พระอริยคุณคุณาธารย์( เส็ง ปุสโส )

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธีระนะโม, 9 เมษายน 2014.

  1. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,228
    เคยฟังในประวัติหลวงพ่อพุธ ฐานิโย เห็นกล่าวถึงพระอริยคุณคุณาธารย์( เส็ง ปุสโส ) อยู่บ่อยๆ พอทราบประวัติเบื้องลึกไหม บ้างก็ว่าท่านติดในญาณ เทสน์สนทนาธรรม ระหว่าง หลวงปู่หล้า กับ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ท้ายๆมีพูดถึงเจ้าคุณอริยะคุณาธาร( เส็ง ปุสโส ) ประวัติท่านเป็นยังไง <!-- Start svn --><!-- End svn -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Lacuna

    Lacuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3,132
    ค่าพลัง:
    +250
    ฐานิยตฺเถรวตฺถุ ๓
    เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ
    พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓


    ปี พ.ศ. ๒๙๘๐
    ไปธุดงค์กับพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส)
    ตอนนั้นเจ้าคุณอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ท่านเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่องค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ได้ออกธุดงค์จากสกลนครเพื่อเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม และกราบคารวะหลวงปู่เสาร์ จึงได้แวะเวียนมาเยี่ยมเพื่อนสหธรรมิกของท่าน คือพระอาจารย์หมุน โพธิญาโณ ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ เพื่อชักชวนกันออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานและปรารภเกี่ยวกับเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา และการปฏิบัติเพื่อหาทางพ้นทุกข์

    ส่วนหลวงพ่อตอนนั้นเป็นสามเณร เป็นเณรน้อยอยู่ที่นั่น ก็มีโอกาสได้พบกับพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ในขณะนั้นท่านอยู่ในตำแหน่งเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ ได้ออกไปตรวจการคณะสงฆ์แทนพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ในการที่ได้พบกับพระอริยคุณาธารครั้งนี้ ท่านก็ได้ชักชวนไปด้วย ท่านอาจารย์หมุนท่านก็ฝากให้อีกทีหนึ่ง ท่านก็ชี้มาทางเราว่า

    “ไปเณร ไปด้วยกัน จะพาไปกราบพระธาตุพนม ไปกราบหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ด้วยกัน จะพาไปฝากเรียนหนังสือ”


    จึงได้ออกเดินธุดงคกรรมฐานครั้งแรกกับเจ้าคุณอริยคุณาธาร ตอนนั้นท่านยังเป็นมหาเส็งอยู่ ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณฯ จากจังหวัดสกลนครเพื่อไปนครพนม นมัสการพระธาตุพนม รอนแรมไปตามป่าเขา ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น ในระหว่างการเดินธุดงค์ตลอดระยะทางก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านอาจารย์เนือง ๆ

    สมัยก่อนรถยนต์มันก็ไม่ค่อยมี เดินจนเท้าพองเท้าแตกหมด เหนื่อยก็เหนื่อย พอถึงที่ไหนพอสมควร ท่านก็พาพักตามร่มไม้ นั่งภาวนา เดินจงกรม ในขณะเดินทางก็เดินจงกรมไปด้วย พอใกล้พลบค่ำก็เตรียมที่พัก กางกลดกางมุ้งให้ท่าน ปัดกวาดบริเวณให้สะอาดเรียบร้อย ดูมดดูแมงว่ามีหรือไม่มี เสร็จก็เตรียมจัดน้ำใช้น้ำฉันไว้ให้ท่าน ถ้าท่าน้ำอยู่ใกล้ก็ไปจัดที่สรงน้ำ ถ้าภาระกิจรับใช้ท่านเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ท่านจะสั่งสอนอะไรเรา ก็รอฟังท่านก่อน ถ้าไม่มีอะไร ก็ทำวัตรสวดมนต์นั่งภาวนา เดินจงกรม จำวัด

    บางทีบางวันหลงทางหลงป่า เดินเท่าไหร่ก็ไม่ทะลุป่าซักที ท่านก็ให้ขึ้นต้นไม้ตะโกนเรียกชาวบ้าน เรียกพวกเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย พูด ๆ ไปแล้วก็สนุกดีเหมือนกัน การเดินธุดงค์

    จนล่วงเข้าสู่จุดหมายปลายทางที่จังหวัดอุบลราชธานี จึงแวะเข้าพักที่วัดบูรพาราม ที่วัดบูรพารามแห่งนี้ ท่านเจ้าคุณฯ ท่านคงพิจารณาเห็นว่า โดยตำแหน่งหน้าที่ เจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ มีหน้าที่จะต้องเดินทางออกตรวจการไปทุกจังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ หากจะต้องให้เราซึ่งเป็นเณรติดสอยห้อยตามไป ภารกิจคงจะไม่สะดวก ท่านก็เลยฝากเอาไว้ที่วัดบูรพาราม อุบลฯ ได้อยู่กับหลวงตาพร ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น
     
