แฉความลับ (ทหารปฏิรูปประเทศไทย)

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 15 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    11 เม.ย.57 เผย..เราเป็นไทย เรามาจากไหน และอัศจรรย์พระสยามเทวาธิราช

    คำว่า “กษัตริย์” หมายถึง นักรบหรือผู้ป้องกันภัย นั่นเป็นเพราะว่าในอดีต กษัตริย์จำเป็นต้องรบเพื่อขยายอาณาเขตหาเมืองขึ้น หาที่ทำกินให้ราษฎร หาที่อยู่อาศัยให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เมื่อได้อาณาเขตแล้ว ท่านก็ให้การปกป้องผู้อยู่ใต้ร่มโพธิสมภาร แผ่บารมีคุ้มครองไม่ให้มีภัยใด ๆ มาเบียดเบียนราษฎร จากภัยข้าศึกศัตรู ภัยจากธรรมชาติ หรือแม้แต่กระทั่งโรคภัยไข้เจ็บ

    ประมาณปี พ.ศ.601 โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นชาวอินเดียได้สมรสกับนางพญาขอม และต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ครอบครองดินแดนของนางพญาขอม ทำการปกครองบ้านเมืองจนทำให้ขอมเจริญขึ้นตามลำดับ มีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปมากขึ้น และได้ยกกำลังไปตีอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของละว้าได้ แล้วก็เข้าตีอาณาจักรทวาราวดีต่อ

    ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.1600 กษัตริย์พม่าที่มีความสามารถ คือ พระเจ้าอโนธรามังช่อ ได้ยกกองทัพมาตีอาณาจักรมอญไว้ในอำนาจได้ แล้วก็ยกทัพล่วงเลยเข้ามาตีอาณาจักรทวาราวดีและมีอำนาจครอบครองทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อำนาจของขอมเดิมก็สูญสิ้นไป ต่อมากษัตริย์พม่าสมัยหลังเสื่อมความสามารถ และมักแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน เปิดโอกาสให้แว่นแคว้นต่างๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้น ตั้งตัวเป็นอิสระได้ อำนาจของพม่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็พลอยเสื่อมโทรมดับสูญไปด้วย

    ช่วงนี้ พวกไทยจากน่านเจ้า ได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้น คนไทยเหล่านี้ก็เริ่มจัดการปกครองกันเองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฝ่ายขอมก็หวลกลับมาจัดการปกครองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างสิทธิแห่งการเป็นเจ้าของเดิม เนื่องจากชาวไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ยังไม่มีอำนาจเต็มที่ ขอมจึงบังคับให้ชาวไทยส่งส่วยให้ขอม คนไทยที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ไม่กล้าขัดขืน จึงยอมส่งส่วยให้แก่ขอมโดยดี ทำให้ขอมได้ใจ และเริ่มขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือ

    ประมาณปี พ.ศ.1111 แคว้นโยนก เป็นเมืองที่สง่างาม ต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อมตั้งขึ้นเป็นแคว้น ชื่อโยนกเชียงแสน มีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนาทางใต้จดแคว้นหริภุญชัย ถือตนว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของขอมมาก่อน จึงไม่ยอมส่งส่วยให้ตามที่ขอมบังคับ ขอมจึงใช้กำลังเข้าปราบปรามนครโยนกได้สำเร็จ ขอมจึงสามารถแผ่อำนาจขึ้นไปจนถึงแคว้นโยนก พระเจ้าพังคราช กษัตริย์แห่งโยนก ได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเวียงสีทอง

    ต่อมา พระเจ้าพรหม พระโอรสพระเจ้าพังคราช ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญ ได้สร้างสมกำลังผู้คน ฝึกหัดทหารจนแกร่งกล้าชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอมอีกครั้ง โดยไม่ยอมส่งส่วยให้ขอม เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ตีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไป และยังได้แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอมอีก ได้ถึงเมืองเชลียง และไปถึงลานนา ลานช้าง แล้วอัญเชิญพระราชบิดา พระเจ้าพังคราช กลับไปครองโยนกนาคนครเดิม

    แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระเจ้าพรหม เองนั้น ลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐา คือ เจ้าทุกขิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่นๆ อีกหลายเมือง เช่น เมืองชัยนารายณ์ นครพางคำ ให้เจ้านายองค์อื่นๆ ปกครอง ต่อมา พระเจ้าทุกขิตราช ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี ส่วนโอรสของพระเจ้าพรหม ก็ได้ครองเมืองชัยปราการต่อมา

    ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบขอมที่กำลังอ่อนแอ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะแผ่ขยายอาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ อาณาเขตของไทยและขอม จึงประชิดกันอยู่เฉยๆ ต่อมา เมื่อสิ้นพระเจ้าพรหม แห่งนครชัยปราการ กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอ และหย่อนความสามารถ นครอื่นๆ ก้เสื่อมด้วย เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำ

    ในปี พ.ศ.1731 มอญกรีฑาทัพใหญ่ มาบุกอาณาจักรขอมจนได้ชัยชนะ ก็เลยเข้ามารุกรานไปถึงเมืองอื่น ๆ ในแคว้นโยนกเชียงแสน จนไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย ช่วงนั้นปรากฎว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วมขึ้นอีก บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้ว พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทองเพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่า ขาดผู้ปกครอง

    ในระหว่างที่ฝ่ายไทย กำลังระส่ำระสาย เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองละโว้ ถือสิทธิ์เข้าครองแคว้นโยนกไปเลย แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้น ให้ส่งส่วยให้แก่ขอม ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นสองสาย

    สายแรก น้องชายต่างมารดากัน ชื่อพระเจ้าไชยสิริ อพยพไปทางเมืองแปน (เมืองเก่าในจังหวัดกำแพงเพชร) และตั้งตนเป็นใหญ่ครองเมืองอยู่ในที่นั้น ระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่าชัยภูมิไม่เหมาะ เพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐม

    สายที่สอง พ่อขุนผาเมือง อยู่เวียงสีทวง (อยู่เขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ตอนเมืองถูกขอมตีแตก ท่านจึงอพยพข้ามลำน้ำโขง มาทางเวียงของหลวงพระบางเวียงจันทน์ แล้ววกข้ามฝั่งไทยไปทางวังสะพุง จังหวัดเลย ล่องมาตามลำน้ำป่าสัก ตีนครเดิด ตีเมืองศรีเทพ จากพวกขอม แล้วกลับไปตังเมืองรวมกำลังอยู่ที่เมืองราด ชาวเมืองจึงขนานนามท่านว่า “พ่อขุนผาเมือง”

    ญาติของพ่อขุนผาเมืองอีกคนหนึ่ง เป็นลูกของน้าชาย ที่เหมือนพระสหายที่ถูกคอ คือ อ้ายท่าวได้อพยพมาตั้งมั่นอยู่ทางเมืองวังกวาง ( เมืองบางยาง อยู่ในอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก) จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้น ด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสม และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ ตั้งตนเป็นใหญ่ชาวเมืองขนานนามว่า พ่อขุนบางกลางหาว ในช่วงแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น ก็ต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม เพราะขณะนั้นไทยยังไม่มีอำนาจ

    ด้วยเหตุที่ว่ามีราชวงศ์เชื้อสายโยนก อพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น ในเวลาต่อมาเมื่อคนไทยอพยพลงมา จากน่านเจ้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้นครไทยมีกำลังมากตามไปด้วย

    พ่อขุนผาเมือง เป็นกษัตริย์นักรบรูปงาม และเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ดังนั้นกษัตริย์ขอมจึงปรารถนาที่จะได้พระองค์ไว้เป็นราชบุตรเขย มีอุบายยกพระราชธิดาให้ ขึ้นปกครองเมืองสุโขทัย หวังให้พระราชบุตรเขยนี้เป็นกษัตริย์ของขอมด้วย ด้วยอุบายนี้ พ่อขุนผาเมือง ก็ทำเหมือนไม่รู้เท่าทัน จึงยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นพระราชบุตรเขยของกษัตริย์ขอม ด้วยมองเห็นช่องทาง ที่จะเอาชนะอำนาจของขอมได้

    ในปี พ.ศ.1800 ชาวไทย เกิดความคิดที่จะสลัดแอกจากการปกครองของขอม ดังนั้น พ่อขุนผาเมือง จึงได้ชักชวน พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เป็นญาติและน้องเขย เข้าร่วมกันวางแผนกอบกู้อิสรภาพให้แก่คนไทย แผนการล่อขอมออกจากเมืองสุโขทัย จึงได้ถูกวางขึ้นโดย

    โดยพ่อขุนบางกลางหาว นำกำลังจากเมืองบางยาง เดินทางปางชาติตระการ ผ่านบ้านดง บ้านแสนขัน บ้านนาป่าคาย บ้านนาลับแลง บ้านท่าเสา เข้าทางทุ่งยั้ง และเข้าตียึดเมืองศรีสัชนาลัย และยึดไว้เป็นฐานที่มั่น ส่วนพ่อขุนผาเมืองนำกำลังไปกวาดต้อนผู้คน แถวเมืองบางขลัง ที่อยู่ตอนใต้เมืองศรีสัชนาลัย เข้าไปสมทบกันที่เมืองศรีสัชนาลัย

    เมื่อกองทัพขอมหลงกล ออกจากกรุงสุโขทัยมาชิงเมืองศรีสัชนาลัยคืน พ่อขุนบางกลางหาวได้ทำทีว่าสู้รบอยู่ที่เมืองศรีสัชนาลัย โดยนั่งคอช้างออกตระเวนดูแนวรบ สมัยนั้นยังไม่มีชื่อว่า “สุโขทัย” พ่อขุนผาเมืองนำกำลังเข้าตีเมืองเดิด เมืองแก่งหลวง เมืองโสโห และเมืองโรงโหง แล้วจึงนำกำลังเข้าตีขนาบกองทัพขอมทั้งสองด้าน โดยมีกำลังของพ่อขุนบางกลางหาว ยกออกจากเมืองศรีสัชนาลัย ตีไล่จนชนะกองทัพขอมได้โดยเด็ดขาดหนีพ่ายออกไป

    เมื่อกองทัพไทยชนะขอมที่เมืองสุโขทัยแล้ว พ่อขุนผาเมืองก็กลับเมืองราด โดยอันเชิญให้ พ่อขุนบางกลางหาว เป็นปฐมกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ โดยเสียสละไม่ยอมขึ้นครองเป็นกษัตริย์เสียเอง เพราะมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าว่า หากตนเองเป็นกษัตริย์แล้ว ก็ย่อมที่จะตกอยู่ในอำนาจขอม และจะเป็นที่หวาดระแวงในกลุ่มคนไทยด้วยกัน และขุนบางกลางหาวผู้เป็นน้องเขย แลเป็นพระญาติสนิท จึงประวิงให้คิดว่า เมืองสุโขทัย ยังมิได้เอาใจออกห่าง เพื่อให้โอกาสกษัตริย์องค์ใหม่ฟื้นฟูแผ่นดิน

    นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้า สุโขทัย จึงกลายเป็นนครหลวงแห่งแรกของประชาชนเชื้อสายไทย มีความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย ตลอดมา

    พ่อขุนผาเมือง ถูกพระมเหสี ที่เป็นขอม รบเร้าให้ยกกองทัพไปชิงเอาเมืองสุโขทัยกลับคืนมาให้ได้ จึงทำให้พระองค์หนีออกจากเมืองราด ล่องไปตามลำน้ำป่าสัก พร้อมกับพระชายาเดิม ซึ่งเป็นคนไทย แล้วไปพักอยู่ที่เมืองศรีเทพ ระยะหนึ่ง พระมเหสีพอรู้ว่าพ่อขุนผาเมืองหนีออกจากเมืองราด ก็รู้สึกโกรธแค้นถึงกับขนาดทำการเผาเมืองราด แล้วออกติดตามพระสวามี

    ตลอดการเดินทางนั้น พ่อขุนผาเมืองได้พลางตัวเป็นคนสามัญ เดินทางไปในที่ต่างๆ ต่อไปทางเมืองเวียงจันทน์ เมืองไชย เมืองเชษฐ เดินทางรอนแรมไปอยู่เป็นเวลานับปี ในที่สุดพ่อขุนผาเมืองก็หยุดพักอยู่ที่เมืองละเม็ง เป็นแหล่งสุดท้าย ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ทางตอนเหนือของเมืองเชียงแสน ตัดกังวล หันมาสร้างบุญกุศลโดยบูรณะพระธาตุจอมกิตติ อันเป็นพระธาตุที่ปู่ของพระองค์ คือ พระเจ้าพังคราช นั่นเอง

    แล้วพระองค์ก็เข้าสู่ภูมิในโลกทิพย์ ณ สถานที่สำคัญแห่งนั้น ความเสียสละเพื่อแผ่นดินและชนชาติไทยนั้น พระองค์ได้บำเพ็ญบุญญาธิการ จนได้นิมิตเป็น “พระสยามเทวาธิราช “ คอยปกป้องคุ้มครองแผ่นดินสยาม สืบต่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ โดยมีพ่อขุนเม็งราย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นผู้ช่วยเหลือในภพของเทพยดา

    ท่านใดหากมีโอกาสแนะนำไปสักการะ อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว วัดกลาง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก , อนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ,อนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพ่อขุนผาเมือง สี่แยกหล่มสัก เพชรบูรณ์ ก็จะเป็นมงคลกับชีวิต และได้ทบทวนถึงที่มาของตัวตน ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน !!

    ต่อมาอีกหลายร้อยปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ราชวงศ์จักรี ทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยมีเหตุการณ์ร้าย เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่ก็มีเหตุให้รอดพ้นได้เสมอ น่าจะมีเทพยดาคอยพิทักษ์รักษาอยู่ สมควรสร้างรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นไว้สักการบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ นายช่างเอก ทรงปั้นรูปเทพยดาที่มีลักษณะเป็นเทวรูปหล่อยืน หล่อด้วยทองคำทั้งพระองค์ งดงามได้สัดส่วนสูง ประมาณ 8 นิ้ว

    ทรงเครื่องกษัตริยาธิราช พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นจีบพระดรรชนีเสมอพระอุระ องค์พระสยามเทวาธิราชสถิตในเรือนแก้ว ทำด้วยไม้จันทน์แบบวิมานเก๋งจีน มีคำจารึกที่ผนังเบื้องหลังเป็นอักษรจีนแปลความว่า เทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ แล้วทรงถวายพระนามว่า “พระสยามเทวาธิราช” ปัจจุบันประดิษฐาน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง พระสยามเทวาธิราช จึงเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองไทยที่สำคัญมี 3 อย่างคือ ศาลหลักเมือง, พระแก้วมรกต และพระสยามเทวาธิราช ผมเคยเล่าตอนที่แล้วเรื่องศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ ที่มีการแก้เคล็ดอาถรรพ์ ลงเสาหลักเมืองฯ ใหม่อีกครั้งในรัชการที่ 4 ( ดูที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227151537474881.1073741966.187529244770444&type=3 ) และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเอง ท่านทรงเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์มาก เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกประการหนึ่ง ที่รัชกาลของท่าน ได้สร้างองค์พระสยามเทวาธิราช ที่มีประวัติทางประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับ พ่อขุนผาเมือง

    ผมเคยบอกในตอนก่อนแล้ว ประเทศเทศไทยไม่เหมือนชาติอื่น มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา มีความอัศจรรย์มากมายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ที่ทรงเป็นนักรบหรือผู้ป้องกันภัย ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เจริญรุ่งเรืองตลอดมา กว่า 800 ปีแล้ว ทุกพระองค์เป็นเหมือนเทวดาอารักษ์ ที่ลิขิตให้หมุนเวียนกันประสูติ แล้วมาเป็นกษัตรย์ ปกป้องราษฎร ลูกหลาน เหลน ของพระองค์จากที่เคยตกอยู่ภายไต้การปกครองของมอญ พม่า ขอม มาก่อน

    การกอบกู้อิสรภาพให้แก่คนไทย ทุกครั้งมีกษัตริย์เป็นผู้นำ ครั้งแรกจากขอม โดยพ่อขุนบางกลางหาว และพ่อขุนผาเมือง , ครั้งที่ 2 จากพม่า โดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , ครั้งที่สามจากพม่า โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เราทุกคนที่เกิดมาและรู้สึกจงรักภักดี กับสถาบันกษัตริย์อย่างประหลาด นั่นหมายถึงได้ว่า ในอดีตชาติท่านอาจเคยเป็นทหาร เป็นราษฎร ของพระมหากษัตริย์ ในสมัยต่างๆ เหล่านั้น แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดมาซ้ำอยู่ในชาตินี้ และคงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อย่างมิรู้คลาย และไม่อาจหาเหตุผลได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่มันเกิดจากจิตสำนึกเบื้องลึกโดยสัญชาติญาณตนเอง..อธิบายไม่ได้

    ส่วนพวกที่หมิ่น จาบจ้วง และอาฆาตมาตรร้าย สถาบัน พวกนี้อดีตชาติ อาจเคยเป็นพม่า มอญ ขอม ที่หมุนเวียนว่ายตายเกิดมาในชาตินี้ เคยสังเกตไหมว่านรลักษณ์ คนพวกนี้มีลักษณะอุบาท ไม่เหมือนคนทั่วไป ลองไปพิจารณาดูใบหน้า และรูปร่าง ตั้ง อาชีวะ , โกเต็ก , อีภพ , คากคกตู่ ,ใส้เดือนเต้น , นกแสก , ชายดูไบ ฯลฯ คนพวกนี้ยิ่งดูยิ่งแปลก เพราะลักษณะไม่คล้ายคนไทยแท้ แต่รูปหน้า และสัดส่วนร่างกาย เหมือนคนละเผ่าพันธุ์กับคนไทยแท้

    อุปนิสัยใจคอคนไทยแท้ ลองไปเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่โบราณ จะมีลักษณะใจบุญสุนทาน ทำบุญ ไหว้พระสวดมนต์ นับถือพระสงค์ กตัญญูต่อพ่อแม่ เอื้ออารี ให้อภัย สะอาด เป็นระเบียบ พอเพียง รักความเป็นอิสรภาพ ไม่ยอมถูกกดขี่..มีความอยู่เย็นเป็นสุขมาตลอด แคล้วคลาด ภัยร้ายกลายเป็นเบา อาจไม่หวือหวา อู่ฟู่ แต่ก็มีพออยู่พอกินไม่เคยตกต่ำ แต่กลับมีความเจริญก้าวหน้ามากบ้าง น้อยบ้าง ตามบุญเก่าแต่ละคน

    แต่พวกเสื้อแดง นิสัยแปลกแตกต่างออกไป ลองไปเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ ดูจะพบว่าคล้ายพม่า, มอญ , ขอม คือ เห็นแก่ตัวอย่างมาก ขี้โกง ไม่ละอาย อกตัญญูต่อพ่อแม่ ทำลายศาสนา ใช้คุณไสย์แบบขอม ไม่นับถือพระสงฆ์ ชอบใช้กำลังความรุนแรง ร้อนรุ่ม มักง่าย สกปรก เจ้าเล่ห์ ชอบรุกราน ชอบเอาเปรียบ ชอบหลอกลวง..ตลอดมาคนพวกนี้จะหวือหวา สุขสบาย เพียงระยะสั้นเท่านั้น ทำอะไรไม่เจริญ เจ๊ง เสื่อมถอยเร็ว ต้องมีความเดือดร้อน เจ็บป่วย ไม่ได้อยู่ดี และตายแบบแปลกๆ..นี่มันเป็นเพราะรากฐานเลือดเนื้อเชื้อไขบรรพบุรุษ ของพวกเสื้อแดงเหล่านั้น เขาเป็นแบบประวัติศาสตร์หรือเปล่า ??

    แก๊งค์อั้งยี่แดง = ดีแต่คิด , มวลมหาประชาชน = คิดแต่ดี
    แก๊งค์อั้งยี่แดง = ดีแต่พูด , มวลมหาประชาชน = พูดแต่ดี
    แก๊งค์อั้งยี่แดง = ดีแต่ทำ , มวลมหาประชาชน = ทำแต่ดี

    รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทย ได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย บ้านเมืองเราสงบมาตลอด หลายร้อยปีก่อนถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ พ่อขุนบางกลางหาว พ่อขุนผาเมือง ในวันนั้น..วันนี้เราจะมีประเทศไทยได้อย่างไร และเราจะเกิดมาเป็นคนไทยในวันนี้ได้อย่างไร ?

    แผ่นดินนี้จึงเป็นของกษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยลั่นวาจาตอนประกาศอิสระภาพว่า “ ต่อไปนี้ประเทศไทยไม่ขึ้นกับใคร “ วาจาสิทธิ์นั้นก็เป็นจริงตลอดมา ประเทศเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครอีกเลย

    หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ด้านการปกครอง ถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือน พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

    แต่น่าแปลกมากช่วง 82 ปี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ มานี้ นักการเมืองอ้างคำว่าระบบประชาธิปไตย กลับมีการแย่งชิงอำนาจกัน เกิดการคดโกง กดขี่ แบ่งชนชั้น เอาเปรียบประชาชน หนักหนากว่าช่วงอยู่ภายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อบอุ่น ปลอดภัย เสียอีก

    แถมนักการเมือง หรือแก๊งค์อั้งยี่แดงพวกนี้ รากเหง้าบรรพบุรุษทำคุณงามความดี เป็นใครจากไหน เคยมีประวัติศาสตร์สร้างบ้านแปงเมืองที่ไหนมาบ้าง แต่มาบังอาจมาหมิ่น ใส่ร้ายป้ายสี อาฆาต มาดร้าย พระมหากษัตรย์ และองค์รัชทายาท ที่บรรพบุรุษของท่านได้รวบรวมแว่นแคว้น ดินแดน สร้างชาติไทยจนเป็นปึกแผ่น มากว่า 800 ปีแล้ว..มิน่าตอนนี้ จึงมีกลุ่มผู้จงรักภักดี รวมตัวทำงานลับๆ นาม “ กลุ่มเก็บขยะแผ่นดิน“..แล้วพวกที่กล้าหมิ่นเบื้องสูงนี้ มันจะรู้ว่ามันและครอบครัว จะต้องเจอกับอะไร ในเร็วๆ นี้..จับตาจะได้เห็นใบไม้ชั่ว ต้องปลิดปลิวออกจากต้น โดยไม่มีโอกาสออกดอกและผล

    ประวัติศาสตร์ชาติไทย มีพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำที่ดีและเข้มแข็งได้มีการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้น เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าไทย ผู้นำชนชาติไทยหลาย ยุคหลายสมัย ต่างได้เสียสละ อดทน ตรากตรำกรำศึกสงคราม ต่อสู้กับอริราชศัตรู เพื่อนำความเป็น " ไท " มาสู่ชนในชาติ สร้างความแข็งแกร่ง และความเป็นปึกแผ่นอันมั่นคงขึ้นบนดินแดนสยามประเทศ หากมิใช่ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์

    โดยเฉพาะพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชการที่ 9 ที่ทรงเป็นจอมทัพไทย ที่ทรงนำกำลังจากหน่วยราชการต่าง ๆ ทั้งฝ่ายทหาร และพลเรือน ช่วยเหลือ ให้คำนำ แก้ปัญหาที่มีอยู่หลากหลายให้ประชาชน เพื่อจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามสมควรแล้ว คงเป็นไปได้ยากที่ประเทศไทยจะสามารถฟันฝ่าอันตรายอย่างใหญ่หลวง ต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้

    เรื่องเล่าบนแผ่นดินสยามนี้ควรทรงจำไว้มิให้ลืมเลือน เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติอนุชนรุ่นหลัง คำว่า ราชะ = ราชา หรือ กษัตริย์ , การ = งาน..ดังนั้นถ้าใครทำงานราชการ ให้สำนึกไว้เสมอในใจเถิดว่า ท่าน คือ “ ผู้ทำงานให้พระราชา “ และงานที่ทำนั้นคือ “ งานของพระราชา” ท่านทั้งหลายเมื่อทำงานให้พระราชาอย่าแท้จริง ชีวิตท่านก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่หากท่านทรยศต่อราชการ ตอบแทนบุญส่วนตัว ด้วยผลประโยชน์ของพระเทศชาติ ชีวิตของท่านก็จะเจอแต่ภัยร้าย ที่จะเข้ามาหาตัว แบบชนิดไม่รู้จบไม่รู้สิ้นตลอดไป !!

    ดังนั้นทุกคนทั้งราชการ และไม่ใช่ราชการ ต้องทำตัวให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อสะสมบุญส่งต่อไปให้ถึงลูกหลานและวงศ์ตระกูลในภายหน้า..และให้ตัวของท่านเองในอนาคต


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    [​IMG]

    บันทึกลับ !! เรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช
    ผู้ลอบปลงพระชนม์ ในหลวง ร.8

    ได้มีโอกาสเจอคุณลุงท่านหนึ่ง(ขอไม่เปิดเผยนาม)ที่เป็นคนในครอบครัวของ ศ.นพ.ชุบ โชติกเสถียร หรือฉายา " หมอสปัสซั่ม " ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาฯ

    ผู้ชันสูตรพลิกศพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ท่านเป็นหมอที่ยืนยันว่านอกจากจะมีการลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธปืน " พาราเบลลั่ม "แล้ว ยังมีการวางยาในหลวง วางยาต้นห้อง

    คุณลุงนั่งกินหมูกะทะกับผมโดยบังเอิญที่หน้าสถานีวิหคเรดิโอ เชียงใหม่ เมื่อ 19 พฤษภาคม 2556 เพราะท่านมาวันเกิดลูกของน้องชายผม เลยคุยกันแบบถูกคอเรื่องบ้านเมือง

    ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คุณลุงเล่าให้ฟังเรื่องการลอบปลงพระชนม์ ร.8 ว่า ศ.นพ.ชุบ โชติกเสถียร บิดา จะไปเป็นพยานในศาลคดีลอบปลงพระชนม์ ปรีดี ได้มาเจรจา

    เพื่อให้ยอมไปให้ปากคำว่าเป็นการปลงพระชนม์ตัวเอง โดยยื่นสินบนด้วยคำพูดว่า "จะเปิดคลังหลวงให้และให้เอากระเป๋าไป2ใบ ใส่เงินเท่าที่ใส่ได้ให้ไปกินอยู่ตลอดชีวิต แค่อย่าให้ปากคำกับศาลว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์"

    ในสมัยนั้นถ้าใครไม่ยอมทำตาม ก็จะมี "เก๋งดำ" หรือรถยนต์เก๋งสีดำ มาจอดหน้าบ้าน นั้นหมายถึงว่าตายทุกราย จนข่าวนี้โด่งดังจนเกิดข่าวลือว่า ศ.นพ.ชุบ ตายแล้ว อันที่จริงแล้ว ศ.นพ.ชุบ ได้จ้างทหารมาเป็นยามถือปืนลูกซองอยู่ในบ้านใครเข้ามา

    "ยิงทิ้งทันที" จากนั้นก็ไปให้ปากคำกับศาลยืนยันว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์จริง ระบุว่าในการตรวจพระศพยังพบว่ามีการ "ลอบวางยา" ต้นห้องของในหลวงรัชกาลที่ 8

    และในพระวรกายของพระองค์ท่านยังพบว่า มีการพบ "น้ำมันละหุ่ง" ในปริมาณมากผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการ "มึนงง" ก่อนการลอบปลงพระชนม์

    คำว่าหมอ "สปัสซั่ม" สื่อมวลชนในสมัยนั้น ได้ให้ฉายา กับ ศ.นพ.ชุบ เพราะคำให้การที่อธิบายถึงคนที่จะยิงตัวตายได้จะต้องมีอาการเกร็ง หรือ "สปัสซั่ม" แต่ในหลวงรัชกาลที่ 8

    ไม่มีอาการดังกล่าว นั้นยิ่งชัดว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ที่ ศ.นพ.ชุบไม่ให้ปากคำตามที่ปรีดีต้องการ เพราะท่านได้ทุนเจ้าฟ้าเรียนในประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 13 ปี

    มีพี่น้องคือ 1.หลวงประเสริฐไมตรี โชติกเสถียร 2.พลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกเสถียร สมุหราชองครักษ์-องคมนตรี 3.ศ.นพ.ชุบ โชติกเสถียร 4.ท่านผู้หญิงศิริ สารสิน เป็นบุตรของ

    ทูตพระสัมผกิจปรีชา โชติกเสถียร และคุณหญิงฉลวย โชติกเสถียร ซึ่งพลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกเสถียร คือ สมุหะราชองครักษ์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้เป็น "องคมนตรี"

    โดยได้รับใช้ดูแลในหลวงรัชกาลที่ 8 และ 9 พระพี่นาง สมเด็จย่า มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กในประเทศไทยตอนยังไม่ได้ครองราชบัลลังค์ ก่อนเสด็จไปประเทศสวิสฯ

    ทำให้ ตระกูล "โชติกเสถียร" มีความใกล้ชิดและจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีเป็นอย่างมาก พอเกิดการเปลี่ยนแปลงจากคณะราษฎร์ยึดอำนาจกันเอง ทำให้ปรีดีหมดอำนาจ

    จากฝีมือจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ชีวิตของ ศ.นพ.ชุบ จึงรอดเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ และได้ก่อตั้งโรงพยาบาล หน่วยแพทย์อาสา จนสิ้นอายุขัยด้วยวัยชรา

    ลุงตั้งข้อสงสัยว่าทำไมสำหรับ ใจ ลูก ดร.ป๋วย มาใส่ร้ายโจมตีรัชกาลที่ 9 กล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 เพื่อแย่งชิงราชบัลลังค์นั้น ผมอธิบายกับคุณลุงนิต

    ตามหลักยุทธศาสตร์การเมืองว่า เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะทั้ง ป๋วย ทั้ง ใจ เป็นฝ่ายซ้ายนิยมในคอมมิวนิสต์ แม้ ดร.ป๋วย จะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษ แต่ก็ไม่นิยมเจ้าจึงเป็นพรรคพวกเดียวกับอำมาตย์ตรีปรีดี การปล่อยข่าวทำลายสถาบันกษัตริย์

    เป็นหลักในการล้มล้างการปกครองในประเทศฝรั่งเศส ที่จะปล่อยข่าวทำลายราชวงศ์ก่อนที่จะมีการโค่นล้ม โดยมีรากเหง้ามาตั้งแต่ ประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่นครรัฐกรีกโบราณช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ยุค เมโสโปเตเมีย ฟินีเซียและอินเดีย

    ที่มีนักปราชญ์ที่รู้จักกันในนาม "เพลโต้" democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า "ดีมอคระเทีย" หลังการลอบปลงพระชนม์สมัยนั้น

    คดีลอบปลงพระชนม์" ถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจจอมพลป.สำเร็จ โดยถือหลักคิดโจโฉ ถือธงนำหน้า ปกป้องพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนวาทกรรมที่ว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง"

    ที่มีการประกาศในโรงภาพยนต์สมัยนั้น เกิดจากประชาชนที่อดรนทนไม่ไหวกับการยึดครองอำนาจของคณะราษฎร์ เกิดการทุจริต คอรัปชั่น เข่นฆ่าประชาชน ฆ่ารัฐมนตรี รัฐประหารกันเองหลายสิบครั้ง ฆ่าในหลวง อีกต่างหาก

    แต่ฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเอามาโจมตีว่าเป็นฝีมือของ “พรรคประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นโดย นายควง อภัยวงศ์ น้องชายของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

    ของรัชกาลที่ 6 โดยเจตนาโจมตีป้ายสีรัชกาลที่ 9 ว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์ ให้เกิดเป้าหมายสูงสุดคือปลุกให้ประชาชนไม่พอใจลุกฮือเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหมือนที่เกิดในฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ

    การสอบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ ร.8 จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ รื้อฟื้นขึ้นเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ มีการแต่งตั้งใด้ พล ต.ต. พระพินิจชนคดี

    กลับเข้ารับราชการทำหน้าที่สืบสวนกรณีสวรรคตเสียใหม่ หลังถูกปลดออกในช่วงรัฐบาลจอมพล ป.(นอมินีปรีดี) บทสรุปจากบันทึกจากทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ คือฝ่ายผู้แพ้ ฝ่ายขวา คือฝ่ายชนะ และคนกลาง ตรงกันคือ ในหลวงรัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์จริง

    จากพยานที่ถูกบันทึกไว้ทั้ง 3 ฝ่ายระบุตรงกันรวมทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาคดีลอบปลงพระชนม์ว่า เพราะในหลวงรัชกาลที่ 8 จะลาออกมาเลือกตั้งแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี และจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นในหลวงแทน

    จากการสอบสวนและบันทึกส่วนพระองค์พบว่า ร.8 ท่านทนไม่ได้ที่ถูกปรีดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้สำเร็จราชการฯริบรอนพระราชอำนาจ กดขี่ จนมีบันทึกในประวัติศาสตร์ไว้ว่า " แม้แต่รถก็ไม่มีให้ใช้ หากแม่เราป่วยจะไปโรงพยาบาลจะไปอย่างไร "

    จากผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่าผู้ลงมือลอบปลงพระชนม์คือ " รอ.วัชรชัย " อดีตรองราชเลขาสำนักพระราชวัง คนสนิทปรีดี ที่ทำหน้าที่เป็นรองราชเลขาสมัยนั้น ที่เริ่มให้ ร.8 ซ้อมยิงปืนเมื่อเกิดเหตุจะได้ไม่มีใครสงสัย ลอบสังหารต้นห้องจนเสียชีวิต

    จากนั้นเข้าไปวางยา ร.8 แล้วจึงลอบปลงพระชนม์ด้วยอาวุธปืน เมื่อสำเร็จก็หลบหนีไปร่วมกับอำมาตย์ตรีปรีดียังประเทศจีน แล้วกลับมาร่วมกันก่อกบฎวังหลวง กบฎแมนฮัตตัน กบฎเมษาฮาวายแต่ไม่สำเร็จ

    จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ใช้อำนาจศาลสั่งประหาร นายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขานุการในพระองค์ นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน สองมหาดเล็กห้องพระบรรทม

    ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ฐานละเลยการปฎิบัติหน้าที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการลอบปลงพระชนม์ และเกี่ยวพันการลอบปลงพระชนม์ ส่วน ร.อ.วัชรชัย

    ที่หลบหนีไปกับปรีดีหลบซ่อนในจีน ได้ขอให้ทางการจีนสังหารให้ตายตกตามกัน ส่วนปรีดี โจวเอนไหล เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เชิญให้ออกจากประเทศไปลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งเสียชีวิตบนโต๊ะทำงานด้วยโรคหัวใจ

    เรื่องการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายคณะราษฎร์ได้เริ่มกระทำการปลุกปั่นอย่างหนักมาตั้งแต่เริ่มทำการปฎิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475 และกระทำหนักป้ายสี ร.9

    ในยุคจอมพล.ป. เพื่อหวังยึดอำนาจการปกครองให้เบ็ดเสร็จ แต่ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ รัฐประหาร จึงมีการรื้อคดีลอบปลงประชนม์ขึ้นมา ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือขบวนการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้นำหลักนี้มาป้ายสีอีก

    ก่อนเกิดเหตุการณ์วันเสียงปืนแตก คือวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก

    จนกระทั่งมาในยุคคอมฯขบวนการแบ่งแยกดินแดนเสื้อแดงก็นำวิธีเดียวกันมาใช้ ตั้งแต่ ราว1มกราคม 2552 ก่อนเกิดเหตุการณ์เมษาจราจล 12-15เมษายน 2552

    เพราะกลยุทธดังกล่าวในการป้ายสีสถาบันกษัตริย์คือหนึ่งในหลักล้มล้างการปกครองที่มีต้นแบบมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ระหว่าง ค.ศ. 1789-1799 เป็นยุคสมัยแห่งกลียุค (upheaval)

    ที่นิยมกระทำกันมากหลังสงครามโลกครั้งที่สองทำให้ประเทศในโลกถึง 1 ใน 3 ของโลก กลายเป็นคอมมิวนิสต์

    สิ่งเหล่านี้คือประวัติศาสตร์ กลยุทธการเมือง ที่สลับซับซ้อน ที่เป็นรากเหง้าของประเทศไทย ที่ได้ค้นคว้าจากคำบอกเล่าจากคนมีชีวิต และบันทึกของทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ คนกลาง

    และฝ่ายชนะ อันจะเป็นบทเรียนสำหรับคน ไทยทั้งชาติได้จดจำ รู้ข้อเท็จจริงมิให้เกิดขึ้นอีกในภายหน้า สิ่งหนึ่งที่ได้จากประวัติศาสตร์คือ ผลของกรรมที่เกิดจากการกระทำไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ผลกรรมยุติธรรมเสมอ ทำกรรมใดไว้ก็จะได้รับผลกรรมตามนั้น

    “ รู้จักแผ่นดินถิ่นกำเนิด รู้จักเทิดองค์กษัตริย์ของรัฐถา รู้จักคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา จงรู้ซึ้งคำว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ “

    บทกลอนในหนังสืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ โดย ไกรสร ตันติพงศ์ ปรามาจารย์การเมือง

    เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
    8 เมษายน 2557

    เครดิต : เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา-สถานีวิหคเรดิโอ

    ข้อมูลอ้างอิง

    1.คำบอกเล่าหลายท่านจากผู้ที่มีชีวิตลุงมานิต - ไกรสร ตันติพงศ์ ปรามาจารย์การเมือง

    2.หนังสือของฝ่ายคอมมิวนิสต์-คนกลาง-เหตุการณ์หลังปฎิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475

    3.บันทึก ลับ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์

    4.บทความเรื่องเล่าลุง... ลอบปลงพระชนม์ ร.8 เมื่อ 22 พฤษภาคม 2556
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    13 เม.ย.57 เผย..ปมเหตุเสื้อแดงหมิ่นเบื้องสูง และพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี

    ราว 10 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทเผาไทย เจ้าของลัทธิทุนนิยมสุดโต่ง ร่วมกับคอมมิวนิสต์อกหักกลายพันธ์ ที่พ่ายแพ้สมัย นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นนายก มีความพยายามจะรวบอำนาจการบริหารประเทศ ให้เป็นเหมือนบริษัทเอกชน จึงดำเนินการราว 5 แนวทางที่สำคัญ ตามลำดับ คือ

    1. มุ่งสู่การบริษัทการเมืองเดียว ในยึดอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ โดยวิธีการ
    - ไม่สร้างพนักงาน ส.ส.ใหม่ แต่ใช้วิธีเป็นยี่ปั้วไปซื้อตัวพนักงาน ส.ส.จากบริษัทอื่น ที่เขาเป็นอยู่แล้ว ด้วยราคา 50-60 ล้านบาทต่อหัว
    - บีบบังคับให้ยุบบริษัทเดิม มาควบรวมกิจการ กับบริษัทเผาไทย แต่แบ่งย่อยเป็นมุ้งเล็ก มุ้งน้อย และมี CEO เป็นชายดูไบ ชี้นิ้วสั่งการตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบ เสมือนฮิตเลอร์ ของบริษัทว่างั้นเถอะ
    - ช่วงแรกๆ ชายดูไบ จะมีค่าหัวคิวการเสนอชื่อเป็น รตม.เช่น รมต.ค้าขาย 250 ล้านบาท ถ้ายังไม่มีเงิน ก็โอนโรงแรมให้เขา เป็นค่าหัวคิวแทน ตามที่เคยเล่าไปแล้ว
    - ต่อมาคดโกงจนรายได้ดี ก็จะมีเงินเดือนบริษัทจ่าย ส.ส. , ส.ว. ต่างหากจากเงินเดือนหลวง ในอัตราเดือนละ 50,000 – 100,000 บาท , ค่าคอมมิสชั่นยกมือผ่านกฎหมายอีกต่างหาก เช่น ถ้าเรื่องสัมปทานแบบนี้จะตกราว Job ละ 5 แสน – 1 ล้านบาท , เทศกาลทางประเพณีมีโบนัสต่างหากราว 1 แสนบาท
    - ต่อมาใครจะลง ส.ส.แบ่งเขต หรือปาร์ตี้ลิส , ส.ว.ประเภทเลือกตั้ง , ใครจะเป็น รมต. , ผู้ช่วย รมต., เลขา ฯลฯ ต้องทำบัญชี 1,2,3 เสนอ CEO ชายดูไบ Approved ก่อน และเขาจะปรับแก้ ตามเงินที่เสนอให้ เช่น ต้องการสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิส ลำดับต้นๆ ต้องจ่าย 60 ล้านบาท
    - ตำแหน่ง รมต.ไม่ต้องพูด และคิด มีหน้าที่เซ็นต์อนุมัติ ตามที่มี Note ปะหน้าหนังสืออย่างเดียว ทุกโครงการต้องจ่ายให้ CEO บริษัท 50% ผ่านสารพัดนอมินี ที่เหลืออีก 50% เจ้าของโครงการไปโกงเอาเข้ากระเป๋าเองตามใจชอบ เม็ดเงินโครงการ 100 % จะเหลือไปถึงประชาชนจริงๆ ไม่เกิน 5-10 % เท่านั้น จึงเป็นสาเหตุสร้างถนนก็พัง , ตึกก็ร้าว, สีก็ร่อน , วัสดุ อุปกรณ์ เจ้งวินาศหมด จะได้ตั้งโครงการจัดซื้อ จัดจ้างใหม่บ่อยๆ เขาชอบ

    2. หลอกมวลชน คือ เข้าถึงระบบรากหญ้า ที่เป็นมวลชนยากจนจำนวนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ทั่วถึงมากที่สุด โดย
    - ให้ข้อมูลเฉพาะมุมที่ดี และกระทำในสิ่งที่หัวหน้าชุมชน รับนโยบายจากบริษัทเผาไทย ไปถ่ายทอดสู่คนรากหญ้า
    - เสกสรรปั้นแต่งให้เวอร์เกินจริง เช่น หลอกรากหญ้าว่าถ้าเลือกบริษัทการเมืองอื่น จะยกเลิก 30 บาทรักษาทุกโรค, จะยกเลิกการพักหนี้ ธ.ก.ส. , จะยกเลิกการจ่ายเงินเดือนคนแก่ , จะไม่ให้กู้กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ

    3. รื้อระบบราชการเดิมที่เข้มแข็งทั้งหมด แล้วทำให้อ่อนแอ โดย
    - ใช้ระบบซื้อขายตำแหน่ง แล้วแต่งตั้งไปอยู่ในระดับมอบนโยบายทางราชการทุกส่วน หรือแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองลงไป
    - ล้วงลูก ก้าวก่าย บังคับ ระบบงานราชการ ให้ทำผิดจากหน้าที่ตามที่ CEO บริษัทเผาไทยต้องการ
    - คัดเลือกคนไปเป็น ข่มขู่ ติดสินบน หรือบีบบังคับองค์กรอิสระต่างๆ เช่น กกต. ปปช. ฯลฯ ให้ขึ้นตรงกับหัวหน้าบริษัทเผาไทยเพียงคนเดียว “ ไฮ้!! ฮิตเลอร์ “

    4. หนุนทุนนิยมอย่างบ้าครั้ง ให้ประชาชนอุปโภคและบริโภคทรัพยากรมากๆ คือ
    - ให้ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ของฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่น กู้กองทุนหมู่บ้านมาซื้อโทรศัพท์มือถือ , รถมอเตอร์ไซต์ , คนชั้นกลางก็ยุให้ซื้อรถยนต์ บ้านจัดสรร เพราะพรรคพวกตนผลิตของ และอะไหล่ไว้รอจำหน่ายแล้ว
    - โฆษณาชวนเชื่อ ด้วยสื่อมวลชนรับจ้างในเครือข่าย ที่ถูกซื้อตัว ให้สร้างภาพบริษัทเผาไทย จากผิดเป็นถูก และ CEO เก่งเกินมนุษย์ ตลอดเวลา ตามวิธีการ 7 อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว
    - หาเรื่องลงทุนในโครงการใหญ่ๆ อ้างว่ายกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน เช่น ปล่อยข่าวว่าจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กหลายหมื่นโรงให้ปั่นป่วน แล้วไปตั้งโครงการซื้อรถตู้แสนแพงไปแจกโรงเรียน แค่อยากได้เปอร์เซ็นต์ , ซื้อแท๊ปเล็ตพีซี เป็นล้านเครื่อง จากตัวแทนเทียมที่มีออฟฟิสเป็นอาแปะ กับอาม่า แค่ห้องแถวเดียว ฯลฯ

    5. บั่นทอนสถาบันเบื้องสูง ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ โดย
    - เต้าข่าว ปล่อยข่าว ให้ร้ายเบื้องสูง เสียๆ หายๆ ให้ประชาชนผู้หูเบา ซุบซิบนินทา ให้คล้อยตาม เช่น เต้าข่าวว่ามีความขัดแย้งในราชวงศ์ เรื่องการตั้งรัชทายาท เรื่องการเลือกข้าง จากต้นตอหลัก คือ ท่านผู้หญิง ว.ผ่านเครือข่ายของมวลชนบริษัทเผาไทย โดยที่ไม่มีมูลความจริงใดๆ สักเพียงน้อย
    - ผสานกับ NGO ที่เป็นนักวิชากำกวม , สื่อวิทยุออนไลน์ต้นต่อจากต่างประเทศ , เว็ปไซต์ , สื่อสังคมออนไลน์ , วิทยุชุมชน, แดงล้มสถาบัน โดยอ้างง่ายๆ ว่าต้องการความเท่าเทียม ในความเป็นจริงเบื้องหลัง คือ กลุ่มพวกนี้ได้ทุนอุดหนุนที่กองทุนต่างชาติเอกชนแห่งหนึ่ง เมืองลุงแซม ที่ให้ทุนปี 1,500 ล้านบาท เพื่อให้ใส่ร้ายสถาบันเบื้องสูง ในทุกประเทศที่ยังมีสถาบันนี้อยู่
    - ในไทยมีฐานเป็น NGO ใหญ่ทำงานกับต่างชาติอยู่อำเภอแห่งหนึ่ง ในจังหวัดที่วางแผนจะตั้งเป็นเมืองหลวงใหม่ สปป.ล้านนา โดยแอบแฝงในรูปการทำวิจัย เพื่อฟอกเงินให้กับนักวิชากำกวมหลายคนในส่วนกลาง และภูมิภาค
    - เครือข่ายวิทยุชุมชน มีเครือข่ายโกเต็กเรดการ์ด เป็นแกนสำคัญในนาม กวป. ล่าสุดมีการเผยแพร่ใบสมัคร และเรียกประชุมกันที่ รร.แห่งหนึ่ง ฝั่งเดียว ใกล์กับศูนย์ราชการนนท์ ชี้แจงการโอนเงินสนับสนุนสถานีภาคเหนือ และอีสาน เดือนละ 5 พันบาท , ภาคใต้เดือนละ 1 แสนบาท แกนนำสถานี 2 แสนบาท โดยมีข้อแม้ว่าต้องเกี่ยวสัญญาณเสียงหมิ่นเบื้องสูง ที่ต้นทางมาจากต่างประเทศ เช่น ชูพงศ์, เพียงดิน ที่เจาะวิทยุแท็กซี่ หรือ ในประเทศจากเครือข่าย กวป. ฯลฯ จากระบบอินเตอร์เน็ตของแก๊งค์นี้ วันละไม่ต่ำกว่าระยะเวลาที่กำหนด
    - ทางเว็ปไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ จ้างไว้ 3 พันคน เงินเดือนประมาณ 2.8 หมื่นบาท ให้ตัดต่อภาพ โพสป่วน ปล่อยข่าวลือให้ร้าย โพสหมิ่นเบื้องสูง สร้างเว๊ปไซต์หมิ่น เช่น เว็ปประชาลาว , พันทิบ ชื่อห้อง เหมือนสนามมวยแห่งหนึ่ง แก๊งค์นี้ได้รับทุนหนุนจากแก๊งเลวแล้วรวย และ รมต.เทคโน มีการจัด Meeting ร่วมกันเป็นประจำ

    ในสภาพความเป็นจริงคือ สถาบันเบื้องสูง และรัชทายาท ทุกพระองค์ ไม่เคยลงมายุ่งเกี่ยวใดๆ ทางการเมืองเลย ข่าวที่เกิดขึ้นตลอดมา จึงเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จ ตัดต่อภาพนิ่ง วิดีโอ ที่เกิดจากแก๊งค์นี้นั่นเอง สาเหตุสำคัญที่แก๊งค์อั้งยี่แดง ต้องการทำลายและล้มล้างสถาบันเบื้องสูง ก็เพราะยังเป็นสถาบันหลัก ที่คนไทยทุกสีเคารพและศรัทธา ตามรากฐานวัฒนธรรมดังเดิมกว่า 800 ปีที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ยังคงสามารถสร้างความสมัครสมานสามัคคี ยึดโยงเป็นปึกแผ่น เป็นศูนย์รวมใจของประชาชนไทยไว้ได้

    ไม่ได้เกิดจากการอำนาจ แต่เกิดจากทรงพระปรีชาสามารถ ทรงคุณงามความดี และมีพระเมตตา แก่ราษฎรทุกคน ทุกศาสนา อย่างทั่วถึงเทียมเทียมกัน จึงเป็นจุดแข็งให้อำนาจตุลาการ มีความเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน ไม่ว่าร่ำรวย หรือยากจน ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายกติกาเดียวกัน ทำให้บริษัทเผาไทยยึดอำนาจประเทศได้แค่อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ เท่านั้น การคดโกงต่างๆ จึงไม่รอดจากอำนาจตุลาการได้นั่นเอง

    เมื่อแทรกแซงอำนาจตุลาการไม่ได้ ก็ต้องทำลายสถาบันเบื้องสูงเสีย และแก้กฎหมายใหม่ เช่น พรบ.ล้างผิดสุดซอย , เพื่อให้ตุลาการต้องตัดสินตามความต้องการของตน แต่ก็มาถูกมวลมหาประชาชนนำโดยกำนัน รู้ทันและออกมาขัดขวางจนแท้งไปอีก จะสลายมวลชน กปปส.ก็โดนนักรบป๊อบคอร์นสลายชุดดำซะเอง ต่อมาพวกโลกสวยต้องออกมาเรียกร้อง ขอให้เอาบังเกอร์ออกไป กดดันชายชุดเขียวที่วางกำลังเรือนหมื่น ให้ถอนกำลังเข้าที่ตั้งไป เพื่อที่แก๊งค์ก่อการร้ายสากล จะได้บรรจงเล็งยิงอาวุธสงคราม M79 ใส่ศาล ปปช. มวลมหาประชาชนได้สะดวกแม่นยำ แต่ก็ไม่ใครสนใจใยดีทำตาม ทำให้แดงพวกนี้ดิ้นๆๆๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลย จึงต้องหันมาเร่งให้โจมตีให้ร้ายเบื้องสูงอย่างหนักอีกครั้ง บริษัทเผาไทย และแก๊งค์อั้งยี่แดง จึงเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการที่สำคัญ ของพวกนักวิชากำกวม แดงโลกสวย และแดงหมิ่นสถาบันนั่นเอง

    มีการโจมตีให้ร้ายเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยให้ข้อมูลผิดๆ กับพวกที่หูเบา เชื่อคนง่าย เกี่ยวกับทรัพย์สินมูลค่ามาก ของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรย์ ที่ฝรั่งไปเอามูลค่าของบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัท ธนาคารค้าขาย ฯลฯ มารวมเหมาเอาว่าเป็นทรัพย์สินของในหลวงด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ใส่ร้ายทั้งเพ

    ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์เดิม ที่เป็นพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี ได้ถูกยึดมาเป็นของรัฐบาลทั้งหมดนานแล้ว หลังปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ เมื่อ พ.ศ. 2475 ทั้งหมดได้ตกเป็นของรัฐไปหมดแล้ว โดยรัฐสมัยนั้นออก พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 และได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแล คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เดิมมีสถานะเป็นหน่วยราชการระดับกอง ในสังกัดกระทรวงการคลัง ให้ รมต.คลังของรัฐ แต่ละสมัยเป็นประธานควบคุมดูแล

    ต่อมามีการแก้ไขปรับปรุง จนจัดตั้งยกระดับหน่วยงานขึ้นมาดูแลใหม่ มีสถานะเป็นนิติบุคคลเมื่อปี พ.ศ. 2491 ที่ตั้งอยู่ที่ วังแดง ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ที่ดินของราชวงค์ ก็ถูกยึดมาใช้ประโยชน์เรียกว่า ที่ดินราชพัสดุ , สมบัติที่ยึดมาทั้งหมด กระทรวงการคลัง ก็ดูแลออกดอกออกผล อยู่จนถึงบัดนี้ โดยทรัพย์สินส่วนนี้จึงไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นของรัฐเอง ใครเป็นรัฐบาลก็จะได้ใช้ประโยชน์

    ธนาคารออมสิน รัชกาลที่ 6 ก็ทรงตั้งด้วยเงินส่วนพระองค์เริ่มต้นเอง ท่านวางระเบียบไว้เดิมให้เสนาบดีพระคลังเป็นคนดูแล จนถึงปัจจุบันมีเงินเพิ่มพูนเป็นแสนล้านบาท ก็กลายเป็นธนาคารของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ปัจจุบัน รมต.คลัง ก็เป็นคนดูแลเอง ตั้งกรรมการได้เอง ทั้งคณะ รัฐจึงเอาเงินไปใช้ได้สะดวก

    ดังนั้นใครกล่าวร้ายว่าพระองค์ท่านร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น ท่านกำลังทำบาปอย่างมหันต์ เพราะทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสถาบันเบื่องสูงเลยสักน้อย พระราชวงค์ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในทรัพย์สิน หรือในธนาคารใดๆ เลย..เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์รัชการลที่ 8 ไว้ว่า " แม้แต่รถก็ไม่มีให้ใช้ หากแม่เราป่วยจะไปโรงพยาบาลจะไปอย่างไร "..จะพูดก็ได้ว่า ในหลวงท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงยากจนทรัพย์มากด้วยซ้ำไป

    ที่เป็นทรัพย์ของส่วนพระองค์ จริงๆ ก็เกิดการบริจาคโดยตามพระราชอัธยาศัย หรือโดยเสด็จพระราชกุศลเข้ามูลนิธิต่างๆ เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา ฯลฯ ที่ประชาชนสาขาต่างๆ บริจาคตามศรัทธา เช่น ที่ดิน ทุนทรัพย์ ฯลฯ ที่เราเห็นทางทีวีบ่อยๆ นั่นเอง แต่มีไม่มากนัก ทรัพย์ส่วนนี้เรียกว่า "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" และในหลวงท่าน ก็จะเสียภาษีอากรภายใต้กฏหมายเหมือนประชาชนทั่วไปนั่นแหละ ใครอยากรู้ว่ามีเท่าไร ก็ไปตรวจสอบที่กรมสรรพากรเอา ทรัพย์สินส่วนนี้ดูแลโดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง

    ยามประชาชนเดือนร้อน และทุกข์ยาก ในหลวง พระราชินี และองค์รัชทายาท ท่านก็จะพระราชทานให้นำทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้น กลับคืนมาสู่ราษฎร์ของท่านอีก เช่น ทรงบริจาคที่ดินทำกินประเดิมให้ผู้ยากจน ถุงยังชีพพระราชทานยามเกิดอุทกภัย หรือภัยพิบัติ หรือโครงการพระราชดำริส่วนพระองค์

    จะมีราษฎรสักกี่คนที่ทราบว่า วังสวนจิตรที่ในหลวงประทับนั้น เป็นบ้านที่เล็กกว่าบ้านของเศรษฐีไทยหลายพันคน และเล็กกว่าแม้กระทั่งบ้านของอดีต รมต.หลายร้อยคนด้วยซ้ำ วังสวนจิตรลดาถึงแม้จะมีบริเวณใหญ่ แต่ส่วนที่เป็นที่ประทับมีบริเวณเล็กมาก ที่ดินส่วนใหญ่เป็น โรงเรียน โรงงานทดลองทำปุ๋ย เลี้ยงวัว ทดลองปลูกข้าว โรงสี ฯลฯ

    ใครไม่เชื่อและอยากตรวจสอบตามที่เห็นพูดเหย็งๆ กัน อย่ารอช้า ให้ไปพิสูจน์ด้วยตาตนเองเลย ประชาชนทั่วไปเขาอนุญาตให้เข้าไปได้สะดวกง่ายๆ ถึง รร.จิตรลดา เลย ได้โดยขอแลกบัตร ได้จากบริเวณโรงเรียน ก็สามารถมองเห็นอาคารที่ในหลวงประทับ ห่างออกไปเพียงไม่ถึง 100 เมตรเท่านั้น พวกที่หมิ่นทั้งหลาย กล่าวร้ายว่าท่านร่ำรวย อย่าเชื่อใคร แต่ให้ไปเห็นด้วยตาตนเอง เห็นกับตาว่าพระองค์ท่านกิน อยู่ แบบคนไทยชั้นกลางทั่วๆ ไป เท่านั้นเอง ไม่ใช่แบบเศรษฐีไทย อย่างแน่นอน

    ช่างซ่อมรองพระบาท (รองเท้า) ของพระองค์ท่าน เล่าว่า ท่านจะส่งรองเท้าเก่าๆ ของท่านมาซ่อมตลอด จนซ่อมไม่ไหว รองพระบาทเก่าคู่นั้น ช่างยังเก็บไว้ให้เราไปดูได้ สมาคมทันตแพทย์ไทย เคยไปขอพระราชทานหลอดยาสีฟันเก่า ที่ทรงใช้ได้จนหยดสุดท้าย โดยรีดจนหลอดแบนเป็นกระดาษ ไปขอดูที่สมาคมฯ ได้เลย แม้แต่ดินสอดำ ที่พระองค์ท่านทรงขีดเขียนงานต่างๆ ท่านก็ทรงเบิกใช้เพียงเดือนละ 1 ด้ามเท่านั้น และพระองค์ท่านก็เขียนและเหลา เสียจนสั้นจู๋เลย

    เคยมีนักข่าวสัมภาษณ์ท่านดาไลลามะ ผู้นําจิตวิญญาณแห่งทิเบตว่า "ท่านคิดว่าผู้นําหรือใครที่เป็นตัว¬แทนในการอุทิศตัวเพื่อผู้อื่น" ท่านตอบว่า " ถ้าเอาข้าพเจ้าเทียบกับคนผู้นี้¬ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กเพิ่ง¬หัดเดินไปเลย กับสิ่งที่คนผู้นี้ทําให้กับคนของเขา..ด้วยความรักและศรัทธาใน¬สิ่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม" นักข่าวถามต่อว่า "คนผู้นี้คือใคร? " ท่านตอบเพียงสั้น ๆว่า "มหาราชภูมิพล"..แล้วถ้าไปถามบริษัทเผาไทย แก๊งค์อั้งยี่แดง แก๊งค์สู้แล้วรวย..มันจะตอบว่าใคร?

