ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931

    มหกรรม ภาค 1 Episode i ....... หลังสรรพภัยทั้งปวงกึ่งพุทธกาล


    เห็นรูปของพระพุทธองค์ลอยมาบนฟ้าทางทิศเหนือ เป็นพระพุทธรูปสีทองเหลืองอร่าม ก็ตั้งจิต เพราะเป็นการส่งข่าวจากเบื้องบน
    ....... โลกุตตระธรรม มาโปรด


    มองเห็นโลก จากระยะไกล ประมาณ ครึ่งทาง โลก-ดวงจันทร์ เป็นโลก ขาว ปกคลุมไปด้วยไอน้ำ
    ....... โลก มีน้ำมาเพิ่มมากขึ้นจากทางช้างเผือก ตามสัดส่วนที่ขาดหายไป


    มองเห็น ประเทศไทย ที่เป็นด้ามขวานทอง ภูมิทัศน์ทางภูมิศาสตร์ที่เคยเห็นจนชินตาเปลี่ยนไป ด้ามขวานแคบและแหว่งวิ่นเห็นได้ชัด ทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน ทำให้ขนาดเหลือประมาณ 70% เทียบกับของเดิม
    ....... น้ำทะเลสูงเพิ่มขึ้น ประเทศไทยอยู่บนสันเขา สุดท้ายเหลือเป็นกลมๆ

    อ่าวไทย กว้างขึ้น ฝั่งตะวันออกหายไปแยะ หายลึกเข้าไปถึง แปดริ้ว ปลวกแดง ไม่มีชลบุรี ศรีราชา เหลือเกาะสัตตหีบเล็กๆๆ โรงไฟฟ้าบางปะกง กฟผ. ที่เราเคยสร้างก็หายไป หมายความว่า หลังการกวาดล้างและแก้ระบบนิเวศน์โดยเบื้องบน ภาพที่เห็นคือ ผลสุดท้ายของการปรับและกวาดล้าง
    ....... เกิดขึ้นหลังภัยจากเพื่อนบ้าน บุกแย่งดินแดนตะวันออก แล้วดินแดนเขาก็จมไปด้วย ราบเรียบเป็นทะเล

    มหกรรม ภาค 2 Episode ii ....... เชื่อ โลกุตตระ และ สัจจะ



    มองเห็นท้องน้ำและฟ้ามืดมาก มองสลัวเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ฟ้ามืด อากาศมัวมาก เหมือนกรุงเทพฯ ตกอยู่ในหมอกแห่งความน่ากลัว..มองเห็นสิ่งหนึ่งสีทองล่องลอยมาตามลำน้ำ..พอเข้ามาใกล้ เห็นชัด นั่นคือ หัวพญานาค 7 เศียร ลอยมากับน้ำ พญานาคมาทำไม
    ....... เมื่อประชาชนชาวไทย ไม่ตั้งใจทำความดีอย่างจริงจังด้วย "สัจจะ" จึงเป็นการเดินตามรอยกรรม

    ทันใด ก็ชัดเจนขึ้นว่า เป็นหัวเรืออนันตนาคราช ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนเรือพระที่นั่ง ขนาดเรือ เท่าของจริง มองเห็นผู้ที่กำลังเป็นผู้ควบคุมเรือ ท่านคือองค์พิฆเนศวร กำลังให้สัญญาณในการบังคับเรือ มองเห็นว่า ด้านท้ายเรือ ผู้ที่ทำหน้าที่ถือหางเสือเรือ คือ พญาครุฑ ซึ่งเป็น สัตว์เทพพาหนะของพระเจ้าแผ่นดิน
    ....... ในวันหนึ่งไม่นาน ทรงเสด็จไปสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง "พญาครุฑ" พาไป เพราะภัยจากคนสร้างกรรมหนัก ... แต่เมื่อเชื่อ "หนุมาน" สิ่งดีจะปรากฏ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ส่วนใหญ่รอดพ้นกรรม หนักเป็นเบา ประทานให้อยู่รอด ปฏิบัติขัดเกลานิสัยที่เหลือ ต่อไป

    กลางลำ มองเห็นชัดเจน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงประทับยืน ในพระหัตถ์ทรงถือ ธารพระกร หรือ คฑา ทรงค่อยๆๆ ชูคฑานั้นขึ้นสูงเหนือพระเศียร ทันใด พระคฑา ก็กลายเป็นคบเพลิงใหญ่ สว่างโรจน์เหมือน ภาพรูปปั้น อนุสาวรีย์เสรีภาพที่หน้าอ่าว แมนฮัตตันของอเมริกา
    ....... ราชานุสาวรีย์สูงตะหง่าน อายุเท่าหินผา ทรงประทับยืนนาน บนดินแดนเหนือเมืองอมรที่น้ำท่วม พระคฑา คือ "สัจจะ" อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงรอบคอบจักรวาล ชูคฑาขึ้นสูงเหนือพระเศียร เมื่อพบและเชื่อใน โลกุตตระ และ สัจจะ

    ความสว่างและความร้อนของคบเพลิง ขับไล่ความมืดมัว ท้องฟ้าที่มีสีดำ เหมือนมนต์อาถรรพ์ เริ่มละลายเป็นช่องโหว่เหนือพระเศียร พอช่องโหว่ได้ที่ พระองค์ก็ทรงโยนพระคฑาขึ้งสูง เหมือนดรัมเมเดยอร์โยนคฑาขึ้นฟ้า
    .......สิ่งดีจะบังเกิดขึ้น ประชาชนเชื่อและปฏิบัติตนด้วยสัจจะทั้งประเทศ

    คฑาที่ลอยขึ้น กลายเป็นเศวตฉัตร 9 ชั้นสีเงิน เศวตฉัตรนั้น ลอยขึ้นสูงอย่างช้าๆ เมื่อไปแตะเมฆดำทึบมืดมน ก็เกิดสายฟ้าแลบกว้างไกล...ท้องฟ้าทั้งหมด สว่างขึ้นทันตา..ความมืดมัวและอาถรรพ์นั้นหายไปจนหมดสิ้น..ฟ้าเปิดแล้ว
    .......ตัวกระทำ จากผลการกระทำด้วยสัจจะ ของประชาชนทั้งประเทศ จะนำพาประเทศ สิ่งที่ดีจึงปรากฏขึ้นมา

    ม้วนที่สาม Episode iii ....... ยุคพระศรีอารย์ปรากฏ


    เป็นภาพท้องน้ำเจ้าพระยาอีกครั้ง มองเห็นลำน้ำใส มองเห็นทิวแม่น้ำและท้องทุ่ง สดเขียวขจี ทุกแห่งมีแต่ความสมบูรณ์ ผู้คนล้วนแต่งในชุดขาว หน้าตาสดใส เป็นผู้คนที่มาจากฟ้าหลังฝน มองเห็นแต่ความเจริญ ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นการเริ่มยุคแห่งศรีอริยเมตไตรย

    .......คือ โลกยุคใหม่ สมบูรณ์ดังสรวงสวรรค์

    ทางฝั่งขวาของแม่น้ำมองเห็น องค์พระพุทธรูปปางลีลาสูงเด่น มองเห็นแต่ไกล ซึ่งแสดงรหัสว่า พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ในประเทศไทย เป็นหลักให้คนทำดี หลังจากที่ฝนพายุได้ผ่านไป มองเห็นพระพุทธคยา ตั้งเด่นซ้อนอยู่กับองค์พระพุทธรูปขนาดสูงใหญ่...ซึ่งเป็นนิมิตรหมายว่า ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ ศาสนาพุทธอันยิ่งใหญ่ในอนาคต
    ....... ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย หลักโลกุตตระ คือ ศูนย์รวมความศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาล จะมีพระพุทธรูปยืนประทับหน้า หลักโลกุตตระ มองเห็นได้แต่ไกล

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** การกระทำ ****

    นิสัย...คือ แม่กุญแจ ที่คล้องล็อคไว้
    กรรม....คือ ผลการกระทำจากนิสัย
    สัจจะ...คือ กุญแจ ปลดล็อคนิสัยที่คล้องไว้มานาน
    การกระทำ จากสัจจะ.......จึงสำคัญยิ่ง หาค่าประมาณมิได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ท่าน ยังมีนิสัยอะไรติดตัวบ้าง !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    เมื่อ ท่านหมดนิสัย...หนึ่งตัว
    ท่าน ก็จะไม่สร้างกรรม....อีกมากมาย
    การกระทำจากสัจจะ...จะช่วยเบี่ยงเบนกรรม
    ท่าน จึงรอดพ้นกรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    มนุษยชาติในดินแดนอันไกลโพ้น

