ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 29 มกราคม 2014.

  1. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    ขอบคุณมากๆครับพี่เก่ง สำหรับความช่วยเหลือต่างๆที่สงเคราะห์ผม และ คำแนะนำต่างๆ รวมถึงคำอวยพรครับ ถ้ามีโอกาส อยากจะเจอพี่เก่งกับพี่เฟมข้างบนจัง:cool:
     
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    สาธุค่ะ ขอให้สำเร็จสมหวังดังตั้งใจนะคะ พี่ขอเป็นกำลังใจให้ เพราะเวลาเห็นคนตั้งใจจะไปพระนิพพานทีไร พี่รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง มันต้องอย่างนี้สิ :cool:


    จริงๆพอเห็นทุกข์มากๆเข้า พี่ก็อยากจะไปพระนิพพานกับเขาเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ตอนนี้ใจยังไม่อยากจะลาพุทธภูมิ พี่เลยตั้งใจว่าจะทำบารมีให้ครบไวๆจะได้ไม่ต้องมาเกิดหลายชาติ เพราะยิ่งเกิดนานเท่าไหร่ เราก็จะต้องเจอกับอกุศลกรรมที่เคยทำมาแต่อดีตเข้ามาสนองให้เราเจอแต่ความทุกข์ยากลำบากต่างๆนาๆไม่มีที่สิ้นสุด (แค่ชาตินี้พี่เจอกรรมแต่ละอย่างก็อ่วมแล้ว)


    สำหรับเรื่องสิงห์แดง ก็เป็นอย่างที่น้องว่ามาจริงๆค่ะ ฮ่าๆๆๆ พี่เลยแทบจะไม่เคยคุยกับเพื่อนๆในเรื่องการปฏิบัติธรรม ยกเว้นเพื่อนสนิทที่รู้ว่าพี่เห็นอะไร แต่เวลาพี่บอกพี่จะเนียนๆบอกทำนองว่าพี่ฝัน เพราะบางอย่างถ้าบอกว่านั่งสมาธิแล้วเห็นเนี่ย มันจะดูว่าเราเว่อร์เกินไป เด๋วจะดูไม่เป็นมนุษย์มนากับเขา ทั้งๆที่เราก็ปุถุชนคนธรรมดา ยังโกรธ ยังเสียใจเหมือนกับใครๆเป็น T^T


    จริงๆพี่มองอย่างนี้นะ เรื่องของพุทธศาสนาเนี่ยเป็นเรื่องของจิต พูดง่ายๆก็คือเป็นองค์ความรู้อีกแขนงหนึ่ง แต่เป็นองค์ความรู้ที่ไม่ได้มาจากการขบคิดวิเคราะห์ด้วยความคิด ซึ่งถ้าหากคนๆนั้นปฏิบัติธรรมจนมีจิตเข้าถึงพรหมวิหารธรรม ๔ แล้ว เค้าจะมีจิตที่ประกอบไปด้วยเมตตา ไม่มองคนด้วยฐานะ เชื้อชาติ การศึกษา ศาสนา และเพศ ซึ่งเป็นการก้าวข้ามเรื่องการยอมรับในความหลากหลายไปโดยปริยาย โดยที่คนๆนั้นอาจจะไม่เคยได้รับการศึกษา(educate) ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ในทางโลกมาก่อนด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่ามีการก้าวข้ามมาก่อนศาสตร์ทางโลกเสียอีก ซึ่งนอกจากคนเหล่านี้จะก้าวข้ามเรื่องพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ยังมีพื้นฐานของสมาธิหรือฌานที่จะทำสิ่งต่างๆ และนำไปสู่การได้ญาณต่างๆเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหลุดพ้นอีกด้วย พูดง่ายๆว่าได้กำไรหลายต่อมากกว่าคนทางโลกนั่นเอง อิอิ :p


    หรือถ้าหากว่าเราพูดถึงเรื่องของความเท่ากันของคน ก็จะมีหลักธรรมในทางพุทธศาสนาที่เรียกว่าสังโยชน์ 10 ประการในหัวข้อที่ว่าด้วยมานะกิเลส ซึ่งก็คือ กิเลสละเอียดที่ซ่อนอยู่ ที่ทำให้คนเรามองว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ซึ่งสภาวะนี้พระท่านได้สอนพี่ในตอนที่พี่ฝึกมโนมยิทธิกับอ.ฆราวาส ในตอนที่เรียกว่า "พระท่านมาสงเคราะห์ข้อธรรม-พรหมวิหารธรรม-มานะกิเลส" ซึ่งในตอนนั้นความรู้สึกมันมากกว่าคำว่าการ"มองคนเท่ากัน"เสียอีก ดังนั้นตอนที่พี่เรียนเรื่องประชาธิปไตย หรือเรื่อง"คนเท่ากัน" พี่ก็นึกถึงสภาวะที่ท่านสอนนี่แหละ แล้วพี่ก็นั่งปลาบปลื้มอยู่คนเดียวในขณะที่เรียน


    สำหรับเรื่องเพศที่ 3 ซึ่งถือเป็นเรื่องสุดท้ายที่พี่มีประสบการณ์ พี่จะขออนุญาตพิมพ์ในอีกโพสต์นึงต่างหากนะคะ


    ปล. พี่เรียนที่รังสิตทั้ง 4 ปีเลยจ้า ส่วนตัวพี่ไม่มีคุณธรรมความสามารถอะไรที่จะสงเคราะห์น้องได้จ้า ขอให้น้องเชื่อมั่น และจำอารมณ์ที่ถูกต้องไว้ก่อน แล้วหมั่นสะสมความเคยชินของจิตไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ก้าวหน้าขึ้นเองจ้า ทั้งนี้เพราะหลักการในการทำความดีก็คือ การค่อยๆหมั่นสะสมความเคยชินของจิตอย่างที่น้องบอกเอง(ในกระทู้พี่เก่ง)ว่า การที่คนเราคบกับกิเลสมานานนับชาติไม่ถ้วนนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับสนิมที่ต้องค่อยๆอาศัยการกระเทาะทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ


    ซึ่งเมื่อมานั่งคิดดูเราก็จะพบว่า ชาติก่อนๆนับชาติไม่ถ้วนนั้น กว่าเราจะกระเทาะกาย วาจา ใจของเรา ให้รู้จักทาน(การให้) ให้รู้จักการรักษาศีล(การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น) ซึ่งเป็นส่วนที่หยาบและเห็นได้ชัดนั้น ก็ต้องอาศัยการทำบุญและบารมีมานับภพชาติไม่ถ้วนเหมือนกัน และกว่าเราจะรู้จักการภาวนา(การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นสมถะภาวนาหรือวิปัสสนาญาณ) เราก็ต้องค่อยๆอาศัยการสั่งสมบารมี(กำลังใจ)มานับภพชาติไม่ถ้วนเช่นกัน ดังนั้นน้องจึงถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่สะสมความดีมาดีแล้ว ก็ขอเป็นกำลังใจให้มีความเชื่อมั่นในความดีต่อไป จนสามารถเข้าถึงพระนิพพานตามที่ตั้งใจไว้ในท้ายที่สุดจ้า


    สำหรับวิชา TU 110 เป็นวิชาที่พี่ชอบมาก ตอนที่พี่เรียน พี่คิดตามไปด้วย แล้วก็มีปีติบ่อยครั้งเลยล่ะ พี่ว่าconceptเรื่อง โยงใยที่ซ่อนเร้นของฟริตจ๊อบ คาปร้า เป็นแนวคิดที่ดีเลยนะ เพราะจริงๆแล้วคนเราทุกคน เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างหนึ่งออกมา มันจะก่อให้เกิดผลกระทบไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกับผู้อื่น และด้วยความที่ทุกอย่างมันสัมพันธ์กันนี่แหละ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องตามมาอีกมากมายเลย แม้ว่าเราจะมองเห็น หรือยังมองไม่เห็นก็ตาม เหมือนคำพูดที่ว่า "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว" นี่ไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  3. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ นักปรัชญาและอีกหลายๆศาสตร์ในยุโรป หลายคนหันมาศึกษาสิ่งที่
    พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้ในศาสนาพุทธ ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่น

    ฟริตจ๊อบ คาปร้า (Fritjof Capra) นักฟิสิกส์ปริญญาเอกชาวออสเตรีย ผู้เข้าใจปรัชญาของโลกตะวันออกอย่างลึกซึ้ง ปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา

    :"ปัญญาญาณไม่ได้เกิดจากการคิด แต่เกิดโดยอาศัยกำลังสติไปขยายความรู้สึก (สัมปชัญญะ)"

    แมกซ์ มุลเลอร์(Friedrich Max Muller) นักปรัชญาชาวเยอรมันชื่อดังในคริสต์ศตวรรษที่่ 19 มีความเชี่ยวชาญเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ศาสนา
    :"ประมวลศีลธรรมของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมา"

    คาร์ล กุสตาฟ จุง
    (Carl Gustav Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิสที่มีชื่อเสียงเทียบเท่าซิกมุนด์ ฟรอยด์:"ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ปรัชญาของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เหนือลัทธิอื่นใดอย่างห่างไกล"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2014
  4. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    สาธุครับพี่เฟม ^_^ ถ้ามีโอกาสอยากพบเจอและสนทนาธรรมกับพี่สักครั้งจริงๆครับ ผมยังเป็นคนเลวอยู่มากครับ ถึงแม้ว่าศีลข้อ3จะไม่ขาดทะลุ แต่ก็เว้าแหว่งไป(เป็นลักษณะของการละเมิดศีลแบบช่วยตัวเอง) แต่ผมก็พยายามอยู่นะครับ ถึงแม้ว่าเวลาเห็นผู้ชายหน้าตาดีๆหุ่นดีๆและอย่างอื่นแน่นๆจะเผลอไผลไปก็ตาม(ไม่บ้างอ่ะครับแทบจะตลอดเวลาเลย ฮ่าๆ) แต่ผมก็พยายามจะควบคุมมันนะครับ

    ผมยังจำอารมณ์พระนิพพานที่เคยฝึกมาไดัอยู่เลยครับ เวลานึกถึงสิ่งที่เคยได้เห็น ได้สัมผัสมาทีไร ผมมักจะมีอาการปิติสุข และ ขนลุกชูชันตลอดเลย มันฟินจริงๆนะครับ ฟินกว่าเรื่องกามารมณ์มาก เพียงแต่จิตผมยังติดกับกามารมณ์แบบมากๆอยู่ ยากจะถอนขึ้นได้ T^T แต่ผมจะพยายามต่อไปครับ

    ปล.พี่เฟมอยู่โต๊ะไรอ่ะ เผื่อพี่จะกลายเป็นรุ่นพี่โต๊ะผมเอง :p
     
  5. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    ใช่ค่ะน้องกฤษณ์ นี่เป็นคำที่พระท่านบอกกับพี่ ซึ่งพี่ก็ไม่คิดว่าจะมีวิบากกรรมให้พี่ต้องออกจากการปฏิบัติธรรม และทำให้พี่เกิดความคิดที่จะปฏิเสธเรื่องเหล่านี้แบบชั่วคราว แล้วลองวิพากษ์วิจารณ์หาคำตอบด้วยเหตุด้วยผลโดยเอาศาสตร์ทางโลกมาวิเคราะห์ดู ซึ่งสุดท้ายพี่ก็ได้คำอธิบายมาชุดนึงในแบบฉบับของพี่เองเกี่ยวกับเรื่องของพระนิพพาน โดยคำอธิบายดังกล่าวถือเป็นการมองจากทั้ง 2 ฝั่งคือ ศาสตร์ทางจิต และศาสตร์ทางจิตวิทยา แล้วได้ข้อสรุปออกมาเป็นคำอธิบายในแบบฉบับที่น้องจะเห็นได้ว่า มีปรากฎการณ์ของการประนีประนอมยอมความกัน และเว้นที่ว่างที่ไม่รู้ระหว่างศาสตร์ทั้ง 2 ศาสตร์ดังกล่าว


    ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ตัวพี่เองยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะรู้ในเรื่องดังกล่าวได้ด้วยความสามารถทางจิตนั่นเอง และถ้าพี่รู้ พี่จะไม่มานั่งหาคำอธิบายที่ดูมีเหตุมีผลที่พอจะยอมรับได้ให้กับตัวเองหรอก แต่เพราะตอนนั้นมันเกิดการขัดแย้งอย่างมากมายต่อศาสตร์ทางจิตที่พี่มี กับศาสตร์ความรู้ทางโลก ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น (อยากให้น้องนึกถึงการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัย กับสมาธิ ฌาน มโนมยิทธิ และญาณต่างๆดูนะคะ แล้วน้องน่าจะพอเข้าใจว่ามัน clash กันไม่น้อยเลย - -*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  6. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    สุขที่ได้จากการกระทำทางโลกมันไม่ใช่สุชที่ยาวนานและแท้จริงเลยครับ แต่เราก็ยังทำ และชอบที่จะทำอาจจะเพราะความเคยชิน เวลาสุขก็สุขมาก เวลาทุกข์ก็ทุกข์มากเช่นกัน
     
