อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย v_rod2101 เมื่อวันที่ ๐๒ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖๗ #๑๓๒๕

    ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าใครต้องการจะเก็บพระหลวงพ่อเกษมแบบรุ่นเดียวจบ แต่ไม่ทราบว่าจะเลือกรุ่นไหนดี ผมอยากแนะนำรุ่นนี้นะครับ รุ่นกองพันเชียงใหม่ ปีลึก สร้างน้อย หลวงพ่อให้เสกในกุฏิที่ทำพระกรรมฐาน เปิดกล่องเสก และสุดท้ายมีภาพถ่ายการปลุกเสกเป็นหลักฐานการสร้างอย่างชัดเจน

    เหรียญกองพันเชียงใหม่ หลวงพ่อเกษม

    ยุค ๑๕-๑๘ เกจิดังไม่มีรูปใดเกิน หลวงปู่แหวน กับ หลวงพ่อเกษม ปี ๑๗ หลวงพ่อเกษม ดังมาก หน่วยราชการ และวัดวาอารามต่างๆ มาพึ่งบารมีหลวงพ่อเกษม เพราะหลวงพ่อมีความเมตตาสูงมาก กองพันทหารราบที่ ๑ กรมผสมที่ ๗ ค่ายกาวิละ เชียงใหม่ ก็มาพึ่งบารมีหลวงพ่อ ได้ขออนุญาตหลวงพ่อสร้างเหรียญขึ้นมารุ่นหนึ่ง เพื่อเป็นกองทุนสวัสดิการในการช่วยเหลือครอบครัวหรือทายาททหารที่เสียชีวิต เนื่องจากการปราบผู้ก่อการร้าย และเพื่อให้บรรดาทหารได้มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อไว้บูชาติดตัว

    จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง นำความมาปรึกษาหารือกับหลวงพ่อเกษม หลวงพ่ออนุญาตให้สร้างเหรียญรูปเหมือนของท่านได้ เมื่อหลวงพ่ออนุญาตแล้ว คณะกรรมการสร้างเหรียญ อันประกอบไปด้วยทหารชั้นผู้ใหญ่ ก็ได้ให้ความไว้วางใจมอบหมายให้นายช่างมงคลเกษม มงคลเจริญ เป็นผู้ออกแบบ เหรียญรุ่นกองพันเชียงใหม่

    ลักษณะเหรียญ เหมือนเหรียญในหลวงครบ ๓ รอบ สวยงามมากที่เดียว พิเศษกว่ารุ่นอื่นๆ คือ ได้อันเชิญพระบรมธาตุดอนสุเทพ ปูชนียสถานสำคัญที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ มาประดิษฐ์ไว้ด้านหลังเหรียญ จำนวนที่สร้างเพียง ๔,๘๙๗ เหรียญ แยกตามวัสดุต่างๆ ดังนี้ เหรียญเงินแท้ ๒๙๙ ราคาเช่า ๑๐๙ บาท เหรียญนวโลหะ ๕๙๙ ราคาเช่า ๕๙ บาท และทองแดง ๓,๙๙๙ ราคา ๒๙ บาท หลวงพ่อเมตตาปลุกเสกให้ที่สุสานฯ วันที่ ๒๕ มกราคม ๑๘ ตรงกับวันกองทัพไทย หมายถึง วันที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือสมเด็จพระมหาอุปราชามังสามเกียด แห่งกรุงหงสาวดี ณ ตำบลหนองสาหร่าย แขวงเมืองสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๑๓๕ นั่นเอง

    จึงนับว่าเหรียญหลวงพ่อเกษม รุ่นกองพันเชียงใหม่ จึงเป็นสุดยอดเหรียญหนึ่งของหลวงพ่อ ที่มีความชัดเจนของผู้สร้าง ความชัดเจนในการปลุกเสก และความมุ่งมั่นของหลวงพ่อที่จะให้เหรียญรุ่นนี้เป็นของพิเศษสุดของหลวงพ่อ ชัยชนะคือความยิ่งใหญ่แต่เหนือชัยชนะคือการเล่นอย่างมีน้ำใจนักกีฬา

    * เหรียญกองพันเชียงใหม่ มี ๕ สมรรถนะ สมรรถนะที่ ๑ ด้านการปลุกเสก แบบพิเศษ เปิดกล่อง ไม่ต้องใช้ด้ายสายสิญจน์ สมรรถนะที่ ๒ ด้านแคล้วคลาดเชื่อถือได้ สมรรถนะที่ ๓ ด้านมหาอุด เชื่อถือได้ สมรรถนะที่ ๔ ด้านคงกะพัน เชื่อถือได้ สมรรถนะที่ ๕ ด้านเมตตา แฝงไว้ครบ สมรรถนะที่ ๖ ด้านโชคลาภ แฝงไว้เด่นชัด สมรรถนะที่ ๗ ด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีพร้อมสรรพ

    เหรียญรุ่นกองพันเชียงใหม่มีเก๊มานานแล้ว น่ากลัวถ้าไม่มีวิธีดู จุดตายของกองพันเชียงใหม่ ดูที่ ๑) โค๊ต ภายในหลุมวงกลมกลางจักร จะมีเส้นขนแมวอยู่ประมาณ ๕ เส้น จุดตายที่ ๒) ดูตรงคาง จมูก และโหนกแก้ม จะเห็นรอยครูดของบล็อก จนบางเหรียญมีเนื้อติดขึ้นมา เหมือนรอยครูดพระรอดที่เกิดจากการถอดของแม่พิมพ์อย่างไงอย่างงั้นเลยครับ ขอพี่ๆ น้องๆ ดูแค่นี้ก็ซื้อได้เลย ครับผม

    เหรียญกองพันลำปาง เหรียญมทบ. เหรียญกองพันเชียงใหม่ เหรียญกองพันเชียงราย และเหรียญกองพันสุรนารี เป็นเหรียญที่จัดสร้างขึ้นในปี ๑๗-๑๘ เป็นเหรียญที่หลวงพ่อมนต์ให้เป็นกรณีพิเศษ

    เหรียญที่ค่ายทหารต่างๆ ได้จัดสร้างขึ้นและนำไปให้หลวงพ่อมนต์ปลุกเสกที่สุสาน ปี ๑๗-๑๘ นั้น เหรียญที่มีราคาแพงที่สุดคือเหรียญกองพันลำปาง เพราะสร้างน้อย รองลงมาคือเหรียญกองพันเชียงใหม่ เพราะสร้างน้อยและมีรูปภาพหลวงพ่อมนต์ให้ อันดับ ๓ มทบ.เพราะสร้างมากแต่มีรูปภาพหลวงพ่อมนต์ให้ อันดับ ๔ ค่ายสุรนารี น่าเสียดายที่ไม่มีรูปภาพออกมาเผยแพร่ เป็นเหรียญที่สวยงามมาก และอันดับ ๕ กองพันเชียงราย เพราะเข้าพิธีเดียวกับรุ่นกิ่งไผ่

    แต่เหรียญที่มีความชัดเจนด้านการนำเสนอรูปภาพขณะที่หลวงพ่อมนต์ให้ ต่อสาธารณชนที่อยู่นอกเขตจังหวัดลำปาง ก็คือเหรียญกองพันเชียงใหม่ กับเหรียญมทบ. นอกจากนั้นยังไม่เคยเห็นรูปภาพหลวงพ่อมนต์ให้ เพียงแต่ทราบวันเดือนปีและจำนวนการสร้างเท่านั้น

    ***ศักดิ์ศรีของเหรียญกองพันเชียงใหม่ อยู่ตรงนี้ ศักดิ์ศรีที่ ๑.หลวงพ่ออนุญาตให้นำเหรียญทั้งหมด ๔,๘๙๗ เหรียญ เข้าไปปลุกเสกแบบเปิดเผย (วางในถาด) ในกุฏิของหลวงพ่อ ภายในกุฏิหลวงพ่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ภายในกุฏิหลวงพ่อขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใดๆ ปราศจากสิ่งรบกวน จากหลักฐานตามรูปภาพขณะที่หลวงพ่อกำลังเป่าพรวดลงไปที่เหรียญกองพันเชียงใหม่ที่วางอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อนั้น ดูแล้วศรัทธาเข้มขลังยิ่งนัก หนักแน่นยิ่งนัก ***