    เงินที่คดโกงจากภาษีประชาชนไป ลูกสาวทอมชายดูไบ ใช้ชีวิตหรูหรา เที่ยวเมืองนอก กินไข่ปลาแพงๆ ถ้วยละ 2 แสนบาท , สมุนบริวาร เอามาจ้างหลอกประชาชนมาชุมนุม หัวละ 300, 500, 1000 บาท แล้วอมค่าหัวคิวนี้ไป คากคกตู่ซื้อนาฬิกาเรือนละล้านกว่าบาทใส่ , ใส้เดือนเต้นขึ้นบ้านใหม่ 70 ล้านบาท , ไข่มุกดำ มีร้านอาหารอยู่เมืองผู้ดี..เรียกร้องประชาธิปไตยกันจนน้ำลายหก..แล้ววันนี้คนเสื้อแดงรากหญ้ามีอะไร?..ได้เงินจำนำข้าวหรือยัง?..ไปถาม รมต.ช.ค้าขายหน่อย ว่าสต๊อคข้าวเหลือกี่ตัน ขายไปแล้วกี่ตัน..ดูซิมันจะตอบคำถามง่ายๆ แบบนี้ได้ไหม?

    พวกหมิ่น กล่าวร้ายเบื้องสูงอยู่ มีวาสนาแค่ไหนแล้ว ที่ได้เกิดมาในประเทศไทยที่แสนจะมีความสุขสบาย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว และมีพระมหากษัตริย์ที่แสนจะประเสริฐ การใส่ร้าย ป้ายสี พระองค์ท่านต่างๆ นาๆ ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับพระองค์ท่านเลย อยากจะบอกว่าในหลวงท่านถูกรังแก จากราษฎรที่ไม่ดีของท่านเอง

    มีพวกบ้าโรคจิต ที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 อยากจะถามว่ามีมาตรานี้แล้วมันทำให้กินเงินจำนำข้าวไม่ลง , ยิง M79 ไม่ได้ , ว.5 ไม่สะดวก , กู้มาโกง 2.2 ล้านๆ ไม่ได้ หรือมันหนักกะบาลใครตรงไหน? มาตรานี้ เป็นหนึ่งในประมวลกฎหมายอาญา มีเนื้อหา คือ “มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

    มาตรานี้ไม่มีผลอะไรเลยกับคนทั่วไปเลย แต่มีผลกับคนหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย เบื้องสูงเท่านั้น ถ้าใครไม่ทำก็ไม่เห็นต้องดิ้นรนไปทำไม เหมือนกฎหมายบัญญัติว่าถ้าโกงจำนำข้าวจะต้องออกจากตำแหน่ง และต้องติดคุก..ก็ถ้าไม่ได้โกงจำนำข้าวจะมาเดือดร้อน ดิ้นๆๆ ทำไม !!

    พวกเราใครมาหมิ่นก็สวนตอบโต้ได้ แต่เบื้องสูงท่านลงมาโต้ตอบกับพวกหมิ่นไม่ได้เหมือนคนทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีมาตรา 112 นี้ไว้ กันพวกทุยตกมันแดงมาขวิดเอา ประมุขของประเทศใดก็ตาม ย่อมถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศนั้น แค่มีมาตรา 112 ทุยแดงยังหมิ่นกันขนาดนี้ และอาฆาตมาดร้ายท่าน กันทุกวัน ถ้าไม่มีมาตรา 112 พวกนี้ก็จะรังแกท่านสบายเลย โดยที่ท่านก็ทำอะไรไม่ได้ สรุปกฎหมายมาตรานี้มีไว้เพื่อปกป้องพระองค์ท่านจากคนพาลนั่นเอง

    ส่วนบางคนก็สงสัยว่า ชายดูไบ ทำไมถูกพิพากษาโดยศาลเดียว? และจำคุก 2 ปี ทำไมไม่กลับมารับโทษสักพัก ก็ออกมาได้แล้ว ? เรื่องนี้อธิบายดังนี้

    1. ถูกพิพากษาโดยศาลเดียว คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ก็เพราะกฎหมายเขาเขียนไว้ไง เพราะนักการเมืองมีวาระแค่ 4 ปีเอง และส่วนใหญ่ก็หลุดจากตำแหน่งก่อนวาระเสมอ รมต.บางคนเป็น 6 เดือนเอง สมัยปูเน่าปรับ รมต.ถี่มาก ราวกว่า 200 คนได้มั้งที่ได้เป็น รมต. (นับรวมคนที่เป็นซ้ำด้วย) แทบเป็น รมต.กันทั้งบริษัทอยู่แล้ว แล้วแบบนี้จะให้สู้คดี 3 ศาล เป็น 10 ปีได้ไง มันก็ตายไปก่อนแล้ว และพวกนี้เล่ห์เหลี่ยม และเงินมาก กฎหมายเขาถึงบัญญัติให้ศาลเดียวพอ

    2. จำคุก 2 ปี ทำไมไม่กลับมารับโทษ..มันตัดสินไปได้แค่คดีเดียวแล้วเหลี่ยมมันหนีเตลิดไปไง มันยังมีคดีค้างที่ศาลอีกราว 15 คดีที่รออยู่ และคดียังไม่จำหน่าย จะเดินหน้าพิจารณาคดีก็ไม่ได้ เพราะผู้ต้องหายังไม่มาปรากฏตัวในการพิจารณาคดีนัดแรก..ขืนเหลี่ยมยอมมาเข้าคุกคดีที่ตัดสินไปแล้ว ศาลก็ต้องถูกอายัดตัวทันที นำขึ้นปรากฏตัวในที่ดีที่เหลือ 2, 3,4...15 ที่นี้การพิจารณาจะเป็น Auto Run ไปเรื่อยๆ จนถึงพิพากษาได้เลย โดยไม่สนใจว่าเขาจะอยู่ที่ไหน

    ที่นี้เหลี่ยมก็กลัวซิ ขึ้นเจอจำคุกอีกสัก 10 คดี x 2 ปี = 20 ปี..ที่นี้พอออกจากคุกคดีแรก ก็ต้องมาติดคดีที่ 2 ที่ 3...ที่ 10 เพราะคดีต่างเรื่อง ต่างกรรม ต่างวาระกัน..ก็ตายคาคุกซิ นี่แหละที่เหลี่ยมกลัวหนักหนาไม่กล้าเข้ามา ทั้งที่ทุกคนก็กวักมืออยากให้เข้ามาวันนี้เลย จะช้าอยู่ใย มันถึงอยากให้นิรโทษกรรมไง จะได้ล้างคดีเก่า และคดีที่กำลังรอพิจารณาอยู่ แถมยังจะต่อรองเอาเงินที่โกง 4.6 ล้านบาทคืน บอกว่ากว่าจะโกงมาได้ขนาดนี้ยากนะ ขอคืนเถอะ..บ้าไปแล้ว แบบนี้เหลี่ยมก็ต้องหนีโทษจำคุกคดีแรกต่อไป จนกว่าจะหมดอายุความ 15 ปีนับแต่วันพิพากษา

    ช่วงสงกรานต์นี้ เขาจึงทำได้เพียงสไกป์จากเกาะฮ่องกง มาหาญาติที่เชียงใหม่ หน้าตาไม่สดชื่น แววตากังวล หน้าเหี่ยว ไหล่ห่อ คอตก มีเงินมากมายแต่หาความสุขสบาย ที่แท้จริงไม่ได้เพราะหมิ่นเบื้องสูง พอลูกน้องถามท่านจะเอายังไง ชายดูไบ ตอบว่า “ผมไม่ยอม ให้พวกเราลงใต้ดิน" เพราะเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นจริงๆ..หลังสงกรานต์คนเสื้อแดงที่มาชุมนุม ได้ลงใต้ดินแน่ๆ เตรียมถูกพวกเดียวกันบอมบ์ ศพแหลกเหลวถูกฝังอยู่ใต้ดินนั่นแหละ

    จับตาหลังสงกรานต์ เพราะเขาจะไปจีน เพื่อให้ครอบครัวและวีไอพีอีกสาย “เผ่นหนี” ออกนอกประเทศตามไปสมทบ ไปเสวยสุขอยู่ต่างประเทศ งานนี้คนเสื้อแดงเตรียมล่ำลาญาติเสียก่อนถูกหลอกจ้างมาชุมนุมลอยแพนะ เพราะ “บอมบ์ “สังหารคนเสื้อแดงด้วยกันเองคราวนี้ แรงระเบิดแสวงเครื่องที่แก๊งค์อั้งยี่แดงทำไว้มันแรงมาก ชิ้นส่วนร่างกายจะขาดกระเด็นจากกันไปคนละทิศละทาง ใส้แตกแหลกเละ จะสั่งลาคนที่บ้านไม่ทัน ส่วนพวกที่เหลือก็ติดคุก และโดนคดี หมดเนื้อหมดตัวกันไป..เหมือนเดิมนะ

    ทุยแดงพวกนี้ทำเวรทำกรรมมามาก เห็นผิดเป็นชอบ ไร้สติ ขาดปัญญารุนแรง แบบกู่ไม่กลับ ตัวเองไม่ค่อยจะมีหญ้าแดก แต่ออกมาต่อสู้เพื่อให้เศรษฐีแสนล้านกินไข่ปลาคาเวียร์ ที่เป็นโรคจิต ได้กลับมามีอำนาจ ข่มเหง แบ่งแยกชนชั้น และทำร้ายประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน

    ครั้งก่อน แก๊งค์แดงใส้แตก ที่บางรายก่ออุบาทพระเพลิง รับกรรมระเบิด "ไปป์บอมบ์บ์" โดนตัวเองจนแขน ขา กระเด็นไปคนละทิศละทาง ที่ซอยราษฎร์อุทิศ 25-27 ใกล้สุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา นั่นและ ผลการตรวจหลักฐานครั้งนั้นพบระเบิด "ไปป์บอมบ์บ์" อีกหลายลูกในเวลาต่อมา ตรวจค้นบ้านเช่าของแก๊งค์นี้ พบอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องไม้ รวมทั้งวัสดุ ประกอบระเบิดแสวงเครื่องอีกเพียบ

    บ้านเช่าหลังนั้นเป็นแหล่งซุกซ่อน และผลิตวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ของกลางที่ตรวจพบในบ้าน และรอบๆ บริเวณบ้านเช่ากว่า 20 รายการ ที่ยึดได้ เช่น กระเดื่องถังดับเพลิง 9 อัน , หัวถังดังเพลิงพร้อมกระเดื่อง 1 อัน , แผ่นกระดาษอธิบายการทำงานของวงจรตั้งเวลา 1 สัปดาห์ 4 ชุด , ซากโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบเป็นระเบิด , หัวตะปูที่ถูกตัดแล้ว คล้ายเหล็กตัดท่อนเพื่อทำเป็นสะเก็ดระเบิด , บัตรเติมเงินโทรศัพท์ , เศษสายไฟ , ถุงมือ , กาวซีเมนต์ , ม้วนตะกั่วบัดกรี , ซากระเบิดปิงปอง ,กระป๋องที่มีคราบดินระเบิด , หมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกฉีกทำลาย , หน้ากาก , แว่นตา , เศษซองปืน , สัญญาเช่าบ้านหลังนี้ , เอกสารเกี่ยวกับบุคคล , เสื้อผ้า ของใช้ , ลายนิ้วมือ ฯลฯ

    รอบๆ บริเวณบ้าน มีการเผาถุงดินระเบิด และชนวนระเบิดปิงปอง รวมทั้งพบถังปูน 2 ถัง ที่มีการเผาทำลายก้นถังด้วย ภายในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อสีแดง และสัญลักษณ์แก๊งค์แบ่งแยกดินแดน นปช.แขวนอยู่อย่างโจ่งแจ้ง แก๊งค์นี้เร่งผลิตระเบิดเพื่อให้ทันกับการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงที่จะ “ บอมบ์คนเสื้อแดงด้วยกันเอง ในช่วงหลังสงกรานต์ “ เพื่อให้แกนนำแดง เช่น ผู้พันเปีย แนวคิดการปฏิวัติฝรั่งเศส และแกนนำสู้แล้วรวย จะได้ใส้ร้าย ป้ายสี โยนความผิดให้สถาบัน ชายชุดเขียว มุกเดิมเหมือนปี 53 “ แต่คนเสื้อแดงตายจริง “

    บ้านเช่าหลังนั้น จึงเป็นแหล่งประกอบระเบิดแสวงเครื่อง มีวัตถุระเบิดซุกซ่อนอยู่จำนวนมาก มีทีมงานราว 10 กว่าคน รถตู้ติดฟิล์มกระจกทึบ 1 คัน และรถจักรยานยนต์อีกหลายคัน เมื่อประกอบเสร็จก็จะมีทีมขนส่งวัตถุระเบิดไปให้เป้าหมาย ทีมวางระเบิด หรือ ทีมก่อเหตุ ซึ่งเป็นอีกชุดหนึ่งแยกต่างหากจากกัน แก๊งค์นี้เชื่อมโยงกับเหตุป่วนในเขต กทม. และปริมณฑล และเชื่อมโยงกับการระเบิดที่จังหวัดชายแดนใต้ ช่วงที่ผ่านมานี่แหละ

    แก๊งค์นี้เชื่อมโยงกับ อส.คนหนึ่ง ที่ใกล้ชิดกับข้าราชการแดง ผอ.ศูนย์ที่นั่น เป็นลูกน้องชายดูไบ ที่ไม่ถูกกับเป็ดเหลิมนั่นแหละ พวกนี้หวังผลหลายอย่างในเวลาเดียวกัน คือ
    - ล่อบิ๊กสีเขียวลงไปหาจังหวะลอบทำร้าย แต่ก็ล้มเหลว ( ล่อหลอกไปครั้งแรกที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.214631298726905.1073741916.187529244770444&type=3 )
    - ดึงกำลังชายชุดเขียวจากส่วนกลาง และอีสาน หมุนเวียนลงไปช่วยชายแดนใต้ ให้ส่วนกลางกำลังลดลง เพื่อก่อเหตุรุนแรงหลังสงกรานต์
    - ดิสเครดิตลูบคมแม่ทัพ 4 คนใหม่ และก่อกวนให้คนต่างชาติกลัว ไม่กล้ามาเที่ยวช่วงสงกรานต์
    - แสดงศักยภาพในการก่อความรุนแรง ให้คนท้องถิ่นหวาดกลัว ย้ายออกไป และแย่งชิงที่ดินมาเป็นของแก๊งค์อั้งยี่แดงเอง เพราะอยู่ในโซนพลังงานมหาศาล สังเกตได้จากการโจมตีที่พุ่งเป้าไปที่โกดังร้านค้าส่งแห่งหนึ่ง ที่ถูกโจมตีมากว่า 30 ครั้งแล้ว ที่ร้านค้านี้มีคนงานทำงานกว่า 1,000 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทยพุทธ ( ตามที่เล่าให้ฟังแล้วที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.220118778178157.1073741940.187529244770444&type=3 )

    แก๊งค์นี้ยังก่ออุบาทพระเพลิงอีก..เมื่อวันที่ 5 เม.ย 57 เวลาประมาณ 02.15 น. แก๊งค์อั้งยี่แดงกล้าล้วงคอตำรวจ ด้วยการวางระเบิด แสวงเครื่อง C4 หนักประมาณครึ่งปอนด์ หรือประมาณ 500 กรัม หุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือห่อพลาสติก ต่อชนวนหน่วงเวลา ระเบิดด้วยฝักแค และใช้วิธีจุดชนวนด้วยไฟแช็ค โดยอานุภาพระเบิด รัศมี 20 เมตร และรัศมีทำลายล้างประมาณ 5 เมตร จากนั้นจึงวางไว้ข้าง “ วังปารุสก์ “ ก่อนขับรถหลบหนี แรงอัดของระเบิด ส่งผลให้รถหกล้อตำรวจเสียหาย และกระจกภายในตำหนักจิตรดา ภายในพิพิธภัณฑ์ตำรวจ วังปารุสวัน แตกเสียหายจำนวน 11 บาน !!..

    งานถือถือว่าแก๊งค์อั้งยี่แดงประกาศเปิดศึกกับตำรวจแบบเปิดหน้า ล้วงคองูเห่าวางระเบิดวังปารุสก์ที่เป็น “พิพิธภัณฑ์ตำรวจ”..เพราะแก๊งค์นี้เพิ่งประกาศวันเวทีถนนอักษะ ว่าเตรียมวางระเบิดแบบนี้ไว้อีก 77 ลูก..คงจะได้เห็นตำรวจฝ่ายดี แสดงฝีมือจัดการเสี้ยนแดงที่กล้ามาหยามตัวเอง..และเป็นลางร้ายสำหรับแก๊งค์อั้งยี่แดงชัดๆ ที่วางระเบิดข้างวังเก่า..มันเหมือนการลดทอนบุญตัวเอง และทำให้บารมีจากบูรพกษัตริย์สาปแช่งคนที่อยู่ในเครือข่าย หรือสนับสนุนแก๊งค์นี้ ให้ต้องตายตกไปตามกัน..น่าจับตามาก !!

    10 เมษา ที่ผ่านมา นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้ทักทายอับดุล ขณะรดน้ำขอพร ด้วยปริศนาถ้อยคำว่า “ อดทนหน่อยนะ แต่ต้องทำต่อไป ”..อืมม..อดทนอะไรน้า ไม่รู้จริงๆ..ฮา

    ส่วนโกเต็ก แดงหมิ่นเจ้าผู้ห้าวเป้ง มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และประเมินว่า "บารมีชายชุดดำใหญ่" จะคุ้มหัวคุ้มกะลาหัวได้ จึงเผยธาติแท้ที่ตรงข้ามกับป้ายที่ทำ และเสื้อ ที่หมิ่นเบื้องสูงอย่างแรงชัดเจน กลายเป็น "ปลาหมอตายเพราะปาก" โดนหมายจับ หนีตายหัวซุกหัวซุน ล่าสุดโดนปาระเบิดขวดใส่เสาสถานีวิทยุเข้าให้อีก แต่ไม่วายตกมัน หันกลับมาขวิด แฉ พวกเดียวกันเองว่า “ ปุ้ม ญาติหล่อใหญ่ นั้นชายดูไบ ไม่เอา แต่เพราะปูเน่า เกรงใจ ว.5 สี่ฤดู แก๊งออฟโฟร์ ก็เอามาอยู่ด้วย เป็นภัยต่อรัฐบาลเทียม คิดว่าจะอยู่รอดเหรอ “ ..เอ๊ะๆ..เกรงใจอะไรกับ ว.5 สี่ฤดู นักหนาเนี่ยยย..ฮา

    แล้วเกี่ยวอะไรกับหญิงกลางคน ที่เบอะๆ บ๊ะๆ คนหนึ่ง ที่รับว่าขึ้นไปชั้นเจ็ดโรงแรมสี่ฤดูตามลำพังสองต่อสองนาน 2 ชั่วโมง ฝ่ายชายก็อ้างว่าขึ้นไปห้องนั้นแค่เปลี่ยนชุด ส่วนเมียหลวงเขาก็แฉว่าผัวเป็นคนเสร็จเร็ว ต่อมาแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องน้ำใหม่และเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวใหม่ พนักงานโรงแรมก็เก็บถุงยางได้ เอาไปตรวจ DNA จนป่านนี้หายเงียบไป..งัยกันเนี่ยย

    เสธ ฝากเพลงไว้ท่อนหนึ่งนะ..งึกๆ งักๆ มันเป็นตะงึก ตะงักๆ #$%$^%&*&+*^&%$#..ฮา


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 เมษายน 2014
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    14 เม.ย.57 เผย..อาถรรพ์แก๊งค์อั้งยี่แดงยิงจรวดอาร์พีจีใส่พระแก้วมรกต..พระ 5 อาณาจักร

    ช่วงนี้เป็นวันสงกรานต์ จึงจะเล่าแต่สิ่งที่เป็นศิริมงคลชีวิต ตอนก่อนหน้าได้เล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของรากเหง้าคนไทย ที่มีความสัมพันธ์แบบวัฒนธรรมพิเศษ กับพระมากษัตริย์ ตลอดมา และความเป็นมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของไทย คือ ศาลหลักเมืองกรุงเทพ ฯ และ พระสยามเทวาธิราช ตอนนี้จะเล่าถึงความเป็นมาของ “พระแก้วมรกต “ พระพุทธรูปซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และความสุข มาสู่ดินแดนผู้ที่ครอบครอง จะทำให้ประเทศซึ่งเป็นประดิษฐาน มีอำนาจเหนือดินแดนใดๆ และกษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนเหล่านี้ก็จะอยู่เหนือกษัตริย์อื่นๆ ทุกพระองค์ ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาหลายดินแดนจึงหมายปอง อยากที่จะได้พระแก้วมรกตมาไว้ในความครอบครอง แด่บ้านเมืองของตน

    และเชื่อว่าหากพระแก้วมรกต ประดิษฐานอยู่ในประเทศใด “ พุทธศาสนา ในประเทศนั้นจะเจริญรุ่งเรือง จะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล ” นั่นเอง และเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่มาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ อาจเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ครบถ้วน เพื่อให้เหมาะกับพื้นที่เนื้อหา จึงจะเล่าโดยย่อแบบรวบรัด โดยไม่รวมเนื้อหาที่พิสูจน์ได้ยาก เพื่อให้ได้จมดิ่งลงไปในภวังค์อดีต ตื่นตะลึงกับพระปรีชาสามารถ ของพระมหากษัตย์ไทย ที่ทรงส่งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญอัศจรรย์นี้ มาจนถึงรุ่นพวกเราปัจจุบัน

    ดินแดนของไทยที่อยู่ตั้งแต่ เชียงแสน กำแพงเพชร ละโว้ อโยธยา ไชยา นครศรีธรรมราช ดินแดนแห่งนี้มีการรบพุ่ง กับพวกมอญทางด้านตะวันตก และเขมรทางดินตะวันออก ผลัดกันแพ้ชนะกันมาหลายยุคหลายสมัย คนไทยโบราณที่อยู่ทางล้านนา เรียกว่าคนโยนก (ไทยเหนือ), คนที่อยู่ทางละโว้ อโยธยา ไชยา นครศรีธรรมราช เรียกว่า กัมโพช (ไทยใต้) ต่อมาเมื่อคนไทยที่มีแม่เป็นเขมรมีอำนาจมาก ไทยเหนือ เลยเรียกไทยใต้ว่า เป็นพวกขอมไปหมด

    พ.ศ.1180 มังมหาอโนรธาช่อ หรือ พระเจ้าอนุรุทธราชาธิราช กษัตริย์มอญได้ยกกองทัพมาตีกรุงทวาราวดี (ตอนกลางประเทศไทยปัจจุบัน) ลูกหลานของกษัตริย์ พวกแรกจึงอพยพหนีลงมาตั้งเมืองที่นครโพธิ์ที่ไชยา พวกที่สองไปตั้งนครละโว้ ขึ้นเป็นเมืองหลวง

    พ.ศ. 1181 เมืองต่างๆ ของคนไทยทางแดนล้านนา ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมอญและพม่าเป็นเวลานานมาก จนนิยมใช้จุลศักราช กษัตริย์ในดินแดนล้านนาไปชุมนุมกันทั่ว ยกเว้นแต่กษัตริย์ที่นครหริภุญชัย (ลำพูน) และสวรรคโลก (สุโขทัย)

    พ.ศ. 1199 พระเจ้ากากวรรณดิศราช โอรสพระเจ้าอนุรุธ ยกทัพมาตีเมืองละโว้ ถึง 7 ปี แล้วมาตั้งพระปฐมเจดีย์ที่นครปฐม (ต่อมา รัชกาลที่ 4 บูรณะใหม่) ประมาณ พ.ศ.1205 พระเจ้ากรุงละโว้ จึงได้ส่งพระนางจามเทวีไปครองนครหริภุญชัย

    พ.ศ.1232 ปรากฏว่ารัฐต่างๆ ในแถบทะเลใต้มีรัฐพานพาน (เวียงสระ) รัฐไฮลิง (ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช) ปองพอง (ปาหัง) กิลันตัน (กลันตัน) ปลึกฟอง (ปาเลมบัง) และรัฐอื่น ๆ อีก 10 รัฐ เข้ารวมกันเป็น “อาณาจักรศรีวิชัย” เมืองหลวงคือ นครโพธิ์ไชยา หรือ นครปาตลีบุตร มีกษัตริย์ที่ครองเมือง ระหว่าง พ.ศ. 1230-1270 ทรงพระนามว่า พระอินทรวรมเทวะ เป็นลูกหลานกษัตริย์ พระเจ้ากรุงทวาราวดีที่อู่ทอง

    สมัยโบราณนั้น พระมหากษัตริย์องค์ใดที่เลื่อมใสในศาสนา ทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง จะเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป เมื่อสวรรคตแล้วจะมีการสร้างเจดีย์ หรือพระพุทธรูปอุทิศถวาย เพื่อเป็นความหมายของนิพพานธรรม สมัยนั้นพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก พระราชบุตรกษัตริย์ พระอินทร์วรมเทวะ คือ พระวิษณุกรรมเทพบุตร มีฝีพระหัตถ์ในการหล่อพระพุทธรูปที่สวยงามจำนวนมาก

    พระนาคเสนเถระ บวชเป็นพระ ณ นครโพธิ์ไชยา ได้ปวารณา จะสร้างพระพุทธรูปให้สืบต่อพระพุทธศาสนา ถึง พ.ศ. 5,000 จึงจะหาวัสดุมาสร้างพระพุทธรูปนี้ วิตกว่า หากใช้ไม้ก็จะไม่อยู่ถึง 5,000 ปี หากใช้เหล็ก ก็อาจจะถูกนำไปหลอมละลาย หากจะใช้หินศิลาธรรมดา ก็จะดูเป็นพระพุทธรูปสามัญทั่วไป จึงได้ตกลงใจเลือกใช้แก้วมณี มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป

    พ.ศ.1260-1270 พระวิษณุราชบุตร ได้นำแก้วโลกาทิพยรัตตนายก สีเขียวทึบ (หยกอ่อนเนไฟรต์สีเขียวมรกต) มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ศิลปะก่อนเชียงแสน ถึงศิลปะเชียงแสน สำเร็จในเวลา 7 วัน แล้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงไป 7 จุด คือพระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย-ขวา และพระเพลาซ้าย-ขวา ตอนแรกพระนามว่า พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต

    แต่เมื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานที่วัดแล้ว เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้น พระนาคเสน ได้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต ไว้ว่า “ พระพุทธรูปองค์นี้จะเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ ทำให้พุทธศาสนามีความสำคัญโชติช่วงสูงสุดใน 5 ดินแดน คือ ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และสุวรรณภูมิ..

    พ.ศ. 1400 เปลี่ยนกษัตริย์อีกหลายพระองค์ ตรงสมัยพระศิริกิตติ ได้ยกกองทัพไปยึดนครละโว้ แต่มีการจลาจลเกิดสงครามกลางเมือง ในนครโพธิ์ไชยา ศึกสงครามทำให้คนล้มตายเป็นอันมาก พวกข้าราชบริพารรักษาพระแก้วมรกต เห็นท่าไม่ดี กลัวพระจะเสียหาย จึงลักลอบอัญเชิญพระแก้วมรกต ขึ้นสู่เรือสำเภาลำหนึ่ง พร้อมกับพระธรรมปิฏก พากันหนีไปสู่กัมโพชวิสัย (ลังกาทวีปนครศรีธรรมราช) มีกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ปกครองอยู่ ทรงรับรักษาพระแก้วมรกตเป็นอย่างดียิ่ง และพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรือง

    พ.ศ. 1417 กษัตริย์ขอมที่เมืองพระนครอินทรปัต (เขมร) ถูกกวาดล้าง ธิดาของกษัตริย์มาเป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงละโว้ มีพระโอรส คือ พระอาทิตยราช ต่อมาได้ย้ายพระนครจากละโว้กลับมายังนครอโยชฌปุระโบราณ ตรงเมืองอู่ทอง

    ต่อมาพระเจ้าอนุรุธ แห่งมอญอีกพระองค์หนึ่ง (คนโบราณเรียกกษัตริย์ทางมอญว่า พระเจ้าอนุรุธ ทุกพระองค์) ได้ยกกองทัพม้า มาเอาพระแก้วมรกตที่ลังกาทวีป (นครศรีธรรมราช) แล้วนำพระไตรปิฏก กับพระแก้วมรกต ลงเรือหวังจะนำกลับเมืองมอญ แต่เรือสำเภา มีพวกราชวงศ์ไศเลนทร์ได้ปลอมลงมาบนเรือด้วย แล้วสังหารทหารมอญที่คุมเรือเสีย จากนั้นก็นำเรือสำเภา มุ่งหนีไปยังนครอินทปัตรนครวัต (กัมพูชา) ได้

    พ.ศ. 1432-1453 พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ราชวงศ์เขมร มีอำนาจมาก ได้ปราบปรามหัวเมืองใกล้เคียงที่อยู่ในอำนาจดินแดนไทย เมืองหลายแห่งต้องส่งส่วยให้พระองค์ เมื่อพวกไศเลนทร์จากนครศรีธรรมราช นำเรือสำเภาพระแก้วมรกต เข้ามาถึงนครอินทรปัต พระองค์ทรงโสมนัสปลื้มปิติในองค์พระแก้วมรกตมาก ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ จนเจริญรุ่งเรืองไปทั่วสกลทวีป มีชัยเหนือศาสนาพราหมณ์ ในดินแดนพระนครอินทรปัต

    พระองค์ยกปราสาทราชวัง ถวายแก่พระแก้วมรกต เป็นพระนครวัด แล้วพระองค์ก็ไปสร้างพระนครหลวงใหม่ ที่ยโศธรปุระ โดยเอาภูเขาพนมบาแค็ง (ผาแค็ง) เป็นใจกลางของพระนครหลวง แล้วโปรดให้นำพระไตรปิฏก ที่ติดมากับเรือสำเภา ส่งคืนไปให้พระเจ้าอนุรุธ แห่งมอญ เมื่อพระเจ้าอนุรุธไม่ได้พระแก้วมรกตคืน ก็ทรงได้ติดตามโดยปลอมเป็นราษฎร ไปสืบเรื่องพระแก้วมรกต ด้วยตนเอง เมื่อรู้ว่าตกไปอยู่ในเมืองอินทรปัต พระองค์ก็ไม่กล้าตามไปแย่งเอามา เพราะตอนนั้นพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ เรืองอำนาจมีพระเดชานุภาพมาก

    พ.ศ. 1453-1471 มีลูกหลานของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ปกครองอีก 6 พระองค์ จนประมาณ พ.ศ. 1471 ราชวงศ์ใหม่ตั้งนครหลวงที่โคห์แกร์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ได้มาแย่งชิงเมืองได้ มีการกวาดล้างพวกเจ้านายขอม จนบางพวกต้องหนีไปพึ่งพวกไศเลนทร์วงศ์ที่เมืองละโว้ ต่อมาอีกหลายสิบปี พวกเขมรชวนกันก่อการกบฏปราบขอม พระเถระต้องพาพระแก้วมรกตหนีไปอยู่ที่ปราสาทตาแก้ว ซึ่งมีพวกไศเลนทร์อยู่

    พ.ศ.1545 ข่าวการเกิดจลาจลในนครอินทรปัต ทราบไปถึงพระเจ้าอาทิตย์ราช กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยาปุระในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ท่านเป็นลูกหลานของกษัตริย์นครโพธิ์ชัยยา ผู้สร้างพระแก้วมรกต พระองค์จึงทรงเป็นห่วงพระแก้วมรกตมาก เกรงพวกเขมรที่นับถือพระศิวะ จะทำลาย แล้วตั้งศิวลึงค์แทน จึงรีบยกทัพทหารเป็นอันมากไปอัญเชิญพระแก้วมรกต แล้วกวาดต้อนผู้คนมาเป็นอันมาก กลับมายังกรุงอโยธยาปุระ ที่หนองโสน โดยทรงอัญเชิญพระแก้วมรกต ประดิษฐานในพระมหาเวชยันตปราสาท และได้ประดิษฐานในนครอโยธยาอีกหลายรัชสมัย

    พ.ศ. 1545-1592 พระสุริยวรมันที่ 1 โอรสของพระเจ้ากรุงตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) มาแย่งราชสมบัติจากราชวงศ์เขมรเดิมได้ จนครองกรุงกัมพูชา จึงปราบไปทั่ว โบราณสถานที่สร้างในสมัยพระองค์ มีปราสาทพิมานากาศ ปราสาทตาแก้ว และ “ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่เป็นดินแดนพิพาทขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จนถึงทุกวันนี้ ถูกสร้างโดยบรรพบุรุษของชาวนครศรีธรรมราช นั่นเอง

    พ.ศ. 1595 พระอาทิตยราชสวรรคต พระยาจันทโชติอำมาตย์ พระสามีของเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาจันทร์เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา แล้วย้ายนครหลวงจากอโยชฌปุระ ไปนครละโว้ตามเดิม

    พ.ศ. 1601 พระเจ้าอโนรธามังฉ่อ กษัตริย์มอญ ทราบข่าวการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จึงยกทัพมาล้อมเมืองละโว้ไว้ พระเจ้าจันทโชติเห็นว่าไม่สามารถสู้กับกองทัพมอญได้ จึงถวายพระพี่นางให้กษัตริย์มอญ-พม่า เป็นอัครมเหสีเพื่อแสดงพระราชไมตรี ต่อมามีโอรสเป็น พระนเรศวรหงศา ส่วนทางอโยธยา มีโอรสเป็นพระนารายณ์ ต่อมากษัตริย์มอญ เกิดวิวาทกับบุตร พระนารายณ์จึงเกลี้ยกล่อมชาวไทยและมอญ ที่อยู่ทางกรุงหงศาหนีกลับมาได้จำนวนมาก พอพระบิดาสวรรคต พระนารายณ์ได้ครองราชย์ต่อ ก็ย้ายนครหลวงกลับไปอโยชฌปุระอีก

    ปี พ.ศ. 1630 พระนเรศวรหงศา ยกกำลังพล 4 แสน มาปิดล้อมกรุงอโยชฌปุระ แล้วมีการก่อเจดีย์พนันเมืองกัน พระเรศวรหงศาแพ้ ยกทัพกลับไป พระนารายณ์ได้ไปสร้างพระปรางค์สามยอดเมืองละโว้ เป็นมณเฑียรธรรม ในพระพุทธศาสนาอุทิศให้บรรพบุรุษ แล้วขนานนามเมืองละโว้ใหม่ว่า เมืองลพบุรี แล้วลงไปสร้างพระนครอโยธยาใหม่อยู่ท้ายเมือง ไปวัดโปรดสัตว์

    พ.ศ.1656-1695 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้ทรงสร้างปราสาทนครวัด ตรงพระนครที่พระปทุมสุริยวงศ์ ถวายแก่พระแก้วมรกตและบรรพบุรุษ โดยสร้างเป็นปรางค์ขอม มีเก้ายอดเป็นสัญลักษณ์แสดงว่า กษัตริย์ผู้ทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง ยอดปราสาททั้งเก้ายอดปิดทองเหลืองอร่าม ตามแบบไศเลนทร์

    พ.ศ. 1730 อโยธยา อ่อนแอ ใกล้ล่มสลาย เจ้าพระยากำแพงเพชร ซึ่งเป็นพระบรมญาติกับกษัตริย์สมัยนั้น ยกกองทัพเรือล่องลงมาทูลขอ นำพระแก้วมรกตจากนครอโยธยา ขึ้นไปประดิษฐานที่เมืองกำแพงเพชรอีกหลายรัชสมัย ปัจจุบันก็คือวัดพระแก้วกำแพงเพชร ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ในแถบทุ่งเศรษฐีจึงมักพบพระพิมพ์ต่าง ๆเช่น พระจำพวกซุ้มกอ พระกำแพง ลีลาต่าง ๆ (ช่วงนี้เป็นช่วงสร้างกรุงสุโขทัยตามเรื่องเดิมที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.228199420703426.1073741969.187529244770444&type=1 )

    พ.ศ. 1929 สมัยพระเจ้ากือนา ครองเมืองนครพิงค์เชียงใหม่ พระอนุชาชื่อเจ้ามหาพรหม ครองเมืองเชียงราย ได้ยกกองทัพมา 8 หมื่น ไปเมืองกำแพงเพชร ในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ครองเมือง และทูลขอพระพระแก้วมรกต และ พระพุทธสิหิงค์ แล้วเอาขึ้นไปประดิษฐานที่เมืองเชียงราย ขุนหลวงพะงั่ว แห่งอโยธยา ทราบข่าวยกกองทัพไปช่วย แต่เจ้ามหาพรหม ได้ยกทัพนำพระพุทธรูปไปเสียแล้ว

    เจ้าเมืองเชียงราย พร้อมด้วยราษฎร จึงทำการสมโภช สรงน้ำแก่องค์พระแก้วมรกต ใครมีศรัทธาอันบริสุทธิ์ ด้วยบุญญาธิคุณ มีศีล มีทาน อุปัฏฐากแก่บิดามารดา เมื่อสรงน้ำจะโดนองค์พระ ถ้าคนชั่วจะไม่โดนเลย ทำให้คนชั่วก็ไม่กล้าไปสรงน้ำ ต้องกลับใจขอขมาต่อองค์พระแก้ว เป็นคนดี ไม่ประพฤติชั่ว จึงไปสรงนำพระแก้วมรกตได้เหมือนคนอื่นๆ บ้านเมืองก็บังเกิดความร่มเย็นสงบสุขทั่วดินแดนแห่งนั้น

    ต่อมาเมื่อพระเจ้าแสนเมือง โอรสพระเจ้ากือนา เชียงใหม่ ได้ยกกองทัพไปรบ กับเจ้ามหาพรหมผู้เป็นพระเจ้าอา ด้วยความเป็นห่วงในพระแก้วมรกต ท่านจึงได้ทำการพอกปูนจนทึบ และลงรักปิดทองเสมือนพระพุทธรูปสามัญทั่วไป แล้วบรรจุซ่อนไว้ในเจดีย์วัดป่าญะ ต.เวียง เมืองเชียงราย (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว เชียงราย ) โดยไม่มีใครรู้ แม้พระเจ้าแสนเมืองชนะ เข้าเมืองเชียงรายได้ ก็พบแต่พระพุทธสิหิงค์องค์เดียว นำกลับมาเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่พบพระแก้วมรกต

    ปี พ.ศ. 1977 ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปซ่อนอยู่ ได้นำไปไว้ในวิหาร 2-3 เดือนต่อมา ขณะทำความสะอาดพระพุทธรูป ทองและรักของพระพุทธรูป กะเทาะออกมาจากพระกรรณ และปลายพระนาสิก เห็นข้างในเป็นแก้วสีเขียวสุกใส เจ้าอาวาสกะเทาะทองและรักที่หุ้มออกหมด ปรากฏว่าเป็นองค์พระแกะสลัก จากหยกเขียวเพียงชิ้นเดียวทั้งองค์ และปราศจากริ้วรอยหรือตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น ที่หายสาบสูญไปนานแล้วนั่นเอง ชาวเชียงราย และพุทธศาสนิกชนใกล้เคียง ต่างแห่กันมาสักการบูชาพระแก้วมรกตกันอย่างล้มหลาม จนเจ้าเมืองเชียงรายได้รับทราบ

    พระเจ้าพิลก เมืองเชียงใหม่ทราบข่าวการพบพระแก้วมรกต ก็ให้อัญเชิญมาสู่เมืองเชียงใหม่ โดยจัดขบวนช้างอัญเชิญจากเมืองเชียงราย ถึงเมือง ไชยสัก ปรากฏว่าพระแก้วมรกต กลับมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นในทันที จนช้างที่อัญเชิญทนไม่ไหว เกิดตื่นตระหนก ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตลงพักไว้ และมีการเปลี่ยนช้างอีกหลายเชือกก็ยังเหมือนเดิม จึงส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าพิลกให้ทรงทราบ พระองค์จึงจึงเกรงผลที่จะตามมา และตรึกตรองว่า พระแก้วมรกตคงยังไม่มาโปรดเมืองเชียงใหม่ เหมือนเมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังพระชนม์อยู่ ย่อมเห็นว่ามีเวไนยชน ณ ที่ใด ที่พระองค์ควรจะเสด็จไปโปรดได้ ครั้งนี้พระแก้วมรกตคงจะเสด็จไปโปรดที่แห่งใดก่อนเป็นแน่แท้

    พระเจ้าพิลกจึงให้เขียนชื่อเมืองเชียงใหม่ เมืองหริภุญชัย เมืองพะเยา และเมืองเขลางค์นคร (ลำปาง) แล้วให้เสี่ยงทายจับฉลาก ปรากฏว่าจับได้เมืองเขลางค์นคร ก็อนุญาตให้อัญเชิญไปได้ พระแก้วมรกตก็ลดน้ำหนักลง อัญเชิญขึ้นช้างได้โดยสะดวก นำพระแก้วมรกตไปสู่เขลางค์นคร ชาวเมืองก็ปิติยินดีปรีดายิ่งนัก ที่จะได้พระแก้วมรกตไว้นมัสการเป็นบุญแก่เขลางค์นคร เป็นเป็นที่ประดิษฐาน ที่วัดพระแก้ว

    พ.ศ. 2019 กษัตริย์เชียงใหม่องค์ต่อมา ได้โปรดให้ก่อสร้างเจดีย์หลวง (ราชกุฏ) ใหม่ สวยงามน่าเลื่อมใส ดังพระธาตุจุฬามณีเจดีย์ในสวรรค์ พ.ศ. 2022 จึงให้อัญเชิญพระแก้วมรกต จากเขลางค์นครไปประดิษฐานไว้ในราชกุฏที่เชียงใหม่ และให้สร้างปราสาทขึ้นมาภายในวัดแห่งนั้น ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต แต่ก็เกิดฟ้าผ่า ทำให้ยอดปราสาทเสียหาย จึงล้มเลิกไป เก็บรักษาพระแก้วมรกตไว้ภายในตู้ และนำออกมาแสดงให้ประชาชนได้ชมเป็นบางโอกาส พระแก้วมรกตได้ประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่เป็นเวลา 84 ปี ต่อมา เจ้าเมืองเชียงใหม่สมัยนั้น จัดส่งพระธิดามาถวายให้เป็นพระอัครมเหสี พระเจ้าโพธิสารราชาธิราช แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต เวียงจันทน์ จนมีโอรสด้วยกันทรงพระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐา และได้ครองเมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา

    พ.ศ. 2093-2095 พระเจ้าไชยเชษฐา ทราบข่าวการสวรรคตของพระราชบิดา จึงเดินทางกลับไปถวายพระเพลิง ที่หลวงพระบาง แต่ด้วยพระองค์เกรงว่าหากเสด็จไปรวมงานพิธีศพของพระบิดาแล้ว อาจจะถูกกีดกันไม่ให้เสด็จกลับมายังเชียงใหม่ ดังนั้นจึงตัดสินพระทัย อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระพุทธสิหิงค์ จากเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปด้วย ต่อมาทรงทำศึกอย่างหนัก กับกองทัพ ของพระเจ้าบุเรงนอง พม่า ที่ยึดเชียงแสน เพื่อบุกเข้าโจมตีทางตอนใต้ของแม่น้ำโขง

    ขุนนางล้านนา (เชียงใหม่) รอพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จกลับ มาครองราชย์บัลลังก์ต่อไปไม่ไหว จึงได้หารัชทายาทแห่งราชวงศ์มังรายขึ้นครองราชย์สมบัติแทน เป็นญาติห่างๆ ของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าเมกุฏิ ต่อมาทางเชียงใหม่ ได้ขอพระพุทธรูปทั้งสององค์คืน แต่ได้คืนเฉพาะพระพุทธสิหิงค์องค์เดียว

    พ.ศ. 2103 - 2107 พระเจ้าไชยเชษฐา ได้ตัดสินใจย้ายและสร้างราชธานีขึ้นใหม่ที่เมืองเวียงจันทน์ เวียงจันทน์ เรียกว่าเวียงจันทน์ล้านช้าง จึงอัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ และพระแซกคำเจ้า (พระบาง)ไปประดิษฐานที่พระมหาปราสาทสามยอด ซึ่งสร้างอย่างสวยวิจิตรพิสดาร พระแก้วมรกตได้อยู่นครเวียงจันทน์ เป็นที่สักการบูชาของประชาชน และกษัตริย์ จนถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยาแตก เสียแก่พม่า

    ในปี พ.ศ. 2310 ครั้งนั้นพระเจ้าตากสิน ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง เป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองตาก ได้ลงมาช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาจะแตกแน่ เพราะคนไทยแตกความสามัคคี จึงรวบรวมไพร่พลตีฝ่าวงล้อมของพม่า มาตั้งกำลังพลอยู่ที่จันทบุรี ต่อมาก็ยกทัพมาตีพม่าแตกพ่ายที่โพธิ์สามต้น และปราบก๊กต่างๆ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ในช่วงระยะเวลาอันสั้น พระเจ้าตากสินทรงสามารถผนึกแผ่นดินสร้างเป็นราชธานีได้ใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์สืบวงศ์สยาม ยกกรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง แผ่ขยายขอบเขตอาณาจักรให้กว้างขวาง แผ่ไพศาลยิ่งกว่าครั้งกรุงเก่า

    พ.ศ. 2319 เกิดศึกไทย กับพม่า อะแซหวุ่นกี้ ขณะนั้นเจ้าเมืองนางรอง เมืองขึ้นของนครราชสีมา เอาใจออกห่างไปขึ้นกับจำปาศักดิ์ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้ เจ้าพระยาจักรี กับ เจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพยกไปปราบ กองทัพไทยตีชนะจำปาศักดิ์ได้ ได้อาณาเขตลาวใต้ มีจำปาศักดิ์ สีทันดร อัตปือ และเขมรป่าดง แถบเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ และเมืองขุขัน (ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ รวมเขต “เขาพระวิหาร” ไว้ด้วย) มาในราชอาณาเขต

    ครั้งนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ให้เจ้าพระยานครราชเสมา ส่งราชสารขึ้นไปยังเมืองเวียงจันทน์บุรี ให้มาขึ้นแก่กรุงธนบุรี เหมือนกับเมืองต่าง ๆ เช่น ชวา มาลายู กัมพูชา กะเหรี่ยง ลาวเชียงใหม่ และญวนก็มาขึ้นแล้ว แต่พระเจ้าเวียงจันทน์ไม่ยอมอ่อน กับไทย

    พ.ศ. 2321 เสนาบดีพระวอ ทะเลาะกับเจ้าบุญสาร เมืองเมืองศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) พระวอสู้ไม่ได้ จึงหนีอพยพเข้ามาอยู่ที่ตำบลดอนมดแดง (อุบลราชธานี ) ขอสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ต่อมาเจ้าบุญสารไม่พอใจ จึงให้ทหารลงมาจับพระวอฆ่าทิ้ง พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นเป็นการละเมิดอำนาจดินแดนไทย จึงมีรับสั่งให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ยกไปทางบก รวมพลอยู่ที่นครราชสีมา ส่วนเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพเรือไปทางแม่น้ำโขง ตีหัวเมืองรายทาง ขึ้นไปจนถึงเมืองเวียงจันทร์ เจ้าร่มขาว เจ้าเมืองหลวงพระบางขอสวามิภักดิ์ไทย

    กองทัพไทยล้อมเวียงจันทร์อยู่ 4 เดือน เจ้าบุญสารสู้ไม่ได้ จึงหลบหนีไป ไทยจึงเข้าเมืองเวียงจันทร์ได้ กวาดต้อนผู้คน เวียงจันทร์ หลวงพระบาง เข้ามาไว้ในหัวเมืองชั้นในเป็นอันมาก กลายเป็นคนอีสานจนถึงปัจจุบัน และได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และ พระบาง กลับลงมาพระนครธนบุรี พระเจ้าตากสินก็ให้สร้างโรงพระแก้ว ที่หลังพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม แล้วก็อัญเชิญพระแก้วมรกต กับพระบาง ขึ้นประดิษฐาน

    พ.ศ. 2325 สิ้นสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบดาภิเษกขึ้นเสวยสิริราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ร.1) ทรงพระราชดำริว่า พระพุทธรัตนปฏิมากร พระองค์นี้เป็นแก้วอย่างดีวิเศษ จึงทรงสถาปนาสร้างพระอุโบสถในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งประดับประดาสวยงามวิจิตรยิ่งนัก พ.ศ. 2327 ปีมะโรง วันจันทร์ แรม 12 ค่ำ เดือน 4 ทรงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ลงบุษบกเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดิษฐานต้องอุโบสถหลังใหม่ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

    เฉลิมฉลองเป็นเวลาสามวันสามคืน ทรงถวายพระนามนครใหม่ ให้เหมาะที่เก็บรักษาพระแก้วมรกต ของพระเจ้าอยู่หัวผู้สร้างพระนคร และต้องกับนามพระพุทธรัตนปฏิมากร ว่า “ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยาบรมราชธานี “ ส่วนองค์พระบาง ก็พระราชทานคืนให้กับประเทศลาว ไป สมัยสร้างแต่เดิมนั้นองค์พระแก้วมรกต ฝังเพชรเม็ดเล็กไว้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ (ร.4) ได้ถวายเพชรเม็ดใหญ่ เปลี่ยนเพชรเดิมออก

    เส้นทางพระแก้วมรกต และจำนวนปีที่ประดิษฐาน มีดังนี้
    ไชยา ( ปาฏลีบุตร ) รวม 140 ปี , นครศรีธรรมราช ( ตามพรลิงค์ ) รวม 32 ปี , นครวัด ( เขมร ) รวม 113 ปี , ลพบุรี ( ละโว้ ) รวม 47 ปี , อโยธยา ( อู่ทอง ) รวม 138 ปี , กำแพงเพชร รวม 170 ปี , เชียงราย รวม 119 ปี , ลำปาง รวม 4 ปี , เชียงใหม่ รวม 73 ปี , หลวงพระบาง ( ลาว ) รวม 12 ปี , เวียงจันทน์ ( ลาว ) รวม 215 ปี , ธนบุรี รวม 5 ปี , กรุงเทพฯ พ.ศ. 2327 – ปัจจุบัน..ราว 230 ปี...อายุพระแก้วมรกตจึงประมาณ 1,300 ปี !!