  7. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุค่ะน้องต๋อง ไหงกลายเป็นรวมมิตรชาวสิงห์ไปได้ซะนี่

    จริงๆพี่ไม่ได้ประยุกต์อะไรมากมายหรอกค่ะ อาศัยว่ามีสมาธิเล็กๆน้อยๆตอนนั้น แล้วก็มีประสบการณ์ทางจิต และองค์ความรู้ทางจิตมา แล้วดันเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาตอนเรียนเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้ใครๆก็ทำได้

    และความรู้ที่เกิดขึ้นมาบ้างเล็กๆน้อยๆนี้ ก็เทียบอะไรไม่ได้เลยกับอภิญญา ที่เวลารู้ไม่ต้องมานั่งคิดวิเคราะห์ นิยามความหมาย ใช้หลักการอะไรให้วุ่นวาย เพียงแค่อาศัยกำลังจิตรู้ในขณะนั้นเลย

    ว่าแต่อาชญวิทยาเป็นยังไงอ่ะค่ะ น่าสนใจมากๆอ่ะ :)
     
  8. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุค่ะพี่เก่ง ขอบคุณนะคะที่นำประวัติของทั้ง 3 ท่านมาให้อ่าน เรียนมาแล้วก็คืนครูไปหมดแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ

    จริงๆตอนเรียนเฟมไม่ค่อยขยันเรียนเท่าไหร่ค่ะพี่ มัวแต่ปฏิบัติธรรม มุ่งมั่นงานสาธารณะประโยชน์มากกว่า เลยโดดเรียนบ่อย อิอิ ;P
     
  9. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ยังไม่เคยอ่านประวัตินักปราชญ์ตามที่พี่เก่งเขียนมาเลยสักคน ว่างๆคงจะต้องไปหาความรู้สักหน่อยละครับ

    ตอบพี่เฟมนะครับ สาขาอาชญาวิทยา จริงๆชื่อเต็มสาขาที่ผมเรียนคือบริหารงานยุติธรรมและความปลอดภัย เนื้อหาที่เขียนก็จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ อาชญาวิทยา สาเหตุการกระทำความผิดของแต่ละบุคคล วิชาการป้องกันแก้ไขผู้กระทำความผิด โยงมาถึงกระบวนการทางระบบงานยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ ศาล อัยการ ราชทัณฑ์และส่วนที่เกี่ยวข้องครับ ผมเรียนแล้วก็สนุกดี บางครั้งผมก็ชอบคิดว่า คนที่เขากระทำความผิดแบบนี้เราจะเอาหลักธรรมอะไรในทางพระพุทธศาสนาไปช่่วยแนะนำเขา ให้เขาไม่ทำผิด
     
  10. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับวาทกรรมและภาษาในพระไตรปิฎกของพี่เฟม มันทำให้ผมเข้าใจอะไรๆได้อีกมากเลยล่ะครับ ภาษาเป้นของหยาบ มันใช้สื่อสารไดัแต่ภาษา(ของมนุษย์) มันก็ไม่สามารถที่จะสื่อความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารออกไปได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงตัองปฎิบัติเพื่อพิสูจน์'ความจริง' ที่ภาษาพยายามจะถ่ายทอดออกไป ผมเข้าใจแบบนี้ถูกใช่ไหมครับ ^_^

    ปล.วาทกรรมกับภาษาศาสตร์เป็นวิชาของคณะอะไรอ่ะครับ เผื่อผมจะเอาไปลงเรียนเป็นวิชาเลือกเสรีบ้าง ฟรือมันอยู่ในTU120 แล้วหว่า
     
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ เป็นสิ่งที่ดีมากๆเลย จริงๆพี่เพิ่งอ่านเจอในเฟซบุ๊คว่ามีนักร้องคนหนึ่ง(ประเทศไหนจำไม่ได้) พี่แกติดคุกแล้วเห็นว่าสภาพเพื่อนๆในนั้นจิตใจแย่มาก เค้าเลยจัดงานดนตรี(มั้งถ้าจำไม่ผิด) เล่นดนตรีเสร็จแล้วก็ยกเครื่องดนตรีให้นักโทษเหล่านั้น เพราะพี่แกมองว่าตัวเองมีทักษะและประสบการณ์ในเรื่องนี้ เลยเกิดไอเดียมาช่วยเหลือคนอื่น อ่านแล้วชอบมาก คิดอยู่เหมือนกันว่าจริงๆแล้วคนเราแต่ละคนก็มีศักยภาพ ความฉลาด ความเก่งที่ไม่เหมือนกันเลย ถ้าเรารู้จักเอามาใช้ เอามาช่วยคนอื่น จะเป็นอะไรที่ดีมากๆ


    ปล. พี่รู้จักพี่คนหนึ่ง เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อเหมือนกัน เป็นคนที่เก่งทั้งทางโลกทางธรรมคนหนึ่ง ทางโลกเก่งวิทยาศาสตร์ ส่วนทางธรรมนั้น มโนมยิทธิ ญาณ สมาธิ และวิปัสสนาญาณถือว่าเป็นคนที่พี่นับถือเป็นแบบอย่างที่ดีคนหนึ่งเลยล่ะ ทีนี้พี่เค้ามีงานอดิเรกชอบเล่นดนตรี พี่เค้าก็พูดกับพี่นะว่า เวลาที่เล่นดนตรี พอจิตเริ่มผ่อนคลาย มันก็จะเข้าสู่โหมดสมาธิ เค้าก็จับเป็นกรรมฐานไปด้วย ซึ่งกรรมฐานที่เค้าจับบางทีก็สมถะ บางทีก็วิปัสสนาญาณ (ก็เหมือนกับที่พี่ฟังเพลงแล้วทำสมาธิบ้างนั่นแหละ อิอิ) ตรงนี้ถือว่าเอา tips มาแชร์กันเนาะ ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ใช่จ้า คือพี่เรียนมาประมาณนั้นเลยล่ะ แล้วตอนเรียนเหมือนมีคำถามเรื่องพระไตรปิฏก พี่เลยเอามาประมวลซะ โดยจับอารมณ์อุปจารสมาธิหาคำตอบอ่ะ สรุปคือต่อให้ภาษาจะเปลี่ยน ถูกแก้ ฯลฯ ก็มิได้มีผลต่อสภาวะธรรมต่างๆในนั้น