  3. Lacuna

    Lacuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3,132
    ค่าพลัง:
    +250
    พรรษาที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๙๐)
    จำพรรษา ที่
    วัดเขาสวนกวาง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น
    “พระคุณของท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารนี้
    เลิศล้ำภายในใจของหลวงพ่อเสมอ เพราะท่านเป็นพระองค์แรกที่พาให้รู้จักทางธรรม
    ซึ่งเป็นทางที่สงบระงับและเป็นทางเดินของจิตเพื่อพิชิตกิเลสจริง ๆ”
    วัดเขาสวนกวาง
    โดยเฉพาะกวางป่ามีมากจริง ๆ ผู้คนจึงนิยมเรียกว่าเขาสวนกวาง
    หลวงพ่ออยู่วัดเขาสวนกวาง ๑ พรรษา สมัยก่อนวัดนี้เป็นดงช้างดงเสือ เป็นป่าดงดิบจริง ๆ ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร ท่านเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ท่านเดินธุดงค์ผ่านมาในเขตทางจังหวัดขอนแก่น มาจนถึงเขาสวนกวาง เห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต สำหรับพระโยคาวจรผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ สถานที่ก็ดูรื่นรมย์ดีเหมาะสำหรับพระนักปฏิบัติ สงบสงัด เปลี่ยวกายเปลี่ยวจิต อีกทั้งยังมีสัตว์นานัปการ ช่วยส่งเสริมจิตใจนักภาวนาได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะเป็นผู้มุ่งหวังต่อความหลุดพ้นแล้ว สัตว์ ป่า เขา ความน่ากลัวและธรรมชาตินั้น ก็ช่วยผลักดันจิตใจนักภาวนา ให้สงบได้อย่างลึกลับ

    ป่าแถบนี้เป็นเขตเทือกเขาภูพาน เป็นป่าที่พระธุดงคกรรมฐานชอบเดินเที่ยววิเวก และเป็นภูเขาที่ทำให้พระธรรมดา ๆ เป็นพระอริยเจ้ามามากต่อมากแล้ว เขาเทือกนี้ทอดแนวยาวเหยียดมาจากทางอำเภอกุมภวาปี อุดรธานี
    ที่วัดเขาสวนกวางนี้เดิมเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก มันคงจะหนีความตายมาอยู่บนเทือกเขา มีพวกเสือ ช้าง กวาง โดยเฉพาะกวางป่ามีมากจริง ๆ ผู้คนจึงนิยมเรียกว่าเขาสวนกวาง
    สมัยก่อนนี้ สมัยหลวงพ่อไปอยู่กับท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร ไม่ค่อยมีผู้คน บ้านเมืองก็มีห่าง ๆ กัน บ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็มีไม่มากอย่างเช่นทุกวันนี้ เดินบิณฑบาตประมาณ ๒-๓ กิโลเมตร สถานที่ที่วัด เหมาะดี มีลำธารน้ำไหลผ่านตลอดปี มีเงื้อมหิน มีถ้ำให้นั่งภาวนาได้สะดวกสบาย ธรรมชาติที่นั่นสวยงามมาก

    ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารมีบุญคุณต่อหลวงพ่อมาก “ไม่มีท่านก็ไม่มีเราในวันนี้” เริ่มต้นมาจากท่าน ท่านแนะนำสั่งสอนให้อุบายสำหรับภาวนา ให้แง่คิดต่าง ๆ สอนเราทุกด้านทุกทาง บุญคุณของท่านเราจำไม่ลืม แม้ตอนที่ท่านสึกปี ๒๕๐๘ นั้น ก็ไปดูแลท่านตลอด กลัวท่านจะลำบาก เวลาท่านป่วยก็นำท่านมารักษานำมาอยู่ด้วยที่วัดป่าสาลวันจนกระทั่งตาย พิธีศพก็จัดให้เรียบร้อยอย่างดีทุกอย่าง

    คำสอนของท่านเรายังจำได้ไม่ลืม ทั้งตอนที่ออกธุดงค์กับท่าน ทั้งตอนที่มาอยู่กับท่านที่วัดเขาสวนกวาง จริตนิสัยท่านไปในทางทิพยอำนาจ ท่านติดฤทธิเดช ติดนิมิต เอานิมิตมาเป็นเรื่องจริง จิตท่านแปลกสามารถรับรู้อะไร ๆ ที่คนอื่นไม่รู้ และท่านก็ชอบเล่าเรื่องอดีตชาติ เรื่องเทวบุตร เทวดา เรื่องรู้วาระจิตท่านรู้จริง ๆ อันนี้มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์ มันก็สามารถเสื่อมได้ เพราะมันเป็นส่วนเกินอันหนึ่งในการภาวนาเท่านั้น พอท่านไปสนใจกับมันมาก ๆ ก็ทำให้หลงได้เหมือนกัน เหมือนกันกับสมาธิ สมาธิไม่ใช่ความบริสุทธิ์ สมาธิมันก็สามารถเสื่อมได้