    *** เหรียญที่สามารถนำเข้าไปปลูกเสกถึงในที่เจริญกรรมฐานของหลวงพ่อก็มีรุ่นนางเหลียว รุ่น ๕ รอบ รุ่นระฆัง และรุ่น กองพันเชียงใหม่ และปลุกเสกแบบเปิดกล่องด้วย กล่าวคือเหรียญรุ่นดังกล่าวไม่มีเหรียญหรือวัตถุมงคลใดๆ ฝากเข้าพิธีเลย จะเป็นเหรียญรุ่นนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น รุ่นกองพันเชียงใหม่ เหรียญที่วางต่อหน้าหลวงพ่อล้วนแต่เป็นเหรียญกองพันเชียงใหม่เท่านั้น ผู้ที่เข้าไปในศาลาที่ปลุกเสกล้วนแต่ทหารทั้งนั้น ไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือปลอมปนเข้าไปเลย เพราะฉะนั้นความเข้มขลังเหรียญจึงมีประสบการณ์บ่อยครั้ง เพราะหลวงพ่อบอกเอาไว้ว่าทหารมีความลำบากมาก ต้องทนทุกทรมานเสี่ยงกับความตายมามาก จำเป็นต้องเสกแบบเปิดกล่องและแบบนิรันตรายตลอดกาล

    ผมขอขยายความว่าเหรียญรุ่นกองพันเชียงใหม่ปลุกเสกแบบเปิดเผย ครับผม กล่าวคือจากภาพถ่ายการปลุกเสกเหรียญกองพันเชียงใหม่ ทางกองพันเชียงใหม่นำวัตถุมงคลคือเหรียญทั้งหมด สี่พันกว่าเหรียญบรรจุลงในถาดแล้ววางไว้ต่อหน้าหลวงพ่อ แบบนี้เรียกว่าแบบเปิดเผยครับผม

    *** วิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลหรือมนต์วัตถุมงคลของหลวงพ่อเกษม

    เท่าที่เห็นมามีอยู่ ๓ วิธีการ กล่าวคือ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ แย้งได้ครับพี่น้อง)

    ๑) ปลุกเสกแบบเปิดกล่อง หมายความว่า คณะที่ขออนุญาตสร้างเหรียญ จะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดสร้างวัตถุมงคลให้หลวงพ่อทราบอย่างชัดเจน แล้วเหรียญที่บรรจุก็บรรจุลงในกล่องกระดาษ เมื่อไปวางไว้ตรงหน้าหลวงพ่อก็ต้องเปิดกล่องให้หลวงพ่อดูว่า ของที่ขออนุญาตนั้นเป็นจริง หลวงพ่อก็จะอธิฐานจิตตามที่ขออนุญาตไว้ จึงทำให้เหรียญรุ่นนั้นมีความขลังยิ่งนัก เช่น เหรียญรุ่น นางเหลียว เหรียญรุ่น ๕ รอบ เหรียญรุ่น ระฆัง เหรียญรุ่น กองพันเชียงใหม่ เหรียญรุ่นกองพันลำปาง เหรียญรุ่น มทบ.ลำปาง เหรียญรุ่นค่ายสุรนารี เป็นต้น เหรียญรุ่นดังที่กล่าวมาหลวงพ่อสั่งให้เปิดกล่อง และปลุกเสกแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราฉะนั้นเหรียญรุ่นดังกล่าวจึงมีประสบการณ์สุดยอดแบบสุดๆ ครับผม

    ๒) ปลุกเสกแบบโยงสายสิญจน์ เช่นรุ่นแตงโม รุ่นกิ่งไผ่ รุ่นภปร รุ่นอย. เป็นต้น

    ๓) ปลุกเสกแบบปิดหูปิดตา ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นปี ๓๐ กว่านี้แหละ

    หมายเหตุ : ข้อมูลทั้งหมดขอยกความดีให้กับ อ.บัณฑิต สาลี แห่งแม่พริก ด้วยนะครับ เป็นงานเขียนวิเคราะห์ที่เจาะลึกมากๆ
     
  2. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย maxnum101 เมื่อวันที่ ๑๗ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖๙ #๑๓๗๑

    ถ้าพูดถึงประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อจะมีอยู่หลายเรื่องเหมือนกันครับ แต่ที่เห็นชัดๆเลยจะเป็นของคุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็น้องสาวครับ(พอดีเค้าไปเที่ยวกัน 3 คนครับ)

    เรื่องก็คือ ทั้ง 3 คนไปเที่ยวกับที่ทางภาคใต้ ผมไม่แน่ใจจังหวัดไหนครับ แต่ด้วยความที่เค้าไม่ค่อยรู้จักทางกัน ก็เลยจ้างรถให้พาไปเที่ยวแทน

    โดยที่ช่วงที่พาไปเที่ยวสมัยก่อนทองยังไม่แพงมากครับ คุณแม่กับคุณพ่อก็ใส่สร้อยทองทั้งคู่ คุณแม่เล่าว่าตั้งแต่ตอนที่จ้างแล้ว ก็เห็นคนขับมองแถวๆ ที่คอของทั้งคู่บ่อยๆ แต่เค้าไม่ได้สนใจอะไร จนคุณพ่อบอกว่าอยากไปวัดนี้นะ (ต้องขอโทษนะครับผมจำชื่อวัดไม่ได้) เค้าก็พาไป แต่ทางที่เค้าไปออกห่างจากตัวเมืองมาเรื่อยๆ ครับ ซึ่งคุณแม่ก็งง ก็เลยถามว่าจะไปไหน

    เค้าบอกจะพาไปทางลัด แล้วเค้าก็ขับเหมือนขึ้นเขา เป็นดินลูกรังครับ แล้วช่วงนั้นพอดีฝนตกด้วย แล้วเริ่มมืดแล้วครับ

    คุณแม่เลยบอกกลับเถอะๆ ไม่อยากไปแล้ว แต่รถเค้าไม่ยอมครับ เค้าบอกว่าอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว

    แต่ทางไปสิครับเปลี่ยวลงเรื่อยๆ คุณแม่กับคุณพ่อก็มองหน้ากันแล้วเริ่มไม่สบายใจ คุณพ่อเลยยืนกรานให้กลับ แต่เค้าบอกอีกนิดเดียวจริงๆ

    ตอนนั้นคุณแม่บอกเริ่มทำไรไม่ถูกละ เพราะไม่รู้จักทาง แถมถ้าโดนลากไปจี้หรือฆ่าหมกป่านี่ไม่มีใครรู้เรื่องเลย แม่ก็เลยจับที่องค์หลวงพ่อที่ห้อยมาครับ (คุณแม่นั่งเบาะหลัง) แล้วภาวนาว่าถ้าเค้าจะพาไปทำอันตรายขอให้หลวงพ่อช่วยลูกด้วยเถอะ

    เชื่อไหมครับ คุณแม่บอกว่าเกือบจะในทันที รถติดหล่มครับ ไปต่อไม่ได้เฉยเลย

    คนขับพยายามยังไงรถก็ไม่หลุดจากหล่ม คุณแม่เลยรีบเปิดประตูลงจากรถเลยแล้วบอกให้กลับรถ ไม่ยอมไปต่อละ คนขับเลยจนใจครับ

    แต่แปลกตรงที่เดินหน้าไม่ได้ แต่ถอยหลังดันขึ้นจากหล่มได้ สุดท้ายก็เลยต้องกลับรถ แล้วลงจากเขามาครับ

    คุณแม่บอกก็น่าแปลกดี ทำไมเดินหน้าไม่ได้ แต่ถอยหลังออกมาได้ก็ไม่รู้...

    อันนี้ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่คุณพ่อกับคุณแม่ผมเจอมาเองครับ การันตีเรื่องจริง 100% ครับ สาธุ...
     