    พระแก้วมรกต นั้นแต่เดิมเป็นพระพุทธรูปของไชยา และสุดท้ายไปอยู่เชียงใหม่ แล้วถูกนำไปที่หลวงพระบาง และ เวียงจันทร์ อาณาจักรธนบุรีได้ไปชิงคืนมาจากอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) แต่ปัจจุบันเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ก็ต้องถือว่าเป็นพระพุทธรูปของไทยไปแล้ว แต่ถ้าปัจจุบันเชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของลาว ก็อาจถือไอ้ว่าเป็นพระของลาว ก็ขึ้นอยู่กับเขตแดนประเทศในปัจจุบันนั่นเอง

    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในอาณาจักรนั้น และด้วยความรักและเมตตา เดินทางไปที่ต่างๆ ตามคำทำนายของพระนาคเสนเถระ ผู้สร้างองค์พระพุทธรูปนี้ และจะไม่ไปไหนอีกแล้วจนครบ 5,000 ปีของพุทธศาสนา

    แต่บริษัทเผาไทย และแก๊งค์อั้งยี่แดง กลับไม่เคยเห็นคุณค่าทางจิตใจของพระแก้วมรกต ที่ประเมินไม่ได้ ในปี 2553 “นายนิ ครูใหญ่โรงเรียนแก๊งค์แบ่งแยกดินแดน นปช.” จ้าง ส.ต.ท.บัณฑิต บ้านอยู่ อ.พล จ.ขอนแก่น เป็นอดีตชายชุดดำตระเวนชายแดน ถูกให้ออกจากราชการเมื่อปี 2538 ขณะอยู่ที่ สภ.อ.วังน้ำเย็น จ.ปราจีนบุรี เกี่ยวข้องกับคดีไม้เถื่อน แล้วไปทำงานที่บ่อนการพนัน ชายแดนไทย-กัมพูชา และต่อมาเป็นคนขับรถ ส.ส.บริษัทเผาไทย จังหวัดสมุทรปราการ อดีต รมต.ช.คลอดหลอด ชื่อ ป.ที่เคยถูกยิงปางตาย

    ส.ต.ท.บัณฑิต มีความรู้ใช้อาวุธสงคราม ให้การสารภาพว่าได้เดินทางเข้า กทม.พร้อมกับเมียผู้จ้างวาน (นายนิ) มาร่วมชุมนุมกับเสื้อแดง นปช.ที่ผ่านฟ้า และบอกว่าการจะบรรลุวัตถุประสงค์จะต้องก่อการร้ายสากลสถานที่ราชการ จึงได้รับค่าจ้างเงินสด 5 แสนบาท พร้อมเตรียมอาวุธโดยจ้าง จ.ส.ต.ปริญญา จัดหาอาวุธเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ต่อมาวันที่ 20 มี.ค.53 ระยะห่างราวๆ 500 เมตร ได้ยิงหัวจรวดอาพีจี มีเป้าหมาย คือ วัดพระแก้วมรกต

    โดยต้องยิงวิถีโค้งข้ามตึกกระทรวงกลาโหมไป แต่ยิงพลาดเป้าหัวระเบิดพุ่งไปติดสายไฟฟ้าบริเวณปากซอยแพร่งภูธร กระสุนเฉี่ยวติดสายไฟฟ้า ไปตกที่กระทรวงกลาโหม จึงรีบทิ้งรถแล้วหนีไป และถูกจับในที่สุด และเขาถูกศาลไคฟงพิพากษาจำคุก 38 ปี..ถ้าแก๊งค์อั้งยี่แดงยิงถูกตรงเผงตามเป้า ไปโดนพระอุโบสถ และพระแก้วมรกตคู่บ้านคู่เมืองของเรา ประวัติศาสตร์ยาวนานพระแก้วมรกต 1,300 ปี จะเป็นเช่นไร ?? แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพระแก้วมรกต ทำให้มือปืนก่อวินาศกรรม ยิงพลาดเป้า และทิ้งร่องรอยไว้มากมาย ให้จับตัวได้ และแฉ สิ้นใส้ถึงผู้จ้างวาน..

    วงเวียนกรรม ที่แก๊งค์อั้งยี่แดงทั้งหมด กล้าทำลายพระพุทธรูป ที่พระอินทร์วรมเทวะ กับ พระวิษณุกรรมเทพบุตร แห่งอาณาจักรศรีวิชัย สร้างถวายพระนาคเสนเถระ เพื่อค้ำจุนพุทธศาสนาไป 5,000 ปี บูรพกษัตย์ทุกพระองค์ของ อาณาจักรไชยา ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และสุวรรณภูมิ..ผู้เคยครอบครองพระแก้วมรกต จะสาปแช่ง และใช้พระแสงประหารบั่นคอ ทุกคนในแก๊งค์อั้งยี่แดง หมดบุญเก่าแล้ว แกนนำ และคนเสื้อแดงทุกคน ที่ดื้อดึง และถูกหลอกจ้างให้มาตายหลังสงกรานต์ 57 ที่กรุงเทพ จะถูกแยกชิ้นส่วนจบสิ้นชิวิต พร้อมครอบครัว ญาติมิตร ในไม่ช้านี้

    หรือว่า..การชุมนุมครั้งใหม่นี้ที่ถนนอักษะ คือการได้อยู่บนดิน เห็นแสงสว่างเป็นครั้งสุดท้าย ในชีวิตของคนเสื้อแดง..เพราะต่อไปคงต้องปิดตา ไปฝังร่างกลบอยู่ไต้ดิน ตามที่ชายดูไบสั่งการ“บอมบ์” ให้หนัก..อยากฆ่านักเอามาให้ฆ่า..อนิจจาลาก่อนทุยแดง..วงเวียนกรรมติดระเบิด !!

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 เมษายน 2014
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    17 เม.ย.57 เผย..ความคล้ายคลึงของ 3 รัชกาล และแฉ ตัวอมเงินม็อบแดง

    ในทุกตอนของเรื่อง จะพยายามใช้เนื้อที่ๆ มีจำกัด เล่าเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีคุณูปการกับราษฎรพระชาชนของพระองค์ ตอนนี้ได้ลองศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลัง พบพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ ที่มีลักษณะบางประการคล้ายๆ กัน คือ

    สมเด็จพระนเศวรมหาราช (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2) ราชวงศ์สุโขทัย กษัตริย์องค์ที่ 18 ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง 9 พรรษา เสด็จไปอยู่ ณ เมืองหงสาวดี พม่า ทรงใช้เวลา 8 ปีเต็มในหงสาวดี ทรงศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า วิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก มีโอกาสศึกษา ทั้งภายในราชสำนักไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ต่อมาเมื่อ “พระชนม์มายุ ราว 17 พรรษา “ พระองค์ได้เสด็จกลับมาถึงอโยธยา หลายปีต่อมาเมื่อพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา ในการขยายอาณาเขต ของอาณาจักร และสร้างปึกแผ่นแก่แผ่นดิน

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ ในขณะที่ทรงผนวชอยู่นั้น ได้เสด็จออกธุดงค์ “ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์ “ อย่างแท้จริง พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะวิริยะเรียนภาษาอังกฤษจนทรงเขียนได้ ตรัสได้ “ทรงเป็นนักปราชญ์รอบรู้ ” ทำให้พระองค์ทรงมีความรอบรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลกตะวันตกเป็นอย่างดี พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงด้านศิลปกวี พระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อยแก้ว มีบทพระราชนิพนธ์ที่สำคัญ จำนวนมาก ทรงริเริ่มให้มีการค้นคว้าศิลาจารึกในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ จารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงและจารึกหลักที่ 4 ของพระยาลิไทย

    ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และระเบียบแบบแผน พระองค์เป็นนักดาราศาสตร์ไทย ทรงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้าถึง 2 ปี นับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากในสมัยนั้น พระองค์ยังพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้ได้รับการยกย่องเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสัตววิทยาสมาคมแห่งสหราชาอาณาจักรอีกด้วย และได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยจนถึงปัจจุบัน

    ในหลวง รัชกาลที่ 9 ราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ วัยพระเยาว์พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพื่อการศึกษา ชั้นประถมศึกษา ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษา ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัย แผนกวิทยาศาสตร์ พระองค์เสด็จนิวัตประเทศไทยครั้งที่สองเมื่อ “พระชมน์มายุราว 17 พรรษา”

    หลังครองราชฯ พระองค์ได้ทรงอุทิศพระวรกาย และพระราชทรัพย์ ไปในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ จาก UN พระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจำนวนมากด้วย

    น่าแปลกที่พระราชประวัติของกษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์มีส่วนพ้องใกล้เคียงกัน เหมือนถูกฟ้าลิขิตมาให้ทุกพระองค์ทรงมีความเฉลียวฉลาดด้านภาษา และวิทยาการจากต่างประเทศ , สนพระทัยในการค้นคว้าหาความรู้ในศาสตร์แขนงต่างๆ , เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ , กวีนิพนธ์ , ดนตรี , ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรม , ทำนุบำรุงศาสนา , สมถะเรียบง่าย , สนพระทัยในการเสด็จออกไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏร์ และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของราษฎร์แต่ละยุคสมัย ได้อย่างน่าประหลาดน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    นายช่างสมภพ แห่งร้านยูไลย เทเลอร์ ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากในหลวง ให้ถวายงานในการตัดเย็บฉลองพระองค์ ให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ยามที่เขาเข้าเฝ้าในหลวง เวลาที่ไปเข้าเฝ้าวัดพระวรกาย เพื่อนำมาตัดชุดฉลองพระองค์ จะทรงรับสั่งให้จดรายละเอียดให้สมบูรณ์ จะได้ไม่ต้องวัดบ่อยมาก เนื่องจากพระองค์ไม่มีเวลามากนัก ต้องทรงงานโดยตลอด พระองค์ท่านมิทรงโปรดที่จะลองฉลองพระองค์บ่อยๆ จะทำให้เสียเวลาในการทำงาน

    สิ่งที่พระองค์ตรัสให้ฟัง มักจะทรงเล่าเรื่องคุณทองแดง เมื่อพระองค์ได้ตรัสถึงคุณทองแดงทีไร พระองค์ท่านมักจะทรงพระสรวลทุกที “ฉลองพระองค์บางองค์ พระองค์ท่านสวมใส่มาแล้ว 8-9 ปี บางองค์ที่พระองค์ทรงโปรดมาก ก็ใช้นานถึง 12 ปี ชุดที่พระองค์โปรดที่สุด ก็คือชุดลำลองที่พระองค์ทรงสวมเพื่อเล่นกับคุณทองแดง ใช้มาหลายปี ก็จะเป็นรอยขีดข่วนและฉีกขาด พระองค์ท่านไม่ทิ้ง ก็จะส่งให้เรานำกลับมาปะชุนบ่อยครั้ง”

    แล้วทุกคนที่อ่านเนื้อหาถึงตอนนี้ ลองนึกถึงตัวท่านเอง ว่าท่านเคยใส่เสื้อผ้าชุดโปรดเดิมนานมากกว่า 12 ปีไหม? ใครก็ตามให้ร้ายพระองค์ว่าฟุ่มเฟือย ร่ำรวย หรือใช้เครื่องประดับราคาแพง จึงเป็นการให้ร้ายพระองค์อย่างไม่เป็นธรรม “พระเจ้าอยู่หัวของพวกเราถูกรังแก” ท่านไม่มีโอกาสเลยตลอดพระชมน์มายุของท่าน ที่จะได้แก้ตัวในเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ประสูติ – พระเยาว์ – เจริญวัย – ครองราชย์ – จนถึงปัจจุบัน พระชมน์มายุ 87 พรรษาแล้ว ยังมีราษฎรที่ไม่ดีของพระองค์ไม่หยุดที่กล่าวให้ร้าย ทั้งที่พระองค์และราชวงศ์ ไม่ได้เป็นดังคำที่ถูกให้ร้ายใดๆ เลย

    พระองค์มีแต่ทำให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ปัดเป่าทุกข์ภัย เป็นที่พึ่งยามยาก ฝนจะแล้งก็มีฝนเทียมพระราชทาน น้ำจะท่วมก็ทรงมีพระราชดำริแนะนำ ให้สร้างเขื่อนป้องกัน และกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามน้ำน้อย ค่อยๆ ปล่อยน้ำผ่านระบบชลประทานเพื่อทำการเกษตร ทุกคนที่กำลังนินทาให้ร้ายพระองค์ และราชวงศ์อยู่ตอนนี้ ก็กินเมล็ดข้าวที่เกิดจากน้ำในเขื่อนที่พระองค์แนะนำให้สร้างไว้นั่นแหละ เขื่อนก็ได้ใช้ผลพลอยได้ผลิตไฟฟ้า ให้ราษฏรได้ใช้ไฟฟ้าสว่างไสวยามค่ำคืน แม่แต่คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์พกพา ที่จ้องอ่านข้อความนี้ในประเทสไทย ก็ต้องชาร์ตไฟฟ้าส่วนหนึ่งจากเขื่อน

    ถ้าอยู่ในประเทศไทย ลองหันไปมองรอบตัว ข้าวของ เครื่องใช้ ที่อำนวยความสุขสบาย ก็ล้วนแต่ได้มาจากการทำประโยชน์ ทำมาหากินในแผ่นดินของบรรพกษัตริย์ ที่ปกปักรักษา ขยายอาณาเขตประเทศมามากกว่า 800 ปี ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ก็ล้วนสืบทอดมรดกมาจากคนรุ่นเก่าที่มาอาศัยร่มโพธิสมภารกษัตย์ของไทยทั้งนั้น คนพวกนี้ยังจะมาเนรคุณให้ร้ายพระองค์อีก คนพวกนี้ระวังจะเจอดีและไม่มีใครเขายอมพวกมันอีกแล้ว ต่อไปนี้จะเจอแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะหาว่าไม่เตือน !!

    บางคนชอบกล่าวร้ายแหนบแหนมเรื่องเพชรซาอุ ทั้งที่ตนเองแม้สักแวบตา ก็ยังไม่เคยเห็นของจริงชิ้นนี้เลย แต่มีหน้ามากล่าวร้าย ลากผูกเรื่องมั่วไปหมด คนขโมยเพชรจากวังกษัตริย์ซาอุนี้ เขาเป็นคนคนอำเภอเถิน ลำปาง ที่ไปทำงานในวังซาอุ ต่อมาก็ขโมยเพชรเดินทางกลับมาไทย ไปขายให้พ่อค้าร้านเพชรแห่งหนึ่ง จากนั้นมาเขาถูกชายชุดดำจับกุม เขารับสารภาพ และบอกที่ซ่อนเพชรที่เหลือ แล้วก็ติดคุกรับโทษไป ปัจจุบันพ้นโทษ เขา และครอบครัวก็ย้ายไปแล้ว ที่นี้ก็มั่วกันไปหมด มีชายชุดดำบางคน อมเพชรของกลาง และสับเปลี่ยนเอาของเก๊แทนของจริง บางคนติดคุกยาวเลยจนอายุกว่า 70 ปีจึงพ้นโทษ และหายไปจากสังคม

    ช่วงนั้นก็ฆ่าชิงเพชรกันเองเป็นว่าเล่น คนนี้เอาไป คนนี้ซื้อขาย ตามวิสัยสันดานดิบ โจรปล้นโจรนั่นแหละ พอได้มาก็โอ้อวดกันโดยไม่ฉุกคิดว่าตัวเองเป็นสามัญ แต่ไปใส่ของสูง ท้ายๆ ก็ไปเจอในตัวของพวกคุณหญิง คุณนาย ของชายชุดดำตำแหน่งใหญ่สมัยนั้น ก็เกิดการจับตา และติฉินกัน พวกนี้ก็เลยต้องเก็บของเข้ากรุ ไม่กล้าเอามาประดับตัว แทบทุกคนมีอันเป็นไปต่างๆ นาๆ ถูกฆ่าตายบ้าง อุบัติเหตุบ้าง ติดคุกติดตารางบ้าง เหมือนช่วงปฏิวัติ 2475 สมัย ร.7 นั่นแหละ ที่พวกปฏิวัติต่างบุกเข้าไปในวัง แล้วขนข้าวของมีค่าลงเรือ เอากลับไปบ้านตนเอง สุดท้ายทุกคนก็ตายแปลกๆ หมด ไม่เหลือหรอ ครอบครัวก็ลำบาก ระหกระเกิน ไม่มีใครรอดดีสักคน

    พอเห็นช่องคนสนใจตรงนี้ พวกแดงล้มเจ้าก็เต้าเรื่องกัน สร้างนิทานหลอกทุยโง่ก่อนนอน ใส่ร้ายเบื้องสูงโยนบาปให้ราชวงศ์ โถ..ไอ้คนขโมยเพชรมา มันยังไม่รู้เลย ว่าเพชรที่ตามหากันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร หน้าเหลี่ยมหรือเปล่า นับประสาอะไรกับพวกให้ร้ายนินทา ที่ยังไม่เคยเห็นของจริงแม้ระยะไกล ยังมีหน้ามารู้อีกว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ ถ้าใครพูดให้ร้ายเบื้องสูงเรื่องนี้ ถามมันคำเดียว “เคยเห็นของจริงไหม ?? “ ถ้าตอบว่าไม่เคย ก็ไล่มันไปขวิดต้นมะขามซะให้หายโง่ ทำโทษที่โดนแดงล้มเจ้าหลอกมาซะหลายปี

    ข่าวลือก็คือข่าวลือ ก่อนจะเชื่อก็พิจารณาดูให้ดีก่อน ทุกคนก็เคยมีประสบการณ์ที่โดนข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และข่าวนั้นก็ไม่เป็นความจริง เราโดนใส่ร้าย แต่เราก็มาแก้ตัวได้ แต่พระองค์ท่านไม่สามารถที่จะมาแก้ตัวได้แม้สักคำเดียวด้วยซ้ำ พระองค์จึงน่าสงสาร ถ้าพระองค์ต้องการจริงๆ แค่เพชรแค่นี้ ท่านจะซื้อเองก็ได้ เพชรไทยสวยๆ เลอค่าเอาให้ดีกว่าเพชรซาอุได้เป็นสิบเท่า ไม่เห็นต้องไปทำอะไรแบบนั้นเลย คิดแค่นี้ก็ตาสว่างแล้ว

    มันเอาทุกเรื่องแหละ แก้เรื่องนั้น มันก็เต้าเรื่องนี้ พวกนี้เลวอินฟินิตี้..คิดง่ายๆ พระพุทธองค์ ยังโดนพระเทวทัตกลั่นแกล้ง รังเก พอท่านปรินิพพานไป 2557 ปี แล้ว ป่านนี้ยังมีคนเต้าเรื่อง บิดเบือนคำสอน ท่านแปลกๆ ประหลาด ไปดูวัดจานบินซิ เปรียบเทียบง่ายๆ แบบนี้แหละ..ใครๆ ก็พูดมั่วได้ เช่น เพชรทั้งหมด ตอนนี้ไปอยู่ในบ้านจันทร์ส่องหมา จรัล ของหญิงกระบังลมแล้ว ซุกในหีบเซพใบใหญ่ใต้บันได ทางขึ้นชั้นบน..สมาชิกเพจนี้ 2.9 แสน พูดต่อกันไปสัก 10 คน แค่นี้ก็เป็นข่าวซุบซิบไป 2.9 ล้านคนใน 1 นาทีแล้ว นี่คนที่รับข้อมูลไป ก็พูดต่อๆ กันดาวรายขายตรงอีก มันจะลุกลามขนาดไหน พวกทุยแดนก็กินปลาซาดีนซะบ้าง ตรงหัวมันน่ะ วิตามินเยอะ แดกแต่จำนำข้าว มันถึงฉลาดน้อย เป็นเหยื่อให้เขาหลอกต้มตุ๋นทุกวัน ไม่อายบ้างหรือไง !!

    ดูผลกรรมทุยแดงล้มเจ้า ที่หมิ่นเบื้องสูงซะบ้าง เมื่อคณะอักษรฯ จุฬา ไม่จ้าง " อ.หวาน " ของเสื้อแดง นปช. สอนต่อ เพราะประเมินผลแล้ว ได้คะแนนแค่ปานกลาง ไม่ผ่านต่อสัญญาจ้าง ถ้าเป็นคนดีๆ ก็จะต้องฉุกคิด หาเหตุ และปรับตัว แต่แทนที่นางจะทบทวนตัวเอง กลับโทษรัฐประหาร..อ้าว..นางโทษว่ากฎหมายที่ให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เกิดในสมัยรัฐบาลนายกฯ ฤษี ซึ่งคณะรัฐประหารตั้ง..เฮ้อ..เข้าใจและ สมองอย่างนี้แหละ ที่จุฬาฯ เขาถึงไม่จ้างต่อ..ดีนะที่ไม่โทษว่าเพราะปฏิวัติ 2475 ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่งั้นจะให้เอาคอเทียมแอกไม้ไผ่ ไปลากไถนาซะให้เข็ด

    ส่วนอีกคนก็ "โรส" ช่างทำผมที่เปลี่ยนสัญชาติเป็นเมืองผู้ดี ถ่ายคลิปพาดพิง หมิ่นเบื้องสูง ส่งผลให้การชีวิตของพ่อแม่ต้องตกระกำลำบาก มีคนไปป้วนเปี้ยนลับๆ ล่อๆ หน้าบ้านตลอด 24 ชม. เสียวสันหลังวาบๆ พ่อแม่สุดทนแจ้งกองปราบจับโรส ลูกตัวเอง..เออ ไหมนั่น..ทำให้ชายชุดดำต้องประสานทนายแผ่นดิน เพื่อขอส่งตัวโรสกลับมาดำเนินคดี เพราะแม้ว่าเป็นความผิด เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายไทย เพราะมีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต..แว่วว่า คนไทยทางเมืองผู้ดีเตรียมจัดหนักโรสแล้ว ระวังเดินออกจากร้าน เจอประเคนดนตรีไทยที่แข็งๆ แน่..เกลือต้องจิ้มเกลือซะบ้าง แต่ปากแบบนี้จะกินเกลือไม่ได้ เพราะแสบไปหลายวัน !!

    นี่ยังมีอีก ศอ.รส.(ศูนย์อำนวยการรักษาศิวลึงค์) ของเป็ดเหลิม ปากพล่อยไม่เว้นแต่ละวัน แถลงว่า หากศาลไคฟงรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยปูเน่าผิด กรณีการโยกย้ายถวิล ถือว่าวินิจฉัยเกินอำนาจ..(เออ อำนาจบริหารข้ามมาทะลึ่งอะไร กับอำนาจตุลาการเขา) ครม.ก็จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่า ครม.ต้องพ้นจากการอยู่ในตำแหน่งตามที่ศาลฯ วินิจฉัยหรือไม่ โดยระหว่างทูลเกล้าฯ ครม. จะคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป..มันบ้ากันไปแล้ว ก็ศาลไคฟงเขาวินิจว่าผิด ก็ต้องผิด จะยกตัวเองขึ้นให้เสมอเบื้องสูงได้อย่างไร เพราะท่านใช้อำนาจผ่านทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ที่ถ่วงดุลกันแล้ว..ขืนทำแบบนี้เจอดีแน่ๆ พวกธาติไฟแตกเมื่อรู้ว่าแพ้ !!

    ตอนคราชุมนุมถนนอักษะ วันที่ 5-7 เมษา 57 นั่นก็คราวหนึ่งและ เป็ดเหลิม คางคกตู่ ใส้เดือนเต้น หน้าแหกจนต้องเอาปิ๊บคลุมหัว หายเงียบไปนาน เมื่อคุยโวว่ามา 5 แสน แต่ทุยแดงมาแค่ 1.5 หมื่นรวมการ์ด วันประกาศเลิกชุมนุมคางคกตู่ ถึงกับยางตก คุยโวว่านัดครั้งต่อไป 18 เม.ย.จะขนทุยแดงมากินหญ้า 4 ล้านเขา..โถ..พ่อคางคกอัปลักษณ์ ขยะของเดิมยังไม่รับผิดชอบเก็บทิ้งเลย ต้องให้น้องนักศึกษามหิดลจิตอาสาเขามาช่วยกัน คิดจะมาทำสกปรกโสมมอีก

    หลังจากนั้นแก๊งค์เลวแล้วรวย ก็ถูกจับตา ประกบตามจากหน่วยงานความมั่นคงแบบตาไม่กระพริบ แทบจะเป็นเส้นขนก็ไม่ปาน การข่าวหลังการชุมนุมอักษะ 1-2 วัน ขุนพลสายลับอีสานรายงานว่า ชุมนุมหลังสงกรานต์นี้ ชายดูไบไม่ยอมแพ้ และให้ทุยแดงมุดลงไต้ดิน (เพราะมีผู้นำเป็นคากคก กับใส้เดือน) สั่งให้ทุกสายบูรณาการแผน
    - ในบริษัทไทย , แดง นปช. , ซ้ายจัด , แดงอิสระ , กองกำลังในพื้นที่เหนือและอีสาน
    - ทุกสาย ชาย ดูไบ สั่งให้ส่งแผน และประมาณ ไปให้ท่านเขาด่วน
    - ชาย ดูไบ เขามีแผนหลักของตนเองอยู่แล้ว จึงจะบูรณาการแผน และยุทธวิธี ของทุกฝ่ายให้เข้ากับแผนการหลักของตนเองเพื่อทำศึกใหญ่เฮือกสุดท้าย.เผด็จศึกวันพิพากษาปูเน่า

    โดยเขาเพ้อเจ้อหนัก ให้แบ่งการเคลื่อนไหวออกเป็น 7 ทัพ
    - ทัพที่ 1 ให้ นปช. นำมวลชนประมาณ 50,000 คน เคลื่อนเข้ามาจัดชุมนุมก่อเหตุจลาจลในเขตกรุงเทพ โดยกลุ่มมวลชนฮาร์ดคอร์หลายๆ กลุ่ม
    - ทัพที่ 2 ให้แรมบ้า นำมวลชนประมาณ 20,000 คน ปิดเส้นทางเข้าออกภาคอีสานสาน 2 จุดๆละหนึ่งหมื่นคน (สีคิ้ว , โนนแดง)
    - ทัพที่ 3 ให้ด่างเกยชัย ใช้กำลังมวลชน 10,000 คน ปิดเส้นทางขึ้นภาคเหนือที่นครสวรรค์
    - ทัพที่ 4 ให้กี้ร์อมฮอลล์ นำกำลังมวลชน 5,000 คน ยึดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณศรีสะเกษและสุรินทร์
    - ทัพที่ 5 ให้หมอแคนขอนแก่น, หัวหนัง, วิสุทธิ์ิ์, สงวน และทีมงานอดีต ส.ส.ในพื้นที่ สั่งการให้มวลชนแดงในเหนือและอีสาน เคลื่อนขบวนยึดสถานที่ราชการในจังหวัดต่างๆ
    - ทัพที่ 6 ให้แดงอิสระ เช่น กปว., แดงปทุมเรดการ์ด, เคลื่อนขบวนเข้าโจมตีองค์กรอิสระ ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญ เป้าหมายทั้งตัวบุคคล และสถานที่ให้ใช้ความป่าเถื่อนเต็มรูปแบบ
    - ทัพที่ 7 กองโจรกองกำลังชุดดำ ให้ใช้กำลังอาวุธ เช่น ปืน, ระเบิดมือ, m 79, ระเบิดแสวงเครื่อง โจมตีบุคคล และสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพ ให้หนักขึ้นรุนแรงขึ้นทั้ง กลางวันและกลางคืน และในวันที่ศาลพิพากษาปูเน่า ให้โจมตีอย่างหนักหน่วงที่สุด โดยเฉพาะที่ตั้งทางชาย 3 สี

    ชายดูไบ ถึงกับพูดหลุดว่า " ชอบฆ่าคนใช่ไหม เดี๋ยวจะขนคนมาให้ฆ่า"

    ต่อมาราวก่อนสงกรานต์เล็กน้อย เมื่อสายลับอีสานส่งสายลับไปฝังตัวในเสื้อแดง ร่วมลงพื้นที่ภาคอีสาน เพื่อจัดตั้งและจัดหามวลชน มาร่วมชุมนุมกับแก๊งค์แบ่งแยกดินแดนแดง นปช. พื้นที่ปฏิบัติการภาคอีสานตอนกลาง (สารคาม, กาฬสินธุ์, ขอนแก่น) เกิดเหตุประหลาดขึ้น คือ

    1. กระแสเสื้อแดงตกต่ำมากๆๆ ถึงมากที่สุดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน มวลชนไร้ความรู้สึก ไร้อารมณ์ร่วม เบื่อหน่าย และบ่นเรื่องปากท้อง ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน ไม่มีเงิน แค่กราบขอร้องให้ทุยเอาเสื้อแดงมาใส่อีกครั้ง ยังไม่มีใครเอาด้วยเลย

    2.แกนนำย่อยทุยแดงในพื้นที่เสียขวัญมาก เมื่อ อดีต ส.ส.อยู่เฉย ไม่มีใครสนใจยอมออกหน้า จะให้ขนทุยแดงมาชุมนุมอีก ขอชุมนุมในพื้นที่ และต้องมีเงินมาก่อน ถึงจะออกไปหาคนมาให้ แต่ถ้าให้ไปชุมนุมที่กรุงเทพ ไม่มีใครไป เหตุผลเพราะ “กลัวไปแล้วไม่ได้กลับ -ไปแล้วไปลับ - หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี “..ฮา เสียของที่แกนนำเตรียมบอมบ์ทุยแดง บูดหมดเบย !!

    3.ทั้งแกนนำทุยแดงในพื้นที่อีสาน กลาง และรากหญ้า คิดเหมือนๆ กันว่า ปูเน่าไม่มีทางรอด รัฐแดงแพ้แน่ๆ 100% ที่เชื่ออย่างนั้น ทุกคนพูดเสียงเดียวกันว่า ก็เห็นๆ อยู่ ทำยังไงๆ ก็แพ้ ทำอะไรๆ ก็แพ้เขา..(ฮา..ทุยแดงฉลาดแร้ววว)

    ดังนั้น แผนหลอกมวลชนทุยแดงมาเป็นโล่มนุษย์ตายแทนแกนนำ เหมือนปี 53 ก็เลยล่มด้วยประการฉะนี้ ทำให้ฝ่ายความมั่นคงรู้มานานก่อนสงกรานต์แล้ว ว่าเจ๊งแน่ๆ ทำได้ก็เพียงการก่อวินาศกรรม และลอบทำร้ายประชาชน เท่านั้น ถ้าป้องกันดีๆ ก็ไม่ระคายผิว..แต่แกล้งอุบข่าวไว้ รอให้มันปล่อยไก่ จะได้ฮาให้เยี่ยวเล็ด จั๋งหนับ

    พอช่วงสงกรานต์ วันที่ 13 เม.ย. ใส้เดือนเต้น เดินทางไปพักที่ บัญดาราภูแล เชียงราย ใกล้ๆ ม.แม่ฟ้าหลวง ห่างจากอำเภอแม่จัน 7 กม.นัดพบกับยุทธ ตู้เย็น หารือช่วยขนมวลชนทุยแดง ที่ตอนนั้นก็ยังหาไม่ได้เลย ดึกๆ ก็มีการพาผู้หญิงไปเฉาะกัน , ต่อมา ชายดูไบ ใด้สไกป์คุยกับเจ้ ด.แดกข้าว บอกว่ารัฐบาลเทียมพร้อมที่จะเจรจา..(อ้าว 7 ทัพเจ๊งไปแล้ว.)..แล้วมันเป็นนักโทษหนีคดี มีสิทธิ์อะไรมาพูดแทนรัฐบาลเทียม กลับมาติดคุกซะดีกว่า อย่ามาทำเห่าหอนไม่เป็นที่เป็นทาง..รำคาญหว่ะ

    พอหลังสงกรานต์เอาล่ะซิ..แฉ กันแหลกลาญ เมื่อบรรดา ส.ส.บริษัทเผาไทย ต่างดาหน้ากันมาฟ้องสายลับว่า การชุมนุมของ นปช.ที่ถนนอักษะที่ผ่านมา มวลชนที่มาไม่เข้าเป้า น้อยมากๆ จนน่าใจหาย จากหลายเหตุผล เช่น การอมเงินเอาดื้อๆ ของบรรดาแกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิว ที่จ่ายเงินไม่เต็มจำนวนค่าหัวให้ถึงทุยแดง คนเสื้อแดงขณะนี้มีอารมณ์ร่วมน้อยมาก ไม่เหมือนปี 52 - 53 เนื่องมาจากปัญหาปากท้อง เพราะส่วนใหญ่เป็นคนจน ปากท้องไม่ดีทำให้ไม่มีอารมณ์


    อีกเหตุผลที่สำคัญ คือ การชุมนุมถูกบริหารจัดการโดยแกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิวเอง ไม่ยอมให้ ส.ส.เข้าไปช่วย เพราะการบริหารจัดการต้องผ่านระบบหัวคะแนน ที่เป็นเครือข่าย ส.ส.ทั้งนั้น ในเมื่อไม่มี ส.ส.ช่วย ทำให้หัวคะแนนไม่มั่นใจที่จะพาคนไปร่วม

    ต่อมาเกิดเหตุช๊อค คนเสื้อแดงทั้งประเทศขึ้น เมื่อราว 17 เม.ย.57 เวลาบ่ายๆ แกนนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิว ประกาศถอยแบบเอาปิ๊บคลุมหัวไม่พอ ต้องใช้โอ่งคลุมพอไหว สั่งเลื่อนการชุมนุมวันที่ 18 เมษายน ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ละคนหน้าเจี๋ยมเจี้ยม อับอายแทบแทรกมุดลงรูในดินสัก 100 โยชน์ แพ้ราบคาบ แพ้สนิท แพ้หลุดหลุ่ย แพ้หมดรูป ที่คุยโวไว้ก่อนหน้าเสียหายยับเยิน เบื้องหลังการ Super แพ้ ครั้งนี้ที่รายงานจากขุนพลสายลับอีสาน คือ

    1. การเกณฑ์มวลชนทุยแดง มาร่วมชุมนุม เกิดความล้มเหลวหลุดลุ่ย มวลชนทุยแดงที่ถูกหลอกมาตามกระแส มีจำนวนไม่ถึง 1 หมื่นราย ส่วนมวลชนจัดตั้งของอดีต ส.ส.ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดแม้แต่เขตเลือกตั้งเดียว เพราะอดีต ส.ส.โมโหแกนนำเลวแล้วรวย ที่คราวก่อน อมเงินไปแบ่งเฉพาะพวกตัวเอง ส.ส.พวกนี้จึงรุมกันฟ้องชายดูไบ กันจ้าละหวั่น..ว่า ”หมูทำนา แต่หมากินข้าว”..ว่างั้นเถอะ ..ฮา

    2. ท่อน้ำเลี้ยงที่ชายดูไบ ปล่อยมา ให้แกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิว จึงถูกปิดก๊อกแบบไม่มีกำหนด เขาแจ้งแกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิวว่า ขอประชุมกับพวก ส.ส.วันหยุดนี้ก่อนจึงจะตอบได้ว่า จะเปิดท่อน้ำเลี้ยงเมื่อไหร่ และจะสั่งให้เดินแผนยังไง

    เมื่อคากคกตู่ ใส้เดือนเต้น ได้รับคำตอบจากชายดูไบ ก็เรียกประชุมด่วนทันที ในที่ประชุมต่าง วิพากษ์วิจารณ์ ชายดูไบ, ปูเน่า, คนสนิทของตระกูลชิน อย่างเสียๆหายๆ เช่น
    - ไอ้ขี้ขลาด #$%$^%&*&+*^&%$#....บ้างล่ะ (ฮา)
    - อ่อนหัด บ้างล่ะ , ไม่สู้จริง บ้างล่ะ
    - กลัวชายชุดเขียวเกินไป บ้างล่ะ
    - เชื่อแต่พวกชอบเลีย บ้างล่ะ , ไม่เชื่อพวกนักรบ (จอม อมเงิน) อย่างพวกมันบ้างล่ะ
    - หลอกใช้พวกมันอีกแล้วบ้างล่ะ
    ..โถๆ หัวล้านแล้วน้อยใจ..ที อมเงินหัวคิว ส.ส.เขามาได้เงียบกริบเชียว อมมาหลายพันล้านบาทเลยนะนั่น !!

    แต่หนักที่สุด คือ คำพูดของคางคกตู่ ที่ห้าวด่านายว่าว่า "หลงเข้าใจผิด คิดว่าเขาจะเป็นนักสู้อย่างพวกเรา แต่เขาเป็นได้เพียงพ่อค้าเท่านั้น”..เอ้า..พอเขาไม่เติมเงินม็อบมาก็งอน..จากนั้นแกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิวก็วิเคราะห์กันว่า ชายดูไบ อาจแอบจับมือกับพวกชนชนสูง ยอมคายอำนาจทางการเมือง และใช้แกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิว เป็นเครื่องสังเวยทางการเมือง ชายดูไบ อาจสั่งให้น้องเขย จัดการลงโทษแกนนำแดงในวันที่ 18 เม.ย. เป็นต้นไป (โห้..รู้ทันป๊าด)

    เมื่อในวงวิเคราะห์เช่นนี้ทำให้ ทั้งคากคกตู่, ใส้เดือนเต้น ถึงกับหน้าถอดสี ตาเหลือกถลน เข่าอ่อน หนาวเหน็บเดือนเมษา เยี่ยวพาลปริบซืมไหลย้อย ออกมาที่ขากางเกง แกล้งพาลพาโล จะหลอกศาลไคฟงว่าป่วยเอาซะงั้น..เอาซิวะ ระหว่างชายดูไบ , ปูเน่า กับ แกนนำแก๊งค์อมเงินหัวคิว ใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะยิงใครก่อน ใครลงมือก่อนก็รอดล่ะวะ งานนี้ 2 ตัวสัตว์เลื้อยคลานนี่ตายสถานเดียว ขอบอก เสือกไปอมเงินเขาซะขนาดนั้น ฆ่าคางคก กับใส้เดือน ไม่ถือเป็นบาปมากด้วย เพราะมันคือ สัตว์เดรัจฉาน !!

    ดูท่า นอกจากปูเน่า จะอุบาทภัย ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างๆ ที่เคยเล่าแล้ว ต่อไปจะเจอ อุบาท บาทาของสุจริตชนเข้า โทษฐานดื้อไม่เข้าเรื่อง ส่วนใส้เดือนเต้น ก็ปลาหมอตายเพราะปาก เคยสาบานหน้าเวทีขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานว่า “ ถ้าพวกมันเกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง สั่งการเผาที่ราชประสงค์...ถ้าเกี่ยวข้อง “แม้แต่นิดเดียว” ขอให้พินาศล่มจมในวันนี้ พรุ่งนี้.." เอ..

    เสธ ฝากกรมคุก ช่วยล้างคุกห้องเล็กๆ มืดๆ เตรียมไว้สัก 2 ห้องนะ..และช่วยจัดนักโทษล้ำๆ บึกๆ ตัวใหญ่ที่สุดไว้ให้สัก 2 โหล..เอาแบบพวกดำๆ ทมึนๆ กลัดมัน หื่นๆ น้ำลายไหลฟูมปากย้อย และซาดิส น่ะ

    ช่วงวันที่ 18 เม.ย. เป็นต้นไปเผื่อศาลไคฟง ท่านจะส่งนักโทษน้องใหม่ไปให้สัก 2-3 คน..ฮา


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 เมษายน 2014
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    [​IMG]

    พอดีไปอยู่วัดช่วงสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 10
    เพิ่งออกมาเมื่อคืน ฝันว่า เหมือนจะมีงานสำคัญของกองทัพ การปะทะครั้งสำคัญอะไรแบบนี้ พอดีมาอ่านเจอ..เลยจำได้
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    18 เม.ย.57 เผย..ข้าวผัดกับไข่ดาวพ่อ และ แฉประวัติผู้นำแก๊งค์อมเงินม็อบแดง

    ตามที่ตั้งใจไว้ คือ จะเล่าเรื่องที่เกิดความประทับใจกับในหลวงของเหล่าทวยราษฎร์ ผสมกับสถานการณ์บ้านเมือง เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีความมั่นใจในการประพฤติและปฏิบัติดี ตามรอยพระยุคลบาท ประชาชนผู้หลงผิดจะได้กลับเนื้อ กลับตัว หยุดหมิ่นให้ร้ายเบื้องสูง และหันมาช่วยกันขับไล่ ป้องกัน ไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ และก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองได้

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้น บัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตร กลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ ของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา จน 29 ปีต่อมา มีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่า พระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้น เป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพิมพ์ลงว่า หากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน

    ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ ที่ไม่มีใครคาดถึง คือ ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบว์หลุดอะไรหลุด พระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับพระองค์ท่านก็ทรงปัดออก อย่างมิถือยศศักดิ์ของพระองค์

    ครั้งหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเพื่อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท เพราะจะต้องไปดูงานในป่าในดง ไม่มีใครได้ทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ข้าราชบริพารท่านหนึ่งหิวมากรีบจะไปกินข้าวช่วงรอทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท วิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จ เขาก้กินกันจนหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระทะ กับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ ข้าราชบริพารท่านนั้นก็ตักข้าวผัด และเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดและไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนข้าราชบริพารท่านนั้นก็จะไปหยิบมากิน มหาดเล็กบอกว่า "ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก"

    มหาดเล็กตักมาจากก้นกระทะเลย ท่านก็เสวยเหมือนๆ กันกับประชาชนเรานี่แหละ แค่ข้าวผัดกับไข่ดาวจานเดียว ลองคิดตามคนๆ หนึ่งถ้าหากว่าเขามีฐานะร่ำรวย จะใช้จ่ายให้สำราญ ฟุ่มเฟือย เขาจะใช้ประมาณไหน เช่น รับประทานอาหารต่อมื้อ ต่อวัน แค่ไหน จะใช้เงินทองให้เป็นประโยชน์เพื่อตนเองเท่าไร หลายคนที่มีโอกาสเสพสุขสำราญ กลับกินทิ้งกินขว้าง ใช้จ่ายอาหารแสนแพง ทั้งๆ ที่คุณค่าอาหารมื้อนั้น อาจจะไม่แตกต่างจากข้าวผัดไข่ดาว พระองค์ ทรงสอนโดยกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ให้ทุกคนดำเนินตามวิถีพอเพียง และรู้สึกเป็นสุขใจในสิ่งที่มีอยู่ขณะนั้น โดยไม่ต้องไขว้คว้าในสิ่งที่เกินกำลังของตนเองให้เกิดความทุกข์ ทรงทำเพื่อผู้อื่นตลอดมา ซึ่งพระองค์ไม่รู้จักราษฎรทุกคนด้วยซ้ำ

    แล้วนักการเมืองที่โกงกินเอาเปรียบชาวนา หลอกลวง แอบเอาข้าวไปขาย แล้วชักดาบเอาเงินที่ควรจะจ่ายจำนำข้าวของชาวนาไป ไซฟ่อนเงินไปฮ่องกง 6 หมื่นล้านบาทเข้ากระเป๋า เอาเงินส่วนหนึ่ง 1 หมื่นล้านบาท มาจดทะเบียน บริษัทเพื่อประเทศไทยใหม่ กับ กกต.ละอายใจบ้างไหม ลูกสาวทอมเลสเบี้ยน ก็กินไข่ปลาคาร์เวียร์ถ้วยละ 2 แสนบาท จ่ายเงินคืนค่าจำนำข้าวให้ชาวนาผู้อดอยากได้ 13.5 ตัน , ศรส. (ศูนย์รวมสัตว์) สมัยยังไม่ยุบไป แดกอาหารหรู เหล้า จากภาษีประชาชน กันแค่ 50 คน วันละ 5 แสนบาท หรือจ่ายเงินจำนำข้าวคืนให้ชาวนาได้ 33.5 ตัน ละอายใจบ้างไหม..

    ถามคนเสื้อแดงหน่อย จะทนให้บริษัทเผาไทย และแก๊งค์อั้งยี่แดง กดหัวคนเสื้อแดงด้วยกันเอง แบ่งแยกชนชั้น ไปอีกนานแค่ไหน?.. บางคนขับแท็กซี่ ทำงานโรงงาน ชาวไร่ ชาวนา ตัวเองและครอบครัวก็แทบไม่มีจะแดก ชักหน้าไม่ถึงหลัง แล้วยังจะมีหน้ามาต่อสู้เพื่อเศรษฐีแสนล้าน เพื่อให้แก๊งค์ อมหัวคิวจัดม็อบ รวยไปอีกครั้ละหลายพันล้านจากท่อน้ำเลี้ยง จะโง่ให้หลอกใช้ไปถึงไหน ตื่นซะบ้างเถอะประชาธิปไตย และความเท่าเทียมหนะ แกนนำ นปช.น่ะ คนเสื้อแดงไปเลือกตั้งมันมาหรือเปล่า แล้วมันอมเงินหัวคิวค่าจัดม็อบ จนลือกระฉ่อนไปทั่วในคนเสื้อแดงน่ะ มันเท่าเทียมหรือเปล่า..ตื่นจากความลอกหลวงจอมปลอมได้แล้ว

    แถมแท็กซี่บางคน ฟังแต่รายการวิทยุหมิ่น นินทาให้ร้าย เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน ที่เขาเกี่ยวสัญญาณเสียงทางอินเตอร์เน็ต มาจากต้นทางคือชูพงศ์ ที่มันหนีหมายจับหมิ่นไปอยู่เมืองลุงแซม ไกลคนละซีกโลกโน่น แล้วมันดันมารู้ดีถึงเรื่องเบื้องสูงในไทย พวกทุยแดงนี้ก็ฉลาดน้อย ฟังวิทยุและจดจำแต่คำใส่ร้ายของมันมา ทำมาหากินบนแผ่นดินที่บรรพกษัตริย์ เขาต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อมา กว่าจะเป็นวันนี้ กลับทรยศเบื้องสูงซะอีก จิตใจจึงจมปลักอยู่กับความโสมม แบบนี้เมื่อไรชีวิตจะลืมตาอ้าปาก พ้นความลำบากทุกข์ยากกับเขาเสียที

    พวกทุยแดงนี่เท่าที่รู้ มีความเชื่อฝังหัวว่าชายดูไบ เป็นเหมือนเทวดา เป็นคนเก่ง ที่สำคัญเป็น "มหาเศรษฐี" ทำให้กลิ่นของคนรวยนั้นมันหอมนัก ทำอะไรก็ดี พูดอะไรคนก็เชื่อ แถมยังมีทุยแดงเชื่อแบบไร้สติอีกว่า เขาถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแก ถูกอิจฉา เพราะเก่ง อัจฉริยะ. แต่จริงๆ แล้วชายดูไบเป็นพวก “ กินก๋วยเตี๋ยว แล้วเอาลูกชิ้นอมน้ำลายก่อน” เหลือลูกเดียว ก็ไม่ให้คนอื่นกิน เคี้ยวๆ แล้วก็คายทิ้งให้พวกพ้องตัวเองกินต่อ มันรวยแต่แสนจะงก

    ที่หวยใต้ดิน ยาบ้าดูเหมือนจะเบาหน่ะ คือ ภาพฉากหน้า เพราะเป็นการล้มโต๊ะเอางานไปให้พวกพ้องตัวเอง หวยรัฐแพงมาก จนซื้อไม่ไหว ก็เพราะมันส่งคนไปเป็น ผอ.กองหวย แล้วให้โควตากับพรรคพวกตัวเอง มาขูดเงินเอากับคนเสื้อแดงที่ชอบเล่นหวยนั่นแหละ ส่วนยาบ้า ก็ไม่ได้หมดไปจากแผ่นดินไทย มีช่วงนั้นแต่การฆ่าตัดตอน ผิดบ้าง ถูกบ้าง จากอำนาจชายชุดดำกันตายทุกวัน.