    นอสตราดามุสได้ทำนายถึงการสิ้นสุดของโลกมนุษย์ และทำนายถึงอนาคตของมนุษยชาติ นอกจากในโคลงบทต่างๆที่กล่าวโยงถึงเรื่องนี้แล้วยังมีจดหมายเหตุที่เขียนถึงซีซาร์ลูกชายของเขาอย่างค่อนข้างยืดยาว ดังมีข้อความตอนหนึ่งเขียนไว้ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มกราคม 2008
  6. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    นอสตราดามุสเห็นในจิตทัศน์ว่า มนุษยชาติในปี ค.ศ.3000 จะมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะอิสระเสรี ไม่มีการกำหนดขอบเขตจำกัดของประเทศ มนุษย์ยุคนั้นจะเดินทางไปไหนได้อย่างอิสระทั่วห้วงอวกาศ และที่สำคัญที่สุด มนุษย์ยุคนั้นจะมีอำนาจและพลังในการสร้างชีวิตในรูปแบบใหม่ นอสตราดามุสได้บันทึกเตือนเอาไว้ว่า มนุษย์ยุคนั้นจะต้องไม่ลืมตัวมนุษย์จะต้องไม่ลืมกำพืดเดิมของตัวเอง มิฉะนั้นอาจจะต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอารยธรรมที่มาจากแหล่งอื่นก็ได้ คำทำนายจุดนี้ของนอสตราดามุส ฟังดูแล้วก็น่าตื่นเต้นราวกับได้ชมภาพยนต์ประเภทเพ้อฝันทางวิทยาศาสตร์ มันน่าจะเป็นไปได้ว่า ในสุริยจักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่จะมีอารยธรรมที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาเกิดขึ้นบนดาวดวงอื่นๆ แม้ว่านอสตราดามุสจะไม่ได้ระบุเจาะจงอย่างชัดเจน แต่คำเตือนมนุษย์ไม่ให้ลืมกำพืดของตัวเองจนต้องตกอยู่ในความควบคุมของอารยธรรมอื่น อาจจะหมายถึงสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรืออาจจะหมายถึงระบบใหม่ในชีวิตบนห้วงอวกาศที่มนุษย์จำเป็นจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ก็ได้
    ยุคอควอเรียสจะถึงแก่การเสื่อมโทรมลงในที่สุด นอสตราดามุสได้เรียกสังคมมนุษย์ในยุคต่อจากนั้นว่า เป็นยุคของแคปริคอร์นซึ่งตกอยู่ในระหว่างปี ค.ศ.4000
     
  7. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    ก่อนน้ำท่วมโลกใหญ่หนนี้ นอสตราดามุสบอกไว้ว่า ผืนแผ่นดินทั่วโลกจะประสบกับภาวะฝนแล้ง แต่เมื่อถึงคราวที่ฝนจะตก แทนที่จะมีเม็ดน้ำร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า สิ่งที่ตกลงมาสู่พื้นผิวโลก กลับกลายเป็นสะเก็ดดาวอุกกาบาตนับร้อยนับพัน พุ่งปลิวผ่านบรรยากาศเข้าสู่รัศมีการดึงดูดของโลก สะเก็ดดาวอุกกาบาตเสียดสีกับบรรยากาศ ได้กลายเป็นดวงไฟนับแสนนับล้านดวง วิ่งพุ่งเข้าชนทุกสิ่งทุกอย่างบนดาวพระเคราะห์โลกอย่างน่ากลัว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิด ก่อนที่โลกจะถึงกาลแตกดับในที่สุด
    ที่แน่ๆก็คือ นอสตราดามุสได้ทำนายถึงการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลังการแตกดับของดาวพระเคราะห์โลก มนุษย์ยังจะดำรงอยู่ต่อไปในอีกสภาพหนึ่ง ซึ่งนอสตราดามุสได้เรียกยุคใหม่นี้ให้เป็นยุคของ ซากิตตาเรียส จะเกิดขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.6000 – 8000 นอสตราดามุสมองเห็นว่ามนุษย์จขึ้นไปสร้างอาณานิคมบนห้วงอวกาศ “ มนุษย์จะอาศัยอยู่ในอควอเรียส อีกส่วนหนึ่งจะอาศัยอยู่ในแถบแคนเซอร์เป็นเวลายาวนาน… ”
    อาจจะมีคนสงสัยกันว่า ถ้าโลกพบกับวิกฤตการณ์อุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกเป็นล้านๆดวง ทำให้น้ำท่วมเจิ่งนองไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากสงครามมหาประลัยในปี ค.ศ.1999 ตามที่นอสตราดามุสได้ทำนายเอาไว้ แล้วมนุษย์จะไปเอาเทคโนโลยีจากที่ไหนในการสร้างยานอวกาศ หรือเมืองในอวกาศขึ้น เรื่องนี้ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า ภายในทศวรรษหน้านี้จะมีมนุษย์ไปอาศัยอยู่ในห้วงอวกาศเป็นการถาวรอยู่แล้ว ตอนที่โลกเกิดสงครามนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ อภิสิทธิ์ชนไม่ว่าจะมาด้วยสายอำนาจหรือสายเงิน ได้เตรียมทางหนีทีไล่สำหรับตนเองอยู่แล้วส่วนการเสาะหาพลังงานหรือวัสดุสำหรับนำมาสร้างตัวยานอวกาศ ภายในระบบสุริยจักรวาลมีให้เลือกใช้อยู่มากมาย ตราบใดที่ยังมีแสงอาทิตย์ที่ให้พลังงาน และวัตถุดิบใหม่ที่หาได้จากแหล่งอื่นๆ
    นับตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ มนุษย์ต่อสู้ขับเคี่ยวกับธรรมชาติมาโดยตลอด สัตว์โลกหลายชนิดได้สูญพันธุ์ไปจากพื้นพิภพ เพราะไม่อาจจะปรับตัวเองเข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ยุคอควอเรียส ยุคแคปริคอร์น และยุคซากิตตาเรียส จึงเป็นยุคที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ต้องเผชิญกับการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ มนุษยชาติจะยืนหยัดอยู่รอดในสภาพแปรปรวนของธรรมชาติได้หรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่ลูกหลานมนุษย์ยุคนั้นต้องแก้ไขปัญหาอย่างที่ปู่ย่าตาทวดได้ผจญมาแล้วในอดีต <SHAPE id=_x0000_i1027 style="WIDTH: 131.25pt; HEIGHT: 89.25pt" type="#_x0000_t75" o:bordertopcolor="this" o:borderleftcolor="this" o:borderbottomcolor="this" o:borderrightcolor="this"></SHAPE><IMAGEDATA src="file:///C:DOCUME~1ADMINI~1.MICLOCALS~1Tempmsohtml11clip_image014.jpg" o:title="006"></IMAGEDATA><BORDERTOP type="single" width="4"></BORDERTOP><BORDERLEFT type="single" width="4"></BORDERLEFT><BORDERBOTTOM type="single" width="4"></BORDERBOTTOM><BORDERRIGHT type="single" width="4"></BORDERRIGHT> <SHAPE id=_x0000_i1028 style="WIDTH: 129pt; HEIGHT: 88.5pt" type="#_x0000_t75" o:bordertopcolor="this" o:borderleftcolor="this" o:borderbottomcolor="this" o:borderrightcolor="this"></SHAPE> <IMAGEDATA src="file:///C:DOCUME~1ADMINI~1.MICLOCALS~1Tempmsohtml11clip_image016.jpg" o:title="007"></IMAGEDATA><BORDERTOP type="single" width="4"></BORDERTOP><BORDERLEFT type="single" width="4"></BORDERLEFT><BORDERBOTTOM type="single" width="4"></BORDERBOTTOM><BORDERRIGHT type="single" width="4"></BORDERRIGHT> <SHAPE id=_x0000_i1029 style="WIDTH: 131.25pt; HEIGHT: 89.25pt" type="#_x0000_t75" o:bordertopcolor="this" o:borderleftcolor="this" o:borderbottomcolor="this" o:borderrightcolor="this"></SHAPE> <IMAGEDATA src="file:///C:DOCUME~1ADMINI~1.MICLOCALS~1Tempmsohtml11clip_image018.jpg" o:title="008"></IMAGEDATA><BORDERTOP type="single" width="4"></BORDERTOP><BORDERLEFT type="single" width="4"></BORDERLEFT><BORDERBOTTOM type="single" width="4"></BORDERBOTTOM><BORDERRIGHT type="single" width="4"></BORDERRIGHT>