    แล้วอย่างเรื่องพระนิพพานน่ะ พี่เคยกราบถามพระท่านแล้วถึงสภาวะพระนิพพานว่าเป็นอัตตา หรืออนัตตา แล้วท่านก็ตอบมาว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง จะเอาอัตตา หรืออนัตตาไปใช้กับสภาวะพระนิพพานไม่ได้ ซึ่งพี่รู้มาแล้วแต่ยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกมาก่อน ตอนหลังก่อนจะเขียนโพสต์นี้เลยแว่บไปหาความรู้มา ก็เห็นเลยว่าพระไตรปิฏกเขียนไว้ว่าอย่างไร (ถ้าไปอ่านดูจะเห็นว่าจะเขียนไว้ประมาณว่าอันนี้ก็ไม่ใช่นิพพาน อันนี้ก็ไม่เรียกว่านิพพาน ประมาณนี้) พอเห็นดังนั้นพี่ก็เลย เอาล่ะ ขอเขียนมันซักครั้ง ใครจะว่าบ้าก็ตามใจ ก็รู้มาทั้งทางจิต ทั้งทางปริยัติแล้วนี่


    ดังนั้นสรุปว่า สภาวะธรรมนั้นอธิบายเป็นคำพูดได้ยากมาก ต้องลองทำเอง อย่างพี่ตอนแรกๆเวลาเกิดปีติ หรือทำสมาธิจิตนิ่งๆ พี่ก็รู้สึกว่าจิตใจมันเยือกเย็น ชุ่มชื่น อย่างบอกไม่ถูก และพี่ก็ชอบเรียกสภาวะนี้ว่า เย็นเหมือนมีลูกอมฮอล์หลายๆเม็ดมาอยู่ในจิตอ่ะ ตอนหลังๆถึงจะใช้คำว่า"ฟิน"ตามสมัยนิยม :p


    ปล. ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะเรียนวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์นะ อ.ให้อ่านชีทพวกนี้อ่ะ แล้วตอนหลังพี่ก็เรียนภาษาศาสตร์เบื้องต้นด้วย ส่วน TU120 เรียนแล้วเกรดเน่ามากเรย ไม่เหมือน TU110 เรียนไปฟินไป อิอิ (จริงๆเวลาเรียนน่าจะใช้ภาษาง่ายๆหน่อยเนาะ ตอนพี่อ่านชีทเวียนหัวมาก เพราะเป็นบทความแปลจากอังกฤษมาไทย แล้วพอแปลเป็นไทยแล้วมันแปลกๆอ่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  13. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    แฮ่ ดีใจจังที่เข้าใจถูกต้องง ^__^
     
  14. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    เห็นพี่เฟมพูดถึงเรื่องพี่ที่พี่เฟมเคารพนับถือแล้วนึกถึงตอนประมาณม.3ครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้นมีครูสอนวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง น่าจะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแบบเรา ก่อนจะสอนท่านจะเปิดรูปพระวิสุทธิเทพ(ในตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ) แล้วท่านก็จะสอนให้ทำสมาธิ แล้วให้เราจำภาพพระวิสุทธิเทพ:สมเด็จองค์ปฐม และหลับตาทำสมาธิแล้วให้เราน้อมจิตของเราไปกราบพระท่านบนพระนิพพาน ตอนนั้นเค้าให้ทำอะไรผมก็ทำแหละครับ ไม่ได้รู้ความอะไรหรอกครับ ตอนนั้นก็ยังคิดเลยว่าบนพระนิพพานมีสภาพเป็นเมืองด้วยหรือ แล้วสมเด็จองค์ปฐมท่านคือใคร ผมพิ่งมานึกเรื่องนี้ได้เมื่อไม่นานนี้เองล่ะครับ

    ปล.ถ้าจำไม่ผิดเป็นภาพนี้เลยครับ ตามที่ผมได้แนบไว้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.2 KB
      เปิดดู:
      237
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2014
  15. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    มันเป็นภาาาวิชาการไงครับพี่เฟม 555555 TU120 เป็นวิชาที่ผมเรียนแล้วมีความสุขมากก แล้วก็TU111 ด้วย (อารยธรรมไทย/ไทยในมุมมองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม) ไม่แน่ใจว่าเป็นวิชาเดียวกันรึเปล่า วิชานี้ทำผมได้Aแหละครับ อิอิ A ตัวแรกในชีวิตการเรียนมหาลัย
     
  16. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    555 เก่งมากค่ะน้องกฤษณ์ จริงๆ TU120 ตอนพี่เรียนก็เรียนพวกวาทะกรรม เพศสภาพ เพศวิถี อะไรพวกนี้แหละ แต่ที่พี่เรียนแล้วไม่ success น่าจะเป็นเพราะชีทแปลได้มึนมาก เลยไม่ค่อยสนใจเรียน และอีกอย่างก็คืออ.ที่สอน เพิ่งถูกเปลี่ยนให้มาสอนวิชานี้อ่ะ อิอิ


    "เพศที่ 3 กับการปฏิบัติธรรม"


    ว่าด้วยเรื่องเพศที่ 3 กล่าวกันแบบกว้างๆได้ว่า ตอนนี้องค์ความรู้ทางโลกทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางสังคมศาสตร์ในเรื่องเพศที่ 3 มีเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยจุดเริ่มต้น(เท่าที่พี่ศึกษามา)คือ ในปีค.ศ. 1970 สมาคมจิตแพทย์ของสหรัฐอเมริกาได้ลงมติและประกาศว่า "รักร่วมเพศไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจแต่อย่างใด" (โปรดอ่านรายละเอียดจากหมายเหตุท้ายเรื่อง) ส่วนในทางพุทธศาสนานั้น เรามักจะได้ยินข้อสงสัยทำนองว่า"เพศที่ 3 นั้นไม่สามารถบรรลุธรรมได้จริงหรือไม่?" พี่จึงอยากจะแชร์ประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าวให้น้องพิจารณาดู


    จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อพี่อายุประมาณ 5-6 ขวบ(สมัยยังเป็นเด็กอนุบาล) ตอนนั้นพี่เริ่มมีความรู้สึกชอบเพศเดียวกัน และมีนิสัยชอบเล่นเตะต่อย ต่อสู้กับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน (นิสัยของพี่ส่วนนี้ได้บอกรายละเอียดไว้แล้วในตอน"พุทธภูมิ-พรหมวิหาร ๔-งานสาธารณะประโยชน์ ") และเมื่อพี่เริ่มโตขึ้น ความรู้สึกชอบพอดังกล่าวนี้ก็เริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ...


