จิตของคนที่ชอบด่าทางอินเตอร์เน็ต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย กลางทาง, 6 มิถุนายน 2014.

  1. กลางทาง

    กลางทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +702
    อินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิด "โรคชอบด่า" จริงหรือ
    ในเน็ตนี้ ตรงไหนมีที่ให้คุย
    ตรงนั้นเจอคำด่าทอได้หมด
    และมักเป็นไปในแบบเสียดแทงใจไม่ออมมารยาท
    คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น
    ถ้าคุณไม่ใช่คนชอบด่ากราด
    ยังคงนิสัยไม่ชอบทำร้ายจิตใจใคร
    สิ่งหนึ่งที่คุณจะมองเห็นคือ
    คนในเน็ตเป็นโรคทางใจกันมาก
    เหมือนหลายคนติดอาการชอบด่าราวกับเป็นโรคระบาด
    เช่นไม่จำเป็นต้องด่าก็ด่า
    รู้จริงไม่รู้จริงด่าไว้ก่อน
    ดีก็ด่า ชั่วก็ด่า
    อาจจะเพราะด่าเพื่อระบายความเก็บกด
    อาจจะด่าคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี
    อาจจะด่าแล้วดูกลมกลืนกับบรรยากาศ
    อาจจะด่าแล้วรู้สึกคึกคักเหมือนคนเมาร่าวกัน
    สรุปง่ายๆว่า ทุกคนคุ้นแล้ว ชาชินแล้ว
    คำด่าเป็นของเจอะเจอประจำวันกันไปทั้งโลกแล้ว
    กรรมใดสั่งสมไว้จนชิน
    กรรมนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงความแน่นอนที่จะให้ผล
    ถ้าเคยชินในทางที่ดี ก็เหมือนมีประกันว่าจะเป็นผู้ไปสู่สุคติ
    ถ้าเคยชินในทางที่ไม่ดี ก็เหมือนกำตั๋วไปสู่ทุคติไว้แน่นเหนียว
    อินเตอร์เน็ตไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดของโรคชอบด่า
    ข้อเท็จจริงก็คือ การด่าทอกันนั้น
    ทุกๆคนแอบคิดกันบ่อยๆอยู่แล้ว
    ใครจะถี่กว่ากัน ใครจะเข้มข้นกว่ากัน
    ใครจะมโนไปในทางประทุษร้ายจริงจังกว่ากัน
    ก็ขึ้นอยู่กับทุนทางกุศลหรืออกุศล
    อันเป็นฐานจิตฐานใจของแต่ละคน
    แต่มายุคไอทีนี้ต่างไป
    ตรงที่มีอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางระบายความคิด
    แม้อินเตอร์เน็ตไม่ใช่ "บ่อเกิด" โรคชอบด่า
    แต่อินเตอร์เน็ตก็เป็น "แหล่งขยายพันธุ์"
    ตลอดจนเป็น"พาหนะกระจายโรคระบาด"จริงๆ
    เนื่องจากการมีพื้นที่ส่วนตัว
    ตลอดจนการมีวิธีพูดคุยแบบไม่ต้องเห็นหน้าและรู้จักตัว
    จึงกระตุ้นให้กล้าพูดอย่างทที่คิด
    หรือรับความคิดมาแพร่ต่อได้อย่างเป็นอิสระ
    โดยนึกว่าไม่มีใครรู้ว่าเราพูด
    หรือกระทั่งนึกว่าไม่ใช้ปากพูดใส่หูคน ก็ไม่น่าจะเป็นกรรม
    กรรมนั้นเริ่มด้วยใจเล็งไว้ว่าจะเกื้อกูลหรือประทุษร้าย
    ต่อยอดด้วยการ"คิดเลือกทำ"หรือ"คิดเลือกประโยค"
    จบลงด้วยการพูดอย่างที่คิดหรือเขียนอย่างตั้งใจ
    ผลที่เกิดขึ้นทางจิตเป็นพยานหลักฐานอย่างดีว่า
    กรรมเริ่มให้ผลควบคุมทิศทางและความเป็นไปของชีวิตอย่างไร
    ด่ามากจิตใจมืดม่นมาก ด่าน้อยจิตใจหม่นหมองน้อย
    ติเพื่อก่อแบบรักษาน้ำใจ จิตใจมีสติและคิดเป็นระบบ
    ติเพื่อเติมเต็มให้สมบูรณ์ จิตใจเต็มอิ่มกับการช่วยเหลือ
    ใจเล็งอย่างไร กรรมเกิดอย่างนั้น
    ชีวิต จิตวิญญาณ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต สอดคล้องตามนั้น
    คัดลอกมาจากเว็ปพันธ์ทิพย์
     