    แต่สิ่งเหล่านี้เป็นทางเดินไปเพื่อความหลุดพ้น ใครจะเดินไปก็ต้องผ่านทางนั้นแต่จะติดจะหลงหรือไม่เท่านั้น ถ้าผู้มีวิจัยธรรมใคร่ครวญพินิจพิจารณา มีสติรอบด้าน มีปัญญารอบด้านก็จะไม่ติดสิ่งเหล่านี้

    พรหมวิหาร ๔
    สามารถเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา
    ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารตอนอยู่กับท่าน ท่านสอนให้เจริญพรหมวิหาร ๔ การภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นทางวิมุตติหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้นั้น เราต้องเจริญพรหมวิหาร ๔ ประการด้วยเสียก่อน

    เพราะการเจริญพรหมวิหารธรรมนี้ เป็นกรรมฐานที่สำคัญ สามารถเลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งสมาธิ เลี้ยงทั้งปัญญา อารมณ์จิตก็สบาย มีความเยือกเย็น เราจะเห็นได้ด้วยตนเองว่า เมตตาความรัก กรุณา ความสงสาร สองอย่างนี้ ก็สามารถจะคุ้มศีลให้เกิดความบริบูรณ์ทุกอิริยาบถ เพราะศีลทุกข้อทุกคำ จะทรงอยู่ได้ต้องอาศัยเมตตาและกรุณาทั้งสองอย่าง
    เมตตา แปลว่า ความรัก กรุณา แปลว่า ความลงสาร ถ้าเรามีความรัก มีความสงสาร เราก็จะไปทำลายชีวิตคนและสัตว์ไม่ได้ ลักขโมยหรือปล้นของเขาก็ไม่ได้ จะยื้อแย่งความรักจากคนอื่นก็ไม่ได้ พูดโกหกหลอกลวงก็ไม่ได้ สุรายาดองอันเป็นของมึนเมา เราก็ล่วงละเมิดไม่ได้ เมื่อทุกอย่างพร้อมมูล เราก็จะไม่สามารถกระทำความชั่วโดยขาดสติสัมปชัญญะ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในตอนหนึ่ง

    ทีนี้เรายังต้องมีหลักในการที่จะทรงอารมณ์ในสมาธิ คือ มุทิตา ความอ่อนโยน มุทิตานี้จะตัดความอิจฉาริษยาออกจากจิตใจ พลอยยินดีในเมื่อบุคคลอื่นได้ดีแล้ว ถ้านักปฏิบัติภาวนา ยังมีอารมณ์อิจฉาริษยาอยู่ ก็อย่ามาคุยว่าเป็นนักปฏิบัติ เพราะอารมณ์ริษยานี้เป็นอารมณ์ที่ร้ายแรงมาก เช่นเห็นคนอื่นได้ดี ใจอยู่ไม่เป็นสุข ทนไม่ได้ เกรงเขาจะดีเกินหน้าตาตัวไป ดังนั้นพระศาสดาเจ้าทรงสอนว่า ถ้าบุคคลใดมีมุทิตา ตัดอิจฉาริษยาออกไป ให้มันพ้นออกไปจากจิตใจ ความเร่าร้อนมันก็ไม่มี พลอยยินดีกับผู้ที่ได้ดี เขาต้องอาศัยบุญวาสนาบารมีของเขาเป็นสำคัญ อารมณ์มุทิตาจิตนี้สามารถสร้างความดีให้เกิดขึ้นให้เรามีความสุข

    อุเบกขา คือ ความวางเฉย เฉยต่ออารมณ์เฉพาะที่เข้ามายุ่งอยู่กับจิต อันที่เนื่องกับอารมณ์ที่ต้องการ อย่างเรากำหนดรู้อารมณ์กำหนดลมหายใจเข้า-ออก จิตมันหยุดอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า-ออกเพียงอย่างเดียว ไม่แส่ส่ายไปยุ่งเหยิงกับอารมณ์ภายนอกทั้งหมด คือไม่ไปสนใจกับรูป เสียง แสงสีต่าง ๆ อย่างใดทั้งสิ้น

    จะเห็นได้ว่า ผลของอุเบกขา คือ ความวางเฉยในด้านสมถภาวนา มีอารมณ์ทางจิตให้อยู่ทรงตัว มีอารมณ์จิตเป็นฌาน นักนิยมปฏิบัติภาวนา ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ในเรื่องอุเบกขา มิใช่ว่า คำอุเบกขานี้ปล่อยอุเบกขาไปเรื่อย จะเป็นจะตายไม่สนใจ อย่างบุคคลที่มีบุตรหลานมากคนด้วยกัน ถ้าเราปล่อยเฉย นั่งเคร่งอย่างไร้ปัญญา ลูกหลานเราเป็นเด็กซนดื้อ ส่อความชั่วออกมาให้เห็น แต่เราเชื่อความอุเบกขา เลยปล่อยเฉย ไม่ตักเตือนว่ากล่าว พยายามกดทับอุเบกขาอยู่ แต่ภายในจิตใจเที่ยววิ่งพล่านเช่นนี้เขายังไม่เรียกอุเบกขา

    มโนมยิทธิ
    มโนมยิทธิได้จากเจ้าคุณอริยฯ
    มโนมยิทธิได้จากเจ้าคุณอริยฯ...ท่านก็เคยให้พวกเรานั่งไปดูนรก ดูสวรรค์เหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้..ใช้ภาวนา