  3. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย ระหว่างทาง เมื่อวันที่ ๒๑ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๗๐ #๑๓๘๖

    ประสบการณ์ที่ครูบาอาจารย์ เล่าให้ฟังถึงความเมตตา และปาฏิหาริย์หลวงพ่อเกษม

    ช่วงน้ำท่วมผมไปบวชที่ภาคเหนือมาพร้อมคุณ Tawatchai๑๘๘๙ ที่จังหวัดพะเยา และไปจำวัดกันในป่าช้าเก่า ซึ่งจำวัดด้วยกัน ๓ รูป คือผม คุณ Tawatchai๑๘๘๙ และพระอาจารย์ครูบาที่คนในพื้นที่เคารพกัน ท่านไม่เน้นวัตถุมงคล แต่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติ

    ระหว่างที่บวช มีเวลาว่างบ้างก็นั่งคุยกันเรื่องราวต่างๆ ของครูบาเจ้า ในภาคเหนือ มีตอนหนึ่งที่ผมได้กราบเรียนถาม พระอาจารย์ถึงหลวงพ่อเกษม ว่าท่านรู้จักกันเป็นส่วนตัวไหม

    ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านกับหลวงพ่อเกษมไม่เคยรู้จักกันส่วนตัว แต่เคยได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเกษม โดยครั้งหนึ่งพระอาจารย์ท่านประสบอุบัติเหตุิ ทำให้ขาหักต้องเข้าเฝือก ซึ่งท่านได้ไปเข้าเฝือก รพ.ท้องถิ่น ซึ่งเมื่อกลับออกมาแล้วทำให้ท่านยังปวด และรู้สึกว่าไม่เหมาะ จึงปรึกษาญาติโยม และตกลงกันว่าควรพาไปรักษาตัวที่ รพ. จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็น รพ.ศูนย์ และออกเดินทางจากวัดไปตอนประมาณตีสาม และไปถึงลำปางช่วงเช้าๆ โดยท่านยังไม่ได้ฉันเช้า ก็ต้องเข้าห้องตรวจ

    ประมาณเกือบเที่ยง ท่านออกมาจากห้องตรวจ และไปพักที่เตียง ที่ทาง รพ. จัดไว้ ไม่ได้ห้องพักเดี่ยว เพราะไม่มีห้อง เมื่อท่านนั่งได้สักครู่ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วตะโกนถามว่า ตุ๊เจ้า จากเชียงคำ มาถึงรึยัง

    พระอาจารย์จึงตอบรับไปว่า มาแล้วอยู่นี่

    ชายคนนั้นนำผลไม้มาถวายพระอาจารย์ และแจ้งว่า หลวงพ่อเกษม ให้นำมาให้ โดยบอกว่า เอาไปให้มันด้วย มันยังไม่ได้ฉันอาหารเลย สงสารมัน

    ได้ความว่า หลวงพ่อเกษม ก็มาพัก รักษาอาการป่วยอยู่ที่ รพ.ศูนย์ลำปางด้วย แต่ไม่ทราบว่าหลวงพ่อเกษม รู้ได้อย่างไรว่า พระอาจารย์มาพักรักษาตัวที่นี่ด้วย และยังไม่ได้ฉันอาหาร รวมถึงความเมตตาที่ท่านให้นำมาให้

    วันรุ่งขึ้น พระอาจารย์เริ่มเดินไหว แต่ยังคงต้องใช้ไม้เท้า ท่านจึงลุกออกจากเตียง พร้อมไม้เท้าค่อยๆ เดิน โดยคิดว่าจะไปกราบหลวงพ่อเกษม และเดินเล่น เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องหลวงพ่อเกษม พระอาจารย์เห็นว่าหน้าห้องเงียบมาก เหมือนไม่มีคนอยู่ แต่ยังคงมีป้ายชื่อหลวงพ่อติดอยู่ ท่านจึงเดินเลยผ่านหน้าห้องไปเพราะคิดว่าหลวงพ่อคงพักผ่อนอยู่

    เมื่อเลยผ่านหน้าห้องไปนิดเดียว ก็มีศิษย์หลวงพ่อเกษมเดินออกมา ตรงมาที่พระอาจารย์ และแจ้งว่า หลวงปู่ให้มาบอกตุ๊เจ้า ว่าหากเดินลำบากก็ไม่ต้องมา กลับไปพักเถิด ท่านรู้แล้ว

    นี่เป็นบางตอนที่ท่านเล่าให้ฟังถึงความเมตตา ศักดิ์สิทธิ์ ของครูบาเจ้า ที่ผมเคารพ และศรัทธามาตั้งแต่เด็กรูปหนึ่ง
     
  4. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย sitcrubha2520 เมื่อวันที่ ๒๑ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๗๐ #๑๓๘๗

    เป็นเรื่องที่คุณพ่อของผมท่านเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ ครับ ว่าพ่อของผมท่านมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งในสมัยที่ตัวกระผมเองยังไม่เกิด ประมาณปี ๒๕๑๘ ขออนุญาตเอ่ยนามคุณลุงครับ ท่านชื่อลุงศักดิ์ครับ เป็นคน บ้านต้นธง อ.แม่พริก จ.ลำปาง บ้านเดียวกับกระผมครับ ปัจจุบันคุณลุงศักดิ์ยังมีชีวิตอยู่ครับ

    ในสมัยนั้นพ่อผมเล่าให้ฟังว่า ค่อนข้างนักเลงเยอะครับ ไม่ทราบว่าคุณลุงท่านมีเรื่องทะเลาะกับใครมาหรือเปล่า แต่พ่อผมเล่าให้ผมฟังว่า น่าจะเป็นการเข้าใจกันผิดมากกว่า มีการพูดคุยกันไม่เหมือนกับว่าจะมีปากเสียงอะไรกันเลย คือเมื่อตัวคุณลุงศักดิ์เดินหันหลังเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น คนที่คุยกับลุงศักดิ์ ผมขออนุญาตไม่เอยนามครับ ปัจจุบันผมไม่ทราบว่าท่านยังอยู่หรือไม่ครับ ก็ชักปืนลูกซองออกมาแล้วยิงมาที่ตัวลุงศักดิ์

    พ่อผมเล่าว่าตัวลุงศักดิ์แกก็ล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไปเลยครับ ส่วนตัวคนยิงก็ขับมอเตอร์ไซด์ออกไป

    ชาวบ้านแถวนั้นต่างวิ่งมาดูครับ ปรากฏว่าอีกสักพัก ลุงศักดิ์แกลุกขึ้นด้วยอาการจุกครับ เสื้อตัวที่แกใส่ พ่อบอกว่าพรุนไปหมดครับ ที่ตัวลุงศักดิ์มีเพียงรอยไหม้ในตำแหน่งที่โดนจังๆ ครับ

    ปัจจุบันถ้าผมจำไม่ผิด พ่อผมบอกว่าเป็นรอยแผลเป็นครับ

    ในตัวของลุงศักดิ์มีเพียงเหรียญแตงโมของหลวงพ่อเกษม ปี ๒๕๑๗ ติดตัวอยู่ครับ

    คงยากที่จะอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ครับ พี่ๆ ทุกท่านคงจะเข้าใจเหมือนตัวผม ด้วยบารมีของหลวงพ่อเกษมคุ้มครองลูกศิษย์ให้แคล้วคลาดปลอดภัยครับ

    ผมสอบถามกับคุณลุงศักดิ์หลายครั้ง เพราะผมเองอยากอาราธนาเหรียญนี้มาอยู่กับตัวเอง แต่คุณลุงท่านยังไม่ใจอ่อนครับ ต้องใช้ความพยายามต่อไปครับ
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย supermanbatman เมื่อวันที่ ๒๓ ๑๒ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๘๑ #๑๖๐๓

    สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับผมแล้วในชีวิตได้มีโอกาสได้พบได้กราบท่าน (สมัยที่ท่านยังดำรงสังขารอยู่ ประมาณสัก ๔-๕ ครั้งได้ ) อาจจะดูน้อยใช่มั้ยครับ? แต่ถ้าเป็นในช่วงนั้น หมายถึงในช่วงที่หลวงพ่อยังแข็งแรงอยู่ หรือแม้แต่ในช่วงหลัง (ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เป็นต้นมา ทุกๆ คนที่ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ทุกคนจะทราบว่า ไปหาท่านง่าย แต่เข้าพบท่านยาก เพราะเวลาโดยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ท่านจะนั่งสมาธิภาวนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งไปรอตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่ายแก่ๆ ก้อเคยมี แต่ทุกท่านที่ไปรอกราบท่านนั้น ล้วนแต่ไม่มีใครจะร้อนใจว่าท่านจะให้เข้าพบเมื่อไหร่ ทุกคนมีแต่ความปิติที่ได้อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ แม้ท่านจะอยู่ในกุฏิ ก็ตาม แต่ก้อเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่คนที่ได้ไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ว่าท่านรู้ ท่านทราบ ว่าใครๆ มากราบท่านบ้าง ผมจะเล่าให้ฟังสักเรื่องนะครับ

    มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ศิษย์ใกล้ชิดกำลังปฏิบัติรับใช้ท่านอยู่ในกุฏิ อยู่ๆ หลวงพ่อท่านก้อพูดกับศิษย์คนนั้นว่า เอ่ยชื่อ.......จะซื้อสลาก (หวย) แฮ่มเราะ

    ลูกศิษย์คนดังกล่าวจึงได้เปิดประตูออกมาด้านนอกกุุฏิ และเดินมาถามคนดังกล่าวว่า คิงอู้อะหยังกับหลวงพ่อ

    คนดังกล่าวจึงยกมือไหว้มาทางกุฏิหลวงพ่อและจึงได้กล่าวยอมรับว่า ตอนที่เดินผ่านกุฏิหลวงพ่อเกษม เขมโก เขาได้พูดลอยๆ ขึ้นมาในใจว่า หลวงพ่อขอสลากสัก ๒-๓ ตัวเน้อ แล้วก้อเดินผ่านไป โดยไม่ได้คิดอะไร จนศิษย์รับใช้ในห้องออกมาถาม

    เรื่องราวก้อเป็นเช่นนี้แหละครับ

    ที่เล่ามานี้ไม่ได้มีเจตนาจะให้เค้าใจว่าหลวงพ่อให้เลข หรือว่าอะไรนะครับ เพราะเรื่องเหล่านี้คนที่ได้กราบท่านในสมัยนั้นล้วนแต่เห็นเป็นเรื่องปกติครับว่าหลวงพ่อเกษม เขมโก นั้นท่านรู้ ท่านทราบทุกอย่างครับ ถึงแม้ท่านจะภาวนาอยู่แต่ภายในกุฏิก้อตาม

    ถึงตอนนี้แล้วทุกท่านคิดว่าอย่างไรครับ?

    สำหรับผมเพียงแค่อยากจะเผยแพร่ให้ทุกๆ ท่านได้ทราบถึงอัตประวัติเรื่องราวของท่านในแง่มุมด้านอื่นๆ บ้างก้อเท่านั้นเอง...

    ถ้าโอกาสอำนวยผมจะมาเล่าสู่กันฟังใหม่นะครับ

    อ้อ..ในสมัยก่อนนั้นถ้าเป็นพระภิกษุไปกราบท่านแล้วโดยมากท่านมักจะให้เข้าพบได้เร็วกว่าฆราวาสนะครับ...แต่พอยุคหลังๆ ก้อไม่ทราบเหมือนกันแล้วเพราะว่าคนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลไปกราบท่านมากเหลือเกิน...จนผมได้แต่กราบท่านในความฝัน จนท่านมรณภาพจากไป ถ้ามีเวลาผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ สำหรับเรื่องราวความประทับใจที่ผมและผู้ที่เคารพท่านทุกคนที่มีต่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระอริยสงฆ์แห่งเขลางค์นคร ครับ
     
  6. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    หลวงพ่อเกษม เขมโก กับปาฏิหาริย์เหรียญบำบัดทุกข์ บำรุงสุข

    ปี พ.ศ.๒๕๓๗ ด้วยบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านปลุกเสกพระเครื่องกับพระบูชาเท่าไรก็ไม่มีเหลือ เมื่อชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ในจังหวัดลำปาง มานมัสการขอให้หลวงพ่อฯ ปลุกเสกพระเครื่องรูประฆังรุ่นบำบัดทุกข์บำรุงสุข เพื่อนำไปให้ชาวบ้านเช่าบูชา หาเงินให้กับชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยจัดสร้างเหรียญรูประฆัง ๑ คันรถ ๖ ล้อ ตัวถังยาว หลวงพ่อฯ มีเมตตาอนุญาตให้สร้างพระเครื่องรุ่นนี้ได้ เป็นที่ดีอกดีใจของกำนันผู้ใหญ่บ้านและผู้เกี่ยวข้องและซาบซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อฯ เป็นอย่างยิ่ง

    สำหรับวันเวลาหลวงพ่อฯ ได้กำหนดให้ทำพิธีปลุกเสกโดยทำความสะอาดบริเวณสุสานไตรลักษณ์เป็นอย่างดี เตรียมสถานที่ปลุกเสกด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ต้นกล้วย ต้นอ้อย รวมทั้งเส้นด้ายสายสิญจน์ตามพิธีการปลุกเสกพระเครื่องที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล

    ส่วนพระเครื่องรูประฆังรุ่นนี้ได้บรรจุไว้ในกล่องกระดาษตั้งเรียงกันไว้เต็มคัน รถบรรทุก ๖ ล้อ จอดไว้ด้านนอกของสถานที่ที่หลวงพ่อฯ ทำการปลุกเสก ใช้วิธีโยงด้ายสายสิญจน์ที่ปลุกเสกไปหาพระเครื่องที่รถยนต์บรรทุก ๖ ล้อคันดังกล่าว

    ณ สุสานไตรลักษณ์ ตอนเช้าของวันปลุกเสกก่อนที่หลวงพ่อฯ จะมาทำพิธี อากาศแจ่มใสดีมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง

    แต่ในทันทีที่ลูกศิษย์เข็นเก้าอี้ที่หลวงพ่อฯ นั่งเข้ามาในบริเวณที่จะทำการปลุกเสก ปรากฏว่าเกิดมีเมฆมาบดบังแสงแดด เกิดเป็นร่มเงาและมีลมโหมพัดแรงมาก ท้องฟ้ามืดและมีลมพัดแรงมาก หลวงพ่อฯ มาถึงสถานที่ปลุกเสกท่านก็ทำพิธีปลุกเสกโดยลำพัง ไม่มีพระสงฆ์รูปอื่นมาร่วมปลุกเสก หลวงพ่อฯ ทำพิธีเสร็จ ลมก็หยุดพัด แสงแดดก็มีเป็นปกติ

    นับเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ก่อนที่หลวงพ่อฯ จะออกจากห้องท่านลงมา ท้องฟ้าแจ่มใส มีแสงแดดในตอนเช้าเป็นปกติ แล้วพอท่านทำพิธีเกิดลมโหมพัดอย่างแรงทั่วบริเวณนั้น แสงแดดที่เคยมีก็หายสิ้นไป เรื่องนี้มีผู้คนได้รู้ได้เห็นประกอบด้วยชาวบ้านผู้เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ตลอดจนกำนัน สารวัตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทั่วทุกหมู่บ้านตำบลชองลำปาง

    นี่คือเรื่องที่เล่าโดยคุณเลื่อน แมะบ้าน อดีตผู้ใหญ่บ้านดอนแก้ว อ.เมืองปาน จ.ลำปาง และเหรียญรุ่นนี้ต่างเป็นเหรียญที่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และผู้ที่ได้รู้ เห็นต่างเรียกหากันจ้าละหวั่น...