  2. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    การใช้ชีวิตอยู่ที่ทำงานและอยู่บ้านมันมีเงื่อนไขมากมายจะแสดงอะไรออกมาตรงๆโต้งๆก็ไม่ได้..พอมาเจอความสุขตรงนี้ ด้วยความสุขอันไร้ขอบเขตนี่เองมันทำให้อะไรที่เคยเก็บได้ก็เก็บไม่ได้..มันก็เป็นธรรมดานะ
     
  3. กลางทาง

    กลางทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +702
    ถูกต้องครับ(สำหรับผม) ผมยอมรับว่ามันเป็นความสุข ได้ระบายออกมา แม้จะรู้ว่าเมื่อเราเจอหน้ากันเราก็ให้เกียรติกัน แต่ในใจหละ หรือลับหลังละ มันจะไปออกทางไหนอย่างไร มันก็ออกทางนี้ ท่านmarkdee ได้พูดได้บอกออกมาตรงๆ ผมก็ยอมรับอย่างตรงๆว่าผมคิดเช่นเดียวกัน
     
  4. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    ถาม – การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่?เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน

    ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

    สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ‘มโนกรรม’ สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันทีที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา

    แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ‘ภาษา’ นั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

    ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ

    อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

    ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

    บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ‘ไอ้โง่’ ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ‘ไอ้โง่’ ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้

    ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคตมาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง

    โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุมใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ

    ที่มา : เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 2 : ตอนที่ ๑๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2014
  5. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    สติ ที่นิ้วมือนิ้วเท้าไม่มีครับ เลยเอานิ้วมือไปฝากที่ความคิดซะหมด
    เวลาพิมเวลาอ่าน มือและเท้าเจ้าตัวอยู่อย่างไรก็ไม่รู้
    ความคิดอาจจะเอาไปฝากกับหน้าจอคอม หน้าจอมือถือหมดแล้วก็ได้
    แต่จะไปว่าเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมพาให้เป็นไป
    เทคโนโลยี เป็นของนึกคิดปรุงแต่ง เสื้อผ้าจากที่จะทำความสะอาดด้วยตัวเอง
    ก็เอาไปฝากเครื่องใช้ภายนอก อาหารต่างๆก็เอาไปเก็บไปสะสมในตู้เย็น
    อากาศมันร้อนก็ไปปรับอากาศแอให้มันเย็นๆ จากที่จะได้เห็นตามความเป็นจริง
    ก็กลายเป็นความนึกคิดเป็นผู้บังคับบัญชา
    คนที่จะทำตามพระพุทธเจ้า ท่านก็ให้ศีลไว้แล้วที่พอจะนำมาใช้ในแบบฆราวาส
    ได้เหมือนกัน ข้าวของเครื่องใช้ก็ใช้แต่พอควร
    ไม่เก็บสะสมอาหารค้างคืน น้ำตาลเก็บได้ 7 วัน
    ทำกินเป็นมื้อๆไป ไม่เดินไปกินไป ไม่เดินไกวแขนไปมา ไม่เดินกินน้ำยืนกินน้ำ
    นั่งกินก็ต้องนั่งขี้ นั่งดื่มน้ำก็ต้องนั่งฉี่ รู้กาลเวลาว่าสมควรหรือไม่สมควร
    ในกิริยาท่าทาง เบียดเบียนมากหรือน้อย ใช่ว่าจะเอาอะไรไปได้
    ไม่ทำอาหารเอง แต่ท่ามีครอบครัวก็ทำได้ ภรรยาก็ทำสุดฝีมือ ไม่ได้ทำให้ตัวเองแต่ทำเพื่อเสียสละให้ครอบครัว
    สะสมไว้มากๆความคิดที่พิมมา มันจะออกแนวไปทางวัตถุซะมาก
     
