ควรทำยังไงดี เมื่อมีอาการกรดไหลย้อน..

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย kiyomii, 25 พฤศจิกายน 2013.

  1. kiyomii

    kiyomii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2013
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +25
    ทำยังไงดีค่ะ ดูจากอาการตัวเองแล้ว..
    ตอนนี้คิดว่าเราต้องกำลังเป็นโรคกรดไหลย้อนแน่ๆเลย
    พอจะมีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรบ้างถึงจะหายไวๆค่ะ
     
  2. JINKLE

    JINKLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,226
    ทานกล้วยน้ำว้าค่ะ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนอาหาร เคยเป็นมาก่อนทานไม่กี่วันก็หาย ตอนนี้ไม่เป็นอีกเลย แต่ห้ามนอนทันทีหลังกินข้าว และงดอาหารรสจัด รสเผ็ดค่ะ
     
  3. SUPERS

    SUPERS สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +17
    ปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรปฏิบัติดังนี้
    นิสัยส่วนตัว

    1. อย่าให้เครียด และงดการสูบบุหรี่
    2. หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับ หรือรัดแน่น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
    3. พยายามลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกิน
    4. ถ้ามีอาการท้องผูก ควรรักษาและหลีกเลี่ยงการเบ่ง

    นิสัยในการรับประทานอาหาร

    1. หลีกเลี่ยงการนอนราบ ออกกำลัง การยกของหนัก การเอี้ยวหรือก้มตัว หลังจากรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชม.
    2. รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ฟาสต์ฟู้ด
    3. หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม pepermints เนย ไข่ นม หรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
    4. รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มแน่นท้องมาก

    นิสัยการนอน

    1. ไม่ควรนอนหลังการรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชม.
    2. เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6 - 10 นิ้ว จากพื้นราบ

    การรับประทานยา

    1. ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยา หรือหยุดยาเอง และมาพบแพทย์ ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา
    2. อย่าซื้อยามารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น
    3. ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของ GERD สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา


    ข้อมูลจาก-ร.พ.พญาไท 2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2013
  4. wasonsho

    wasonsho สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +17
    ควรหายาพวกgravisconมาพกไว้บ้างก็ดีนะ เวลามีอาการจะช่วยได้เยอะเลย
    แล้วก็ลองหาเวลาไปพบหมอด้วย จะได้วางแนวทางในการรักษาให้หายค่ะ
    อาจจะไปที่พญาไทย2ก็ได้ค่ะ บริการดีแถมให้คำปรึกษาฟรีด้วย >> Phyathai
     
  5. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    บทความโดย:
    รองศาสตราจารย์ ดร. สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ
    ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


    เกิร์ด (GERD) - โรคกรดไหลย้อน

    ปัจจุบันนี้ที่แผนกอายุรศาสตร์ของโรงพยาบาลต่าง ๆ มีผู้ป่วยเป็น “เกิร์ด”(GERD) หรือ โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease)จำนวนมาก ซึ่งหลายคนยังมีความสงสัยและไม่เข้าใจว่า โรคกรดไหลย้อนนั้น หมายถึงอะไร เกิดได้อย่างไร มีอันตรายต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด และการดูแลรักษารวมทั้งการปฏิบัติตนควรทำอย่างไร บทความนี้เขียนเพื่อตอบคำถามต่าง ๆดังกล่าว เพื่อให้ผู้อ่านรักษาตนให้หลุดพ้นความทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน



    “เกิร์ด”หรือ โรคกรดไหลย้อน หมายถึงอะไร ?

    โรคกรดไหลย้อน หมายถึง ภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหารซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ส่งผลให้มีอาการระคายบริเวณลำคอ และแสบอกหรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ รวมทั้งมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้าย ๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่ามีผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้น



    โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุมาจากอะไร?