    การภาวนาหรือนั่งสมาธิไปดูนรกไปดูสวรรค์นั้น ตามตำรับของไสยศาสตร์มันมีแบบมีแผนให้ศึกษากัน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือ “กรรมฐานสิบสองยุค” ของเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฐ์ (ใจ ยโสธโร) รวบรวมไว้ที่วัดบรมนิวาส (กรุงเทพฯ) มันมีคาถาบทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าคาถาพระเจ้าเปิดโลก คาถาพระเจ้าเปิดโลกนี้ ตอนที่ ๒ หลวงพ่อจำได้ว่า ข้อความว่า

    พุทฺโธ ทีปงฺกโร โลกทีปํ วิโสธยิ
    ธมฺโม ทีปงฺกโร โลกทีปํ วิโสธยิ
    สงฺโฆ ทีปงฺกโร โลกทีปํ วิโสธยิฯ
    เมื่อว่าคาถานี้จบแล้ว ก็อธิษฐานในจิตในใจว่า
    พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า เป็นดวงประทีปส่องโลก ขอโปรดส่องทางนรกทางสวรรค์ให้ข้าพเจ้าเห็นจริงแจ่มแจ้งในกาลบัดนี้ด้วยเถิด

    พอเสร็จแล้วผู้บริกรรมภาวนา ถ้าจะไปดูนรก ก็นึกในใจว่า “นรก ๆ ๆ ๆ ๆ”
    ถ้าจะไปสวรรค์ก็ “สวรรค์ ๆ ๆ ๆ ๆ”
    ทีนี้พอจิตมันสงบเป็นอุปจารสมาธิ เกิดสว่างขึ้น ผู้ภาวนาจะมีอาการสั่นเหมือนกับผีสิง พอเสร็จแล้วสภาพจิตของผู้นั้นจะแสดงอาการไปดูนรก ไปดูสวรรค์ตามที่ต้องการ ตามแบบแผนตำรับตำราที่กล่าวไว้ ที่จำได้อันนี้ ได้เคยทดสอบพิจารณาดูแล้ว เมื่อใครก็ตาม ได้มานั่งภาวนาตามคาถาบทที่กล่าวมานี้ ไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้แล้ว สามารถที่จะเชิญวิญญาณต่าง ๆ เข้ามาทรงภายในตัวเองก็ได้ สามารถที่จะเชิญวิญญาณปู่ย่าตายาย หรือ ครูบาอาจารย์ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้เข้ามาสิง แล้วก็สนทนากับผู้ที่นั่งฟัง หรือผู้ที่ควบคุมการแสดงอยู่ อยากจะรู้ว่า คนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อย่างไรก็ได้

    ผู้นั่งสมาธิดูนรกดูสวรรค์นั้น สามารถที่จะนำชาวสวรรค์ชาวนรกมาคุยกับเราก็ได้ อันนี้เป็นวิธีอันหนึ่งสำหรับวิธีการภาวนา ไปดูนรก ไปดูสวรรค์ แต่มันจะจริงแน่นอนหรืออาจเกิดจากความจำก็ได้

    และอีกนัยหนึ่ง เขาใช้วิธีการที่เรียกว่า ปลุกพระ จะเอาพระเครื่องรางของขลัง เป็นพระเป็นเหรียญเป็นอะไรก็ตาม มากำไว้โนมือ แล้วก็บริกรรมภาวนาว่า นะ มะ พะ ทะ จนกระทั่งมีอาการสั่นขึ้น ในเมื่อมีอาการสั่นขึ้นแล้ว จะให้ไปเชิญวิญญาณที่ไหน ๆ ให้มาทรงก็ย่อมเป็นได้ แต่วิญญาณที่มาทรงนั้น เท็จจริงอย่างไรก็ไม่กล้ายืนยัน ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ บางทีสามารถเชิญกระทั่งวิญญาณของพระอรหันตพระพุทธเจ้ามาทรงก็ได้

    แต่สำหรับมติของหลวงพ่อนั้น เข้าใจว่า ในเมื่อประกอบพิธีเชิญวิญญาณขึ้นมา มันก็ต้องมีวิญญาณมาทรง แต่วิญญาณที่มาทรงนั้น จะใช่บุคคลที่เราเชิญมาทรงหรือเปล่า ในเมื่อทำพิธีกรรมแล้ว ต้องมีวิญญาณมาทรงอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้มิใช่ว่าจะเป็นไปได้หมดทุกคน แม้แต่ในสำนักทรงวิญญาณทั้งหลาย ผู้ที่ชำนาญในการเชิญวิญญาณทรง เขาก็มีกันเพียง ๒ คนเท่านั้น ในเมื่อผู้ใดต้องการรู้ต้องการทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องอดีต อนาคต ปัจจุบัน เขาก็ให้คนที่ฝึกเอาไว้นั้นแหละมาทำการทรง

