ข้อความจากต่างมิติ - ข้อมูลเกี่ยวกับมิติต่างๆ และ โลกคู่ขนาน-มิติคู่ขนาน และอื่นๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 29 เมษายน 2013.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    พอดีอ่านข้อความเกี่ยวกับ "การผสานรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของเรา"
    มาจนถึงจุดหนึ่ง ที่พูดถึงการเปิดจักระต่างๆเข้า
    ก็เลยว่าจะเอาไปลงในกระทู้โน้นซะหน่อยหนึ่ง

    แต่ว่ามันมีข้อมูลพื้นฐานที่อยากจะให้รู้และเข้าใจก่อน
    ซึ่งมันเกี่ยวโยงถึงข้อมูลที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในกระทู้นี้พอดี
    ก็เลยว่าจะเอามาลงไว้ในกระทู้นี้ก่อนหนะนะครับ

    จากนั้น ผมถึงจะเอาเนื้อหาต่อไป ของเรื่องนี้ ไปลงไว้ในกระทู้นั้นหนะครับ

    .........................................
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ประตูแห่งร่างกายเนื้อ (The Physical Body Door)

    ที่มา:
    Unconscious - The First Red Door


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ประตูบานแรกมีชื่อว่า “ร่างกายเนื้อ” เมื่อเราไปเคาะที่ประตู ก็จะมีข้อความแสดงออกมาว่า:

    ร่างกายเนื้อ จะแสดงอารมณ์ต่างๆที่จิตใจแอบซ่อนไว้ออกมา ความทรงจำที่ถูกลืม เกี่ยวกับความกลัว,
    ความละอาย, ความโศกเศร้า, และความโกรธ จะบอกให้ร่างกายเนื้อของเราทราบว่า
    มันมีอะไรมาคุกคามแล้ว และบอกว่ามันมีอะไรบางอย่าง หรือบางสถานที่ ที่น่ากลัวอยู่

    ข้อความที่เตือนว่ากำลังมีอันตรายใกล้เข้ามาแล้ว และที่ถูกส่งมาโดยตลอดเหล่านี้
    ทำให้เราวิตกกังวลและทำให้เราไม่สบายกายไม่สบายใจขึ้น และทำให้ร่างกายเนื้อของเรา
    อยู่ในโหมด “สู้/หนี” จนบางครั้งศึกที่มองไม่เห็นนี้ ก็มากเกินไปสำหรับเรา
    และทำให้เราเครียด

    ซึ่งในความเครียดของเรานี้ เราก็จะพยายามปิดกั้นตัวเราเองจากสิ่งกระตุ้นภายนอก
    แต่เพราะว่าความเจ็บปวดมันมาจากข้างใน ดังนั้น เราจึงไม่สามารถที่จะวิ่งหนีจากตัวเองได้

    ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา ก็จะเครียดไปด้วย จากการที่ถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง
    ยาวนานอยู่ตลอดเวลา และสุขภาพร่างกายของเราก็จะย่ำแย่ลง เราจะรู้สึกเหมือนเป็นสัตว์
    ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่โชคร้ายที่เราถูกครอบงำด้วยความกลัวมากจนเกินไป
    จนทำให้เราแทบจะตัดขาดจากสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดของเรา ที่มีมาแต่กำเนิดไปเสียสิ้น
    จนทำให้ชีวิตของเรากลายเป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ตลอดเวลา และโดยลำพัง
    เพื่อให้ผ่านพ้นแต่ละวันไปให้ได้ และพลังทางเพศของเรา ถ้าเรายังมีเหลืออยู่
    ก็จะกลายเป็นเพียงแรงกระตุ้นที่เห็นแก่ตัว หรือไม่ก็เป็นความต้องการที่มากจนเกินไป

    ร่างกายเนื้อของเราจะแสดงอารมณ์ต่างๆ
    ที่จิตใจของเราแอบซ่อนเอาไว้ออกมา

    ประตูที่ชื่อว่าร่างกายเนื้อนี้ คือส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 และ 2 ของเราเอง
    ซึ่งได้แก่ร่างกายเนื้อแห่งความเป็นสัตว์ของเรา (our physical animal body),
    และเซลทุกเซล, แร่ธาตุต่างๆ, และโปรแกรมด้านพันธุกรรมที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายเนื้อนี้

    มิติที่ 1 และ 2 จะมีระดับความสั่นสะเทือนต่ำกว่ามิติที่ 3 ของเรา
    และเพราะฉะนั้น พวกมันจึงเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่ “ไร้สำนึก” ของพวกเรา


    ประตูบานนี้ ยังเป็นประตูแห่งระนาบย่อยของมิติที่ 4 ของเราระนาบหนึ่งด้วย
    ที่ชื่อว่า “โลกทิพย์ชั้นล่าง” เพราะว่าส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 และ 2 ของเรานี้
    ก็คือส่วนที่เป็นพื้นฐานที่สุด และแรกเริ่มที่สุดของเรานั่นเอง

    มิติที่ 1 และ 2 คือส่วนของเราที่ไม่มีความตระหนักรู้ถึงตัวตนของตัวเอง
    และด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่มีความตระหนักรู้ถึงปัญหาที่เกี่ยวข้อง อันเนื่องมาจากการกระทำของเราเองเลย

    และเมื่อเราไม่ตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อผู้อื่น เราจึงอนุญาตให้ตัวเราเอง
    กระทำสิ่งต่างๆด้วยความเห็นแก่ตัว และด้วยความเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแต่เพียงอย่างเดียวได้
    ซึ่งการกระทำเหล่านี้ ก็จะมีระดับความสั่นสะเทือนสอดคล้องกับระดับการสั่นสะเทือน
    ของโลกทิพย์ชั้นล่าง (the lower astral plane) แล้วพวกมันก็จะย้อนกลับมาสู่
    “จิตสำนึก” ของเราในรูปแบบของความกลัว และ ฝันร้ายต่อไป

    เมื่อใดที่เรามีสติรับรู้ถึงข้อความจากร่างกายเนื้อของเราเองแล้ว ร่างกายเนื้อของเรา
    ก็จะสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อกลับบ้านเก่า ไปสู่ระดับความสั่นสะเทือนที่แท้จริงของเราได้

    ซึ่งการเตรียมความพร้อมที่ว่านี้ ก็จะรวมถึง
    การยอมรับ และ การปลดปล่อย พลังงานด้านมืดเก่าๆ
    ที่สะสมอยู่ในร่างกายต่างๆของเราออกไป

    ซึ่งส่วนมากแล้ว พวกมันก็จะถูกสะสมมาตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นเด็กโน่นแหละ


    ร่างกายเนื้อ (The Physical Earth Vessel)

    เมื่อใดที่เราท่องเที่ยวไปใน “จิตไร้สำนึก”
    ที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สึดของเราแล้ว
    และได้เข้าไปสัมผัสรู้ถึงความมืดมิดของตัวเราเองแล้ว
    เราก็จะสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแสงสว่างได้

    แต่ว่า กระบวนการในการเปลี่ยนความมืดมิด
    ให้กลายเป็นแสงสว่างนี้ จะต้องใช้การ
    “พินิจพิเคราะห์ดูภายในตัวเราเอง”
    หรือ “วิปัสสนาดูภายในตัวเราเอง”
    และจะต้องเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนกับตัวเราเอง
    และเป็นเพื่อนกับตัวตนหลากมิติของตัวเราเองให้ได้ซะก่อนด้วย

    ซึ่งก็เหมือนกับสัมพันธภาพอื่นๆทั่วๆไปนั่นแหละ
    ที่มักจะต้องเริ่มต้นด้วยการ “ติดต่อสื่อสาร” กันซะก่อน
    และวิธีการติดต่อสื่อสารที่ดีก็จะต้องเริ่มต้นด้วย “การรับฟัง”

    แล้วพวกเราจะเรียนรู้ที่จะรับฟังตัวเราเองได้อย่างไรหละ?