    ที่มา : หนังสือประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก รวบรวมและเรียบเรียงโดยคุณบุญหลง ถาคำฟู ปีที่พิมพ์ พ.ศ.๒๕๔๙
     
  7. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    ประวัติ พระผง ๕ รอบและเหรียญ ๕ รอบทำไมถึงมีคนอยากได้ไว้บูชากันเสียเหลือเกิน ลองอ่านกันดูนะครับ (แบบคร่าวๆ ท่านใดมีประวัติการสร้างโดยละเอียดลงให้ได้ศึกษากันด้วยนะครับ)

    พระผงทรงระฆัง เสาร์ห้า ปี ๒๕๑๕ หรือพระผง ๕ รอบ หลวงพ่อเกษม เขมโก ถือว่าเป็นวัตถุมงคลชุดแรกที่จัดสร้าง ณ สุสานไตรลักษณ์ จัดสร้างในงานบุญครบ ๕ รอบของหลวงพ่อเกษม เขมโก เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ จำนวนจัดสร้าง โดยสร้างขึ้นจำนวน ๕,๐๐๐ องค์เท่านั้น และใช้เวลาเตรียมการกันยาวนานมาก โดยคณะกรรมการรวบรวมมวลสารสุดยอดต่างๆ ๙ สิ่งด้วยกัน ซึ่ง ๙ สิ่งนี้เองเป็นพลังบันดาลให้พระผงทรงระฆังนี้ มีพุทธานุภาพสูงส่ง ประกอบด้วย

    ๑. เส้นเกศาของหลวงพ่อเกษม เกศานั้นถือว่าเป็นของที่สูงที่สุดในร่างกายมนุษย์เรา โดยเฉพาะเกศาของหลวงพ่อเกษมด้วยแล้ว น้อยคนนักที่จะได้มาบูชา

    ๒. จีวร หลวงพ่อเกษมท่านจะอาบน้ำน้อยครั้งมาก ดังนั้นน้ำเหงื่อไคลซึ่งจะเกิดเฉพาะตอนท่านเข้ากรรมฐานจึงหมักแน่นอยู่ในจีวรมาก

    ๓. ก้านธูปที่หลวงพ่อเกษม ใช้บูชาอธิษฐานจิตก่อนนอนและปักที่กระถางธูป ซึ่งเป็นก้านธูปที่ท่านเพ่งกระแสจิตและสวดภาวนาทุกวี่วัน ได้ผนึกประสานรวมกันบังเกิดเป็นพลังสามารถคุ้มกันภยันตรายต่างๆ ได้

    ๔. ดอกไม้บูชาพระ เป็นสิ่งที่แสดงถึงคุณงามความดี กลิ่นดอกไม้นำความชื่นใจ และการบูชาดอกไม้ทำให้จิตใจโปร่งใส เกิดความสบายใจ และอารมณ์อันเป็นต้นกำเนิดแห่งจินตนาการของงานสร้างสรรค์ทุกแขนง

    ๕. น้ำผึ้ง ความหวานบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มีความสำคัญทั้งในทางด้านเป็นยาและบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง บำบัดโรคภัยไข้เจ็บสารพัด

    ๖. น้ำมันตั้งอิ๊ว ช่วยให้เนื้อพระประสานกันไม่แตกง่าย มีความหมายเหมือนความสามัคคีธรรมที่ช่วยให้เรายึดมั่นสามัคคี มีไมตรีต่อกัน

    ๗. ปูนซีเมนต์ขาว ทำให้เนื้อพระแข็งแกร่งและคงทน มีความหมายโดยนัยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย

    ๘. แก้วโป่งข่าม เป็นแก้วที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ในตัวเอง เป็นแก้วที่ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข อยู่ยงคงกะพัน

    ๙. กล้วยน้ำว้า เป็นตัวประสานให้เนื้อพระเหนียวแน่นคงทน เหมือน "พระสมเด็จ" ก็มีส่วนผสมของกล้วยเหมือนกัน

    เมื่อดูส่วนผสมทั้ง ๙ อย่างนี้คงพอทราบกันแล้วว่าพระผงนี้มีบารมีคุณวิเศษมากแค่ไหน เมื่อถูกบรรจุไว้ด้วยพลังจิตอันบริสุทธิ์สูงส่งของพระอริยสงฆ์อย่างหลวงพ่อเกษม

    พลานุภาพ บารมีคุณวิเศษก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ

    พระผงห้ารอบนี้มี ๒ พิมพ์ครับ คือ พิมพ์มี "ษ" กับ "ไม่มี ษ" หลายคนคงไม่ทราบว่า แล้วดูตรงไหนล่ะ ว่ามี "ษ" หรือ "ไม่มี ษ" ให้ดูด้านหลังครับ ตรงคำว่า "สุสานไตรลักษณ์" ถ้าพิมพ์มี "ษ" ตรงคำว่า "ลักษณ์" จะมี "ษ" ส่วนพิมพ์ "ไม่มี ษ" ตรงนี้จะเป็น "ลักณ์" ซึ่ง บล็อก ไม่มี "ษ" นี้ถือว่าเป็นบล็อกแรก ช่างแกะบล็อกแกะตกหล่นไป จึงแกะบล็อกใหม่ เพิ่ม "ษ" เข้าไปให้ถูกต้อง ถือว่าเป็นบล็อกหลัง และก็เป็นบล็อกนิยมด้วย เพราะหายาก มีน้อย แต่ไม่ว่าบล็อกไหนก็เหมือนกันแหละครับ

    หลวงพ่อท่านมนต์ให้เหมือนกัน การแยก นิยมหรือ ไม่นิยมนั้นเพื่อพุทธพาณิชย์ มากกว่า ถ้าต้องการพุทธคุณก็อย่าไปสนใจบล็อกเลยครับ

    พระผงรุ่นนี้ ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้รูปแบบจะไม่ค่อยงดงามนัก แต่เรื่องพุทธคุณนั้นตรงกันข้าม มีประสบการณ์เกิดกับผู้ที่แขวนใช้บูชาอย่างมากมาย ตอนหลวงพ่อท่านมนต์ให้เสร็จแล้ว หลวงพ่อบอกกับลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ว่า "ถ้าใช้ไม่ดีให้เอามาคืน" โดยตั้งราคาไว้ พระผง ๒๐ บาท และ เหรียญ ๑๐ บาท ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเช่าบูชาเท่าไหร่ จนกระทั้งมีทหารนำไปทดลองยิงในป่าข้างป่าช้า ปรากฏว่ายิงไม่ออก พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจึงพากันแห่มาเช่าบูชาจนหมดลงอย่างรวดเร็ว
     
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย Huyakorn เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๖ #๖๗๐๙

    พ่อผมเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่หนุ่มๆ ตอนนั้นทำงานเป็นช่างใหญ่ (ซ่อมเครื่องบิน) อยู่ที่บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ตรงถนนหลานหลวง (ตึกการบินไทยในปัจจุบัน) พ่อเล่าว่าเข้าป่าช้าไปนั่งสมาธิกับท่านหลายครั้ง อยู่กรุงเทพฯไปลำปางเกือบทุกสัปดาห์ บินไปเช้า เย็นก็กลับ มีบางครั้งที่นอนค้างคืน เรียกว่าพอว่างจากงานก็ไปนมัสการท่านที่วัดเลย

    สมัยก่อนตอนผมเด็กๆ (ตอนนี้ ๕๐ กว่าแล้ว) ผมจะรู้จักพระอยู่ไม่กี่องค์ อันดับหนึ่งก็คือ "หลวงพ่อเกษม" นี่ล่ะครับ ลองลงมาก็เป็นหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เพราะเมื่อก่อนบ้านผมอยู่แถวนั้น ที่บ้านรู้จักตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาส และท่านเจ้าคุณหลายองค์ ตอนที่พ่อ-แม่ผมแต่งงาน ท่านเจ้าอาวาสยังให้ "หลวงพ่อทองคำ" เนื้อทองคำเป็นของรับไหว้พ่อกับแม่มา (รูปประจำตัวผมตอนนี้) พ่อบอกว่ามีอยู่แค่ ๓ องค์ เพราะนำผงทองคำบนพระเกศของหลวงพ่อทองคำมาทำ ซึ่งมีอยู่น้อยหล่อพระได้แค่ ๓ องค์ เท่านั้น ถวายพระเจ้าอยู่หัว ๑ องค์ ให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ องค์ องค์ที่ ๓ อยู่ที่ผม เนื่องจากผมเป็นลูกคนโตก็เลยได้รับมาครับ ส่วนองค์ที่ ๓ ก็หลวงพ่อโสธร

    ตอนเด็กๆ เคยได้ยินลุงเล่าให้ฟังว่า พี่ผม (ลูกของลุง) ปีนตู้กระจกจะเอาของบนตู้ ตู้รับน้ำหนักไม่ไหวล้มทับพี่ชาย กระจกแตกหมด แต่ลูกลุงไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว ลุงบอกว่าสงสัยแขวนพระหลวงพ่อเกษม เลยแคล้วคลาดไม่ได้รับบาดเจ็บ (ไม่รู้ว่าแขวนพระรุ่นไหน)

    วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ..

    หน้า ๓๓๗

    เล่าต่อครับ...

    ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ตอนเย็นๆ ก็ไปเรียน A.U.A ช่วงหน้าหนาวปีนั้นเพื่อนที่ A.U.A ชวนไปเที่ยวภูกระดึง ผมไม่รู้ว่ามันจะต้องเดินขึ้นเขาที่ชัน และไกลขนาดนั้น แค่ซำแฮ่กก็เกือบตาย แข้งขาหมดแรงล้าไปหมด ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน ถ้ารู้ก็คงจะฝากเป้ และกีตาร์ไปกับลูกหาบแล้ว

    ผมคิดในใจว่าขอให้ขึ้นไปถึงยอด (หลังแป) ให้สำเร็จ หมดโค๊กไปขวดกัดฟันเดินต่อ ตอนแรกก็เดินรวมกลุ่มไปกับเพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพี่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เดินไปได้สักพักรู้สึกว่าความล้า ความอ่อนแรง อาการเหนื่อยต่างๆ หายไปไม่รู้ตัว ผมเริ่มเดินเร็วขึ้น เดินไป รอไป จนเพื่อนบอกว่าไม่ต้องรอก็ได้ ไปเจอกันข้างบนเลย ปกติเดินขึ้นภูกระดึงสมัยก่อนใช้เวลาประมาณ ๖-๗ ชม. (๑๐.๐๐-๑๗.๐๐ น.) ผมเดินไปเรื่อยๆ แซงหน้าไปหลายกลุ่ม ทั้งๆ ที่แบกเป้ และถือกีตาร์ เดินสนุกไม่ได้หยุดกินน้ำอีกเลย ถึงหลังแปแล้วจึงพักกินน้ำ นั่งรอเพื่อน กะว่าไม่น่าเกิน ๑๕ นาที

    ผมนั่งรอจนถึงห้าโมงเย็นเพื่อนก็ขึ้นมาถึงหลังแป ถามว่ามาถึงนานแล้วยัง ผมบอกว่านั่งรอมาชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่มีใครเชื่อหัวเราะกันใหญ่ บอกว่าขี้โม้ เป็นไปไม่ได้หรอก เดินตามมาติดๆ พักตามทางแต่ละที่ก็ไม่เกิน ๑๐ นาที ผมก็ไม่ได้เถียงหรือคิดอะไรมาก นึกว่าเดินจนชินแล้วก็เลยไม่เหนื่อย พอไปถึงที่พักของกรมป่าไม้ ข้างบนอากาศเย็นจัด อุณหภูมิประมาณ ๘-๑๐ องศา เข้าที่พักผู้ชายนอนรวมกัน ผู้หญิงก็แยกไปนอนอีกหลัง ไม่มีใครอาบน้ำเพราะหนาวกันทุกคน บอกว่าจะอาบวันพรุ่งนี้ แต่ผมทนไม่ได้เคยอาบน้ำก่อนนอน จะไปอาบน้ำเพื่อนรุ่นพี่ที่แก่กว่าผมสัก ๕-๖ ปี ก็ขออาบด้วย อาบพร้อมกันเลย..

    เอาล่ะซิ เจอเกย์เข้าแล้ว (สมัยนั้นยังไม่รู้จักคำว่าตุ๊ด) เกิดมายังไม่เคยอาบน้ำกับใครเลย เอายังไงก็เอากันวะ แก้ผ้าอาบน้ำ เหมือนเอาเข็มมาแทงทั้งตัว น้ำเย็นเจี๊ยบ ผมรีบอาบให้เสร็จเร็วๆ เพราะเขินรุ่นพี่ หันหน้าเข้าฝาตลอด พอกำลังจะเช็ดตัว ได้ยินเสียงดังตุ๊บ หันไปดู อ้าว!! รุ่นพี่ล้มลงไปแล้ว เป็นชีเปลือยยังไม่ได้ราดน้ำสักขันเลย ผมรีบเข้าไปพยุง เอาผ้ามาพันตัวเอาไว้ พี่เขาบอกว่าขยับตัวไม่ได้มันแข็งไปหมด ช่วยพาไปที่พักหน่อย

    พอถึงที่พัก ความอุ่นในบ้านทำให้พี่เขาพอจะขยับตัวใส่เสื้อผ้าเองได้ ตอนนั้นพวกผู้หญิงมาตามไปกินข้าวเย็น (ไปเที่ยวคราวนี้มีผู้ชายอยู่ ๒ คนคือผมกับพี่คนนี้เท่านั้น) พี่เขาบอกให้ผมไปกินก่อนเดี๋ยวจะตามไป กินข้าวเสร็จกลับมาพี่เขานอนห่มผ้าอยู่ ผมถามว่าดีขึ้นหรือยัง พี่เขา (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) บอกว่าแข้งขา มือไม้ชาไปหมด ขยับไม่ได้ ผมก็บอกว่าจะเอายาหม่องพระมาทาให้พรุ่งนี้เดินตัวปลิวเลย ปกติพี่คนนี้เขาบอกว่าเค้าไม่มีศาสนา ดูจากภายนอกก็พอจะรู้ เพราะไว้ผมยาว แต่งตัวคล้ายฮิ้บปี้ เป็นนักร้องด้วย

    ผมบอกว่ายานี้จะได้ผลก็ต้องเชื่อในพุทธคุณของท่านเสียก่อน พี่เขาลังเลอยู่พักนึงก็ตอบ O.K. ผมเลยหยิบยาหม่องประจำตัว เป็นยาหม่องของหลวงพ่อเกษม พ่อเอามาจากวัดทีนึงเยอะๆ ผมจะแบ่งเอามาใช้ตลอด ทาแก้ปวดท้อง ปวดหัว ปวดเมื่อย ฟกช้ำ ครั้งเดียวอยู่ แต่ต้องท่องคาถาที่พ่อบอกทุกครั้ง คือ "พุทธัง สูญหาย - ธรรมัง สูญหาย - สังฆัง สูญหาย" ผมทายาหม่องให้พี่เขาทั้งตัวเกือบหมดขวด เหลืออยู่นิดหน่อยเก็บเอาไว้ทาให้ตัวเองคืนนี้

    ตื่นตอนเช้าพี่หายไปไหนก็ไม่รู้ ผมไปอาบน้ำกลับมาเจอพี่เขายืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าบ้านพัก บอกว่าอาบน้ำแต่เช้าแล้ว ไปเดินเล่นแถวนี้ ผมถามว่าเป็นยังไงบ้าง พี่เขาบอกว่าหายดีแล้ว หลับเป็นตาย วันนี้ไปเที่ยวได้แน่ เราอยู่บนภูกระดึง ๒ วันก็เดินทางกลับ ตอนจะกลับพี่เขาถามว่ายาหม่องหมดหรือยังขอยืมทาก่อนลงเขาได้หรือเปล่า ผมบอกว่าหมดแล้วครับ พี่เขาหน้าเสียไปเลย ตอนลงเขาก็ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงไปตลอดทางเลย และถึงข้างล่างเป็นคนสุดท้าย จบแล้วครับ ยาวไปหน่อยต้องขอโทษด้วย..

    "ยาหม่องหลวงพ่อเกษม" หมดไปหลายปีแล้ว แต่คาถาของท่านยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผมใช้ยาหม่องยี่ห้อไหนก็ได้ เวลาทาท่องคาถาของท่าน หายทุกครั้งเลยครับ อ้อ!! เวลาทาให้ "ทาลง" อย่างเดียวนะครับ อย่าทาขึ้นลง หรือซ้ายขวา เจอกันคราวหน้า..นะครับ!