    และอีกนัยหนึ่ง การทรงวิญญาณแบบฝรั่ง เขาเรียกว่าใช้วิธีการสะกดจิต คือ เอาเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ไม่เกิน ๑๕ ขวบ มาทำการสะกดตามแบบวิธีของเขา ในเมื่อเขาสะกดเด็กให้หลับแล้ว เขาสามารถที่จะใช้เด็กไปดูนรกดูสวรรค์ หรือไปติดต่อกับโลกข้างหน้าได้อย่างสบาย อันนี้ก็เป็นวิธีการอีกอันหนึ่งซึ่งก็แล้วแต่ผู้สะกด


    สมาธิที่ถูกต้อง
    ไม่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส ไม่เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์
    เรื่องทั้งหลายที่กล่าวมานั้น มิได้เกี่ยวเนื่องด้วยการทำสมาธิภาวนาตามแบบที่ถูกต้องซึ่งเรียกว่า สัมมาสมาธิ และขอให้ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจว่า การทำสมาธิตั้งแต่ขั้นปฐมฌานถึงขั้นจตุตถฌานนั้น มันยังเป็นสมาธิสาธารณะทั่วไปแก่ทุกลัทธิศาสนา และแก่ลัทธิที่มีการปฏิบัติสมาธิโดยทั่ว ๆ ไป

    เพราะฉะนั้น สมาธิของพระพุทธศาสนานั้น จึงอาศัยหลักศีลตามขั้นภูมิของแต่ละบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่นั้น เป็นหลักตัดสินว่า สมาธิของเขาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

    ขอให้ถือคติว่า สมาธิหรือการปฏิบัติธรรมอันใด ถ้าหากมันเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์ เป็นไปเพื่อการกระทำอะไรแปลก ๆ ต่าง ๆ เช่นอย่างการเป็นหมอดูด้วยสมาธิเป็นต้น พึงเข้าใจเถิดว่า มันเป็นมิจฉาสมาธิ ซึ่งออกนอกหลักพระพุทธศาสนา

    สมาธิในพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นสัมมาสมาธิ ที่ประกอบพร้อมด้วยองค์อริยมรรค ผู้ปฏิบัติเมื่อจิตประชุมพร้อมลงสู่องค์อริยมรรคแล้ว จิตจะดำเนินไปเพื่อความหมดกิเลสเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อความพอกพูนกิเลส ตามที่กล่าวมาแล้ว


    ฤทธิ์ อิทธิพล อำนาจ
    คนเราทุกคนมีฤทธิ์ มีอิทธิพล มีอำนาจอยู่ในตัว
    คนเราทุกคนมีฤทธิ์ มีอิทธิพล มีอำนาจอยู่ในตัวเพราะเราเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ

    ในชาติก่อน ๆ เราอาจจะเคยได้เป็นฤๅษีบำเพ็ญฌานบำเพ็ญตบะมาแล้ว เราก็ไม่ทราบได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฤทธิ์ อิทธิพลและอำนาจที่เราเคยบำเพ็ญมาในภพก่อนชาติก่อน จิตใต้สำนึกของเราจะเป็นผู้เก็บบันทึกเอาไว้ แล้วจะติดไปกับจิตของเราทุกภพทุกชาติไม่ว่าเราจะไปเกิดในที่ใด ภพใด

    เมื่อจิตใต้ลำนึกตื่นขึ้นมา มันมีลักษณะอย่างไร เราจะรู้สึกว่าจิตของเรานี้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ความเป็นผู้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะขยับไปทางไหน ในจิตของเราก็มีสติสำทับอยู่ทุกขณะจิต
    เราก้าวเดิน สติก็มาทำหน้าที่
    เรายืน สติก็มาทำหน้าที่
    เรานั่ง สติก็มาทำหน้าที่
    เรานอน สติก็มาทำหน้าที่
    เรารับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด สติก็จะมาพร้อมอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ

    ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า จิตใต้สำนึกตื่นขึ้นมาแล้ว จิตใต้สำนึกที่ตื่นขึ้นมา มีสติสัมปชัญญะ รู้ เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา จิตที่ไม่สติ เป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ได้ชื่อว่าเป็นจิตพุทธะ ถ้าสติสัมปชัญญะสมาธิเข้มแข็ง จิตก็จะเป็นผู้ตื่น คือตื่นตัวเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็มีความแกล้วกล้าอาจหาญชื่นบาน มีความยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ภายในจิตตลอดเวลา จึงกลายเป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นักปราชญ์ท่านเรียกว่า จิตพุทธะ พุทธะที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้ปฏิบัติสมาธิ ก็คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มาจากคำบาลีว่า พุทโธ พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ พุทโธ แปลว่า ผู้ตื่น พุทโธแปลว่า ผู้เบิกบาน
    เมื่อเรามีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ในจิตของเรา เป็นคุณธรรม คุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ทำจิตของเราให้เป็นพระพุทธเจ้า แต่พวกเราฟังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเรามาปฏิบัติตาม เราจึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวก คือสาวกผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม คือธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ในเมื่อทรงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมอยู่ในจิต ผู้ที่มีคุณธรรมอยู่ในจิต เขาย่อมจะมีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ตั้งใจที่จะละความชั่วประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ นี้คือคุณสมบัติที่จะเกิดจากการฝึกสมาธิ

