แฉความลับ (ทหารปฏิรูปประเทศไทย)

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 15 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 9 ก.ค.57 จับมือสังหารสุทินแล้ว คาบ้านพักย่านสำโรง

    จากเหตุการณ์กลุ่มมือปืน 4-5 คน รับงานนักการเมืองเผาไทย รุมสังหาร สุทิน ธาราทิน อย่างโหดเหี้ยมขณะอยู่บนรถปราศรัย แถววัดศรีเอี่ยม บางนา กทม.เมื่อ 26 ม.ค.57 และในยุครัฐบาลเก่ามีการดองคดีไม่คืบหน้าใดๆ

    แถมสมัยนั้น มีเรื่องประหลาดอีก เมื่อตำรวจใหญ่ สั่งให้ออกหมายจับ คนที่ยืนปราศรัยบนรถกับสุทิน ที่ถูกรุมยิงเช่นกัน ให้เป็นผู้ต้องหา จนคนก่นด่ากันทั้งเมือง สร้างความด่างพร้อยให้กระบวนการยุติธรรมด่านแรก

    ต่อมาทหารมีการจับกุมตัวนักการเมืองเผาไทย คนที่ยืนคุยกับมือปืนก่อนเกิดเหตุ ได้ที่บ้านพัก เนื่องจากไม่มารายงานตัวตามคำสั่งของ คสช.

    วันนี้ตำรวจอีกชุดได้จับกุมตัว นายสุกิจ ชัยมงคล ได้ที่บ้านพักย่านสำโรง และแจ้งขอหาร่วมกันฆ่าสุทินตาย กำลังเค้นสอบหาเพื่อนร่วมทีม และเปิดโปงผู้ชักใยเบื้องหลัง ว่ามีนักการเมืองเผาไทยคนใดบ้าง

    ความจริงที่ลึกลับ กำลังเปิดเผยออกมาทุกวัน ว่ากลุ่มการเมืองใดคือผู้ก่อเหตุร้ายรุนแรงจนมีคนตายไปถึง 28 คนในรอบ 7 เดือน


    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 8 ก.ค.57 เผย..เยอรมัน กับแนวคิดตัวตน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ บุรุษโลกตะลึง (ตอน 1)

    หน่วยงานความมั่นคงของชาติสัมพันธมิตร สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ถือเป็นพันธมิตรของเยอรมัน การหาข่าวของหน่วยงานข่าวกรองจากชาติเหล่านี้ ถูกยกเว้นไม่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยข่าวกรองของเยอรมัน (Bundesnachrichtendienst) หรือ BND

    แต่คดีอื้อฉาว ที่จับกุมอดีตเจ้าหน้าที่ BND วัย 31 ปี ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซ้ำร้ายเรื่องกลับยุ่งอีรุงตุงนังหนักขึ้นไปอีก เมื่อเขาผู้นี้ดันใกล้ชิดกับผู้อำนวยการหน่วยงาน BND ของเยอรมันเอง เขาเล่นบทบาทสายลับ 2 หน้า ใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี แอบขายเอกสารความมั่นคงลับสุดยอดของเยอรมันให้หน่วยงาน CIA สหรัฐฯสำหรับค่าตอบแทน 10,000 ยูโรต่อเอกสาร 1 ชิ้น

    เขาแอบลักลอบให้ข้อมูลลับเกี่ยวกับคดีการสอบสวนหน่วยงาน NSA สหรัฐฯ จำนวน 218 ชิ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อแลกกับค่าตอบแทนมากกว่า 34,000 ดอลลาร์ และถูกจับกุมได้ระหว่างพยายามขยายฐานลูกค้าเพื่อติดต่อหน่วยข่าวกรองรัสเซียในการขายความลับ...

    ด้านรัสเซีย หัวเราะก๊าก..รีบแฉ เพิ่มเติมว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คนรับรู้ว่า หน่วยงาน CIA มีส่วนในปฏิบัติการจารกรรมความลับเยอรมัน ด้วยการจ้างอดีตสปาย BND ที่ถูกจับกุมล่าสุด เพื่อทำงานหาข่าวให้สหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน ได้ยอมรับสารภาพว่า CIA มีส่วนพัวพันในปฎิบัติการ ที่เพิ่งถูกเปิดเผยในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ โดยการว่าจ้างอดีตเจ้าหน้าที่ BND วัย 31 ปี ที่ปัจจุบันอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจเยอรมัน ให้ทำหน้าที่สืบราชการลับจริง

    ยิ่งเพิ่มความสั่นคลอนความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างสองประเทศที่ง่อนแง่น ตั้งแต่การเปิดเผยเอกสารลับ NSA ที่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนเผยแพร่ ในปี 2013 พบว่า สหรัฐฯได้ลอบดักฟังโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของผู้นำเยอรมัน

    และสหรัฐฯ เองก็ปฎิเสธลงนามความร่วมมือ “ไม่สอดแนม “ กับเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมัน จุดประเด็นขึ้นหลังจากที่พบว่า NSA ของอเมริกาได้ลอบดักฟังโทรศัพท์มือถือของเธอ

    คดีนี้สร้างความขุ่นเคืองให้กับเยอรมันเป็นอย่างมาก ผู้นำเยอรมัน เดือดขนาดต้องรีบออกแถลงการณ์ไปถึงอเมริกาทันที ขณะไปเยือนจีน ว่าข่าวการจับกุมอดีตสายลับ BND ว่า “ข่าวฉาวแอบจารกรรมนี้ร้ายแรงมาก และจะยิ่งเป็นสิ่งขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัด จากสิ่งที่ต้องพิจารณาถึงความเชื่อมั่นในความร่วมมือ ระดับหน่วยงานของเยอรมันกับชาติพันธมิตร”

    นักการเมืองเยอรมันรู้สึกช็อก ที่พบว่าไม่เพียงแต่สหรัฐฯไม่เปิดเผยตัวตนของอดีตสปายสองหน้าชาวเยอรมัน แต่ยังกลับจ้างสปายผู้นี้ทำงานให้สหรัฐด้วย เมื่อต้นสัปดาห์นี้สมาชิกรัฐสภาเยอรมันหลายคน เรียกร้องให้มีการ “ ขับเจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯ “ ที่ทำการจ้างอดีตเจ้าหน้าที่ BND สอดแนมเบอร์ลิน ออกนอกเยอรมัน

    โดย ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ในรัฐสภาเยอรมัน ได้เปิดฉากโจมตีอเมริกาว่า "ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีกต่อไปว่า เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องเดินทางออกนอกประเทศเยอรมัน”

    ต่อมาจากผู้นำ ปฏิบัติตาต่อตา ฟันต่อฟันก็เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อ รัฐมนตรีมหาดไทยเยอรมัน ประกาศว่ารัฐบาลเขาต้องการ ติดตาม 360 องศา ครอบคลุมปฎิบัติการจารกรรมทั้งหมดที่อเมริกากระทำในเยอรมัน รัฐบาลเขา อนุญาตให้มีภารกิจ “ต่อต้านการจารกรรม “ สอดแนม สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้แล้ว และโฆษกความมั่นคงภายในเยอรมัน เผยว่า “ต่อไปนี้เยอรมันต้องเริ่มต้นจับตา คนที่เรียกว่า “เพื่อน”

    มาตรการใหม่ต่อต้านการจารกรรมนี้ คือ การเฝ้ามอนิเตอร์เครื่องดักฟังของหน่วยงานข่าวกรองอเมริกา NSA และ GCHQ ที่ตั้งบนยอดหลังคาตัวตึกสถานทูตสหรัฐฯ และอังกฤษประจำเยอรมัน

    คนเยอรมันนั้น ยังฝังใจกัหน่วยเกสตาโป ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ยิ่งมาเจออเมริกาดักฟังโทรศัพท์ได้แม้กระทั่งผู้นำตนเอง จึงรู้สึกเสียความรู้สึกและเซ็งมาก งั้นมาลองดูประวัติว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขามีแนวคิดอย่างไรในอดีต ที่ต้องการกำจัดยิว ให้สิ้นซาก และทำอย่างไรเขาจึงฆาตกรรมผู้คนนับ 17 ล้านคนอย่างเป็นระบบ ในจำนวนนี้เป็นชาวยิวเกือบ 6 ล้านคน