    ผมลืมบอกไปว่า เที่ยวภูกระดึงครั้งนั้นนอกจากยาหม่องแล้ว ผมยังมีเหรียญหลวงพ่อเกษม ติดตัวไปด้วย..ครับ

    หน้า ๓๓๘

    ..เล่าต่อครับ

    ผมมีพี่น้อง ๔ คน เป็นผู้ชาย ๓ ผู้หญิง ๑ ผมเป็นคนโต ผู้ชายเรียนที่โรงเรียนวัดสระเกศทั้งหมด เพราะใกล้ที่ทำงานพ่อ (ตึกการบินไทย หลานหลวง) ตีห้าครึ่งก็ออกมาพร้อมพ่อเลย เวลากลับต้องกลับเองเพราะพ่อจะกลับดึกเกือบทุกวัน สมัยก่อนนักเรียนยกพวกตีกันก็จะเป็นโรงเรียนมัธยม ไม่ใช่สถาบันอาชีวะอย่างในปัจจุบัน รร.วัดสระเกศมีโจทย์หลายโรงเรียน เช่น อำนวยศิลป์ เทพศิรินทร์ สุรศักดิ์มนตรี ผดุงศิษย์พิทยา เป็นต้น

    บ้านผมอยู่ลาดพร้าว เวลากลับต้องนั่งรถเมล์สาย ๘ มาลงซอยภาวนา แล้วต่อรถเมล์อีกที รถเมล์มีน้อย นานๆ จะมาสักคัน เมื่อก่อนไม่มีประตูอัตโนมัติปิดเปิดเหมือนสมัยนี้ นักเรียน (โต) ส่วนใหญ่ยืนที่บันได ที่ชอบยืนตรงบันไดเพราะลมมันเย็น วันหนึ่งน้องชายคนรองผมขึ้นรถเมล์กลับบ้านกับเพื่อน คนแน่นมากต้องโหนอยู่ที่บันไดหลัง ตอนที่ผ่านจะเลี้ยวซ้ายบริเวณบ้านพักรถไฟ ถ.ยมราช อยู่ๆ ก็มีเด็กวัยรุ่นซึ่งยืนหลบหลังเสาไฟฟ้า โผล่ออกมาพร้อมกับดาบยาว ฟันไปที่หน้าอกน้องผมขณะที่รถเมล์กำลังวิ่งอยู่ ความเร็วของรถเมล์สวนกับความแรงของดาบ ทำให้คนในรถร้องกันลั่นรถ กระเป๋ารถเมล์ และเพื่อนๆ ของน้องตะโกนบอกคนขับให้หยุดรถ บอกว่ามีคนโดนฟัน คนขับไม่ยอมจอดวิ่งยาวไปจนถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี ตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าตายแน่เพราะตอนโดนฟันเสียงดังมาก คนขับลงมาถามน้องชายว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า มาถึงโรงพยาบาลแล้วจะได้ให้หมอดู

    น้องผมบอกว่าไม่เป็นอะไร มองดูที่เสื้อก็ไม่เห็นมีเลือด อาจจะฟันไม่โดนตัวไปโดนตัวถังรถแทน คนขับก็เลยออกรถขับต่อไป เพื่อนๆ น้องชายเล่าว่าคนในรถคิดว่าโดนตัวคนแน่ๆ ไม่ใช่โดนตัวรถ กลับมาถึงบ้านน้องก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แต่เรื่องมาแดงตอนที่ถอดเสื้ออาบน้ำแล้วแม่เห็นว่าตรงหน้าอกมีรอยช้ำ เป็นจ้ำๆ สีม่วง สีเขียว ยาวตั้งแต่หัวไหล่พาดลงมาถึงเอว แม่ถามว่าไปโดนอะไรมา น้องก็เลยเล่าให้ที่บ้านฟัง พ่อรู้เรื่องโกรธมากจะไปตามล่าไอ้เด็กคนที่ฟัน แต่ที่บ้านห้ามเอาไว้บอกว่าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว น้องผมหยิบเสื้อมาให้ดูเสื้อมีรอยขาดนิดหน่อย แต่ก็ใช้ใส่ไปโรงเรียนไม่ได้อีกแล้ว เรื่องนี้เล่ากันมันทุกทีเวลาเพื่อนๆ น้องชายมาหาที่บ้าน บางตอนก็เล่าว่ามีคนตะโกนถามว่าใส่พระอะไรหนู น้องผมก็ตอบว่า "หลวงพ่อเกษม..ครับ"

    จบแล้ว..จะมาเล่าต่อวันหลังนะครับ
     
  9. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    โพสต์โดย nitikoon29 เมื่อวันที่ ๑๒-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๘ #๖๗๔๔

    ปาฏิหาริย์พระเครื่องหลวงพ่อเกษม เขมโก

    เรื่องมีอยู่ว่าญาติของผมเห็นว่าช่วงหลังๆ นี้ผมมาสนใจพระเครื่องก็เลยเอาพระมาให้องค์หนึ่งและบอกว่าเป็นพระของหลวงพ่อเกษมที่ลำปางเมื่อผมดูที่หน้ากล่องพระเขียนว่าผมก็เลยปฏิเสธไม่เอาเพราะตามที่อ่านมาในเว๊ปบอกว่าให้เล่นหาปี ๑๘ ลงไป..

    แกก็คะยั้นคะยอบอกว่าเอาไปเถิดอุตส่าห์เอามาให้แล้ว ผมก็รับมาด้วยความไม่เต็มใจ พอให้พระเสร็จแกก็เดินไปทำงานต่อซึ่งก็อยู่ใกล้แถวนั้น ผมก็แสร้งหยิบพระในกล่องขึ้นมาดูเพื่อให้แกสบายใจ

    พอหยิบพระใส่ในฝ่ามือเพื่อจะดูว่าเป็นพระอะไร..แต่ไม่ถึง ๓ วินาทีพระที่อยู่ในฝ่ามือก็หายวับไปทันที พระหายไปจริงๆ ไม่ได้หล่นลงพื้นแน่นอน และกล้าสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะผมก็ไม่ได้เป็นเซียนพระที่จะมาสร้างนิยายเพื่อปั่นราคาพระให้สูงขึ้น..

    ตอนนี้หนึ่งในพระที่ติดตัวเป็นประจำก็ต้องมีพระหลวงพ่อเกษมอยู่ด้วยแน่นอนครับ

    ผมอยากบอกทุกๆ ท่านว่าพระของหลวงพ่อเกษมรุ่นไหนก็ได้ ที่ประวัติการสร้างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรุ่นลึกๆ หรอกครับ เอาศรัทธาและหัวใจเราเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญนะครับ ยิ่งเซียนพระไม่เล่นรุ่นหลังๆ พวกเราก็จะได้พระที่ไม่แพงใช่ไหมครับ....
     
  10. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,124
    ค่าพลัง:
    +53,094
    พสต์โดย motana2008 เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๗ #๖๗๒๓

    ผมขออนุญาตบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อระลึกถึงหลวงปู่เกษมที่มีต่อผมก่อนแล้วกันนะครับ

    ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ได้สนใจใยดีกับ พระเครื่อง อะไรมากมาย แต่น้าเป็นคนที่สนใจธรรมมะ สวดมนต์ และรู้จักหลวงปู่เกษม ต่อมาในปี ๓๕ หรือ ๓๖ จำได้ไม่ค่อยดีนัก น้าได้บูชาและให้เหรียญนั่งพานหลวงปู่เพื่อให้ผมแขวนคอไว้ ๑ องค์ ผมก็นำมาแขวนเสียมิได้ ซึ่งแขวนแบบลืมตามคือเลี่ยมกันน้ำไม่เคยถอดออกจากคอ อยู่ไปอยู่มาวันหนึ่ง ได้เดินไปซื้อของให้ทางบ้าน ผ่านหน้าบ้านร้านขายข้าวต้ม ซึ่งมีหมานอนอยู่ เน้นว่านอนอยู่ครับ (ขีดเส้นใต้สองเส้นเลย) พอเดินไปยังไม่ทันจะถึงตัวหมา อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นมาแล้วงับเข้าที่ขาอย่างจัง งับเสร็จก็เดินไปเฉยๆ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น(เดินแบบช้าๆ ค่อยๆ เดิน ออกไปแบบไม่ใยดี ) ทีนี้ขอกลับมาที่ขาผมต่อครับ ด้วยความตกใจก้มลงไปดูที่ขา เออ ไม่มีไรนี่หว่า ด้วยความที่เป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เดินต่อไปเพื่อไปซื้อของให้ที่บ้าน แล้วกลับบ้านปกติ

    *** นี่คือประสบการณ์ที่ ๑ ครับที่ผมเจอครับ (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคือประสบการณ์ ดั๊นน คิดไปด้วยความไร้เดียงสาว่าหมามันคงอยากเล่นด้วย เลยแกล้งวิ่งมางับขาผมเล่น เหมือนหมาเด็กๆ ที่เล่นงับสิ่งของเล่น แต่เปล่าเลย หมาตัวนั้นเป็นหมาที่ดุมาก กัดคนเดินผ่านไปมาหลายคนและเจ้าของไม่ได้รับผิดชอบ จนตอนหลังโดนยาเบื่อตายไปครับ อันนี้แม่กับน้ามาเล่าให้ฟังทีหลัง)