    ชายดูไบ เป็นคนแบบไหนหน่ะหรือ เขาเป็นคนธรรมดา แต่กลับมีความโลภ โกรธ หลง บริโภคนิยม ฟุ่มเฟือย มากกว่าคนปกติราว 100 – 1,000 เท่า ไม่เคร่งในศีลธรรม หรือภาวนาจิต ชอบแต่คุณไสย์ จะไม่เคยได้ยินข่าวเขายอมทำทานมากๆ ต่อโครงการสาธารณะกุศลเลย เหมือนมหาเศรษฐีอื่นๆ ของโลก เช่น บิลเกต ที่ยกสมบัติตนทั้งหมดเกลี้ยงบริจาคหมด คนเสื้อแดงตาสว่างได้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ชายดูไบ และเครือญาติ กับพวกพ้อง จะต้องชดใช้กรรม ที่เอาสมบัติของชาติส่วนรวม กับเงินภาษีของพี่น้องประชาชน คดโกงไปเป็นส่วนตัว ทำตามที่กิเลส ในใจอยากทำ

    คำว่าประชาธิปไตย ที่แกนนำพร่ำเพ้อทุกวัน มันก็แค่รับจ้างเล่นลิเกบนเวที ที่มีฉากหลังสวยงามบังด้านหลังเวทีที่เน่าเฟะเอาไว้ ก็เพื่อหาความชอบธรรมให้ตัวเอง ใจชั่วคิดเอาเปรียบคนเสื้อแดงอยู่ตลอดว่า คนเสื้อแดงน่ะเงินน่ะซื้อได้ตลอด แต่อย่าลืมว่าเงินไม่สามารถซื้อ “ กฏแห่งกรรม" ที่พวกตัวเองก่อขึ้นกับประเทศไทย ที่ไต้ผืนดินมีกองกระดูกของบรรพชน ฝังทับถามกันหลายชั้นมากกว่า 800 ปีมาแล้ว

    ความที่เป็นคนดื้อ และหลงตัวเอง ว่าเป็นเหมือนฮิตเลอร์ จึงเป็นความผิดพลาดในการเดินเกมส์ ที่ไม่สามารถดึงมวลชนเสื้อแดงกลับมาสวามิภักดิ์ได้ ในเริ่มแรกปี 54 ชายดูไบได้เล็งเห็นชัยชนะจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารบ้านเมือง ก็ลำพองใจกระหยื่มยิ้มย่องหลงระเริงในอำนาจ คิดจะสลายมวลชนเสื้อแดง เพราะรู้ว่าพวกแก๊งค์อมเงินหัวคิวนี่แหละ หากทิ้งเอาไว้จะเป็นหอกข้างแคร่ แว้งกลับมาทิ่มทิ่มแทงตัวเองทีเผลอได้ ประกอบกับกับมวลชนทุยแดงฉลาดน้อยเหล่านี้มีแต่เถื่อน ถ่อย คนไม่เต็มเต็ง และคนจรจัดไม่มีการมีงานทำ เป็นแต่พวก “ แบมือขอ รอของแจก แดกของฟรี “ และมีแนวโน้มจะดื้อ และควบคุมได้ยากมากขึ้น

    เขาจึงพูดขอให้สลายคอมมิวนิสต์แดงกลายพันธุ์ และแก๊งค์อมค่าหัวคิวไม่กี่ประโยค ทำนองว่าพายเรือมาส่งถึงฝั่งแล้ว พวกมึงกลับขึ้นเรือออกทะเลไป ที่เหลือกูจะเดินต่อไปเอง ไม่ทันข้ามวัน ก็โดนกระแสโวยวาย โวกเวกยกใหญ่ เขาเลยต้องถอยความคิดการสลายมวลชนหอกข้าวแคร่นี้ไว้พลางก่อน เมื่อสลายไม่ได้ ก็เลยเดินเกมใหม่ โดยสกัดอย่าให้มันรวมหัวกัน มีมวลชนที่เข้มแข็ง จึงคิดแผนตียึดหัวเมืองให้แก๊งค์ต่างๆ ไม่ขึ้นต่อกัน ดังนั้นแก๊งค์ทวงหนี้หัวคิวนอกระบบนอกกฎหมายแต่ละแก๊งค์ ก็เลยไม่กินเส้นกัน แย่งพื้นที่กันเด่นดัง แย่งกันสร้างผลงานชั่ว

    เพราะชายดูไบ รู้ว่า คนเหล่านี้มันเป็นพวกหมาขี้เรื้อนตะกละตะกลาม และชอบเหลิงในหัวโขน มีมวลชนในมือแค่หยุ้มขนรักแร้ ตั้งแก๊งเถื่อนต่อย ตี ยิง ปาระเบิด แล้วมาตั้งบิลล์เบิกเงิน ที่นี้แก๊งค์พวกนี้ต่างก็พาดังแล้วแยกวง แตกตัวเป็นตุ่ม ผด สิว เต็มไปหมด มวลชนที่เคยอยู่ใต้อาณัติสังเกิดของของ ส.ส.ที่เขาครองพื้นที่อยู่ ต่างก็พากันตั้งตนเป็นใหญ่ข่มกดอยู่เหนือหัวแทน ส.ส. หัวหน้าสายม็อบพวกนี้ แทนที่จะฟัง สส.เหมือนที่เคย ก็กลายมาเป็นนายสามารถชี้นิ้วสั่ง สส.ซ้ายหัน ขวาหันได้ สนุกบันเทิงกันใหญ่เลยทีนี้

    แถมแก๊งค์คอมมิวนิสต์แดงกลายพันธุ์ และแก๊งค์อมค่าหัวคิว ก็เอาผลประโยชน์ค่าจัดม็อบชิ้นปลามันไปหมดเลย ทำนอง “ หมูทำนา หมาแดกข้าว” ค่าครองชีพก็แพงแบบบูรณาการ แพงตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แพงตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แพงไม่มีจุดจบ แพงทั้งแผ่นดิน ..เงินจำนำข้าวก็ไม่ได้ เงินชดเชยพืชไร่ก็แห้ว มวลชนเริ่มรู้ตัวว่าเลือกเหี้ย เข้ามาปกครองควายเข้าให้แล้ว ก็ปันใจออกห่างมากขึ้นทุกขณะ หายไปกว่า 50% และลดลงตลอดเวลา ที่บริษัทเผาไทย และแก๊งค์อั้งยี่แดง แสดงสันดานดิบเถื่อน เลวระยำให้ปรากฏชัดเจน จนไม่เคยมียุคสมัยใดที่ความดี กับความเลวชัดเจนแจ่มแจ๋ว แยกขาดจากกันได้เท่ายุคนี้

    นานวันเข้า ส.ส.บริษัทเผาไทย หลายเขตก็เริ่มเห็นเค้ารางหายนะของตนเอง มวลชนตัวเองตีจากไปซบฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา เงินน่ะเอา แต่ขอชุมนุมในพื้นที่แบบเช้าไป เย็นกลับ และยืนยันไม่ไปร่วมชุมนุมกับแก๊งค์คอมมิวนิสต์แดงกลายพันธุ์ และแก๊งค์อมค่าหัวคิว เพราะไปแล้วกลับไม่ได้ ต้องตายสถานเดียว ไปชุมนุมเหมือนเข้าสนามรบก็ไม่ปาน ส.ส. เขตก็เริ่มต่อสู้อย่างลับๆ โดยการเฉื่อยชา แข็งขืน ไม่ยอมจัดทุยแดงมาช่วยม็อบ

    แก๊งค์แบ่งแยกดินแดนแดง นปช. ที่ส่วนกลาง นปช.เองก็ไม่มีมวลชนเป็นของตัวเองที่จริงใจ ลดลงไปตามความเสื่อมถอยของเจ้ามูลเมือง และทาสไพร่บริวารก็ไร้ความขลัง จุดไม่ติด เพราะหลายปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าไม่มีจริง คนอีสานเปลี่ยนไปมาก ที่ผ่านมาพวกที่เคยชื่นชมหัวชนฝา ตอนนี้ไม่กล้าเอาหัวชนฝาอีก เพราะชาวนาเดือดร้อนมาก

    ที่มีก็แบมือขอเงินลูกเดียว “เงินไม่มา งานไม่เดิน” ดูแรมบ้า กับขวัญควาย เป็นตัวอย่าง พอถึงคราวต้องการใช้มวลชนทุยแดงรับจ้างเยอะๆ มารวมพลัง จึงไม่มีโอกาสทำได้อีกต่อไปแล้ว ได้มากสักหมื่นรวมการ์ดนี่ก็โครตๆ จะเวอร์แล้ว ดังนั้นเมื่อคากคกตู่ นัดวันชุมนุมใหญ่ที่อักษะครั้งที่แล้ว และหลังสงกรานต์ เพื่อจะสู้จนกว่าชนะ ท้ากำนันวัดจำนวนมวลชน คุยโวว่าจะขนทุยแดงมา 4 ล้านเขา บรรดา ส.ส.ในบริษัทเผาไทย จึงหัวเราะกันจนตัวแทบขาด น้ำหู น้ำตาไหล เยาะเย้ยถากถางกันต่างๆ นานา เพราะพวกเขามองว่าสู้รุนแรงแบบนี้เปลืองตัว แพ้แน่นอน 100% ไม่ยั่งยืน แถมเตะหมูเข้าปากหมา

    ดังนั้น ไม่ว่าแกนนำแก๊งค์คอมมิวนิสต์แดงกลายพันธุ์ และแก๊งค์อมค่าหัวคิว จะนัดวันอีกสักกี่รอบ อีกสักครั้ง ช่วงวันศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินคดีสิ้นสถานภาพปูเน่า หรือวัน ปปช.ชี้มูลความผิด ให้ขู่กรรโชกโฮกฮาก สำรอกสวะออกจากปากเท่าไร มันก็ไม่มีทางสำเร็จ มวลชนที่มาแม้จะเป็นทุยแดง แต่เขาก็ได้รับข่าวสารจากลูกหลาน กลัวแกนนำแดงบอมบ์กันเองเละสร้างถานการณ์เอาไปเข้าโรงเชือด ทำเนื้อแดดเดียวตากแห้ง จึงขอเป็นนักรบหน้าจอทีวีที่บ้านต่างจังหวัดดีกว่า ปลอดภัยกว่ากันเยอะ

    ดังนั้นด้วยพระบารมีของเบื้องสูง เรื่องสงครามกลางเมืองในบ้านเรา คงแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศไทยรุนแรงอีกแล้ว ทุยแดงเข็ดแล้ว เพราะพวกที่ถูกจำคุกอยู่ตอนนี้ก็เห็นกันโต้งๆ อยู่ ไม่เคยได้รับการเหลียวและจากแกนนำใดๆ เลย ถ้าจะมีความรุนแรงก็แค่การก่อการร้ายรับจ้างแบบนักเลง

    ตามที่ผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไคฟงมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว คากคกตู่ และใส้เดือนเต้น จำเลยในคดีก่อการร้าย เนื่องจากกระทำผิดเงื่อนไขศาล ขึ้นเวทีปราศรัยปลุกปั่น โคราช เมื่อเดือน ก.พ.57 ที่ผ่านมานั้น ศาลไคฟงอาญา พิจารณาแล้วยกคำร้องถอนประกันตัว ชี้ว่ายังไร้เหตุปลุกปั่น ก็เคารพในความเห็นของท่าน ที่อาจเห็นพฤติกรรม 2 ตัวนี้ไม่เหมือนประชาชน ที่อยากให้พวกก่อกวนนี้เข้าไปโดนอัดตูดในคุก ก็ต้องสู้คดีกันต่อไปจนกว่าจะถึงฎีกา ดูซิว่าทุยแดงจะให้ร้ายศาลไคฟงอีกหรือไม่ว่า 2 มาตรฐาน

    วันก่อน คางคกตู่กลับมาที่บ้านวิสต้าซอยวัชรพล พอมาถึงก็นำเอา อุบาท ติดตัวมาให้เพื่อนบ้านด้วย คือ มีพายุฤดูร้อนถล่มซะเละ ฝนตกหนักไม่หยุด เหมือนว่าฟ้าพยายามเอาฝนมาล้างเสนียดจัญไรอย่างไรอย่างนั้น

    คางคกบอก หางแถวอยู่โคราดดดดูประวัติประธานแก๊งค์แบ่งแยกดินแดนแดง นปช. คางคกตู่ ผู้ ”หนีเรียน – หนีหนี้ – หนีเมีย – หนีแม่ - หนีม็อบ ”

    1. หนีเรียน..ช่วงเรียน ป.ตรี ม.ราม คางคกตู่กว่าจะจบต้องใช้เวลา “มากถึง 8 ปี” ที่สอบไม่ผ่านภาษาอังกฤษตามเกณฑ์ เป็นนักกิจกรรมแห่งบริษัทศรัทธาธรรม ของนักศึกษาใน ม.รามฯ ในสมัยเป็นนักศึกษา คากคกตู่ อาศัยกินนอนใต้ถุนกุฏิวัดบวรฯ กับพี่ชายต่างมารดาที่เป็นพระ

    2. หนีหนี้..คากคกตู่ไม่ได้ชำระตั้งแต่เป็นนักศึกษารามฯ และนักกิจกรรมสังกัดบริษัทศรัทธาธรรม โดยเป็นหนี้ที่ยืมจากนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง จำนวน 1,500 บาท ที่นำไปใช้ในงานรับน้องที่ภูหินร่องกล้า , หนี้ร้านข้าวแกงแม่สุพรรณฯ โรงอาหารหลังที่ 1 ที่เซ็นค่าอาหารในงานรับน้องไว้ 4,500 บาท , หนี้ที่ค้างโรงพิมพ์กัวเซ้ง คลองตัน ค่าพิมพ์โปสเตอร์หาเสียงเลือกตั้ง องค์การนักศึกษา ประมาณ 10,000 บาท ..ทั้งหมดจนบัดนี้ก็ยังไม่ใช้

    แม้คากคกตู่จะใส่นาฬิกาหรูเรือนละล้านกว่าบาท , รถยนต์ 2 คันราคาแพง , บ้านหรูซอยวัชรพล ที่ได้มาจากค่าแรงการเผาประไทยไทย รวมทั้งแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.มีมาก 8 ล้านบาทแต่มันก็ไม่เคยสนใจจะใช้หนี้เลย..แต่กลับทำตัวเป็นแก็งค์ทวงหนี้นอกระบบ จากชายดูไบ เพื่อเป็นค่าจัดม็อบ แล้วเอาคนเสื้อแดงไปฆ่าทิ้ง เพื่อความสะใจ

    3. หนีเมีย..ตอนคากคกตู่เรียนรามฯ เขาจะสร้างความเคลิบเคลิ้มให้นักศึกษาเห็นว่า เขาสังกัดฝ่ายก้าวหน้า ฝ่ายประชาธิปไตย ทำเอานักศึกษาหญิงหลงใหลไปตามๆ กัน เช่น “น้องเทียน” หรือ “ฮ่องเฮา” นักศึกษาสาวจาก ม.กฎหมายเก่าแก่ หรือ “ปา” จากรามฯ ที่คากคกตู่จึ๋งกันถึงขั้นสาบานร่วมกัน ต่อหน้ารูปปั้นพ่อขุนฯ ในมหาวิทยาลัย ว่าจะไปสู่ขอต่อพ่อแม่ฝ่ายหญิง..เมื่อเจาะไข่แดงแล้ว คากคกตู่ก็เบี้ยวคำสาบาน ไม่เคยโผล่ไปอีกเลย!..เมียอีกคนที่คากคกตู่ทิ้งคือ “นวล” ที่มีลูกติดอีก 1 คน อยู่ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ , เมียอีกคน คือ พิธีกรบนเวทีชุมนุมชื่อ นาง ป็นคน จ. น่าน เดิมเป็นผู้ประกาศช่องหอยม่วง ไปอยู่ทีวีช่องแดง เป็นเมียคนขับรถเจ๊เพ็ญ ต่อมาคากคกรับช่วงต่อ ได้รับค่าเลี้ยงดูเดือนละ 2 หมื่นบาท พร้อมกับเงินเดือนที่เป็นผู้ประกาศ เดือนละ 38,000 บาท ผ่อนรถเก๋งให้ 1 คัน พักอยู่อพาร์ตเม้นต์แถวลาดพร้าว 95 ยังแวะเวียนไปส่งส่วยกันอยู่

    ต่อมาหลังสลายชุมนุมปี 53 คากคกตู่หนีไปอยู่ที่เมืองน้ำดำ กาฬสินธุ์ ไปมีเมียใหม่อีกคนชื่อ โต๋ ที่นั่น และไม่จดทะเบียนมัดกัน

    4. หนีแม่..คากคกตู่เกิด 2508 มีบิดาและมารดา อยู่ ต.พรุพี อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี พี่สาวต่างบิดา ผู้ดูแลแม่ บอกว่า คากคกตู่ออกจากบ้านไปอยู่กับพ่อที่ จ.นครศรีฯ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แล้วก็หายไปไม่มาอีกเลย เขากลับมาเจอแม่ และพี่สาวโดยบังเอิญ เมื่อ 5 ปี 2548 ตอนร่วมงานศพพี่ชายต่างบิดา ซึ่งแม่มีสุขภาพไม่ดีเดินไม่ได้ หลงๆ ลืมๆ ได้แต่บ่นหาคางคกตู่ทุกวัน

    แม่เขาเคยกล่าวถึงคางคกตู่ว่า เสียใจกับการกระทำของลูกชาย ได้พยายามโทรศัพท์ไปหาให้ยุติ แต่เขาไม่เคยรับโทรศัพท์ เมื่อรู้ข่าวต้องนอนร้องไห้ทุกคืนจนนอนไม่หลับ และไม่คิดว่าลูกจะทำอย่างนี้ จึงขอให้เลิกทำผิดแล้วแม่ให้อภัย

    5. หนีม็อบ..เมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี พ.ศ.2535 คากคกตู่ ก็ยุยงม็อบที่ถนนราชดำเนิน จนคลั่งแค้นให้สู้กับชายชุดเขียว พอยิง "ปัง!" นัดแรก คากคกตู่กับพวก ก็วิ่งหนีเป็นชุดแรก ลงเรือ บ.ครอบครัวขนส่ง ในคลองแสนแสบหายตัวไป ปล่อยให้มวลชนถูกวิสามัญจากเจ้าหน้าที่
    ช่วงเป็นผู้นำทุยแดงก่อจราจลปี 52 ช่วงสลายการชุมนุม คากคกตู่ก็หนีแกนนำคนอื่นไปก่อนใครเพื่อน ต่อมานำม็อบก่อจลาจลเผา กทม.ปี 53 ช่วงสลายการชุมนุม เขาก็ยังมีนิสัยเดิมคงเส้นคงวา คากคกตู่เยี่ยวปริบคาเวที ขณะที่ปราศรัยอย่างดุเดือดพร้อมกับร้องเพลงปลุกใจมวลชนอย่างคึกคัก ได้เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง โดยยังไม่รู้สึกตัว แต่พอโดนเข้าหลายนัด เจ้าตัวถึงกับผวาฟุบล้มลงกับพื้นตะกายหนีจากเวทีเป็นคนแรก ร้อนถึงการ์ดหลายคนต้องช่วยกันพยุงอย่างชุลมุน

    หนีแกนนำคนอื่น และหนีมวลชนก่อนใครเพื่อน หนีไปกบดานที่รัชเพชรอพาร์ตเมนท์ อยู่ฝั่งตรงข้ามวิทยาลัยนาฎศิลป์เมืองน้ำดำ สลับกับบ้านบ้านแม่ยาย ในเขตเทศบาล เพราะที่เมืองน้ำดำ นี้มี ส.ส.บริษัทเผาไทย ทั้ง 6 เขต

    ประวัติ หัวหน้าแก๊งค์แบ่งแยกดินแดนแดง นปช. ที่เป็นผู้นำจะพาชีวิตทุยแดงตกต่ำ ”หนีเรียน – หนีหนี้ – หนีเมีย – หนีแม่ - หนีม็อบ ” และนำไปสู่การชุมนุมที่ แสนอนาถ แสนขยะ แสนอดสู แสนทุรนทุราย แสนถ่อยเถื่อน..ก็คงยังมีทุยแดงอีกนิดหน่อยที่ยังไม่สำนึก คงรอให้วิญญาณเห็นโลงศพก่อนจึงจะสำนึกได้ หน้าร้อนๆ แบบนี้ใครมาก่อเหตุเผาบ้านเผาเมือง ก็จะได้เห็นเทศกาลทำความสะอาดแผ่นดินด้วยเฮลล์บลูบอย และล้างถนนอีก ที่หนักหน่วงและรุนแรง

    ตอนนี้ชายผู้ไม่ค่อยยิ้ม แห่งกองทัพชายชุดเขียว ผู้อยู่เบื้องหลังการขอรัฐอั้งยี่แดง ไม่ให้คางคกตู่ได้รับตำแหน่ง รมต. มีแนวคิดการตั้งหน่วยทรหด (Ultimate Soldier) ของ ให้มีหน่วยที่รบได้ในทุกสภาวะ ให้เป็นยิ่งกว่าหน่วยรบพิเศษ หน่วย Seal หรือ Recon มารวมกัน โดยให้ทุกหน่วย ทุกเหล่า จัดตั้ง แล้วมีการแข่งขันทดสอบกันทุกปี

    เนื่องจากบ้านเมืองปัจจุบันมีภัยคุกคามหลายรูปแบบ กองทัพชายชุดเขียว จึงต้องเตรียมหน่วยให้พร้อมรับมือเพื่อป้องกันประเทศ จากภัยคุกคามทั้งในและนอกประเทศ ชายชุดเขียวตอบแทนประเทศได้อย่างเดียวคือชีวิตและจิตใจ ที่พร้อมเสียสละได้ตลอดเวลา การดำเนินทุกอย่างของกองทัพ เป็นไปด้วยความถูกต้อง ชอบธรรม และให้กำลังพลยึดมั่นไว้เสมอว่า ไม่ว่าวันใดกองทัพจะยังเป็นที่พึ่งของประชาชน

    เตือนทุยแดงแล้ว ถ้าแกนนำแดงนัดแล้วยังมีพวกเชื่อเขาหลอกจ้างมา แล้วโดนพวกเดียวกันบอมบ์จนเละ แล้วจะมาร้องเพลง “เหลียวมองดูควาย โถใครทำมัน..ไม่พ้นไอ้ควายต้องเลียน้ำตา..ไม่ได้นะ


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    19 เม.ย.57 เผย..ช่วยชาวเขา ชาวเรา ช่วยชาวโลก และ คิดผิดเป็นเเบบศาลา

    ประมาณ 800 ปี หากนับตั้งแต่สมัย อาณาจักรสุโขทัย ราชวงศ์พระร่วง มาจนถึง ราชอาณาจักรไทย ราชวงศ์จักรี ชนชาติไทยของเรามีพระมหากษัรติย์ ที่คอยปกป้อง ดูแลประชาชน มาแล้วถึง 52 พระองค์ คำว่า “กษัตริย์ ” แปลว่า นักรบ หรือ จอมทัพ เพราะในสมัยโบราณนั้น ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระเนรศวรมหาราช (อโยธยา) หรือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กษัตริย์ทรงเป็นนักรบ ที่ทรงนำทัพออกรบต่อสู้ และขับไล่อริราชศัตรูที่มารุกราน รังแกชนชาติไทย เพื่อให้ราษฎรได้พ้นจากภัยสงคราม อยู่ร่มเย็นเป็นสุข

    แต่ในปัจจุบัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ด้านการปกครอง ถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือน พระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ในส่วนการศึกสงครามก็มีกองทัพบก เรือ อากาศ ในการปกป้องประชาชนไทยจากต่างชาติ ที่มีข้อพิพาทดินแดนกันประปรายในบางปี เช่น มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา หรือการร้องขอจากสหประชาชาติ / ประเทศพันธมิตร เข้าไปร่วมรบในบางสงคราม เช่น เวียดนาม เกาหลี

    พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้รับพระราชทานพระนาม “ ภูมิพลอดุลเดช “ ให้กับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางโทรเลขจากไทย ถึงสหรัฐอเมริกา หลังวันพระราชสมภพ 9 วัน เนื่องจากพระบรมราชชนก และพระบรมราชชนนี ของพระองค์กำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ที่นั่น ต่อมา พระองค์เองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" (มีตัว "ย" สะกด) จนถึงปัจจุบัน พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิ หมายถึง "แผ่นดิน" , พล หมายถึง "พลัง" , อดุลย หมายถึง "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายถึง "อำนาจ" รวมกันทั้งหมดแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดินอำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"

    ขณะขึ้นครองราชย์ฯ ในหลวงได้ทรงตรัสพระปฐมบรมราชโองการ ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ยึดมั่นปฏิบัติบำเพ็ญพระองค์ ด้วยเดชะพระบารมี บ้านเมืองไทย จึงมิได้มีภัยสงครามรุกราน จากนอกพระราชอาณาจักรที่ร้ายแรง จะมีก็แต่ "สงครามกับความยากจนลำเค็ญ" ของราษฎรไทยในเขตชนบท พระองค์จึงได้ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ เป็น “จอมทัพ” ทำสงครามขจัดภัยแห่งความยากจนของราษฎร ด้วยพระปรีชาสามารถ พระขัตติยมานะ พระวิริยะอุตสาหะ และด้วยน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตาการุณา ทรงรักราษฎรของพระองค์เหมือนลูกหลาน ท่านจึงเป็นพ่อของแผ่นดิน เพื่อพสกนิกรของพระองค์ได้อยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า

    พ่อของแผ่นดิน ได้พระราชทานวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไว้ 3 ประการ คือ "ช่วยชาวเขา- ช่วยชาวเรา-ช่วยชาวโลก"

    - ช่วยชาวเขา..คือ เขาจนมาก เราไปช่วยให้เขารวยขึ้น ก็เป็นการช่วยชาวเขา
    - ช่วยชาวเรา..คือ ที่อยู่ข้างล่างลงมานี่ ต้นไม้ลำธารไม่ถูกทำลาย น้ำก็จะไม่ท่วม เมื่อชาวเขาลดการบุกเบิก ตัดไม้ทำลายป่า
    - ช่วยชาวโลก..คือ เอาพืชราคาดีๆ ทำรายได้ดีกว่าฝิ่นไปให้เขาปลูก แล้วชาวเขาก็จะเลิกปลูกฝิ่นโดยไม่ต้องไปห้ามอะไรเขา เมื่อทำอย่างนี้ได้แล้ว ก็แปลว่า ช่วยชาวโลก พระองค์ท่านต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะอย่างหนัก กว่าจะเอาชนะความคิดของคนบนดอยที่มักจะคิดว่า "กำฝิ่นไป 1 กำมือได้เงินเต็มหลังม้า” กับ “ ขนผักไปเต็มหลังม้า ได้เงินมา 1 กำมือ" แล้วก็สำเร็จลงได้ในที่สุด

    ชาวเขา ชาวเรา และชาวโลก ต่างก็ได้รับประโยชน์จากโครงการหลวง ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง พ่อของแผ่นดิน โดยถ้วนหน้า

    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เคยกราบบังคมทูลถามในหลวงว่า "เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่"
    ในหลวงทรงมีพระราชกระแสตอบว่า ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง “ คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ” และเหตุที่จึงไม่อาจหยุดทรงงานได้ เพราะ..”คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถ” เท่าที่จะทำได้

    ช่วงคนไทยถูกคอมมิวนิสต์ชักจูง พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคอีสาน สื่อมวลชนต่างชาติ ได้ขอกราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร และมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่ พระองค์รับสั่งตอบว่า ไม่ได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่ แต่ทรงสนพระทัยว่า “ประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลง” หรือไม่

    มีหลายครั้งที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์ ในหลวงจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่ อยู่ภายใต้แสงไฟฉาย ที่มีข้าราชบริพารส่องถวายอยางไม่สะดุ้นสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำ คือ “ โบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ “ เท่านั้น ทรงมีรับสั่งเรื่องยุง ด้วยพระอารมณ์ขันว่า ที่บางจาก แต่ไม่มีจาก หรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ “ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง” ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง “ ลองนับดูได้ข้างละ 150 ตุ่ม สองข้างรวม 300 พอดี "

    คราเสด็จที่ นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น มีครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

    เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือของยายเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยก “ดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้น “ ขึ้นจบเหนือศีรษะ แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์ แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชรา ชาวอีสานอยางอ่อนโยน ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

    หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า "หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนม ให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก"..ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิต ให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุข ต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่ง สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

    ถึงเรามีกษัตริย์ที่ มีพระราชวัง ที่ไม่มีทองคำประดับประดา อย่างพระราชวังแวร์ไซร์ พระราชวังในรัสเซีย แต่เราเป็นคนไทยคนนึง ที่ภูมิใจมากที่ กษัตริย์เรามีพระราชวังที่มีนาข้าว โรงสี โรงเลี้ยงวัว

    ** ดูคลิปคำสัมภาษณ์ BBC พ่อของแผ่นดินสมัยหนุ่มๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อนที่ https://www.youtube.com/watch?v=VJz1GYWPrWg

    นอกจากนั้นพระองค์ทรงแนะนำให้รัฐบาลแต่ละยุคสมัย สร้างเขื่อนไว้ใช้เก็บกักน้ำยามหน้าฝน ทำระบบชลประทานสำหรับนาข้าว พืชไร กับเกษตรกรอีกลายล้านคน ยามหน้าแล้งจากอดีต จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังทรงมีฝนหลวง บรรเทาทุกข์กับราษฎร์ แม้แต่ปลา พระองค์ท่านยังพระราชทานพันธุ์ปลาให้ เพื่อให้คนไทยมีปลาที่เลี้ยงง่ายราคาถูกไว้บริโภค พระองค์ท่านหามาให้ทั้งน้ำ ข้าว ปลา ว่าอย่างนั้นเถอะ..ทุกคนที่กำลังให้ร้ายพระองค์ และราชวงศ์อยู่ตอนนี้ ก็ดื่มน้ำ กินเมล็ดข้าว กินปลา ที่เกิดจากเขื่อนที่พระองค์แนะนำให้สร้างไว้นั่นแหละ..สิ่งเทียมคนพวกนี้ และครอบครัว ผลกรรมก็จะย้อนกลับมา ไม่มีแม่แต่น้ำ และอาหารกินประทังชีวิตอย่างแน่นอน

    กระบี่เกียรติยศ ที่พระองค์พระราชทานด้วยพระองค์เอง ให้แก่ นายตำรวจ มาตลอดหลายสิบปี มีน้ำหนักเล่มละ 0.99 กิโลกรัม หรือ 9,900 กรัม ณ ปี พ.ศ.2545 เฉพาะที่พระราชทานให้ตำรวจเหล่าเดียว 9,004 เล่มแล้ว คูณด้วยจำนวนผู้ที่จบแต่ละปี รวมน้ำหนัก 8,913 กิโลกรัม หรือเกือบ 9 ตัน ซึ่งมีบางคนที่ได้รับพระราชทานกระบี่พระองค์ ในปัจจุบันนี้ กลับประพฤติตนในบทบาทที่ไม่ดีต่อพระองค์ท่าน ทรยศต่อหน้าที่ตนเอง และต่อราษฎร ของพระองค์ท่านด้วย

    และที่บริษัทเผาไทย และแก๊งค์อั้งยี่แดง วางแผนชั่วคิด แยกฟ้า แยกแผ่นดิน แยกวัง ปล่อยข่าวสร้างภาพคนเสื้อแดง รักสมเด็จพระบรมฯ นัดชุมนุมที่ถนนอักษะ ใกล้วังทวีวัฒนา , เรื่องทหารราชองครักษ์ เพื่อให้สาธารณะชนเข้าใจผิดกันว่า พระบรมฯให้การสนับสนุนนั้น ไม่เป็นความจริงใดๆ ทั้งสิ้น , หรือเรื่องภาพพระบรมฯ ปี 2519 ที่คนเสื้อแดงกล่าวร้ายหมิ่นฯ พระบรมฯ โดยนำภาพพระองค์ท่าน ไปอธิบายบิดเบือนความหมายภาพให้พระองค์เสียหาย, หรือที่หมิ่นฯ ให้ร้ายพระราชบิดา พระราชมารดา พระราชวงศ์ ของพระองค์ตลอดเวลา ท่านผู้อ่านรู้สึกเช่นไร พระบรมฯ ท่านก็รู้สึกเช่นท่านนั่นแหละ แต่พระองค์ทรงวิริยะอดทนอย่างสูง

    หรือที่เสื้อแดงปล่อยข่าวหมิ่นฯ เรื่องธุรกิจการบิน ที่ชายดูไบ จะบินไปดักพบที่อังกฤษ ช่วงปลายสัปดาห์หน้า สมเด็จพระบรมฯ ท่านไม่ทรงโปรดให้เขาเข้าเฝ้าฯ เพราะพระองค์ไม่ทรงต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ ทางการเมือง สถาบันเบื้องสูงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง และพระองค์เดินตามรอยพ่อของแผ่นดินตลอดมา ทุกเรื่องที่พวกเสื้อแดงหมิ่นเบื้องสูงนำมาอ้าง เกี่ยวกับสมเด็จพระบรมฯ ตลอดมานั้น พระองค์ท่านมิได้ทรงรู้เรื่องด้วยใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่พระองค์ไม่ทรงได้มีโอกาสได้แก้ตัว จึงถูกแอบอ้างต่างๆ นาๆ สารพัด

    ส่วนที่วรชัย สุดซอย มีการปล่อยข่าวว่าขุนทหาร พากันไปเข้าเฝ้าที่วังไกลกังวล โดยมีป๋าพาเข้าเฝ้าเพื่อให้สาธารณะชนเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องการเมือง และมีข้าราชการระดับชายชุดดำใหญ่ บังอาจเอาเรื่องเท็จนี้ไปขยายผล โยงไปถึงการชุมนุม กปปส...แบบนี้ถือเป็นการหมิ่นฯ ให้ร้ายเบื้องสูง อย่างไม่น่าให้อภัย ความจริงก็คือ ในหลวงท่านโปรดให้ พระภิกษุ และฆราวาส เฝ้า น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระประจำพระชนมวาร “พระพุทธธรรมิกราชบพิตร ภูมิพลนริศรจตุราสีติวรรษมงคล” พระองค์ ทรงมีพระราชกระแสชื่นชม ทรงถือว่าเป็นมงคลที่ได้มีการถวายพระพุทธรูปงามองค์นี้..ไม่ได้มีคนที่วรชัย กล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น

    คนเป็นถึงข้าราชการชายชุดดำระดับสูง ที่พระองค์ท่านทรงเคยพระราชทานกระบี่ให้ ดวงตราหน้าหมวกเป็นถึงตราแผ่นดิน ยังไม่รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ..เอาหน้าที่ตำแหน่งไปรับใช้นักโทษหนีคดี ปากมีหูประตูมีช่อง หมิ่นฯ เบื้องสูงแบบนี้ผลร้ายจะมาถึงตัว ไปดูอดีตตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา ไม่มีใครจบดีสักคน ลำบากกันไปหมด !!

    ส่วนกรณีที่ท่านเจ้าคุณ พ. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเสาชิงช้า ได้บรรยายธรรมว่า "ศาลรัฐธรรมนูญ มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ขณะนี้ประเทศไทยกำลังป่วยไข้หนัก เพราะแตกความสามัคคี ขาดคนเสียสละ คนไทยไม่ยอมแก้นิสัยตนเอง รวมถึงภาระหนี้สินภาครัฐและเอกชนที่งอกเงยขึ้น จนไม่รู้จะแก้ไขได้อย่างไร...จึงเป็นหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน และองค์กรอิสระ ที่ “ อย่าคิดแบบศาล” แต่ให้คิด “เป็นเเบบศาลา “ ให้มาพูดคุยกันเพื่อหาทางออก และต้องมียารักษาประเทศ"..เสธ ว่าจะไม่อยากแฉ เรื่องพระเรื่องเจ้าแล้ว แต่เพื่อเป็นการเปิดหู เปิดตา ผู้ที่หลงผิดให้หู ตาสว่าง สักหน่อย

    สมเด็จพระราชาคณะหลายๆ รูป ที่เชียร์ชายดูไบ ที่แอบไปวุ่นวาย กับพระลูกวัดหนุ่มๆ ภาพถ่ายมีนะ , โกงเงินวัด , โกงเงินโยม , รับเงินจากวัดจานบิน และที่แอบบินไปพบชายดูไบที่ยุโรป !! ก็มีภาพถ่าย เสธ ยังไม่อยากเอารูปมาแฉ ให้รุ่มร้อนจีวรกัน จึงขอเตือนเบาะๆ นิ่มๆ แบบชาวพุทธ ที่หวังดีว่า

    1. ถ้าพระไม่ “คิดแบบพระ” ไม่ยึดมั่นในพระไตรปิฎก และพระธรรมวินัย ที่บัญญัติคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มา แต่ดันไป “คิดแบบศาลา” หาทางออกให้ญาติโยมทุกเรื่อง..พระผู้ใช้คำสอนนั้น สามารถแปรเปลี่ยนได้ตามศาลาเล็ก ศาลาใหญ่ และใจปรารถนากิเลส อะไรคือหลักประกันว่าพุทธศาสนา จะคงอยู่ต่อไปอีก 5,000 ปี ? ในเมื่อพระยึดถือ “ศาลา” มากกว่า “พระไตรปิฎก และพระธรรมวินัย” เสียแล้ว

    2. พระไตรปิฎก และพระธรรมวินัย หลักคำสอนอาจไม่ถูกใจพระทุกองค์ แต่ก็พิสูจน์แล้วไม่ใช่หรือว่าสามารถทำให้พุทธศาสนายืนยงมาได้ถึง 2557 ปี นี่คือหลักฐานพิสูจน์ ว่าพระไตรปิฎก และพระธรรมวินัย สำคัญกว่าการคิดแบบศาลา กฎเกณฑ์ก็ต้องคงอยู่ตลอดไป พระพุทธองค์สอนให้ทำความดีให้สูงสุดตามหน้าที่ตนเองเองไม่ใช่หรือ พระองค์ไม่เคยสอนให้ต้องผ่อนปรนในการทำความดี

    3. ศาลรัฐธรรมนูญท่าน ก็ทำหน้าที่ของตนเอง ถ้าไม่ให้ “ คิดแบบศาล” จะไปคิด “เป็นแบบศาลา “ ให้มาพูดคุยเจรจากันหาทางออก ให้กับผู้ร้ายอันธพาลที่รวย แล้วไม่ตัดสินตรงไปตามบทบัญญัติ ของกฎหมาย การที่พระแนะนำให้ศาลทำเช่นนี้ เท่ากับยุยงให้ศาลท่านย่อหย่อนต่อความเที่ยงตรงนั่นเอง ต่อไปก็จะขาดความน่าเชื่อถือ และไม่น่าไว้วางใจสำหรับคนหมู่มาก..บทเรียนเรื่องนี้พิสูจน์มาแล้วช่วง ศาลรัฐธรรมนูลชุดแรก ที่ตัดสินคดีซุกหุ้นของชายดูไบ ก็ตัดสินแบบศาลานี่แหละ ทำตามอามิสที่เขามาติดสินบน จะให้ตำแหน่งงานดีๆ กับลูกที่กระทรวงต่างประเทศบ้าง , ให้เงินทองบ้าง, แล้วเป็นไงล่ะ ผลจากครั้งนั้น..ต่อมาคนชั่วเลยกลับมารื้อเอาศาลาไปขายซะเลย..โกงชาติ เผาซะราบ

    4. คณะตุลาการ และ ปปช. เค้ามีจริยธรรมของวิชาชีพเขาควบคุมอยู่ เสมือนศีลพระที่ต้องสมาทานไว้เป็นมั่นคง เมื่อมั่นคงใน “ศีลและธรรม” ก็จะเป็นเกราะคุ้มกันท่านทั้งหลายเหล่านี้..ชายชุดเขียวก็ไปคุ้มครองเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ให้ภัยพาลจากอันธพาลแดงชั่วจะเข้าถึงได้..ไปดูคดีถุงขนม 2 ล้านในอดีต ที่ทนายของ ชายดูไบ เอาไปติดสินบนเปาบุ้นจิ้นซิ เจอจำคุกไป 6 เดือน..โดนนักโทษในคุกขาใหญ่อัดตูดจนเดินขาถ่าง ไม่เข็ดหรือ...เพราะศาลท่าน “คิดแบบศาล “ มาถึงปัจจุบันนี่แหละ แก๊งค์อั้งยี่แดงจึงยังเข้าไม่ถึง และยังทำลายอำนาจถ่วงดุลตุลาการไม่สำเร็จ..ถึงดิ้นๆ จะให้คิด “เป็นเเบบศาลา “ ยู่นี่ไง

    ถ้าศาลรัฐธรรมนูญท่านตัดสินตรงไปตามบทบัญญัติกฎหมาย ถ้ามันจะมีผู้ร้ายอันธพาลมันป่วน นัดกันหน้า ปปช. , จะป่วนปะทะแจ้งวัฒนะ , จะจัดชุมนุมหลอก อมเงินหัวคิวทุยแดง วันที่ 22 เม.ย.เป็นตนไป เพื่อจะบอมบ์ทุยแดงจนแหลกเละ สร้างสถานการณ์เผา ใช้อาวุธ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของศาลฯ ท่านจะต้องรับผิดชอบอะไร..เพราะท่านก็ทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

    ชาย 3 สี ชายชุดดำฝ่ายดี อีกหลายกองพล กองพัน ก็จะรับไม้ต่อไปทำหน้าที่เอง เมื่อคนทำผิดกฎหมาย คิดทำลายประเทศตนเอง ใช้อาวุธต่อสู้กับรั้วของชาติ และเจ้าหน้าที่ พวกมันก็คือวิญาณพม่ากลับชาติมาเกิด ความเป็นพี่น้องไทยก็สิ้นสุดลงยิง ก็จะเจอการวิสามัญฆาตกรรมตามกฎหมาย ถูกยิง ถูกสังหาร พวกชาติชั่วหลงผิด ถ้าตายสัก 80 คน เหมือนอดีตปี 53 เดี๋ยวมันก็เลิกป่วน วิ่งหางจุดตูด เพราะมันก็กลัวตาย ก็เคยเห็นๆ มาแล้ว..

    5. สมัยโบราณ พวกป่วนแบบนี้เขาสั่งตัดหัวเสียบประจาน สมัยนั้นเขาก็ไม่เห็นต้องเจรจาอะไรกันอันธพาล ประเทศไทยเราก็สร้างบ้านแปงเมืองรุ่งเรืองมาได้, สมัยหนึ่งหมาบ้ามันเยอะ ประเทศไทยก็ใช้ “ปืนยิงหมาบ้า” จนตายเกลี้ยง เชื้อหมาบ้าก็หยุดระบาด ดังนั้นประชาชนอย่าไปกังวลกับนักโทษ พวกคนชั่วแก๊งค์อั้งยี่แดง ตามคำขู่สำรากของมัน ความดีต้องชนะความชั่วเสมอ จิตใจต้องมั่นคง

    พวกโลกสวย ที่บอกให้เจรจากันอย่านองเลือด อ้าว..ให้ไปเจรจากับโจรหมาขี้เรื้อนผิดกฎหมาย ที่มันจับคนไทย และประเทศไทยเป็น “เป็นตัวประกัน”..ถ้าอยากเจรจานัก ก็ไปเจรจาล่วงหน้าหาป่าช้ารอพวกมันเถอะ..มันป่วนใช้อาวุธมา ก็วิสามัญฆาตกรรมมันให้ตายเหมือนยิงม้าบ้า มันตายมากจำนวนคนชั่วก็ลดลง เดี๋ยวพวกมันที่เหลือก็ร้องเอ๋งๆ หางจุกตูด กลายเป็นคนดีไปเอง อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด อย่าสำรากขู่มาก เหม็นขี้ฟัน ถ้าอยากมา ชายดูไบ และแกนนำแก๊งค์แบ่งแยกดินแดน นปช. ออกมายืนแถวหน้าสุดม็อบเลย มาเร็วๆ เลย อย่าช้า

    ที่ ศอ.รส.(ศูนย์อำนวยการรักษาศิวลึงค์) ฟาดหัวฟาดหางใส่ข้าราชการพลเรือน บางคนอยากให้ชายชุดเขียวออกมา..ก็ดูแลประชาชนไม่ให้ถูกทำร้าย และไม่เข้าข้างรัฐเทียมก็ดีแล้ว จะออกมาทะเลาะกับรัฐเทียมทำไม ก็ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่เอารัฐเทียม แต่ชาย 3 สีก็ต้องอยู่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย คนชั่วมันเข้ามาทางประตู ก็ต้องถูกถีบออกทางประตู ถ้างั้นต้องถีบออกหน้าต่างนะ ชายผู้ไม่ค่อยยิ้มก็บอกแล้วว่า “ ถ้าออกมาแล้วไม่กลับเข้าไปนะ “ อยู่ยาวตลอดไปเอาไหม !! กลยุทธ “ หากฝ่ายตรงข้ามอ่านแผนออกมองออกก็ไม่จบ ให้มันมองไม่ออกแบบนี้แหละ..จบ “

    ด้วยองค์ประกอบภัยความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วย กระบวนการรบ ของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กษัตริย์ชาตินักรบของไทย ที่นำมาบูรณาการใหม่ รวมกับชุดรบที่สมบูรณ์ ชาย 3 สีเดี๋ยวนี้เขาฉลาดไม่เหมือนเดิมแล้ว เขานำบทเรียนมาฝึกเตรียมรับสถานการณ์ จนมีศักยภาพหน่วยจู่โจมในปัจจุบัน สูงขึ้นกว่า 4 เท่า และถ้าเป็นนักรบอัจฉริยะมากกว่า 5 เท่า มีวิธีการรบที่แตกต่างจากชาติอื่นโดยสิ้นเชิง เพียบพร้อมสมบูรณ์ที่สุด แม้เรื่องเล็กน้อย กำลังพลนี้ ก็ที่อยู่ที่ พล.1 รอ.นี่แหละ

    ดวงใจชาย 3 สี คือ พระราชา และ ประชาชน ขอใหมั่นใจว่าพวกเขาอยู่ข้างประชาชน และพวกที่อาฆาตมาดร้ายพระราชา แน่นอน ประเทศไทยจะมั่นคงไปอีกนานเท่านาน

    ขุนพลสายลับอีสาน รายงานอาการทางจิตของ ชาย ดูไบ ล่าสุด..ตอนนี้เขาเครียดมากๆๆ..เพี้ยน..และเพ้อไปแล้ว อาการหนัก สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา เวลาพูดก็ออกอาการเพ้อเจ้อ พูดซ้ำซากๆ พร่ำแต่คำเดิมๆ ประโยคเดิมๆ เช่น วันที่ 18 ดาวเคลื่อนแล้ว ชายชุดเขียวจะแพ้ผู้หญิงมีตำแหน่ง (ฮา..เพี้ยนสุดๆ) , ผมไม่ยอม , ผมต้องสู้ , เรามีมวลชนสนับสนุน..วนไปวนมาแค่เนี้ย

    บรรดาสมุน บริวาร ที่ไปขอเงิน ฟังการพล่ามของเขาแล้ว ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กไปมา เข่าอ่อน แพ้ 100% แล้วตรู พอออกมาก็วิพากษ์วิจารณ์กันให้แซ่ด บ้างก็ว่าสงสารหัวหน้า, บ้างก็ว่าหัวหน้าเป็นเอามาก, บ้างก็ว่าหัวหน้าอาการหนักแล้ว, บ้างก็ว่าอยากพาหัวหน้ามาต่อสู้กับหมอ ที่ รพ.ศรีธัญญา..บ้างก็ว่าท่านเป็นถึงเจ้ามูลแม้ว ต้องให้สมเกียรติท่าน ต้องพาหัวหน้าไปประทับทรงที่บ้านเกิด โรงพยาบาลสวนดอก เชียงใหม่..เฮ้ย นั่นมัน รพ.รักษาคนบ้าแล้ว..ฮา

    มิน่า..มันถึงมีคำสั่งบ้าๆ ไปแล้ว ให้ชายชุดดำสายตรง เก็บคากคกตู่ ใส้เดือนเต้น เพื่อแก้แค้นที่อมเงินไปหลายพันล้าน และปิดปากตัดตอนเรื่องเก่าๆ แล้วจะเอาศพมาแห่ประท้วง โยนความผิดให้สถาบัน ชายชุดเขียว และ กปปส..และยังสั่งเก็บโกเต็ก เพราะมันระแวงว่ามันออกมาปากโป้งแฉ ทุกอย่างว่าใครสั่งมัน !!..โห มันจะสั่งมั่วซั่วเก็บยกแก๊งค์ไหมนี่ “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าควายโง่ “..ซวยแล้วแกนนำทุยแดงมึง

    เสธ ฝันไปว่า ใครชั่วมากๆ ไม่ยอมรับความดี ก็คุยกันดีๆ แก้ไขกันไปทีละ “ ปุ “ แต่ถ้ายังดื้อเป็นหมาบ้าหน้าร้อนมาทำลายชาติอีกก็ “ปุๆๆๆๆๆ ปุๆๆๆๆๆ ปุๆๆๆๆๆๆ ปุๆๆๆๆๆ..เปรี้ยงๆๆๆๆๆ...ตูมๆๆๆ..วิ๊ด..บึ้มๆๆๆๆ..โอ้ยๆๆ..ช่วยด้วย ” เดี๋ยวมันก็เลิก..พวกมันไม่มีทางชนะหรอก

    ต่างชาติจะว่าไงก็ช่างเพราะ UN ไม่ใช่พ่อ และ ผู้รับผิดชอบทั้งหมดเจ้าหน้าที่ไม่เกี่ยว ตามกฎหมายก็ต้องเอาผิดกับปูเน่า กับ ศอ.รส..เพราะเป็นรักษาการนายกเทียม กับศูนย์เทียมของรัฐที่ดูด้านความมั่นคง..รับกันไปเต็มๆ..เกลือจิ้มเกลือ..ฮา


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    20 เม.ย.57 แฉ..ที่มาขบวนการล้มเจ้า หมิ่นเบื้องสูง โดยสาธารณรัฐอั้งยี่แดง