    พวกเราส่วนมากไม่ค่อยได้รับฟัง ความคิด และ ความรู้สึกของจิตสำนึกของตัวเองเท่าไหร่นัก
    ดังนั้น ความคิดที่แผ่วเบาทั้งหลาย และอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกสกัดกั้นไว้ทั้งหลาย
    จึงกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเราไปอย่างสิ้นเชิง

    แต่โชคยังดีที่ ร่างกายเนื้อของเราสามารถช่วยเราได้
    เพราะว่าร่างกายเนื้อของเรา ก็คือ ยานพาหนะที่เราใช้บนโลกใบนี้
    และก็คือยานพาหนะที่จิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นผู้มาเยือนโลก
    ใช้เพื่อสถิตย์อยู่ข้างในด้วย

    ยานพาหนะของเราอันนี้ ประกอบขึ้นมาจากธาตุต่างๆ
    ที่เป็นธาตุชนิดเดียวกันกับธาตุที่เป็นองค์ประกอบของดาวเคราะห์ที่พวกเรากำลังอาศัยอยู่นี้
    และยานพาหนะลำนี้ ก็เป็นยานชีวภาพซะด้วย ซึ่งกลไกการบังคับ และการควบคุมทั้งหมดของมัน
    ได้ถูกเชื่อมต่อเอาไว้กับจิตสำนึกของเราแล้ว โดยอาศัยระบบประสาทของเราเอง

    พวกเราได้เคยมาเยือนดาวเคราะห์โลก
    ที่อยู่ในมิติที่ 3 และ 4 นี้ หลายต่อหลายครั้งแล้ว
    และความทรงจำต่างๆ ที่ได้จากการผจญภัยเหล่านี้
    รวมถึงกลไกในการบังคับและควบคุมต่างๆ
    ก็ได้ถูกเก็บรักษาเอาไว้ใน hard drive นี้แล้ว
    (ใน DNA ของเรา – ผู้แปล)

    ซึ่ง hard drive ที่ว่านี้ ก็คือส่วนที่เป็นธาตุต่างๆ
    ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 และ 2 ของร่างกายเนื้อของเราเอง
    และส่วนของเราที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้
    ก็คือกายทิพย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของเราเอง

    ดังนั้น ถ้าเราสามารถเรียนรู้ที่จะติดต่อสื่อสาร
    อย่างมีสติสัมปชัญญะกับกายทิพย์ของเราเองได้
    เราก็จะสามารถดาวน์โหลดเอาข้อมูลเหล่านั้น
    เข้ามาในสมองส่วนที่อยู่ในมิติที่ 3 ของเราได้

    เมื่อใดที่เราพร้อมที่จะกลับบ้าน เพื่อกลับไปสู่ “ต้นกำเนิด” (the Source) ของเราเองแล้ว
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่เรายังต้องการที่จะรักษาการเชื่อมต่อกับร่างกายเนื้อของเราเองเอาไว้อยู่
    เราก็จะต้องเข้าไปในข้อมูลที่ถูกเก็บเอาไว้ใน hard drive เหล่านี้
    ซึ่งเราจะต้องค้นหาวิธีการที่จะต่อประสานกับยานพาหนะของเรา (ร่างกายเนื้อ),
    กับผู้ขับขี่ยานลำนั้น (ego ของเรา) และกับผู้มีอำนาจที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า
    ที่สามารถติดต่อสื่อสารข้ามคลื่นความถี่ต่างๆได้ทั้งหมด (จิตวิญญาณของเรา) ให้ได้

    และเมื่อการต่อประสานสัมฤทธิ์ผลลงแล้ว จิตวิญญาณของเราก็จะสามารถมาอยู่ในร่างกายเนื้อของเราได้
    และก็จะสามารถมาทำหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ยานพาหนะลำนี้ได้ เพื่อนำพาเรากลับบ้าน

    ซึ่งการที่จะทำให้การเดินทางในครั้งนี้สัมฤทธิ์ผลได้
    จิตวิญญาณของเรา ก็จะต้องสามารถฝังตัวอยู่ในร่างกายเนื้อของเรา
    และสามารถผสานรวมเข้ากับร่างกายเนื้อของเราให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ


    และเพราะว่าจิตวิญญาณของเราคือสิ่งที่เป็นหลากมิติ
    ดังนั้น มันจึงสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลทุกๆอย่าง
    ที่รับเข้ามา และ ที่ถูกเก็บรักษาไว้
    ในส่วนของ “จิตไร้สำนึก” ของเราได้
    ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1, 2 หรือ 4 ก็ตาม

    ดังนั้น จิตวิญญาณของเราจึงสามารถดาวน์โหลดเอาข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น
    เข้ามาสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้” ที่อยู่ในมิติที่ 3 ของเราได้


    แต่อย่างไรก็ตาม อันดับแรก ผู้ขับขี่ยานพาหนะลำนั้น (ego ของเรา)
    ก็จะต้องยินยอมให้จิตวิญญาณของเรา สามารถควบคุมร่างกายเนื้อของเรา
    ได้อย่างสมบูรณ์แบบซะก่อนเท่านั้น เพราะว่าจิตสำนึกที่อยู่ในมิติที่ 3
    ซึ่งมีข้อจำกัดของเราอันนี้ ไม่มีความสามารถที่จะรับรู้ข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาล
    ที่จำเป็นต่อการไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของเราได้ เพราะว่าทุกๆมิติที่อยู่ต่ำกว่ามิติที่ 5 ลงมา
    ถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้มีการแบ่งแยก, มีข้อจำกัด และมีความเป็นขั้ว

    ดังนั้น จึงมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้สามารถขับขี่ยานพาหนะของเรา
    เข้าไปสู่ “ความเป็นหนึ่งเดียว” อันไร้ขีดจำกัดของมิติที่ 5 ได้อย่างมีสติสัมปชัญญะ
    ก็คือ การยินยอมให้จิตวิญญาณของเราเอง เข้าไปสู่ร่างกายเนื้อของเรา
    และไปทำหน้าที่กัปตันของยานพาหนะลำนี้แทนเสีย

    ส่วน ego ของเรา มันจะรู้จักเส้นทางที่จะกลับบ้านได้ เพียงเส้นเดียวเท่านั้น
    นั่นก็คือ “ความตาย” ซึ่งความตายก็คือรูปแบบหนึ่งของการแบ่งแยกด้วย
    เช่นเดียวกับการเกิด