    อาลัวส์ ฮิตเลอร์ กับ คลารา เพิลเซล ให้กำเนิด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในรันส์ฮอเฟน หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เขาเป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน พี่ทั้งสามคนของฮิตเลอร์ เสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารก

    เมื่อฮิตเลอร์อายุได้ 3 ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายไป เยอรมนี ที่ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์มีสำเนียงท้องถิ่นแบบบาวาเรียล่างมากกว่าสำเนียงเยอรมันออสเตรีย และเป็นสำเนียงที่ฮิตเลอร์ใช้ตลอดชีวิต ต่อมา บิดาของฮิตเลอร์ ได้เกษียณไปยังที่ดินเล็ก ๆ ที่ฮาเฟลด์ ใกล้ลัมบัค เขาพยายามประกอบอาชีพกสิกรรมและเลี้ยงผึ้งด้วยตนเอง

    ฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนที่ฟิชล์ฮัม ในละแวกใกล้เคียง ขณะที่ยังเป็นเด็ก ฮิตเลอร์ติดการสงคราม หลังพบหนังสือภาพเกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ท่ามกลางบรรดาสมบัติส่วนตัวของบิดา เขาเริ่มต้นความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับพ่อ เพราะฮิตเลอร์ปฏิเสธไม่เชื่อฟังกฎระเบียบอันเข้มงวดของโรงเรียนเขา

    ความพยายามทำกสิกรรมของบิดา จบลงด้วยความล้มเหลว ต่อมาฮิตเลอร์เข้าศึกษาที่โรงเรียนคาทอลิกแห่งหนึ่งในเขตชนบทเบเนดิกติน คริสต์ศตวรรษที่ 11 สมัยนั้นนั้น มีสัญลักษณ์สวัสดิกะ ที่ถูกปรับให้เข้ากับแบบบนตราอาร์มของอดีตอธิการวัด ฮิตเลอร์วัย 8 ขวบเข้าเรียนร้องเพลง ร่วมอยู่ในวงประสานเสียงของโบสถ์ จนกระทั่งเขาวาดฝันว่าตนจะเป็นนักบวช

    ต่อมาน้องชายของเขาเสียชีวิตด้วยโรคหัด กระทบต่อจิตใจของเขาอย่างลึกซึ้ง จากที่เคยเป็นเด็กที่มั่นใจ เข้าสังคม และเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม เขากลายเป็นเด็กอารมณ์ขุ่นมัว เฉยชา และบึ้งตึง มีปัญหากับบิดาและครูอย่างต่อเนื่อง

    บิดาของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จในอาชีพในสำนักงานศุลกากร และต้องการให้เขาเจริญรอยตาม แต่เขาอยากเข้าศึกษายังโรงเรียนมัธยมคลาสสิก และจบมาเป็นศิลปิน ต่อมาพ่อเขาบังคับให้ไปเรียนโรงเรียนอาชีวะ อีกแห่งหนึ่ง เขาแกล้งเรียนแย่ๆ มาก หวังว่าเมื่อบิดาเห็นว่า "มีความคืบหน้าน้อยที่โรงเรียนอาชีวะ จะปล่อยให้ฮิตเลอร์อุทิศตัวเองแก่ความใฝ่ฝันของตนเอง “


    ฮิตเลอร์เริ่มหลงใหลในลัทธิชาตินิยมเยอรมันตั้งแต่เยาว์วัย แสดงความเคารพต่อเยอรมนีเท่านั้น ฮิตเลอร์และเพื่อนของเขาใช้คำทักทายภาษาเยอรมัน "ไฮล์" และร้องเพลงชาติเยอรมัน แทนเพลงชาติจักรวรรดิออสเตรีย

    ต่อมาพ่อของเขาเสียชีวิตกะทันหัน พฤติกรรมของฮิตเลอร์ที่โรงเรียนอาชีวะยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก มารดาเขาอนุญาตให้เขาลาออกในปี ค.ศ. 1905 เขาลงเรียนอีกแห่ง หลังผ่านข้อสอบปลายภาค ฮิตเลอร์ก็ได้ออกจากโรงเรียนโดยไม่แสดงความทะเยอทะยานใด ๆ แก่การศึกษาต่อ หรือมีแผนที่ชัดเจนสำหรับอาชีพในอนาคต

    นับจาก ค.ศ. 1905 ฮิตเลอร์ได้ใช้ชีวิตในเวียนนา ด้วยเงินสงเคราะห์เด็กกำพร้า เขาทำงานเป็นกรรมกรชั่วคราว และท้ายสุด เป็นจิตรกรขายภาพวาดสีน้ำ สถาบันวิจิตรศิลป์เวียนนาปฏิเสธเขาสองครั้ง เพราะ "ความไม่เหมาะสมที่จะวาดภาพ" ของเขา ผู้อำนวยการแนะนำให้ฮิตเลอร์เรียนสถาปัตยกรรม แต่เขาขาดเอกสารแสดงวิทยฐานะทางการศึกษา

    หลังสถาบันฯ ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ก็หมดเงิน ใน ค.ศ. 1909 เขาอาศัยอยู่ในที่พักคนไร้ที่บ้าน แล้วย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักชายรับจ้างยากจน ขณะที่ฮิตเลอร์อยู่ที่นั่น เวียนนาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อคติทางศาสนา และคตินิยมเชื้อชาติแบบคริสต์ศตวรรษที่ 19

    ความกลัวว่าจะถูกผู้อพยพจากตะวันออกล่วงล้ำแพร่ขยาย และนายกเทศมนตรีเวียนนา มีนโยบายประชานิยม เขาใช้วาทศิลป์พูดให้เกลียดชังยิวรุนแรง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง มีผู้สนับสนุนอย่างแข็งแกร่ง และมีฐานในย่านที่ฮิตเลอร์อาศัยอยู่ ฮิตเลอร์อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่กระพืออคติและความกลัวของคริสเตียนว่า จะต้องแบกภาระการเข้ามาของยิวตะวันออก

    เขาจึงเกลียดชังยิวครั้งแรกในเวียนนา ฮิตเลอร์ย้ายออกจากเวียนนา เพื่อหลบเลี่ยงการเกณฑ์เข้าสู่กองทัพออสเตรีย เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ ฮิตเลอร์สมัครเข้ารับราชการในกองทัพเยอรมัน เขาได้รับการตอบรับในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งมีแนวโน้มว่าเป็นผลมาจากความปล่อยปละละเลยทางธุรการ เพราะเขายังเป็นพลเมืองออสเตรีย

    เขาถูกจัดไปยังกรมทหารราบกองหนุนบาวาเรีย 16 เขาปฏิบัติหน้าที่เป็นพลนำสารส่งของในแนวรบด้านตะวันตกในฝรั่งเศสและเบลเยียม เขาเข้าร่วมในยุทธการอีเปอร์ ยุทธการแม่น้ำซอม ยุทธการอารัส และยุทธการพัสเชนแดเลอ

    เขาได้รับเชิดชูเกียรติสำหรับความกล้าหาญ ได้รับกางเขนเหล็กชั้นที่หนึ่ง เมื่อ ค.ศ. 1918 เป็นอิสริยาภรณ์ซึ่งน้อยครั้งนักจะมอบให้แก่ทหารชั้นผู้น้อย เช่น พลทหารอย่างเขา ตำแหน่งของฮิตเลอร์ที่กองบัญชาการกรม ทำให้เขามีปฏิสัมพันธ์บ่อยครั้งกับนายทหารอาวุโส ทำให้เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นี้

    ระหว่างรับราชการที่กองบัญชาการ ฮิตเลอร์ยังสร้างสรรค์งานศิลปะของตนต่อไป โดยวาดการ์ตูนและคอลัมภ์แก่หนังสือพิมพ์กองทัพ ระหว่างยุทธการแม่น้ำซอม ใน ค.ศ. 1916 เขาได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขาหนีบ หรือต้นขาซ้ายเมื่อกระสุนปืนใหญ่ระเบิดในหลุมของพลนำสาร