    พ.ศ. 2107 พระเจ้าบุเรงนอง แห่งพม่า ยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เจ้าเมืองพิษณุโลก ที่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา มีกำลังน้อยกว่ามาก จึงยอมอ่อนน้อมต่อหงสาวดี ทำให้พิษณุโลก ต้องแปรสภาพเป็นเมืองขึ้นของหงสาวดี แทนกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนอง ทรงขอพระนเรศวร ไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีใน ทำให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง 9 พรรษา การที่ได้เสด็จไปประทับอยู่หงสาวดีถึง 6 ปี ทรงทราบทั้งภาษา นิสัยใจคอ ตลอดจนล่วงรู้ความสามารถของพม่า

    พ.ศ. 2111 พระเจ้าบุเรงนอง นำทัพเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา ทางด่านแม่ละเมา เมืองตาก รวม 7 ทัพ คือ พระมหาอุปราชา เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมืองอังวะ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และเชียงตุง เข้ามาทางเมืองกำแพงเพชร แต่กรุงศรีอยุธยา สามารถยันการโจมตีพม่าอยู่นาน 6 เดือน ต่อมาพม่าใช้เล่ห์กลให้มีใส้ศึกไทย ภายในเปิดประตูเมืองให้ จนวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทุกด้าน เข้าสู่พระนครสำเร็จ

    พระเจ้าบุเรงนอง แล้วเข้ายึดทรัพย์สิน และได้ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ราว 4 เดือน ช่วงนั้นประชากรรอบๆ กรุงศรีอยุธยา คาดว่ามีราวๆ 3 แสนคน พม่าจึงกวาดต้อนผู้คนกลับไปหงสาวดีเป็นจำนวนมาก โดยเหลือให้รักษาเมืองเพียง 1,000 คน คนที่เหลือก็หนีไปหลบอาศัยอยู่ที่อื่น บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย ถูกทำลายได้รับความเสียหายเป็นอันมาก อาณาจักรอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าเป็นเวลานาน 15 ปี

    ต่อมาพระนเรศวร ได้หนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยา โดยที่พระเจ้าบุเรงนอง ทรงยินยอมเนื่องมาจากพระสุพรรณกัลยาทรงขอไว้ มาถึงกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2115 สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชทานนามให้พระองค์ว่า "พระนเรศวร" และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงปกครองเมืองอย่างดี และทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา คิดหาหนทางในการต่อสู้กับพม่า ทรงขวนขวายหาคนสำหรับทรงใช้สอย โดยฝึกทหารที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ตามวิธียุทธ์ของพระองค์

    ต่อมาพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดีสิ้นพระชนม์ จึงมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ โดยกษัตย์นันทบุเรงได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อแทน พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฏ เนื่องจากไม่พอใจกรุงหงสาวดี จึงแข็งเมืองพร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมือง ให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้านันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการนี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองประเทศราช เช่น เมืองแปร ตองอู เชียงใหม่ กรุงศรีอยุธยา ให้ยกทัพไปช่วยด้วย สมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งอยุธยา จึงโปรดให้สมเด็จพระนเรศวร ยกทัพไปแทน พระองค์แสร้งเดินทัพช้าๆ พม่าระแวงพระองค์ที่ทรงเข้มเข็ง จึงหมายหักหลังลอบสังหาร

    พ.ศ. 2127 พระนเรศวร ทรงยกกองทัพไทยถึงเมืองแครง ได้รับทราบแผนการพม่าจึงรวบรวมเหล่าบรรดาแม่ทัพ หัวเมือง ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อพม่า โดยได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า "ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดีมิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"

    จากนั้นพระนเรศวร ได้ตรัสถามชาวเมืองแครง ว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญต่างเข้ากับฝ่ายไทย พระองค์จึงประชุมทัพ แล้วทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดี โดยเกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองต่างๆ ได้ประมาณ 1 แสนกว่าๆ ช่วงที่พระเจ้านันทบุเรง ยกทัพออกไปอังวะ พระองค์เสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี แต่พอดีทราบว่า พระเจ้านันทบุเรงมีชัยชนะเมืองกบฎอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับมาหงสาวดี พระนเรศวร เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่เหมาะสมที่จะตีเอาเมืองหงสาวดีครั้งนี้ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกัน เที่ยวบอกคนไทยที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อนตอนกรุงอยุธยาแตก ให้อพยพกลับบ้านเมืองของตนเอง

    ได้คนไทยมาประมาณหมื่นเศษ จึงให้กันหนีล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพตามปกป้องมาข้างหลัง ฝ่ายพระมหาอุปราชาแห่งพม่าทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนผู้คนไทยกลับ จึงได้ให้แม่ทัพสุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวงยกติดตามกองทัพไทยมาติดๆ ตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว ได้มีการต่อสู้กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนคาบชุดยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันแตกทัพหนีกลับไป พระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฏต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็นพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้

    พ.ศ. 2127 หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพได้ 7 เดือน พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง จัดทัพสองกองทัพให้ยกมาตีไทย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกลศึก พระนเรศวรให้แม่ทัพยกทัพเรือไปยิงปืนใหญ่ดักข้าศึก และแต่งกองโจรเป็นทัพขนาดเล็กคอยดักฆ่าพม่า จนทัพพม่าทั้ง 2 ทัพแตกพ่ายหนีกระเจิงกลับไป

    พ.ศ. 2129 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงยังไม่เข็ดหลาบในความพ่ายแพ้ จึงนำกองทัพจำนวน 250,000 คน หมายมั่นจะตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของทหารไทยจึงรักษาที่มั่นเอาไว้ได้เสมอ พระนเรศวร เสด็จนำทัพออกปล้นค่ายพม่าซึ่งเป็นทัพหน้าของหงสาวดี ข้าศึกแตกพ่ายถอยหนี พระองค์จึงไล่ตีมาจนถึงค่ายหลวงของพระเจ้าหงสาวดี เสด็จลงจากม้าคาบพระแสงดาบ แล้วนำทหารปีนบันไดขึ้นกำแพงข้าศึก แต่ถูกพม่าใช้หอกแทงตกลงมาข้างล่าง จึงเสด็จกลับพระนคร พระแสงดาบนี้มีนามว่า “พระแสงดาบคาบค่าย”

    พระเจ้าหงสาวดี สั่งว่า ถ้าพระนเรศวรออกมาอีก จะต้องจับพระองค์ให้ได้ถึงแม้ว่าจะใช้ทหารมากมายเพียงใด จึงวางแผนให้แม่ทัพลักไวทำมู นำทหารจำนวน 10,000 ไปดักจับพระนเรศวร พระองค์ จึงใช้พระแสงทวนแทงลักไวทำมูตายทันที แต่พระองค์ยังถูกล้อมอยู่และสู้กับทหารพม่า จำนวนมาก นานร่วมชั่วโมง จนทัพไทยตามมาทันช่วยเหลือจึงเสด็จกลับพระนครได้ สุดท้ายกองทัพหงสาวดีบอบช้ำ จากการสู้รบกับไทยอย่างมากจึงถอยทัพกลับไป , พระนเรศวร ทรงมีพระมเหสีราว 3-4 พระองค์ นับตั้งแต่พระองค์ประกาศอิสรภาพจากพม่าเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้งเช่นกัน ตลอดการครองราชย์ของพระองค์ ส่วนใหญ่ต้องทำสงครามกับอาณาจักรเพื่อนบ้านหลายครั้ง เพื่อรักษาอาณาเขต ขยายอาณาจักร และปกป้องราษฎรของพระองค์ไม่ให้ถูกรังแกได้

    ในยุคนั้นอาณาจักรอยุธยา จัดได้ว่ามีกำลังพลมากที่สุด ในที่ราบลุ่มภาคกลาง ถึงแม้พื้นที่จะไม่มาก แต่อุดมสมบูรณ์ ราษฎร์ดำรงชีวิตอยู่อาศัยได้ง่าย ประชากรเลยหนาแน่นกว่าแถบอื่น เมื่อมีประชากรมาก ก็สามารถมีไพร่พลเป็นทหารได้มาก คาดว่าในสมัยอยุธยามีประชากรไทยช่วงแรกๆ ประมาณ 3 แสนคน และขยายเป็นประมาณไม่เกิน 1 ล้านคน ในสมัยอดีตยามสงครามชายทุกคนคือทหาร ช่วงปลายๆ อาณาจักรฯ จึงมีจำนวนไพล่พลประมาณ 1 แสนคน อยุธยาจึงเป็นมหาอำนาจในแถบนี้มาอย่างยาวนานราว 417 ปี โดยมีกษัตรย์ 7 ราชวงศ์ รวม 33 พระองค์

    ส่วนพม่าตอนนั้นมีหลายหัวเมืองขึ้น มีประชากรประมาณ 3-4 ล้านคน จำนวนทหารที่เกณฑ์ได้อยู่ที่ราวๆ 2 แสนคน แต่สมัยก่อนขณะเดินทัพ ก็จะตีหัวเมืองในทางผ่านทัพไปด้วย เลยได้กำลังเชลยจากในไทยมาเสริม จนกลายเป็นกองทัพใหญ่เพิ่มเติมทัพใหญ่ ซึ่งในภูมิภาคแถวนี้ถ้าไม่ใช่อาณาจักรใหญ่ๆ แล้ว หัวเมืองหลักมีทัพไพร่พลอย่างมากก็ไม่เกิน 3 หมื่นคน เช่น ล้านนา ทัพราว 2หมื่นคน , ล้านช้าง อาณาจักรใหญ่แต่คนน้อย ทัพไม่เกิน 5 หมื่น , เขมร ไพร่พลไม่เกิน 5 หมื่น , หัวเมืองเล็กต่างๆ กำลังพลอย่างมากก็ 1 หมื่นกว่าๆ , อังวะ , ตองอู , แปร ถ้าไม่ใช่ช่วงที่รุ่งเรืองมากๆ กำลังพลก็อยู่ราวๆ 3 หมื่น เท่านั้น , พอมาสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มมีการปรับปรุงระบบเกณฑ์ไพร่พลกันใหม่ ทำให้สมัยสงคราม 9 ทัพรัชกาลที่ 1 ไทยสามารถรวมกำลังทหารได้ถึงประมาณ 1.4 แสนคน มากกว่าตอนอยุธยาแตกครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่ไทยเสียไพร่พลไปมากเมื่อครั้งอยุธยาแตก

    สมัยโบราณมีการศึกสงครามคุกคามไทยอยู่เสมอ และขอบเขตอาณาจักรเปลี่ยนไปมา ไม่คงที่อยู่นานนัก การที่มีศึกสงครามทำให้จำนวนราษฎร์ล้มตาย และบาดเจ็บพิการ อัตราการเพิ่มประชากรจึงไม่มากนัก ทั้งพระมหากษัตริย์ กับราษฎร มีจารีตประเพณีอยู่กันแบบเกื้อกูล คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นนักรบ ป้องปกประชาชน จากการข่มแหงรังแกของข้าศึก ส่วนราษฎรก็ขยายจำนวนลูกหลาน เพื่อให้ชายฉกรรจ์มาเป็นไพร่พลทหารของกษัตรย์ และคุ้มครองราษฏร คนที่เหลือก็ทำหน้าที่ผลิตอาหาร สร้างบ้านแปงเมือง ทำนุบำรงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม

    ต่อมาราชวงศ์จักรี สมัยรัชกาลที่ 5 จำนวนประชากรไทยประมาณ 5.5 ล้านคน , รัชกาลที่ 6 ประมาณ 8.2 ล้านคน , รัชกาลที่ 7 ประมาณ 10 ล้านคน ,รัชกาลที่ 8 ประมาณ 12 ล้านคน ,ต้นรัชกาลที่ 9 ประมาณ 17.5 ล้านคน จนถึงปัจจุบัน 67 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 49.5 ล้านคนในรัชกาลที่ 9 หรือเพิ่มขึ้น 3.83 เท่า) ถือเป็นการเพิ่มขึ้นของลูกหลานคนไทยอย่างมหาศาล เป็นหลักฐานอันแสดงว่าราชอาณาจักรไทย ในรัชกาลของในหลวงพระองค์นี้ มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ มีความสุขสบาย ประชากรจึงเพิ่มพุ่งขึ้นมากถึงเกือบ 4 เท่า

    ด้วยความเข้มแข็งของประเทศไทย ที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ มายาวนานกว่า 800 ปี จนถึงปัจจุบันสถาบัน เป็นหลักฐานว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ สามารถนำพาอาณาจักร และประเทศให้รอดพ้นภัยคุกคามประชาชน รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก โดยให้ไปดูรอบประเทศไทย ที่มีการปกครองโดยระบอบกษัตริย์คู่ขนานกันมา ตั้งแต่ก่อนสมัยก่อนอาณาจักรสุโขทัย มีบางประเทศยกเลิกไปแล้ว เช่น พม่า ลาว ที่สมัยโบราณกษัตริย์เขาเข้มแข็งมาก

    ส่วนมาเลเซีย กษัตริย์ของเขาคือ เจ้าผู้ครองรัฐทั้ง 9 รัฐ (จากทั้งหมด 13 รัฐ) ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ของประเทศคราวละ 5 ปี และหมุนเวียนกันไปตามลำดับ , กษัตริย์ เขมร ยกเลิกไประยะหนึ่ง ต่อมากลับมาสถาปนาใหม่ แต่ถูกลดบทบาท ศักดิ์ศรี อย่างมาก ถูกกดขี่จากฮวยเซ็ง นายกฯ เขมร อย่างมาก คฤหาสของฮวยเซ็งใหญ่โตหรูหรา อลังการ กว่าวังของกษัตริย์เขมรที่เก่ามาก แทบดูไม่ออกว่าเป็นวังของกษัตริย์เขมร จะเสด็จออกเยี่ยมประชาชนสักที ต้องให้ฮวยเซ็งอนุญาตก่อนอีกด้วย

    ประเทศไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถือเป็น "เสาหลัก" ทีมั่นคงของประเทศ ในการเผชิญกับภัยคุกคาม ทั้งทางเศรษฐกิจ และความยากจน ตามทฤษฎี "เศรษฐกิจพอเพียง" ที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกในการขจัดความยากจน แต่ทฤษฎีนี้กลับเป็นทฤษฎีที่ต้าน กระแสโลกาภิวัฒน์ ทุนนิยมตะวันตกอย่างได้ผลชงัด ประเทศไทยได้ผ่านการต่อสู้ทางวัฒนธรรม กับมหาอำนาจจักรวรรดินิยมมาหลายสมัย โดยพึ่งพระอัจริยภาพของพระมหากษัตริย์ของไทยแต่ละยุค ทำให้ประเทศไทย รอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของยุโรป เช่น สมัยรัชการที่ 4 - 6

    พอถึงรัชกาลที่ 7 ลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกา แผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาคเอซียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการล่าอาณานิคม จากเดิมยกกองทัพเรือมาปิดอ่าว แล้วโจมตีด้วยอาวุธ และขอแบ่งปันดินแดน เปลี่ยนมาเป็นการแทรกแซงโดยระบบทุนนิยม และทางการเมือง โดย 2 ประเทศนี้ได้ให้การสนับสนุน นายปรีดี เปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงปี พ.ศ.2475 เพื่อล้มระบอบกษัตริย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพียงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ด้านการปกครอง ถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือน พระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

    จากนั้นมา “ขบวนการล้มเจ้า” ก็มีความเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันมา เริ่มจากเกิดรวมตัวของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ที่เคยเป็นอดีตนักศึกษา และนักกิจกรรม ในยุค 14 ตุลาคม 2516 ต่อเนื่องมาจนถึง 6 ตุลาคม 2519 พวกนี้ในสมัยหนุ่มสาว ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิคอมมิวนิสต์ แนวทางสังคมนิยม ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นพวก “หัวก้าวหน้า” ขณะที่บางส่วนก็มีความเห็นในเชิงอุดมคติ ใฝ่ฝันจะเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ ทำให้เคยหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) จับอาวุธขึ้นสู้กับทหาร โดยฝันว่าจะสามารถ “ปลดแอก” นำไปสู่สังคมใหม่

    เป้าหมายสูงสุด คือ การเปลี่ยนแปลงสังคมแบบถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโค่นล้ม “สถาบันพระมหากษัตริย์” เหมือนกับกรณีปฏิวัติประชาชน ที่เกิดขึ้นในบางประเทศ เช่น ที่รัสเซีย ในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงยุคสงครามเย็น คือ ที่มีการแข่งกันเข้ามาอิทธิพลของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายทุนนิยมเสรี ที่นำโดยอเมริกา กับอีกฝ่าย คือ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต และ จีน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมีจุดที่เหมือนกัน คือ ต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เพื่อครอบงำนักการเมืองจูงจมูกตามที่ประเทศเขาต้องการ เพราะเขารู้จุดอ่อนว่านักการเมืองไทย ละโมบโลภมาก และขี้โกง แบบหน้าด้าน

    โซเวียต และ จีน จึงให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหว ของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในรูปแบบของเงินทุน อาวุธ และการสอนรูปแบบวิธีการ จนกระทั่งเกิดสงครามเวียดนาม และลุกลามเข้ามาจนทั่วภูมิภาคอินโดจีน และเข้ามาประเทศไทย ทางภาคอีสาน และภาคเหนือ เป็นหลัก แต่ด้วยโชคดีอย่างอัศจรรย์ ด้วยพระบารมี พระปรีชาสามารถ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ของพระเจ้าอยู่หัว และราชวงศ์ทุกพระองค์ ที่ได้ทรงอุทิศพระวรกาย ทุ่มเท ทำพระองค์เป็นแบบอย่างกับราษฎร

    และช่วงนั้นมี พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ ได้ดำเนินนโยบาย 66/2523 สร้างความปรองดองกันในชาติ เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้ง ประกอบกับช่วงนั้นมีความขัดแย้งกันเอง ในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ระหว่างจีน กับ รัสเซีย และประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียใหม่กับจีน เช่น มีราชวงศ์ไทย ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน และนายกฯ ไทยไปสามารถเจรจาให้จีน และรัสเซีย ยุติการสนับสนุนคอมมิวนิสต์ในไทย

    จนทำให้ พคท.ไทย อ่อนแอลงเรื่อยๆ และต้องปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธลงในเวลาต่อมา เกิดการวางปืน ยอมจำนน และจับมือกันกับทางการ จากคอมมิวนิสต์ มาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย แต่พวกกลุ่มอดีตนักศึกษาฝ่ายซ้ายจำนวนมาก ที่ส่วนใหญ่เคยอยู่ในเมือง ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความยากลำบากในถิ่นธุระกันดารได้อีกต่อไป ทำให้อดีตกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ออกจากป่าสมรภูมิรบ หวนกลับคืนสู่เมืองมาใช้ชีวิตตามปกติ

    แต่ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่เรียกว่า “ซ้ายอกหัก” แม้ว่าจะออกมาจากป่า แต่คนกลุ่มนี้ยังไม่เคยละทิ้งความคิด ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมตามอุดมคติดั้งเดิม ตามที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้ โดยเฉพาะความพยายามในการ “โค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ “ เพื่อนำไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แต่พวกนี้ก็ต้องปรับวิธีการใหม่ โดยหันเข้าหาทุนนิยม ในจังหวะนั้นชายดูไบ ก็เข้าสู่วงการเมืองพอดี จึงกลายเป็นที่มาของ “คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์ “ ร่วมกับ “ ทุนนิยมสุดโต่ง” สมประโยชน์กันทั้งความฝัน และอำนาจ ว่างั้นเถอะ

    เริ่มแรก คอมมิวนิสต์กลายพันธุ์ พวกนี้ก็ใช้วิธี “ฝังตัว” ทำงานรับใช้ทุนนิยมสุดโต่ง ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมไปถึงการปลูกฝังให้คำปรึกษา สร้างนโยบายทางการเมือง เพื่อผูกใจประชาชนรากหญ้า จนในที่สุดก็พัฒนากลายพันธุ์มาเป็น “ระบอบดูไบ” ที่เชื่อมโยงแบบพึ่งพาอาศัยกันแบบผีเน่า กับโลงผุ โดยมีเป้าหมายขั้นสุดท้ายคือต้อง “พลิกฟ้าคว่ำดิน” , คนกลุ่มนี้แทบบทั้งหมด ก็กลายเป็นมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง “บริษัทไทยไม่รักไทย” ในเวลาต่อมา “ระบอบดูไบ” ขบวนการ “ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ก็ถูกนำมาขยายแนวคิดสู่การปฏิบัติในเวลาต่อมา โดยมีเป้าหมายสำคัญ 5 ประการหลัก คือ
    - สร้างระบบการเมืองพรรคเดียวเหมือนคอมมิวนิสต์
    - สร้างระบบบริษัทการเมืองแบบรวมศูนย์กลางแนวฮิตเลอร์ผู้นำคนเดียวนำสูงสุด
    - ทำลายความเข้มแข็งของระบบราชการแบบเก่า ให้รับใช้ระบบการเมืองอย่างเดียว ทำลายระบบคุณธรรมให้ยับเยิน
    - แปลงสินทรัพย์ของรัฐส่วนรวมของชาติ มาเป็นทุนเข้ากระเป๋าพรรคพวกตนเอง
    - บั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญญลักษณ์ และล้มไปในที่สุด

    เพื่อมุ่งทำให้ประเทศไทยเป็น “ระบอบสาธารณรัฐ” มีประธาธิบดีเป็นประมุข ชัดเจนมากขึ้นจาก ช่วงนายพลจิ๋ว พ้นนายกฯ และหวนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเผาไทย เขาเป็นผู้ร่วมขบวนการที่สร้างความปั่นป่วนใน เม.ย.53 นั่นเอง โดยนั่งสั่งการในรถตู้ ร่วมกับ นายพลป๊อบอาย เสธ แดง ให้ขนกองกำลังชุดดำติดอาวุธ ลงจากรถตู้หลายคัน ลงใกล้เชิงสะพานแห่งหนึ่งใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วโจมตีชายชุดเขียวคนไทยด้วยกันเอง และชายชุดกากี จนบาดเจ็บ ล้มตาย และเสธ เปา คือผู้เสียชีวิตในวันนั้นด้วย

    โดยขบวนการดังกล่าว กระทำในหลายช่องทาง ในรั้วมหาวิทยาลัยก็ปลูกฝังความคิดล้มเจ้านี้ผ่านนักวิชากำกวมที่เห็นชัดหลายคนตอนนี้ ในสถาบันทางวิชาการ ในรัฐสภาโจ๊ก ในรัฐบาลเทียม แล้วใช้วิธีการเผยแพร่ความคิดซ้ำๆ ผิดๆ ผ่านทางสื่อมวลชนที่ซื้อไว้ เช่น ชายดูไบ ตั้งบริษัทไร่สีแดงผสมสีเหลือง 1,000 ล้านบาท แล้วให้สรยวยบริหาร , สถานีโว้ยทีวีของโอ้ค , เอเชียอาบแดดของคอมมิวนิสต์กลายพันธ์ , วิทยุชุมชน , หนังสือพิมพ์มติชิน , ข่าวไม่แห้ง , อินเตอร์เน็ต (จ้างทีมงานเงินเดือน 28,000 บาท) และสื่อไปยังประชาชน และเยาวชนรุ่นใหม่

    รวมทั้งให้ทุนกับพวก กเรวราด เรียนไม่เก่ง นักเลงหัวไม้ คนตกงาน คนขับแท็กซี่ เช่น คากคกตู่ ใส้เดือนเต้น เจ๋ง กีร์ ชินหาบุญพาด ฯลฯ โดยสอดใส้คอมมิวนิสต์ นกแสก และโหวงเหวง คอยกำกับทิศทาง ในนามแก๊งค์อมเงินหัวคิวจัดม็อบ “ กลุ่ม เนรคุณป่วนชาติ (นปช.)” , กลุ่มโกเต็ก , กลุ่ม กวป. และอีกสารพัดกลุ่มนักเลงนอกกฎหมาย เคลื่อนไหวก่อความรุนแรงบนท้องถนน และมีหน้าที่ยิงหัวคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ที่หลงผิดมาร่วมด้วย เพื่อสร้างสถานการณ์ป้ายความผิดให้สถาบันเบื้องสูง และชาย 3 สี

    จึงเกิดการโจมตีใส่ร้าย สร้างข่าวเท็จ เกี่ยวกับ พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ ตลอดมาตั้งแต่บางคนยังมีอายุน้อยๆ จนเป็นผู้ใหญ่อยู่ตอนนี้ แต่เริ่มหนักข้อเด่นชัดขึ้นแบบโจ่งแจ้ง ขบวนการใต้ดินเติบโต หลังปี 2545 โดย ชายดูไบ และบริษัทเผาไทย เป็นผู้อุปการุณอย่างเป็นทางการของแก๊งค์ล้มเจ้านี้ ชัดแบบหน้าด้านๆ ในช่วง 4 รัฐบาลเทียม คือ ชายดูไบ กุ๊กหมัก ชายซื้อตู้เย็นให้เมียน้อย และปูเน่า

    ที่คนเหนือ และอีสาน บางคนยังไม่เชื่อว่า ชายดูไบ และ บริษัทเผาไทย ก็คือเจ้าของ “ บริษัทคอมมิวนิสต์กลายพันธ์แห่งประเทศไทย” และเป็นแก๊งค์ ที่อยู่เบื้องหลังการให้ร้าย ในหลวง และราชวงศ์ทุกพระองค์ อย่างช้านานตลอดมานั้น..ขอให้คนเสื้อแดงทุกภาค ที่รักพระเจ้าอยู่หัว ให้รู้ความจริงเถิดว่า ในหลวง และราชวงศ์ ที่ท่านเคารพรัก “ กำลังถูกรังแกโดย ชายดูไบ และบริษัทเผาไทย “..ขอให้รีบบอกต่อๆ กันไป และออกมาแก้แค้นสั่งสอนเศษมนุษย์พวกนี้ ที่มันต้มตุ๋นท่านมาตลอดหลายสิบปี

    “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นเบื้องสูง” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” ขยายพันธ์อย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันจึงเกิดเว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ สร้างข่าวหมิ่น ให้ร้าย บิดเบือนและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างภาพดึงเบื้องสูงลงมาให้เป็น “คู่ขัดแย้ง” กับบริษัทเผาไทยให้ได้

    เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดตัวกลุ่มการเมืองหนึ่ง ที่ตั้งขึ้นเพื่อล้มเจ้าโดยเฉพาะ โดยได้รับทุนหนุนจากบริษัทเผาไทย ไปจดทะเบียนกับ กกต.คือ “บริษัทคนธรรมดาแห่งประเทศไทย “ มีการเปิดตัวและนโยบายบริษัทที่ โรงแรม ดิอัมเมอรัล หัวหน้าบริษัท คือ ธนพร ที่มีตัวเอ้ล้มเจ้าไปร่วม เช่น นิธิ ม.เที่ยงคืน, สุธาชัย จอมประกันตัวผู้ต้องหาหมิ่นฯ , อั้ม เนโก๊ะ กระทิง ไปสุมหัวกันอยู่ที่นั่น นโยบายบริษัทนี้ข้อแรก คือ ยกเลิก ม.112 พรรคล้มเจ้านี้ ก็คือ นอมินีของบริษัทเผาไทย นั่นเอง โดยวันเปิดตัวบริษัทล้มเจ้านี้ มีแจกันดอกไม้จากบริษัทเผาไทย มามอบให้แบบลับๆ หลังเวทีด้วย..

    เสธ..ฝันว่า หากปฏิรูปแล้ว ให้ภาคประชาชนช่วยแก้กฎหมายอาญา บทลงโทษมาตรา 112 ให้หน่อย แต่..มีข้อแม้ว่า..ต้องยกเลิกโทษจำคุก แล้วเปลี่ยนเป็น “ โทษประหาร 7 ชั่วโครต “ แทน..โดยโอนอำนาจการปิดเว็ปไซต์ จับกุม สอบสวน พวกหมิ่นฯ ไปขึ้นกับทหารทุกกองทัพ และลงโทษโดยศาลทหารเพียงศาลเดียว ให้เสร็จภานใน 3 วันเพราะคิวเยอะ และมันไม่ทันใจ..ไม่ต้องมีอุธรณ์ ไม่มีฎีกา..ให้รกโรง รกศาล ให้เสียเวลา และเสียอารมณ์..!! และฝากแก้กฎหมาย ขยายอำนาจให้ทหารกระทำคดี ที่มีการใช้อาวุธสงครามในประเทศได้เลยทันที โดยไม่ต้องรอหน่วยงานใด..ปัญหาเรื้อรังเฉื่อยชา อย่างทุกวันนี้จะถูกแก้อย่างเฉียบขาดแน่ๆ

    แล้วไปสร้างลานประหารไว้ที่เกาะกลางทะเล แถวใกล้เขมร หรือชายแดนพม่าหลายๆ ที่..พอศาลทหารตัดสินเสร็จ ก็ล่ามโซ่ ฉุดกระชากลากถูขึ้นเรือ เอาไปทำเป็น “เป้าวิ่ง” ฝึกยิงกระสุนจริงของทหารใหม่ , นักศึกษารักษาดินแดน (รด.) , และประชาชนที่รอโอกาสแบบนี้มานานแล้ว..พอมันตายแล้วก็ลากศพขึ้นเรือไปถีบทิ้งลงทะเล ให้ปลามันกินไป..ถ้ามันจะร้องเรียน UN ก็ให้สิงร่างปลาว่ายน้ำไปเอง

    เสธ ว่าก็ยุติธรรมดีนะ ก็แค่วิญญาณพม่าหงสาวดีที่พ่ายแพ้ทัพ กษัตย์ และทหารไทยโบราณในอดีต แล้วมาเกิดใหม่ในเมืองไทย..ขยะแผ่นดินชัดๆ..ส่งมันกลับไปที่เดิม !!


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    21 เม.ย.57 แฉ..ตอน 2 ขบวนการล้มเจ้า หมิ่นเบื้องสูง โดยพระเจ้ามูลเมือง

    ฮิตเลอร์ กล่าวไว้ว่าคนที่ไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ เป็นเช่นเดียวกับคนที่ไม่มีหูหรือไม่มีตา วันนี้จะเล่าเกี่ยวกับลักษณะของพม่าในสมัยโบราณ ในคราที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เพื่อจะให้สังเกตุลักษณะพฤติกรรมบางอย่าง ของพม่าแต่โบราณกาล ที่มาพ้องกับ “ขบวนการล้มเจ้า “ ในปัจจุบันอย่างอัศจรรย์

    พ.ศ. 2306 พระเจ้ามังระ แห่งพม่าประสงค์จะพิชิตดินแดนอยุธยา จึงมีการปราบกบฏในแว่นแคว้นต่าง ๆ เพื่อที่ลดอำนาจของกรุงศรีอยุธยาลง เพื่อให้แตกสลายหรืออ่อนแอไป ไม่ให้เป็นที่พึ่งของเหล่าหัวเมืองได้อีก โดยมีแม่ทัพฝ่ายเหนือ คือ เนเมียวสีหบดี มีหน้าที่ปราบกบฏในแคว้นล้านนา เมืองฉาน เชียงตุง เข้าสู่เมืองเชียงใหม่ และสามารถยึดเชียงใหม่ได้อย่างราบคาบ ต่อมาได้ยกขึ้นไปปราบเมืองล้านช้างได้ทั้งหมด แล้วตั้งทัพที่เมืองลำปาง เคลื่อนทัพในปี พ.ศ. 2308 เพื่อโจมตีกรุงศีอยุธยา

    แม่ทัพฝ่ายใต้ของพม่าอีกคน คือ มังมหานรธา ได้ไปปราบกบฏที่ทวาย และบุกโจมตีลึกถึงเพชรบุรีแล้วกลับไปตั้งทัพที่ทวาย แล้วระดมไพร่พลจากหงสาวดี เมาะตะมะ มะริด และตะนาวศรีเข้าสมทบในกองทัพ จน พ.ศ. 2308 จึงได้เคลื่อนทัพ เข้าโจมตีอาณาจักรอยุธยาตาม ในเวลาใกล้เคียง กับทัพของเนเมียวสีหบดี

    พระเจ้าเอกทัศ แห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงระดมทหารครั้งใหญ่ มากกว่า 60,000 นาย โดยทรงวางกำลังไว้ตลอด ทางตะวันตก ตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ มาจนถึงกาญจนบุรี ผ่านทวาย ไปจนถึงอ่าวไทย เพื่อรับมือกับมังมหานรธา ส่วนทางด้านทิศเหนือ เริ่มตั้งแต่สุโขทัย และพิษณุโลก ส่วนที่อยู่เหนือไปกว่านี้ มีการจัดตั้งเป็นค่ายทหารขนาดเล็กโดยผู้นำท้องถิ่น

    กองทัพฝ่ายเหนือของพม่า ภายใต้การบัญชาการของเนเมียวสีหบดี ได้แบ่งกำลังพลออกเป็นทัพบกและทัพเรือ ยกออกจากลำปาง ลงมาตามแม่น้ำวัง โดยเนเมียวสีหบดี โจมตีเมืองขนาดเล็กไปตลอดทาง ท้ายที่สุดแล้วก็ยึดได้เมืองตาก และกำแพงเพชร เมื่อสิ้นฤดูฝน , ในเวลาเดียวกัน มังมหานรธา มีทหาร 20,000 ถึง 30,000 นาย ได้เปิดฉากการโจมตีจากทางใต้ ทางด่านเจดีย์สามองค์ มุ่งไปยังสุพรรณบุรี รุกรานผ่านด่านเมียตตา และกาญจนบุรีก็แตกลง

    หลังจากยึดกาญจนบุรีแล้ว ก็เดินทัพต่อมายังอยุธยา จนกระทั่งมาถึงนนทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงศรีอยุธยามาทางทิศใต้ 60 กิโลเมตร หลักที่กองทัพทั้งสองของพม่า ใช้ในการปราบปรามหัวเมืองทั้งหลายนั้นตรงกันคือ “ การแบ่งแยกเพื่อปกครอง “ โดย หากเมืองใดต่อสู้ ก็จะปล้นสะดมริบทรัพย์จับเชลย เป็นการลงโทษเมื่อตีเมืองได้ เมืองใดยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี ก็เพียงแต่กะเกณฑ์ผู้คนเสบียงอาหารใช้ในกองทัพ โดยไม่ลงโทษ โดยพม่ายังใช้การกระจายเกลี้ยกล่อมพลเมืองทั่วไปในภาคกลางฝั่งตะวันตกลุ่มน้ำเจ้าพระยา จึงทำให้คนไทยที่เดือดร้อนไปเข้ากับพม่าเป็นอันมาก

    พระเจ้าเอกทัศ จึงโปรดให้รวบรวมประชาชน และเสบียงเข้ามาไว้ในพระนคร หลังฤดูน้ำหลากผ่านพ้นไป อยุธยาพยายามที่จะตีค่ายพม่า พร้อมกับสร้างแนวปะทะใหม่ขึ้น แต่ก็ถูกตีแตกกลับมาทั้งสองทาง พระเจ้าเอกทัศ จึงโปรดให้เพิ่มการป้องกันให้แน่นหนาขึ้น และ สร้างค่ายล้อมกรุงเอาไว้ทุกด้าน ฝ่ายพม่าก็พยายามเคลื่อนเข้าใกล้กำแพงพระนครขึ้นทุกขณะ จนฝ่ายพม่าก็เข้ามาตั้งติดกำแพงพระนคร ห่างกันเพียงแค่ระยะปืนใหญ่ แล้วพม่าได้ก่อมูลดินขึ้นรอบพระนคร โดยบางกองนั้นสูงกว่ากำแพงเมือง แล้วยิงปืนใหญ่เข้าไปในกรุงและพระราชวัง

    ปลายปี พ.ศ. 2309 พระยาตาก และพระยาเพชรบุรี นำกำลังทางน้ำไปโจมตีเพื่อปลดปล่อยวงล้อม แต่ประสบความพ่ายแพ้ พระยาเพชรบุรีก็เสียชีวิตในที่รบ พระยาตาก ก็นำทหารของตัวฝ่าวงล้อมไปทางตะวันออก ในพระนครเริ่มขาดแคลนอาหาร ขวัญกำลังใจของกองทัพตกต่ำ ช่วงต้นปี พ.ศ. 2310 เกิดเพลิงไหม้ในพระนครซึ่งเผาผลาญบ้านเรือนไปกว่า 10,000 หลังคาเรือน

    แม่ทัพมังมหานรธา ใช้อุบายลอบขุดอุโมงค์เข้าไปในกรุง พร้อมกับสร้างค่ายทหารขึ้น 27 ค่ายล้อมรอบพระนคร ซึ่งรวมไปถึงเพนียด วัดสามพิหาร วัดมณฑบ วัดนางปลื้ม และวัดศรีโพธิ์ เพื่อจะได้ยิงปืนใหญ่ด้วยความแม่นยำยิ่งขึ้น แม้กองทัพหัวเมืองทางเหนือราว 20,000 นาย มาช่วยอยุธยา แต่ก็ถูกตีแตกกลับไป , ระหว่างเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ทหารพม่า ก็ขุดอุโมงค์ด้านหัวรอจำนวน 5 แห่ง ตั้งค่ายใหม่เพิ่มอีก 3 แห่ง พร้อมกับยึดค่ายป้องกันพระนครทางเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศใต้ได้ ต่อมา มังมหานรธา เสียชีวิต แม่เนเมียวสีหบดี จึงเป็นแม่ทัพใหญ่พม่าแต่เพียงผู้เดียว

    วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณบ่ายสามโมง เนเมียวสีหบดี สั่งให้ทหารพม่าใช้เชื้อเพลิงสุมไฟเผารากกำแพงเมืองจากใต้อุโมงค์ซึ่งขุดไว้แล้ว ตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย แล้วยิงปืนใหญ่ระดมเข้าไปในพระนคร จากบรรดาค่ายย่อยที่รายล้อมทุกค่าย พอพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมก็ทรุดพังลงมาลง เวลา 2 ทุ่ม แม่ทัพพม่ายิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน พม่าเอาบันไดปีนพาดเข้ามาได้ตรงที่กำแพงทรุดนั้นก่อน ทหารอยุธยาเกินกำลังจะต่อสู้ พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง

    พม่าหักเข้ากรุงได้แล้ว ก็เริ่มเผาเมืองทั้งเมืองหลังเที่ยงคืน เพลิงไหม้บ้านเรือนราษฎร และปราสาทราชมนเทียร ไหม้แต่ท่าทราย ตลอดถนนหลวง ไปจนถึงวัดฉัททันต์ แสงเพลิงโชติช่วงแดงฉาน อย่างน่าสังเวชสลดใจ เผาผลาญพระนคร ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานถึง 15 วัน บ้านเรือน วัด และสถานที่ราชการ ถูกเผาราบหมดสิ้น , ทัพพม่า ยังบังคับราษฎรไทยทั้งพระและฆราวาส ให้แจ้งที่อยู่ทรัพย์สิน ผู้ขัดขืนต้องโดนโทษทัณฑ์ต่างๆ ให้จับผู้คน รวมถึงพระราชวงศ์ ข้าราชการ สมณะ ไปคุมขังไว้ โดยพระสงฆ์ให้กักไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ส่วนประชาชนให้ขังไว้ตามค่าย ของแม่ทัพนายกองทั้งหลาย คำนวณแล้ว เชื้อพระวงศ์ถูกกวาดต้อนไปกว่า 2,000 พระองค์ ประชาชนไทยถูกพม่ากวาดต้อนไปมากกว่า 30,000 คน

    หลังเผาทำลายพระนครแล้ว ทัพพม่าได้พักอยู่ อีก 3 เดือน แล้วยกกลับพม่า โดยปล้นชิงขนเอาทรัพย์สินท้องพระคลัง และเชลยศึกไทยไปด้วย การเสียกรุงครั้งนั้น ส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลายลง , เกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ทหารพม่าได้ทำลายไร่นา สวนในภาคกลาง ราษฎรที่ยังหลงเหลือทุกข์ยาก เศรษฐกิจไทยตกต่ำอย่างหนัก ในระหว่างการศึก ก็มีเรือต่างประเทศจะนำเสบียง และยุทธภัณฑ์มาช่วยเหลืออยุธยา แต่ทัพเรือพม่า ก็ขัดขวางจนไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้

    ความเสื่อมโทรมภายหลังเสียกรุง เช่น มะริดและตะนาวศรี ตกเป็นเมืองท่าของพม่าอย่างเด็ดขาด การค้าขายกับชาวตะวันตกจึงเสื่อมโทรม การทหารของชาติอ่อนแอ ปืนน้อยใหญ่เรือนหมื่น พม่าขนกลับบ้านเมืองไปด้วย ประชากรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ละทิ้งบ้านเรือนหนีภัยสงครามเป็นจำนวนมาก เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในเวลาต่อมา

    ต่อมา พม่าเกิดการสงครามกับจีน จึงเรียกกองทัพส่วนใหญ่กลับไป แต่ให้คงกองทหารขนาดเล็กไว้ในอาณาจักรอยุธยาที่เป็นซากไปแล้ว ราว 10,000 นาย จึงมีอำนาจอยู่แต่ในบริเวณค่ายคู ประตูหอรบ และปริมณฑลเท่านั้น ท้องที่ห่างไกลจึงเหนือการควบคุม , ภายหลังจากการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา หัวเมืองในระดับต่าง ๆ กลายเป็น "รัฐบาลธรรมชาติ" ในท้องถิ่นทันที เกิดจากการที่บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ได้ตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน เรียกว่า "ชุมนุม" หรือ "ก๊ก" ซึ่งมีจำนวน 4-6 แห่ง แต่ไม่อาจรวมกันเป็นปึกแผ่นได้

    แม้ว่าพม่าจะได้ชายฝั่งตะนาวศรีตอนล่าง มาเป็นของตน แต่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะพิชิตคนไทย และควบคุมดินแดนโดยรอบ เพราะพม่า ก็สูญเสียอย่างหนัก หลังผ่านพ้นสงครามกับอยุธยา และต้องไปรบกับจีนต่ออีกหลายปี และคนไทยภายใต้การนำของพระยาตาก ที่ควบคุมพื้นที่แถบเมืองจันทบุรี ก็เป็นแรงหนุนเหล่าหัวเมืองในล้านนากบฏ ต่อต้านพม่าได้ดีกว่าเดิม ต่อมาจึงมีการศึกขับไล่ทหารพม่า ที่หลงเหลืออยู่ในดินแดนอยุธยา และแคว้นล้านนา ออกไปได้ทั้งหมด

    พระยาตาก จึงการปราบดาภิเษกตนเอง เถลิงอำนาจเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของอาณาจักรธนบุรี คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 , สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) แต่เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเสียหายยับเยิน จนสุดคณานับ ยากต่อการฟื้นฟู พระองค์จึงทรงย้ายเมืองหลวงของอาณาจักร ไปยังกรุงธนบุรี แต่ความวุ่นวายจากศึกสงครามก็ยังดำเนินอยู่ตลอดรัชสมัยของ จนกระทั่งคนไทยเริ่มฟื้นตัว กลับมารวมกันเป็นปึกแผ่น และรุ่งโรจน์อีกครั้ง นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    จากที่เล่ามา เป็นที่น่าสังเกตว่า พม่าในสมัยโบราณ จะมีลักษณะคล้าย แก๊งค์อั้งยี่แดง (คอมมิวนิสต์แดงกลายพันธ์ + บริษัทเผาไทย) คือ

    1. พม่าจะไม่สามารถรบชนะกษัตริย์ไทย และทหารไทยในอดีต ได้ตรงๆ หรือ ด้วยฝีมือทางการทหาร แต่มักจะเอาชนะด้วยเล่ห์กล หรือการยุยงส่งเสริมให้เกิดการแตกแยก ขาดความสามัคคีในหมู่คนไทย

    ปัจจุบันคอมมิวนิสต์แดงกลายพันธ์ และบริษัทเผาไทย ใช้วิธีการ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง“ แยกคนไทยออกเป็นส่วนๆ และการ “ โฆษณาชวนเชื่อ” หลอกลวง จนคนเสื้อแดงหลงผิด

    2. พม่าในอดีตชอบรุกราน รบราฆ่าฟันไม่รู้จักหยุด , ประพฤติตนเป็นอันธพาล , เผา , ปล้นชิง , หักหลัง , ใจคอโหดเหี้ยม , เห็นแก่ได้ , ละโมบโลภมากในทรัพย์ จึงมีความอิจฉาริษยาคนอื่นๆ ที่เขาดีกว่า เห็นได้ชัดในการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ซึ่งพม่าทำสงครามแบบ "กองทัพโจร" คือ การปล้นชิงเอาทรัพย์สินท้องพระคลัง และของมีค่าจากอาณาจักรไทยไป

    ปัจจุบันคอมมิวนิสต์แดงกลายพันธ์ และบริษัทเผาไทย ใช้วิธีการ เป็นอันธพาล , ก่อการร้ายสากล , จัดตั้งฝึกกองกำลังแดงของตนเอง , ใจคอโหดเหี้ยม , ใช้อาวุธสงคราม โจมตีประชาชนไทย ศาล ปปช. สถานที่ราชการ บ้านข้าราชการระดับสูง , เผาเมืองหลวงกรุงเทพ และศาลากลาง หัวเมืองที่ยึด เมื่อปี 53 จนราบพินาศยับเยินไปทั่วประเทศ , หักหลัง ยิงหัวคนเสื้อแดง และการ์ดด้วยกันเอง (พวกตัวเองตามที่เคยเล่าตอนก่อนหน้า) เห็นแก่ได้ , ละโมบโลภมากในทรัพย์ จากการอมเงินหัวคิวคนเสื้อแดง , ปล้นสดมภ์ ทรัพย์สินส่วนรวมของประชาชนไทย จากกระทรวงการคลัง ไปเข้ากระเป๋าตนเอง ในรูปแบบสารพัดโกง นั่นเอง

    ส่วนพวกคนพม่า ที่มีบางส่วนรักพระมหากษัตริย์ไทย และอยากมาอยู่เมืองไทย อาจเกิดจากวิญญาณคนไทยในอดีต สมัยที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยที่หงสาวดีจำนวนมาก และกษัตริย์ไทยโบราณช่วยกลับมาไทยไม่หมด จึงตายตกค้างที่พม่า หรืออาจเป็นพวกลูกครึ่งไทยกับมอญ ที่เมื่อเกิดใหม่อีกหลายยุคต่อมา ก็เลยกลายเป็นตัวต่างด้าว แต่หัวใจรักกษัตริย์ไทย พวกนี้จะมีจิตสำนึกเบื้องลึก ที่อธิบายกับตนเองไม่ได้เช่นกัน ว่าทำไมต้องเคารพรักกษัตริย์ไทย

    บางส่วนที่อยู่ในดินแดนพม่าตอนนี้ ก็เกิดมาใหม่แต่ต่อต้านทหารพม่าตลอดเวลา ในรูปแบบใดแบบหนึ่ง เช่น ไทใหญ่ และ เจ้ายอดศึก ก็อาจคือมอญในสมัญโบราณที่เคารพพระมหากษัตริย์ไทยอย่างมาก (ตามที่เคยเล่าแล้ว) หรือ พระพม่า ที่ต้องถูกทหารเขากดขี่ และจ้องจับกุมอยู่ตลอดเวลา พระถึงกับต้องพกอาวุธ เช่น หนังสติ๊ก ลูกหิน ไว้คอยต่อสู้กับทหารพม่า เป็นต้น

    ยิ่งคิดมันยิ่งแปลก ที่นิสัย ใจคอ พม่าในโบราณ กับ แก๊งค์อั้งยี่แดง (คอมมิวนิสต์แดงกลายพันธ์ + บริษัทเผาไทย) ในตอนนี้ที่เหมือนยังกับถอดมาจากบล็อกเดียวกัน ทั้งวิธีคิด พฤติกรรม รูปแบบ และที่เหมือนกันสุดๆ โดยบังเอิญ ของ 2 กลุ่มนี้ก็ คือ “ จ้องล้มล้างพระมหากษัตริย์ และ ราชวงศ์ไทย “ เป็นแบบนี้มานานกว่า 800 ปีแล้ว จนถึงปัจจุบัน แก๊งค์อั้งยี่แดง กับคนเสื้อแดงล้มเจ้า ก็ยังดำรงนิสัย ความคิดเดิม ไม่มีผิดเพี้ยน พวกนี้ยังจ้องจะเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 รัฐบาลได้ออกกฎหมาย ยึดเป็นของกระทรวงการคลังไปหมดแล้ว (ตามที่เล่าตอนก่อนหน้า) แต่พวกนี้ก็ยังอยากจะได้อีก อ้างว่าพระมหากษัตริย์รวย คอยกระแหนะกระแหน ขุดคุ้ย

    เมื่อกรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นกษัตริย์ดีฉันท์ใด กรุงรัตนโกสินทร์ก็ไม่สิ้นกษัตริย์ดีทุกรัชกาลฉันท์นั้น จนมาถึงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2493 ที่ในหลวงทรงบรมราชาภิเษกครองราชย์ เป็นหลักชัยคล้องใจคนในชาติไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว ต่อสู้กับทฤษฎีกระแสโลกทุนนิยมสามานย์ ด้วยทฤษฎี “เศรษกิจพอเพียง “ อย่างมั่นคงแน่วแน่ จนราษฎรไทยพ้นภัยมามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน , จากวันนั้นมีราษฎรไทย ประมาณ 17.5 ล้านคน พระองค์ครองราชย์ผ่านมา 64 ปี จนปัจจุบันมีราษฎร ประมาณ 67 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 49.5 ล้านคน หรือเกือบ 4 เท่าตัว)

    แต่ก็ยังมีกลุ่มคนตั้ง “ ขบวนการล้มเจ้า “ มีการเปลี่ยนฉากหน้าไปหลายหน้า หลักๆ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย , กลุ่มคอมมิวนิสต์อกหัก , บริษัทไทยไม่รักไทย , บริษัทพลังนักการเมือง, จนมาเป็นบริษัทเผาไทยในปัจจุบัน และสารพัดแก๊งค์อมเงินหัวคิว และแก๊งค์รับจ้าง เช่น กลุ่มเนรคุณป่วนชาติ (นปช.) , กลุ่มวิทยุป่วนประชาชน (กวป.) , กลุ่มโกเต็ก ฯลฯ แต่คนที่ชักใย สั่งการตลอด 10 กว่าปีมานี้ กลับ คือ ชายดูไบ คนเดียวทั้งสิ้น , ต่างกันตรงที่ผู้นำทัพสมัยก่อนเป็นพระมหากษัตริย์ นำทัพสู้รบด้วยพระองค์เอง แต่สมัยยนี้ ชายดูไบ สู้รบด้วยการนั่งจิบไวน์อยู่ต่างประเทศ เพราะกลัวตาย และจะเอาคนในตระกูลหนีไปต่างประเทศก่อนทุกครั้ง ไม่เคยแสดงถึงภาวะผู้นำที่มีความเสี่ยงใดๆ เลยสักครั้ง

    เป้าหมายของความทะเยอทะยานของชายดูไบ ที่จะล้มราชวงศ์จักรีของไทย มีความพยายามมานานแล้ว แต่คนไทยเหนือและอีสาน โดนปิดหูปิดตาจากสื่อของเครือข่ายขวบนการล้มเจ้า ที่มีชายดูไบ เป็นนายทุนใหญ่อยู่เบื้องหลัง เขาเองมักใหญ่ไฝ่สูงเวอร์ถึงขนาดสร้างมโนประวัติศาสตร์กษัตริย์ไทย ตามความคิดประหลาดสุดขั้ว เช่น ทำตรายางปั้มลงไปที่ด้านหลัง ธนบัตรราคา 100 บาท คำทำนองว่า “ชายดูไบ คือ พระเจ้าตากสิน “ กลับชาติมาเกิด แล้วแจกเป็นค่าจ้างการชุมนุมของคนเสื้อแดงภาคเหนือบ้าง แท็กซี่ในเครือข่ายวิทยุหมิ่นฯ บ้าง เพื่ออุตริอุปโหลกสร้างกระแสให้ ชายดูไบ เป็น “พระเจ้าตากสิน” กลับชาติมาเกิด เพื่อกอบกู้ชาติไทย และบังเอิญว่าชื่อในภาษาอังกฤษของเขาก็ใช้คำว่า “TAKSIN” ซึ่งชื่อไปพ้องกับชื่อพอดี..หลอกคนเสื้อแดงกันง่ายๆ แบบนี้แหละ

    เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ชายดูไบ สติแตกและหลุดโลกพิสดาร พันลึกหนักแบบกู่ไม่กลับ ต้มตุ๋นค้าขายกับความเชื่อของคนชนบท เมื่อให้เครือญาติทำพิธีกรรม ที่วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีนายพลแก๊สแพง พี่ชายของเขา ไปนั่งเป็นประธานในพิธีด้วยตัวเอง พร้อมด้วยคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง เพื่ออุปโหลกขึ้นมาว่า ชายดูไบ คือ “พระเจ้ามูลเมือง” แห่งเมืองเชียงใหม่ โดยใช้วิธีการแบบ “ระลึกชาติ” ในพิธีกรรมครั้งนั้น มีภาพวาด “พญากือนา” หรือ “พระเจ้ากือนาธรรมิกราช” ที่ประวัติเคยเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์เม็งราย ปกครองอาณาจักรล้านนา ทรงครองราชย์ในราวปี พ.ศ.1898-1928 และกษัตริย์พระองค์นี้ยังทรงอัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานบนดอยสุเทพ สร้างคุณูปการมากมาย

    ในพิธีกรรมดังกล่าวมีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่ง ชุดนุ่งขาวห่มขาวมาเข้าทรงแล้วอ้างดื้อๆ แบบไม่อ้อมค้อมว่ามี “ข้อมูลใหม่” สมัยเมื่อชาติปางก่อน ชายดูไบ เคยเป็นกษัตริย์ปกครองหัวเมืองล้านนา ในอดีตมีชื่อว่า “พระเจ้ามูลเมือง” หรือ “เจ้าษิณ” สาเหตุที่ต้องประสบเคราะห์กรรมในขณะนี้ เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติตามมารังควานจึงต้องมีการปัดเป่าให้พ้นไป , จงใจสร้างภาพหรือยกฐานะของ ชายดูไบ ให้เป็นลักษณะของสมมุติเทพ ไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป มีที่มาสูงส่งในอดีตไม่ธรรมดา เหมือนกัน ความสุดโต่งมักใหญ่ไฝ่สูงของเขา

    ที่ทำให้คนทั่วไปตะลึงพรึงเพริดไม่เชื่อสายตาตนเอง ก็คือ มีความพยายามจงใจจ้างวาดพระพักตร์ภาพของพญากือนา ในพิธีกรรมนั้นให้มี “ใบหน้าเหลี่ยมๆ” เหมือนกับ ชายดูไบ ไม่มีผิดเพี้ยน.. จนมีการเผยแพร่ภาพนั้นเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันนี้ ให้คนเสื้อแดงที่เชื่อได้กราบไหว้สักการะ..จะได้สร้างกระแสบารมีให้เกิดความศรัทธาจากคนเสื้อแดงที่หลงกลลวงไม่รู้เท่าทัน..ทำไปด้ายย !!