    จากการทำนายของนอสตราดามุส เขาบันทึกไว้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไปออกลูกออกหลานอาศัยอยู่ในห้วงอวกาศ สร้างชีวิตสังคมขึ้นมาใหม่ในเมืองกลางหาว – เมืองอวกาศที่หมุนเวียนโคจรในกลุ่มดวงดาว หนีหลุดรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติบนพื้นผิวโลกมนุษย์ต้องปรับตัวเองให้ดำรงชีวิตอยู่ในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างไปอีกเป็นเวลานาน…
    บทความจาก หนังสือนอสตราดามุส ของ ศ. เจริญวรรธนะสิน

    http://music-art.is.in.th/?md=content&ma=show&id=2

    ลองคิดเล่นๆดูนะครับนอสตราดามุสทำนายไว้ว่า คศ 1999 โลกจะเข้าสู่วัฎจักรการแตกดับขั้นสุดและเข้าสู่ ยุคใหม่ ลองเฉลี่ยกับ 2012ของชาวมายา จะได้ สมมุติปลายสี 1999 เฉลี่ยกับปลายปี 2012 จะได้ประมาณ 2006.4 ลองเฉี่ย กับปลายปี 2012 อีก จะได้ ราวๆ 2009.65 หรือราวๆเดือน กรกฏาคม คศ 2009

    พระอาจารร์รัตน์บอก เมื่อ ตุลาคม คศ 2006(จำได้แม่นเพราะไปอบรมมาคับพระอาจารย์ยังบอกด้วยว่าจริงๆจะเกิดตั้งแต่1999แล้ว แต่คนรู้มากเลยเลื่อนออกมา) น่าจะไม่เกินสองปีครึ่ง ก็ไม่เกิน เมษายน 2009
    พอเข้าใจว่าปีนี้ คงยังไม่เกิดภัยพิบัติใหญ่ในปีนี้ จะเกิดสงคราม(ระดับโลก)ก่อนราวๆปลายๆปี
    สงครามจะยืดเยื้อ หลายเดือนจะไปสิ้นสุดราว ต้นปีหรือ กลางปีหน้า
    และหลังจากนั้น ..... เวลานั้นก็มาถึง

     
  8. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    ลองอ่านดูซิครับ นอสตราดามุส เรียกยุคต่อจากยุคเรา(ที่จะสิ้นสุดในเร็วๆนี้)ว่ายุค อควอเรียส และยังทำนายว่า ยุคอควอเรียสจะถึงแก่การเสื่อมโทรมลงในที่สุด เกิดยุคใหม่เรียกว่ายุค แคปริคอร์นซึ่งตกอยู่ในระหว่างปี ค.ศ.4000 – 6000
    ซึ่งโลกจะแตกดับในยุคนี้ พระพุทธเจ้าทำนาย ว่าพศ 5000 หรือคศ 4458 พระพุทธศาสนาจะเสื่อมสลาย โลกจะเข้าสู่กลียุค หลังจาก คศ4458 อายุมนุษย์จะเสื่อมลงเรื่อยๆ สุดท้าย มนุษย์จะฆ่าฟันกันเอง โดยสักว่าเป็นเนื้อ ซึ่งก็อยู่ในช่วงคำทำนายนอสตราดามุส คศ 4000-6000 หลังจากนั้น จะเป็นยุค ซากิตตาเรียสนอสตราดามุสเห็นว่ามนุษย์ที่เหลือจะขึ้นไปสร้างอาณานิคมบนห้วงอวกาศ ผมว่าโลกตอนนั้นมันอยู่ไม่ได้แล้ว ซึ่งทุกอย่างก็ตรงคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้งแทบทั้งหมด
     
  9. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    แต่คนรู้มากเลยเลื่อนออกมา
    งั้นรู้กันเฉพาะเวปพลังจิตดิเหอะๆ พอเกิดสงครามเมื่อไหร่เป็นสัญญาณของคำ
    ทำนายอื่นๆที่จะตามมาก็ค่อยประกาศกันอีกเลย
     
  10. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ศีล ๕ และพรหมวิหาร ๔ จะช่วยมวลชนให้รอดจากภัยพิบัติทางจิตวิญญาณ

    เมื่อกลางปีได้สนทนาธรรมกับอาจารย์ผู้เป็นฆราวาส
    ท่านบอกว่าตนเราเมื่อก่อกรรมใดๆจะมีเมฆดำๆคละคลุ้งขึ้นไปสะสมข้างบน ถ้าสวดมนต์ สมาธิ หรือทำสิ่งดีๆจะมีเมฆหมอกขาวพิสุทธิ์สะสม
    ถ้าคนคิดแต่เรื่องไม่ดี ผิดศีล ไม่มีพรหมวิหาร บรรยากาศก็ร้อนรุ่มมืดดำไปหมด

    ต่อมาลูกสัมผัสได้ บอกว่านั่งรถไปกฐินเย็นจนหนาวเพราะคณะมีจิตดี บางวันผ่านคนงานก่อสร้างได้ไอร้อนผ่าวเพราะใจเขาคิดไม่ดี เวลาแผ่เมตตาเขาเห็นลำแสงเรืองรองออกจากตาที่สามไปในจักรวาล

    วันก่อนได้สนทนาธรรม
    ญาติธรรม "ฝันไปแบบพระอาจารย์ใหญ่วัดแจ้งว่า" เจอมนุษย์ยุคหินแถวอุทัยธานี แต่งตัวเหมือนฟลิ้นสโตน มาขอฟังธรรม ตัวดำปิ็ดปี๋
    ถามว่ามาได้ยังไง บอกว่าเห็นเขามากันก็เลยมามั่ง
    ญาติธรรมกำลังพูดถึงศีล ๕ และพรหมวิหารสี่
    ศีลคืออะไร เมตตาเป็นอย่างไร ฟลิ้นท์สโตนไม่รู้จัก เขาเกิดก่อนพระสมณะโคดมค่ะ
    (อ้ายเราชาวพุทธนึกว่าเบสิค ใครๆน่าจะรู้)
    พูดไปพูดมาเจ้าตัวหัวหน้าเกิดเก็ท สว่างวาบขาวใสลอยไปเลื่อนภพภูมิซะแหล่ว ทิ้งลูกน้องหน้าเซ่อฟังอยู่อีกหลายรอบ

    สาวกศาสนาอื่นๆมีฆ่ากัน เช่นฆ่าพวกนอกศาสนาไม่บาป หรือคิดว่าล้างบาปได้
    เรียกว่าศีล ๕ ก็ยังไม่ครบเลย
    capitalism ทำให้พรหมวิหารสี่พร่องง่าย ไร้มุทิตา ขาดอุเบกขา (ต้องให้พวกตัว พวกคนอื่นไปข้างหน้า) เดี๋ยวไม่รวยเร็ว เดี๋ยวเสียมาร์เก็ตแชร์
    ก็ไม่น่าแปลกใจใช่ไหมที่โลกนี้เต็มไปด้วยพลังงานมืดดำ จำต้องถูกชำระ

    อย่ายินดีในการชำระโลกครั้งนี้ ให้วางอุเบกขาว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    เราพบพระพุทธศาสนา พบศีล ๕ พรหมวิหาร ๔ มีลมหายใจ (ยังมีชีวิตอยู่) ทำความดีได้
    อย่าถอยหลังเข้าคลองเป็นฟลิ้นท์สโตน เขาติดมาเกินสามพันปีแล้ว
    คงเป็นกลุ่มที่วาดภาพเอามือป้ายๆสีไว้ที่ห้วยขาแข้งน่ะ