    และแล้วในวันหนึ่ง ตอนที่พี่อยู่ชั้นป.6 คุณพ่อและคุณแม่พี่ก็เริ่มแสดงออกให้พี่ทราบว่าท่านไม่โอเคกับสิ่งที่พี่เป็น และต้องการให้พี่เลิกมีพฤติกรรมในลักษณะนี้ และท้ายที่สุดแล้ว เท่าที่พี่จำความได้ก็คือ ตอนที่พี่เรียนอยู่ชั้นม.1 คุณพ่อและคุณแม่พี่ก็ได้พูดกับพี่อย่างเด็ดขาดว่าให้พี่เลิกเป็น เพราะท่านไม่สามารถรับได้กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับพี่เป็นอย่างมาก ถึงขนาดแอบไปร้องไห้หนักๆอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรู้ ...


    ตอนที่พี่ร้องไห้นั้น พี่รู้สึกเสียใจมาก และเกลียดตัวเองอย่างรุนแรง กล่าวคือ พี่เกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็น เกลียดที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่พ่อแม่พี่คาดหวัง เพราะพี่ไม่สามารถทำได้ และเกลียดที่พ่อและแม่พี่ไม่รับรู้และเข้าใจในสิ่งที่พี่เป็น พี่อยากจะบอกว่า ตั้งแต่พี่โตมา นอกจากพี่จะต้องเผชิญกับคำพูดและความคิดของคนในครอบครัวแล้ว พี่ยังต้องเผชิญกับคำพูด สายตา และความคิดของคนอื่นๆรอบข้างในสังคมอีกด้วย ทั้งหมดนี้ถือเป็นสิ่งที่สร้างความสะเทือนและกระเทือนในจิตใจของพี่เป็นอย่างยิ่งที่ต้องเกิดมาเป็นเพศที่ 3 ...


    และแล้วในวันหนึ่งพี่ก็ได้มาพบกับอ.ฆราวาส โดยอ.ได้บอกกับพี่ว่าถึงแม้พี่จะทำบารมีพุทธภูมิเลยจุดที่จะต้องเกิดเป็นผู้หญิงแล้ว แต่ด้วยเหตุที่พี่เจ้าชู้มาก ทำให้บรรดาคู่ครองทนไม่ไหว(ชาตินั้นมีแฟน 5 คน)และสาปแช่งพี่ให้มาเกิดเป็นผู้หญิง โดยอ.บอกว่าการเกิดเป็นหญิงในครั้งนี้มีข้อดีคือ พี่จะได้เรียนรู้การเป็นผู้หญิง จะได้มีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้หญิง และเมื่อเกิดเป็นชายอีกครั้งก็จะเป็นผู้ชายที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีนิสัยอย่างในอดีตที่แล้วๆมานั่นเอง และที่สำคัญพี่จะต้องเรียนรู้การเป็นเพศที่ 3 และซักวันหนึ่งพี่จะรู้วิธีการแก้นิสัยความเป็นเพศที่ 3 ว่าจะต้องทำอย่างไร และเมื่อถึงตอนนั้นพี่จะสามารถสอนคนอืนๆได้ *** ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเป็นเพศที่ 3 นั้นไม่ต้องแก้ แต่ให้ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆจนบารมีเต็ม ซึ่งส่วนนี้จะขออธิบายไว้ในบันทึกท้ายเรื่องจ้า


    ทั้งนี้นอกจากอ.ฆราวาส ยังมีหลายคนบอกว่า การที่พี่ต้องเกิดเป็นผู้หญิงนั้นเป็นเพราะว่าพี่เจ้าชู้มาก โดยในอดีตนั้นพี่เป็นนับรบ แล้วเวลาไปทำสงคราม ผ่านเมืองใดเป็นต้องผูกมิตรไมตรีมีแฟนไว้เสมอเมืองละ 1 คน (ประมาณเดียวกับที่พี่ softkid9 เป็น) บางคนก็บอกว่าการที่พี่เป็นผู้หญิงนั้นเป็นเพราะว่าพี่ต้องมาทำบารมีพิเศษที่ตกหล่นอยู่ สรุปว่าพี่ได้คำบอกกล่าวจากหลายคนมาก ซึ่งตัวพี่เองยอมรับว่า พี่ไม่เคยทราบจากพระท่านและสามารถพิสูจน์ได้เลย รู้แต่ว่าสิ่งยืนยันเพียงสิ่งเดียวที่พี่มีก็คือ เหตุการณ์ก่อนที่พี่เกิดที่คุณแม่เล่าให้พี่ฟังว่า ตอนที่คุณแม่ท้องพี่อยู่นั้น เวลาท่านสวดมนต์ (คุณแม่ท่านเป็นคนที่ชอบสวดมนต์มาก สวดเป็นประจำเกือบทุกวัน) ท่านมักจะชอบมองเจ้าแม่กวนอิมอยู่เสมอๆโดยที่ยังไม่ทราบว่าลูกในท้องนั้นเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งเรื่องนี้แม่พี่บอกกับพี่ว่าน่าจะเป็นเครื่องบ่งบอกบางอย่าง (ซึ่งพี่ตีความหมายน่าจะหมายถึงพุทธภูมิที่เป็นผู้หญิง)


    โดยในช่วงเริ่มแรกพี่ถูกสอนจากอ.ฆราวาสว่า คนที่เป็นเพศที่ 3 นั้นไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้ เนื่องจากขาดความเห็นตรง(สัมมาทิฐิ)ในธรรมชาติเบื้องต้นคือ เพศของตนเอง อันจะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงธรรมะที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป ทั้งนี้เพราะอารมณ์จิตของเพศที่ 3 กล่าวโดยคราวๆก็คือ มีอารมณ์จิตที่ไม่พอใจในเพศของตนเอง มีความอยากเป็นเพศที่อยู่ตรงกันข้ามกับเพศของตน และมีความพึงพอใจในบุคคลที่เป็นเพศเดียวกันกับตนนั่นเอง