    เมื่อตอนที่เราเกิด จิตวิญญาณของเรา จะยินยอมให้ส่วนหนึ่งของมัน
    ผ่านเข้ามาในคลื่นความถี่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกรองชนิดหนึ่ง ที่ห่อหุ้มกาแล็กซี่ของเราอยู่
    เพื่อเข้ามาในมิติที่ 3 นี้ ซึ่งคลื่นความถี่ที่เป็นตัวกรองดังกล่าวนี้ จะยินยอมให้เฉพาะ
    โมเลกุลของมิติที่ 1,2,3 และ 4 เท่านั้นผ่านเข้ามาได้ และส่วนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของเรานี้
    ก็จะต่อประสานอยู่กับส่วนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของเรา โดยผ่านทางจิตวิญญาณของเรา
    และมันก็จะต่อประสานอยู่กับมิติที่ 3 โดยผ่านทาง “กายแห่งพลังชีวิต” (etheric body) ของเราด้วย

    .................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Subtle-body.gif
      Subtle-body.gif
      ขนาดไฟล์:
      76.1 KB
      เปิดดู:
      1,281
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    กายแห่งพลังชีวิต (The Etheric Body)

    ที่มา: Unconscious - The First Red Door


    กายแห่งพลังชีวิตนี้ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งในนามของ “etheric double”
    คือยานพาหนะ ที่กระแสพลังชีวิต ที่หล่อเลี้ยงร่างกายเนื้อให้มีชีวิตอยู่
    ใช้เพื่อไหลผ่านเข้ามาสู่ร่างกายเนื้อ

    กายแห่งพลังชีวิตนี้ ทำหน้าที่ต่อประสาน
    อยู่ระหว่างร่างกายเนื้อและกายทิพย์ของเรา
    แล้วจากนั้น กายทิพย์ที่อยู่ในมิติที่ 4 ของเรา
    ก็จะสามารถบูรณาการรวมเข้ากับ
    “กายแห่งแสงสว่าง” (lightbody) ของเรา
    ซึ่งอยู่ในมิติที่ 5 ได้ต่อไป

    Etheric body นี้ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็น
    ของ “ความคิด” และ “ความรู้สึก” ที่มาจากโลกทิพย์ ไปสู่โลกทางกายภาพ
    ที่หนาแน่นทึบตันกว่า และที่สามารถมองเห็นได้

    ซึ่งถ้ามองด้วยตาทิพย์แล้ว etheric double นี้
    ก็จะมีลักษณะคล้ายหมอกควันจางๆสีม่วง-เทา
    ที่เปล่งแสงได้ และที่แทรกซึมอยู่ในร่างกายเนื้อ
    และแผ่ขยายออกมาจากร่างกายเนื้อเล็กน้อย ราวๆ ¼ นิ้ว

    Etheric double นี้ ไม่ได้แยกออกมาจากร่างกายเนื้อของเรา
    และมันก็ไม่มีจิตสำนึก/ความตระหนักรู้เป็นของตัวมันเองด้วย


    etheric body นี้ จะทำหน้าที่ รับและส่งต่อ “พลังชีวิต”
    ที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ ให้เข้าไปในร่างกายเนื้อของเรา
    โดยส่งผ่านเข้าไปทางระบบจักระของเรา

    และทุกๆอนุภาคที่อยู่ในร่างกายนี้ของเรา ไม่ว่าจะเป็นของเหลว,
    ของแข็ง หรือแกสก็ตาม ล้วนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังชีวิตทั้งสิ้น


    และก็เหมือนกับร่างกายเนื้อ..
    etheric body ก็มีการแก่, มีการเสื่อมสภาพ,
    มีการตาย และมีการปลดปล่อยจิตวิญญาณออกไปด้วยเช่นกัน

    Etheric body นี้ มีหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่าง
    อย่างแรกคือ การดูดซับเอาพลัง “ปราณ”
    (prana หรือ ที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า พลังชี่ หรือ chi) เข้ามา
    และส่งต่อไปให้ร่างกายเนื้อ

    ส่วนหน้าที่อย่างที่สองก็คือ
    การเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างร่างกายเนื้อกับกายทิพย์ของเรา

    “ปราณ” เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายความว่า “หายใจ”
    ซึ่งในทางศาสตร์ลึกลับแล้ว มันมีพลังอยู่ 3 ชนิด
    ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์
    ซึ่งได้แก่
    - พลังงานไฟฟ้า,
    - พลังปราณ และ
    - พลังกุณฑลิณี หรือ พลังงูไฟ นั่นเอง

    พลังทั้งสามชนิดนี้ มีการแยกกันอยู่คนละส่วน
    และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังอีกชนิดหนึ่งได้


    การนำเอาพลังงานไฟฟ้ามาใช้นั้น เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ในโลกตะวันตกของเรา
    แต่ว่า..จะมีเพียงแต่ ผู้ที่คุ้นเคยกับศาสตร์ลี้ลับ และการแพทย์แผนตะวันออกเท่านั้น
    ถึงจะรู้จักพลังปราณ และ พลังกุณฑลิณีได้

    .................................................

    พลังปราณ (Prana)

    พลังปราณ เมื่อแผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์แล้วนั้น ก็จะเข้าสู่อะตอมของวัตถุธาตุทางกายภาพ
    ที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกก่อน และพลังปราณนี้ก็จะแปรผันตรงตามดวงอาทิตย์ด้วย
    ดังนั้น ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดเจิดจ้า ก็จะมีพลังปราณอยู่ในชั้นบรรยากาศมากกว่า
    แต่ในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก และในเวลากลางคืน ก็จะมีพลังปราณน้อยกว่า

    พลังปราณ คือพลังงานที่ต่อประสาน
    อยู่ระหว่างมิติที่ 3 และมิติที่ 4

    พลังปราณ จะก่อรูปขึ้นเป็นก้อนกลมๆแห่งพลังชีวิต
    และจะทำให้อะตอมของวัตถุธาตุทางกายภาพเรืองแสงขึ้น
    เมื่อเข้าไปอยู่ในก้อนกลมดังกล่าวนี้

    ผลรวมระหว่างอารมณ์ความรู้สึกที่สมดุล กับ ความคิดที่แจ่มชัด
    จะทำให้ร่างกายเนื้อ เกิดปฏิกิริยาขึ้น
    ซึ่งจะทำให้มันถูกกระตุ้นให้ดูดซับพลังปราณได้มากขึ้น
    ดังนั้น พลังปราณจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ
    “พลังชีวิต” และ “ลมปราณแห่งชีวิต”
    ของอวัยวะต่างๆอีกด้วย

    พลังปราณ จะทำให้กายทิพย์ของเรา สามารถติดต่อสื่อสารกับร่างกายเนื้อของเราได้
    โดยอาศัย etheric double หรือ etheric sheath