    ขอบคุณอาจารย์ที่อธิบายเรื่องพลังงานบวก-ลบ
    ขอบคุณลูกสาวที่อธิบายสิ่งที่รับรู้ให้ฟัง
    ขอบคุณญาติธรรมที่แบ่งปันเรื่องฟลิ้นท์สโตน
    ขอบคุณคุณแวนโกะ อ.คลิก พระอาจารย์สุวัฒน์เรื่องลมหายใจ
    ขอบคุณ อ.คลิกและคุณคณานันท์เรื่องพรหมวิหารสี่
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิทุกท่าน

    ขอน้อมบูชาคุณพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่มีกายเนื้อก็ดี ที่สถิตย์อยู่ในแดนทิพย์ก็ดี ที่ให้ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ในข้อธรรมเหล่านี้

    [FONT=&quot]นิพพานะปัจจะโยโหตุ[/FONT]<o:p></o:p>
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post896348 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Falkman<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_896348", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 06:11 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    สถานที่: Falkland
    ข้อความ: 3,051 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 33,132 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 27,251 ครั้ง ใน 3,019 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 3020 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_896348 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->มาดูคำทำนายเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในปี 2551 อ่านแล้วน่ากลัวแต่ก่อนเป็นคำทำนาย อาจจะ
    เกิดหรือไม่เกิดก็ได้

    คำทำนายกึ่งวิชาการในปี 2551 เกี่ยวกับ แผ่นดินไหว ซูนามิ จะมีซุนามิเกิดขึ้นในเมืองไทยมี 2547 2551 2560 ซึ่งในปีต่อไปก็คือปี 2551ซึ่ง
    มีการทำนายว่าจะหนักกว่าปี 2547 อีกหลายตัว ก่อนจะอ่านต่อมาทำความเข้าใจเกี่ยวกัน ระดับความแรงของแผ่นดินไหวก่อน

    มาตราริกเตอร์นั้นแบ่งออกเป็น 6 ระดับ คือ
    ขนาด 1.0 – 2.9 ริกเตอร์ จะเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย ประชาชนรับความรู้สึกได้ บางครั้งรู้สึกเวียนศีรษะ
    ขนาด 3.0 – 3.9 ริกเตอร์ ผู้อยู่ในอาคารจะรู้สึกสั่นไหวเหมือนมีรถไฟหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านข้างบ้านที่พักอาศัย
    ขนาด 4.0 – 4.9 ริกเตอร์ เกิดการสั่นไหวขนาดปานกลาง วัตถุที่แขวนไว้จะมีอาการแกว่งไกวไปมา
    ขนาด 5.0 – 5.9 ริกเตอร์ เกิดการสั่นไหวรุนแรง บริเวณกว้าง เครื่องใช้ไม้สอย และวัตถุสิ่งของเคลื่อนที่
    ขนาด 6.0 - 6.5 ริกเตอร์ เกิดการสั่นไวรุนแรงมาก อาคารบ้านเรือนจะเกิดความเสียหาย มีการพังทลาย
    ขนาด 7.0 ริกเตอร์ขึ้นไป จะเกิดความสั่นไหวรุนแรง อาคารสิ่งก่อสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ถนนหนทาง สะพาน จะเกิดความเสียหายมาก แผ่นดินแตกแยก วัตถุที่อยู่บนพื้นจะถูกเหวี่ยงกระเด็น


    เหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 มิได้มาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เดียว แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในปีเดียว คือปี 2551 หรือ ปี 2560 ตลอดทั้งปี เสมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกถูกถล่มด้วยพระราหู ทั้งนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกหลายแผ่นมีการขยับเคลื่อนตัว และเกยทับกัน (การเกยทับกันเพียงเล็กน้อยของชั้นเปลือกโลก บริเวณเหนือเกาะสุมาตราเพียงจุดเดียว เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นเหตุให้เกิดการไหวของแผ่นดินถึง 9 ริกเตอร์ ทำให้เกิดคลื่นยักษ์วิ่งไปถึงชายฝั่งอัฟริกา

    ซึ่งมีระยะห่างกันหลายพันกิโลเมตรได้) ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะมีการเกยทับกันทั้งในบริเวณใต้ทะเลลึก

    และบริเวณที่เป็นพื้นแผ่นดินในหลายทวีป ความรุนแรงมีขนาดตั้งแต่ 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป (ปกติถ้ามีการไหวของแผ่นดินเพียง 6.5 ริกเตอร์ ก็เป็นเหตุให้อาคารบ้านเรือน ตึกรามอาคารบ้านช่อง ถนนหนทางถล่มทลาย สามารถสร้างความเสียหายได้แล้ว

    แต่ถ้าเกิดการไหวของเปลือกโลกบริเวณใต้ทะเลลึก ประมาณ 7.5 ริกเตอร์ จะเกิดคลื่นสึนามิ (คลื่นยักษ์) ซึ่งในปี 2551 หรือ ปี 2560 จะมีการเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีขนาด 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป)
    สำหรับในประเทศไทยเอง ผลกระทบจากการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเกิดบนพื้นแผ่นดินประมาณ 3 – 4 จุด ซึ่งในทะเลก็มีทั้งบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เกาะบอร์เนีย และอีก 2 รอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งจะมีผลทำให้เขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนแตก และ ตึกราม บ้านเรือน สะพานและถนนหนทางพังพินาศทลายลงเป็นจำนวนมาก สำหรับจังหวัดชายฝั่งทะเล ก็จะได้พบกับสึนามิ หรือคลื่นยักษ์อีกครั้ง ด้วยความรุนแรงของการเกยทับของแผ่นเปลือกโลกอีกครั้งด้วยความแรงมากกว่าเดิม คือ ขนาด 9.5 ริกเตอร์ ขึ้นไป แม้ระบบเตือนภัยจะทำงานในอนาคต แต่ความเร็วของคลื่นสึนามิใช้ความเร็วในทะเลประมาณ 500 กม./ ชั่วโมง นักวิชาการบางท่านบอกว่ามีความเร็วระหว่าง 600 – 800 กม./ ชั่วโมง สิ่งสำคัญที่ทุกคนที่อยู่ริมฝั่งทะเลต้องรับทราบ คือ


    เมื่อใดมีเหตุการณ์ขึ้นลงของน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว ต้องรีบหนี 2 วิธี คือ วิ่งเรือออกสู่กลางทะเลลึก ถ้าขณะนั้นอยู่บนเรือในทะเล ห้ามกลับเข้าชายฝั่งทะเลเป็นอันขาด อีกวิธี คือให้วิ่ง หรือขับรถขึ้นที่สูงที่มีความมั่นคงแข็งแรงโดยเร็ว ซึ่งถ้ามีภูเขา ขึ้นเขาให้เร็วที่สุด ถ้ามีตึกที่มั่นคงแข็งแรง ต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง ต้องอาศัยเป็นที่ยึดไว้ก่อน อาคารที่บอบบาง ที่ไม่มั่นคงแข็งแรง ห้ามเข้าไปอาศัยในช่วงขณะนั้น เพราะตัวอาคารอาจพังทลายได้แม้จะขึ้นบนชั้นสูง แต่ถ้าฐานรากไม่ดี อาคารพังทลายลงมาได้ง่าย ผู้หนีไปอยู่ชั้นบนของอาคาร ก็ไม่รอดเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อใดที่อยู่บริเวณชายทะเลในปี 2551 หรือ ปี 2560 กรุณามองทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าก็มีส่วนช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง กรณีที่พึงต้องระวังเพิ่มขึ้นก็คือ

    ระดับน้ำในแม่น้ำลำคลองโดยเฉพาะแม่น้ำสายใหญ่ๆทุกสาย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำตาปี แม่น้ำโขง ฯลฯ ถ้ามีลักษณะขึ้นลงเร็วผิดปกติ ผิดธรรมชาติที่เคยมีเคย สัตว์มีประสาทสัมผัสบางเรื่องและหลายเรื่องดีกว่ามนุษย์ จากสัญชาติญาณจะทราบล่วงหน้าว่า ภัย หรือ ภยันตรายกำลังจะคืบคลานมาถึง ด้วยสัญชาติญาณเพื่อความอยู่รอด ก็จะกระเสือกกระสนหนีตายก่อน หรืออาจเกิดสิ่งผิดปกติบางประการที่แตกต่างกับความเป็นไปของธรรมชาติ เช่น ในเดือนพฤศจิกายน 2547 มีปลาวาฬ 165 ตัว มานอนตายเกยชายหาดของประเทศออสเตรเลีย พอเดือนถัดมา คือ เดือนธันวาคม 2547