    นอกจากนี้ยังมีการหล่อรูปปั้น “ พระพุทธรูปชินวัตรมุณี” ในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็เป็นพระพุทธรูปใบหน้า “ ปางสี่เหลี่ยม “ เช่นเดียวกันกันกับใบหน้าของชายดูไบ..อัยย่ะ !! นั่นเพราะเหตุผลหลัก คือ เพื่อรองรับความศักดิ์สิทธิ์ตีตนเสมอเจ้า และโน้มน้าวความเชื่อของคนเสื้อแดงชนบทในระดับรากหญ้า ที่มีความคุ้นเคยกับเรื่องทรงเจ้า เข้าผี เหล่านี้ ตามวิถีชีวิตวัฒนดั้งเดิมสืบทอดกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น

    แม้ว่าพิธีกรรมแบบนี้อาจจะสร้างความตลกขบขัน ในคนทั่วไปแบบเราที่ไม่เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์ดังกล่าว และเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่สำหรับวิถีชีวิตในชนบทก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดมั่นอย่างเคร่งครัด เป็นการตอกย้ำให้คนคนเสื้อแดงเห็นว่า ชายดูไบ คือ “เจ้าเก่าในอดีต”..ประกอบกับมีขบวนการ “ปล่อยข่าว” อย่างเป็นขั้นเป็นตอน มันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อคนเสื้อแดงมากขึ้นไปอีก..แท๊กซี่บางคน ถึงกับเคยอุทานด้วยความเชื่อกับผู้โดยสารว่า “วันนี้เป็นวันครบรอบวันประสูติของพระเจ้ามูลเมืองที่อยู่ต่างประเทศ”..ไม่ไหวจะฮาจริงๆ

    มีสมาชิกแนะนำวิธีปราบแท็กซี่พวกที่ชอบทำตัวเป็น “ขยะแผ่นดิน” ให้ร้าย และหมิ่น สถาบันเบื้องสูง โดยถ้ามันเริ่มพูดมาแนวนี้ ให้ท่านทำทีสนใจ และยิงคำถามแรกไป จากนั้นให้เริ่มใช้เครื่องโทรศัพท์บันทึกเสียงคนขับแท็กซี่ไว้ ให้มันเล่าดังๆ บอกเราหูไม่ค่อยดี ให้มันพูดพล่ามหมิ่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่หมายที่ปลอดภัย มีคนอยู่มาก ท่านก็ลงจากแท๊กซี่โดยไม่ต้องจ่ายค่าโดยสาร แล้วถ่ายทะเบียนรถที่บอบประตู ที่ป้ายทะเบียนไว้ แล้วก็บอกกับมันไปว่า “ ในเมื่อไม่รับในหลวง และราชวงศ์แล้ว ก็ไม่ต้องเอาเงินที่มีรูปพระองค์ท่านอยู่ “

    แล้วก็ขู่ไปว่าเดี๋ยวจะไปแจ้งความกับตำรวจที่ป้อมหรือโรงพักจับมัน มันเสร็จแน่ๆ ติดคุกหัวโต ลูกเมียเดือดร้อนหนักแน่ๆ เพราะหลักฐานเป็นเสียงที่บันทึก และภาพถ่ายทะเบียนรถไว้ ขู่มันว่า ท่านเป็นสายปลอมตัวมาจับพวกหมิ่น ถ้าไม่อยากถูกจับ จะเตือนให้ แต่มีข้อแม้ว่า “จะต้องกล่าววาจาสาบานตัวต่อหน้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าต่อไปมันจะไม่ให้ร้าย และหมิ่น สถาบันเบื้องสูง อีกต่อไปแล้ว “ ถ้าครั้งหน้าทำอีกขอให้มัน ยากจน ข้นแค้นแสนเข็ญ ให้มีอันเป็นไป ต้องคมหอกคมดาบ ตายโหง ไม่ตายดี เสร็จแล้วก็ไล่มันไปให้พ้นๆ ไม่ต้องจ่ายเงินมัน..ถ้าไม่รีบไปจะเปลี่ยนใจไปแจ้งความทันที..คุกยาวนะ..เท่านี้มันก็กลัวจนขี้หดเผ่นแน่บ เข็ดไปจนตาย..เจอแบบนี้ทุกวัน แท็กซี่พวกนี้ก็จะหุบปาก ลดการหมิ่น และให้ร้าย เบื้องสูง แล้วจะค่อยๆ ลดจำนวนลงไปเองตามธรรมชาติเรื่อยๆ ช่องทางการปล่อยข่าวลือก็จะหมดไปอีกทาง

    พวกที่ไปสวามิภักดิ์กับ “ขบวนการล้มเจ้า “ บั้นปลายจะไม่ตายดีสักคน เช่น นายกหมัก ก็ตายด้วยมะเร็งตับอย่างทรมาณ, กุเทพ ส.ส.หนองคาย โฆษกบริษัทพลังนักการเมือง ก็ตายด้วยมะเร็ง , ชุมพล ณ สุพรรณ ย้ายค่ายไปร่วมกับบริษัทเผาไทย ก็ตายด้วยโรคหลอดเลือด , เสธ หนั่น ย้ายค่ายไปก็เป็นเจ้าชายนิทราทรมาณและตาย , ตอนนี้อดีตเปาบุ้นจิ้นรัฐธรรมนูญ สมัยที่ตัดสินให้ชายดูไบ หลุดคดีซุกหุ้น กำลังป่วยหนัก นอนรอความตายด้วยโรคมะเร็งปอด เมียก็เป็นมะเร็งด้วย เงินร้อนที่ได้มาจากค่าจ้าง ก็ถูกเผาผลาญไปจนหมดกับการรักษา นี่แหละเขาเรียกว่าเงินบาป

    วงเวียนกรรมหมุนไป กรรมยุติธรรมเสมอ ไม่มีต่อรอง ทรมานก่อนตายทีละน้อย สมกับที่ทรยศต่อขบวนการล้มเจ้า..เวรกรรมติดมะเร็ง


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2014
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    22 เม.ย.57 แฉ..ตอน 3 ขบวนการล้มเจ้า หมิ่นเบื้องสูง โดยแอบอิงศาสนา

    “ ผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น” ทำให้ชีวิตของชายดูไบพลิกผัน รกหกระเหินเป็นผี่เร่ร่อน แม้เขาจะมีเงินทองกองเท่าตึกชิน มีอำนาจ อยากกินอะไรก็ในใต้ฟ้า จะสั่งหญิงงามที่ผ่าตัดทำศัลยกรรมนับครั้งไม่ถ้วน ไปจึ๋งคราละ 5 แสนบาทก็ทำได้ แต่เงินก็ไม่อาจซื้อกรรมลิขิตได้ ตราบเท่าที่จิตใจยังเต็มไปด้วยกิเลส ตันหา สุมไฟอาฆาตแค้น จนทรุดโทรมอย่างที่เห็น “ ไฟนั้นมันเผาผลาญทุกสิ่งได้ก็จริง แต่มันก็เผาผลาญตัวมันเองย่อยยับไปด้วย “

    ในยุคที่ชายดูไบ ยังครองอำนาจรัฐ สื่อมวลชนถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือล้างสมองคนเสื้อแดงอย่างเป็นระบบ ในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อ และโจมตีสถาบันเบื้องสูง มีทั้งประเภทสื่อหลัก สื่อรอง สื่อใต้ดิน เช่น ฟรีทีวี ทีวีดาวเทียม วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซต์ ใบปลิว และการปล่อยข่าวลือให้ร้าย หมิ่นพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ ตามแหล่งชุมชน หรือบนรถแท็กซี่ เพื่อให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว โดยหาต้นตอที่มาไม่ได้

    ที่สร้างความแปลกประหลาดใจให้คนไทยเป็นอย่างมากในเวลานั้น ภายใต้การกำกับของ เจ๊เพ็ญ อดีต รมต.สำนักนายกฯ คือ การเจาะจงนำเสนอสารคดีการโค่นล้มราชวงศ์เนปาล ตามมาด้วยสารคดีการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ในฝรั่งเศส การโค่นล้มระบบกษัตริย์ในอังกฤษ ของสถานีโทรทัศน์หอยม่วง และการทำปกนิตยสารกรมกร๊วก โดยมีภาพเจ๊เพ็ญเต็มปกหน้า และนำภาพสมเด็จพระเทพ ไว้ปกในและมีขนาดเล็กมาก ซึ่งไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน จนด่าทอรัฐบาลเทียมกันทั้งเมือง

    ส่วนมติชิน ที่ซื้อหุ้นใหญ่ไปแล้วโดยเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า ฉบับสุดสัปดาห์กลางปี 2549 ก็ เอากรณีโค่นล้มเนปาลมาเป็นกรณีศึกษา นั่นเพราะ เสถียร ที่เคยควบคุมกองบรรณาธิการสมัยนั้นเป็นอดีตสมาชิกคอมมิวนิสต์กลายพันธ์อกหักนั่นเอง มีชื่อว่า “สหายดวง” ที่เป็นคอลัมนิสต์ที่ ชายดูไบ เคยออกปากชื่นชมนอกหน้าว่า มีมุมมองเฉียบคม

    สื่อที่ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อ นอกจากจะเป็นกระบอกเสียงสร้างความนิยมให้กับชายดูไบ และแก๊งค์อั้งยี่แดง แล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะฉวยจังหวะเปิดโอกาสให้ แก๊งค์อั้งยี่แดง กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างผิดปกติธรรมชาติ พิลึกพิลั่น แบบหน้าไม่อาย แก๊งค์อั้งยี่แดง และขบวนการล้มเจ้า ยังได้ผลิตสื่อเฉพาะกิจหรือที่เรียกกันว่า “สื่อเทียม” ออกมามากมาย เพื่อระดมโหมโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง มีทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เช่น สถานีเอเซียอาบแดด , หนังสือพิมพ์ที่ทำขึ้นมาหมิ่นเบื้องสูงโดยเฉพาะอีกหลายฉบับ , วิทยุชุมชน ทั้งถูกหมาย และเถื่อนนอกกฎหมาย เช่น ที่อุดร , โกเต็ก , กวป. , รักเชียงใหม่ ,ลำปาง , เชียงราย , ริมปิง , ลำพูน , อุบล , คนรักแท็กซี่ ฯลฯ

    นอกจากนี้ เครือข่ายแก๊งค์อั้งยี่แดง ยังได้ใช้ยุทธวิธีโลกล้อมประเทศ โดยโจมตีฝ่ายตรงข้ามในประเทศไทย หมายรวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย โดยว่าจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ต่างประเทศที่มีอิทธิพล โน้มน้าวสื่อชั้นนำ และเข้าถึงนักการเมือง และสมาชิกรัฐสภาของเมืองลุงแซม เช่น บ. บาร์เบอร์ กริฟฟิธ , บ.เบเกอร์ บ๊อทส์ , บ. เอลเดอร์แมน เป็นต้น

    - นอกจากจ้างและสื่อมวลชน ให้เข้ามาอยู่ในขบวนการล้มเจ้าแล้ว ยังมีการร่วมกับเครือข่ายศาสนาที่ทรงอิทธิพลมากเข้าสนับสนุนอีกด้วย แก๊งค์อั้งยี่แดง และขบวนการล้มเจ้าอีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2557 มีการจับพระสาขาวัดจานบิน ขนแรงงานต่างด้าวเข้าปทุมฯ โดยชายชุดเขียวเฉพาะกิจกรมราบที่ 4 อ.แม่สอด จ.ตาก ประจำจุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ถนน อ.แม่สอด -อ.เมืองตาก รับรายงานว่าจะมีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวกะเหรี่ยง-พม่าจากชายแดนไทย-พม่า เพื่อไปส่งยังกรุงเทพมหานคร โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพา และให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยรถไปรับคนพม่า เพื่อมาเปลี่ยนชุดขาวแต่งกายเป็นนักบวช ที่ บ้านวาเล่ย์ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจต่างๆ

    จึงได้สกัดรถยนต์ และจับกุมรถตู้ 2 คัน พร้อมชาย 2 คน บรรทุก คนต่างด้าว สัญชาติพม่า และสวมชุดขาวเป็นการอำพราง จำนวน 30 คน เป็นหญิง 18 คน ชาย 12 คน โดย มีพระสังกัด สาขาวัดจานบินอีก 2 รูป นั่งหน้ารถยนต์ตู้มาทั้ง 2 คัน ชื่อ พระสุระศักดิ์ สุรวโส อายุ 48 ปี และพระสุรพล บุญศรีพานิช อายุ 53 ปี โดยมีป้ายที่ติดรถยนต์ ระบุชัดเจนว่า “สังกัดวัดจานบิน “ พม่าที่มาแต่งชุดนุ่งขาว ห่มขาวทั้งหมด ไม่มีเอกสารการเข้าเมืองใดๆ จึงควบคุมตัวทั้งหมดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

    พระอ้างว่าพามาทำบุญ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดจานบิน ฉลองวันเกิด "หลวงพ่อนะจ๊ะ" แล้วจะพาไปทำงานที่วัดเขาแก้วเสด็จ ปราจีนบุรี ต่อ โดยได้ค่าจ้างแรงงานวันละ 170-200 บาท ที่ผ่านมามีการขนหลบหนีข้ามแดนมาเยอะแล้ว ได้รับค่าหัวจ้างละ 5,000 บาท , ที่ผ่านมาที่วัดจานบินนี้ ในปี 53 มีรายงานการให้ที่พักพิงกองกำลังติดอาวุธชุดดำ ของแก๊งค์อั้งยี่เผาไทย โดยปลอมตัวเป็นพระ และซ่อนอาวุธสงครามไว้ในกรด และเมื่อช่วง เม.ย.- พ.ค.53 ก็นำอาวุธสงครามมายิงหัวผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ด้วยกันเองตายจำนวนมาก เพื่อสร้างสถานการณ์ และต่อสู้กับชายชุดเขียว

    เมื่องไทยมีคนนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ ในเขตชนบทชอบทำบุญสุนทาน “คอมมิวนิสต์กลายพันธ์ และ ทุนนิยมสุดโต่ง “ จึงเห็นโอกาสในการสร้างความเชื่อ ผสานกับการเมือง โดยใช้มวลชนจิตใจธรรมมะ ให้เป็นเครื่องมือ ใช้ขับเคลื่อนเป้าหมายทางการเมืองในอนาคต อาศัยความเชื่อทางศาสนา มาจัดระเบียบวินัย จัดตั้งมวลชน และมีจำนวนมากพอ ในขณะที่ทางฝ่ายศาสนาก็ต้องการอำนาจจากการเมือง ในการปกป้องหรือช่วย “เคลียร์” บางเรื่องให้ผ่านพ้นไป

    ในช่วงที่ชายดูไบ เป็นนายก กุนซือฝ่ายคอมมิวนิสกลายพันธ์ มองเห็นการขยายเครือข่าย “ลัทธิจานบิน” ออกไปได้กว้างขวางโดยใช้หลักการตลอดดาวราย แบบทุนนิยมมาประยุกติ์ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายกุมอำนาจขณะนั้น และ ฝ่ายวัดจานบิน จึงมีข้อตกลงที่สมประโยชน์ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี , เหตุที่ลัทธิจานบินที่ต้องมาอิงแอบอยู่กับ บริษัทเผาไทย ก็มาจากต้องการพึ่งพาอำนาจรัฐ ในการขยายอาณาจักรความเชื่อ “ลัทธิใหม่” ขยายออกไปแบบไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เช่น กรณีสั่งให้ถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ที่ หลวงพ่อจ๊ะจ๋า ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลย , การบังคับหน่วยงานกระทรวงศึกษา ให้จัดเด็ก และเยาวชน ไปปฎิบัติธรรมที่วัดนั้น , การบังคับหน่วยงานราชการ ต้องมาจัดอบรมปฏิบัติที่วัดในเครือข่าย “ลัทธิจานบิน” ที่มีสาขาอยู่จังหวัดต่างๆ

    ลัทธิจานบิน ที่เน้นในเรื่อง “นิมิต” ที่ กลม ใส สว่าง และการเพิ่งดวงอาทิตย์จนตาเสียไปแล้วหลายคน สร้างกระแสให้สาวกทึ่ง และนับถือในความเก่งกาจเพื่อสร้าง “อุปทานหมู่” ในกลุ่มสาวกนั่นเอง รวมไปถึงการอวดอ้างว่านิมิตดังกล่าวเป็นปากทางเข้าสู่นิพพาน สอนให้เชื่อว่า นิพพานคือ “อัตตา” เป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และลัทธิจานบิน ยังสอนอีกว่าทุกคนสามารถเข้าถึงนิพพานได้ แต่ต้องปฏิบัติตามแนวทางลัทธิจานบิน ที่กำหนดรูปแบบเอาไว้เท่านั้น

    มีการอวดอุตริ แปลกประหลาด สร้างเรื่องอภินิหาร “พิเศษ” ของแม่ชีจันทร์ ผู้ให้กำเนิดวัดจานบิน ที่อ้างว่าบรรลุวิชาจานบิน คือ แม่ชีจันทร์ และหลวงพ่อธรรมจ๊ะจ๋า ทั้งสองคนอ้างว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ “กลั่นอาหารทิพย์” ที่นำมาจากข้าวปลาอาหาร ที่ชาวบ้านนำมาถวาย โดยทั้ง 2 คน จะเป็นผู้ผุกขาด เดินทางนำไปถวายพระพุทธเจ้าเสวย ในทุกข์วันอาทิตย์ต้นเดือน..

    สุโค่ยไหมนี่ แหกตาหลุดโลกไปเลย..เออ สองคนนี้ได้สิทธิพิเศษ VIP Card อะไรถึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในแดนนิพพานได้ นี่เดินทางไปมาระหว่างโลก กับแดนนิพพานกันทุกเดือน เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศ หรือดูหนังเลยนะนี่

    นอกจากนี้ยังอวดสร้างกระแสอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อื่นๆ เช่น อ้างว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่อเมริกา ได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงมา ตอนแรกมีเป้าหมายที่ประเทศไทย (ตายละ..แผน CIA , FBI, MI6 , 7-11 รั่วซะแล้ว..ฮา) เนื่องจากมีกองทหารญี่ปุ่นอยู่ในไทยเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยการบำเพ็ญภาวนาของ แม่ชีจันทร์ เป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน มีตบะแก่กล้า จึงสามารถสร้างกุศล “ปัดระเบิดนิวเคลียร์ “ ไปตกที่เมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิ ของญี่ปุ่นได้ ทำให้คนไทยรอดพ้นอันตรายจากนิวเคลียร์..แม่เจ้า..อเมริกาเอ้ย เป็นไงล่ะ..ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นมหาอำนาจด้านอาวุธไฮเทคกันแน่..ฮา

    เสธ รู้สึกสงสารคนญี่ปุ่น ที่โดนปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปลงตุ๊บ เดือดร้อน แสนสาหัส นับแสนคนที่เสียชีวิต และทนทุกข์ทรมาณจากกัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์ จนมีบาดแผลทางกาย และใจมาจนถึงทุกวันนี้ บาปกรรมเยอะนะนี่ น่าจะปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปลงที่ดวงจันทร์ ดาวอังคาร หรือเบาะๆ ก็มหาสมุทรอินเดียโน่น คนญี่ปุ่นจะได้ไม่ตาย โชคดีนะที่ข่าวใหญ่เรื่องนี้ไม่แพร่ไปถึงญี่ปุ่น ไม่งั้นละก็..ญี่ปุ่นต้องส่งไอ้มดแดง ไอ้มดเอ็กซ์ โดเรมอน มาถล่ม “จานบิน” เละแน่ๆ..ปล่อยแสงแว๊บๆๆ..ฮา

    ที่ผ่านมามีคนหลงเชื่อวัดจานบิน จำนวนมหาศาล จนสามารถสร้างเครือข่ายสาขา สร้างมวลชน ที่เรียกว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก ในช่วงที่ ชายดูไบ เรืองอำนาจ มีการจัดหาสาวกขายตรงแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการที่วัดจานบิน ให้เงินสนับสนุนกับวัดในชนบทต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอด้วย..รูปแบบเดียวกับนโยบายประชานิยม ของบริษัทเผาไทยเป๊ะ

    การขยายเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็วนี้ เป้าหมายแฝงของวัดจานบิน หมายถึงการตั้งนิกายใหม่ และรวมไปถึงการมีอิทธิพลไปครอบงำวงการสงฆ์ไทย ครอบงำมหาเถระสมาคม เพื่อกำหนดทิศทางของคณะสงฆ์ในสายของตัวเองด้วย ให้เข้ามามีตำแหน่งใหญ่โตในทางพระ (รูปแบบเหมือนการครอบงำข้าราชการเป๊ะ) คือ กำหนดตัวพระที่สวามิภักดิ์ลัทธิจานบิน แล้วสนับสนุน ล๊อบบี้ ให้ได้ตำแหน่งในกรรมการมหาถระสมาคม เพื่อกุมเสียงข้างมาก และจะส่งผลไปถึงการกำหนดตัวคนที่จะเป็นพระสังฆราชไทย องค์ต่อไปที่เดียว จากนั้นแผนถัดไป คือ ครอบงำวงการสงฆ์ไทยทั่วประเทศ

    อนาคตนโยบายทางการเมือง จากบริษัทเผาไทย ก็สามารถจะถูกส่งผ่านไปยังวัดจานบิน แล้วส่งสัญญาณไปยังเถระมาคม หรือ สังฆราช สายแดง อาจจะมีการออกกฎในหมู่สงฆ์แปลกๆ ขึ้นมาใหม่ หรือ แอบแฝงนโยบายบริษัทเผาไทย หนังสือสั่งการจากทางพระ ลงไปยังวัดทั่วประเทศมหาศาล อย่าลืมว่าเจ้าอาวาสวัดในต่างจังหวัด เป็นที่เคารพนับถือของญาติโยม ถ้าเจ้าอาวาสขอให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.บริษัทการเมืองได ญาติโยมสาวกวัดจานบินจำนวนมาก ก็ย่อมเกรงใจ มันส่งผลต่อคะแนนเสียงแพ้ชนะทางการเมืองอย่างมาก

    เมื่อชนะเลือกตั้ง ก็จะยึดอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร อยู่ร่ำไป จะออกกฎหมาย จะยกเลิก จะนิรโทษกรรม อะไรก็ทำได้เหมือนพลิกฝ่ามือ หรือแม้แต่จะถึงขั้นออกกฎหมายยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ บริษัทเผาไทยก็ย่อมทำได้ เพราะที่ผ่านมาเป็นหลักฐานว่าแก๊งค์อั้งยี่แดงกล้าจัดตั้ง “ขบวนการล้มเจ้า” ที่เห็นชัดประจักษ์มาแล้วหลายสิบปี

    พอแฉ ลัทธิจานบินแบบนี้ สาวกที่อ่านคงไม่สบายใจ บางคนอาจเคยเข้าวัดนี้ เคยบวช ที่วัดสอนให้นั่งสมาธิ , ให้รักษาความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย , ให้ทุกคนรักษาศีล 5 เป็นอย่างน้อย , แนะนำให้เห็นโทษภัยจากสุรา ซึ่งเป็นตัวการร้ายของหลาย ๆ เรื่อง , ให้คนไทยประนมมือไหว้กัน ยิ้มให้กัน , ไปนั่งสมาธิตามหลักวิชาที่หลวงพ่อสดวัดปากน้ำฯ ได้ให้แนวทางไว้เป็นประจำ และอาจมองว่าไม่ให้ความเป็นกลางเป็นธรรมกับวัดจานบิน

    ให้ตั้งสติ คิดเปรียบเทียบว่ามีบ้านหลังหนึ่ง ท่านอาจเข้าไปนั่งแค่ห้องรับแขก ก็ได้มองเห็นแค่สิ่งรอบๆ ห้อง ที่เขาประดับให้เห็น เห็นสีห้องที่อ่อนโยน ผ้าม่าน ภาพประดับ โซฟา แต่ฝ่ายที่เขาดูความมั่นคง เขาอาจมีเครื่องสอดแนม กล้องวงจรปิด ติดไปหมดทั้งบ้านทุกห้อง ทั้งห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องพระ ห้องคนรับใช้ ฯลฯ ก็จะมีข้อมูลที่มากกว่า คนที่เห็นห้องรับแขกเดียว..ดังนั้นจึงคนมีข้อมูลห้องอื่นมากกว่า จะสามารถบอกเล่าพฤติกรรมของเจ้าของบ้าน ได้มากกว่าคนในห้องรับแขกตามไปด้วย !!

    - วันที่ 22 เม.ย.2557 เกิดเหตุปะทะเล๊กระหว่างมวลชน กปปส. กับแก๊งค์สื่อวิทยุป่วนประชาชน (กวป.) จอมยิง M79 โดย เช้าเวลา 07.20 น. วงเวียนบางเขน กลุ่ม กวป. เสื้อแดงรับจ้างหน้าเดิมๆ คนละ 500 บาทต่อวัน จำนวน 300 ราย สวมเสื้อขาวแอบอ้าง รักพระบรมฯ และเทิดทูนในหลวง นำโดยศรรักษ์ ผู้หนีหมายจับ ได้ทยอยมารวมตัวกัน และเคลื่อนขบวนไปยัง สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งวัฒนะหมายปะทะกับหลวงปู่พุทธอิสระ..นี้แหละรูปแบบหมิ่นคนเสื้อแดง คือ แสแสร้งสร้างภาพ แต่จริงแล้วขณะการปราศรัยกันบนเวที จะหาโอกาสทีเผลอ โจมตีให้ร้ายเบื้องสูงอยู่เสมอ

    เวลา 09.00 น. ศรรักษ์ อ้างว่า การเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ เพื่อยื่นถวายฎีกา ผ่านพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่าตัดสิ้นให้ปูเน่าผิด แม้ว่าจะทำผิดจริงก็ตาม เพราะไม่งั้นจะนำมวลชนรับจ้างมาปะทะ เจ็บและตายแทนแกนนำ

    เวลา 09.45 น. สถานการณ์ตึงเครียด และ กปปส.แจ้งวัฒนะระดมขอกำลังเสริม เนื่องจากพวก แก๊งค์ทุยแดงรับจ้าง กวป. ต้องการจะเดินมาศาลรัฐธรรมนูญ ต่อมาชายชุดดำตั้งแถวเข้ามาในพื้นที่แจ้งวัฒนะ..ขบวนหลวงปู่ที่เดินทางออกไปนอกสถานที่ จึงรีบเดินทางกลับแจ้งวัฒนะ กลับที่ตั้ง เพื่อปิดล้อม กวป. แล้วต่อมามีเสียงปืนดังขึ้น หลายนัด

    เวลา 10.15 น. มวลชนหลวงปู่ เผชิญหน้า กับ แก๊งค์ทุยแดงรับจ้าง กวป. โดยหลวงปู่พุทธะอิสระได้นำรถบัสจำนวนหนึ่ง ไปปักหลักด้านหลังศูนย์ราชการ อาคารบี เพื่อปิดเส้นทางเข้า-ออก ด้านหลังศูนย์ราชการ ป้องกันไม่ได้คนเสื้อแดงเดินทางเข้าไปศาลรัฐธรรมนูญ มีการ์ดเตรียมเตรียมพร้อมทุกจุด และมีชายชุดเขียว และชายชุดดำควบคุมฝูงชนจำนวนหลายกองร้อย ได้เข้าตรึงกำลังเข้มรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ และเจราจากับทุยแดง

    มีการวิทยุจากเวทีสวนลุมส่งการ์ดมาเสริม 300 – 400 คน พร้อมมวลชนอีก 1 คันรถบัส , มวลชน กปปส.ประกาศให้แก๊งค์ทุยแดงรับจ้าง กวป. ที่เก็บตัวอยู่ในสโมสรราชพฤกษ์ เดินทางออกไปภายใน 5 นาที และประกาศกดดันอย่างหนัก หากไม่ออกจากพื้นที่จะบุกเข้าไปขับไล่ ทุยแดงได้ขึ้นรถเผ่นหนีออกจากสโมสรฯไป โดยใช้ทางออกอีกด้าน

    เวลา 10.30 น. ได้มีหมาขี้เรื้อนรับจ้างแก๊งค์อั้งยี่แดง ผู้ชาย สวมเสื้อดำ กางเกงขายาว ใช้รถกระบะวีโก้ 4 ประตู สีขาว ทะเบียน 1 กพ 120 สฎ. ลงจากรถ แล้วถือปืนยิงไปยังรถบัสของมวลชน กปปส. และยิงปืนขู่อีก 1 นัด บริเวณปากซอยแจ้งวัฒนะ 5 ก่อนหนีเข้าไปในซอย ที่เป็นทางลัดไปทางถนนสรงประภา ตรงข้ามทีโอที แต่โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

    หมาลอบกัดแดง ได้วิ่งหลบหนีเข้าซอย การ์ดได้จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 3 ราย ที่ปากซอยแจ้งวัฒนะ 5 และ 12 ขณะจับกุมใช้ปืนยิงใส่การ์ด 2 นัด เพื่อป้องกันไม่ให้การ์ดออกมาเจอคนเสื้อแดง แต่การ์ดปลอดภัย ควบคุมตัวมาให้หลวงปู่สอบสวน ตรวจค้นพบว่าเป็นชายชุดดำนอกเครื่องแบบแฝงตัวเป็นวินมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างพร้อมพกอาวุธปืน เครื่องกระสุน ในตัวยังพบบัตรประจำตัวราชการทั้ง 3 ราย คือ
    - จ.ส.ต.ณรงค์เดช จาระนุ่น ผู้บังคับหมู่ สน.คันนายาว
    - ด.ต.สมหมาย แก้วดินไทร
    - ร.ต.อ.ธวัชชัย จิตตรีธาติ รองสว.สส.สน.ประชาชื่น

    ทั้งหมดยืนยันว่าเป็นสายสืบเข้ามาหาข่าว และไม่รู้จักกับผู้ที่ยิงปืนใส่การ์ด กปปส. เพราะในร้านกาแฟที่ใกล้กับพื้นที่เกิดเหตุ มีชายชุดดำนอกเครื่องแบบหลาย สน.นั่งอยู่ในร้าน จากนั้นหลวงปู่ฯ ได้ติดต่อไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อให้มารับตัวกลับออกไปพร้อมกำชับว่า อย่าพกอาวุธเข้ามาหาข่าวในที่ชุมนุมอีก เวลา 10.40 น. หลวงปู่พามวลชนกลับเข้าทีตั้ง เหตุการณ์สงบ

    - เวลา 18.30 น. มีผู้ขี่รถจักรยานยนต์ มาจอดบริเวณถนนหน้าสถานี และมีรถกระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ ไม่ทราบสีและทะเบียน ขี่ประกบ ไปที่สถานีวิทยุมหาชนคนรักประชาธิปไตย ของโกเต็ก ต.ลาดสวาย บริเวณคลอง 4 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงถล่มราว 20 กว่านัด แล้วหนีไป รถกระบะที่จอดอยู่ภายในเสียหายพังยับ 1 คัน กระจกแตกเสียหายทั้งหน้า และหลัง ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ มีเพียง ปลอกกระสุน รวม 23 ปลอกตกอยู่ในที่เกิดเหตุ..ที่นี่เพิ่งเคยถูกปาระเบิดขวดใส่จนไฟลุกไหม้..

    นี่ต้องเป็นฝีมือแก๊งค์อมเงินค่าหัวคิว นปช.แน่ๆ เพราะโกระแค้นที่โกเต๊ก มาแฉ เรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการอมเงินของแก๊งค์นี้ ที่โกเต็กบอกไปทั่วในคนเสื้อแดง..ยิงกันเองอีกแล้ว.. โกเต็กอย่ายอมนะ ตัวอยู่ไกลแต่สั่งลูกน้องไปถล่มสถานีเอเชียอาบแดด ที่ห้างแถวลาดพร้าว ตอบโต้บ้าง..แก๊งค์อมเงินค่าหัวคิว นปช.ยิงโกเต็ก โกเต็กก็จ้องจะยิงแก้แค้น นกแสก แถมชายดูไบก็สั่งชายชุดดำสายตรงเก็บ คางคกตู่ ใส้เดือนเต้น จน 2 ตัวนี่หวาดกลัว ระแวงขี้ขึ้นลูกตา ไม่ยอมให้ชายชุดดำที่เคยสนิทกันเข้าใกล้ กลัวไปหมด..เอาละซิ !!

    - ต่อมากลางดึก แจ้งวัฒนะแยก 7 มีมอไซด์แมงเม่าแดง ขับมายิงมาที่หน้าด่าน ลูกระสุนโดนจอใหญ่หลายนัด แต่มวลชน กปปส.ปลอดภัยไม่มีคนเจ็บ แมงเม่าแดงถูกนักรบป๊อปคอนคั่วข้าวโพดสวนใส่ทันที จนบินปีกหักเจ็บเลือดโชกหนีเป๋ไปได้ 2 ตัว ข่าวว่าไปรักษาโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวดอนเมือง จะเอาข้าวโพดหวานไปเยี่ยมซ้ำตอนหาย และกำลังออกโรงพยาบาลนะ จะได้ไม่ต้องหามไปไกล ลากเปลกลับเข้าโรงพยาบาล และห้องเก็บศพไปเลย หน้าโรงพยาบาล มีร้านขายโลงศพเยอะ ญาติ ๆ ก็เตรียมไปเลือกหาลายแบบที่ถูกใจไว้ ถึงเวลาจริงจะได้ไม่ฉุกละหุกมาก..จะได้มีเวลาไปเตรียมของชำร่วยแจกแขกในงาน !!

    ได้ข่าวว่าชายชุดดำนครชั้นใน ที่นำโดยมีวันนี้เพราะพี่ให้ ที่สั่งการทางวิทยุหนุน ให้ลูกน้องคุ้มครองแก๊งค์ กวป.ในการประทะกับมวลชนหลวงปู่ ที่แจ้งวัฒนะ วันก่อน และถ้าสั่งให้ น.1-9 เตรียมสลายการชุมนุม โดย น.8 ฝั่งธน เตรียมหน่วยปราบจลาจล พร้อมอาวุธปืน วางกำลังไต้สะพานพระรามเก้า เพื่อจะเข้าสลายมวลชน กปปส.หลังวันที่ 24 เม.ย.57 เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป แล้วใช้หน่วยจู่โจมพิเศษ ที่ตกเครื่องคอปเตอร์หล่นตุบ โรยตัวมาจับแกนนำ กปปส.

    เสธ ฝันว่าหน่วยปราบจลาจล ถ้าขืนทำตามที่สั่ง “จะโดนนักรบป๊อบคอร์นยำเละ “ จะบอบช้ำ หนักหนาสาหัส กว่าวันที่ 18 ก.พ.57 อีกหลายเท่าตัว และจะต้องผิดคำสั่งศาลที่ห้ามการสลายการชุมนุม กปปส.ไว้ จะโดนคดีอีกสารพัดลำบากกันไปทั้งหมด

    ขอบอกและเตือนแบบพี่น้อง..ถ้าไม่เชื่อเหมือนครั้งก่อน ให้เตรียมเอาตู้คอนเทนเนอร์มาลำเลียงเพื่อน ปจ.กลับไปได้เลย


    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2014
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    23 เม.ย.57 แฉ..ตอน 4 ขบวนการล้มเจ้า หมิ่นเบื้องสูง โดยโจมตีราชวงศ์

    วันนี้จะเล่าเรื่องชวนอมยิ้ม และมุมน่ารักของพระมหากษัตริย์ เสาหลักชัยในดวงใจของปวงชนชาวไทย รักแรกพบของในหลวง ราชินี เรื่องราวความรักของทั้งสองพระองค์ เริ่มขึ้นวันหนึ่งในปี พ.ศ.2489 วันที่ทรงแรกพบ ครั้งนั้น ในหลวงประทับอยู่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เสด็จฯ ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อทอดพระเนตรรถยนต์พระที่นั่ง แทนคันเดิมซึ่งทรงใช้มานาน ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสพร้อมครอบครัวเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

    วันนี้เองที่ทรงพบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของ ม.จ.นักขัตรมงคล และ ม.ล.บัว กิติยากร ที่มารับเสด็จ โดยวันนั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์แต่งตัวเรียบร้อย สวมสูทสีเนื้อ ไว้หางเปียยาวถึงหลัง ในหลวงเสด็จฯ มาถึงช้ากว่ากำหนด เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งเกิดเสีย และน้ำมันหมด พระองค์ตรัสว่าทรงจำได้ดีถึงสีหน้าของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ที่ทั้งหิวและรอนาน

    เมื่อเสด็จฯ มาถึงราชเลขาฯ ได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่ จึงทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เคืองอยู่นิดๆ เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์ จะทรงพระสรวล โดยในหลวง ทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า "เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบบังคมทูลตอบว่า "ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น"

    ก่อนทรงได้พบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงทราบถึงความน่ารักจากสมเด็จพระราชชนนีมาก่อนแล้ว ในการเสด็จเยือนปารีสครั้งแรก สมเด็จพระราชชนนี รับสั่งเป็นพิเศษว่า ให้ไปทอดพระเนตรลูกสาว ของ ม.จ.นักขัตรมงคล "ว่าจะสวย น่ารักไหม" ทรงกำชับว่า "เมื่อถึงปารีสแล้วให้โทร.บอกแม่ด้วย" เมื่อในหลวงเสด็จฯ ถึง ก็ทรงโทรศัพท์หาและตรัสว่า "เห็นแล้ว น่ารักมาก"

    เนื่องจากเวลาเสด็จฯ ยังกรุงปารีส ในหลวงประทับที่สถานทูตไทย ทำให้ครอบครัว ม.จ.นักขัตรมงคลซึ่งรวมถึง ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นที่คุ้นเคยเบื้องพระยุคลบาท ความที่ได้พบพระพักตร์บ่อยครั้ง ทั้งยังมีความชอบในสิ่งเดียวกันโดยเฉพาะการดนตรี ประกอบกับนิสัยร่าเริง สุภาพอ่อนน้อม และขี้อายในบางครั้ง ทำให้ยิ่งประทับพระราชหฤทัย โดยมีความสวยงามของเมืองโลซาน เป็นฉากหลังที่โรแมนติกและมีความหมายยิ่งต่อทั้งสองพระองค์

    ข่าวใหญ่ที่ทำให้ประชาชนชาวไทยตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ขณะที่ในหลวงทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวา ไปยังนอกเมืองโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น

    กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่า พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด ดังนั้นข่าวลือให้ร้ายพระเนตรขวาของพระองค์ ที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงนี้จึงคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามความเป็นจริง

    ระหว่างที่ประทับรักษา พระองค์ที่โรงพยาบาล ในตำบลเมอร์เซสนั้น รับสั่งให้ราชองครักษ์ ติดต่อไปยัง ม.จ.นักขัตรมงคล ให้ ม.ล.บัว กิติยากร พาธิดาทั้งสองคือ ม.ร.ว.สิริกิติ์และ ม.ร.ว.บุษบาเข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการที่ โรงพยาบาลเป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีพระราชกระแสรับสั่งว่า เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรก ทรงระลึกถึงบุคคลเพียง 2 คน คือสมเด็จพระราชชนนี และ ม.ร.ว.สิริกิติ์

    สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือ ทรงหยิบรูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ออกจากกระเป๋า ส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า “ แม่ เรียกสิริมาที “ รูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ รูปนั้น เป็นรูปแรกที่ทรงถ่าย เป็นรูปหมู่ที่ถ่ายตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานทูต ม.ร.ว.สิริกิติ์ อยู่เป็นคนสุดท้าย เห็นหน้าไม่ชัด ในหลวงรับสั่งว่า “ ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ “ รูปนั้นทรงตัดเฉพาะหน้า ม.ร.ว.สิริกิติ์ ไว้ในกระเป๋า

    ความ ที่ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เข้าเฝ้าฯ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2492 ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ม.จ.นักขัตรมงคลเข้าเฝ้าฯ ที่นครโลซาน ทรงมอบหมายให้ ม.จ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ เป็นผู้ทูลเกริ่นทาบทามเรื่องที่จะทรงขอหมั้นก่อน ขณะที่พระองค์เองมีพระราชดำรัสเป็นการส่วนพระองค์กับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ล่วงหน้าแล้ว พระราชพิธีทรงหมั้นจัดขึ้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 โดยค่ำวันที่ 12 สิงหาคม 2492 มีงานเลี้ยงที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน

    ในหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบ โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นผู้ประกาศ ข่าวที่เผยแพร่ออกไปนำมาซึ่งความดีใจแก่ประชาชนไทยเป็นอย่างยิ่ง สื่อมวลชนหลายสำนักทั่วโลกต่างนำเสนอข่าวนี้ หลังพระราชพิธีหมั้น ผ่านไป 7 เดือน ในหลวงเสด็จนิวัติประเทศไทยทางชลมารค โดยมี ม.ร.ว.สิริกิติ์ และครอบครัว รวมถึงข้าราชบริพารตามเสด็จ

    หลัง เสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประมาณ 1 เดือน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้น ในวันที่ 28 เมษายน 2493 ณ วังสระปทุม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านสถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหา จักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดแก่สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

    วันต่อมาเสด็จฯ ไปประทับพักผ่อนพระอิริยาบถและฮันนีมูนที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 3 วัน พร้อมด้วยคณะผู้ตามเสด็จโดยรถไฟ ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ นั้นมีประชาชนมาเฝ้าฯ รับเสด็จเนืองแน่น ส่วนหนึ่งต้องการยลพระสิริโฉมของพระราชินีนั่นเอง สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติหน้าที่คู่ชีวิตโดยไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเสด็จฯ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เสมอ ทั้งในและต่างประเทศและในถิ่นทุรกันดาร ทรงเป็นตัวอย่างของคำว่า "คู่ทุกข์คู่ยาก"

    พระอารมณ์ขันของในหลวง มีเรื่องชวนอมยิ้ม ของในหลวง ที่หลายคนได้รับทราบ ในพระจริยวัตรของพระองค์ท่านไปบ้าง แต่หลายคนก็ลืมเลือนไป หรือคนรุ่นใหม่อาจไม่เคยทราบเลย สมัยที่พระองค์พระวรกายยังแข็งแรง พระองค์ท่านจะเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของพระองค์ท่านอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะชาวบ้านต่างจังหวัดจะโชคดีที่ได้มีโอกาส ชื่นชม พระบารมีของในหลวงได้ใกล้ชิดและบ่อยครั้ง จึงมีเรื่องของในหลวงมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง

    ครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง ข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่ว และใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงนของชาวบ้านชายชราผู้หนึ่ง เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถาร ถามถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดี ชาวบ้านผู้นั้นกราบทูลว่า " ข้าพระพุทธเจ้า เป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระ พุทธเจ้าข้า.." ในหลวงทรงทอดพระเนตร พบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไร และมีกี่ตัว โต้โผลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า " มีทั้งหมดสามตัว คือ พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้ เดียว " ข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้ในหลวงเอง

    การใช้ราชาศัพท์กับในหลวง มักจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน แม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน ครั้งหนึ่งมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
    ข้าพระพุทธเจ้า “ พลตรีภูมิพลอดุลยเดช” ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน....ฯลฯ เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียว กัน..." วันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย พราะผู้รายงาน ตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวน พระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดี ซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูล ว่า " ถวายพระเพลิงพระเจ้า ข้า " ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับ อธิการบดีว่า " เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้ หรอก"

    จากความรักแบบหนุ่มสาว เมื่อทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดา ทรงทุ่มเทความรัก ทรงอบรมพระราชโอรส-ธิดาของพระองค์เป็นคนดี รับผิดชอบต่อประชาชนและบ้านเมือง และทรงใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่ายดังคำที่ว่า “ตามรอยพ่อของแผ่นดิน “

    สมเด็จพระเทพฯ ยังทรงทำหน้าที่ราชวงศ์ของไทย เป็นทูตสันถวไมตรีกับจีนมาอย่างยาวนาน ทางด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านการศึกษา จนประเทศจีนและคนจีน มีความเคารพรักในพระมหากษัตริย์ไทย และเชื้อพระวงศ์ทุกประองค์อย่างมาก

    เชื้อพระวงศ์อีกบุคคลหนึ่ง ที่เปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ไทย-จีน คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเป็นโอรสคนที่ 4 ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) เมื่อครั้งท่านตั้งพรรคการเมือง และได้รับการเลือกจากสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2518 ในช่วงนั้นมีการสู้กันของเขมร 3 ฝ่าย ไทยและอเมริกาสนับสนุนเขมรฝ่ายหนึ่ง ตอนนั้นมีกรณีที่เรือรบขนาดใหญ่ของอเมริกาใช้น่านน้ำไทย ผ่านไปสู่น่านน้ำเขมรและแผ่นดินเขมร เมื่อมีการใช้ไทยเป็นฐานสงคราม

    รัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประกาศนโยบายว่าต่อไปถ้าอเมริกาใช้น่านน้ำไทย หรือผ่านแผ่นดินไทย จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทยก่อน รวมทั้งได้เรียกตัวทูตกลับประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ เป็นการแสดงความกล้าหาญของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จนอเมริกาถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยในเวลาต่อมา เป็นการเปิดฉากการเมืองระหว่างประเทศในเวลาที่แหลมคมมาก

    ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มีนโยบายเปิดความสัมพันธ์กับจีน หลังจากที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลมาเป็นเวลานาน เป็นการตัดสินใจจุดเริ่มต้นการเมืองระหว่างระหว่างประเทศ และทางการทหารด้วย เพราะจีนหนุนหลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ท่านและคณะผู้แทนรัฐบาลไทย เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ทางการทูตระหว่าง ประเทศที่การเมืองไทย สามารถควบคุมระบบทหารได้

    นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 เป็นต้นมา มีการลงนามอย่างเป็นทางการของผู้นำรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ในพิธีสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต มิตรภาพอันแน่นแฟ้นและความร่วมมือด้านต่างๆ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีนเป็นไปด้วยดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและรอบด้าน โดยเฉพาะสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้นำจีนและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เช่น

    - ในหลวง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายเติ้ง เสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีจีนเข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ พฤศจิกายน 2521
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีนตามคำทูลเชิญของรัฐบาลจีน เมื่อ พฤษภาคม 2524
    - สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เยือนจีน เมื่อ พฤษภาคม 2528
    - ในหลวง พระราชทานเลี้ยงรับรอง ประธานาธิบดีหยาง ซ่างคุน ณ พระที่นั่งจักรีมหาประสาท พระบรมมหาราชวัง เมื่อ มิถุนายน 2534
    - ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และภริยา เข้าเฝ้าฯ ณ พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ เมื่อ กันยายน 2542
    - สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เยือนจีน เมื่อวันที่ ตุลาคม 2543

    และมีการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตอีกหลายครั้งอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งยากที่ประเทศอื่นใดจะเสมอเหมือน ตราบกระทั่งปัจจุบัน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จีน ยกเลิกการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในไทย ด้านทุน อาวุธ ในเวลาต่อมา จนอ่อนแอและพ่ายแพ้ต่อรัฐบาล พล.อ.เปรม ในที่สุด

    ทำให้คอมมิวนิสต์อกหัก และขบวนการแดงล้มเจ้า คั่งแค้น ต่อพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ โดยการให้ร้ายต่างๆ นาๆ หาว่าร่ำรวยบ้าง มีธุรกิจต่างประเทศบ้าง กุข่าวเรื่องเสียๆ หายๆ อย่างอื่น บ้าง หรือ กล่าวร้ายให้พระองค์เกี่ยวโยงกับเรื่องทางการเมือง ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่หูเบาเข้าใจผิด ขบวนการล้มเจ้าก็เป็นใหญ่เสียเอง กดขี่ประชาชนได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว

    ถ้าเราไม่มีบารมีของพระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์ ในอดีตวันนั้น ป่านนี้ประเทศไทยอาจเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว เสรีภาพการคิด พูด เขียน แม้จะหมิ่นเบื้องสูงอย่างทุกวันนี้ ก็จะไม่มีโอกาส เพราะระบอบคอมมิวนิสต์ คือ เผด็จการเบ็ดเสร็จนั่นเอง พวกหมิ่นเบื้องสูงนี่ยังไม่รู้จักสำนึก ว่าประเทศของเรารอดพ้นภัยคุกคามจากต่างประเทศมาได้ ก็เพราะพระบารมีทุกพระองค์นี่แหละ

    หลายคนยังไม่เข้าใจว่าทำไมขบวนการแดงล้มเจ้า ต้องโจมตี พล.อ.เปรม อย่างต่อเนื่องตลอดคู่ขนานกันมาด้วย มีเหตุผลใหญ่ 2 ประการ คือ แก้แค้น ที่เคยพ่ายแพ้กลศึกของ พล.อ.เปรม ตั้งแต่ปี 2523 และเพื่อ “ กระทบชิ่งสถาบัน “ เพราะ พล.อ.เปรม เป็นประธานองคมนตรี ที่เปรียบเหมือนประธานที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ที่มาจากการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ตามพระราชอัธยาศัย ดังนั้นการโจมตีองคมนตรี เจตนาแฝงที่แท้จริงคือสูงไปกว่านั้นนั่นเอง

    หากเปรียบสถาบันองคมนตรี เป็นเสาบ้านสี่เสา ค้ำยันรองรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเมื่อขบวนการล้มเจ้า จะทำลายบ้าน ก็ต้องเลื่อยขาเก้าอี้ให้ขาดไปก่อน อีกทั้งยังสามารถอำพรางมวลชนที่ไม่ทันเฉลียวใจ ให้หลงทางเข้าร่วมขบวนการล้มเจ้าโดยไม่รู้ตัว โดยพวกแดงล้มเจ้า
    แก๊งค์อั้งยี่แดง ได้ใช้มวลชนเสื้อแดง เช่น แดงสยาม แดงอิสระ รวมทั้งเครือข่ายใต้ดินทั้งหมดมุ่งเน้นพุ่งเป้าโจมตี ให้ร้าย สถาบันองคมนตรี เพื่อต้องการให้กระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง

    พวกนี้จะอ้างแถ ไปว่าการขับไล่ พล.อ.เปรม และองคมนตรี ก็เพื่อการปกป้องสถาบัน เรื่องเปลี่ยนรัชกาล อะไรก็แล้วแต่ที่จะคิดมุกใหม่ แถ ไป..แต่เป้าหมายจริงๆ คือ ชายดูไบ บริษัทเผาไทย แก๊งค์อั้งยี่แดง ขบวนการล้มเจ้า สมประโยชน์กันในความใฝ่ฝัน จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทย พลิกฟ้า คว่ำดิน ให้เป็นระบอบเผด็จการแบบประธานาธิบดี เหมือนเกาหลีเหนือนั่นเอง..