    ซึ่งโดยผ่านทาง etheric sheath นี้ พลังปราณ ก็จะวิ่งไปตามเส้นประสาทของร่างกายเนื้อของเรา
    แล้วไปขยายการรับรู้ของมันขึ้น โดยการเชื่อมต่อโลกทิพย์ที่อยู่ในมิติที่ 4
    ให้เข้ากับโลกทางกายภาพที่อยู่ในมิติที่ 3

    พลังปราณจะไหลเข้าสู่ etheric body
    และจะเข้าสู่ร่างกายเนื้อในท้ายที่สุด โดยผ่านทางระบบจักระ

    .......................
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ต่อไปนี้เป็นเรื่องของ "จักระ" นะครับ
    ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านคงคุ้นเคยกันดีแล้ว

    แต่ช้าก่อน..ข้อมูลชุดนี้อาจจะไม่เหมือนกับ
    ข้อมูลชุดอื่นๆที่ท่านเคยรู้มาก็ได้นะครับ

    เพราะฉะนั้น..ลองตั้งใจอ่านดูก่อนนะครับ

    ............................................
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จักระ (The Chakras)

    ที่มา: Unconscious - The First Red Door

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอ์เน็ต)


    “จักระ” คือเกลียวหมุนวนขนาดเล็กของพลังงาน
    ที่อยู่บนพื้นผิวของ “กายแห่งพลังชีวิต” (etheric body)
    หน้าที่หลัก 2 อย่างของพวกมันก็คือ


    1). ดูดซับ และ แผ่กระจายพลังปราณ จากดวงอาทิตย์ เข้าสู่ etheric body
    และ เข้าสู่ร่างกายเนื้อของเรา

    2). เชื่อมต่อโลกทิพย์ที่อยู่ในมิติที่ 4 และจิตสำนึกที่อยู่ในโลกทางกายภาพของเราให้เข้าด้วยกัน

    พลังปราณจะไหลเข้ามาในจุดศูนย์กลางของแต่ละจักระ โดยหมุนวนขวา


    “จักระ” จะมีลักษณะเหมือนกับล้อรถจักรยาน ที่มีจำนวนซี่ล้อมากน้อยแตกต่างกันไป
    ขึ้นอยู่กับแต่ละจักระ ซึ่งเมื่อใดที่พลังปราณไหลเข้ามาสู่จุดศูนย์กลางของจักระนั้นๆแล้ว
    มันก็จะก่อให้เกิดแรงอย่างที่สองเกิดขึ้น ซึ่งแรงอย่างที่สองที่ว่านี้ ก็จะเคลื่อนที่ไปรอบๆจักระอย่างรวดเร็ว
    ด้วยความยาวคลื่นที่จำเพาะเจาะจงของมัน และก็จะไปทำให้เกิดระรอกคลื่นขึ้น
    ซึ่งจะไปจับกับซี่ล้อทั้งหลายเอาไว้ จนทำให้จักระเกิดการหมุนวนตามไปด้วย

    ซึ่งยิ่งจักระใดสามารถดูซับเอาพลังปราณเข้าไปได้มากเท่าไหร่
    จักระนั้น ก็จะยิ่งหมุนได้เร็วขึ้นเท่านั้นด้วย
    และก็จะส่งผลให้โลกทางกายภาพ
    สามารถเชื่อมต่อกับโลกทิพย์ได้มากเท่านั้นด้วย


    การมีสติรับรู้ถึงการไหลเข้ามาของพลังปราณ
    จะทำให้มีพลังปราณไหลเข้ามาในร่างกายเนื้อของเราได้มากขึ้น


    ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่า
    ที่ไม่มีความตระหนักรู้ถึงตัวตนของตัวเองนั้น
    จึงมีพลังปราณไหลเข้าไปในกายของมันน้อยกว่า


    เมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ มีความตระหนักรู้ถึงตัวตนของตัวเอง
    และมีความตระหนักรู้ถึงสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเองมากขึ้นแล้ว
    พวกมันก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า
    พวกมันอยากจะมีประสบการณ์กับโลกทิพย์มากขึ้นด้วยหรือไม่

    ซึ่งความพยายามที่จะมีประสบการณ์กับโลกทิพย์นี้
    ก็จะไปทำให้เกิดแรงกระตุ้นขึ้นภายในกายทิพย์
    เพื่อให้มันเปิดเกลียวหมุนวนของพลังงานขึ้นมา
    ซึ่งก็คือเปิดจักระใดจักระหนึ่ง หรือหลายจักระขึ้นมานั่นเอง

    ซึ่งบริเวณที่จักระถูกเปิดนี้ ก็จะเป็นบริเวณที่โลกทิพย์
    สามารถรับรู้ถึงโลกทางกายภาพได้
    และ โลกทางกายภาพ ก็จะสามารถรับรู้ถึงโลกทิพย์ได้ด้วย

    และด้วยเหตุนี้ สัมพันธภาพในด้านใดด้านหนึ่ง
    หรือหลายด้านของชีวิตของเรา
    จึงเกิดขึ้นระหว่างตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 และ 4 ของเราเอง

    ด้วยการไหลเข้ามาของพลังปราณนี้ ร่างกายเนื้อของเรา
    ก็จะสามารถมีประสบการณ์กับมิติที่ 4 ได้มากขึ้น
    ส่วนกายทิพย์ของเรา ก็จะสามารถมีประสบการณ์กับ
    โลกทางกายภาพได้มากขึ้นด้วย


    และเมื่อใดที่พลังกุณฑลิณี
    หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่าพลังงูไฟนั้น
    สามารถบูรณาการเข้ากับพลังปราณได้แล้ว
    จักระทั้งหลายก็จะมีชีวิตชีวามากขึ้น
    และการรับรู้ถึงมิติที่อยู่สูงกว่า
    ก็จะค่อยๆเป็นไปอย่างมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นด้วย

    พลังกุณฑลิณี จะแผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์
    และจะไปสะสมอยู่ในแกนกลางของดาวเคราะห์โลก
    รวมถึงจะไปเก็บอยู่ใน
    ส่วนฐานของกระดูกสันหลังของพวกเราเองด้วย


    พลังกุณฑลิณี คือแรงพลังที่เรียกให้พวกเรากลับบ้าน
    และคือแรงพลังที่จะสามารถเปลี่ยนร่างกายเนื้อของเรา
    ให้กลายไปเป็นยานพาหนะ
    ที่จะสามารถทำให้การเดินทางกลับบ้านดังกล่าวนั้น
    มีความเป็นไปได้ด้วย

    ...................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chakra.jpg
      chakra.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65 KB
      เปิดดู:
      1,155
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มีกระทู้ใหม่มาให้อ่านหนะครับ
    เรื่องเกี่ยวกับ นรก - สวรรค์ ครับ
    ซึ่งอันที่จริง ก็คือเรื่องของมิติที่ 4 นั่นแหละ
    ซึ่งเป็นเนื้อหาส่วนที่ต่อเนื่อง
    จากเนื้อหาของกระทู้นี้พอดีหนะครับ


    "ข้อความจากต่างมิติ-หรือว่านี่จะคือนรกและสวรรค์ตามความเชื่อของบางศาสนานะ"

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...นรกและสวรรค์ตามความเชื่อของบางศาสนานะ.502598/

    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตดันกระทู้หน่อยนะครับ

    ....................................
     