    ก็มีคลื่นสึนามิถล่มเมืองชายฝั่งทะเลอันดามันไปหลายประเทศ ซึ่งจะต้องย้อนกลับไปดูอดีต ทั้งนี้การนอนตายเกยชายหาดของปลาน้ำลึก มีมาหลายครั้งหลายหน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดโยง 2 เหตุการณ์ ให้กลายเป็นเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันเท่านั้น ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น นอกจากจะมีแผ่นดินไหวบนพื้นดิน และใต้ทะเลลึกแล้ว ปัญหาที่เกิดจากฝนตกหนัก โคลนถล่ม น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุโซนร้อน ดีเปรสชั่น ทอนาโด และเฮอริเคน ต่างก็มาเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ

    ไม่เพียงเท่านั้นบางประเทศแอบทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ระเบิดไฮโดรเจน อาวุธเชื้อโรคและอาวุธสารเคมี (เป็นปีที่มีการทดลองอาวุธร้ายแรงมากที่สุดในรอบพันปี)

    จนปรากฏความเปลี่ยนแปลงของพื้นเปลือกโลกหลายชิ้น ก่อให้เกิดแผ่นดินยุบ ธรณีสูบ เกาะแก่งสูญหาย แผ่นดินโผล่ขึ้นมาใหม่ และเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ไปทั่ว มีคนตายมากกว่า 220 ล้านคน แต่บางท่านว่าอาจถึง 1,000 ล้านคน (ผู้เขียนไม่ยืนยันตัวเลข เพราะไม่สนใจจะไปนับซากศพที่ตายเกลื่อนกลาด) ข่าวดี ขณะนี้ มีแนวโน้มว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดในปี 2551 (คศ. 2008) อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไปเกิดในปี 2560 (คศ. 2017)

    แต่ยังไม่มีผู้ใดกล้ายืนยันฟันธง
    ตัวบ่งชื้หรือลักษณะเตือนภัยเกิด “แผ่นดินยุบ” มี 3 อย่าง
    1. สังเกตได้จากการได้ยินเสียงดังคล้ายดินถล่มมาจากใต้ดิน
    2. บริเวณนั้นมีน้ำผุดขึ้นมาจากใต้ดินโดยไม่มีสาเหตุ และ
    3. มักมีรอยแตกคล้ายร่างแห หรือใยแมงมุมยาว 3 – 5 เมตร ในบริเวณนั้น
    ในเมืองไทยพื้นที่ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงเกิดแผ่นดินยุบตัว หลังเกิดแผ่นดินไหว มีมากถึง 49 จังหวัด

    จังหวัดที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินยุบสูงมี 23 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ สระแก้ว ขอนแก่น นครสวรรค์ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย ฉะเชิงเทรา น่าน ระนอง สุราษฎร์ธานี ชัยนาท ปราจีนบุรี ราชบุรี อุดรธานี ชุมพร พะเยา ลำปาง อุทัยธานี เชียงใหม่ พัทลุง และ เลย

    จังหวัดที่มีโอกาสเกิดแต่ไม่ถึงกับเสี่ยงสูง มี 26 จังหวัด คือ กระบี่ ตาก สตูล นครศรีธรรมราช เพชรบุรี กำแพงเพชร แพร่ สระบุรี จันทบุรี นราธิวาส ยะลา สุพรรณบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระยอง หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ปัตตานี ลพบุรี อุตรดิตถ์ เชียงราย พังงา ลำพูน ตรัง สงขลา และพิษณุโลก

    ในเมืองไทยโอกาสที่จะเกิด “แผ่นดินยุบ” เป็นหลุมกว้าง หลังเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของเพดานโพรงหินปูน ซึ่งอยู่ใต้ผิวดินแด่ละบริเวณ ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีได้ออกสำรวจ เฝ้าระวัง และติดตามตรวจสอบเป็นระยะ บริเวณนั้นมีความลาดเอียง เช่น บริเวณที่ราบสูงต่างๆ ทั้ง 2 กรณี อาจทำให้ก้อนธรณีหรือมวลดินมหึมาทรุดตัวลงมา ดูจากประวัติการเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทยผ่านมามักจะไม่รุนแรง และมักเกิดตามรอยเลื่อนที่สำคัญ เช่น ในภาคเหนือ เคยมีแผ่นดินไหวขนาด 5 – 6 ริกเตอร์ เกิดขึ้น 8 ครั้ง ในรอบ 30 ปีมานี้”“แต่หารู้ไม่ว่า แผ่นดินไหวขนาดกลางเพียง 5 ริกเตอร์กว่าๆ ซึ่งคิดกันว่าไม่น่าอันตราย เป็นความเข้าใจผิดมหันต์ เพราะหากศูนย์กลางการเกิดอยู่ที่ภาคเหนือ หรือแถวกาญจนบุรี ซึ่งยังมีรอยเลื่อนมีพลังอยู่ จะก่อความเสียหายอย่างมโหฬาร เพราะมีรัศมีการทำลายที่อาจแผ่กว้างไปไกลถึง 20 กิโลเมตร”
    ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว มีอยู่ 2 แบบหลักๆ แบบแรก รอยเลื่อนที่ตายแล้ว (ไม่มีพลัง) ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน และภาคใต้ของไทย อีกแบบ รอยเลื่อนที่ยังไม่ตาย (มีพลัง) อยู่ในภาคเหนือ และภาคตะวันตก “เราคิดว่ารอยเลื่อนพวกนั้นอยู่ไกลตัว และในรัศมีใกล้ กทม. ไม่มีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว แต่หารู้ไม่ว่า ยังมีความเสี่ยง จ่อคอหอย เพราะระยะห่างจาก กทม.โดยรอบ 200 – 400 กม.

    มีรอยเลื่อนใหญ่อันดามัน ซึ่งอาจเกิดแผ่นดินไหวได้รุนแรงถึง 8 ริกเตอร์ และรอยเลื่อนย่อยที่กาญจนบุรี มีโอกาสเกิดได้เกิน 7 ริกเตอร์” “คุณรู้มั้ย ถ้าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7 ริกเตอร์กว่าที่เมืองกาญจน์

    อาคารสูงที่มีโครงสร้างอ่อนแอในกรุงเทพฯ มีโอกาสโยกไหวรุนแรงหรือพังโครมลงมาได้ทั้งหลัง คลื่นสึนามิ หรือคลื่นยักษ์ที่ได้ถล่มภาคใต้ 6 จังหวัด เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 มีคนตายไปมากกว่า 5,000 คน บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายมากกว่า 3,000 คน หากรวมกับประเทศที่อยู่ริมทะเลหลายประเทศ ปรากฏว่าคนตายรวมกันมากกว่า 220,000 คน ซึ่งทุกคนส่วนใหญ่ มีความเห็นว่าเป็นมหันตภัยใหญ่ ที่ไม่มีคนไทยคนใดได้เคยพบเห็นมาก่อน แต่ถ้าเทียบกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 (ค.ศ.2008) แล้ว จะเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะจะมีชีวิตชาวโลกเสียชีวิตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในปี 2551 นั้น มากกว่าเหตุการณ์สึนามิครั้งนี้ประมาณ 1,000 เท่า มีหลายเสียงให้ความเห็นมาว่า น่าจะมากกว่า 1,000 เท่า แต่ผู้เขียนขอเพียงตัวเลข 1,000 เท่าก่อน จึงไม่อยากให้เป็น 1,000 ล้านคน ขอเพียงตัวเลข 220 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องสังเวยชีวิตในปี 2551 ก็น่าจะมากพอแล้ว โปรดเก็บบทความนี้ไว้ตรวจสอบ เพราะอีก 3 ปีเศษเท่านั้น เราจะได้รู้เห็นกัน แต่ถ้าโชคดีขยับเคลื่อนไปอีก 9 ปี จากปี 2557 เป็นปี 2560 (ค.ศ.2017) ก็จะมีเวลาวางแผนป้องกันมากขึ้น แต่ไม่ยืนยัน เนื่องจาก ณ ขณะนี้ (มกราคม 2548) โอกาสเกิดมหันตภัยในปี 2551 มีโอกาสมากกว่าปี 2560 อยู่สำหรับจังหวัดใดอยู่ จังหวัดใดหาย ก็ต้องคอยดูกัน

