใช้ร่วมกับระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งการใช้บริการรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน อาคารจอดรถ การจ่ายค่าทางด่วน รวมถึงร้านค้าต่างๆ รอยัลตีโปรแกรม หรือในกลุ่มองค์กรในการใช้เป็นบัตรผ่านเข้า-ออกประตู ในการเดินทางเข้าออกสถานที่ พื้นที่ทำงาน ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความต้องการ หรือการเล็งเห็นถึงประโยชน์ ในการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาประยุกต์ใช้

    แต่สำหรับทรูมันนี่เอง สิ่งที่ต้องการคือ การให้ความสะดวกแก่ลูกค้าผู้ใช้บริการภายในกลุ่มทรูที่สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้งานร่วมกับชีวิตประจำวัน และใช้อย่างมีความสุข ได้รับความสะดวก ใช้งานได้ทันที และสุดท้ายคือการใช้งานง่าย ซึ่งทั้งหมดมาจากภายใต้กรอบนโยบายแนวคิดของการเป็นคอนเวอร์เจนต์ ของกลุ่มทรูเอง ที่บริการทุกอย่างจะต้องผสมผสานและไปตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

    โดยปัจจุบันทรูมันนี่มีฐานลูกค้าอยู่ 2.5 ล้านราย และยังไม่รวมถึงทรูมูฟ ที่มีอยู่ 12 ล้านราย หากมีการใช้งานร่วมกันแล้วจะขยายจำนวนผู้ใช้ไปได้มากอีกขนาดไหน และลูกค้าจะเลือกสิ่งที่เห็นถึงประโยชน์ที่ทรูจัดเตรียมไว้ให้ ถึงแม้เบื้องต้นในช่วงแรกได้เปิดตัวนำร่องในต้นปีหน้า 1 แสนชุดก่อนทยอยผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อติรุฒน์ โตทวีปแสนสุข</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "RFID Sim" จะประกอบไปด้วยสองส่วนหลัก คือ ส่วนแรก คือ ไมโครชิป หรือ แท็ก หรือ Transponder ที่นำมาเชื่อมต่อกับส่วนของซิม ในการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้ในระบบทรูมันนี่ โดยมีแอปพลิเคชันในการใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการนำไปหักชำระกับตัวบริการของลูกค้าที่นำไปใช้ โดยรูปทรงของซิมจะมีเสาอากาศ RFID พ่วงติดกับซิมใช้ได้กับมือถือที่มีฝาปิดแบตเตอรี่ได้ทุกรุ่น ซึ่งทรูได้ลงทุนไปกับนวัตกรรมนี้ประมาณ 200 ล้านบาท

    ส่วนที่สองคือ เครื่องสำหรับอ่านข้อมูล หรือ RFID Reader เพื่อทำหน้าที่อ่านข้อมูลจากแท็กด้วยสัญญาณความถี่วิทยุ โดยรูปร่างของเครื่องอ่านจะเป็นลักษณะเป็นกล่องรับสัญญาณติดตั้งประจำที่ หรือแบบเคลื่อนย้ายได้ โดยเบื้องต้นจะนำไปติดตั้งเสียบกับคอมพิวเตอร์ ใช้กับร้านค้าที่เป็นทรูมันนี่ เอ็กซ์เพรส และร้านค้าที่อยู่ในเครือข่ายทรูมันนี่กว่า 25,000 ร้านค้า เพียงแค่ทางร้านมี RFID Card Reader เพื่อใช้กับ RFID SIM ของทรูมันนี่

    นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีใหม่นี้ จะเป็นเทรนด์ของบริการการเงินบนมือถือในอนาคตแน่นอน และทันทีที่ลูกค้าได้ทดลองใช้งานบริการ RFID SIM จะเห็นถึงความสะดวก ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่มีผู้ที่สนใจ ในการนำบริการของตัวเองมาเชื่อมต่อใช้งานร่วม เพื่อให้ลูกค้า ทรู ไปใช้งาน ที่มีทั้งฐานอยู่จำนวนมากเมื่อเทียบกับฐานจำนวนลูกค้าบัตรเครดิต และข้อดีของ ระบบการชำระเงินที่สะดวก ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่สัมผัส และหักระบบเงินทันที

    "เราศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้ในตลาดมากว่า 6 เดือน พบว่าส่วนใหญ่ต้องการใช้แบบแตะสัมผัสแล้วหัก เงินได้ จะรู้สึกดีเหมือนกับบริการรถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมผู้ใช้กระเป๋าเงินสด หรือบัตรหักเงินสด อิเล็กทรอนิกส์ ในแต่ละเดือนจะใช้งานอยู่ในระดับ 300-500 บาท ซึ่งเรื่องนี้จึงเป็นแง่ดีในด้านการรักษาความปลอดภัยทางบัญชีทางเงิน และลูกค้าไม่กังวลเรื่องของวงเงินในบัญชี"