  8. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    ข้อความเรื่องUnderstanding 5D นี้
    ได้โพสท์ในกระทู้ "ก้าวกระโดด" ไปแล้ว...
    แต่กำลังเมียงมองที่จะแปลเรื่อง มิติที่ 5 อยู่...
    เลยคิดว่าน่าจะจับมาอยู่ในหมวดหมู่ของกระทู้นี้...
    จะได้ลื่นไหลไปในเรื่องเดียวกัน...(หากได้แปล)
     
  9. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    [​IMG]

    Understanding 5D | The Galactic Free Press
    Submitted by will on Sun, 03/16/2014 - 10:08

    Understanding 5D
    ผู้แปล: อจิตตะ


    ก่อนอื่นฉันจะขออธิบาย ในเรื่องที่ ไม่ควรทำเกี่ยวกับ 5D…สักหน่อยนะ
    … 5D ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเข้าใจได้โดยผ่านการศึกษาหาความรู้
    หรือผ่านทางกายภาพด้วยระบบประสาทสัมผัสของ รูป รส กลิ่น เสียง หรือ การมองเห็น
    ดังนั้น…นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่แม้แต่จะเริ่มต้นทำความเข้าใจใน 5D…ก็ยากแล้ว

    มนุษย์มีทัศนวิสัยในการมองเห็น
    ที่สามารถใช้งานได้ดีในขอบเขตทางกายภาพ ,
    แต่มันกลับกลายเป็นเครื่องกีดขวางสำหรับ 5D ไปซะนี่
    เพราะไม่ว่ากระบวนการจินตนาการของคุณจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใด
    แต่จะไม่เกิดผลอะไรเลยกับความพยายามที่จะใช้การจินตนาการกับ 5D

    เพราะ5D ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยจิตใจที่ยังคงอยู่ในสภาวะคับแคบ
    และถึงแม้ว่า 5D จะรับรู้ได้โดยผ่านสติ สัมปชัญญะด้วยก็เถอะ
    แต่จิตใจที่คับแคบคือจิตที่ถูกจำกัดให้อยู่แค่ 4D เท่านั้น
    เพราะนั่นคือคุณลักษณะของตัว 4D เอง...
    และมันก็ไม่สามารถจะไปไกลเกินกว่านั้นได้

    ทั้ง 5D ก็ไม่สามารถเก็บไว้ในความทรงจำได้
    เนื่องด้วยความทรงจำที่มีต่อประสบการณ์นั้น
    ก็ยังเป็นคงเป็นผลงานของ 4D อยู่นั่นเอง...
    ซึ่งในการเชื่อมโยงกับ 5D นั้น
    จะต้องเป็นความรู้สึกที่แท้จริงกับการอยู่กับ”ปัจจุบันขณะ”
    ซึ่งความรู้สึกนั้นก็จะส่งผลถึงกล่องเก็บความทรงจำเบาบางมากๆ…

    มีผู้สื่อข้อความ (Channelers) หลายคน(ส่วนหนึ่งคือ 4D)
    ที่สับสนกับดินแดนสวรรค์ ( 5D )
    คล้ายกับว่าดวงดาวที่สื่อผ่านเขาเหล่านั้น
    ได้สร้าง”สวรรค์”ให้เป็นอาณาจักรและเป็นศาสนา
    เพื่อตอบสนองให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้
    หรือสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นเพื่อให้เหมือนที่ Akashic records ได้บันทึกไว้
    (Akashic records คือ บันทึกเก่าแก่ที่กล่าวถึงความลึกลับของ มนุษย์ พระเจ้า สวรรค์ ฯ=ผู้แปล)

    ซึ่งถ้ามันยังมีเรื่องของดินแดน หรือ ตัวตนที่ยังมิได้ถูกจัดการออกไป
    และยังมีจิตที่ติดสุขอยู่ละก็...นั่นต้องไม่ใช่ 5D อย่างแน่นอน…


    แล้วถ้างั้น 5D คืออะไร?...
    5D ไม่ใช่ทั้ง “อะไร” หรือ “ที่ไหน”
    5D ไม่ใช่สิ่งของ… และฉันก็ไม่แนะนำให้มอง 5D เป็นแบบนั้นด้วยนะ…
    5D อยู่เหนือกาลเวลาและความว่าง…
    ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจ
    สำหรับมนุษย์ ผู้ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ต่อสรรพสิ่ง
    โดยมีข้อกำหนดในเรื่องของเวลาและความว่าง

    ฉันได้พยายามที่จะอธิบายเรื่อง 5D ที่เกี่ยวกับเวลาและความว่างนี้
    (และ ในเรื่องของความเป็นคู่ )ด้วยการใช้คำพูดธรรมดา ๆ ที่สุด…
    ดังนั้น…ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ…
    หากจะมีการเข้าใจผิดพลาดไปบ้าง
    กับความพยายามของฉันที่จะอธิบายในเรื่อง 5D …
    ยังไง ๆ ก็ระมัดระวังและพิจารณากันให้ดีด้วยละกัน...
    ก็อย่าเถรตรงเกินไปนักกับสิ่งที่ฉันพูด...

    ...เราได้พูดถึง”ความรัก” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ
    แต่ดูเหมือนมันยังไม่มากพอและยังให้เหตุผลไม่เพียงพอ
    ที่จะทำให้ใครหลายยอมรับได้ว่า
    เรื่องนอกเหตุเหนือผล เช่นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข(Unconditional Love)
    จะเป็น “ความรัก" ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ 5D ได้...
    “ความรักที่แท้จริงนั้นมันลุ่มลึกนัก” (True Love is a deep)
    และจุดเริ่มต้นของการที่จะเข้าใจใน 5D ได้ก็คือ
    “ต้องเชื่อมโยงจิตทุกดวงที่อยู่ภายในให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว”...เท่านั้น
    หรือที่พูดกันมากในเรื่องความแตกต่างของคำว่า...
    ”เป็นอยู่”กับ”ทำอยู่” (Being and Doing)
    ซึ่ง 5D คือ “เป็นอยู่” (Being)…เท่านั้น...

    5D ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยจิตใจ
    แต่จะรับรู้ได้โดยผ่านจิตวิญญาณ
    และใช้ความคิดน้อยที่สุดและรับรู้ (รู้สึก) ได้มากที่สุด
    ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่จิตสงบ… คุณจึงจะสัมผัสถึง 5D ได้
    เพราะ5D ไม่ได้แยกจากคุณเลย
    และมันก็ไม่ได้เป็นบางสิ่งที่สมบูรณ์
    หรือเป็นมิติที่แตกต่างกันเกินกว่าที่คุณจะสมควรได้รับ...
    5D …แทรกอยู่ในธรรมชาติของความตระหนักรู้ในหลากหลายมิติของคุณอยู่แล้ว
    และ5D ก็ได้เชื่อมโยงผ่านจิตวิญญาณสู่ก้นบึ้งภายในตัวคุณอยู่แล้วด้วย…
    ซึ่งนั่นก็เท่ากับคุณสามารถนำเสถียรภาพและความสุขสงบที่ 5D มีให้…
    ไปใช้ในทุกแง่มุมของชีวิตคุณได้ทันที...