    อันล่างเป็นแผ่นดีโลกที่แสดง รอยราวของเปลือกโลกเห็นแล้วก็ ตกใจ

    [​IMG]

    http://treecom.is.in.th/?md=content&ma=show&id=45

    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    มี "สติ" รู้กาย รู้ใจ อย่างเนืองๆ
    "1784" ศูนย์บรรเทาภัยภิบัติ กระทรวงมหาดไทย
    <!-- / sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    ยังจำได้ไหม

    คาดมนุษย์ต่างดาวที่แม่จันคือ “พวกสีเทา” มาเตือนภัยน้ำท่วม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์ </TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 กันยายน 2548 16:46 น. </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ดร.เทพนมคาดมนุษย์ต่างดาวที่แม่จันเป็น “พวกสีเทา” มาเตือนให้ระวังน้ำท่วม และฝนตกหนัก เผยเคยถ่ายภาพได้ที่ถ้ำใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และ ที่มาให้เห็นแล้วก็จะมาอีก แนะชาวบ้านให้เตรียมกล้องไว้ถ่ายภาพเป็นหลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์
    ความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับสิ่งที่ชาวบ้าน อ.แม่จัน จ.เชียงรายอ้างพบเห็นมนุษย์ต่างดาวกลางทุ่งนานั้น ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิต ผู้ที่ศึกษา และวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และ”ยูเอฟโอ” มากว่า 10 ปี เปิดเผยเพิ่มเติมหลังจาก ที่ได้ส่งผู้เกี่ยวข้องไปสอบถามชาวบ้านประมาณ 10 คนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาว่าชาวบ้านยืนยันว่าเห็นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงหรือภาพลวงตาแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ จนมีชาวบ้านคนหนึ่งพยายาม ที่จะเข้าไปใกล้มนุษย์ต่างดาวก็ลอยหายไปเลย ทั้งนี้ชาวบ้านให้ข้อมูลว่าเห็นมนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆ เดินไปมาที่ทุ่งนาหลายอาทิตย์แล้ว
    ศ.ดร.นพ.เทพนมกล่าวว่า จากลักษณะบอกเล่าของชาวบ้านที่บอกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆ ตาโต แขนขาลีบ ตัวสีเทาตรงกับมนุษย์ต่างดาวที่องค์การบริหารการบิน และอวกาศสหรัฐหรือนาซาเรียกว่า “พวกสีเทา” (The Gray) และสาเหตุที่เขามาก็เพื่อจะเตือนเรื่องน้ำท่วมใหญ่ ฝนตกหนัก และคงไม่ได้มาทำร้ายเพราะถ้าจะทำคงทำไปนานแล้ว ซึ่งมนุษย์ต่างดาวลักษณะดังกล่าว ศ.ดร.นพ.เทพนมเคยบันทึกภาพได้ในถ้ำที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และพร้อมจะเปิดเผยภาพถ่ายดังกล่าว อีกทั้งถ้ามนุษย์ต่างดาวมาให้เห็นก็จะมาอีก ดังนั้นชาวบ้านควรเตรียมกล้องไว้บันทึกเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    พร้อมกันนี้ ศ.ดร.เทพนมยังให้ข้อมูลเพิ่มเติม อีกว่ามนุษย์ต่างดาวมีทั้งหมด 6 พวก คือ 1.พวกที่เหมือนมนุษย์แต่เมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องพิเศษจะไม่พบแสงออราซึ่งเป็นแสงที่พบได้คนทั่วไปที่ยังไม่เสียชีวิต 2.พวกที่คล้ายมนุษย์ซึ่ง “พวกสีเทา” จัดอยู่ในลักษณะดังกล่าว 3.พวกที่คล้ายหุ่นยนต์คือมีทั้ง ที่เหมือนกันหุ่นยนต์ที่เป็นเครื่องจักร และที่ภายนอกลักษณะเหมือนมนุษย์แต่ภายในเป็นเครื่องจักร 4.พวกที่เป็นเกร็ดเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน 5.พวกที่รูปร่างประหลาดๆ มีแขนข้างละ 4 เป็นต้น และ 6.พวกที่มาปรากฏแล้วหายทำตัวคล้ายผีแต่ต่างกันตรงที่มียานสำหรับเดินทาง ส่วนวัตถุประสงค์การมาของมนุษย์ต่างดาวนั้นมีด้วยกันหลายประการ ทั้งที่มาเพื่อสำรวจ มาเพื่อช่วยเหลือ เช่นกรณีที่ อ.แม่จันนี้ หรือกระทั่งมาด้วยหวัง จะยึดครองก็มี
    (คอลัมน์:วิทยาศาสตร์)

    เตือนว่าต่อไปน้ำจะท่วมกาญจนบุรีหรือเปล่า (จากแผ่นดินไหว แล้วเขื่อนแตก หรือเหตุอื่นๆ)
     
  13. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    แขนงรอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์
    โผล่องครักษ์ห่างกทม. 25 กิโลเมตร


    เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม (ทส.) จัดสัมมนาเรื่อง แผ่นดินไหว : ธรณีพิบัติภัยใกล้ตัว นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อธิบดี ทธ. กล่าวถึงการศึกษากลุ่มรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน และรอยเลื่อนเมย ในเขตพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก กำแพงเพชร และกลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ในเขตพื้นที่ จ.กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และตาก ที่ยังไม่แล้วเสร็จว่า ทีมนักวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งเจาะจงพื้นที่ จ.กาญจนบุรีและสุพรรณบุรี โดยอาศัยหลักฐานธรณีสัณฐานที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียม และการตรวจสอบภาคสนาม รวมทั้งได้คัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการขุดร่องสำรวจ เพื่อประเมินหาขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิดในอดีต และช่วงเวลาที่เคยเกิด จำนวน 6 พื้นที่ ดังนี้
    1.บ้านทุ่งมะกอก ต.องค์พระ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิด 7.0 ริคเตอร์ เกิดมาแล้ว 7,000 ปี 2.บ้านแก่งแคบ ต.ท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิด 6.4 ริคเตอร์ เกิดมาแล้ว 1000 ปี 3.บ้านโป่งหวาย ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิด 6.5 ริคเตอร์ เกิดมาแล้ว 1,500 ปี 4.บ้านดงเสลา ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิด 6.0 ริคเตอร์ เกิดมาแล้ว 10,000 ปี 5.บ้านองธิ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิด 7.0 ริคเตอร์ เกิดมาแล้ว 7,000 ปี 6.บ้านทิพุเย ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ขนาดแผ่นดินไหวที่เคยเกิด 6.4 ริคเตอร์ เกิดมาแล้ว 2,000 ปี
    รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยธรณีวิทยาแผ่นดินไหวและธรณีแปรสัณฐาน คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้นักธรณีวิทยาหลายคนกังวลว่านอกจากกลุ่มรอยเลื่อน 6 กลุ่มที่ต้องเร่งศึกษาความเสี่ยงแล้ว ยังพบว่าพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เองก็มีความเสี่ยง เนื่องจากผลการศึกษาระยะที่ 1 โดยใช้ข้อมูลธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ พบว่ามีรอยแขนงที่แตกออกจากรอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์ พาดผ่านเข้ามาทางพื้นที่ตอนใต้ของ กทม. คือบริเวณ จ.สมุทรปราการ และวกเข้าไปใน จ.ชลบุรี น่าเป็นห่วงว่าหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หรือแม้แต่ระดับปานกลางจะกระทบกับพื้นที่ กทม. อย่างมากเพราะเป็นดินอ่อนที่สามารถขยายคลื่นความสั่นสะเทือนให้แรงเหมือนกับการหมุนวิทยุให้เสียงดังขึ้น ทำให้เพิ่มความแรงได้มหาศาล
    รอยเลื่อนที่น่าจะเป็นส่วนต่อของรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ยังไม่มีการศึกษาอย่างละเอียด มีเพียงบางท่อนที่ยังมีพลังอยู่ใกล้กับพื้นที่ไทรโยค ศรีสวัสดิ์ และทางตอนใต้ของเขื่อนเขาแหลม มีแนวโน้มการมีพลังสูงมาก รอยเลื่อนนี้ที่พาดผ่านจากชายแดนพม่า แขนงของมันจะต่อเลยจากด่านเจดีย์เข้ามาถึงทางใต้ของ กทม.คือ บริเวณ จ.สมุทรปราการ ห่างจาก กทม.ประมาณ 25 กิโลเมตร และอีกแขนงไปยัง อ.องครักษ์ จ.นครนายก อีกแขนงไปยังบริเวณแม่น้ำท่าจีน จ.นครปฐม ในช่วง 1-2 เดือนนี้ยังเกิดแผ่นดินไหวจากแถบประเทศพม่า ลาว มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นถี่ปกติหรือเป็นรอบของมันหรือเปล่า ดังนั้น คนไทยควรต้องรู้ถึงสภาวะ และความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภัยแผ่นดินไหว โดย ทธ.ก็ต้องให้ความสำคัญการทำแผนที่พิบัติภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย หลังจากทำแผนที่รอยเลื่อนมีพลังของไทยออกมาแล้ว รศ.ดร.ปัญญากล่าว หน้า 10

