เห็นทุกข์จะไม่เป็นทุกข์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    คิดจากความว่าง เล่ม3 : เห็นทุกข์จะไม่เป็นทุกข์

    คิดจากความว่าง เล่ม 3

    เห็นทุกข์จะไม่เป็นทุกข์

     เห็นสิ่งใด จะไม่เป็นสิ่งนั้น เหมือนคุณเห็นไฟ คุณจะไม่มีวันเป็นไฟ เพราะรู้ว่ามีตัวคุณเป็นผู้มองไฟอยู่ คุณเป็นต่างหากจากไฟ ไฟเป็นเพียงสิ่งถูกมองแล้วคุณเป็นอะไร?

    คุณเป็นจิตดวงหนึ่ง ที่เล็งแลไฟด้วยแก้วตา ชั่วขณะที่มีสติเต็มตื่น รู้ตัวว่ากำลังนั่งหรือยืนท่าไหน คุณจะไม่มีทางหลงเข้าใจไปว่าไฟเป็นอันเดียวกับคุณเลยเช่นกัน…

    หากคุณเห็นความทุกข์ คุณจะไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเองเป็นทุกข์ชั่วขณะแห่งการมีสติเต็มตื่น รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก คุณจะไม่มีอุปสรรคขวางความเห็น ทุกข์จะปรากฏเป็นสภาพต่างหากจากตัวคุณ

    แต่เพราะพวกเราเคยชินที่จะขาดสติ เมื่อไม่มีสติยอมรับความจริงตรงหน้า ก็ย่อมอยากจะมองเห็น อยากยอมรับแต่ความสุข และเมื่ออยากเห็นในสิ่งที่ไม่มีอยู่เดี๋ยวนั้น ใจย่อมกระวนกระวาย ที่เป็นทุกข์อยู่แล้วก็ทุกข์เกินจริงยิ่งขึ้นเป็นทุกข์เพราะไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์จะเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป…

    ต่อเมื่อคุณเกิดสติ เกิดความเข้าใจที่จะตั้งมุมมองดีๆ ไม่ปล่อยให้ตัวเองทอดอาลัยตายอยาก ไม่ยอมไหลร่วงลงสู่ทรายดูดแห่งทุกข์ หัดถามตัวเองง่ายๆว่าความร้อนรนกระวนกระวายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

    ความโศกเศร้าอาลัยเสียดายสุดซึ้งเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ความเสียดแทงปวดแสบปวดร้อนเที่ยงหรือไม่เที่ยง

    กล่าวโดยสรุปคือหาคำตอบเอาจากความจริงตรงหน้า ว่าทุกข์ทางใจทั้งปวงเที่ยงหรือไม่เที่ยง เดี๋ยวร้อนมาก เดี๋ยวเย็นลง เดี๋ยวบาดลึก เดี๋ยวเหลือแปลบเสียวนิดเดียว เดี๋ยวระส่ำหนัก เดี๋ยวลดระดับลงสู่ความกระเพื่อมเพียงน้อย

    สภาวะทั้งหลายไม่โกหกคุณ ขอเพียงคุณไม่หลอกตัวเอง แล้วติดตามดูพวกมันด้วยใจซื่อเท่านั้น เกิดก็ยอมรับว่าเกิด ยังตั้งอยู่ก็ยอมรับว่าตั้งอยู่ แปรไปก็ยอมรับว่าแปรไป

    ง่ายๆซื่อๆเท่านี้เอง การสังเกตความจริงอันเป็นปรากฏการณ์ทางจิตของตัวเองเรื่อยๆ จะทำให้คุณตาสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง และได้ข้อสรุปใหม่ที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณแบบหักศอกหรือกลับหลังหัน

    นั่นคือ…เห็นทุกข์ ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์!การเริ่มตั้งโจทย์ ตั้งข้อสังเกตอย่างถูกต้อง คุณจะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาทั้งชีวิต นั่นคือความจริงเกี่ยวกับตัวคุณเอง

    ความจริงที่ว่าไม่มีอะไรสักอย่างในคุณ ที่ไม่เปลี่ยนไปเมื่อพบความจริงในตนเองข้อนี้ โลกและจักรวาลรอบตัวจะพลอยถูกคุณสังเกตด้วยมุมมองที่แตกต่างไปด้วย การสังเกตอะไรๆในแง่ของความไม่เที่ยง จะนำไปสู่การ ‘เห็นตัวจริง’ ของสิ่งนั้นๆชัดเจนที่สุด ต่อให้สิ่งนั้นลึกลับเพียงใด ทรงพลังยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่อาจหน่วงเหนี่ยวความเป็นตนเองไว้ได้เลย ไม่พ้นต้องเสื่อมสลายลงในวันหนึ่ง