    ต่อมา ค.ศ. 1918 ฮิตเลอร์ ตาบอดชั่วคราวจากการโจมตีด้วยแก๊สมัสตาร์ด และรับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะรักษาตัวอยู่ ฮิตเลอร์ทราบข่าวการพ่ายแพ้ของเยอรมนี เมื่อทราบข่าว เขาก็ตาบอดอีกเป็นครั้งที่สอง

    เขารู้สึกขมขื่นต่อการพังทลายของความพยายามทำสงคราม และอุดมการณ์อย่างมั่นคง เขาอธิบายสงครามว่าเป็น "ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนืออื่นใด" และได้รับการยกย่องจากนายทหารผู้บังคับบัญชา ประสบการณ์นี้ส่งผลให้ฮิตเลอร์เป็นผู้รักชาติเยอรมันอย่างหลงใหล และรู้สึกช็อกเมื่อเยอรมนียอมจำนนในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 1918

    เขาเชื่อในการอ้างว่ากองทัพเยอรมัน "ไม่แพ้ในสมรภูมิ" ได้ถูก "แทงข้างหลัง" โดยผู้นำพลเรือน และพวกมากซิสต์ จากแนวหลัง นักการเมืองเหล่านี้ภายหลังถูกขนานนามว่า "อาชญากรพฤศจิกายน"

    สนธิสัญญาแวร์ซาย กำหนดให้เยอรมนีต้องสละดินแดนหลายแห่ง และให้ปลอดทหาร กำหนดการลงโทษทางเศรษฐกิจ และเรียกเก็บค่าปฏิกรรมจากประเทศ ชาวเยอรมันจำนวนมากเข้าใจว่าสนธิสัญญานี้ เป็นความอัปยศอดสู สภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในเยอรมนีได้รับผลกระทบจากสงคราม

    หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ เขากลับมายังมิวนิก ต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหน้าที่การข่าว แห่งคอมมานโดลาดตระเวน ของไรช์สเวร์ ระหว่างที่เขาเฝ้าติดตามกิจกรรมของพรรคกรรมกรเยอรมัน DAP ฮิตเลอร์จึงมีแนวคิดต่อต้านยิว ชาตินิยม ต่อต้านทุนนิยม ด้วยประทับใจกับทักษะวาทศิลป์ของฮิตเลอร์ จึงเชิญเขาเข้าร่วม DAP ฮิตเลอร์ยอมรับเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1919 เป็นสมาชิกพรรคคนที่ 55

    ที่ DAP ฮิตเลอร์พบหนึ่งในสมาชิกคนแรก ๆ ของพรรค และแนะนำเขาให้รู้จักกับบุคคลในสังคมมิวนิกอย่างกว้างขวาง ต่อมาพรรคได้เปลี่ยนชื่อเป็น พรรคสังคมนิยมกรรมกรแห่งชาติเยอรมัน (ย่อเป็น NSDAP) ฮิตเลอร์ออกแบบธงของพรรคเป็นสวัสดิกะในวงกลมสีขาวบนพื้นหลังสีแดง

    หลังถูกปลดประจำการในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920 ฮิตเลอร์เริ่มทำงานกับพรรคเต็มเวลา เขาสามารถปราศรัยต่อผู้ฟังจำนวนมาก แก่ฝูงชนมากกว่าหกพันคนในมิวนิก ในการประกาศเผยแพร่การชุมนุม ขับไปรอบเมืองและโบกธงสวัสดิกะและโยนใบปลิว ไม่นานฮิตเลอร์ก็มีชื่อเสียงในทางไม่ดีจากความเอะอะโวยวาย

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1921 ระหว่างที่ฮิตเลอร์และที่ปรึกษากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไประดมทุนยังเบอร์ลิน ได้เกิดการจลาจลขึ้นภายในพรรค DAP ในมิวนิก สมาชิกคณะกรรมการบริหารพรรค DAP ซึ่งบางคนมองว่าฮิตเลอร์ยโสเกินไป ฮิตเลอร์ จึงยื่นใบลาออกจากพรรคด้วยความโกรธ สมาชิกกรรมการตระหนักว่าการลาออกของเขาจะหมายถึงจุดจบของพรรค

    ฮิตเลอร์ประกาศว่าจะกลับเข้าพรรคอีกครั้ง เมื่อเขาเป็นหัวหน้าพรรคแทนคนเดิม คณะกรรมการตกลง เขาเข้าร่วมพรรคอีกครั้งเป็นสมาชิกคนที่ 3,680 เขายังเผชิญกับการคัดค้านภายในพรรคบ้าง พันธมิตรของเขาพิมพ์แผ่นพับ 3,000 แผ่นโจมตีฮิตเลอร์ว่าเป็นผู้ทรยศพรรค ไม่กี่วันให้หลัง ฮิตเลอร์กล่าวแก้ต่างและได้รับเสียงปรบมือดังสนั่น

    ยุทธศาสตร์ของเขาพิสูจน์แล้วว่าประสบผล ที่การประชุมใหญ่สมาชิกพรรค DAP เขาได้รับอำนาจเต็มในฐานะหัวหน้าพรรค โดยได้รับเสียงคัดค้านเพียงเสียงเดียว สุนทรพจน์โรงเบียร์ที่เผ็ดร้อนของฮิตเลอร์ เริ่มดึงดูดผู้ฟังขาประจำ เขาเริ่มช่ำชองในการใช้แก่นประชานิยมต่อผู้ฟังของเขา รวมทั้งการใช้แพะรับบาปคือความยากลำบากทางเศรษฐกิจ

    ปรากฏการณ์สะกดจิตของวาทศิลป์ที่เขาใช้ต่อผู้ฟังกลุ่มใหญ่ และของตาเขาในกลุ่มเล็ก ชาวเยอรมันถูกร่ายมนต์ความดึงดูดใจ 'สะกดจิต' ของฮิตเลอร์ กล่าวกันว่าได้สะกดจิตประเทศชาติ ยึดพวกเขาอยู่ในภวังค์ที่ถอนตัวไม่ขึ้น ความมีเสน่ห์ของดวงตาคู่นั้น ซึ่งสะกดชายที่ดูสุขุมมานักต่อนัก

    เขาใช้อำนาจเสน่ห์ส่วนตัวของเขา และความเข้าใจในจิตวิทยาฝูงชนเป็นประโยชน์แก่เขา ระหว่างพูดในที่สาธารณะ จนมีปฏิกิริยาที่มีต่อสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์ว่า " ปะทุเข้าสู่ความบ้าคลั่งของความภูมิใจชาตินิยมที่อยู่ติดกับฮิสทีเรีย เป็นเวลาหลายนาทีติดกัน ผู้คนตะโกนสุดปอด ด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้า ซีก ไฮล์, ซีก ไฮล์, ซีก ไฮล์!

    นับแต่ชั่วขณะนั้น ผู้คนตกเป็นของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทั้งร่างกายและวิญญาณ ผู้ติดตามคนแรก ๆ ของเขาเป็นอดีตนักบินกองทัพอากาศ และทหารจากกองทัพบก ผู้ซึ่งต่อมา เป็นหัวหน้าองค์การกำลังกึ่งทหารของนาซี (SA, กองพลวายุ) ซึ่งคอยคุ้มครองการประชุมและโจมตีคู่แข่งการเมืองอยู่บ่อยครั้ง

    ใน ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์ต้องการเลียนแบบ เบนิโต มุสโสลินี โดยจัดรัฐประหารของเขาเองในบาวาเรีย ฮิตเลอร์ต้องการฉวยโอกาสสำคัญเพื่อการปลุกปั่นและการสนับสนุนของประชาชน การประชุมสาธารณะที่มีผู้เข้าร่วม 3,000 คน ซึ่งจัดโดยพลพรรคในโรงเบียร์ขนาดใหญ่ในมิวนิก ฮิตเลอร์ปราศรัยว่าการปฏิวัติแห่งชาติเริ่มต้นขึ้น

    ประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับพลพรรค โดยชักปืนพกออกมา ฮิตเลอร์ได้รับการสนับสนุนจากพลพรรค กองกำลังของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จช่วงแรกในการยึดไรช์สเวร์ และกองบังคับการตำรวจท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ไม่มีกองทัพหรือตำรวจรัฐเข้าร่วมกับกองกำลังของเขา ทำให้เพื่อนของเขารีบถอนการสนับสนุนของตน และหนีไปเข้ากับฝ่ายต่อต้านฮิตเลอร์วันรุ่งขึ้น

    ฮิตเลอร์ และผู้ติดตามเดินขบวนจากโรงเบียร์ไปยังกระทรวงสงครามเพื่อล้มรัฐบาลบา แต่ตำรวจสลายการชุมนุม สมาชิก NSDAP จำนวน 16 คนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายถูกสังหารไปในรัฐประหารที่ล้มเหลว ฮิตเลอร์หลบหนีไปยังบ้านของพลพรรคที่สนิท เขาคิดฆ่าตัวตาย เขารู้สึกหดหู่ และถูกจับกุมในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ด้วยข้อหากบฏ

    เขาถูกตัดสินจำคุก 5 ปีในเรือนจำ เขาได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมิตรจากผู้คุม และได้รับอนุญาตให้รับจดหมายจำนวนมากจากผู้สนับสนุน และมีการเข้าเยี่ยมเป็นประจำจากเพื่อนร่วมพรรค ศาลสูงสุดอภัยโทษและเขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำ เขาได้รับโทษในเรือนจำ 1 ปีกว่าเท่านั้น

    ขณะถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำ เขาได้อุทิศบันทึกความทรงจำของเขา ตีพิมพ์ เป็นหนังสือทั้งอัตชีวประวัติและการแถลงอุดมการณ์ของเขา ต่อมาขายได้ถึงหนึ่งล้านเล่ม

    ...เรื่องยิ่งเข้มข้นขึ้น รออ่านตอนที่ 2 ต่อไป.....


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 9 ก.ค.57 เผย..เยอรมัน กับแนวคิดตัวตน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ บุรุษโลกตะลึง (ตอน 2)

    เล่าเรื่อง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ต่อเนื่องจากตอนที่ 1 เมื่อเขาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำนั้น การเมืองในเยอรมนีสงบลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจำกัดโอกาสของฮิตเลอร์ในการปลุกระดมทางการเมือง ผลของกบฏโรงเบียร์ที่ล้มเหลว ทำให้ NSDAP และองค์การสืบเนื่องถูกกฎหมายห้ามในรัฐบาวาเรีย

    ในการประชุมกับนายกรัฐมนตรีบาวาเรีย ค.ศ. 1925 ฮิตเลอร์ตกลงที่จะเคารพอำนาจโดยชอบของรัฐ และเขาจะมุ่งแสวงหาอำนาจทางการเมือง เฉพาะผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น นำไปสู่การยกเลิกการห้าม NSDAP แต่ฮิตเลอร์ยังถูกห้ามมิให้ปราศรัยต่อสาธารณะ ซึ่งยังมีผลไปจนถึง ค.ศ. 1927

    ความทะเยอทะยานทางการเมือง แม้จะมีการสั่งห้ามนี้ ฮิตเลอร์แต่งตั้งนอมินีคนสนิท ให้จัดการและขยาย NSDAP ทางตอนเหนือของเยอรมนี ด้วยความเป็นผู้จัดที่ยอดเยี่ยม ฮิตเลอร์ปกครอง NSDAP โดยอัตโนมัติโดยอ้าง “หลักการผู้นำ" ตำแหน่งภายในพรรคไม่ถูกกำหนดโดยการเลือกตั้ง แต่จะถูกบรรจุผ่านการแต่งตั้งโดยผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ซึ่งต้องการการเชื่อฟังโดยไม่มีการตั้งคำถามต่อประสงค์ของผู้นำ

    ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาตก เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1929 ผลกระทบในเยอรมนีนั้นเลวร้ายมาก หลายล้านคนตกงาน และธนาคารหลักหลายแห่งต้องปิดกิจการ ฮิตเลอร์และ NSDAP เตรียมฉวยโอกาสจากเหตุฉุกเฉินนี้ เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนแก่พรรค พวกเขาสัญญาว่าจะบอกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซาย เสริมสร้างเศรษฐกิจและจัดหางาน

    ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในเยอรมนี เป็นโอกาสทางการเมืองสำหรับฮิตเลอร์ ชาวเยอรมันลังเลต่อรัฐสภา ซึ่งเผชิญกับปัญหาคุกคามสำคัญจากทั้งพวกขวา และซ้ายจัดสุดโต่ง พรรคการเมืองสายกลาง ไม่สามารถหยุดยั้งกระแสแห่งลัทธิสุดโต่งเพิ่มขึ้นทุกที การเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ. 1930 ส่งผลให้รัฐบาลผสมชุดใหญ่ แตกหัก และแทนที่โดยคณะรัฐมนตรีข้างน้อย

    นายกรัฐมนตรีแห่งพรรคสายกลาง ผู้นำคณะรัฐมนตรีชุดนั้น ปกครองโดยกฤษฎีกาฉุกเฉินจากประธานาธิบดี NSDAP เติบโตจากพรรคที่ไม่มีใครรู้จักและได้คะแนนเสียง 18.3% และ 107 ที่นั่งในรัฐสภาในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1930 กลายมาเป็นพรรคใหญ่ที่สุดอันดับสองในสภา

    ฮิตเลอร์ปรากฏกายครั้งสำคัญในการพิจารณาคดีของนายทหาร 2 นาย ในปี ค.ศ. 1930 ทั้งสองถูกตั้งข้อหาเป็นสมาชิก NSDAP ซึ่งขณะนั้น กฎหมายไม่อนุญาตให้กำลังพลเป็นสมาชิก ฮิตเลอร์มาให้การเป็นพยานในศาล ให้การว่า พรรคของเขาจะแสวงหาอำนาจทางการเมืองเฉพาะผ่านการเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตยเท่านั้น การให้การนั้นทำให้เขาได้รับการสนับสนุนมากในหมู่นายทหารในกองทัพ

    มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย และไม่เป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ฮิตเลอร์ฉวยความอ่อนแอนี้โดยส่งข้อความทางการเมืองของเขา เจาะจงไปยังประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เช่น ชาวนา ทหารผ่านศึก และชนชั้นกลาง

    ฮิตเลอร์ สละสัญชาติออสเตรียของเขาอย่างเป็นทางการ แต่เขายังไม่ได้สัญชาติเยอรมัน เป็นเวลาเกือบ 7 ปีที่ฮิตเลอร์ไร้สัญชาติ ไม่สามารถเข้าชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ และเสี่ยงต่อการถูกเนรเทศ จน ค.ศ. 1932 รัฐมนตรีมหาดไทยแห่งรัฐ ผู้เป็นสมาชิก NSDAP แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นผู้บริหารตัวแทนของรัฐเมืองย่อยในเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์เป็นพลเมืองนั้น และจึงเป็นพลเมืองเยอรมันอีกทอดหนึ่งเช่นกัน

    ฮิตเลอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แข่งกับผู้ที่มีมีเสียงสนับสนุน เขาได้รับการสนับสนุนจากนักอุตสาหกรรม ที่ทรงอำนาจที่สุดของเยอรมนีหลายคน คู่แข่งขันเขาได้รับการสนับสนุนจากพรรคชาตินิยม กษัตริย์นิยม คาทอลิกและสาธารณรัฐนิยม ตลอดจนสังคมประชาธิปไตยบางพรรค ฮิตเลอร์ใช้คำขวัญระหว่างหาเสียงว่า “ฮิตเลอร์เหนือเยอรมนี”

    โดยเขามีความทะเยอทะยานทางการเมือง และการหาเสียงโดยเครื่องบิน ฮิตเลอร์มาเป็นอันดับ 2 ในการเลือกตั้งทั้ง 2 รอบ โดยได้เสียงมากกว่า 35% ในการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย แม้จะพ่ายต่อคู่แข่งขัน การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ทำให้ฮิตเลอร์เป็นกำลังสำคัญในการเมืองเยอรมนี

    การขาดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพทำให้นักการเมืองทรงอิทธิพลสองคน ตลอดจนนักอุตสาหกรรมและนักธุรกิจหลายคน เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี กระตุ้นให้แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นหัวหน้ารัฐบาล "ซึ่งเป็นอิสระจากพรรคการเมืองในรัฐสภา" ซึ่งอาจแปรเปลี่ยนเป็นขบวนการซึ่งอาจ "สร้างความยินดีแก่ประชากรหลายล้านคน"

    ประธานาธิบดี ตกลงแต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไม่เต็มใจ หลังการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปอีกสองครั้ง คือ ใน ค.ศ. 1932 ไม่มีพรรคใดจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ฮิตเลอร์จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลผสมช่วงสั้น ๆ นั่งเก้าอี้ 3 จาก 11 ตำแหน่ง ฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และผู้ใกล้ชิดเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย

    ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฮิตเลอร์ ดำเนินการต่อต้านความพยายามของคู่แข่งพรรค NSDAP ในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ฮิตเลอร์จึงขอประธานาธิบดีให้ยุบสภาอีกครั้ง และกำหนดการเลือกตั้งไว้ต้นเดือนมีนาคม วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 อาคารรัฐสภาถูกวางเพลิง คนสนิทฮิตเลอร์กล่าวโทษว่า เป็นแผนการของคอมมิวนิสต์ เพราะถูกพบตัวในอาคาร
    เพลิงกำลังลุกโหมอยู่นั้น

    ด้วยการกระตุ้นของฮิตเลอร์ ประธานาธิบดีตอบสนองโดยออกกฤษฎีกาเพลิงไหม้รัฐสภา 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งยับยั้งสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมทั้งหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล กิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันถูกปราบปราม และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ราว 4,000 คนถูกจับกุม จริงๆ แล้ว NSDAP นั่นเองที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังต่อการวางเพลิงนั้น

    NSDAP ยังมีส่วนกับความรุนแรงกึ่งทหาร และการขยายการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ การเลือกตั้ง มีนาคม ค.ศ. 1933 คะแนนเสียงของ NSDAP เพิ่มขึ้นเป็น 43.9% และพรรคได้รับที่นั่งมากที่สุดในรัฐสภา จำต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคร่วม DNVP อีกหน

    มีการตั้งสภาใหม่ขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมทางการเมืองเต็มที่ โดยไม่ต้องกุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา รัฐบาลของฮิตเลอร์นำรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ขึ้นออกเสียงในรัฐสภาที่เพิ่งเลือกตั้งใหม่ มอบอำนาจนิติบัญญัติเต็มให้แก่คณะรัฐมนตรีของฮิตเลอร์ เป็นเวลา 4 ปี ร่างรัฐบัญญัติต้องการเสียงข้างมาก 2 ใน 3 จึงผ่าน พรรคเขาใช้บทบัญญัติแห่งกฤษฎีกาเพลิงไหม้รัฐสภา กันมิให้ผู้แทนพรรคอื่น คือ สังคมประชาธิปไตยหลายคนเข้าประชุม ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ถูกยุบไปก่อนแล้ว

    วันที่ 23 มีนาคม รัฐสภาประชุมภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย หน่วยพิเศษเอสเอปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในอาคาร ขณะที่คนกลุ่มใหญ่ด้านนอกคัดค้านกฎหมายที่เสนอ ตะโกนคำขวัญและคุกคามสมาชิกรัฐสภาที่กำลังมาถึง เมื่อมีอำนาจควบคุมเต็มเหนืออำนาจนิติบัญญัติและบริหารแล้ว ฮิตเลอร์และพันธมิตรทางการเมืองของเขาเริ่มการปราบคู่แข่งการเมืองที่เหลืออย่างเป็นระบบ

    พรรคสังคมประชาธิปไตยถูกยุบ ตามพรรคคอมมิวนิสต์และสินทรัพย์ทั้งหมดถูกยึด ขณะที่ตัวแทนสหภาพแรงงานจำนวนมากอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ถูกพลรบของตำรวจลับเอสเอทำลายสำนักงานสหภาพแรงงานทั่วประเทศ พฤษภาคม ค.ศ. 1933 สหภาพแรงงานทั้งหมดถูกบีบให้ยุบและผู้นำถูกจับกุม บางคนถูกส่งไปยังค่ายกักกัน

    เมื่อถึงปลายเดือนมิถุนายน พรรคอื่น ๆ ก็ได้ถูกยุบไปจนหมด และด้วยความช่วยเหลือของตำรวจลับเอสเอ ฮิตเลอร์กดดันให้พรรครัฐบาลผสมของเขาลาออก กรกฎาคม ค.ศ. 1933 พรรคนาซีของฮิตเลอร์ได้รับการประกาศให้เป็นพรรคการเมืองชอบด้วยกฎหมายพรรคเดียวในเยอรมนี ตำรวจลับเอสเอเรียกร้องให้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารเพิ่มขึ้น สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้นำทางทหาร นักอุตสาหกรรม และการเมือง

    ฮิตเลอร์ กวาดล้างผู้นำตำรวจลับเอสเอทั้งหมด ในเหตุการณ์ซึ่งต่อมาเรียกว่า คืนแห่งมีดยาว ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายนถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์ตั้งเป้าหมายให้คู่แข่งการเมืองคนอื่น และอดีตนายกรัฐมนตรี และผู้นำตำรวจลับเอสเอคนอื่น ๆ ร่วมกับคู่แข่งการเมืองของฮิตเลอร์จำนวนหนึ่ง ถูกล้อม จับกุมและยิงทิ้ง ขณะที่ประชาคมระหว่างประเทศและชาวเยอรมันบางคนตระหนกต่อการฆาตกรรม

    สิงหาคม ค.ศ. 1934 ประธานาธิบดีถึงแก่อสัญกรรม หนึ่งวันก่อนหน้านั้น คณะรัฐมนตรีได้ผ่านกฎหมายให้มีผลใช้บังคับเมื่อประธานาธิบดีเสียชีวิต ซึ่งล้มล้างตำแหน่งประธานาธิบดีและรวมอำนาจของประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี ฮิตเลอร์จึงกลายมาเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและประมุขรัฐบาล มีชื่อทางการว่า ผู้นำและนายกรัฐมนตรี ด้วยกฎหมายนี้ จึงไม่สามารถถอดเขาออกจากตำแหน่งได้

    ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ฮิตเลอร์จึงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย การมอบสัตย์ปฏิญาณของทหารและกะลาสีตามประเพณี ถูกเปลี่ยนเป็นการยืนยันความภักดีต่อฮิตเลอร์โดยตรง วันที่ 19 สิงหาคม การรวมตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีได้รับการอนุมัติโดยการลงประชามติ ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุน 90% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ

    ต้น ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์บีบให้รัฐมนตรีกลาโหมลาออก เมื่อสำนวนตำรวจพบว่าภรรยาใหม่ของบเขาเคยมีประวัติเป็นโสเภณี ฮิตเลอร์ถอดผู้บัญชาการทหารบก โดยสร้างข้อกล่าวหาว่าเขามีส่วนในความสัมพันธ์รักร่วมเพศ นั่นเพราะคนทั้งคู่ได้คัดค้าน ฮิตเลอร์ที่ให้ทั้งสองเตรียมกองทัพบกให้พร้อมเข้าสู่สงครามภายใน ค.ศ. 1938

    เขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ดังนั้น จึงสามารถบังคับบัญชากองทัพได้โดยตรง พลเอก 16 นายถูกถอดจากตำแหน่ง และ 44 นายถูกย้าย พลเอกอื่นอีก 12 นายถูกปลด ทั้งหมดถูกสงสัยว่าไม่นิยมนาซีมากพอ

    หลังได้เสริมสร้างอำนาจการเมืองของเขาแล้ว ฮิตเลอร์ปราบปรามหรือกำจัดคู่แข่งของเขาด้วยการ "จัดแถว" เขาพยายามหาการสนับสนุนจากสาธารณะเพิ่มเติมโดยสัญญาว่าจะพลิกฟื้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซาย

    ปี ค.ศ. 1935 ฮิตเลอร์แต่งตั้งคนสนิท เป็นผู้มีอำนาจเต็มด้านเศรษฐกิจสงคราม รับผิดชอบการเตรียมเศรษฐกิจเพื่อสงคราม การฟื้นฟูบูรณะและการติดอาวุธใหม่ได้รับจัดหาเงินทุน และการยึดสินทรัพย์ของผู้ที่ถูกจับกุมในข้อหาเสี้ยนหนามแผ่นดิน รวมทั้งยิว

    การว่างงานลดลงอย่างมาก จาก 6 ล้านคนใน ค.ศ. 1932 เหลือ 1 ล้านคนใน ค.ศ. 1936 ฮิตเลอร์เป็นผู้ดูแลหนึ่งในโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคหนึ่งในครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เยอรมนี ซึ่งนำไปสู่การก่อสร้างเขื่อน ทางหลวง ทางรถไฟและงานสาธารณะอื่น ๆ ค่าจ้างลดลงเล็กน้อยในช่วงปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 25%

    รัฐบาลฮิตเลอร์สนับสนุนสถาปัตยกรรมอย่างกว้างขวาง สถาปนิกแบบคลาสสิกของฮิตเลอร์นำไปปรับกับวัฒนธรรมเยอรมัน ถูกกำหนดให้รับผิดชอบการปฏิสังขรณ์สถาปัตยกรรมในเบอร์ลิน ฮิตเลอร์เปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในเบอร์ลิน เขาการปฏิเสธการจำกัดทางทหารภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซาย

    ค.ศ. 1933 เยอรมนีถอนตัวจากสันนิบาตชาติและการประชุมปลดอาวุธโลก แล้วประกาศขยายกำลังพลทหารบกเป็น 600,000 นาย เป็น 6 เท่า ของจำนวนที่สนธิสัญญาแวร์ซายอนุญาต รวมถึงการพัฒนากองทัพอากาศ และการเพิ่มขนาดกองทัพเรือ ทำให้ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสันนิบาตชาติ ประณามแผนการเหล่านี้ว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย

    มีนาคม ค.ศ. 1936 เยอรมนียึดครองเขตปลอดทหาร อีกครั้ง อันเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ฮิตเลอร์ส่งกำลังเข้าไปในสเปนเพื่อสนับสนุนผู้นำทหาร หลังได้รับการขอความช่วยเหลือ ในขณะเดียวกัน เขาพยายามสร้างพันธมิตรอังกฤษ-กับเยอรมนีอย่างต่อเนื่อง ในการสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่ลุกลามขึ้นอันเกิดจากความพยายามสร้างเสริมอาวุธขึ้นใหม่

    ฮิตเลอร์จึงสั่งคนสนิท เพื่อดำเนินการแผนการ 4 ปี เพื่อให้เยอรมนีพร้อมทำสงคราม ในอนาคต ในมุมมองของฮิตเลอร์ จำเป็นต้องมีความพยายามที่ผูกมัดในการเสริมสร้างอาวุธโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจ

    รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลอิตาลี ประกาศเป็นพันธมิตรต่อกันระหว่างเยอรมนีกับอิตาลี และในวันที่ 25 พฤศจิกายน เยอรมนีลงนามในสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลกับญี่ปุ่น อังกฤษ จีน อิตาลี และโปแลนด์ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสนธิสัญญาดังกล่าวด้วย แต่มีเพียงอิตาลีเท่านั้นที่ลงนามใน ค.ศ. 1937

    ฮิตเลอร์ โมโห จึงทิ้งพันธมิตรอังกฤษ-เยอรมนี โดยกล่าวโทษว่าผู้นำอังกฤษ "ไม่เหมาะสม" เขาจัดการประชุมลับที่ทำเนียบรัฐบาล กับรัฐมนตรีกลาโหมและต่างประเทศ ตลอดจนหัวหน้าทหารในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น สั่งเตรียมทำสงครามในทางตะวันออก ซึ่งจะเริ่มขึ้นไม่เกิน ค.ศ. 1943

    เขารู้สึกว่าวิกฤตเศรษฐกิจเยอรมนีได้มาถึงจุดที่มาตรฐานการครองชีพในเยอรมนีถดถอยรุนแรง จนต้องใช้เฉพาะนโยบายก้าวร้าวทางทหาร คือ ยึดออสเตรียและเชโกสโลวาเกีย เท่านั้น ฮิตเลอร์กระตุ้นการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ต้น ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ถือสิทธิ์ควบคุมระบบนโยบายทางทหาร-ต่างประเทศ โดยปลดคนอื่นจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เขาดำเนินนโยบายต่างประเทศซึ่งมีสงครามเป็นเป้าหมายสูงสุด

    มโนทัศน์หลักของนาซี คือ แนวคิดความสะอาดเชื้อชาติ ค.ศ. 1935 เขาเสนอกฎหมายสองฉบับ ห้ามการสมรสระหว่างผู้ที่มิใช่ยิว กับเยอรมันเชื้อสายยิว และห้ามการจ้างสตรีมิใช่ยิวอายุต่ำกว่า 45 ปีในครัวเรือนยิว นโยบายด้านพันธุศาสตร์ช่วงแรกของฮิตเลอร์มุ่งไปยังเด็กที่บกพร่องทางกายและการพัฒนา และภายหลังอนุมัติขยายโครงการไปยังผู้ใหญ่ที่บกพร่องทางจิตและกายอย่างร้ายแรง

    มุ่งการได้มาซึ่งดินแดนใหม่สำหรับการตั้งถิ่นฐานของชาวเยอรมันในยุโรป กำหนดให้ประชากรในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียตส่วนที่ถูกยึดครองถูกเนรเทศไปยังไซบีเรียตะวันตก เพื่อใช้เป็นแรงงานทาสหรือสังหารทิ้ง ดินแดนที่ถูกพิชิตจะถูกตั้งเป็นอาณานิคมของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมันหรือถูกทำให้เป็นเยอรมัน

    เลอร์จึงยุติการเป็นพันธมิตรกับสาธารณรัฐจีน และเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นที่ทันสมัยและทรงอำนาจกว่า ฮิตเลอร์ประกาศรับรองแมนจูกัว รัฐที่ญี่ปุ่นยึดครองในแมนจูเรีย ฮิตเลอร์สั่งยุติการส่งอาวุธไปยังจีน และเรียกนายทหารเยอรมันที่ทำงานกับกองทัพจีนทั้งหมดกลับ เพื่อเป็นการตอบโต้ พลเอก เจียง ไคเช็ก ของจีน

    ยกเลิกความตกลงเศรษฐกิจจีน-เยอรมนีทั้งหมด ทำให้เยอรมนีขาดวัตถุดิบจากจีน แม้จีนจะยังขนส่งทังสเตนซึ่งเป็นโลหะสำคัญในการผลิตอาวุธ ต่อไป มีนาคม ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ประกาศรวมออสเตรีย เข้ากับนาซีเยอรมนี เขามุ่งความสนใจไปยังประชากรเชื้อชาติเยอรมันในแคว้นย่อยของเชโกสโลวาเกีย

    มีนาคม ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์จัดการประชุมลับขึ้นหลายครั้งในกรุงเบอร์ลิน โดยตกลงว่าผู้นำกบถของแคว้นย่อย ฯ จะเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองเพิ่มขึ้นจากรัฐบาลเชโกสโลวาเกีย ซึ่งจะเป็นข้ออ้างสำหรับการปฏิบัติทางทหารต่อเชโกสโลวาเกีย เมษายน ค.ศ. 1938 ผู้นำกบถของแคว้นย่อย ฯ บอกรัฐมนตรีต่างประเทศฮังการีว่า ไม่ว่ารัฐบาลเช็กจะเสนออะไร เขาจะเรียกร้องสูงขึ้นเสมอ”

    เพราะนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะโจมตีเชโกสโลวาเกียอย่างรวดเร็ว เจตนาที่แท้จริงของเขานั้นคือสงครามพิชิตเชโกสโลวาเกีย กันยายน ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ อังกฤษ เชโกสโลวาเกีย และผู้นำเผด็จการอิตาลี เข้าร่วมการประชุมซึ่งนำไปสู่ความตกลงมิวนิก ซึ่งได้มอบแคว้นย่อยให้แก่เยอรมนี