    http://giggog.com/social/show_news-2044-2.html

    จากสถิติพบว่าเคยเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงใหม่เป็นชุดเมื่อปี 2538 ซึ่งการเกิดครั้งนั้นประมาณ 4-5 ริกเตอร์ มี 4 ครั้ง ในช่วง 1-2 ปี และหายไปพักใหญ่ และครั้งนี้ผ่านมา 11 ปี มาเกิดความแรงขนาดกลาง จึงทำให้คนตกใจ เพราะรู้สึกได้ ทั้งนี้ในเขตภาคเหนือนั้นมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางระดับ 4-5 ริกเตอร์ โดยไม่จำเป็นต้องเกิดตรงรอยเลื่อนต่างๆ ได้ทุกที่ เนื่องจากใต้พื้นดินมีรอยแตกรอยแยกที่มีจุดอ่อนทางธรณีวิทยากระจายเต็มไปหมด และจะเกิดแบบสะเปะสะปะ แต่ถ้าเป็น 6-7 ริกเตอร์ จึงจะเกิดตามรอยเลื่อน ซึ่งในอดีตเคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง เมื่อหลายปีก่อนเคยมีการขุดทางธรณีวิทยาพบบางตำแหน่ง เคยเกิดแผ่นดิน 6 ปลาย 7 ริกเตอร์ และแผ่นดินไหวขนาดนั้นก็เป็นอันตรายมาก เช่น แถวรอยเลื่อนแม่จัน จ.เชียงราย" ดร.เป็นหนึ่งกล่าว

    สรุปคือถ้าเกิดแผ่นดินไหวตรงรอยเลื่อนใกล้ๆ กทมจะไหวประมาณ 6-7 ริกเตอร์
    ยิ่งกทมเป็นดินอ่อน เกิด 6-7 ริกเตอร์ อาจจะเทียบเท่า 8 ริกเตอร์ได้ - -"





     
  14. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คลื่นลมหนาวโจมตีอินเดีย สังเวยชีวิตเกือบครึ่งร้อย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 มกราคม 2551 18:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเอฟพี
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หมดเวลา ****

    วันนี้
    วันศุกร์ที่ ๔ เดือน มกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๑
    แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑
    เป็นวันสิ้นสุดของ บุรุษผู้ทำหน้าที่แทนโลกุตตระ
    โลกุตตระ มีเวลาจำกัด
    สิ่งที่ฝากไว้ คือ "สัจจะ" การปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    คุณหนุมานจะไปไหนครับ อยากให้คุณหนุมานอยู่ก่อน อยู่เพื่อนำหลักการ แนวคิดอันเป็นประโยชน์ต่อธรรม เพื่อมอบให้กับเหล่าบัวใต้น้ำเช่นผม เพื่อรอการอยู่เหนือน้ำต่อไปครับ
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สงขลาคลื่นแรงแนวหินต้านไม่อยู่ซัดถนนเสียหาย

    [​IMG]

    สงขลา 4 ม.ค. - ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพคลื่นลมในอ่าวไทยที่มีกำลังแรงมาหลายวันว่า ล่าสุด ( 4 ม.ค.) ถนนริมทะเลบ้านปึก หมู่ 10 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา เริ่มได้รับความเสียหาย เนื่องจากแนวกันคลื่นที่กรมทางหลวงชนบทสร้างไว้ชั่วคราวก่อนหน้านี้ ด้วยหินขนาดใหญ่คลุมด้วยตาข่ายไม่สามารถต้านทานแรงคลื่นได้

    นอกจากซัดถนนเสียหายบางส่วนแล้ว ยังทำให้สุสานฝังศพของชาวไทยมุสลิมเสียหายเช่นกัน ทางชาวบ้านจึงช่วยกันนำหินมาวางป้องกันอีก พร้อมกันนี้กรมการขนส่งทางน้ำเตรียมใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท สร้างแนวกันคลื่นเพิ่มเติมบริเวณริมทะเลในพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อ.เมือง และ อ.จะนะ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากคลื่นลมแรงเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม การสร้างแนวหินดังกล่าวนั้น ไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เพราะต้องรอให้คลื่นลมสงบก่อน.- สำนักข่าวไทย

    2008-01-04 10:10:03

    ทะเลนครศรีฯ คลื่นแรงซัดชายฝั่งตะลุมพุก-เซาะถนนเสียหาย

    [​IMG]

    นครศรีธรรมราช 3 ม.ค. - นายประยุทธ ฐานะวัตนา กำนันตำบลแหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังจากเกิดภาวะฝนตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่คืนวันที่ 31 ม.ค.50 จนถึงวันนี้ปรากฏว่า น้ำในลำคลองหลายสายได้ล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มในหลายท้องที่ และยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปริมาณน้ำในลำคลอง รวมทั้งปริมาณน้ำท่วมขังจะขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังพบว่าพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลกระแสคลื่นจากอ่าวไทยทวีกำลังแรง โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่ 2 และหมู่ 3 ต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้ชายหาดมากที่สุดประมาณ 2-3 เมตร โดยความสูงของคลื่น 3-4 เมตร และยังกัดเซาะชายฝั่ง ชาวบ้านต้องงดออกทำประมง ส่วนบริเวณถนนสายปากพนัง-หัวไทร ช่วงบ้านหน้าสตน ต.หน้าสตน อ.หัวไทร ถูกคลื่นเซาะหายไป 1 ช่องทาง เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการใช้หินทิ้งป้องกันเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง แต่หินดังกล่าวถูกคลื่นซัดทลายไป .- สำนักข่าวไทย

    2008-01-03 18:19:17

    พ่อเมืองพัทลุงเตือนพื้นที่เสี่ยงเตรียมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน

    [​IMG]

    พัทลุง 3 ม.ค. - นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณริมฝั่ง และเชิงเขาบรรทัด ในอำเภอกงหรา อำเภอป่าบอน อำเภอตะโหมด อำเภอศรีนครินทร์ และอำเภอศรีบรรพต ระวังน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก เนื่องจากฝนตกหนักมาหลายวัน และระดับลำคลองต่างๆ มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ให้สังเกตสภาพและสีของน้ำอยู่ตลอดเวลา หากมีปริมาณไหลแรงหรือสีแดงขุ่น ควรเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพื่ออพยพออกจากพื้นที่ได้ทันที.- สำนักข่าวไทย

    2008-01-03 15:26:46

    เม็กซิโกเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนทั้งพายุหิมะ และพายุฝน

    [​IMG]
    เม็กซิโก 4 ม.ค.- สภาพอากาศแปรปรวนทั้งพายุหิมะ และพายุฝน ในเม็กซิโก และทางตอนกลางของอเมริกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วหลายราย