    แม้ยูเรเนี่ยมที่อายุยืนหลายพันล้านปี ราวกับจะเป็นธาตุอมตะ ก็ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาอยู่ทุกวินาที เมื่อนักวิทยาศาสตร์ ‘เห็น’ ความจริงนี้ ต่อให้ไม่ทราบว่าจะเอายูเรเนี่ยมมาใช้งานอย่างไรเลย ก็นับว่าถึงความเข้าใจยูเรเนี่ยมอย่างถ่องแท้แล้ว นั่นคือมันไม่ได้เป็นอมตะ เหมือนกับที่ไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะเลยเท่าเสี้ยวแห่งเม็ดทรายแม้ธาตุอันมีอายุยืนพอจะรอพวกเราเกิดตายเกินร้อยล้านรอบเช่นยูเรเนี่ยม ยังถูกรู้ได้ว่าไม่เที่ยง

    แล้วธรรมชาติอันมีอายุน้อยขนาดเราทันเห็นว่าเกิดดับนับแสนครั้ง ดังเช่นทุกข์ทางใจ ทำไมจึงไม่ถูกรู้เลยว่าไม่เที่ยง? ทุกข์ขึ้นมาทีไร ก็เข้าใจว่ามันจะเกาะกินเราไม่มีที่สิ้นสุดร่ำไปคำตอบคือเพราะไม่ทำไว้ในใจ เพราะไม่มีสติกำหนดดูความไม่เที่ยงของทุกข์!

    เมื่อไม่ทำไว้ในใจ ไม่มีสติกำหนดดู ทุกข์จึงเกิดขึ้นดุจห้วงน้ำใหญ่ที่กลืนกินจิตใจเราไปหมด ท่วมทับสำนึกคิดอ่านจนเกิดภาพหลอน คล้ายกองทุกข์นั้นๆยิ่งใหญ่เกินชนะ และมันจะกองทับกองถมใจเราประดุจธาตุอมตะไม่มีวันตาย เราจะไม่มีวันพ้นจากความทุกข์นั้นไปได้ต่อเมื่อทำไว้ในใจ และมีสติกำหนดดู ทันทีที่ทุกข์แผลงฤทธิ์เล่นงานเรา เราจะเห็นทุกข์ และรู้ตัวว่าเป็นต่างหากจากทุกข์ทุกข์เพราะบาดตากับการเห็นคนรักเดินควงกับใครอื่นทุกข์เพราะต้องฟังศัตรูคู่แค้นด่าสาดให้เจ็บใจทุกข์เพราะพบว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนหนูตายในห้องนอนทุกข์เพราะจำทนกินกับข้าวสุดกร่อยตอนไม่หิวทุกข์เพราะอากาศอบอ้าวราวกับโลกเหลือแต่ฤดูร้อนทุกข์เพราะอัดอั้นตันใจไม่ทราบจะทำอย่างไรดีกับชีวิตแม้จะมาได้หกช่องทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    แต่ประมวลแล้ว ทุกข์มีที่ตั้งอยู่ที่เดียวคือจิตเมื่อจิตถูกปล่อยให้เป็นอกุศลตามยถากรรม จิตก็ทำตัวเป็นที่ตั้งของทุกข์ได้เรื่อยเปื่อย

    ต่อเมื่อจิตเกิดประกายสว่างด้วยเจตนาตั้งสติ กำหนดรู้ทุกข์ เห็นว่าทุกข์เป็นภาวะไม่เที่ยงอย่างหนึ่ง ทราบชัดว่าทุกข์มีแรงกระทำต่อจิตไม่เท่าเดิมอยู่ตลอดเวลา หนักบ้าง เบาบ้าง และจะปรากฏชัดที่สุดเมื่อเราเฝ้าดูเฝ้ารู้อยู่ เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาว่ามันเลื่อนไหลปรับแปรได้เหมือนน้ำขึ้นน้ำลงเมื่อเห็นเป็น