    ประสบการณ์ที่สองในองค์เดียวกันนี้ ตอนสมัยเรียนจบใหม่ๆ ได้รับชีวิตอิสระมากขึ้นก็เที่ยวไปตามที่ต่างๆ จนมาวันหนึ่งที่จำได้ไม่เคยลืมจนทุกวันนี้ เป็นหลังวันสงกรานต์ในปี๔๓ คือวันครอบครัวนั่นเอง ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนย่านศิริราชจนเลยไปท่าพระอาทิตย์ ที่มีร้านขายโรตี คนเยอะๆ (ใช่พระอาทิตย์ไหมครับ)

    หลังจากดูเด็กเล่นสเก็ตบอร์ด เต้นเบรคแดนซ์ เสร็จเวลาซักบ่ายสองโมง ก็เริ่มหิว ซึ่งในขณะนั้นก็ยังมีฝรั่งดื่มเหล้าและเมาอยู่ ๒-๓ คน ซึ่งผมคาดว่าคงจะเมาตั้งแต่สงการณ์แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินไปหาร้านข้าวกิน เมื่อเดินไปเจอที่นั่งว่างก็ได้รีบปรี่เดินดุ่มๆ เข้าไปนั่ง โดยผมได้นั่งหันหลังออกนอกร้าน และเพื่อนอีกสองคนนั่งฝั่งตรงข้าม (หน้าร้านมีฝรั่งเมาและคงจะทะเลาะหรือเถียงกันกับเจ้าของร้านอยู่ เพราะได้ยินเสียโวยวาย แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะหิว หรือเห็นแก่กิน ทุกวันนี้ยังแยกไม่ออก)

    พอพวกผมสั่งอาหารเสร็จพร้อมน้ำก็ตั้งหน้าตั้งตาโซ้ยเต็มที่ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฝรั่งขี้เมาคนหนึ่งได้ปาขวดเบียร์ขนาดเล็กเข้ามาในร้าน โดยผ่านกลางโต๊ะก่อนโต๊ะที่ผมนั่งหันหลังมาอย่างฉลุย จะติดก็ตรงที่กะบานหรือหัวผมอยู่ตรงกลางของปลายโต๊ะแนวเส้นละติจูดเดียวกะที่ขวดเจ้ากรรมนี้กำลังวิ่งตรงมานี่แหละ

    ปรากฏว่าขวดได้วิ่งผ่านหัวผมไปเหมือนไม่มีผมอยู่ตรงนั้น มาตกที่โต๊ะถัดไปเสียงดังสนั่น เพล้ง.. (ผมตกใจอะไรวิ่งผ่านหัวไปวะ) เพื่อนผมสองคนที่นั่งตรงข้ามวงแตกกระจาย (ตั้งแต่เห็นขวดพุ่งมาทางผม ไม่งั้นอาจจะโดนหัวเพื่อนผมแทน) เราเลยรีบจ่ายเงินและจากไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อนผมกับผมก็สงสัยว่าขวดนั้นได้ผ่านหัวผมไปได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่แนวขวดต้องโดนหัวผมแน่ แน่ และแน่นอนหากโดนเลือดอาบต้องมีอย่างน้อย ๔ เข็มเป็นแน่แท้ (ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอีกนะว่านี่คือประสบการณ์ และความเมตตาของหลวงปู่เกษมที่ช่วย หัวกบาลเอ็งไว้ นายโมทนา)

    เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้ขัดเกลาวัยคึกคะนอง ให้มีสติมากขึ้นพอมานั่งย้อนกลับไปคิดๆ ดู นี่หละคือสุดยอดประสบการณ์ของผมที่หลวงปู่ได้เมตตาช่วยผมไว้ และเป็นแรงความศรัทธาที่ผมก่อเกิดต่อหลวงปู่เกษมไม่มีวันลืมเลือน

    อันนี้แถมอีกประสบการณ์ตรงจากจากบุคคลในครอบครัว เอาสั้นๆ แค่มีสายสิญจน์ที่หลวงปู่ปลุกเสกพกติดตัวคือท่านนำไปเลี่ยมแขวนคอ บูชาไว้ วันหนึ่งเอามือไปล้วงรูหรือหยิบอะไรจำไม่ได้แล้ว (เขาเล่าให้ฟัง) หนูตัวใหญ่จะกัดนิ้ว แต่กัดไม่เข้าขากรรไกรค้างงับไม่ได้ ทั้งหนูทั้งคนตะลึงตรึงๆ กันอยู่แป๊บหนึ่ง พอคนได้สติกรี๊ดเพราะนึกว่าโดนกัดแล้ว หนูก็ได้สติตามว่าต้องหนีแล้ววู้ย ก็เลยวิ่งหนีจากไป... สรุป ไม่ได้แผล และ ไม่ติดเชื้อโรค ครับ

    ทั้งหมดทั้งสิ้นคือเรื่องจริงที่ผมนำมาบอกเล่าผ่านตัวอักษร เพื่อระลึกถึงหลวงปู่เกษมและร่วมบันทึกเรื่องราวประสบการณ์ครับ หากทุกท่านได้อ่านจะรู้ว่าทำไมผมถึงเคารพและศรัทธาท่านมาก แม้บางครั้งผมแวะเวียนมา (ซึ่งบอกได้เต็มปากว่าเกือบทุกวัน) แต่ก็ไม่ได้โพสต์อะไร แต่ก็ต้องแวะเวียนเข้ามาไม่รู้ว่าเพราะอะไร นอกจากศรัทธาท่านจากใจ
     
  11. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124
    สวัสดีครับ สมช."อัลบั้พระ" ทุกท่าน​
     
  12. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    สวัสดีครับ ไม่รู้เป็นอะไร เพิ่งจะเข้าเวปได้ครับ เหมือนเมื่อซัก 3-4 ชม ที่แล้วเวปล่มเลยครับ
     
  13. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    น้อมกราบหลวงพ่อเกษร -/\-

    สวัสดีคร๊าบบน้องเอ็ม นำประสบการณ์พระหลวงปู่เกษมมาให้อ่านกันเต็มเลย
     
  14. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    สวัสดียามเที่ยงคร๊าบบพี่เอ๊ะ คุณกันต์ฯ
     
  15. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]

    สวัสดียามเที่ยงครับพี่วรรณ พี่เอ๊ะ พี่กูน พี่ตี๋ พี่โญ พี่ชาญ พี่ช้าง พี่รุ่ง พี่อ้วน คุณบอย น้องโอ๊ต น้องเอ็ม น้องเขี้ยว คุณหนุ่ม น้องเอ๋ คุณวุฒิ น้องนิก คุณตั้น คุณกันตปัญโญ คุณหมอ คุณhmoomoo คุณsellcat คุณjamitcom คุณEYEOFVENUS คุณwawa22 น้องกานต์ คุณpp2 น้องแพนและพี่ๆน้องทุกท่าน ขอบคุณทุกภาพสวยๆและเรื่องราวดีๆจากทุกท่านครับ
     
  16. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]

    [​IMG]

    เหรียญทำน้ำมนต์ หลวงปู่ศรี​
     
  17. jumbo_a44

    jumbo_a44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6,518
    ค่าพลัง:
    +68,124



    สวัสดีครับคุณปู คุณกันต์ งานยุ่งมากเลยไม่ได้เข้ากระทู้...
     
  18. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]

    [​IMG]

    หลวงปู่ขาว อนาลโย​
     
  19. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    สู้ๆคร๊าบบ พี่เอ๊ะ ว่างแล้วค่อยมาหนุกหนานกัน วันนี้เข้าไปดายหญ้าในสวนที่เริ่มรกออกมาขาสั่นริกๆเลยย ต้องเริ่มฟิตแบบพี่เอ๊ะแล้วคร๊าบบ
     
  20. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    สวัสดียามเที่ยงทุกๆท่าน
    ช่วงนี้ขอพักก่อนคงจะหลายวัน ปวดตามาก ความดันขึ้น มึนหัว ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว หมอให้พักใช้สายตาสักพักหนึ่ง ขอบคุณทุกๆท่านที่เป็นห่วงครับ
    สบายดีแล้วค่อยพบกันใหม่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...