    คำทำนายของท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร
    ต่อไปจะได้ไปสนทนาธรรมกับในหลวง
    ตอนนั้นเดินทางจากสกลนครไปอุดรฯ พอขึ้นนั่งรถ จิตมันก็ปรุงแต่งไปตลอดทาง มันปรุงขึ้นมาเหมือนกับว่าเราได้นั่งสนทนากับในหลวง เราถามท่านตอบ ถ้าท่านถามเราตอบ สลับกันไปจนกระทั่งถึงเมืองอุดรฯ ลงจากรถยนต์แล้วจะไปต่อรถไฟ จิตมันถึงได้หยุด

    พอไปถึงเขาสวนกวางก็ไปกราบท่านเจ้าคุณอริยะฯ ท่านก็ทักว่า

    “นี้..มหาต้องฟิตตัวให้ดีนะ ต่อไปจะได้ ไปสนทนาธรรมกับในหลวง ในพระบรมมหาราชวัง"

    ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๐


    เผาศาลเจ้าปู่
    เฮ้ย! มึงไปเผาบ้านเจ้าปู่วอดวายหม้ด
    ตอนนั้นสมัยอยู่กับเจ้าคุณอริยะฯ สมัยพุทธศักราช ๒๔๙๐ ท่านให้เอาของไปเซ่นศาลเจ้าปู่ ชื่อ ศาลเจ้าปู่ผึ้ง

    สาเหตุคือพ่อปู่นี่ (หมายถึงผี) มาเข้าสิงคนมานั่งสมาธิไปดูนรกสวรรค์นั่นแหละ บอกว่าอยากมาอยู่ใกล้ ๆ นี่ ท่านก็เลยส่งให้คนไปสร้างศาลให้ ทีนี้พอสร้างศาลเสร็จ เจ้าปู่ก็มาอีก มาชี้บอกว่า

    “ให้หลานชายนี้ (พระมหาพุธ) ให้เอาโอวัลติน ขนมปัง หมาก บุหรี่ไปส่งทุกวัน ปู่ก็จะเสวยวันละหนเหมือนกันกับพระที่ฉันวันละครั้ง ส่งวันละครั้งก็พอ”

    เรา (พระมหาพุธ) ก็ไป ท่านสั่งก็ไป ไปก็ไป ทีแรกไปวางเอาไว้ ไปวันหลังเห็นแต่มดมันกิน มาภายหลัง

    เออ! ถ้าอย่างนี้เรากินดีกว่า

    วันสุดท้ายมื้อสุดท้าย เราก็ฉันขนมปัง โอวัลติน เคี้ยวหมาก ดูดบุหรี่เสร็จแล้วก็ไปเอาใบพวงใบใหญ่ ๆ มา เก็บเอาหญ้าแห้งแถว ๆ รอบ ๆ นั้นแหละมามวนเป็นบุหรี่ วันนั้นเอาน้ำมันเบนซินไปด้วย ขอน้ำมันเบนซินจากรถเขา ทีนี้ลมมันมาทางนี้ เราก็จุดบุหรี่มวนใหญ่ ๆ แล้วก็เอาไปเสียบไว้ทางด้านลมมันพัด กระป๋องน้ำมันก็เอาไปวางไว้ในศาลเจ้าปู่ พอลมมันพัดมาแรง ๆ วูบ ๆ ไฟมันลุกติดพรึบ! ศาลเจ้าปู่ก็แหลกเกลี้ยงหมดเลย ตอนนั้นเราเป็นพระอยู่นี้แหละ ศาลนั้นก็อยู่ในวัด ก่อนจะเผานี้สวดมาติกาบังสุกุลก่อนนะ

    พอตอนท่านเจ้าคุณฯ กลับมา ท่านยังไม่รู้ ภายหลังมา วันหลัง ท่านจะให้เราเอาไปส่งอีก

    “อู๊ย! ไปส่งทำไมหนอ ท่านปู่ท่านนิพพานไปแล้ว เจ้าปู่ท่านเสด็จสวรรคตไปแล้ว ผมทำฌาปนกิจถวายพระเพลิงท่านตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”

    ท่านก็เลยนิ่งอึ้ง... พอฉันจังหันเสร็จ ท่านก็เดินไปดูสิ

    “เฮ้ย! มึงไปเผาบ้านเจ้าปู่วอดวายหม้ด”



    กตัญญูต่อครูบาอาจารย์
    มะรืนนี้ฉันจะไปรับมารักษาที่โคราชดีกว่า
    ตอนที่ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารท่านสึกแล้ว ท่านอยู่เขาสวนกวาง ท่านให้เขาเขียนจดหมายไปหาเจ้านายองค์หนึ่ง อยากจะไปขอความอนุเคราะห์ แล้วท่านก็บอกว่าเป็นเชื้อพระญาติพระวงศ์