    The Galactic Free Press...
    No copyright, share/edit freely


    ***ความเห็นของผู้แปล...
    5D ของผู้พูดนั้นอยู่เหนือกาลเวลา เหนือความเป็นคู่ เหนือคำว่ามีและไม่มี...
    ส่วนคำว่า “Being & Doing”
    ใจจริงอยากใช้คำว่า “มันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น”กับ
    “มันทำอยู่ของมันอย่างนั้น” แต่ดูยาวไป...
    จึงจำกัดคำไว้แค่นั้นดูจะดีกว่า...
     
  10. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    [​IMG]
    Photo from internet:

    ที่ผ่าน ๆ มาจะพบว่า ในการให้ดูหรือให้สังเกตุการเลื่อนระดับนั้น
    ทั้งหมดพูดตรงกันคือดูจาก “ภายใน”
    ไม่ว่าจะเป็นข้อความต่างมิติหรือทุกศาสนา
    ต่างก็บอกไปในแนวเดียวกันทั้งนั้น
    และในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่อง “มิติ”
    จะบอกไว้ว่า การดูจาก”ภายใน” เป็น ”จริง”(reality )
    ส่วนการดูจาก”ภายนอก”นั้นเป็น “มายา” (Illusion) ...

    ก็ขอยกตัวอย่างชัด ๆ สักหนึ่งตัวอย่างนะ...
    ครั้งหนึ่งที่คุณ kingkong 1 ได้เคยโพสท์ไว้ที่กระทู้คุณชยุต
    (แต่กระทู้ไหน ปีไหนนี่ จำไม่ได้เสียแล้ว...)
    เธอว่าเป็นเวลาหลายปีดีดักที่พอตกเย็น
    เธอจะต้องดื่มเบียร3-5 ขวดทุกวัน+บุหรี่วันละ2 ซอง...
    แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง “เบียร์ก็ขม อมควันก็เหม็น” ขึ้นมาซะละ
    เธอจึงเลิกจุดไฟเผาตัวเองตั้งแต่บัดนั้น....
    นี่แหละ...คือการเปลี่ยนแปลงหรือการเลื่อนระดับ
    ที่เกิดขึ้นจาก”ภายใน”ก่อนแล้วจึงแสดงออกมา”ภายนอก” ...
    ชัดเจน ,clear crystal เลย
    ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามใคร ว่านี่คืออะไร...
    (ที่จำเรื่องของเธอได้ดีเพราะบุหรี่เบียร์เหล้าเป็นผีเน่ากับโลงผุของเรา)

    ที่นี้ ...ก็มาได้พบข้อความของเวปนี้
    Comparing 3d to 4d relationships | in5d.com | Esoteric, Spiritual and Metaphysical Database
    (ซึ่งเป็นโพสท์ต่อจากนี้)
    ซึ่งเขาได้รวบรวมคุณลักษณะหรือสภาวะของ 3-D และ 4-D แบบกระชับ ๆ
    ที่เขานำมาจากแหล่งนี้ Iasos - Comparing 3rd and 4th Density Relationships
    เพื่อไว้ให้เปรียบเทียบดูว่า...เรื่องไหนที่ตนยังอยู่3-D
    หรือเรื่องไหนได้อยู่ 4-D แล้ว…

    แต่คำตอบจะ100 % หรือไม่นั้น
    ก็ต้องขึ้นอยู่กับการให้ความเป็นธรรมของตนเองในการพิจารณา
    เพราะหากพิจารณาแบบเข้าข้างตนเอง
    ก็จะเป็นการเพิ่มตัวตนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก
    ซึ่งก็ได้เลื่อนระดับเหมือนกัน... แต่เลื่อนลงน่ะ…อิอิอิ...
    เหตุเพราะ...
    “ผลของความรู้ดูตัวที่มาจาก“สัญญา“
    กับมาจาก”ปัญญา”นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง “


    (ขอบ่นนิดนึงนะ...คำว่า “อิ อิ” นี่ พอจะมีคำอื่นแทนไม๊ ?
    เพราะพอเห็นคำนี้ทีไร มันจะมีภาพของเด็กที่เอามือปิดปาก
    และส่งสายตาเย้ยหยันมาให้ทุกทีเลย...อิอิ)

    อจิตตะ...



     
  11. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    [​IMG]
    Photo from internet:

    Comparing 3d to 4d relationships
    Comparing 3d to 4d relationships | in5d.com | Esoteric, Spiritual and Metaphysical Database
    ผู้แปล: อจิตตะ

    ตอนที่ 1

    นี่เป็นการเปรียบเทียบทางด้านสังคมวิทยา
    ว่าด้วยการทำงานของมิติที่แตกต่างกันในด้าน“สัมพันธ์ภาพ”
    และนี่คือแต่ละ“แพคเกจ” ที่มีเพื่อไว้พิจารณาว่า
    รูปแบบของการทำงานในแต่ละสัมพันธ์ภาพนั้น
    เข้าอยู่ในลักษณะ ของ 3-D หรือ 4-D มากที่สุด
    หรือว่าจะอยู่ในทั้งสองลักษณะรวมกัน...


    3-D สัมพันธ์ภาพของ 3-D
    วิธีทำงานแบบปกติใน”สัมพันธ์ภาพ” ของ 3-D ที่อยู่ร่วมกันพวกเรา...

    การพลัดพราก (Separation)
    การพลัดพรากเป็นเพียงมายา
    -การพลัดพรากจากแหล่งกำเนิดของพระเจ้า
    -การพลัดพรากจากผู้คน
    -การพลัดพรากจากรูปลักษณ์ของตัวเอง


    การปิดบัง (secrecy)
    -ด้วยการปิดบัง partner ของฉันในเรื่องราวต่างๆของฉัน
    เพื่อเธอหรือเขาจะได้ไม่รู้ว่า แท้จริงฉันเป็นใคร
    จะได้ไม่ต้องมาแบ่งแยกมรดกมหาศาลของฉัน


    ความกลัว…รากฐานจากการมีคู่ครองคนเดียว
    (Fear-based monogamy)

    -สัมพันธ์ภาพแบบคู่ครองคนเดียวของฉัน
    ทำให้ฉันรอดจากความเสี่ยงที่คิดจะมีสัมพันธภาพกับใครอื่นอีก
    มันทำให้ฉันรู้สึก "ปลอดภัย" (หลุดรอดและปลอดภัย)
    (คือใช้เรื่องนี้มาเป็นเกราะคุ้มกันการกระทำของตัวเอง=ผู้แปล)


    ความรักที่มีเงื่อนไข (Condition love)
    -ฉันจะรักคุณตราบเท่าที่คุณสามารถตอบสนอง
    ความหวังและความต้องการของฉันเท่านั้น
    -ฉันจะไปจากคุณทันที… หากคุณไม่ตอบสนองฉัน