    แต่ฮิตเลอร์โกรธกับโอกาสทำสงครามที่พลาดไป เขาผิดหวัง เพราะในมุมมองของฮิตเลอร์ สันติภาพซึ่งอังกฤษเป็นนายหน้านั้น แม้จะอำนวยประโยชน์ต่อการเรียกร้องบังหน้าของเยอรมนี แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ทางการทูต

    ในปลาย ค.ศ. 1938 และต้น ค.ศ. 1939 วิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่ดำเนินต่อไปซึ่งเกิดขึ้นจากความพยายามสร้างเสริมอาวุธใหม่บีบให้ฮิตเลอร์ตัดงบประมาณป้องกันประเทศลงอย่างมาก ต่อมาก ฮิตเลอร์จึงสั่งให้ทหารรุกรานเมืองปราก และจากนั้นได้ประกาศให้เมืองโบฮีเมียและโมราเวียเป็นรัฐในอารักขาของเยอรมนี

    ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์จึงตัดสินใจรุกรานโปแลนด์ ซึ่งเขาถือว่าเป็นเป้าหมายนโยบายต่างประเทศหลักของเยอรมนี ฮิตเลอร์ ขัดใจที่อังกฤษ "รับประกัน" เอกราชของโปแลนด์ สาเหตุหนึ่งที่ฮิตเลอร์เร่งทำสงคราม เพราะความกลัวผิดปกติและหมกมุ่นของเขาว่าจะตายก่อนวัยอันควร และดังนั้น จึงมีความรู้สึกว่า เขาอาจไม่มีชีวิตอยู่จนสำเร็จงานของเขาก็ได้

    ...แล้วเขาจะชนะสงครามนี้อย่างไร ยิวจะตายอีกเท่าไร..รออ่านตอนที่ 3 ต่อไป.....

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 10 ก.ค.57 เผย..แนวคิดตัวตน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ บุรุษโลกตะลึง (ตอน 3 พ่ายแพ้)

    ก่อนชาวยิวมีธรรมเนียมการทำธุรกิจแบบเอารัดเอาเปรียบ ผูกขาด แบบที่สมัยนี้หลายประเทศถือว่าผิดกฎหมาย ตัวอย่าง เช่น ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เป็นลูกหลานของกิจการค้าเพชรพลอยที่มั่งคั่งร่ำรวย และอิ่มตัวแล้ว จะต้องหาทางไปลงทุนในกิจการอย่างอื่น กลุ่มนายทุนชาวยิวพวกนั้นจะมาประชุมกัน สมมติว่าตกลงจะลงทุนในธุรกิจโรงงานทำขนมปัง

    นายทุนชาวยิวจะให้ทุนลูกหลาน คนรุ่นใหม่ ไปลงทุนทำธุรกิจโรงงานทำขนมปัง แต่เขาจะไม่ทำแค่แห่งเดียว แต่จะทำหลายๆ โรงงาน หลายๆ ชื่อ พร้อมๆ กัน เนื่องจากมีเงินทุนหนา ตอนแรกจะยอมขาดทุน โดยอาศัยเงินทุนจากกิจการเพชรพลอยมาค้ำโรงงานทำขนมปัง ไว้ ก็เพื่อกดดันให้โรงงานทำขนมปัง ของคนเยอรมันที่เป็นรายย่อยเลิกกิจการไปนั่นเอง..หลักการคล้ายโชห่วยของไทย โดนห้างใหญ่เยอร์มัน ฝรั่งเศส มาเปิด จนเจ๊งวินาศตอนนี้

    เมื่อโรงงานขนมปังอื่นเริ่มประกาศขายกิจการ ยิวก็จะเข้าไปซื้อกิจการนั้นเพิ่ม พอยิวมีส่วนแบ่งรวมในตลาดมากพอ ก็จะกดดันร้านขายขนมปัง โดยสร้างเงื่อนไขว่า ต้องซื้อขนมปังจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น ถ้าพบว่าร้านขายขนมปังแห่งใด ซื้อจากโรงงานของคนเยอรมัน โรงงานขนมปังของยิวทั้งหมด จะไม่ยอมขายขนมปังให้ ด้วยข้ออ้างสารพัด เช่น ผลิตไม่ทัน ฯลฯ

    โรงงานยิว จะขายขนมปังให้ร้านของชาวยิวในราคาถูกพิเศษ แบบไม่เอากำไร ทำให้ร้านขายขนมปังของชาวยิว สามารถขายปลีกขนมปังในราคาถูกกว่าร้านของคนเยอรมัน แล้วยิวบีบให้ร้านขายขนมปังเยอรมัน ต้องซื้อจากโรงงานของชาวยิวในราคาที่แพงกว่าเท่านั้น โรงงานขนมปังของคนเยอรมันที่เหลือ ก็เจ๊งหมด ค่อยๆทะยอยปิดกิจการลง

    ยิวก็เข้าไปกดราคาบังคับซื้อร้านขายขนมปังเอาถูกๆ อีก พอยิวได้ครอบครองโรงงานขนมปังทั้งหมด ก็เริ่มตั้งร้านขายขนมปังของตนเอง ส่วนคนงานทำขนมปังก็เริ่มถูกกดค่าแรง ไม่มีทางย้ายที่ทำงาน เพราะโรงงานทั้งหมดเป็นของยิว

    ในที่สุดยิวก็ครอบครองกิจการผลิต จำหน่ายขนมปังได้ทั้งหมด ครบวงจรแล้ว ยิวก็จะขึ้นราคาขนมปังตามใจชอบ ฟันกำไรชดเชยกับที่ยอมขาดทุนในตอนแรก ประชาชนเยอรมันต้องซื้อขนมปังในราคาแพง

    พอผ่านไปหลายปี บรรดาลูกหลานชาวยิวในธุรกิจขนมปังเริ่มเติบโต ธุรกิจขนมปังอิ่มตัวแล้ว ขาวยิวก็จะประชุมกันอีกว่าจะยึดครองการค้าชนิดใดของคนเยอรมันต่อไป เป็นวงจรแบบนี้เรื่อยๆ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจเยอรมันทรุดไปทั่ว ส่งผลให้เปิดโอกาสให้ยิวเข้ายึดครองธุรกิจไปหลายประเภท ลัทธิยิวนิยมทำให้ คนยิวมีโอกาสได้ตำแหน่งงานที่ดีในธุรกิจที่มีคนยิวเป็นเจ้าของ

    คนยิวแม้ไม่ใช่ครอบครัวนายทุน ก็พลอยมีฐานะการเงินที่ดี ในสังคมไปตามๆ กัน ส่วนคนเยอรมันก็ต้องเป็นลูกจ้างกรรมกรในโรงงานของยิว แถมถูกกดค่าแรง การยึดครองธุรกิจของยิว ยังนำมาใช้สร้างชนชั้นวรรณะ สินค้าชั้นดีที่ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ จะเก็บไว้ขายให้ชาวยิวเท่านั้น ส่วนของห่วยๆ ก็ค่อยขายให้คนเยอรมัน คนเยอรมันสมัยนั้นจึงคับแค้นใจเพราะถูกกดขี่ทุกทางเอามากๆ

    ปัญหาชนชั้นในเยอรมันยิ่งหนักหนา เมื่อชนชั้นคนรวย เป็นกลุ่มชนต่างชาติ และรวยขึ้นมาด้วยวิธีการผูกขาดผิดกฎหมายการค้า ส่งผลให้คนเยอรมันเจ้าของประเทศยากจน สมัยนั้นรองเท้า จำเป็นสำหรับชีวิตเอามากๆ เมื่อเกิดจลาจลทำร้ายชาวยิวตามท้องถนนในเมืองต่างๆ คนยิวนอกจากถูกทุบตีทำร้ายแล้ว จะถูกถอดแย่งเอารองเท้าไปด้วย ชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อ จะถูกบังคับให้เดินเท้าเปล่าไปตามถนน