    และด้วยกรรมของพี่ พี่รู้สึกแย่เป็นอย่างมากกับการที่ต้องเกิดมาเป็นเพศที่ 3 และมีความรู้สึกว่าจะต้องแก้ไขกรรมดังกล่าว ซึ่งพี่ก็ทำโดยการพยายามปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในวันหนึ่งเมื่อพี่อายุได้ 18 ปี ก็มีเหตุให้พี่ได้ทรงอารมณ์อุปจารสมาธิและทราบด้วยอาการแบบจิตตอบจิตว่า ในอนาคตข้างหน้าเมื่อพี่เข้ามหาวิทยาลัยพี่จะต้องเจอกับคนที่เคยเป็นคู่ครองในอดีต(เป็นคนละคนกับในเรื่อง"ยถากัมมุตาญาณ-ผลกรรมในอดีตชาติที่ผิดศีลข้อ ๓") ซึ่งสุดท้ายบุคคลที่พี่เจอก็มีลักษณะตามที่ท่าน(ไม่ทราบว่าท่านไหน)บอกมาทุกประการ ดังนั้นนอกจากพี่จะรู้สึกแย่และเพียรพยายามปฏิบัติธรรมแล้ว พี่ยังต้องเผชิญกับคู่เวรคู่กรรมที่เข้ามารบกวนจิตใจอีกด้วย (น่วมสุดๆ T^T) ซึ่งพี่ก็ใช้กลยุทธ์ตามที่ท่านซุนวูกล่าวเอาไว้คือ "หนี คือ สุดยอดแห่งกลยุทธ์" ค่ะ ฮ่าๆๆ


    และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวพี่เองก็คือ หลังจากที่พี่ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ พี่จะเริ่มเห็นอารมณ์จิตที่มีความไม่พอใจในเพศของตัวเอง และเห็นอารมณ์จิตที่เกิดความรู้สึกชอบใจในเพศเดียวกันมากขึ้น ซึ่งอารมณ์ที่ว่านี้เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง ที่เป็นผลมาจากอกุศลกรรมที่เคยทำไว้ และส่งผลให้จิตเกิดนิวรณ์ ๕ ประการอันเป็นอุปสรรคของการทำสมาธิ ซึ่งพี่แก้ไขด้วยการทรงสมาธิหรือพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ โดยเมื่อทำไปเรื่อยๆ จิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่จิตจะหันมาทำสมาธิภาวนาและทรงฌานมากขึ้น แทนที่จะเกิดอารมณ์จิตที่ไม่พอใจในเพศของตนเอง หรืออารมณ์จิตที่เกิดความชอบในเพศเดียวกันนั่นเอง


    และด้วยเหตุที่พี่เริ่มหันมาพิจารณาในวิปัสสนาญาณมากขึ้น(ดังที่ได้กล่าวรายละเอียดไว้ใน"พระท่านมาสงเคราะห์ข้อธรรม-พรหมวิหาร ๔-มานะกิเลส") พี่ก็จะเริ่มเห็นว่า ร่างกายของเรานั้นไม่ใช่เรามากขึ้น และจุดนี้นี่เองที่ทำให้จิตของพี่เริ่มมองข้ามประเด็นในเรื่องเพศไปโดยอัตโนมัติ เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวร่างกายของเรานี่แหละ ที่เป็นกิเลสเครื่องผูกมัดจิตใจของเรายิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพศไหนมันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย


    ทั้งนี้ด้วยความที่บารมีพี่ยังอ่อน สภาวะทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาญาณตามที่ได้กล่าวมานั้น จึงเกิดขึ้นในแต่ละวันน้อยกว่ากิเลสต่างๆมากมายนัก ดังนั้นวิบากกรรมดังกล่าวนี้ ก็จะส่งผลกับเราเป็นเรื่องปกติ ซึ่งพี่เองเวลาไปเจอคนหน้าตาดี ก็จะลััลลาเป็นธรรมดาค่ะ อิอิอิ :p


    บันทึกพิเศษท้ายเรื่อง


    *** บทความนี้ถือเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะสร้างความเข้าใจในเรื่องของเพศที่ 3 ด้วยการลดความไม่รู้ ความเข้าใจผิดต่างๆ อันนำมาซึ่งการสร้างกรรมต่อกันทั้งทางกาย วาจา ใจ ต่อบุคคลที่เป็นเพศที่ 3 ทั้งนี้เพราะคนเรานั้น ไม่มีใครที่ไม่เคยเกิดมาเป็นเพศที่ 3 ด้วยผลแห่งอกุศลกรรมเลยแม้แต่คนเดียว เพราะแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อครั้งที่ยังเวียนว่ายตายเกิดนั้น ท่านต่างก็เคยเกิดมาเป็นบุคคลเพศที่ 3 แล้วทั้งสิ้น


    *** ดังนั้น ศิลปะอย่างหนึ่งในการเวียนวายตายเกิดก็คือ การรู้จักสร้างบุญบารมีให้มากที่สุด และลดการสร้างอกุศลกรรรมต่อกันให้น้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดการจองเวรซึ่งกันและกันต่อไปในภายภาคหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะคนเราทุกคน แม้ชาตินี้จะไม่ได้เกิดมาเป็นบุคคลเพศที่ 3 ก็ตาม แต่ผลกรรมในอดีตที่เคยละเมิดศีลข้อที่ 3 นั้น ยังมีและรอการส่งผลเหมือนกันทุกคน ดังนั้นการที่เราสร้างอกุศลกรรมทางวาจาและกายต่อบุคคลที่เป็นเพศที่ 3 ย่อมเป็นการสร้างอกุศลกรรมแก่ตนเอง และสร้างเวรกรรมต่อเขาเหล่านั้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลกับเราเช่นเดียวกันเมื่อถึงคราวที่กฎแห่งกรรมดังกล่าวให้ผล