    พันธะสัญญา (Commitment)
    -ฉันต้องการพันธะสัญญาเพื่อจะหลบเลี่ยง”ความกลัว”ของฉัน
    ต่อความคิดในเรื่องการมีความสัมพันธ์กับคนอื่น
    -พันธะสัญญา เป็นมายา ของ 3-D
    -พันธะสัญญา ไม่เคยรับรองในความปลอดภัยของฉัน
    -พันธะสัญญา เท่านั้นที่ทำให้ฉันคิดหรือรู้สึกว่าฉันปลอดภัย
    (คือพวก 3-D นี่ ,ในคนๆเดียวกัน อาจคิดได้ทั้งบวกทั้งลบ=ผู้แปล)

    ความคาดหวัง (expectation)
    -ฉันมีความต้องการ ,ฉันมีความคาดหวัง
    -และพยายามที่จะให้ partner ของฉันตอบสนอง
    กับความคาดหวังและความต้องการของฉัน
    -ฉันใช้ partnerของฉันเพื่อสร้างความพึงพอใจ
    ให้แก่ความต้องการของฉันเท่านั้น

    จอมบงการ (Manipulation)
    -ฉันจะแสดงออกอย่างชัดเจนหรือไม่ก็อยู่เบื้องหลัง
    เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ
    -เพื่อที่ฉันจะยังคงได้รับการคุ้มครองจาก”ความกลัว”ของตัวเอง
    -ฉันเห็น partner ของฉันเป็นเพียงแค่ผู้ที่ฉันต้องการ”ให้เป็น “
    ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นจริงอย่างที่พวกเขาเป็นอยู่

    ความต้องการที่จะควบคุม (The need to control)
    -ฉันไม่ไว้วางใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของฉัน
    -ดังนั้น...ฉันจึงต้องการควบคุมและปรับโครงสร้างของความสัมพันธ์
    เพื่อให้ใช้รูปแบบที่ฉันต้องการให้เป็น
    -ฉันรู้สึกเหมือนฉัน "เป็นเจ้าของ" partner ของฉัน

    ความสัมพันธ์ (Relationship)
    สัมพันธภาพจะเป็นตัวนำไปสู่ความก้าวหน้าของตัวเอง

    การพึ่งพาอาศัย (Dependency)
    -ก็ขึ้นอยู่กับฉันและฉันต้องการให้มีใครสักคนที่ฉันสั่งได้ มาทำให้ฉันมีความสุข.

    เป็นผู้ที่ไม่สามารถรักใครสุดใจได้มากกว่าหนึ่งคน
    (A person can not fully love more than one person.)

    3-D เน้นความเป็นคู่
    -หากคู่ของฉันเริ่มเจือจานความรักไปให้คนอื่น
    นั่นหมายความว่าเขา / เธอได้รักฉันน้อยลงไป (นี่คือมายา.)
    -มันไม่ดีเลย ที่ partner ของฉัน ให้เวลาแก่ฉันน้อยลงไป.
     
  12. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    [​IMG]
    Photo from internet:

    Comparing 3d to 4d relationships
    Comparing 3d to 4d relationships | in5d.com | Esoteric, Spiritual and Metaphysical Database
    ผู้แปล: อจิตตะ
    ตอนที่ 2

    4-D…สัมพันธภาพของ 4-D :
    วิธีทำงานแบบปกติ ของ”สัมพันธ์ภาพ” ใน 4-D


    การรวมตัว +กลับไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว
    (Integration + Reintergration)

    -ทุกสรรพสิ่งและ ทุกคนล้วนเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว

    ความจริงใจ + เปิดเผย(Honesty + Openness)
    -มีความจริงใจต่อ partner ของฉัน และด้วยความจริงใจของฉัน
    partner ของฉันก็ได้รู้จักฉันที่เป็นฉันอย่างแท้จริง
    - “ความจริงใจ” หมายถึงต้อง 100% อย่างแท้จริงที่เป็นฉัน
    -ฉันไม่ ปิดบังความคิดเห็นหรือ ข้อมูล
    เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการ ทำร้าย partner ของฉัน
    หรือ ต้องการควบคุมในสัมพันธ์ภาพ นั้น…
    -ฉันไม่สามารถรู้จริง หรือ เดาได้ว่าเรื่องใดที่จะเป็นการทำร้ายคนอื่น
    หรือพวกเขาจะตอบสนองต่อความจริงใจของฉันอย่างไร?
    -ดังนั้น …"ฉันจะหยุดแบกรับความรับผิดชอบในอารมณ์ของผู้อื่น
    ที่เกิดจากผลที่จะได้รับหรือผลสะท้อน
    ที่มีต่อการสื่อสารด้วย”ความจริงใจ”ที่ปราศจากการบิดเบือนของฉัน."


    สัมพันธ์ภาพ ด้วยการเลือก(Relationships By Choice)
    -คู่ครองคนเดียว ก็ด้วย การเลือก หรือ
    -คู่ครองหลายคน ก็ด้วย การเลือก หรือ
    -เหล่าผู้คนที่จงรักภักดี ก็ด้วย การเลือก
    - มันไม่มี “ถูก” หรือ "ผิด" อยุ่ในธรรมชาติของความสัมพันธ์ใด ๆ เลย
    พวกเขาต่างก็เป็นธรรมชาติโดยเนื้อแท้ทั้งสิ้น
    และไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ใด ๆก็ตาม…มันก็ " โอเค "
    - ถ้าฉันเลือก คู่ครองคนเดียว นี่ก็ไม่ใด้หมายความว่า
    ฉันคาดหวัง(expect)หรือ ต้องการให้ partner ของฉัน
    ต้องเลือกแบบคู่ครองคนเดียวด้วยหรอกนะ...

    ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข(Unconditional Love)
    - แม้ว่าคุณจะไม่ตอบสนองควาต้องการ
    และความคาดหวัง ของฉัน …ฉันก็ยังคงรักคุณ
    -ฉันรักในความเป็นคุณโดยไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงคุณ


    การอยู่กับปัจจุบันขณะ (Being In The Present)
    - “พันธะสัญญา”จะพาฉัน ออกไปจาก “ปัจจุบันขณะ”
    ฉันอยู่ กับ “ปัจจุบัน”และ ฉันไม่ต้องการ “พันธะสัญญา”
    เพราะ ฉันเชื่อว่า “อนาคต” จะ ดูแลตัวมันเอง

    ไม่คาดหวัง (No Expectations)
    - ฉันเชื่อใจและไม่คาดหวัง ใด ๆ จาก partner ของฉัน
    ฉันเบิกบานเมื่ออยู่กับ partner ของฉันโดยปราศจากความคาดหวัง

    การยอมรับ (Allowingness)
    - ฉันยอมรับ partner ของฉัน อย่างที่เขาจะเป็น
    เพราะนั่นได้ทำให้ฉันสามารถเห็นพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็นจริง

    เชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข (Trust Absolute)
    - ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    ดังนั้น…ฉันจึงไม่มีความปรารถนา
    หรือไม่มีความต้องการที่จะควบคุมpartnerของฉัน