    ในภาวะปกติ ร่างกายมีกลไกการป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยการทำงานของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter, LES) ซึ่งหูรูดนี้จะคลายตัวขณะที่มีการกลืนอาหาร เพื่อให้อาหารผ่านลงสู่กระเพาะอาหาร และหดตัวปิดทันทีเพื่อไม่ให้อาหารและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร เมื่อประสิทธิภาพในการทำงานของกลไกการควบคุมนี้เสื่อมลงหรือบกพร่อง จึงเกิดโรคกรดไหลย้อน ซึ่งอาจเกิดเป็นครั้งคราว เป็นพัก ๆ หรือเกิดตลอดเวลา

    สาเหตุหลักของโรคนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการทำหน้าที่ของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง เช่น มีการคลายตัวของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างโดยที่ไม่มีการกลืน หรือความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างลดลง ไม่สามารถต้านแรงดันในช่องท้องและการบีบตัวของกระเพาะอาหารได้

    ส่วนสาเหตุที่ทำให้หูรูดดังกล่าวทำงานผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด โรคนี้พบได้บ่อยในบุคคลทุกเพศทุกวัย หูรูดอาจเสื่อมตามอายุ หูรูดยังเจริญไม่เต็มที่ในเด็กทารก หรืออาจมีความผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด นอกจากนี้อาจพบในสตรีมีครรภ์ด้วยเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายมีผลต่อการทำงานของหูรูดหลอดอาหาร

    พบว่าโรคนี้มีความสัมพันธ์กับความอ้วน โรคเบาหวาน และโรคไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia)ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนเข้าไปอยู่ในช่องอก ทำให้มีโอกาสเกิดการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น
    ปัจจัยอื่น ๆที่ส่งเสริมให้เกิดโรคกรดไหลย้อน อาทิ พฤติกรรมการบริโภค และการปฏิบัติตน ได้แก่ การรับประทานอาหารอาหารรสจัด/รสเผ็ด อาหารประเภทไขมันสูง อาหารทอด ชา กาแฟ น้ำอัดลม การดื่มสุรา สูบบุหรี่ การนอนหรือเอนกายทันทีหลังรับประทานอาหาร ความเครียด ตลอดจนการสวมเสื้อผ้าคับและรัดเข็มขัดแน่น เป็นต้น

    นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นเบตาและกลุ่มต้านแคลเซียม ยาต้านคอลิเนอร์จิก ตลอดจนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นต้น จะมีผลกระตุ้นการคลายตัวของหูรูดหรือมีการหลั่งกรดมากขึ้น



    อาการของโรคกรดไหลย้อน

    มีอาการแสบอกหรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ คล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย และอาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย
    บางรายพบว่ามีภาวะเรอเปรี้ยว คือมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือน้ำดีซึ่งมีรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปากหรือคอ หรือหายใจมีกลิ่น
    บางรายอาจพบอาการผิดปกติของโรคหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง หรืออาการหอบหืดเป็นมากขึ้น เป็นต้นเนื่องจากมีการไหลย้อนของน้ำย่อยไประคายที่คอหอย กล่องเสียง และหลอดลม



    การรักษาโรคกรดไหลย้อน ทำอย่างไร ?

    (1) การรักษาที่สำคัญอยู่ที่ผู้ป่วยเอง คือควรปฏิบัติตน ดังนี้

    -พฤติกรรมการบริโภค

    ไม่ควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากเกินไป ควรรับประทานบ่อยครั้งๆละน้อย
    หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด อาหารไขมันสูง อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด/เผ็ดจัด
    หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และการสูบบุหรี่

    -พฤติกรรมการดำเนินชีวิต

    ไม่ควรนอนหรือเอนกายทันทีหลังจากรับประทานอาหาร ควรเว้นอย่างน้อย 3ชั่วโมง
    รักษาน้ำหนักตัวให้พอเหมาะ ไม่อ้วนเกินไป
    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    พักผ่อนพอเพียงและรักษาตนไม่ให้เครียด
    สวมใส่เสื้อผ้าหลวมสบายตัว ไม่รัดเข็มขัดแน่น