    คุณจะรู้จักความสุขจากการไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องทุรนทุรายในสถานการณ์แย่ๆ ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ฝังใจย้ำคิดย้ำทำอย่างไร้จุดหมาย มีการฝึกใดจะคุ้มค่าไปกว่านี้ แค่สังเกตทันว่าทุกข์ทางใจไม่เที่ยง ชีวิตทั้งชีวิตจะเริ่มเปลี่ยนออกมาจากภายในและเมื่อรู้จักความสุขจากการไม่เป็นทุกข์สักพักหนึ่ง คุณจะรู้จักความเย็นอันเป็นรสแห่งจิตที่ไม่ร้อน แม้ร้อนวูบวาบก็เย็นสงบราบคาบอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่โดยอาการกดข่มฝืนระงับ แต่เป็นไปโดยธรรมชาติของจิตที่มีสติกำกับดีแล้ว มีความเข้าใจดีแล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ว่าทุกข์นั้นๆจะอุบัติขึ้นจากเหตุใด อย่างไรก็ต้องดับลงได้เอง ขอเพียงไม่มีเชื้อเพลิงไปเติมต่อเท่านั้นนิยามของคนอารมณ์เย็นของคุณจะต่างจากคนอื่น คุณจะไม่ตัดสินว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์เย็นโดยปราศจากเครื่องพิสูจน์

     คนอารมณ์เย็นจริงใช่ว่าไม่โกรธเลย แต่เป็นคนที่เจอเรื่องกระทบแล้ว เกิดความโกรธแล้ว ไม่เห็นความโกรธเป็นตน แต่เห็นความโกรธเป็นสิ่งดับได้อย่างรวดเร็วเมื่อรักษาความเป็นคนอารมณ์เย็นได้นานพอ ในที่สุดคุณจะเลื่อนระดับ สามารถขยับขึ้นมาพิจารณาความจริงชั้นสูง นั่นคือทุกข์มีที่ตั้งอยู่ได้ก็เพราะมีกาย ทั้งความจริงที่ว่ามีกายตั้งอยู่ก็เป็นทุกข์ด้วยการหา และทั้งความจริงที่ว่ามีกายแตกดับก็เป็นทุกข์ด้วยการหวง เมื่อยังหวงก็ได้ชื่อว่ามีห่วงโซ่แห่งความอาลัย ก่อให้เกิดการมีกายใหม่มารับช่วงทุกข์ต่อไปอีกโดยย่นย่อ เมื่อยังต้องมีกายนี้และใจนี้อยู่ ก็ชื่อว่ามีห่วงโซ่แห่งการหลงเข้าใจผิดว่าเป็นตน ห่วงโซ่แห่งการหลงวนอยู่กับความไม่รู้ว่าวิบากกรรมมีอยู่ ย่อมดำเนินชีวิตแบบเด็กน้อยที่ไม่เคยรู้อีโหน่อีเหน่ ได้ดีบ้าง ตกยากบ้าง ประสบสิ่งที่ชอบใจบ้าง พบพานสิ่งที่ไม่ชอบใจบ้าง ก็ล้วนเป็นการรับผลแห่งการกระทำดีชั่ว ด้วยความไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทั้งสิ้น

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่ากายนี้เองเป็นทุกข์ ใจนี้เองเป็นทุกข์ เพราะรู้สึกนึกคิดอยู่ เพราะจำได้หมายรู้อยู่ และเพราะเจตนาทำดีทำชั่วอยู่ จึงชื่อว่ามีเหตุแห่งรูปนาม และสืบสายต่อเนื่องไปเรื่อยไม่รู้จักสิ้นสุดต่อเมื่อตั้งสติ ‘เห็น’ กายใจนี้ ยกจิตขึ้นสู่ระดับความเป็นปกติที่จะไม่สำคัญว่ากายใจนี้เป็นตัวตน นั่นเองจึงเป็นยอดแห่งการเห็น เพราะเห็นแล้วหลุดพ้นจากวังวนทุกข์ พ้นแล้วพ้นเลย ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกเลย เมื่อเห็นกายใจได้เหมือนเห็นก้อนหินและสายน้ำอยู่ห่างๆคุณจะรู้สึกเบาและแห้งสบายเหมือนที่ไม่แบกก้อนหินและสายน้ำไว้กับตัว
     
  2. ผงธุลี

    ผงธุลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +2,494
    สาธุ อ่านแล้วเจริญจิตได้ดี
     
  3. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ทุกข์ ในขันธบรรพ ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นธรรมารมณ์
    มีแบบข้างในกับข้างนอก เป็นคนละทุกข์ กันต่างกรรมต่างวาระ
    เราเข้าใจว่าทุกข์จะต่อเนื่อง มาจากอดีต หรือจากปัจจุบันไปอนาตค
    เพราะเราอุปปาทาน ในทุกข์
     
  4. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ไม่สุขไม่ทุกข์ ถ้าในขันธบรรพใน มหาสติปัฐานสูตรเป็นธรรมารมณ์
    เกิดจากผัสสะ กับอายตนะ เกิดแบบเดียว กับ สุข และทุกข์
    ถ้าเราอุปปาทานในเวทนาขันธ์ เราจะเข้าใจว่ามัน สันตะติ