    คลื่นความหนาวเย็นที่แผ่ปกคลุมเม็กซิโก และหลายพื้นที่ทางตอนกลางของทวีปอเมริกา ส่งผลให้หลายพื้นที่ในเม็กซิโกมีพายุหิมะโหมกระหน่ำลงมาอย่างที่ไม่เคยป็นมาก่อน ขณะที่บางพื้นที่ผู้คนต้องเผชิญกับพายุฝน ที่กรุงเม็กซิโกซิตี้ เมืองหลวงของเม็กซิโก เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เคราะห์ร้าย 4 ศพหนาวตายกลางถนน ในจำนวนนี้ 1 รายเสียชีวิตเนื่องจากปอดอักเสบ

    ทั้งนี้ตามปรกติชาวกรุงเม็กซิโกซิตี้จะคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิประมาณ 27 องศาเซลเซียส แต่สภาพอากาศแปรปรวนในช่วงนี้ทำให้อุณหภูมิในกรุงเม็กซิโกซิตี้ลดต่ำถึง 0 องศาเซลเซียส ที่รัฐพิวบลา อุณหภูมิลดต่ำลงถึงลบ 5 องศาเซลเซียส ทางการต้องเปิดให้บริการที่พักฉุกเฉินกว่า 100 แห่ง - สำนักข่าวไทย

    2008-01-04 10:06:57

    กรุงจาการ์ตา เตรียมรับมือน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยต้นปีก่อน

    [​IMG]

    จาการ์ตา 3 ม.ค.- กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย เตรียมรับมือกับอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่เคยท่วมเมืองหลวงแห่งนี้มาแล้วเมื่อเดือน ก.พ.ปีก่อน หลังมีการพยากรณ์ว่าจะเกิดฝนตกหนัก

    อุทกภัยเมื่อปีก่อนทำให้มีผู้เสียชีวิต 85 คน ประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดเกิดฝนตกหนักเมื่อวันพุธ ทำให้หลายพื้นที่ของกรุงจาการ์ตา มีน้ำท่วมสูงถึง 2 เมตร แต่ส่วนใหญ่ลดระดับลงแล้ว อย่างไรก็ดี นักอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่าจะเกิดฝนตกหนักในเดือนนี้ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจราว 15,000 นาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและองค์กรนอกภาครัฐกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับอุทกภัยใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นด้วยการเริ่มขุดลอกขยะออกจากแม่น้ำและปรับปรุงประตูระบายน้ำ

    รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอินโดนีเซียกล่าวโทษเมื่อครั้งกรุงจาการ์ตาเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีก่อนว่า เป็นเพราะพื้นที่ระบายน้ำทางธรรมชาติกลายไปเป็นสถานที่ก่อสร้างขนานใหญ่ ทั้งในกรุงจาการ์ตาและพื้นที่ใกล้เคียง แต่ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ในขณะนั้นแย้งว่า อุทกภัยเป็นวงจรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะกรุงจาการ์ตา สร้างขึ้นบนเขตปัตตาเวียเก่า ซึ่งเป็นท่าเรือสมัยเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าอาณานิคม เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และบางพื้นที่ยังต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอีกด้วย.- สำนักข่าวไทย

    2008-01-03 15:06:38

    พายุหิมะกระหน่ำทั่วโรมาเนีย-บัลแกเรีย

    [​IMG]

    บูคาเรสต์ 3 ม.ค. - เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยา เผยพายุหิมะกระหน่ำปกคลุมทั่วโรมาเนียและบัลแกเรีย ในวันนี้ ทำให้ไฟฟ้าดับทั่วเมืองและหมู่บ้านนับร้อยแห่ง เป็นอุปสรรคต่อการจราจร รวมทั้งทำให้ท่าอากาศยาน 2 แห่ง และท่าเรือที่ทะเลดำ ต้องปิดลงชั่วคราว

    เจ้าหน้าที่คาดว่า หิมะที่ตกลงมาตลอด 2 วัน จะยังคงมีไปอย่างต่อเนื่องทั่วโรมาเนียจนกระทั่งค่ำวันนี้ ท่ามกลางอุณหภูมิลดต่ำลงถึงติดลบ 16 องศาเซลเซียส ทำให้การจราจรบนถนนและทางรถไฟขัดข้อง ส่วนที่บัลแกเรีย ซึ่งมีหิมะตกหนักและลมแรงตลอด 2 วัน ทำให้ไฟฟ้าดับในเมืองและหมู่บ้านกว่า 300 แห่ง ขณะที่หมู่บ้านกว่า 30 แห่ง ขาดแคลนน้ำดื่ม. - สำนักข่าวไทย

    2008-01-03 20:02:16

    ที่มา http://news.mcot.net/international/
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เตรียมพร้อมเผชิญกรรม ****

    บ้านเมือง ราชวงศ์ แผ่นดิน สรรพภัย ยุคใหม่
    ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
    เชื่อ โลกุตตระ และ สัจจะ เป็นที่พึ่ง ตลอดชีวิต

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=626 align=center border=0 valign="top"><TBODY><TR><TD class=text5 width=626 bgColor=#414141 height=97>ราคาน้ำมันนิวยอร์กทำสถิติใหม่ พุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์/บาเรล</TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=626 border=0><TBODY><TR><TD width=14 bgColor=#414141>[​IMG]</TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=599 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=599><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width=599 border=0><TBODY><TR><TD class=text4>11:21 น.

    <DD>ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลง 44 เซนต์เมื่อคืนนี้ (3 ม.ค.) อย่างไรก็ตาม ราคาทะยานขึ้นเหนือระดับ 100 ดอลลาร์
    <DD>ต่อบาร์เรลในระหว่างการซื้อขาย และอ่อนตัวลงเล็กน้อย หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า น้ำมันดิบสำรองลดลงเกินคาดวันนี้(4 ม.ค.) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลดลง 44 เซนต์ แตะระดับ 99.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 100.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระหว่างวันขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลดลง 2.75 เซนต์ แตะระดับ 2.5414 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 2.13 เซนต์ ปิดที่ 2.791 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
    <DD>ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลดลง 24 เซนต์ แตะระดับ 97.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า น้ำมันดิบสำรองในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 28 ธ.ค.ร่วงลง 4.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 289.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 840,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตาม น้ำมันเบนซินสำรองเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 207.8 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 770,000 บาร์เรล ส่วนน้ำมันกลั่นสำรองซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล สู่ระดับ 127.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 600,000 บาร์เรล
    <DD>นายทิม อีแวนส์ นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ปในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า "น้ำมันดิบสำรองที่ร่วงลงมากเกินคาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นเหนือระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระหว่างวัน อย่างไรก็ตาม น้ำมันดิบสำรองมักปรับตัวลดลงในฤดูนี้ของทุกปี" ดาวโจนส์ นิวส์ไวร์ รายงานว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้เจ้า
    <DD>หน้าที่ระดับสูงของอินโดนีเซียวางแผนที่จะเรียกร้องให้กลุ่มโอเปคเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อยับยั้งไม่ให้ราคาน้ำมันพุ่งรุนแรงเมื่อวานี้นายไมซาร์ ราห์มัน ผู้ว่าการกลุ่มโอเปคของอินโดนีเซีย กล่าวว่า โอเปคอาจตัดสินใจปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ในการประชุมวันที่ 1 ก.พ. หากปริมาณน้ำมันอยู่ในระดับที่ไม่เพียงพอ พร้อมกล่าวว่าโอเปคมีศักยภาพในการเพิ่มการผลิตอีก 500,000 บาร์เรล/วัน นอกจากนี้ ยังเตือนว่าราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 100-110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=626 align=center border=0 valign="top"><TBODY><TR><TD class=text5 width=626 bgColor=#414141 height=97>บุช กังวลราคาน้ำมันพุ่งถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล</TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=626 border=0><TBODY><TR><TD width=14 bgColor=#414141>[​IMG]</TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=599 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=599><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=5 width=599 border=0><TBODY><TR><TD class=text4>10:12 น.

    <DD>ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ผู้นำสหรัฐมีความวิตกกังวลที่ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่เห็นถึงเหตุผลที่จะต้องนำน้ำมันสำรองทาง ยุทธศาสตร์มาใช้ โดยประธานาธิบดีบุช ชี้แจงว่า จะสามารถนำน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์มาใช้ได้ในเฉพาะกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินและถูกโจมตีจากกลุ่มก่อการร้าย สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เกิดจากรายงานของสหรัฐที่ว่า ปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลกลดลง 400 บาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...