    (2) การรักษาด้วยยา

    กรณีที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรรับประทานยาตามกำหนดอย่างเคร่งครัด และถ้ามีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

    ปัจจุบันยาที่ได้ผลดีที่สุด คือ ยาลดกรดในกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันอาการของโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรืออาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานหลายเดือนขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย เช่นกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นระยะ ๆ ตามอาการที่มี หรือรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
    บางกรณีอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาที

    (3) การรักษาโดยการผ่าตัด

    ในรายที่ใช้ยาไม่ได้ผลหรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดซ่อมแซมหูรูด



    ภาวะแทรกซ้อนของโรคกรดไหลย้อน เป็นอย่างไร?

    แม้ว่าโรคกรดไหลย้อน ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมาน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงาน ดังนั้นกรณีที่ท่านมีอาการของโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคต่อไป โปรดให้ความสนใจเพราะถ้าละเลยไม่ยอมรักษา เมื่อเป็นเรื้อรัง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่

    หลอดอาหารอักเสบ ซึ่งจะมีอาการเจ็บหน้าอกขณะกลืนอาหาร
    แผลหลอดอาหาร อาจมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนบน เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือมีถ่ายดำ
    หลอดอาหารตีบตัน พบว่ามีอาการกลืนอาหารลำบาก อาเจียนบ่อย
    เกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหาร ถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดมะเร็งของหลอดอาหาร ซึ่งจะมีอาการเจ็บขณะกลืนอาหาร กลืนลำบาก อาเจียนบ่อย และน้ำหนักลด



    “เพื่อสุขภาพ ปรับพฤติกรรม ใช้ยาถูกต้อง ป้องกันโรคกรดไหลย้อน”

    ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง


    http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=44
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2013
  6. wild win

    wild win เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +436
    ตอนที่มีอาการ เราลุกขึ้นไปล้วงคอให้อาเจียนออกให้หมด ทั้งน้ำเปรี้ยวๆ ทั้งอาหารส่วนหนึ่ง ก็รู้สึกดีขึ้นเลย คือพอเริ่มอาการเราก็ ทำให้อาเจียนออกหมดเลย ไม่รอให้แสบ หรือกัดช่องคอ ตอนหลังพยายามไม่กินมื้อเย็น ก็ช่วยได้มาก
     
  7. Ton_PB

    Ton_PB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    4,463
    ค่าพลัง:
    +2,005
    สมุนไพร : ขมิ้นชัน ก็ช่วยได้นะ

    หาที่เป็นแคปซูลกิน ก็ได้ เดียวนี้เขามีเป็นกระปุกขาย
     
  8. แมวเหมียว99

    แมวเหมียว99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +136
    เคยเป็นกรดไหลย้อนคะ

    ขอแนะนำ ไปพบแพทย์ค่ะ..มียาให้แน่นอน555+ ให้คุณยิ้มค่ะ..โรคนี้ทรมานค่ะ...เราทานยาตามหมอสั่งนะคะ...ทานอาหารอ่อนๆ..ไม่รสจัดค่ะ..รสเผ็ด เค็ม งดเลยค่ะ....และสิ่งสำคัญคือการทำใจให้สงบค่ะ ปล่อยวาง ไม่เครียดไม่คิดมาก อะไรมันจะเกิดก็ปล่อยไป...ทำใจให้เกิดสมาธิ..ทำใจให้สุจค่ะ..ไม่ทุกข์ใจกับเรื่องใดๆ...คิดดี ทำดี พูดดีค่ะ รักษาศีล 5 นึกถึงแต่สิ่งดีดีค่ะ...สวดมนต์ แผ่เมตตา ทำบุญ ทำความดี ฟังธรรมมะ ไม่กี่วัน คุณจะหายดีค่ะ...คุณต้องเชื่อว่าคุณจะหายและจะดีขึ้นแน่นอน..มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึงทางใจค่ะ สู้ๆค่ะ หายไวๆนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...