    ความก้าวหน้าส่วนตัว (Personal Growth)
    -ความก้าวหน้าส่วนตัวจะเป็นตัวนำไปสู่”สัมพันธภาพ”

    การพึ่งตัวเอง (Self-Sufficiency)
    -ฉันรับรู้ว่ามีฉันและมีเพียงฉันเท่านั้น,
    ที่เป็นผู้สร้างสภาพที่เป็นจริงของตัวฉันเอง
    ดังนั้น… ก็จะมีเพียงฉันเท่านั้นที่จะทำให้ฉันมีความสุขได้


    เป็นผู้ที่สามารถรักใครอย่างสุดใจได้มากกว่าหนึ่ง
    (A Person Can Fully Love more Than One Person)

    - 4-D ให้ความสำคัญในความหลากหลาย
    ไม่ว่า partner ของฉันจะรักใครสักกี่คน
    มันก็ไม่ได้ทำให้ความรักลดลงไปจนหมดสิ้น
    เมื่อเป็นเช่นนี้… ความรักที่เขาหรือเธอมีให้กับฉัน
    หรือไม่ว่าฉันจะรักใครสักกี่คน
    มันก็ไม่ได้ทำให้ความรักลดลงจนหมดหมดเช่นกัน
    แล้วนี่...ความรักที่ฉันมีต่อ partner ของฉัน
    มันจะมีมากมายสักเพียงใดหนอ?

    - Partner ของฉันมีเวลาให้ฉันน้อย ก็ไม่เป็นไร
    เพราะฉันรักตัวเองอย่างแท้จริงโดยไม่มีเงื่อนไข
    “เวลา”ที่ฉันให้กับตัวเองก็ย่อมมีค่าเท่ากับเวลาที่ใช้กับ partner ของฉัน
    เพราะฉันรักตัวฉันเท่ากันกับที่ฉันรัก partner ของฉัน
    ดังนั้น… ทุกครั้งที่ฉันใช้เวลาอยู่ลำพังคนเดียว
    ก็มีความเบิกบานเหมือนเวลาที่ฉันอยู่ร่วมกับpartner ของฉัน
    ดังนั้น… ก็ โอ เค เช่นกัน...ถ้าฉันใช้เวลาน้อยลง กับ partnerของฉัน

    ความสุข , ความพอใจ และ ความปลาบปลื้ม
    (Happiness, Pleasure & Ecstasy)

    -จะไม่มี ความเจ็บปวดใด ๆ นอกจาก ความสุข ความพอใจและความปลาบปลื้ม
    -และเมื่อได้รับฟังชั่นในด้านสัมพันธภาพ จาก4-D…
    จิตฉันก็ตั้งค่านั้นทันที (Mind- set )

    การสิ้นสุดในสัมพันธ์ภาพ
    (Ending A Relationship)

    การสิ้นสุดของสัมพันธภาพไม่ได้สร้าง ความเจ็บปวด และ การสูญเสีย
    ในความเป็นจริง...สัมพันธ์ภาพนี้มันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเราทั้งสองได้อีกต่อไป
    เราจึงเลือกที่จะจบมันร่วมกัน
    เพราะเราทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าสัมพันธภาพนี้
    มันไม่สามารถที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้เลย
    ดังนั้น…เราจึงยินยอมให้มันจบลง โดยไม่มีความรู้สึกหนักอกหนักใจ
    นอกจาก…”รัก “…เท่านั้น

    ความรู้สึกที่เชื่อมโยงไปยังคนสําคัญอื่นๆ
    (Felling Connected To Significant Others )

    แม้ว่า Partner ของฉันอยู่ห่างไกล (in space)
    หรือแม้กระทั่ง หากฉันไม่ได้เห็น partner ของฉัน เป็นเวลานาน ( in time )
    ฉันรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นที่มีต่อพวกเขา
    -การแยกจากกัน เป็นเพียงแค่มายา (Illusion)
    -การเชื่อมโยงร่วมกันเท่านั้น....จึงจะเป็นจริง (reality)

    โกรธตัวเอง ( ความโกรธ ภายใน)
    (Anger At Myself ( Intermalized anger)

    -ฉันจะโกรธตัวฉันเอง ที่สร้างความเป็นจริงโดยไม่จัดอันดับความสำคัญ

    ฉันเป็นผู้สร้างความเป็นจริงของตัวฉันเอง
    (I Create My Own Reality)

    - รับผิดชอบต่อตนเอง
    - เพิ่มขีดความสามารถด้วยตัวเอง
    - ฉันเป็นผู้สร้างความเป็นจริงของตัวฉันเอง
    และรวมไปถึงปฏิกิริยาของผู้อื่นที่มีต่อการกระทำของฉันอีกด้วย
    - ฉันไม่สามารถที่จะทำร้ายผู้อื่น
    - ฉันจะรับผิดชอบต่อปฏิกิริยาของฉัน
    ที่มีต่อความเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น
    - เป็นความรับผิดชอบของฉันกับสิ่งที่ฉันอยากจะ”มอบ”ให้กับ” PARTNER “
    และกับ “สัมพันธ์ภาพ” ของเรา
    - ฉันมีความตั้งมั่นที่บริสุทธิ์ ที่มีต่อความสัมพันธ์ของฉัน
    - ฉันเป็นฉัน 100% เมื่ออยู่ร่วมกับ partner ของฉัน
    - ฉันเป็นผู้รับผิดชอบเพื่ออะไรกัน..... ในความสมบูรณ์ของฉัน
    - ฉันต้องการเป็น “ผู้ให้” ในความสัมพันธ์ของเรา
     
  13. love_evol

    love_evol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +87
    จากข้อความของคุณอจิตตะที่แปลมา สังเกตว่าเมื่อก่อนตัวเองมักจะอยู่ในสัมพันธภาพแบบ3-D ตลอดเวลา คิด ตอบสนองและคาดหวังแบบ3Dตลอดจริงๆ

    แต่เมื่อประมาณสองปีมานี้เองค่ะ ที่รู้สึกว่าเริ่มเบื่อหน่ายและรู้สึกว่าสัมพันธภาพแบบ3-D นี้มันช่างน่าเหนื่อยหน่าย และดูมันไม่เป็นที่คาดหวังของเราอีกแล้ว

    รู้สึกอยากเป็นอิสระ และอยากให้สมพันธภาพรอบตัวเราเป็นอิสระด้วย เบื่อความคาดหวังที่ยึดติดเราไว้กับความต้องการที่คับแคบ

    จึงรู้สึกรักทุกสิ่งที่เปิดกว้าง ยิ่งใหญ่ ไม่จำกัดด้วยเหตุผลเดิมๆที่สังคมและผู้คนกำหนดขึ้น

    จึงรักข้อความแปล ข้อคิด และเพื่อนๆทุกคนที่นำข้อความมาเปิดหูเปิดตาให้อ่าน...รู้สึกว่ายังมีความมหัศจรรย์ที่กว้างใหญ่ไพศาลรอเราอยู่เสมอ ขอเพียงเราเปิดใจ และค้นหาจากภายในลึกๆของเราเอง
     
  14. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ผมกำลังก้าวกระโดดไป4-Dอยู่อ่ะคับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...