    ทีนี้พอไปเจ้านายองค์นั้นท่านก็ไม่รู้เรื่อง ก็กลับมา มาหาหลวงพ่อที่นี้ ท่านอยากจะไปรักษาตัวที่เมืองอุบลฯ หลวงพ่อก็เลยลงไปกับลูกศิษย์ท่านบอกว่า

    “ให้ไปเรียน ไปบอกให้ท่านรู้ว่า มะรืนนี้ฉันจะไปรับมารักษาที่โคราชดีกว่า”

    พอเสร็จแล้วก็เอารถไปรับท่าน ตอนที่ขึ้นรถมา ท่านเดินไม่ไหว ให้ผู้จัดการธนาคารเอเซียเอาท่านมาไว้ที่กุฏิน้อย ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาล ทีนี้พอเสร็จแล้ว พอมารักษาดีขึ้น ๆ เอ้า! หลานชายท่านก็มาเอาไปหาหมอจีน เสร็จแล้วก็ทรุดลงอีก ตอนนี้เอาเข้าโรงพยาบาล

    เข้าโรงพยาบาลแล้วเราก็ไปเยี่ยม เอ้อ! แข็งแรงหน่อยแล้ว อยากจะออกจากโรงพยาบาล เอาออกก็เอาออก ก็เลยขออนุญาตหมอเอาออกมา ทีนี้ก็เอามาก็เดินตอนเช้า ๆ เย็น ๆ ท่านก็เดินรอบวัดได้ แข็งแรง จากนั้นหลานชายคนเดิมนั้นก็เอาท่านไปหาหมอผีที่ต้นตาลคู่ ก็ไปทรุดลงอีก เอาเข้าโรงพยาบาลก็สั่งหมอไม่ให้ออกแล้ว

    ร้องไห้ทำไม
    ท่านบอกว่า “อายท่านเจ้าคุณฯ”
    ครั้งสุดท้ายก็เลยตายในโรงพยาบาล ท่านป่วยเชิง ๆ จะเป็นอัมพาต ไปเยี่ยมทีไรร้องไห้ทุกที
    ถามว่า “ร้องไห้ทำไม”
    ท่านบอกว่า “อายท่านเจ้าคุณฯ”
    เราก็นึกถึงคำพูดของท่าน สมัยที่ท่านเอาเรามาทิ้งไว้ที่วัดบูรพาฯ ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านบอกว่า
    “ถ้าตัวเป็นคนดีเขาจะทิ้งหรือ”
    ไหนว่าจะฝากไว้เรียนหนังสือหนังหา ที่แท้ก็ทิ้งกัน ทิ้งก็ทิ้ง เราก็ตั้งใจอยากอยู่ อยู่แล้ว เราก็เลยมาคิดว่า ท่านคงคิดถึงคำพูดของท่านเอง สมัยที่ท่านทิ้งเอาไว้ที่วัดบูรพาราม

    ท่านก็ให้วิชาความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเยอะแยะ ถ้าพูดถึงว่าธัมมะธัมโมของท่านนี้ละเอียดสุขุมมาก เช่น หนังสือทิพยอำนาจ หนังสือทิพยอำนาจเขียนในขณะที่ใคร ๆ ว่าท่านเป็นโรคประสาท ท่านไปติดในเรื่องการระลึกชาติ ท่านไปติดว่าท่านเป็นเจ้า ทีนี้ความรู้อดีตกับปัจจุบันมันตัดกันไม่ขาด มันก็เลยสัมพันธ์เป็นอันเดียวกัน

    ท่านบอกว่า แม่ของท่านทุกวันนี้ไม่ใช่แม่ เขามาฝากเลี้ยงไว้เฉย ๆ เราก็สงสัย พอแม่ท่านมาก็ถาม

    “ท่านเจ้าคุณฯ ท่านว่าไม่ใช่แม่ใช่มั๊ย เขาเอามาฝากเลี้ยงไว้”

    แม่ท่านก็บอกว่า

    “ออกมาจากท้องแม่นี้แหละ”

    หลวงพ่อไม่ไปอยู่ใกล้ ๆ ท่าน เวลาท่านพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องอดีตที่เราไม่รู้ไม่เห็นด้วย ตอนนั้นอยู่วัดเขาสวนกวางพรรษาเดียว ที่ไม่อยากอยู่นั่นก็เพราะท่านชอบพูดเรื่องลึกลับที่ชาวบ้านไม่เห็น แล้วเราก็ไม่อยากให้ท่านพูด ทิฏฐิมันขัดกัน
     
  4. Lacuna

    Lacuna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3,132
    ค่าพลัง:
    +250
    (จากหนังสือปริศนาธรรมคำสอน หลวงพ่อเกษม สนฺตจิตฺโต วัดเขาสนามแจง จ.ลพบุรี เรียบเรียงโดยพระปริญญา ธีรปญฺโญ)



    เมื่อได้กล่าวถึงหลวงพ่อเชยแล้ว ข้าพเจ้าก็จะนำเรื่องที่ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังมาเขียนไว้ในที่นี้ด้วย เผื่อที่เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นประโยชน์แก่อนุชนคนรุ่นหลังได้บ้าง เพราะถ้าไม่บันทึกเอาไว้เสียแล้วเรื่องเหล่านี้ก็จะสูญหายไปเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง


    เช่นเรื่องหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านได้ยินชื่อเสียงของท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) แห่งวัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ท่านจึงมีความตั้งใจอยากที่จะไปศึกษาธรรมะกับท่านบ้าง หลวงพ่อเชยเล่าว่า ท่านได้เดินทางไปโคราชผ่านดงพญาเย็นในสมัยนั้นด้วย ท่านค้างพักแรมอยู่ในป่าสองวัน


    เมื่อได้เดินทางมาถึงวัดเขาสวนกวาง ก็ได้พบกับท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร เมื่อกราบท่านเสร็จหลังจากแนะนำตัวบอกความประสงค์ที่เดินทางมาให้ท่านทราบแล้ว ท่านเจ้าคุณได้บอกกับหลวงพ่อเชยว่า ก่อนที่ท่านจะมาถึง ท่านได้แวะพักอยู่ในป่าแถวดงพญาเย็นหรือเปล่า ครับผมได้นอนค้างคืนอยู่ที่นั่นสองคืน ท่านเจ้าคุณจึงบอกว่า ท่านรู้หรือเปล่า ท่านได้ถูกคุณไสยมันทดลองวิชาปล่อยของมาใส่ท่านตั้งสองคืน ท่านยังไม่รู้ตัวอีก ดีนะที่มีพระมาช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นท่านแย่แน่แล้ว


    หลวงพ่อเชยก็สงสัยว่ามีพระที่ไหนหนอมาช่วยเอาไว้ จึงถามท่านเจ้าคุณ ท่านจึงตอบว่า ก็พระธุดงค์สมัยก่อนที่ท่านมรณภาพไปแล้วและไปเกิดในพรหมโลก พระพวกนี้ส่วนมากได้ญาณและเคร่งครัดในธุดงค์ เมื่อท่านละสังขารจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังชอบช่วยเหลือพระธุดงค์ทั้งหลายอยู่เสมอ จะคอยสอดส่องดูแลว่าจะมีพระองค์ใดที่มีปฏิปทาถือธุดงค์คล้ายกันกับเราบ้าง เมื่อพบแล้วก็ให้ความคุ้มครอง และคอยช่วยเหลือเมื่อมีภัยต่าง ๆ โดยที่บางครั้ง พระเราที่อยู่ป่าออกธุดงค์อาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ หลวงพ่อเชยมีศรัทธาในท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารเป็นอันมากและได้อยู่ศึกษากับท่านเป็นเวลาหลายวัน ก่อนที่จะกราบลาไปศึกษาต่อกับหลวงปู่ฝั้น อาจารโร ที่วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร แต่ท่านเจ้าคุณ ได้ทำนายไว้ว่า ท่านจะได้พบหลวงปู่ฝั้นที่วัดอื่นขณะเดินทางไปโดยบังเอิญ และหลวงปู่ฝั้นให้ท่านไปพักอยู่ที่ถ้ำขามแทน
     
  5. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,228
    เรา (พระมหาพุธ) ก็ไป ท่านสั่งก็ไป ไปก็ไป ทีแรกไปวางเอาไว้ ไปวันหลังเห็นแต่มดมันกิน มาภายหลัง

    เออ! ถ้าอย่างนี้เรากินดีกว่า

    วันสุดท้ายมื้อสุดท้าย เราก็ฉันขนมปัง โอวัลติน เคี้ยวหมาก ดูดบุหรี่เสร็จแล้วก็ไปเอาใบพวงใบใหญ่ ๆ มา เก็บเอาหญ้าแห้งแถว ๆ รอบ ๆ นั้นแหละมามวนเป็นบุหรี่ วันนั้นเอาน้ำมันเบนซินไปด้วย ขอน้ำมันเบนซินจากรถเขา ทีนี้ลมมันมาทางนี้ เราก็จุดบุหรี่มวนใหญ่ ๆ แล้วก็เอาไปเสียบไว้ทางด้านลมมันพัด กระป๋องน้ำมันก็เอาไปวางไว้ในศาลเจ้าปู่ พอลมมันพัดมาแรง ๆ วูบ ๆ ไฟมันลุกติดพรึบ! ศาลเจ้าปู่ก็แหลกเกลี้ยงหมดเลย ตอนนั้นเราเป็นพระอยู่นี้แหละ ศาลนั้นก็อยู่ในวัด ก่อนจะเผานี้สวดมาติกาบังสุกุลก่อนนะ

    พอตอนท่านเจ้าคุณฯ กลับมา ท่านยังไม่รู้ ภายหลังมา วันหลัง ท่านจะให้เราเอาไปส่งอีก

    “อู๊ย! ไปส่งทำไมหนอ ท่านปู่ท่านนิพพานไปแล้ว เจ้าปู่ท่านเสด็จสวรรคตไปแล้ว ผมทำฌาปนกิจถวายพระเพลิงท่านตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”
    ชอบๆ555นี่คือธรรม....
     
  6. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051

แชร์หน้านี้

Loading...