  6. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    บางคนต่อหน้าหงิ่มๆเชียว พออ่านแล้วต้อง unfriend เลย รับไม่ได้จริงๆ บางคนระบายออกในสิ่งที่ตัวเองหมกมุ่นก็เยอะ

    คือดิฉันเป็นคนตรงๆ ด่าเลยไม่กลัวเสียหน้า ไม่ใช่คนรักษาหน้าหลอกตัวเองไปวันๆ (ด่าในเฟซยังน้อยค่ะ ไม่เคยพิมพ์คำหยาบออกไปเลย ด่าในชีวิตจริงมากกว่าค่ะ)

    ในเฟซเนี่ยหลากหลายจริงค่ะ แม้แต่นักปฎิบัติอ้างตัวทรงฌาณ4พิมพ์ไปด่าไปยังมีเลย ขำมากค่ะ

    มายก๊อดดดดดดดด เจริญสติเข้าฌาณ 4 แล้วด่าได้ด้วย
     
  7. Jindamunee

    Jindamunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,187
    ผมเองก็มาเจอแนวนอกเน็ตนะครับน่าจะคล้ายๆกันคือใครจะพูดอะไรก็จะมี แต่ แต่อย่างนู้นแต่อย่างนี้
    (คนอื่นผิดหมด)คือถ้าไม่ถึงกับโรคจิตก็ติดนิสัยจนลืมตัวแน่ๆ
    คล้ายอาการนักวิจารณ์ที่ขาดภูมิปัญญาและสติครับ
    ถ้าไม่รู้จักติดเบรคก็จะมีอาการปาก (หรือปลายนิ้วมือ) ไหลออกมา
    แต่อีกนัยนึงก็อาจจะนำสิ่งดีๆมาให้แต่ผิดกาลเทศะเลยดูคล้ายเสียดสีกันโดยบังเอิญ ก็เป็นได้....
     
  8. ladyinblack

    ladyinblack เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +155
    ถ้าเป็นเรื่องของเฟซบุ๊ค ส่วนตัวเลิกเล่นไปนานแล้วค่ะ เฟสบุ๊คมันควรจะมีข้อดีแค่เราสามารถติดต่อกะคนที่เราห่างไกลมาก ๆ เช่น เพื่อน ต่างประเทศ ที่ไม่ได้เจอกันแล้ว เพื่อนสมัยอนุบาล ประถม มัธยม บลา ๆ หรือเอาไว้ตามข่าว หรือเล่นเกมส์ก็ยังดี

    แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นแล้วไม่ชอบก็คงเป็นพวกที่เวลาอ่านข่าวในเวปไซด์สาธารณะทั่วไป หรือเวปข่าวทั่วไป ที่เวลามีกระทู้แล้วมีใครไม่รู้ชอบมาด่ากัน หรือด่าคนในข่าว อย่างเสีย ๆ หาย ๆ หยาบคาย จาบจ้วง และล่วงเกิน เหมือนคนโรคจิต (โดยเฉพาะพวกข่าวหมวดบันเทิง) บางอย่างเราก็เห็นด้วยถ้ามันจริง แต่บางอย่างมันก็มากเกินไป เหมือนพวกเก็บกด ตามนั้นค่ะ
     
  9. romax

    romax สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    คนที่เค้าด่า ทางเน็ค ส่วนเกิดจากความไม่ยุติธรรม ทั้งทางโลก และทางธรรม นะ การได้เขียนก็เป็นการปลดทุกข์ได้อีกแบบหนึ่ง อย่าน้อยเค้าจะไม่ไปปล่อยออกมา ไปทางไม่ดี หรือไปทำความเดือนร้อนให้คนอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสถาพแวดล้อม และ การรับรู้ของเค้าแต่และคน นะก็ดีแล้ว เหมือนกับที่เค้ายบอก ไม่โดนกับตัวไม่รู้หลอก
     
  10. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    หลวงปู่ดู่สอนศิษย์

    หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้
    นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ
    นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล
    ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย
    แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
    คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น
    จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี
    บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี
    คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย
    ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

    หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
    ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบ
    มันก็จะไม่มีเรื่องกันแต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่
    ท่านสอนศิษย์เสมอว่า
    อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
    เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
    ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

    ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไป
    ถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
    เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
    ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจ
    แก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
    ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว
    พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง
    กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า
    ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ
    กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้น
    ซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางที
    ก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน
    แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆ
    มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควร
    ได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่นหรือโชคครั้งนี้
    จะได้หลายหมื่น แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้
    ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี
    และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความ
    เดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง
    ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ
    ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก
    มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น
    มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อน
    ให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง
    ไม่เครารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมัก
    จะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย
    เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ
    อีกมากมายหลายชนิด

    หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก
    การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจ
    หรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย
    ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้
    พอตายลงไปยังต้องไปใข้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีก
    ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
    ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขา
    แต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดืดดร้อนเสียหาย
    และทุกข์ใจ หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร
    ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี


    ที่มา : หลวงปู่ดู่สอนศิษย์เรื่อง กรรมทางวาจา

    แต่ก่อนก็เป็นเหมือนกันค่ะ กรรมทางวาจา และก็ได้รับวิบากกรรมเหมือนที่หลวงปู่ดู่ท่านบอก
    เมื่อคืนยิ่งแล้วใหญ่เลย นั่งสมาธิโดนเผาไหม้ทั้งตัว ผิวแดงไหม้ ผื่นขึ้น คันคะเยอ
    ด้วยกรรมที่มักโกรธ อาฆาตพยาบาท ยังได้รับทุกขเวทนาถึงเพียงนี้
    และคาดว่าที่ได้รับยังไม่ถึง 1% ที่ควรได้รับ ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้ว
    แม้เพียงเล็กน้อย ไม่ทำเลยจะดีกว่าค่ะ

    ฝากไว้ให้พิจารณานะคะ ปรับจิตปรับใจให้จิตผ่องใส ตั้งมั่นในบุญทุกลมหายใจ
    เพื่อสัมปรายภพที่ดีกว่า อย่ามาหมดอนาคตเพราะกรรมทางวาจานี้เลย

    บางคนตรอมใจได้ แค่คำเพียงไม่กี่คำของคนบางคน ประมาทไม่ได้หรอกค่ะ
    ไม่สร้างกรรมนี้เลยจะดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2014
  11. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ ที่เกิดจากความบังเอิญจริงหรือไม่
    แต่ก่อนเรานั้นก็ชอบคิดว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม
    ทำไมคนทำร้ายเรา ถึงเป็นที่รัก มีพวกพ้องมาก
    รังแกเรา แต่ทุกคนกับช่วยเหลือเขา

    แต่ตอนนี้เราไม่คิดเช่นนั้นแล้ว ขึ้นชื่อว่ากรรม
    ไม่มีสิ่งใดเกิดโดยไม่มีเหตุ ที่ได้รับล้วนเป็นกรรมของตนทั้งสิ้น
    ไม่เคยด่าใคร ใยจึงถูกเขาด่า เกิดมาไม่รู้กี่โกฏิกัปป์
    จะไม่เคยพลาดพลั้งด่าใครเลยย่อมไม่มี
    และหากโชคดีคงได้รางวัลใหญ่ปรามาสผู้ทรงคุณเข้าไป
    โดนเท่านี้ยังน้อยนักค่ะ
     
  12. ร้อนแรง

    ร้อนแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +716
    ผมเห็นด้วยกับข้อคิดของุคุณคุณ monogo ว่าถ้าบุคคลนั้นมีจิตใจดี มีศีลธรรม มีคุณธรรม
    เขาจะไม่ก่อร่างสร้างเวรกรรม อาจจะมีบ้างล็กๆน้อยๆทีเพลอตัวไป แต่ถ้าเขาได้สติ เขาจะหยุดทันที
    ไม่มีเหตุผลอันใดมาอ้างว่า//เจออย่างนี้ด่ามาแบบนี้ทนไม่ได้//และผมขอเอาใจช่วยแก่่ท่านั้หลาย ที่ยังใช้คำสุภาพ แม้จะถูก ด่า//เย้ยหยัน แบบใหนก็ตาม//ท่านอดทนได้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...