    *** จริงๆแล้วกรรมของการเป็นเพศที่ 3 นั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติธรรมอย่างที่เข้าใจกัน ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วมันไม่ต้องแก้ แต่ให้เราตั้งใจปฏิบัติธรรมทั้งสมถะภาวนาและวิปัสสนาญาณไปเรื่อยๆ จนจิตมีบารมีเต็มคือมีกำลังใจเต็มที่จะทรงอยู่ในความดีตลอดเวลา เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเข้าถึงธรรมได้เอง ด้วยเหตุที่ว่าจิตนั้นเสวยเพียงอารมณ์เดียว ดังนั้นจิตที่มีบารมีเต็มก็จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงเพียงอย่างเดียวเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่เป็นเพศที่ 3 จึงสามารถปฏิบัติสมถะภาวนาและวิปัสสนาญาณได้เช่นเดียวกับคนทั่วๆไปโดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความเป็นเพศที่ 3 ของตนเอง เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับบารมี(กำลังใจ)ของท่านนั้นๆ ว่าจะสามารถทรงอยู่ในอารมณ์ฌานและวิปัสสนาญาณได้หรือไม่เท่านั้นเอง จึงอยากขอให้ท่านผู้อ่านที่เป็นเพศที่ 3 ลองปฏิบัติดูว่าจะเกิดผลเช่นไรบ้าง


    *** และด้วยความที่ปรารถนาพุทธภูมิ จึงมองว่ากรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา และมองว่าผลกระทบหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้น ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาศักยภาพความสามารถทั้งทางโลกและทางธรรมทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ การสร้างความรู้และความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งส่งเสริมสิทธิเสรีภาพที่เขาเหล่านั้นควรมี อันจะทำให้เขาเหล่านั้นไม่ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่ต้องรู้สึกกดดันจากปทัสถานของสังคมรอบข้าง และสามารถดำเนินชีวิตมีครอบครัวอย่างมีความสุขได้เช่นเดียวกับคนทั่วๆไป รวมถึงมีความมั่นใจในความดีของตัวเองว่า สามารถที่จะปฏิบัติธรรมในทาน ศีล ภาวนาได้เช่นเดียวกับคนทั่วๆไป และเมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เหมือนกันนั่นเอง


    *** ในปีค.ศ. 1970 สมาคมจิตแพทย์ของสหรัฐอเมริกาได้ลงมติและประกาศว่า รักร่วมเพศไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตใจแต่อย่างใด ส่วนเรื่องการเข้าใจผิดว่ารักร่วมเพศเป็นความวิปริตทางเพศนั้น ความจริงคือ ไม่ใช่ หากแต่คำว่า "วิปริตทางเพศ" ในปัจจุบัน มีความหมายเพียงประการเดียว คือ คนที่ได้มาซึ่งความสุขและความพึงพอใจทางเพศด้วยวิธีการที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ถ้ำมอง ชอบโชว์อวัยวะเพศ ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม คนวิปริตทางเพศ ในความหมายนี้ก็เกิดขึ้นได้ทั้งคนรักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้าม


    *** โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้การยอมรับและมีเอกสารรับรองในเรื่อง "รักในเพศเดียวกัน"มานานแล้ว แต่สังคมส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจ จึงทำให้การรักเพศเดียวกัน ซึ่งมีอยู่ทั้งในมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ถูกให้ความหมายว่า เบี่ยงเบน และนำไปสู่ความกลัว การรังเกียจ เกิดความรู้สึกแบ่งแยก และเลือกปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2014
  17. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    อนุโมทนาสาธุครับน้องเฟม ความรู้สึกของพี่ตอนวัยรุ่นนั้น ก็คล้ายๆกับน้องเฟม คือมีคนเข้าใจพี่ผิดคิดว่าเราเป็นแต๋วซะอย่างงั้น เป็นแบบนี้บ่อยครั้งจนเป็นเรืิ่องปกติ ทั้งๆที่เราก็เป็นผู้ชายปกติ กรรมตัวนี้ส่งผลกับผมหลายปีจนวางใจชินเป็นเรื่องปกติไปแล้ว กรรมตัวนี้เพิ่งจะมาคลายตัวเมื่อซัก 4-5 ปีมานี่เอง เมื่อก่อนหน้าเรียว ยาว ตาหวานๆเยิ้มๆ สูงโปร่ง 182 ซม. ไม่ใส่แว่น เดี๋ยวนี้หน้าหดสั้น แก้มกลมแบบส้มแป้น ใส่แว่น ผมหงอก ผมบาง เริ่มจะเถิกแล้ว ลงพุง ผิวสองสี(สีดำมาแทนสีขาว) ความสูงยังเท่าเดิม นี่ละครับสิ่งที่ไม่เที่ยง "เราก็ตามพิจารณาสังขาร ร่างกายที่เป็นเหมือนบ้านเช่า พอถึงเวลาก็ต้องคืนธรรมชาติเค้าไป ไม่เหลืออะไรที่เป็นของเราเลย เพราะร่างกายเรามันเป็นภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง เพียงแต่เป็นภาพลวงตาที่มีสภาพให้เราเห็นนานหน่อยนึงแค่นั้นเอง เมื่อ 100 ปีก่อนก็ไม่มีตัวเรา หลังจากนี้อีก 100 ปีก็ไม่มีตัวเราอยู่เช่นกัน"

    สองภาพข้างล่างนี้ ให้ท่านผบ.ทบ.ดูเปรียบเทียบ ท่านยังหัวเราะเลย ท่านบอกว่าภาพเปรียบเทียบสื่อได้ใกล้เคียงแต้ๆ

    อันนี้ภาพเชิงเปรียบเทียบพี่เมื่อตอนวัยรุ่น ประมาณนี้แหละครับ

    [​IMG]



    อันนี้ภาพเชิงเปรียบเทียบพี่ตอนปัจจุบันเป็นแบบนี้ละครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  18. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ โฮ่ หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวมากค่ะพี่ (ท่านผบ.ทบ.อย่าเข้าใจผิดน้องนะคะ ฮ่าๆๆ)

    ของพี่ softkid9 นี่ดีกว่าเฟมมากเลย ของเฟมนอกจากจะมีกรรมที่ว่าเข้ามาส่งผลแล้ว ยังเจอคู่เวรคู่กรรมอีก แต่ละคนที่เจอพอเรารู้สึกตัวว่าแปลกๆก็หนีลูกเดียวค่ะ ไว้จะมาเล่าต่อให้ฟังค่ะ แต่ตอนนี้ขอแว่บไปทำธุระก่อนนน ;)
     
  19. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    พอดีว่าวันนี้เล่นเฟซบุ๊คแล้วเจอธรรมะดีๆมาฝากทุกๆท่านค่ะ ถือเป็นหลักสำหรับท่านที่ต้องการญาณ 8 ประการ ซึ่งจะมีผลให้ท่านผู้นั้นมีความคล่องตัวในฌาณ ญาณ และเกิดอารมณ์จิตในวิปัสสนาญาณได้ง่ายและทรงตัว เหมาะสำหรับท่านที่มาทางสายเตวิชโช และอภิญญานะคะ :)