    คนเสื้อแดงหู ตาสว่าง ได้แล้วว่าขบวนการนรกนี้ต้องการเหยียบย่ำ โค่นล้มสถาบันเบื้องสูงที่เคารพของเรา เพื่อข้ามไปสู่ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จครบวงจร...หากทหาร ตำรวจ ไม่ได้เป็น “ข้าของพระราชา “ เสียแล้ว ก็แค่เป็นกองกำลังติดอาวุธ 6 แสนคนในมือของนักการเมืองดีๆ นี่เอง..ประชาชนเสื้อแดงเองนั่นแหละจะทุกข์ยาก แสนเข็ญ ยากจน และอาจถึงกับต้องกินซากศพเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เหมือนเกาหลีเหนือ และ ซีเรีย ที่เห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน

    นับแต่อาณาจักรสุโขทัย ถึงปัจจุบันตลอด 800 กว่าปี มานี้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุเภทภัยต่อราษฏรไทยสักเพียงไร ด้วยบุญญาธิการบารมีจากพระมหากษัตริย์ไทย ก็ช่วยปัดเป่า ขจัด บรรเทา สิ่งร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ พม่าโบราณที่เคยรังแก ยกทัพมีตีชิง จับเชลยศึกไทยจำนวนมากกลับไปหงสาวดี ผลกรรมครั้งนั้นส่งผลมาในยุคนี้ให้แรงงานพม่าจำนวนมาก กลายมาอยู่ภายไต้การใช้งานของคนไทยบ้างสลับกัน เช่น แรงงานประมง และงานโรงงาน ฯลฯ

    ช่วงนี้จะพบว่าคนเสื้อแดง และผู้ที่ไม่จงรักภักดี เจอวงเวียนกรรม แปลก ๆ บ่อยครั้งและถี่ โดยให้คิดตามแบบคนธรรมดา ดังนี้
    1. คนเราต้องมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่สะสมมากี่ชาติ จึงจะสามารถเป็นพระพุทธเจ้า , พระอรหันต์ได้
    2. เทียบเคียงพระมหากษัตริยก็เช่นกัน ใน 800 ปีที่สร้างอาณาจักรไทย มีกษัตริย์แค่ 52 พระองค์เท่านั้น..จึงมีการลิขิตมาแล้วให้กษัตริย์แต่ละพระองค์ เกิดมาแต่ละยุคสมัย สร้างสมบุญญาบารมี เพื่อให้การปกป้องดูแลราษฎร์ที่จงรักภักดี ให้เจริญรุ่งเรื่อง และสวัสดีมีชัย
    3. ส่วนผู้ที่ไม่จงรักภักดี..ย่อมจะไปขอแบ่งปันพระบารมี มาปกป้องตนเองด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะลำพังบารมีของตนเอง เมื่อยามเคราะห์หามยามร้าย อาจไม่พอที่จะขจัดภัยได้ คล้ายกับว่า
    - เราไม่นับถือศาสนา..แล้วจะเอาบารมีอะไรมาคุ้มครอง
    - เราไม่รักพ่อแม่..แล้วบารมีพ่อแม่ที่ไหนจะคุ้มครองเรา
    - เราไม่กินอาหาร..แล้วจะเอาพลังงานจากไหน
    - เราไม่กินยารักษา..แล้วจะหายป่วยได้อย่างไร
    4. การเคารพสิ่งที่เหนือกว่าเรามากๆ คือ เกราะปราการชั้นดี สมัยก่อนเวลาได้สัมปทานตัดต้นไม้ใหญ่ๆ ในป่า แต่ตัดไม่ได้เพราะเจ้าที่แรง เขาจะเอาตราครุฑ หรือตราแผ่นดิน ไปตอกที่ต้นไม่ ก็จะเรียบร้อยสงบ..เพราะศักดิ์ของบารมีมันเหนือชั้นต่างกัน..
    5. คำว่าพระเจ้าแผ่นดิน..เมื่อใครอยู่ในแผ่นดินไทยนี้ แล้วหมิ่นฯ ให้ร้าย อาฆาตมาดร้าย พระองค์..แผ่นนี้ก็จะทำทุกวิถีทางที่จะหมุนวงเวียนกรรมเอาตัวคนๆ นั้น กลับลงไปอยู่ไต้ดิน..บอกต่อไปให้ถึงคนเสื้อแดงอีกมากที่หลงผิด และเสี่ยงชีวิตอยู่ตอนนี้ ลองมาดูกรณีแปลกๆ ของวงเวียนกรรมเครือข่ายเสื้อแดง

    วงเวียนกรรมกรณีแรก คือ มีชายชุดดำ ของภูธร 1 อ้างว่าฝึกซ้อมแผนการกู้ชีพทางอากาศ แต่เบื้องลึกแอบแฝง คือ การฝึกโรยตัวจากที่สูง เพื่อชิงตัวแกนนำ กปปส. เกิดเหตุไม่คาดฝันขณะเฮลิคอปเตอร์ สำนักงานชายชุดดำแห่งชาติ ขณะบินขึ้นสลิงได้รัดขาอีกข้างของชายชุดดำเคราะร้ายนี้ ห้อยต่องแต่งติดขึ้นไปกับคอปเตอร์ แล้วนักบินไม่รู้เคลื่อนบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไปไกลจากจุดนั้นอีกหลายกิโล ต่อมาร่างเขาก็ร่วงตุบลงมาที่พื้นกลางถนน กระดูกสันหลัง และซี่โครงหัก อวัยวะภายในช้ำ และฉีก เสียชีวิต

    วงเวียนกรรมกรณี 2 หนึ่ง มีมือปืน 2 คน สวมหมวกไหมพรมกระหน่ำยิง “ ไม้หนึ่ง ก.กุนที ” กวีเสื้อแดงคนดัง หน้าร้านอาหารครกไม้ไทยลาว ซ.ลาดปลาเค้า 24 กทม. ด้วยกระสุนปืนขนาด .45 ออโตราว 5 นัด กระสุนเข้าหน้าอกตัดขั้วหัวใจ ทะลุไปด้านหลัง ไปตายที่โรงพยาบาล

    ไม้หนึ่ง เป็นชาว อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม สร้างชื่อเสียงบทกวีตีพิมพ์ในมติชินสุดสัปดาห์ต่อเนื่องหลายปี และเป็นกวีขวัญใจคนเสื้อแดง…อยู่ในแนวร่วมผู้ผลักดันร่วมแก้ไขกฎหมายหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 (แนวร่วม 29 มกรา) เป็นกวีรายแรกที่ประกาศตัวเป็นเสื้อแดงล้มเจ้า ที่ผ่านมาเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มนรกป่วนชาติ (นปช.) เผาเมืองปี 53 ที่สะพานผ่านฟ้า , เป็นผู้นำเลือดไปเททำพิธกรรมที่หน้าทำเนียบ และ ปชป. หลังจากสลายชุมนุมที่ราชประสงค์ ได้หลบหนีไปตั้งหลักในเขมร

    บทบาทช่วงหลังที่เด่นมากที่สุด คือ เป็นแกนนำใน "กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล" ร่วมกับ อ.หวาน ที่ จุฬาฯ ไม่ต่อสัญญาจ้าง โดยทั้ง 2 คนเป็นกิ๊กกัน (แดกคนกันเองว่างั้นถอะ) , จัดรายการทางสถานีโทรทัศน์เอเชียอาบแดดร่วมกับ อ.หวาน และเขายังเป็นแนวร่วมของศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย (ศปป.) ร่วมกับ ดารุณี หมิ่นศาลแพ่ง แถลงข่าวทุกสัปดาห์ด้วย

    ต่อมา มวลชนเสื้อแดง ได้แห่ขบวนศพไม้หนึ่ง ไปหน้าศาลอาญารัชดา โดยมีรถขยายเสียงประกาศขอความเป็นธรรม มี อ.หวาน จุดธูปปัก หน้าศาลอาญา และอ่านบทกวี ที่หน้าศาลอาญา จากการข่าวที่ได้รับมาจากสายลับเสื้อแดง พบว่า อ.หวาน รับเงินค่าใช้จ่ายการเคลื่อนไหวกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล เดือนละ 5 หมื่นบาท จากชายชุดดำใหญ่คนหนึ่ง ที่รีดไถมาจากบ่อนการพนัน เพื่อเอามาหนุนหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ที่คนไทยรักและเทิดทูนด้วยชีวิต..

    ที่นี้ไม้หนึ่ง กิ๊ก อ.หวาน ก็ยักยอกเอาเงินของกลุ่มไปเล่นการพนัน มั่วผู้หญิง ทำให้ อ.ตุ้ม สอน ม.กฎหมายเก่าแก่ และพวกก็โมโห ทะเลาะ ระหองระแหง กันมานานเสื้อแดงในกลุ่มรู้เรื่องนี้กันแทบทุกคน จนไฟเดือดมาถึงขีดสุดก็เกิดแผนลอบสังหารขึ้นโดย ให้แฟน อ.ตุ้ม ที่เป็นชายชุดดำเหี้ยม จัดการหาทีมสังหารมาเคลียร์ ไม้หนึ่ง โดยมีผู้ได้รับประโยชน์หลายกลุ่มดังนี้

    1. อ.ตุ้ม และ "กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล" ฉวยโอกาสชำระความแค้น
    2. แก๊งค์อมค่าหัวคิว กับเป็ดเหลิม ได้โหนศพ ป้ายสีสถาบัน ชายชุดเขียว และองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน
    3. ที่เคยแฉไว้ตามคิวใบไม้ร่วง “ที่หนึ่ง” นี้ ชายดูไบสั่งสายตรง ให้เอา คากคกตู่ หรือ ใส้เดือนเต้นก่อน แล้วเอาศพมาแห่..แต่สองคนนี้ขอรอคิวร่วงต่อไป จึงต้องร่วมวางแผนให้ “ไม้หนึ่ง” ลัดคิวไปก่อน เพื่อให้เกิดกระแสทุยแดงตกมัน..กลัวจะโดนเป็นลำดับแรก เลยชิงถีบหลังเพื่อนไปโดนก่อนมันว่างั้นเถอะ

    แต่ผลการสละชีพเพื่อนมาแห่ กลับมุกแป่ก..ตรงแห่ศพนี่แหละ เพราะมุกมันคุ้นๆ ปี 53 แนวคิดแห่ศพนี้ เป็นงานถนัดของคอมมิวนิสต์ เอาศพไปหากินด้านการเมือง เรื่องก็เลยความแตกดังโพล๊ะ จุดกระแสไม่ขึ้นในหมู่คนเสื้อแดงเหมือนปี 53 เพราะมีคนรู้เห็นจำนวนมากหลายคน ข่าวจึงลือต่อไปในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเอง เหมือนไฟลามทุ่ง ว่า “ แดงหักหลังแดง , แดงฆ่าแดง “ อีกแล้วครับท่าน..ลงทุนสูง ผลตอบแทนต่ำ พลาดอีกแล้ว..

    ข่าวว่าตอนนี้แดงอีกฝ่าย จะแก้แค้นล่อกันนัวเนียกับแดงอีกหลายฝ่าย..งานนี้บันเทิงแน่ๆ มีไม้หนึ่ง เดี๋ยวก็มีไม้สอง , ไม้สาม , ไม่สี่...ไม้แปดสิบ..เสื้อแดงกำลังหักหลัง แก้แค้น ล่อกันนัวเนีย คนเสื้อแดงที่รู้เรื่องนี้แล้ว ให้บอกต่อคนเสื้อแดงที่ยังไม่รู้ด้วย ต้อง แฉ ออกไปแก้แค้นแทนเพื่อนๆ อย่ายอมนะ เท่าที่รู้มาจากสายข่าวเสื้อแดง มีดังนี้
    - เจ้ ด.แดกข้าว ก็ฮึ่มๆ ยิ้ม ที่เอาความลับโกงจำนำข้าวมาแฉ
    - แรมบ้า ขวัญควาย กับ อารี ที่จ้องจะยิงกันแน่ๆ เพราะแย่งกันคุมงบจัดการ์ด.
    - การ์ดขวัญควาย ที่เป็นลูกน้องเสธแดงเก่า ก็จ้องจะยิงคากคกตู่ หรือ ใส้เดือนเต้น แก้แค้นให้เสธแดง (ตามที่เคยเล่าแล้ว)..
    - แก๊งค์อมเงินหัวคิวจัดม็อบ เกลียดโกเต็กมาก เพราะขัดผลประโยชน์กัน จึงกำลังไล่ล่ากำจัดโกเต็ก ปิดปาก เพราะกลัวมันปากโป้งออกมาแฉ แหลกแบบคราวก่อนอีก
    - ชายดูไบสั่งสายตรง ให้เอา คากคกตู่ และ ใส้เดือนเต้น ก่อนแล้วเอาศพมาแห่
    - เพื่อนในแก๊งค์อมเงินหัวคิวจัดม็อบ ไม่พอใจ คากคกตู่ และ ใส้เดือนเต้น ในการจัดม็อบครั้งหลังๆ ที่ผ่านเพราะ 2 คนนี้อม และกินส่วนแบ่งมากกว่าเพื่อนในแก๊งค์ จึงวางแผนกันจะปฏิวัติแก๊งค์โค่นแกนนำ 2 คนนี้ลง เพื่อชิงขึ้นเป็นประธาน นปช.แทน

    "สัจจะไม่มีในหมู่โจร" คิวต่อไปจะเป็นหัวใคร น่าลุ้นยิ่งกว่าเลขใบ้หวยอีก , สังคมต้องการปฏิรูปนักการเมือง แต่มีคนหลงผิดคิดร้ายจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์..ก็ต้องยอมรับวงเวียนกรรมดูดชีวิตกลับคืนไปใต้ดิน

    ส่วนปูเน่า เขาให้โอกาสลาออกไปก่อนเปาบุ้นจิ้นรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีถวิล ก็ปฏิเสธว่าอายและเสียหน้า โถ..ที่ไปฟิชเชอริ่งกับ ท. ศูนย์บ่องตงใต้ ชู้รักอีกคนกลับไม่อายซะงั้นนี่..สิบหมื่นสิริก็ไปแอบกินของเขา , การ์ดส่วนตัวก็ไม่เว้น , ท.อยู่ถึงใต้โน่น ก็ยังกินตับซะจนได้อีก..นับถือๆๆ

    แถมมีลูกน้องก็เยอะ แต่มันขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ วันก่อน ทวิตเตอร์ของ ศอ.รส.@capopolice (ศูนย์อำนวยการรักษาศิวลึงค์) มีการทวีตข้อความผิดพลาดเป็นอย่างมาก คือ ได้เมียกลับบ้านเลย@Legoland Malaysia Resort และ ข้าวปลา ไม่รับประทาน แต่ขอกาแฟเติมพลังก่อนข้ามไปสิงคโปร์@Starbucks@JB Central..อ้าว..ศอ.รส.นี่มันแดกกาแฟไกลจัง และได้เมียน้อยกลับมาด้วยหรือนี่..เจ้าข้าเอ้ย..มวลมหาเมียหลวงกำลังพลใน ศอ.รส.ตะลุยให้ราบไปเล้ย..ฮา

    ส่วนภาพปูเน่าคราไปสงกรานต์เชียงใหม่ ก็ไม่มีจะเอารูปนี้ไปกดดันให้ลาออกซะหน่อย มันก็เหมือนรูปดาราคนดังทั่วไป แต่สมุนเสื้อแดงก็ยังไม่เลิกขยัน ขุดคุ้ยรูปปูนมหกตอนไหว้พระ เถียงกันใหญ่ บอกว่าตัดต่อ หรือ ไม่ได้ตัดต่อ เสื้อแดงเลยต้องดีเฟนเอาหน้ากันสุดตัว จะเอาเป็นเอาตายกันให้ได้ , พอมันชั่วมันบอกเป็นแดงปลอมบ้าง ,ชายชุดดำปลอมบ้าง, ชาวนาปลอม บ้าง ฯลฯ

    เสธ ว่าตอนนี้มันคงไม่ลามมาบอกหัวนมปลอมแล้ว..เพราะมันเป็นหัวน๊อต..ฮา


    (ดูขบวนการล้มเจ้าตอน 3 ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.231377760385592.1073741981.187529244770444&type=1 )

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2014
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    25 เม.ย.57 แฉ..ขบวนการแดงล้มเจ้าหมดมุก ปลุกมวลชน แอบอ้างพระบรมฯ

    หลังจากเกิดการหักหลังกันเอง “แดงฆ่าแดง“ กวีไม้หนึ่ง ที่เป็นแดงล้มเจ้าแถวหน้า ที่บทกวีของเขาทุกบท จงใจให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงมาตลอด เขาพร่ำเพ้อให้ร้ายแต่ว่าทรัพย์สินส่วนของพระมหากษัตริย์ ยังเป็นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นการโกหกใส่ร้ายแบบหน้าด้านๆ เพราะทรัพย์สินนี้ ได้ตกเป็นของกระทรวงการคลัง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 (ตามที่เล่ามาแล้วที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.229030967286938.1073741973.187529244770444&type=3 )

    ตอนนี้ขบวนการแดงล้มเจ้าดิ้นรน และปั่นป่วนหนัก ที่มีการจัดตั้ง “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน “ จึงพยายามหาวิธีการต่างๆ นาๆ มาแอบอ้างว่า พระบรมฯ หนุนหลังพวกตน แก๊งนี้พยายามยามแบ่งฟ้า แบ่งวัง ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ล่าสุดหมดท่า ถึงกลับกล้าหมิ่นเบื้องสูง นำภาพอื่นมาตัดต่อให้ประชาชนเข้าใจว่า พระองค์ทรงพระราชทานพวงมาลา วางหน้าหีบศพ กวีแดงล้มเจ้า "ไม้หนึ่ง" เพื่อหลอกปลุกมวลชนพวกเดียวกันเองให้ฝันลมๆ แล้งๆ

    โดยขบวนการแดงล้มเจ้าบริษัทเผาไทย นำภาพเหตุการณ์จริง วันที่ 25 เมษายน 2557 ที่สมเด็จพระบรมฯ ให้นายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี อัญเชิญพวงมาลาพระราชทาน และพวงมาลาประทาน ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ไปวางหน้าหีบศพ “นายแก้ว พรมดี “ บิดา ร.อ.รณยุทธ พรมดี ข้าราชการในพระองค์สมเด็จพระบรมฯ ที่เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่ออายุ 92 ปี โดยตั้งสวดพระอภิธรรมศพ ณ วัดป่าหวายทุ่ง ตำบลป่าตาล อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี มาตัดต่อเป็นภาพบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิดพระบรมฯ

    หู ตา สว่าง ชัดเจนกันหรือยัง ว่าพระบรมฯ ถูกขบวนการแดงล้มเจ้าแอบอ้างมาตลอดเวลา ที่ผ่านมาก็ทำหนังสือราชการปลอมมาอ้างว่าพระบรมฯ สนับสนุนทหารองครักษ์ 3,000 คนคุ้มครองปูเน่า คนอื่นบอกเสื้อแดงว่าโกหกทั้งเพ ก็ไม่เชื่อกัน พร่ำเพ้ออยู่นั่นแหละ จนราชเลขาธิการ ออกมาบอกว่าเป็น “เอกสารปลอม” เท่านั้นแหละวงแตก หงายเงิบ เอาหน้าไปมุดรูไปพัก , ต่อมาไม่เลิกอ้างถึงการแบ่งส่วนราชการกลาโหมใหม่ ว่าพระบรมฯ ให้อำนาจปูเน่าควบคุมทหารองค์รักษ์ แล้วก็โดนตอกหน้ากลับไปอีก จนตอนนี้ซาไป , นี่มาใหม่อ้างพระบรมฯ ทรงพระราชทานพวงมาลา วางหน้าหีบศพ กวีแดงล้มเจ้า "ไม้หนึ่ง" อีกแล้ว..เจอหลักฐานของจริงนี้ตอกหน้าหงายเงิบ ฟุบไปอีก !!

    ขบวนการแดงล้มเจ้าบริษัทเผาไทย ให้ร้ายพระบรมฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเคลือบแคลงเข้าใจผิดในพระองค์ ในขณะเดียวกันก็หลอกลวงเสื้อแดง ให้พร่ำเพ้อว่ามีพระบรมฯ หนุนพวกตนเอง..หลักฐานนี้ชิ้นเดียว จบแล้ว !! เรื่องที่แอบอ้างมาทั้งหมดพังคลืน ย่อยยับ เพราะเสื้อแดงทำตัวเอง เดี๋ยวนี้โลกมันแบน จะมาหลอกกันมันไม่ง่าย..ดังนั้นต่อไปถ้าเสื้อแดงจะอ้างอะไรเกี่ยวกับพระบรมฯ ขอให้รู้ว่า “ไม่จริง”..ให้เสื้อแดงบอกต่อๆ กันไปด้วย ว่าที่ผ่านมาถูกหลอก

    หลายสิบปีที่ผ่านมา เรื่องข่าวลือของพระบรมฯ เยอะมาก คนทั่วไปจะพูดถึงหรือวิจารณ์ไม่ได้ ทำให้ขบวนการแดงล้มเจ้า บริษัทเผาไทย ได้ใจใส่ร้ายเพิ่มขึ้นตลอดเวลา โดยที่พระองค์ไม่สามารถออกมาตอบโต้อะไรได้เลย ข่าวลือจึงกระจายไปทั่ว สร้างข่าวลือที่น่ากลัว ทำให้ไม่มีใครกล้าออกมาพูดอะไร ประชาชนก็เข้าใจกันผิดไปใหญ่ แต่ยามที่พวกแย้หางแดง ถูกเป่าลมเข้ารู้แย้ จนต้องโผล่หัวแสดงตนจำนวนมาก ทำให้ประชาชน หู ตา สว่าง ว่ามันมีแก๊งค์ที่จ้องทำลายสถาบันเบื้องสูงนั่นเอง

    พระบรมฯ จะไปหนุนเสื้อแดงเพื่อหมิ่นในหลวงทำไม ในเมื่อตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 พระองค์ก็เป็นรัชทายาทอยู่แล้ว การปล่อยข่าวลือว่าพระบรมฯ หนุนเสื้อแดง จริงๆ ก็คือเป็นวิธีการบั่นทอนเพื่อล้มล้างสถาบันเบื้องสูงแบบหนึ่งนั่นเอง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเกิดความหวั่นไหว และเคลือบแคลงในพระองค์ เพื่อต้องการทำลายให้พระองค์เสียหาย และลดความศรัทธาต่อสถาบันเบื้องสูง อันเป็นเป้าหมายปลายทางของขบวนการแดงล้มเจ้าบริษัทเผาไทย ที่ไม่ต้องการให้มีสถาบันกษัตริย์ในไทยอีกต่อไปนั่นเอง

    ในขณะเดียวกันก็ยังมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนมากมายมหาศาล ที่รักและยังต้องการปกป้องเทิดทูนสถาบันให้อยู่ดำรงต่อไป ถึงกับมีการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างหนักว่าแบบนี้ร่วมทางกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ส่งผลให้เสื้อแดงหู ตา สว่าง มวลชนลดลงตลอดเวลา แม้แต่คนอีสาน ตอนนี้เขายังรักในหลวง อย่างเต็มเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีเหนือสิ่งอื่นใด และพร้อมจะพลีชีพถวายพระองค์ได้ นั่นเพราะในอดีตพวกเขาได้รับพระมหากรุณาธิคุณมากมายเหลือคณานับจากในหลวง และราชวงค์ทุกพระองค์นั่นเอง

    หลักฐานสำคัญ ที่เป็นใบเสร็จว่า ชายดูไบ คือ โต้โผทุนใหญ่ของขบวนการล้มเจ้า คือ เทปและบันทึกหนังสือแปลการให้สัมภาณ์สดกับบรรณาธิการเอเซียของ “เดอะไทมส์” สื่อออนไลน์เมืองผู้ดี ขณะที่เขาอยู่ดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรต มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 เขาได้เปิดเผยพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการจาบจ้วง ให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมฯ อย่างรุนแรง เผยตัวตนที่แท้จริงออกมาจนถึงก้นบึ้งใจ ที่ยืนยันทุกคำพูดและพฤติกรรม ที่ผ่านมาของเขาเองได้เป็นอย่างดีว่าเป้าหมายของเขามีความทะเยอทะยานจะล้มราชวงศ์จักรีของไทย

    เป็นการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างที่พวกโลกสวย คนเหนือ และคนอีสาน ไม่มีใครคาดคิด ว่าคนที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ตั้งแต่พระราชทานกระบี่ตอนจบโรงเรียนชายชุดดำสามพราน จนเป็นถึงนายกฯ คนหนึ่ง จะกล้ามีเจตนาทำร้าย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนเยี่ยงนี้ ชายดูไบ และบริษัทเผาไทย จึงมีเจตนาที่เปิดศึกเป็นศัตรูกับคนไทยทั้งประเทศที่รักสถาบันพระมหาพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ นั่นเอง..คนอีสาน และเหนือ จงรู้ไว้เถิด แก๊งค์นี้แหละที่ให้ร้าย และจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา..บอกต่อกันไปเลย

    ตอนนี้พวกเสื้อแดงเอง แฉ ด่าประจาน “กวีไม้หนึ่ง ” อย่างหนัก ว่า อมเงิน กลุ่มปฎิญญาหน้าศาล เงินหัวคิว และยังฟันเมียชาวบ้านด้วย แถมยังแฉ คนสั่งยิงอีกว่า “ นายใหญ่ สั่งห้ามไม้หนึ่ง แล้ว ช่วงนี้ให้ถอยไว้ก่อน เพราะกระแสปกป้องสถาบันเบื้องสูงมาแรงมาก แต่ไม้หนึ่ง ดื้อไม่ฟัง บอกว่าจะสู้ไม่ถอย ผลที่ออกมาจึงตามเกมส์ จำไว้พี่น้องเสื้อแดง หากใครไม่ฟังนายใหญ่ ให้ระวัง เหมือนโกตี๋ ที่หนีหัวซุกหัวซุน เพราะนายใหญ่บอกถอยพักก่อน แล้วดื้อ “ ( ดูขั้นตอนความขัดแย้ง และสั่งฆ่ากวีไม้หนึ่ง ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.231896077000427.1073741983.187529244770444&type=1 )

    และไม้หนึ่ง ก็รู้ตัวก่อนถูกยิงตาย ว่าคนจะฆ่า คือ เพื่อนร่วมอุดมการณ์เสื้อแดงด้วยกันเอง จนเขาโพสข้อความใน FB ตัวเองว่าเพื่อนจะทิ้งกันไป และลอยแพเขา..นี่ส่อแสดงว่าเขารู้ตัวว่าเพื่อนใกล้ชิดกำลังปองร้ายเขา โดยการสั่งตายมาจากนายใหญ่..ตอนนี้แกนนำเสื้อแดงหัวโจก ที่ร่วมกันวางแผนฆ่ากวีไม้หนึ่ง หลายคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าต้องถูกสั่งตาย กลายเป็นเหยื่อแห่ศพรายต่อไป เพื่อมาปลุกกระแสการโกรธแค้นของมวลชนเสื้อแดง เป็นเหยื่อยกระดับการต่อสู้..คนร่วมฆ่ากวีไม้หนึ่ง จึงหวาดระแวงทุกคนที่เข้าใกล้ตนเอง !!

    ตอนนี้ยิ่งชัดเจนหนักว่านายใหญ่ สั่งฆ่า เมื่อกวีไม้หนึ่งตายไปแค่ 2 วัน ก็แห่ศพไปหน้าศาลอาญารัชดา และดันได้รับเงินจากภาษีราชการ 1 แสนบาท จากกระทรวงไม่ยุติธรรม ทั้งที่คนตายหมิ่นเบื้องสูง และคดียังพิมพ์ไม่เสร็จจากโต๊ะร้อยเวรชายชุดดำเลย ขั้นตอนอยู่เพียงแค่ส่งสเก๊ตภาพคนร้ายไปขอออกหมายจับเท่านั้น และสำนวนคดีก็ยังไม่ส่งมาที่ศาล แต่คนร่วมก่อเหตุย่อมแสดงความพิรุธ เมื่อก่อนกวีไม้หนึ่งตาย อ.หวาน ที่เป็นกิ๊กกัน ก็นั่งอยู่ในร้านอาหารอยู่ด้วย และรู้ดีถึงความขัดแย้งกลับกลุ่ม อ.ตุ้ม เรื่องการยักยอกเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวไปเที่ยว

    แต่จนบัดนี้ อ.หวาน ยังหลบเลี่ยงไม่ยอมเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน อ้างว่า “ ยังไม่ว่าง “ ต้องจัดการงานศพ ทั้งที่กวีไม้หนึ่ง ก็มีเมียถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว แฉ ไปเลย เรื่องหัวคิวที่ยังไม่จ่าย แฉให้หมดว่าไปทวงเขา หรือถูกโดนเขาทวง ประจานให้คนเสื้อแดงรู้ให้หมดเลย ว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง ถ้าหลบเลี่ยงให้ปากคำแบบนี้แหละ เขาจะจับได้ว่า “สมคบคิดและชี้เป้าสังหาร”

    ส่วนพรรคพวกเสื้อแดงแหล่งส่องสุมขยะแผ่นดิน แนวคิดล้มเจ้าเหมือนกับกวีไม้หนึ่ง หลังงานศพ วัดเสมียนนารี กลับมีงานเลี้ยงฉลองชัยกันที่ร้านอาหาร ที่สามารถหาผู้สละชีวิตเพื่อปลุกมวลชนแดงได้ ดีใจกันใหญ่ เหมือนรู้ว่าคิวว่า คนเสื้อแดงรายต่อไปใครจะเป็นผู้เสียสละชีวิต..งานนี้ “ แดงฆ่าแดง “ ตายกันเป็นเบือแน่

    การไล่ฆ่ากันของเสื้อแดง ไม่ใช่มีแค่นี้ การข่าวที่ได้รับมาตอนนี้พวกอมเงินหัวคิวจัดม็อบย่านพัทยา ก็เริ่มยิงหัวกันเองแล้ว เพราะถูกจับได้ว่ารับเงินค่าจ้างจัดม็อบไปแล้วอมเข้ากระเป๋า ไม่จ่ายหัวคิวลงไปยังลูกทีมในม๊อบ จึงเกิดการโวยวายฟ้องถึงหูนายใหญ่ และสั่งคนไปเก็บ ไอ้ที่เป็นศพ ลอยขึ้นอืดกันตรงนั้นตรงนี้เยอะแยะช่วงนี้นั่นแหละ พวกอมเงินหัวคิวทั้งนั้น

    เตือนพวกม๊อบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ รมต.กระทรวงคลองหลอด บังคับให้จัดม๊อบมาช่วงต้นเดือน พ.ค.57 ที่กระทรวงคลองหลอด เพื่อปะทะกับมวลชน กปปส.บางส่วนที่อยู่ที่นั่น การข่าวมาว่าท่านจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ โดยแก๊งค์อั้งยี่แดง จะมีการลอบปาระเบิด RGD-5 ใส่ หรือยิง M79 ใส่เข้าไปกลางวงม๊อบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้มีการตายและเจ็บจำนวนมาก แล้วจะนำศพทั้งในเครื่องแบบมาแห่ตามแบบคอมมิวนิสต์ เพื่อปลุกระดมมวลชนเสื้อแดง..เป็นแผนหลอกมาตายของ รมต.คลองหลอด และแก๊งค์อั้งยี่แดง ถ้ายังโง่มาตามเขาหลอก ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือน..ใครมีญาติลือบอกต่อไปด้วย..ตอนนี้เสื้อแดงมันหน้ามืดแล้ว มันจะฆ่าทุกคน

    ส่วนที่แก๊งค์แดงเนรคุณป่วนชาติ (นปช.) จะหลอกจ้างมวลชนเสื้อแดงที่ ให้ไปชุมนุมที่ถนนอักษะ กรุงเทพ ฯ อีกครั้งหลังวันที่ 6 พ.ค.57 นั้น จะเตือนคนต่างจังหวัดที่ไม่รู้ประวัติถนนเส้นนี้ว่า ถนนอักษะเส้นนี้อาถรรพ์แรง จุดชุมนุมก็อยู่หน้าองค์พระด้วย ใครไปทำไม่ดีบนถนนเส้นนี้ก็จะจบชีวิตไม่ดี ใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น ถนนเส้นนี้ร่ำลือกันว่าใครทำร้านอาหารจะรอด แต่เปิดร้านเหล้าจะเจ๊ง กิจการร่อแร่ เป็นแบบนี้มานานแล้ว

    ขนาดเด็กวัยรุ่น ยังไม่กล้าไปตั้งแก็งค์แว้นบนถนนอักษะเส้นนี้เลย เพราะตั้งแต่เปิดถนนใหม่ๆ รถล้มตายโหงไปหลายสิบคนแล้ว จนเด็กวัยรุ่นกลัวกันไปหมด จนถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าไปแข่งรถบนเส้นนี้อีก ต้องย้ายไปแข่งรถที่ถนนเส้นอื่น

    เสธ เตือนคนเสื้อแดงที่ไม่เชื่อ และจะดื้อไปทำไม่ดี ขี้ เยี่ยว ส่งเสียงเย้วๆ โหวกเวก ชุมนุมบนถนนอักษะอาถรรพ์แรง ที่มีศพตายโหงหลายสิบไปแล้ว คอยดูต่อไปเถอะ..เสื้อแดงที่ไปจะถูกแกนนำบอมบ์เละ ตายอยู่เป็นผีเฝ้าถนนอักษะเส้นนี้..

    ตอนเข้ามาได้ แต่ขากลับญาติจะเอาไปแต่ร่าง..ส่วนวิญญาณทิ้งไว้ที่นี่ !!

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    26 เม.ย.57 แฉ..ประวัติ อ.หวาน ขบวนการแดงล้มเจ้า สมแล้ว จุฬาฯ ไม่จ้างต่อ

    ที่ อ.หวาน ที่เป็นกิ๊ก ของกวีเสื้อแดง “ไม้หนึ่ง “ ทั้งที่เขามีเมียจดทะเบียนสมรสแล้วโทนโท่ พฤติกรรมนิสัยจึงเหมือนปูเน่าเป๊ะ คือ ชอบหาแดกผัวชาวบ้าน ไปทั่วราชอาณาจักร ปูเน่าเองตั้งแต่เป็นสาวมาจนถึงปัจจุบัน การข่าวว่าทำแท้งไปแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง

    อ.หวาน และแก๊งค์เสื้อแดงใส่ร้ายจุฬาฯ ที่ไม่ต่อสัญญาจ้าง ว่าไม่ให้ความเป็นธรรม , เกิดจากอำมาตย์รังแก และเป็นผลพวงจากรัฐบาลฤษี ที่ออกกฎหมายประเมินการจ้างงานของมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงจะแฉ ประวัติพฤติกรรม อ.หวาน ขบวนการแดงล้มเจ้า จอมลวงโลกนี้ซะให้ฉ่ำปอดไปเลย ว่าทำไมจุฬาฯ จึงไม่ต่อสัญญาจ้าง

    - ได้รับทุนจากจุฬาฯ ไปเรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอก ต่อมา จุฬาฯ จ้างไปสอนหนังสือ ในคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาภาษาไทย

    - เคยร่วมม็อบขับไล่ชายดูไบ มาตั้งแต่สมัยปี พ.ศ. 2548-2549 ต่อมาไม่มีจุดยืนที่มั่นคงในสิ่งดีงาม และศรัทธาในความถูกต้อง เปลี่ยนไปยึดบนผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ

    - ทิ้งงานสอนหนังสือเป็นประจำ โดยอ้างว่าต้องไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลเทียม ให้ปูเน่า ซึ่งทางจุฬาฯ ก็ยังพยายามอะลุ้มอล่วยให้มาโดยตลอด

    - ละทิ้งอาชีพความเป็นครู ไม่รับผิดชอบการสอนหนังสือ นิสิตจะร้องเรียนเสมอๆ ว่า หวาน งดสอนบ่อยโดยไม่มีเหตุอันควร แต่จะเลือกสอนเฉพาะวิชาที่ได้เงินพิเศษ เวลาสอนก็จะเอาบทความที่ด่าทอศาลมาใช้ประกอบ , แล้วเลือกเอาบทความที่ชื่นชมรัฐบาลแดง มาใช้เป็นประจำ , ชอบเอาบทความที่วิพากษ์ด่าทอระบบกษัตริย์มาใช้สอนนิสิต จนนิสิตบางคนทนไม่ได้ต้องเดินออกจากห้องเรียนไป

    - ไม่ยอมรับหน้าที่ควบคุมวิทยานิพนธ์ , ไม่เข้าประชุมกรรมการที่ตนเองเข้าร่วมเป็นกรรมการ

    - เอาความเป็นอาจารย์จุฬาฯ ไปเป็นเครื่องแสดงฐานะของตน แล้วจัดรายการโทรทัศน์กลุ่มคนเสื้อแดงล้มเจ้าที่ประกาศตัวเป็นขี้ข้าชายดูไบ สถานีเอเซียอาบแดด ได้รายได้เพิ่มเติมเดือนละประมาณแสนกว่าบาท

    - เคยหอบเอากระดาษคำตอบของนิสิตปริญญาโทของจุฬาฯ ไปขณะที่ไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วทำกระดาษคำตอบนิสิตหายไปทั้งหมด เพียงแค่ต้องการโชว์ว่าไม่ธรรมดา เป็นอาจารย์จุฬาฯ จบปริญญาเอก

    - ติดสติกเกอร์คำว่า ไพร่ปริญญาเอก ไว้หลังรถเก๋ง

    - ยกหางตัวเองเพื่อข่มผู้อาวุโสรายหนึ่งในจุฬาฯ ว่า “ป้าจะไปรู้อะไร หวานนะจบปริญญาเอกนะ ป้าต้องฟังหวานสิ หวานต้องจัดการเอง”


    - เวลาเบิกเงินไปใช้ทำภารกิจใด ๆ จะไม่ส่งใบเสร็จหลักฐานให้คณะ เสมือนว่าจบปริญญาเอกแล้วใช้จ่ายเงินโดยไม่ต้องมีใบเสร็จ

    - ในการเข้าคณะฯ แต่ละครั้ง หลังจากประกาศตัวเป็น “ปริญญาเอกไพร่แดง” คือ ต้องมีการ์ดถึงสองคน ตามประกบอารักขาในเวลาที่เข้าคณะ ฯ เพื่อต้องการโชว์เพาว์

    - ปัญญาอ่อนจนต้องอ๊วกแตก คือ ประกาศใช้นามสกุลรัง..ณ ชินวัตร

    - เป็นแนวร่วมผู้ผลักดันร่วมแก้ไขกฎหมายหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 (แนวร่วม 29 มกรา) , อยู่ในกลุ่มนักวิชากำกวม “นิติราษฎร์ล้มเจ้า” , เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มนรกป่วนชาติ (นปช.) และขึ้นปราศรัยบนเวทีเกือบทุกครั้ง , ฝักไฝ่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์

    - เป็นแกนนำใน "กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล" ร่วมกับ กวีเสื้อแดงไม่หนึ่ง ที่เป็นกิ๊กกัน รับเงินสนับสนุนจากชายชุดดำใหญ่ เดือนละ 5 หมื่นบาท มาเคลื่อนไหว

    - การที่จุฬาฯ ประเมินผล อ.หวาน ในระดับปานกลาง ส่งผลให้ไม่ต่อสัญญาจ้างในครั้งนี้ถือว่าได้รับความเมตตา และยุติธรรมมาก เพราะจุฬาฯ ได้จ่ายค่าชดเชยเป็นเงินกว่า 4 แสนบาท

    - ปัจจุบัน ได้รับตำแหน่งใหม่ คือ เป็นกิ๊กคนตาย กับ เป็นควายหงอทุยแดง

    การที่ อ.หวาน ไม่สอนหนังสือ ละทิ้งภารกิจหน้าที่สำคัญของความเป็นครู แต่กลับต้องการให้จุฬาฯ ต่ออายุสัญญาจ้างเพื่อให้ได้ทำงานในจุฬาฯ ต่อไป จึงไม่มีความละอายใจ เอารัดเอาเปรียบนิสิต และผู้ว่าจ้าง เห็นแก่ผลประโยชน์เงินทอง ไร้สำนึกสาธารณะ กำพืดและสันดานไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี ที่สำคัญอย่างให้อภัยไม่ได้ คือ “ มีใจคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ “ ทั้งที่อยู่ในสถาบันการศึกษาที่เป็นพระนามของรัชกาลที่ 5

    คนจุฬาฯ บอกมาว่าพอ อ.หวาน ไม่ได้ทำงานในจุฬาฯ อีกต่อไป เสมือนแผ่นดินจุฬาฯ จะสูงขึ้น แต่หากจะให้แผ่นดินจุฬาฯ และประเทศไทยสูงกว่านี้อีก ก็หมายถึงทุกสถาบันการศึกษา ต้องให้ออก และไม่ต่อสัญญาจ้าง เพื่อปราศจากนักวิชากำกวมสอนหนังสือจำพวกอยู่ใน “ขบวนการแดงล้มเจ้า “ ที่เหลืออีกหลายคน..

    การหมิ่น ให้ร้าย อาฆาตมาดร้าย สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เสรีภาพทางวิชาการ แต่เป็นการบ่อนทำลายเสาหลักศูนย์รวมจิตใจของประชาชนไทยทั้งประเทศ , บ่อนทำลายรากฐาน จารีตประเพณี และจิตวิญาณทางวัฒนธรรมไทย , ทำลายคนรุ่นหลัง ให้หลงลืมรากเหง้า ความเป็นมาของเผ่าพันธ์ชนชาติตนเอง , เป็นการเนรคุณบรรพบุรุษ..ทั้งที่ตนเองมีการศึกษาสูง

    คนพวกนี้จึงเป็นแค่ “ ขยะ ของขยะ แผ่นดิน” ที่ต้องได้รับการกวาดล้าง และเอากลับลงไต้ดิน

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    28 เม.ย.57 เผย..รำลึกวันนี้วันดีเมื่อ 64 ปีที่แล้ว..สู่พยัคฆ์เตือนแมวไร้สมอง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน กรุงเทพฯ ( ดูเรื่องย้อนหลัง รักแรกพบของในหลวง ราชินี ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.231611900362178.1073741982.187529244770444&type=1 )

    วันนี้เป็นวันพระ และในอดีตเมื่อ 64 ปีที่แล้วเป็นวันดี เมื่อวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดเกล้าฯ กำหนดให้เป็นวันประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวังสระปทุม อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

    เมื่อใกล้ถึงเวลาพระฤกษ์ เวลา 09.30 น. หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ทรงนำหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ไปยังวังสระปทุม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ลงนามในสมุดทะเบียนสมรส ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชสักขี 2 คน คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี, พลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามด้วย เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระบรมวงศ์ที่ทรงนับถือ ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

    ** ดูคลิป VDO พระราชพิธีประวัติศาสตร์ หาดูได้ยากนี้ ที่ท่านจะได้เห็นวัฒนธรรมไทยอันดีงามหนึ่งเดียวในโลกที่ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=oD5Xrz4StwA]ราชาภิเษกสมรส - YouTube[/ame]

    ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธย ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

    ในโอกาสนี้พระองค์ทรงพระราชดำริว่า ตามโบราณราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวในโลก ที่เป็นนักประดิษฐ์ ความสนพระทัยในงานช่างมีมาตอนพระเยาว์ สมเด็จย่าเลี้ยงดูพระองค์อย่างค่อนข้างจะเข้มงวด ไม่มีแม้แต่ของเล่นมากมายสำเร็จรูป อย่างฟุ่มเฟือยเหมือนอย่างสมัยนี้ เช่น หากพระองค์อยากได้วิทยุมาฟัง ก็ต้องเข้าหุ้นกับทูลกระหม่อมลุง ซื้อชิ้นส่วนของวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วก็เอามาประกอบเองเป็นวิทยุ บางครั้งเงินที่ได้รับเป็นค่าขนมก็ไม่พอซื้อของที่พนะองค์ท่านอยากได้ ก็ต้องมีการหาเงินพิเศษ โดยต้องใช้ความสามารถของพระองค์ท่านเอง

    ในหลวงทรงโปรดการช่างพิเศษ ตั้งแต่ในสมัยทรงพระเยาว์ ทรงนำสิ่งของที่เหลือใช้ภายในพระตำหนักที่ประทับเท่าที่จะหาได้ เช่น ไม้แขวนเสื้อมาสร้างรถไฟฟ้าแล่น มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับทำให้รถไฟแล่นก็ทรงประดิษฐ์เอง โดยเอาลวดทองแดงมาพันเข้าเป็นแกนกลางของเครื่องมอเตอร์ ในพระตำหนักจะเต็มไปด้วยเครื่องมือช่างไม้ เครื่องช่างกล และสิ่งของที่ทรงสนพระทัย ทรงเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นชั้นเลิศ เห็นได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ หรือมีพระราชดำริให้จัดทำขึ้น

    พระองค์ทรงเล่น “สร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ“ โดยทรงขุดดินเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ แล้วทรงจัดทำคลอง ทรงนำกิ่งไม้มาประดับไว้ริมคลอง เหมือนเป็นต้นไม้ที่อาศัยน้ำในบริเวณนั้น เพื่อให้เจริญงอกงาม ซึ่งในขณะนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าการเล่นของพระองค์ คือ การทรงเริ่มงานเทคโนโลยีด้านชลประทานและการปลูกป่า

    จนเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป ในระหว่างทรงครองราชย์ ฯ ได้ทรงสร้างสรรค์ผลงานด้านวิศวกรรมในการชลประทาน การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ ฝายกั้นน้ำ คลองส่งน้ำ และการปลูกป่าป้องกันไฟป่า เป็นโครงสร้างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนแผ่นดินไทยอย่างกว้างขวาง..พระองค์ทรงเตรียมพร้อม ในการเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ปกป้อง ขจัดความทุกข์ยาก เตรียมจัดหาข้าว ปลา อาหาร ให้แก่ราษฎร ในแผ่นดินของพระองค์ มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์มากแล้ว

    เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงต่อเรือรบศรีอยุธยา ย่อสเกล 1:50 พระองค์ทรงภูมิพระทัยมาก ทูลสมเด็จพระราชชนนีว่ารักมาก ต่อเหมือนที่สุด ทรงใช้ความละเอียด ใช้เวลาในการต่อนานมาก วันดีคืนดีสมเด็จพระราชชนนี รับสั่งว่าจะเอาเรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อนี้ไปแล้ว พระทัยนี้วูบเลย

    คล้ายๆ กับว่าของที่เราต่อมา ของเล่น ต่อเรือ ต่อเรือบิน เมื่อเสร็จแล้วภูมิใจมาก สมเด็จพระราชชนนี รับสั่งว่าต้องนำไปทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม ขอเรือลำนี้ไปประมูล เพื่อเอาเงินทำการกุศล พระองค์ทรงถูกฝึกมาตลอดเวลา จึงทรงยอม แต่ทรงมีรับสั่งว่า ประมูลได้เท่าไหร่นั้น คนทำได้ 10 % ครั้งนั้นประมูลได้ราว 60,000 บาท ทรงได้รับส่วนแบ่งมา 600 บาท เป็นเงินก้อนแรกที่ทรงได้มา และเอามาซื้อกล้องถ่ายรูปอันแรก

    จะเห็นได้ว่าแต่ละสิ่ง แต่ละอย่างที่ทรงได้มาสมัยเด็กๆ ไม่ใช่ได้มาจากความฟุ่มเฟือย แต่พระราชชนนีทรงฝึก ให้ทรงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ทรงถูกปลูกฝังตลอดมาโดยพระราชชนนี เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้พระองค์จึงเห็นแก่ประโยชน์ราษฎร์มากกว่าความเหนื่อยยากของพระองค์เอง

    แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจได้เกิดขึ้น คือ เมื่อวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีนั้น เรือลำนั้นได้กลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง คนที่ประมูลได้ครั้งนั้นได้นำกลับมาทูลเกล้าฯ ถวายคืนหลังจากที่เวลาผ่านไปหลายสิบปี บุญกุศลนั้นก็ได้กลับคืนมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ทรงได้รับสั่งว่า "ประเทศของเราที่อยู่รอดมาได้นั้น เพราะประชาชนของเรานั้นยังให้กันอยู่"

    คนไทยที่อยู่อาศัยในแผ่นดินพระบารมีของพระองค์ ไม่ว่าจะเสื้อสีใด จึงควรจะมินิสัยเป็นผู้ให้กับสังคมให้ติดเป็นนิสัย ไม่ใช่ว่าจะรับแต่อย่างเดียว เห็นแก่ได้อย่างเดียวตลอดชีวิตก็คงไม่ได้ เพราะสังคมไทยเรานั้นอยู่ได้เพราะ "การให้" ดังที่ในหลวงทรงทำเป็นตัวอย่าง ให้หมดทุกอย่างกับพสกนิกร และชาติบ้านเมือง

    ----------------------------------------
    ในหลวง ทรงจดหมาย ถึง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อ วันที่ 6 ตุลาคม 2547 ความว่า

    ลูกพ่อ..ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้น จักสำเร็จลงได้ จักตัองมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดี นั้นก็คือ รักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุข และเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้ พ่อขอบอกลูกดังนี้....