    จริงๆแล้ว เราผลักไสสิ่งที่เราไม่ชอบใจออกไป ทุกคนแหละ
    อุปปาทาน ในเวทนา เป็นทุกข์
    ที่เป็นคนละอันกับทุกข์ก่อนหน้านี้
     
  5. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ขอประทานอภัย สงสัยจะแาดงความเห็นซับซ้อนไป
    เอาใหม่ ผมขออีกหน่อย

    คือปรกติทุกข์ที่เรากพลังเผชิญ อยู่ จะเป็นทุกข์ที่เกิดจากการอุปปาทาน ในเวทนา อะไรซักอย่างอีกที

    ต้องภาวนาหนักหน่อยจึงจะเห็นขัดๆ
    ทุกข์ แท้ๆเพียวๆ ไม่เอาอุปาทานจะเหมือนฌานสมาบัติ ที่คนอย่กได้อภิญญาชอบ หัด
    ทุกข์แท้ๆ ไม่อุปปาทาน จะมีอาการตกภะวังค์
    เวลามันดับ มันไม่ได้เกิดจากฌานกด มันหมดปัจจัย

    ดังนั้นเวลาภาสนาแล้วเห็นทุกข์แต่ทุกซ้ำ มักจะเกิดจาก
    ไม่ยอมรัย อยากเอาทุกข์นี้ห่อ ธรรมรมณ์อื่นไว้
    กำหนัดยอนดีในธรรมารมณ์อื่นๆ ต่าวตาก ที่หมายเอาว่าทุกข์ อันนี้
    จะเป็นปัจจัย
    พอภาวนาเห็นทุกข์จ้ตจะหลักไส เป็นธรรมชาติ ในอุปกาทานของจิต
    แต่เกิดทุกข์ เพราะ สิ่งที่โดยทุกข์นี่ๆๆๆๆ ผัสสะๆๆๆ นี้ๆ จะหายไป
    ทุกข์อันนี้ ที่ทุกข์กัน
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    คือทุกข์เป็นปัจจัยให้ธรรมารมณ์อื่น ที่ปราถนา
    เลยคิดว่าคุ้มที่จะทุกข์แค่นี้

    แต่ปรกติของทุกข์ จิตตรวจเจอจะผลักไสทันที
    เลยทุกข์
    ไม่งงนะ

    ดูที่ผัสสะ เพราะสองทุกข์ คือทุกข์ที่จิตกพลังจะดับมันสำเร็จ
    กับทุกข์ตัวใหม่ มันคนละผัสสะ คนละอายตนะ กัน
     
  7. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ทุกข์เหมิอนตกภวังค์ได้ไง
    คืองี้
    ผมเนียะเกิดอยากได้ฌานโน่นนี่นั้น
    เพราะได้แล้วพอใจชอบ อยากได้โน่นนี่นั่น
    ก็ภาวนาดีมาก ตกภวังค์ตลอด
    จะทรงฌานกะเค้า ตกภวังค์ทุกที อารมณ์ฌานเป็นธรรมมารมณ์

    มันมีข้างในข้างนอก เค้าถึงเรีนกเข้าฌาน เข้าลึก

    ทุกข์ก็เหมือนกัน อยากเห็นทุกข์ว่าจะดูทุกข์ให้ชื่นใจ
    แม่งตกภวังค์

    ภาวนาตกภวังค์ก็เป็นของดี ดีกว่าภาวนาเอานิวรณ์
     
  8. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    เห็นสิ่งใด จะไม่เป็นสิ่งนั้น
     
  9. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ขอประธานอภัยที่โต้แย้ง อย่าเพิ่งเชื่อนะ
    เห็นสิ่งใด จะไม่เป็นสิ่งนั้น ยัง เป็นแค่วิภวตัญหาอยู่เลย
    ถ้าภวานาอย่างนี้ คือ เอาเวทนา ห่อธรรมารมณ์อื่นๆที่กำหนัดไว้

    ต้องใช้ ม๊อตโต้ชนิด ทุกข์เป็นของมาได้ไปได้ ไรงี้แทน
     
  10. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    เราต้องหาเหตุผลให้ได้ ว่าทำไมเราเอาทุกข์ห่อของที่เรากำหนัดไว้
    เพราะทันทีที่เราเห็นทุกข์ เราก็จะผลักกไสอีก
    ก็ทุกข์อีก ทำสันตะติทำไม

    ธรรมใดเกิดแต่เหตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ตรสถึวเหตุแห่งธรรมนั้น แบะการดัยไปของธรรมารมณ์นั้นๆ

    ลังเลสงสัยได้ เราจะพบข้างในข้างนอก ตรงลังเลสงสัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...