    " ได้ฌาน ๔ "


    การใช้ญาณเมื่อชำนาญในฌาน ๔ แล้ว ท่านให้เข้าฌาน ๔ ให้เต็มขนาดของฌานก่อน จนจิตสงัดเป็นอุเบกขาดีแล้ว ค่อย ๆ คลายจิตออกมาสู่อุปจารสมาธิแล้ว กำหนดจิตอธิษฐานว่า ขอภาพที่ต้องการจงปรากฏ แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ออกจากฌาน ๔ กำหนดรู้ ภาพที่ต้องการจะปรากฏแก่จิต คล้ายดูภาพยนต์พร้อมทั้งรู้เรื่องไปตลอด


    จะใช้ญาณอะไรก็ตาม ทำเหมือนกันหมดทุกญาณ จงพยายามฝึกฝนให้คล่องแคล่วว่องไว ต้องการเมื่อไรรู้ได้ทันที การรู้จะคล่องหรือฝืดขึ้นอยู่กับฌานถ้าเข้าฌานออกฌานคล่อง การกำหนดก็รู้ก็คล่อง ทั้งนี้ต้องหมั่นฝึกหมั่นเล่นทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง เล่นทั้งวันทั้งคืนยิ่งดี ความเพลิดเพลินจะเกิดมีขึ้นแก่อารมณ์ ความรู้ความฉลาดจะปรากฏ ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในส่วนแห่งวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเกิดจะปรากฏแก่จิตอย่างถอนไม่ออกความตั้งมั่นในอันที่จะไปสู่พระนิพพานจะเกิดแก่จิตอย่างชนิดไม่ต้องระวังว่า จิตจะคลายจากพระนิพพาน ผลของญาณแต่ละญาณที่จัดว่าเป็นคุณส่งเสริมให้เกิดปัญญา-ญาณนั้น จะนำมากล่าวไว้โดยย่อพอเป็นแนวคิด


    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน



    สำหรับจขกท.เอง ผลจากญาณ 8 อย่างหนึ่งที่ติดตัวจขกท.เป็นอย่างยิ่งก็คือ สังโยชน์ 2 ประการในเบื้องต้น อันได้แก่ วิจิกิจฉาและศีลพตปรามาสค่ะ กล่าวคือจขกท.ไม่ได้ละสังโยชน์ 2 ประการนี้ได้ แต่จขกท.ตั้งใจที่จะรักษาศีลให้เป็นปกติ และจขกท.ได้ปลดเปลื้องความสงสัยในพระรัตนตรัย(วิจิกิจฉา)ในเบื้องต้นได้พอสมควรแล้ว เพราะจขกท.ไม่มีความสงสัยในความดีของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์อีกต่อไปแล้วค่ะ


    ส่วนสำหรับข้อสักกายทิฐินั้น จขกท.ได้ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อโดยอธิษฐานบารมีกำหนดจิตในตอนตื่นและก่อนเข้านอน ว่าจะขอไปพระนิพพาน แบบเดียวกับคุณsoftkid9 ที่ได้โพสต์ไว้ในกระทู้ "ประสบการณ์มโนมยิทธิ กรรม และเรื่องยุ่งๆของผม" ตามนี้เลยค่ะ



    โดยในส่วนระหว่างวันนั้น ก็ถือว่ามีความเลวคือนิวรณ์ 5 ประการเข้ามาในใจเป็นธรรมดาค่ะ แต่ถ้านึกขึ้นได้ก็จะระลึกถึงพุทธานุสติ มรณานุสติและพิจารณาในสักกายทิฐิ หรือทรงพรหมวิหาร 4 เท่าที่ทำได้ค่ะ เพราะว่ากำลังใจยังอ่อนอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2014
  20. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ตอนเด็กๆเคยโดนล้อว่าเป็นตุ๊ดเด็กเหมือนกันครับ เพราะเป็นคนเรียบร้อย มีเพื่อนเป็นกะเทยบ้านติดกัน ตอนนี้มันเป็นกะเทยเต็มตัวแล้ว ส่วนผมยังเหมือนเดิม (ไม่ได้เป็นตุ๊ดเด็กเหมือนเดิมนะครับ อิอิ) พอโตมาไปบวชเรียน แล้วสึกมาเรียนป.ตรี เพื่อนที่เคยเรียนร่วมชั้นไม่เจอกันนานมันพูดว่า มันคิดว่าผมจะเป็นกะเทยตามเพื่อนข้างบ้านไปซะแล้ว

    สำหรับตอนนี้เมื่อหลายปีมาแล้วมีเพื่อนผู้หญิงถามว่า ผมเป็นตุ๊ดหรือเปล่า ผมก็อึ้งเหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร แค่ถามว่ารู้มาจากไหน ในใจก็อยากจะพูดไปนะว่า อยากรู้ว่าตุ๊ดหรือไม่ตุ๊ดมาลองกันสักหน่อยมั้ย ตอนนี้เลิกคิดแล้วใครจะมองเรายังไง ใครจะให้เป็นตุ๊ด ให้เป็นกะเทย ให้เป็นชาย เป็นอะไรก็ช่างเรื่องของเชา ขี้เกียจจะไปคัดค้านแก้ข่าว เพราะจริงๆแล้วเราไม่ได้เป็นอะไร ไอ้เรื่องชาย เรื่องหญิงมันก็แค่บัญญัติของชาวโลก ตายไปแบกเอาความเป็นชายเป็นหญิงไปไม่ได้ เหลือแค่จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎ จนกว่าจะเจอทางพ้นทุกข์นั่นแหละ พอพ้นทุกข์ไป จิตก็ไม่ได้เป็นชายหญิงเกย์กะเทย เลยเลิกคิด แต่ก็มาคิดเรื่องอื่นแทน อิอิ เรื่องนี้จางไป เรื่องใหม่เข้ามาแทน เล่ห์กลลิเลสร้อยแปดพันประการ ลื่นยิ่งกว่าปลาไหล โดยเฉพาะคนอ่อนด้อยอย่างผมด้วยแล้ว สงสัยจะอีกนานโขกว่าจะได้เจอสันติวรบท
     

แชร์หน้านี้

Loading...