    1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่าเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
    3. มีความสันโดษ คือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือ ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่า มีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือ มีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
    - ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลม จะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
    - พอใจตามสมควร คือ ทำงานให้มีความพอใจ เหมาะสมแก่งาน
    - ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
    4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือ ให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปราถนา ให้ภาวนาว่า มีลาภมียศ สุขทุกข์ปรากฎ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภเสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกา นึกว่า"ชั่งมัน"
    พ่อ
    6/10/2547
    -------------------------------
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปารภ ทิ้งท้าย ความว่า
    - ฉันหวังว่า....คำสอนพ่อ ที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน..ฉันรักพ่อฉันจัง

    สิรินทร
    -------------------------------

    ในขณะที่ต้นรัชกาลของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีผสกนิกรไทยอยู่เพียง 17.5 ล้านคน จนถึงปัจจุบันขยายจำนวนเป็น 67 ล้านคน ( เพิ่มมาเกือบ 4 เท่า ราว 49.5 ล้านคน ) ผู้ที่กำลังหมิ่นฯ ให้ร้าย และอาฆาตมาตร้าย พระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ ส่วนใหญ่ เกิด และมีชีวิตที่สุขสบายอยู่ในช่วง 64 ปี รัชกาลของพระองค์นี้ทั้งสิ้น ล้วนเป็นผลผลิตผสกนิกร จำนวน 49.5 ล้านคนนี้ ทุกคนล้วนได้รับอานิสงฆ์จากความคิด หยาดเหงื่อ ความลำบากยากเข็ญ ของในหลวงทั้งสิ้น ที่พระองค์ทรงเสียสละ ให้พระองค์ทรงทำเพื่อให้ราษฎรพึ่งพาตนเองได้ ตามทฤษฏี “เศรษฐกิจพอเพียง” คือ ทำกินแบบประมาณตน ถือเหลือก็ขาย หรือ ช่วยเหลือสังคม ซึ่งทฤษฏีนี้ก็ทำให้คนเป็นเศรษฐีมาจำนวนนับไม่ถ้วน

    แต่ “ขบวนการแดงล้มเจ้า “ กับบริษัทเผาไทย ที่ร่างเป็นคนไทย แต่จิตใจคือวิญญาณพม่าในอดีตมาสิงร่าง กลับเนรคุณ ทรยศ พ่อของแผ่นดิน ไม่ยอมหยุดหย่อน ทำร้ายรังแกพระองค์ยังไม่พอ ยังหลอกลวง ทำร้ายผสกนิกรที่ยากจน โดยมาสร้างความหายนะให้แก่ราษฎร ที่หลงผิดของพระองค์ด้วย เพียงเพื่อต้องการเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เผด็จการแบบเกาหลีเหนือ แต่อ้างชื่อบังหน้าสวยหรูว่า “ ประชาธิปไตยแบบเท่าเทียม” และต้องการเสวยสุขกันในหมู่นักการเมือง โดยกดขี่ แบ่งชนชั้นประชาชน ที่หลงชื่อคำหลอกลวงนั้น

    ถ้าใครเคยไปพม่า ก็จะพบคนพม่า แต่วิญญาณคนไทยตกค้างแต่โบราณ นั่งวาดรูปในหลวงอยู่ตรงตลาดสก็อต ในย่างกุ้ง มีคนมาถามว่าทำไมถึงวาด? เขาตอบว่า "I love the king of Thailand"

    ขบวนการแดงล้มเจ้า และคนเสื้อแดง อับอายคนพม่าเขาบ้างไหม? และหน่วยควบคุมฝูงชน หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ชายชุดดำ ที่ยกกำลังมาไว้ เตรียมทำไม่ดี รุนแรงต่อราษฎรของพระองค์ จะหาว่าไม่เตือน ที่เอาตราเครื่องหมายราชวงศ์จักรีที่หน้าหมวก ไปรับใช้นักการเมืองเลว คิดทำร้ายประชาชน

    พยัคฆ์หมอบเงียบ ร้ายกว่าแมวที่เดินเพ่นพ่าน บทเรียนสลายม๊อบเมื่อ 18 ก.พ.57 มันสอนไว้ เพราะพยัคฆ์มันนอนดูเหยื่อ ที่กำลังเดินไปมา แล้ววางแผนจะจัดการเหยื่ออย่างไร จัดการด้วยวิธีไหน จะดักทางเหยื่ออย่างไร จู่โจมขย้ำเหยื่อในเวลาไหน..ส่วนแมวที่เดินเพ่นพ่าน เช่น ขนกำลังจำนวนมากจากพิษณุโลก ไปพักรวมพลในสวนสัตว์ดุสิต หรือ จะไปทางไหน ซ้าย-ขวา, หน้า-หลัง, บน-ล่าง พยัคฆ์จะรู้หมด..ถ้าแมวคิดแต่จะใช้กำลังเข้าหักหาญ..เขาเรียกว่าแมวขาดสมอง..

    คราวนี้พยัคฆ์นักรบ จะตะปบอย่างไร้ความปราณีใดๆ ทั้งสิ้น ชายชุดดำ ที่เป็นแมวผู้หลงผิด..เลิกคิดทำเลวซะ..ในหมู่แมว ย่อมมีแมวที่แฝงตัวเป็นใส้ศึกอยู่ แค่ขยับแมวชั่วที่ไม่สำนึกหน้าที่ จะตายยกฝูง แล้วญาติและเพื่อนๆ อย่ามาร่ำให้เสียใจในภายหลัง เหมือนครั้งก่อน !!

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2014
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    27 เม.ย.57 แฉ..แก๊งค์แบมือขอ รอของแจก แดกของฟรี จัดม็อบต่างด้าวมาอีกแล้ว

    นโยบายของรัฐอั้งยี่แดง และปูเน่าที่ผ่านมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน
    1. ถ้ามีคนบอกโกง..ห้ามยอมรับ
    2. ถ้าเค้ามีหลักฐาน..ให้บอกว่าปลอม
    3. ถ้าพิสูจน์ได้ว่าจริง..บอกว่าโกงเล็กน้อยเอง
    4. เมื่อพบหลักฐานเพิ่ม..บอกว่าไม่ตั้งใจ ต้องดูที่เจตนา
    5. เมื่อพิสูจน์ทราบเจตนา..บอกว่าถูกกลั่นแกล้งจากอำมาตย์
    6. พอพิสูจน์ได้ทั้งหมด..ไม่รับคำตัดสิน และเอา M79 ไปยิงใส่ศาล

    อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งหมดเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร มีคนอยู่เบื้องหลัง และรัฐธรรมนูญยังไม่เป็นประชาธิไตย..มันแถ กันหน้าด้านไปแบบนี้แหละ

    ช่วงที่ผ่านมา บริษัทเผาไทย จึงใช้บริการแก๊งค์อันธพาลนอกกฎหมาย โดยการอุ้มชูช่วยเหลือจากรัฐ คุกคามประชาชนที่คิดต่าง และกระบวนการยุติธรรม คล้ายๆ กองโจรตาลีบัน ของอัพกานิสถาน แต่ตอนนี้สภาพของแก๊งค์อันพาลพวกนี้ รวมตัวกันไม่ติด เพราะต่างคนต่างต้องการแยกตัวเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นต่อกัน การยิงหัวหน้าสายจัดม๊อบ ที่อมเงินค่าหัวคิวไม่จ่ายต่อให้ลูกสายคนเสื้อแดง จึงเกิดขึ้นอย่างมากในช่วงนี้..เรียกได้ว่าถ้าอยากจะเป็นเสื้อแดง ก็ต้องพร้อมสละชีวิตว่างั้นเถอะ..มันก็คล้ายๆ แก๊งค์ยาเสพติดนั่นแหละ เข้าไปได้ แต่ออกต้องตาย !!

    แต่เนื่องจากพวกนี้เป็นพวกเถื่อน ถ่อย จึงมักไม่ยอมให้ใครใหญ่กว่าตัว จึงแยกตัวออกมาตั้งเป็นแก๊งค์เล็กแก๊งค์น้อย เพื่อรับท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่โดยตรง ทำให้ตอนนี้เกิดแบรนด์ใหม่ๆ รับจ้างจัดอีเว้นท์แบ่งแยกทรัพย์ชายดูไบ แล้วอมเงินหัวคิวคนเสื้อแดง หลายชื่อ แข่งขันกันออกแบรนด์ตนเอง บล๊าพกันทางการตลาด เช่น แบรนด์ นปช.ของแก๊งค์อมเงินหัวคิว, แบรนด์ อพปช.ของแรมบ้า และขวัญควาย , แบรนด์ กวป.ของศรรักษ์ , แบรนด์ โกเต็ก ณ เตลิดเปิดเปิง ฯลฯ

    เปลี่ยนสีเสื้อ จนจะครบแม่สีอยู่แล้ว บางวันจะทำสงครามกับเบื้องสูง บางวันชูป้ายโหนพระบรมฯ บางวันแต่งกวีให้ร้ายสถาบัน บางวันแดงฆ่าแดง วันต่อมาเอาศพเพื่อนแห่ไปศาล พอหมดวันไปนั่งกินเหล้าเลี้ยงฉลองที่ฆ่าเพื่อนได้ อีกวันไปขอรับเงินจากรัฐเทียม จนงงสับสนไปหมด..ตกลงมึงจะเอาอย่างไร ก็เอาซักอย่าง ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน สะเปะสะปะมาก

    แต่ปัญหาหลักของแก๊งค์จัดม๊อบอมหัวคิวตอนนี้ คือ มวลชนเสื้อแดงต่างจังหวัดไม่ยอมเข้ามาในกรุงเทพ ฯ เพราะกลัวหลอกมาถูกยิงหัวแห่ศพปลุกระแส แก๊งค์นี้ก็เลยว่างจัด ยิงเพื่อนในกรุงเทพฯ “กวีไม้หนึ่ง” ให้ตาย แล้วแห่ศพเล่นกันไปพลางๆ ก่อน เพื่อรอเวลาเสื้อแดงต่างจังหวัดลงคารม เข้ากรุงเทพฯ มา แก๊งค์นี้จะจัดของหนักที่เตรียมไว้บอมบ์เพื่อนเสื้อแดง แห่ศพ ปลุกกระแสต่อ

    ตอนนี้จึงถึงคิว แบรนด์ นปช. แก๊งค์ “ แบมือขอ รอของแจก แดกของฟรี “ เดินสายไปจัดอีเว้นท์อมเงินค่าหัวคิว เลาะเลียบค่ายตามต่างจังหวัด อมเงินหัวคิวแบ่งทรัพย์ไปเรื่อยๆ เป็นที่ถูกใจของแกนนำ และถือโอกาสเกลี้ยกล่อมเสื้อแดงต่างจังหวัด หลอกลวงให้ไปตาย ในกรุงเทพฯ บ้าง..อย่ากินแรงกันตายว่างั้นเถอะ

    แก๊งค์ นปช.สมุทรปราการ ก็เป็นอีกแก๊งค์ที่จัดเวที นปช. เอาหัวคิวเลี้ยงกระแสกับเขาบ้าง คนเสื้อแดงช่วงพีคหัวค่ำที่ต้องมาเขาแถวเซ็นต์รับเงินค่าจ้าง ราว 100-200 คน ถ้าหลัง 4 ทุ่มก็ถือว่าหมดเวลา ..แว๊บหายกลับบ้านกันโลด..เหลืออยู่ประมาณ 10 คน นี่นับรวมคนพูดปราศรัย ช่างเครื่องเสียง แม่ค้า การ์ด แล้วทั้งหมด จะได้ประมาณเท่านี้ เวทีที่นี้มันโครตประหยัด คือ มันตั้งๆ หยุดๆ ตั้งอยู่ 2-3 วัน เงินเติมหมดแล้วก็เก็บ พอแกนนำ นปช.คางคกตู่ ใส้เดือนเต้น มันแย้ว!! และเติมเงินมาที ก็ตั้งเวทีกันที 2-3 วัน จ้างคนมาฟังแล้ว ซาไปก็เก็บอีก แล้วเงินมาก็ตั้งใหม่ เป็นแบบนี้ประจำ..เขาเรียกม๊อบประเภทนี้ว่า “ ม๊อบหมดประจำเดือน”...ฮา

    แต่ที่ไม่ไหวจะฮาคือ พวกนี้จะกลัวคนไปถ่ายรูป แล้วเห็นคนน้อย จะไปขึ้นเงินไม่ได้เต็มที่ มันจะเอารถมอไซต์บ้าง รถยนต์บ้าง จักรยานบ้าง มาจอดบังสายตาคนที่มองมาจากถนน แล้วให้มวลชนไปยืนบังเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ดูว่าคนมาเยอะ..(ฮา) แต่ถึงพวกมันทำแบบนี้ ก็ยังสามารถมองไปเห็นหน้าเวทีได้ หน้าเวทีจะว่างโล่ง ไม่มีคนนั่งเลย เป็นลานโล่งๆ..สามารถทำเป็นรันเวย์เอาเครื่องบินโบอิ้งไปจอดพัก กินข้าวเหนียวส้มตำระหว่างทางได้อย่างสบาย..ฮา

    ช่วงนี้แก๊งค์ “แบมือขอ รอของแจก แดกของฟรี “ ก็จะเดินสายไปตามจังหวัดเป้าหมาย ที่เกณฑ์คนรอไว้ได้ ในวันที่ 26 เม.ย.57 ที่ร้อยเอ็ด , วันที่ 27 สนาม อบจ.ชัยภูมิ , วันที่ 28 สนามหน้าศาลากลาง จ.อุตรดิตถ์ , วันที่ 29 โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร , วันที่ 1 พ.ค.57 สุพรรณบุรี

    ทุกสถานที่ทั้งจ้าง ทั้งใช้อำนาจรัฐบังคับให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. อส. อดีต ส.ส. เกณฑ์คนมาฟังและบังคับให้ใส่เสื้อแดง จ่ายค่าจ้าง 200 -300 บาทต่อคน เฉพาะช่วงเวลา 16.00 - 22.00 น. เพราะเกินนี้ชาวบ้านไม่ยอม เพราะง่วง..ฮา ถ้าจะให้อยู่ต่อต้องเติมเงินจ่ายเพิ่มเป็น 2 แรง..ดังนั้นถ้าจะนับมวลชนชุมนุมเสื้อแดงอุดมการณ์ “ขีดเส้นไต้” ต้องนับหลังเวลา 23.00 น.เท่านั้น จึงจะเป็นมวลชนเสื้อแดงที่แท้จริง นับก่อนเวลานี้ไม่ได้..เพราะเป็นการมาด้วยค่าจ้างอย่างเดียว ไม่สามารถบอกนัยยะทางการเมืองใดๆ ได้เลย

    ครั้งก่อนจัดม๊อบพม่ามาไม่ได้ จนหน้าแตกเอาปี๊บคลุมหัว ตอนนี้แก๊งค์อั้งยี่แดง มามุกยุแยงใส่ร้ายอีกแล้ว โดยทำ “ใบปลิวปลอม” ไปแจกในค่ายชายชุดเขียวแถวแจ้งวัฒนะ เป็นมุกเดิมๆ เหมือนครั้งก่อนหลายครั้งที่ผ่านมา ชายชุดเขียวสุภาพบุรุษพอ หลักคือ “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน “ แต่ข้อความในใบปลิว ตรงข้ามนี้โดยสิ้นเชิง จึงเป็นของแก๊งค์อั้งยี่แดง แต่เอามายุแหย่แค่นั้นเอง ไม่มีใครหลงกลลวง ส่วนอะไรที่เข้าใจผิดกันระหว่างการ์ด กับชายชุดเขียว เขาก็ขอโทษปรับความเข้าใจกันได้นานแล้ว ไม่มีใครเคยไม่พลาด แต่พลาดแล้วยอมรับ และขอโทษ ในทางชายชุดเขียวถือว่าลูกผู้ชาย ขอกันกินมากกว่านี้ ไม่เหมือนแก๊งค์อั้งยี่แดงที่ใช้ M79 ยิงใส่ค่ายชายชุดเขียว พล.ปตอ. , ศาล , ปปช., ฯลฯ แล้วไม่เคยออกมายืดอกรับผิด แต่กลับบอกว่าพก M79 และ ระเบิด RGD-5 แค่ป้องกันตัว

    สายข่าวแจ้งมาว่า ตอนนี้แก๊งค์อั้งยี่แดงมันใช้วิชามารปลอมทุกอย่าง ตอนนี้มันกล้าถึงขนาดทำลายความมั่นคงประเทศอีกแล้ว ทำเป็นขบวนการแดงใหญ่ โดยขนต่างด้าวขึ้นรถไฟมาครั้งละจำนวนมากโดยไม่ผ่านด่านตรวจใดของชายชุดดำรถไฟ ใช้สายเหนือ อีสาน ตะวันออก เพราะรถยนต์ถูกสกัดได้ โดยเป็นเที่ยวค่ำมืด ทุกคนพูดคุยกันโดยไม่ใช้ภาษาไทย มีการแจกเสื้อดำให้ทุกคนพิมพ์คำว่า “ ทหารของพระราชา” แล้วจอดให้ลงในสถานีต่างๆ ในกรุงเทพฯ จากนั้นจะมีรถตู้มารับไปกบดานอีกทอด

    ใช้ให้พวกแก๊งค์ต่างด้าวนี้กระทำผิดกฎหมายไทยต่างๆ เช่น ปล้นแท็กซี่ , ชิงทรัพย์ ฯลฯ จะได้ใส่ร้ายป้ายสีให้มวลชน กปปส. และคำด้านหลังเสื้อ ก็จะให้ร้ายป้ายสีไปถึงสถาบันเบื้องสูงด้วย ตอนนี้เริ่มมีปฏิบัติการปล้นแท็กซี่ และเต้าข่าวว่าเป็นการ์ด กปปส.บ้างแล้ว..ใครพบให้ถ่ายภาพส่งขึ้นเฟส และแจ้งชายชุดเขียว หรือการ์ด กปปส.ที่ใกล้ที่สุด ควบคุมตัวต่างด้าวแดงพวกนี้ไว้ เอามาสอบสวนขยายผล ไปถึงผู้จ้างวาน..รับประกันได้ไอ้พวกที่นำเข้ามาแล้ว ถูกฆ่าตัดตอนหมดแน่ แล้วมันก็สวมรอยเอามาแห่ศพเป็นคนเสื้อแดงอีก !!

    เมื่อคืนก่อน มีการจัดม๊อบเติมเงินกันที่ จ.ชัยภูมิ พอพวกแก๊งค์อัปรีย์นี้มาเหยียบแผ่นดิน เท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ เจออาเพศ ทั้งฝนกระหน่ำ ทั้งพายุลมแรงขับไล่ เละไม่เป็นท่า นี่ขนาดแกนนำม็อบ ไปบนบานศาลกล่าวเจ้าพ่อพยาแล แล้วนะ แต่ธาตุทั้ง 4 ที่มีศักดิ์มากกว่าก็ยังไม่ยินยอม ฟ้าดินจึงลงโทษคนคิดชั่วต่อแผ่นดิน ให้เกิดเป็นฟ้าฝนคะนอกตกลงมาราวฟ้าทะลุในหน้าร้อน

    บอกแล้วพวกนี้อัปรีย์สมคำร่ำลือ ใครไปเข้าใกล้..จะต้องพลอยรับผลกระทบความอับปรีย์กลับบ้านไปด้วย เงินค่าจ้างที่ได้รับไปจะเป็นเงินร้อน เผาผลาญชีวิตตนเองและครอบครัว ให้เกิดหายนะ ลม ฝน ที่ตกมาใส่ตัว ล้วนคือ คำสาปแช่งจาก ฟ้า ฝนที่พิโรธ เหมือนจะรู้ว่าพวกนี้จะมาทำลายแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้..คิวต่อไปที่อุตรดิตถ์ และ พิจิตร..ให้ลือบอกต่อกันไปว่า..ใครไปร่วมชุมนุมแดง กับคนอาเพศ ก็จะต้องรับความซวยกลับบ้านไปด้วย..

    คอยดูเหอะช่วงนี้พายุลูกเห็บ จะอาเพธชท ถล่มภาคอีสาน กับภาคเหนือ ยับเยินแน่ คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พลอยซวยไปด้วย ดังนั้นคนในพื้นที่ต้องอย่ายอมเอาอาเพศเข้าบ้าน ถ้าพวกอัปรีย์นี้มา ก็รวมตัวขับไล่มันให้พ้นไปจากพื้นที่ของตัวเอง เอาไข่เน่า หนังสะติ๊ก ระดมปาและยิงขึ้นไปบนเวที อาเพศจะได้ไปไกลจากแผ่นดินเร็วๆ

    แก๊งค์อมเงินค่าหัวคิวจัดม็อบ นปช. กำหนดจะจัดชุมนุมใหญ่เพื่อหลอกนำคนเสื้อแดงต่างจังหวัด มาบอมบ์สังหาร ในวันที่ 6 พ.ค.57 ที่ถนนอักษะ กรุงเทพฯ โดยวิทยุ ทุยแดงภาคเหนือ หว่านล้อมหลอกให้หาสมาชิกคนเสื้อแดง ไปร่วมชุมนุมเป็นแบบแชร์ลูกโซ่ คือ 1 คน หาให้ได้ 10 คน ขยายไปเรื่อยๆ แบบสินค้าขายตรงบางชนิด แล้วให้แต่ละกลุ่มดูแลค่าใช้จ่ายอมหัวคิวกันเอง...

    เสธ เคยแนะนำพี่น้องเสื้อแดงไปแล้วว่า ก่อนไปร่วมชุมนุมให้ขอเงินค่าจ้างล่วงหน้าก่อน 90,000 บาทขาดตัว (3,000 บาท x 30 วัน) ไม่ลดเด็ดขาด และให้บอกลาญาติพี่น้อง สั่งเสีย ล่ำลากันให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย เพราะโอกาสที่จะกลับบ้านอวัยวะครบ 32 คงยาก หรือเผลอๆ จะต้องเอาชิ้นส่วนร่างกายที่แหลกเหลว ใส่โลงกลับบ้านมานั่งต่อจิ๊กซอร่างกายด้วย

    นั่นเพราะแกนนำอั้งยี่ ต้องเดินตามแผนคอมมิวนิสต์ คือ “ แดงฆ่าแดง “เพื่อเอาศพมวลชนพวกเดียวกันมาแห่ปลุกกระแสม็อบนั่นเอง

    มีนักรบนิรนาม ฝากโจทย์การบ้านให้ เสธ ช่วยคิดว่าข้อใดต่อไปนี้..จะเป็นเหตุการณ์ใดที่จะช่วยปลุกม็อบคนเสื้อแดงออกมาร่วมชุมนุมมากๆ ได้เป็นล้าน ๆ คน ? แต่เสธ คิดไม่ออก จึงมาสอบถามสมาชิก ดังนี้

    1. มีการไล่สังหารแกนนำย่อย ที่ขึ้นเวทีแก๊งค์อมเงินหัวคิว นปช. แบบทีละคนจนครบทุกคน โดยเฉพาะคนที่ปากดี ปากเก่ง ให้ร้าย อาฆาติมาดร้าย สถาบันเบื้องสูง เป็นที่ชื่นชอบ ของคนเสื้อแดงมากๆ จะโดนระเบิดตัวขาด 2 ท่อน..จากนั้นแห่ศพ โยนความผิดให้สถาบัน และชายชุดเขียว ตามมุกเดิม

    2. มือสังหารปริศนาสอย คางคกตู่ และ ใส้เดือนเต้น กลางเวทีขณะที่กำลังอ้าปากพูดปลุกระดมคนเสื้อแดง โดยใช้อาวุธประสิทธิภาพสูงระยะไกล ส่งป๊อบคอร์นเจาะจนหัวเละ หายไปครึ่งนึง ต่อหน้าต่อตาถ่ายทอดทีวีเอเชียอาบแดด คล้ายๆ เสธ.แดง แต่เละกว่านั้น !!

    3. สังหาร เป็ดเหลิม ด้วยบอร์มทำลายล้างสูง จนมีชายดูดำที่คอยติดตามอารักขา ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก..แล้วโยนความผิดให้มวลมหาประชาชนเป็นผู้ทำ

    4. ลอบสอยปูเน่า ด้วยการวางบอมบ์แต่พลาด ทำให้แขนขาด และใบหน้า ถูกไฟลุกเผาจนเละ !! เปลี่ยนจากนางปูเน่า กลายเป็นนางอัปลักษณ์และพิการ...แล้วโยนความผิดโทษฝ่ายตรงข้ามที่ออกมาต่อต้านรัฐอั้งยี่แดง

    5. รอจังหวะให้คนเสื้อแดงมาเต็มหน้าเวที แล้วกดรีโมทตู้ลำโพงบอมบ์ TNT แสวงเครื่องขนาด 500 ปอนด์ รัศมีหวังผล 1 กิโลเมตร ราบเป็นหน้ากลอง จะได้ศพคนเสื้อแดงไปแห่ราว 300 - 500 ศพ โดยคนที่เจ็บราว 3,000 คน เป็นผู้ไปเก็บแขนขาที่กระเด็นไปไกลตามยอดไม้ เอามาใส่โลงมัดรวมๆ กันแห่..แล้วโยนความผิดให้สถาบัน และชายชุดเขียว ตามมุกเดิม

    ท่านสามารถเลือกคำตอบปรนัย (ช้อย) ได้มากกว่า 1 ข้อ และสามารถแสดงความคิดเห็นแบบอัตนัย (บรรยาย) เพิ่มเติมอีกได้ไม่จำกัดวิธี..ฮา

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    30 เม.ย.57 จัดหนัก..เปรี้ยง โครม แดงเมืองพระยาพิชัย เลือดสาด คอหวิดขาด

    พระยาพิชัยดาบหัก เดิมชื่อ จ้อย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2284 ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา บ้านเกิดคือ ห้วยคา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ท่านมีนิสัยชอบชกมวยมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ 14 ปี พ่อท่านได้นำไปฝากกับท่านพระครูวัดมหาธาตุ เมืองพิชัย ท่านสนใจเอาใจใส่ในตำราเรียน และซ้อมมวย ไปด้วย ทั้งหมัด เข่า ศอก และสามารถเตะได้สูงถึง 4 ศอก ในขณะที่เป็นเด็กวัดนั้น มักจะถูกกลั่นแกล้งจากเด็กที่โตกว่าเสมอ แต่ท่านก็สามารถปราบเด็กวัดได้ทุกคน ด้วยชั้นเชิงมวย

    ต่อมาเจ้าเมืองพิชัยได้นำลูกตนเอง มาฝากที่วัดเพื่อร่ำเรียนวิชา เขากับพวกมักหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับจ้อยเสมอ ท่านจึงตัดสินใจหนีออกจากวัดขึ้นไปทางเหนือ โดยไม่ได้บอกพ่อแม่และอาจารย์ เดินตามลำน้ำน่านไปเรื่อยๆ จนถึงวัดบ้านแก่ง ท่านได้พบกับครูฝึกมวยคนหนึ่ง ชื่อ เที่ยง จึงฝากตัวเป็นศิษย์แล้วท่านเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ทองดี” ครูเที่ยง มักเรียกท่านว่านายทองดี ฟันขาว เนื่องจากท่านไม่เคี้ยวหมากพลูเหมือนคนสมัยนั้น ด้วยความขยันขันแข็งเอาใจใส่การฝึกมวย ทำให้ลูกหลานครูเที่ยงอิจฉาท่านมาก จนหาทางกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ท่านจึงกราบลาครูขึ้นเหนือต่อไป

    เมื่อเดินถึงบางโพ ได้เข้าพักที่วัดวังเตาหม้อ (ปัจจุบันคือวัดท่าถนน) แล้วต่อไปที่ท่าเสา ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ ครูเมฆ ซึ่งมีชื่อเสียงในการสอนมวยมาก ครูเมฆ รักนิสัยใจคอท่าน จึงถ่ายทอดวิชาการชกมวยให้จนหมดสิ้น ขณะนั้นท่าน อายุได้ 18 ปี ต่อมาได้มีโอกาสชกมวยในงานไหว้พระแท่นศิลาอาสน์ กับนายถึก ศิษย์เอกของครูนิล นายถึกถูกท่านเตะสลบไปนาน ประมาณ 10 นาที ครูนิลอับอายมาก จึงท้าครูเมฆชกกัน ทองดี ได้กราบอ้อนวอน ขอชกแทนครูเมฆ และได้ตลุยเตะต่อย จนครูนิลฟันหลุดถึง 4 ซี่ เลือดเต็มปากสลบอยู่เป็นเวลานาน

    ชื่อเสียงนายทองดี ฟันขาว กระฉ่อนไปทั่วเมืองทุ่งยั้ง ลับแล พิชัย และเมืองฝาง ต่อมาท่านก็ขอลาไปศึกษา การฟันดาบ ที่เมืองสวรรคโลก ด้วยความฉลาดมีไหวพริบ เขาใช้เวลาเพียง 3 เดือน ก็เรียนฟันดาบสำเร็จ เป็นที่พิศวงต่อครูผู้สอนยิ่งนัก จากนั้น ก็เดินทางไปต่อที่เมืองสุโขทัย และเมืองตาก ระหว่างทางได้รับศิษย์ไว้ 1 คน ชื่อบุญเกิด (ต่อมาเป็นหมื่นหาญณรงค์) เพราะเมื่อครั้งที่บุญเกิดถูกเสือคาบไปนั้น ทองดีได้ช่วยบุญเกิดไว้ โดยการแทงมีดที่ปากเสือจนหนีไป จนเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว

    เมื่อท่านเดินทางถึงเมืองตาก ขณะนั้นได้มีพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่ เจ้าเมืองตาก จึงจัดให้มีมวยฉลองด้วย นายทองดี เข้าไปเปรียบมวยกับครูห้าว ครูมวยมือดีของเจ้าเมืองตาก และมีอิทธิพลมาก นายทองดี ใช้ความว่องไวใช้หมัดศอก และเตะขากรรไกร จนครูห้าวสลบไป เจ้าเมืองตาก ถามว่าสามารถชกนักมวยอื่นอีกได้หรือไม่ นายทองดี ตอบรับ เจ้าเมืองตากจึงให้ชกกับครูหมึก ครูมวยร่างสูงใหญ่ ผิวดำ นายทองดี เตะซ้ายเตะขวา บริเวณขากรรไกร จนครูหมึกล้มลงสลบไป

    เจ้าเมืองตากพอใจมาก ให้เงิน 3 ตำลึง และชักชวนให้อยู่ด้วย นายทองดี จึงได้ถวายตัวเป็นทหารของเจ้าเมืองตาก ตั้งแต่บัดนั้น รับใช้เป็นที่โปรดปรานมาก ได้รับยศเป็น "หลวงพิชัยอาสา" ต่อมาเมื่อเจ้าเมืองตาก ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาวชิรปราการ ครองเมืองกำแพงเพชร หลวงพิชัยอาสา ได้ติดตามไปรับใช้อย่างใกล้ชิด และเป็นเวลาเดียวที่พม่ายกทัพล้อม กรุงศรีอยุธยา พอดี

    พระยาวชิรปราการ พร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสา และทหาร ได้เข้าปะทะต่อสู้จนชนะ ได้ช้างม้าอาหารพอสมควร และเข้าสู้รบกับทัพพม่าหลายคราวจนได้รับชัยชนะ ได้รับการต้อนรับจากประชาชน และยกย่องขึ้นเป็นผู้นำ คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อกอบกู้เอกราชได้แล้ว พระองค์ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรี และได้โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิชัยอาสา เป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นทหารเอกราชองครักษ์ในพระองค์

    ในปี พ.ศ. 2311 พม่าได้ยกทัพมา 1 หมื่นคน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พร้อมด้วยหมื่นไวยวรนาถ ได้เข้าโจมตีพม่าจนแตกพ่าย และได้มีการสู้รบปราบก๊กต่าง ๆ อีกหลายคราว จึงทรงโปรดตั้งเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็น "พระยาสีหราชเดโช" มีตำแหน่งเป็นนายทหารเอก ราชองครักษ์ตามเดิม เมื่อปราบก๊กพระเจ้าฝางได้แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ปูนบำเหน็จความชอบให้พระยาสีหราชเดโช ให้เป็นพระยาพิชัย ปกครองเมืองพิชัย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่เยาว์วัยของพระยาพิชัย

    ในปี พ.ศ. 2313 - 2316 ได้เกิดการสู้รบกับกองทัพพม่าอีกหลายคราว และทุกคราวที่กองทัพพม่าแตกพ่ายไป ก็สร้างความอัปยศอดสูแก่แม่ทัพนายกองเป็นทวีคูณ พอสิ้นฤดูฝนปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 โปสุพลา แห่งพม่า ยกกองทัพมาหมายตีเมืองพิชัยอีก ศึกครั้งนี้พระยาพิชัย จับดาบสองมือคาดด้าย ออกไล่ฟันแทงพม่าอย่างชุลมุน ณ สมรภูมิบริเวณ วัดเอกา จนเมื่อพระยาพิชัยเสียการทรงตัว ก็ได้ใช้ดาบข้างขวาพยุงตัวไว้ “จนดาบข้างขวาหักเป็นสองท่อน" ในที่สุดก็ชนะพม่า กองทัพโปสุพลา ก็แตกพ่ายกลับไป เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2316

    พระยาพิชัยดาบหัก ได้สร้างมรดกอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ให้สืบทอดมาถึงปัจจุบันได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดกล้าหาญ รวมถึงความรักชาติ ต้องการให้ชาติเจริญรุ่งเรืองมั่นคง ท่านได้รับความเคารพนับถือจากคนอุตรดิตถ์ และคนไทยจำนวนมาก เป็นที่กล่าวขานในความศักดิ์สิทธิ์ว่า ดาบของท่านยังคงปัดเป่าทุกข์ภัยให้ลูกหลายตลอดมา

    และแล้วบัดนี้ อิทธิปาฏิหาริย์ของพระยาพิชัยดาบหัก ก็ปรากฏให้ประจักษ์ชัดต่อสายตาอีกครั้ง เมื่อแก๊งค์เนรคุณป่วนชาติ (นปช.) ที่มีเป้าหมายโค่นล้มสถาบันเบื้องสูง และเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ภายใต้การแอบอ้างชื่อว่า “ประชาธิปไตยแบบเท่าเทียม” ไปจัดม็อบเสื้อแดง ที่สนามกีฬาจังหวัดอุตรดิตถ์ หมอนไม้ ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

    ก่อนการชุมนุม ได้มีการสั่งการอำนาจรัฐ ให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. ให้ขนประชาชนมาฟังแกนนำ นปช.ปราศรัย หมิ่นและให้ร้ายสถาบันเบื้องสูง คุยโวว่าครั้งนี้เป็นการชุมนุมใหญ่ของ นปช.ภาคเหนือ เป้าหมาย คือ 15,000 คน โดยมี รองนายก อบจ.อุตรดิตถ์ และนาย ป. ประธาน นปช.อุตรดิตถ์ เป็นผู้ระดมมวลชน แต่ปรากฏว่าทำอย่างไรประชาชนก็ไม่ยอมมา เพราะกลัวว่าพระยาพิชัย จะลงโทษที่ไปสนับสนุนขบวนการล้มเจ้า จนแกนนำระดมมวลชนปั่นป่วนไปหมด ต้องไปขอระดมคนเสื้อแดง จากจังหวัดใกล้เคียง คือ จ.แพร่ น่าน สุโขทัย พิษณุโลก และ จ.นครสวรรค์ ให้เดินทางมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วย

    ทันทีที่แก๊งค์เนรคุณป่วนชาติ (นปช.) ประกาศว่าจะมาชุมนุมที่อุตรดิตถ์ ก็เกิดอาเพศพายุอย่างหนัก พายุพัดถล่มทุกอำเภอ ทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์หลายรอบ โดยเฉพาะ 3 อำเภอ ที่โดนอ่วมหนัก คือ “พิชัย” ตรอน และเมือง อุตรดิตถ์ จนต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มทับสายไฟฟ้าขาด ไฟฟ้าดับหลายแห่ง พายุอาเพศถล่มอุตรดิตถ์ จนบ้านพังไปแล้วกว่า 700 หลัง..จนวุ่นวายกันไปทั้งทั้งหวัด..อุ๊แม่เจ้า

    ที่แปลกก็คือ ที่วัดหนองกาย ตำบลป่าเซ่า อำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ ศาลาการเปรียญของวัด อายุเกือบ 150 ปี ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังได้พังคลืนลง เพราะถูกกระแสลมพัดเข้าใส่ จนไม่หลือซากของศาลา ท่ามกลางความงุนงงของพระ และประชาชนในพื้นที่ ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างพากันมายืนมุงดูพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ ว่าจะต้องเกิดอาเพศใดในอุตรดิตถ์เร็วๆ นี่แน่ๆ และ รู้สึกเสียดายเพราะเป็นเป็นศาลาวัดที่เก่าแก่ คู่กับหมู่บ้านมาแต่ดั้งเดิม และยังไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรต่อ เพื่อชาวบ้านมีที่ทำพิธีทางศาสนาต่อไป

    พายุพิโรธยังไม่หยุดเท่านั้น เหตุการณ์ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นซ้ำอีก เมื่อคืนก่อนการชุมนุมวันที่ 29 เม.ย. เวลา 23.00 น. ได้เกิดอาเพศ พายุฝนฟ้าคะนองลมกระโชกรุนแรง มากที่สุดในรอบหลายสิบปีอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในเกือบทุกอำเภอของจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่งผลทำให้ต้นไม้ใหญ่หักโค่นระเนระนาด บ้านเรือนชาวบ้านพังกระจุยเป็นจำนวนมาก บางบ้านถูกต้นไม้ใหญ่หักโค่นลงมาทับกลางหลังคาบ้าน (เหมือนดาบของพระยาพิชัยที่หักเป๊ะ) กระเบื้องแตกละเอียดตกลงมาใส่หัวของชาวบ้านที่นอนหลับอยู่บนที่นอน ได้รับบาดเจ็บ ส่งไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลกันชุลมุน

    พายุอาเพศ ยังพัดกระหน่ำต่อไปไม่ยอมหยุดหย่อนจนถึงเช้ามืดวันที่ 30 เมษายน เกิดอาเพศพายุลมแรงพิโรธโกรธา พัดถล่มในหลายพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ จนราบเป็นหน้ากลอง โดยเฉพาะที่บริเวณ ประตูทางเข้าสนามกีฬาฯ ที่เป็นที่จัดชุมนุมขบวนการล้มเจ้า คอมมิวนิสต์แดง นปช. ขนาดต้นไม้ใหญ่มาก ยังถูกลมพายุพัดจนโค่นล้มทับสายไฟฟ้า ที่เป็นเสาคอนกรีตแข็งแรงหักกลางลงมา..เหมือนดาบของพระยาพิชัยไม่มีผิดเพี้ยน !! จนทำให้ทางการไฟฟ้าฯ ต้องทำการตัดไฟไว้ก่อน เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อตคนเสื้อแดง ที่จะมาชุมนุมช่วงเย็นตายคาสนามทุกคน

    ส่วนพื้นที่ตำบลบ้านเกาะ อ.เมืองอุตรดิตถ์ ชาวบ้านบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอพายุรุนแรงที่สุด และไม่เคยเกิดเคยในพื้นที่มาก่อนแบบนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ถูกต้นไม้ล้มทับ ซ้ำร้ายเป็นลาง คือ ต้นสักอายุ 300 ปี ( พอๆ กับช่วงที่พระยาพิชัย อายุเป็นวัยฉกรรจ์รุ่นหนุ่มพอดี ) ล้มเป็นแนว ต้นไม้ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะต้นสักที่ปลูกตามสองข้างถนนสายหลักอายุกว่า 300 ปี กว่า 20 ต้น ล้มชนิดถอนรากถอนโค่น ทับสายไฟฟ้า ส่งผลเสาไฟโค่นตามด้วย บางต้นล้มทับบ้านเรือน ร้านค้าประชาชน หลังคาสังกะสี ถูกแรงของพายุอาเพศ พัดปลิวยกกระบิ หายไปทั้งหลังคา

    ส่วนบริเวณกลางสนามกีฬาฯ ซึ่งมีการตั้งเวทีปราศรัยแดง นปช.ขนาดใหญ่ และด้านข้างเวที กางเต็นท์ไว้จำนวน 15 หลัง ถูกลมพายุพัดถล่มจนเสียหายพังยับเยิน พัดโต๊ะ-เก้าอี้-เต็นท์สนาม และเวทีกลางที่ได้มีการเตรียมไว้ ล้มกระจัดกระจาย เสาไฟฟ้าบริเวณทางเข้าชุมนุม ที่หักโค่น กีดขวางทางเข้า – ออก..เหมือนพระยาพิชัย ท่านไม่ต้อนรับ และขับไล่ผู้มาจัดงาน จึงกระโดดเตะด้วยความโกรธ จนต้นไม้ เสาไฟฟ้า ล้มพับ โค่นคาเท้าท่านเหมือนในอดีตกาล

    จนราวช่วงสายถึงเที่ยง คนเสื้อแดงที่รู้ข่าว บอกลือต่อๆ กันไปเริ่มเหวอหนัก กลัวกันมาก วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าถ้าร่วมกับขบวนการล้มเจ้าเสื้อแดง ต้องตาย และครอบครัวฉิบหายวายป่วงแน่ๆ จึงมีการปฏิเสธกับแกนนำว่าจะยกเลิกไปแล้ว ทำเอาแกนนำสายจัดม็อบปั่นป่วนอย่างหนัก จึงสั่งเกณฑ์ระดมคนลาว ที่อยู่ในพื้นที่ ( อุตรดิตถ์ ติดชายแดนลาว ที่ อ.บ้านโคก ) มาร่วมให้ได้มากที่สุด ส่วนคนไทยที่ไม่มา ถ้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันให้ขู่ว่าจะไม่จ่ายเงินเดือน

    ส่วนผู้นำชุมชน ให้ไปข่มขู่ประชาชนพื้นที่ตนเองว่า คนที่ไม่ไปร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงล้มเจ้า จะถูกยกเลิกบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค , ยกเลิกเบี้ยยังชีพคนแก่ , ไม่ให้กู้กองทุนหมู่บ้าน , ไม่ให้พักหนี้ ธกส, ไม่จ่ายเงินค่าจำนำข้าวทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ค้างไว้ มากกว่าหมื่นล้านบาท , โรงสีจะไม่รับซื้อข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่ ที่ตอนนี้เหลือราคาเพียง 4,000 บาทต่อตันเท่านั้น

    ต่อมาช่วงบ่าย ทำให้ชาวบ้านบางส่วนเกรงกลัวคำขู่ ยินยอมรับเงินค่าจ้าง 150-200 บาทต่อคน เดินทางจากจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือล่าง ทยอยเดินทางมาที่สนามกีฬาฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแม่ค้าพ่อค้า ที่มาตั้งเต็นท์ขายของที่ระลึกของคนเสื้อแดง ส่วนใหญ่ คือเสื้อยืด เสื้อแจ็คเก็ตแขนยาว ผ้าพันคอ และผ้าคาดหัว ที่มีรูปของปูเน่า และ ชายดูไบ..นี่อาจเป็นคำเฉลย ว่าทำไมพายุอาเพศ ถึงถล่มอุตรดิตถ์ เพราะภาพปูเน่าไปที่ไหน ที่นั่นเป็นโดนถล่มยับเยิน ขนาดไปเยี่ยม รมต.พีรพันธ์ ป่วยต่อมาไม่กี่ชั่วโมงตายทันทีเลย..คนพาความซวยแท้ๆ

    แกนนำได้ ต้องสั่งทุยแดง ให้ไปขนเก้าอี้พลาสติกสีแดง 5,000 ตัว ที่ถูกลมพัดกระจาย ไปทั่วบริเวณ มาตั้งใหม่ไว้รองรับผู้ที่มาร่วมชุมนุมช่วงเย็น โดยมีชายชุดดำภูธรอุตรดิตถ์ 200 คน มาคอยคอยทำหน้าที่การ์ดรอบๆ บริเวณ รวมถึงมีการตั้งด่านตรวจ ผู้ที่จะมาเข้าร่วมชุมนุมด้วย

    การชุมนุมของเสื้อแดง ที่สนามกีฬาฯ ช่วงเย็นถึงค่ำ เต็มไปด้วยข่าวลือเรื่องอาเพศพระยาพิชัยมากมาย เสื้อแดงที่มาจากจังหวัดอื่น ต่าง “จิตตก” สีหน้าอมทุกข์ วิตกจริต หวาดหวั่นภัยร้ายที่มีมาถึงตนเองและครอบครัว จนคนเสื้อแดงหลายคนทนความกลัวไม่ไหว ขอกลับออกไปก่อน แต่การ์ด นปช. ที่ปิดทางเข้าออกไว้แน่นหนา ไม่ยอมให้ออกไปจากสนามกีฬาฯ ขู่ว่าใครรับเงินไปแล้ว ขืนหนีกลับก่อนเวลา จะถูกอุ้มไปยิงทิ้งในป่าทันที..

    ทำให้เสื้อแดงที่อยู่ในสนามตกอยู่ในสภาพถูกขังคุก คือ เข้าไปได้ แต่ออกไม่ได้ ถ้าออกจะต้องยอมสละถึงชีวิต..ทุกคนจึงกล้ำกลืนฝืนทน ท่ามกลางพายุพิโรธ ลมแรงกรรโชกมาอีกแล้ว เสียงลมพายุดึงหึ่งๆ อื้ออึงไปทั่วบริเวณ เหมือนเสียงคำรามลมหายใจโกรธของพระยาพิชัย ได้เวลาราว 17.00 น. มีมวลชนที่ถูกบังคับมา และจ้างมา ถูกขังอยู่ในสนามกีฬาฯ ประมาณไม่เกิน 1,000 คน แต่ แกนนำอับอายมาก กลัวว่าจะโดนเช็คบิลจากเจ้าของท่อน้ำเลี้ยง เลยแถออกข่าวว่าเสื้อแดงมา 12,000 คน..ฮา..

    ช่วยลือบอกไปถึงชายดูไบ ว่าขาด 12,000 คน ไปแค่ 11,000 คนเอง..ไอ้ที่แดงๆ ที่ทีวีเอเชียอาบแดดถ่ายหนะ มันคือ “เก้าอี้เปล่า” ที่ไม่มีคนนั่ง..เพราะที่เหลือมัน อมแบ่งเงิน รับเงินมา 1,000 บาทต่อหัว จำนวน 15,000 ราย แต่จ่ายจริง 150-200 บาท และจ่ายเพียง 1,000 กว่าคนเท่านั้น เงินที่เหลือแกนนำ อมกันแหลกลาญ เข้ากระเป๋าไปแล้ว..ดังนั้นเจ้าของท่อน้ำเลี้ยงไป “สอย” เอาเงินคืนได้ที่แกนนำ นปช.ได้เลย

    จากนั้นบรรดาแกนนำ คากคกตู่ , นกแสก ฯลฯ และอีกหลายคนต่างผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที เนื้อหาพล่ามถึง การโกหก ให้ร้ายเบื้องสูง , การปกป้องปูเน่า โดยคนเสื้อแดงต้องเดินออกหน้าไปสละชีพ ส่วนแกนนำจะหลบอยู่ในที่ปลอดภัยข้างหลัง และเปลี่ยนแผนการชุมนุมใหญ่ พาเสื้อแดงไปตาย ที่ถนนอักษะ “ ปรับเลื่อนเป็นวันที่ 5 พฤษภาคม “ นั่นเพราะกำนัน จะรวมตัวมวลชน กปปส.ใส่เสื้อสีเหลืองในวันนั้น เพื่อแสดงความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ ถวายพระพรชัยมงคล และตั้งสัตยาธิษฐาน เนื่องในวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม ...

    เรียกได้ว่าคนไทย จะแสดงความจงรักภักดี แต่ฝ่ายขบวนการล้มเจ้าแดง นปช. และบริษัทเผาไทย จะแสดงพลังคนเสื้อแดง ในวันเดียวกัน ไปชุมนุมที่ถนนอักษะ เพื่อปราศรัยโจมตี ให้ร้าย หมิ่น สถาบันเบื้องสูง ว่างั้นเถอะ !!

    ในขณะที่แกนนำกำลังปราศรัย โจมตีหมิ่นเฉี่ยวไป เฉี่ยวมา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอยู่นั้น สิ่งเลวร้ายลางความตายของคนเสื้อแดงก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดพายุโกรธกรรโชก เสียงดังปานสายฟ้าฟาด ดังสนั่นหวั่นไหว เปรี้ยงๆๆ โครม ครืน ลมพัดตัวแกนนำปราศรัยบนเวที จนยืนทรงตัวแทบไม่อยู่ ทรงผมหลุดลุ่ย โดยเฉพาะนกแสก ถึงกลับเห็นหัวล้านหมดทั้งหัวเหมือนไม่มีผมเลยที่เดียว

    และแล้วสิ่งที่พระยาพิชัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ เตือนมาก่อนหลายวัน แต่ไม่มีใครฟังก็เกิดผล เมื่อมีพายุลูกหนึ่ง พัดจงใจเข้าใส่มวลชนเสื้อแดง ลักษณะเป็นมวลใหญ่เหมือนกำปั้นพระยาพิชัย ชกดัง “ โครม “ เข้ากระแทกใส่โคมไฟในสนามกีฬาฯ จนหล่นแตกกระจาย ฟาดหัวคนเสื้อแดงจนบาดเจ็บกันจำนวนมาก ที่หนักๆ คือ หัวแตกเลือดอาบโชก 1 คน บาดเจ็บเลือดสาด 3 คน และบาดเจ็บเล็กๆ น้อยอีกระนาว ร้องโหยหวนกันระงม วิ่งกันกระเจิดกระเจิง หงายเงิบ หน้าเหวอ !!

    ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีเขื่อนเก็บกักน้ำ คือ เขื่อนสิริกิติ์ ด้วยที่ให้ประโยชน์กับคนอุตรดิตถ์ และจังหวัดที่อยู่ใต้น้ำหลายล้านคน

    ผลกรรมของคนเสื้อแดงตอนนี้ ที่ไปสนับสนุนขบวนการล้มเจ้า ต่างลำบากยากจนอย่างหนัก ถ้าไม่เชื่อให้คนเสื้อแดง ไปดูที่ โรงรับจำนำ อ.เมือง จ.อุดรธานี เพราะมีทรัพยฺ์สินชิ้นสุดท้ายของชาวนาที่ยากจน คือ “เครื่องยนต์รถไถนา “ ต่างเอาไปจำนำกันมากมายมหาศาล เพื่อเอาเงินไปใช้รับเปิดเทอม

    ใครที่กล้าไปร่วมชุมนุมกับเสื้อแดง ก็ต้องรับภัยร้ายล่วงหน้า บาดเจ็บ เสียหาย ถูกการ์ดอุ้มฆ่า ไปก่อน ไม่ต้องแย่งกันนะ เดี๋ยวคนเสื้อแดงที่เหลือ ที่ไปร่วมชุมนุมคิวต่อไปที่สุพรรณ และที่ถนนอักษะ กรุงเทพฯ จะตามไปติดๆ โดยเอาร่างกายไปรับบอมบ์ จากฝีมือแกนนำ “แดงฆ่าแดง”.. จนแหลกเละ ชิ้นส่วนร่างกายกระจายขึ้นไปติดตามต้นไม้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั้งถนนอักษะ..เพื่อสร้างสถานการณ์แห่ศพ !!

    ทุกคนเขาเตือนเสื้อแดงกันทั้งเมือง ถ้าไม่ฟัง ดื้อไปร่วมชุมนุม ก็ถือเป็นกรรม ที่ดันไปสนับสนุนขบวนการล้มเจ้า เห็นไปตายดีสักคน !!

    ที่มา แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน https//www.facebook.com/topsecretthai




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (ดูเรื่องเก่าย้อนหลังทุกตอนที่ https://www.facebook.com/topsecretthai/photos_albums)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2014
  18. pornch

    pornch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2013
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +159
    นี่เว็บธรรมมะควรตรวจสอบด้วยครับปล่อยมีกระทู้หลอกลวงอีกหรือ
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
  20. chang938

    chang938 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +451
    ......โปรดฟังอีกครั้ง!!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...