    บริการการเงินบนมือถือแบบ Contactless ด้วยเทคโนโลยี RFID SIM ยังอัดแน่นด้วยแอปพลิเคชัน พิเศษๆ อีกมากมาย เช่น บริการเติมเงินอัตโนมัติ (Auto Refill) ที่จะช่วยให้ลูกค้าเติมเงินลงกระเป๋าสตางค์โดยตรงจากบัญชีทรูมันนี่ได้ในจำนวนที่ลูกค้าต้องการในซิม สำหรับทรู เพิร์ส ที่ใน 1 ซิมมีประเป๋าเงินแยกได้ 8 ใบ บริการตรวจเช็กธุรกรรมการเงินครั้งล่าสุด (Last Transaction Check) ระบบรักษาความ ปลอดภัยของทรูมันนี่ ที่เป็นเสมือนการป้องกันความปลอดภัยถึง 3 ชั้น แม้มือถือจะหาย หรือถูกขโมยก็จะไม่ถูกนำเงินที่ไม่ได้เติมไว้ในมือถือไปใช้ อีกทั้งแม้จะถูกสกิมมิ่งเอาเลขรหัสข้อมูลไป แต่ถ้าไม่ใช้มือถือร่วมด้วยก็ไม่สามารถใช้งานได้

    เปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้มือถือญี่ปุ่น-เมืองไทย

    นายปิยชาติกล่าวว่า เรื่องการใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทยถือว่ายังใหม่เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นในการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามองถึงเรื่องของการลงทุน หรือแง่ต้นทุนการซื้อมือถือแล้ว สิ่งที่ ทรูมูฟ และทรูมันนี่ทำอยู่แตกต่างกันมาก ของเราเองลูกค้าซื้อแค่ซิมในระดับร้อยสองร้อยบาท แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นผู้ใช้ต้องซื้อเครื่องใหม่ และใช้งานได้แค่บางรุ่น ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นข้อดีอย่างยิ่งในการใช้งานของผู้ใช้ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายกับการเปลี่ยนเครื่อง ซึ่งหาก ทรู เริ่มต้นแบบนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานคนไทย ก็สามารถใช้งานแพร่หลายไม่ต่างจากญี่ปุ่น หรือในบางประเทศที่ประชาชนใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะนำมือถือมาใช้แทนตั๋วรถไฟฟ้า การใช้มือถือจ่ายค่าอาหารหรือซื้อของได้ในแหล่ง ต่างๆ การใช้เป็นบัตรพนักงานลงเวลามาทำงานได้ หรือแม้กระทั่งการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ระบบความปลอดภัยสำนักงาน

    "ผมเชื่อว่าไม่เกิน 3 ปีนี้ เรื่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยจะเป็นที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่แต่ทรูรายเดียวที่ทำ แต่ทุกๆ อุตสาหกรรม ทุกกลุ่มบริการก็จะต้องทำ และยิ่งถ้ามีสมาร์ทการ์ดด้วยแล้ว ทุกอย่างก็ยิ่งจะเป็นที่ตอบรับและใช้งานกัน"

    ไม่ว่าบริการนี้จะได้รับความนิยมหรือไม่อย่างไร แต่หลังจากนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มแห่งการแข่งขันของบริการเสริมประเภท "โมบาย เปย์เมนต์" เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือให้กลายเป็นกระเป๋าเงิน ที่จะเข้ามาสร้างพฤติกรรมของประชาชนชาวไทยกับการใช้จ่ายในรูปเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ถึงแม้ในวันนี้อาจยังไม่ได้รับความ นิยมในทันที แต่ก็ถือเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงและไม่อาจมองข้าม ซึ่งเชื่อว่าเกมใหม่ในอุตสาหกรรมมือถือในปีหน้าคงจะเป็นการแข่งขันในมิติบริการกับชีวิตประจำวันมากกว่าการแข่งขันบนสงครามราคาอย่างที่เห็นกันอยู่ตลอดช่วงเวลา 2 ปี จากที่ทุกรายแข่งขันจนหลงลืมนึกถึงประโยชน์ใช้งานที่แอบแฝง การให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้ กับการใช้งานมากกว่าเรื่องโทร. หรือแม้กระทั่งการให้ความสำคัญต่อเครื่องโทรศัพท์เองมากขึ้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา Fwd mail ครับ

    รางรถไฟกับการตัดสินใจ

    มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง

    รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน

    ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว

    มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน

    ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่

    เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ

    คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งาน

    เพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่

    แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของ

    เด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน

    หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม ?

    ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้

    คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป

    แต่ รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้

    คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ

    และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น

    ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน

    แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก

    ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผล

    ทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก

    แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

    ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก

    แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ

    และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย

    สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน

    ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมือง

    โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย

    คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก

    แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม

    เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา

    และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม

    เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ

    เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า

    รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการใช้งาน

    และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ

    ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน

    เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น

    นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย

    ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้

    เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย

    ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน

    อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้

    เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า

    การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป

    จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ

    และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป

    ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้

    และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...