    ฮิตเลอร์ เองจึงเกลียดยิวมาก เพราะยิวเป็นผู้มายึดครองเยอรมันในอดีต และขับไล่ชนชั้นอารยันออกจากประเทศเยอรมัน เมื่อยิวเข้ามายึดครองเยอรมันแล้ว ก็ได้มาแย่งที่ทำมาหากิน และแย่งอาหารของชาวเยอรมัน ทำให้ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก ต้องมานอนอาศัยอยู่ตามกองขยะ และสถานีรถไฟ นอกจากการที่ยิวมาแย่งอาหารแล้ว ยิวยังทำอาหารไม่สะอาด เช่น การทำอาหารโดยการใช้เท้าเหยียบ ทำให้ชาวเยอรมันพากันป่วยเป็นโรคระบาดต่างๆ

    ฮิตเลอร์ จึงฝังใจแต่เด็กว่า เผ่าพันธุ์ยิว มีสติปัญญาสูงมาก มีศาสนาที่ทำให้เขาอดทน พากเพียร พยายาม และมีความชาตินิยมในเผ่าพันธุ์สูง ถ้าเผ่าพันธุ์นี้ รวมตัวเป็นปึกแผ่น และ ขยายอำนาจก็อันตรายเกินไป สำหรับเพื่อนร่วมโลก..ความโลภ และความไร้ยุติธรรม ของชาวยิวนั่นเอง ที่ฆ่าชาวยิว

    แนวคิดของคนเยอรมัน กับยิวในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น เยอรมันแพ้สงคราม จึงต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งร่างขึ้นโดยกลุ่มนายธนาคารยิวสากล และเป็นการเอารัดเอาเปรียบชาวเยอรมันเป็นอย่างมาก

    แต่ละประเทศ จะต้องหาเงินกู้จากนายธนาคารยิว ที่ทรงอิทธิพลการเงินอยู่ทั่วยุโรป เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แหล่งทรัพยากรสำคัญของประเทศจะต้องนำออกมาใช้อย่างไม่มีทางเลี่ยงชาวยิวจึงตั้งใจว่า สนธิสัญญานี้จะเป็นการบีบบังคับให้เกิดสงครามโลกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่า ในที่สุดคนเยอรมันก็จะสิ้นสุดความอดทน ลุกขึ้นต่อสู้ สงครามก็จะปะทุขึ้นอีกแน่นอน

    มาเล่าเรื่อง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จัดการยิว ต่อเนื่องจากตอนที่ 2 ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.252161024973932.1073742033.187529244770444&type=1

    กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีก็ได้รุกรานโปแลนด์ทางตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศสตอบโต้โดยประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจแก่ฮิตเลอร์ และเมื่อวันที่ 17 กันยายน กองทัพโซเวียตรุกรานโปแลนด์จากทางตะวันออก

    เขาทำ"สงครามลวง" สั่งการให้โปแลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือ โดยผู้ปกครองที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ 2 คนให้ยอมรับความขัดแย้งกับผู้ปกครองอีก 1 คน และไม่ให้พาดพิงถึงเขา การจัดการกับกรณีพิพาทแนวนี้ ได้ถูกพัฒนาเป็นตัวอย่างของทฤษฎี สั่งการอย่างคลุมเครือและคาดหวังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดำเนินนโยบายนั้นเองโดยอเมริกา และ EU ในปัจจุบัน

    ฮิตเลอร์สั่งการให้เสริมสร้างกำลังทหารตามชายแดนตะวันตกของเยอรมนี และใน ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมัน รุกรานเดนมาร์กและนอร์เวย์ และกองทัพของฮิตเลอร์โจมตีฝรั่งเศส และพิชิตลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ชัยชนะเหล่านี้กระตุ้นให้อิตาลี เข้าพวกกับฮิตเลอร์ และฝรั่งเศสยอมจำนนกับเยอรมันในเวลาต่อมา

    อังกฤษ ซึ่งกองทัพถูกบีบให้ออกจากฝรั่งเศสทางทะเล ยังคงสู้รบเคียงข้างเครือจักรภพอังกฤษอื่น ๆ ในยุทธนาวีทางทะเล ฮิตเลอร์เสนอแผนสันติภาพต่ออังกฤษ ซึ่งขณะนี้นำโดยนายพลวินสตัน เชอร์ชิลล์ และเมื่อการเสนอนั้นถูกปฏิเสธ ฮิตเลอร์ได้สั่งการให้เครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีต่อ สหราชอาณาจักรทันที

    การรุกรานสหราชอาณาจักรที่วางแผนไว้ของฮิตเลอร์สำเร็จ โดยโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพอากาศกองทัพอากาศอังกฤษ และสถานีเรดาร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ แต่กองทัพอากาศของเยอรมนี ยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพอากาศอังกฤษได้

    วันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1940 สนธิสัญญาไตรภาคี ลงนามในกรุงเบอร์ลิน โดยจักรวรรดิญี่ปุ่น, ฮิตเลอร์ และ อิตาลี ต่อมาขยายไปรวมถึงฮังการี โรมาเนียและบัลแกเรีย จุดประสงค์ของสนธิสัญญา คือ เพื่อขัดขวางสหรัฐอเมริกามิให้สนับสนุนอังกฤษ จนถึงปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 ฮิตเลอร์สั่งการโจมตีทางอากาศยามกลางคืนตามนครต่าง ๆ ของอังกฤษ รวมทั้งลอนดอน และเมืองสำคัญอื่น ๆ

    ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 กองทัพเยอรมันไปถึงลิเบีย เพื่อสนับสนุนอิตาลี แล้วเขาสั่งการรุกรานยูโกสลาเวีย และตามด้วยการรุกรานกรีซในเวลาอันรวดเร็ว กองทัพเยอรมันถูกส่งไปสนับสนุนกำลังกบฏอิรัก ที่สู้รบกับอังกฤษ และรุกรานครีต ฮิตเลอร์ออกคำสั่งรุกหน้าอย่างเดียว

    ทหารโซเวียตตรงพรมแดนตะวันออกของเยอรมนีในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1941 อาจเป็นเหตุให้ฮิตเลอร์ มีความคิด "บุกไปข้างหน้า" เพื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มิถุนายน ค.ศ. 1941 ทหารเยอรมัน 3 ล้านนายโจมตีสหภาพโซเวียต การรุกรานนี้ได้ยึดพื้นที่ได้กว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งรัฐบอลติก เบลารุส และยูเครน

    การรุกรานสหภาพโซเวียตของกองทัพบกเยอรมันถึงขีดสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เมื่อกองพลทหารราบ รุกเข้าไปภายในรัศมี 24 กิโลเมตรจากกรุงมอสโก ใกล้พอที่จะเห็นยอดแหลมของราชวังเครมลิน

    แต่เพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมการสำหรับสภาพอันโหดร้ายของฤดูหนาวรัสเซีย และการต้านทานอย่างดุเดือดของกองทัพโซเวียต จึงผลักดันกองทัพเยอรมันถอยออกมาเป็นระยะทางกว่า 320 กิโลเมตร จากกรุงมอสโก

    วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย 4 วันให้หลังการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการต่อสหรัฐอเมริกาของฮิตเลอร์ ทำให้เยอรมนีเข้าสู่สงครามกับกำลังผสม 3 ประเทศ ซึ่งมีประเทศจักรวรรดิใหญ่ที่สุดในโลก คือ จักรวรรดิอังกฤษ ประเทศอุตสาหกรรมและการเงินยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก คือ สหภาพโซเวียต

    ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ ตัดสินใจสั่งกำจัดยิวแห่งรัสเซียเหมือนเป็นพลพรรค เป็นคำสั่งสังหารฆาตกรรมทางเผ่าพันธ์ ที่ดำเนินระหว่างการล้างชาติโดยนาซี เดือน มกราคม ค.ศ. 1942 มีการสังหารชาวยิว และผู้ถูกเนรเทศอื่นซึ่งถูกพิจารณาว่าไม่พึงปรารถนา ฮิตเลอร์กล่าวต่อเพื่อนร่วมงานว่า "สุขภาพดีของเราจะฟื้นคืนก็ด้วยการสังหารยิวเท่านั้น"

    มีค่ายกักกันและค่ายมรณะนาซีประมาณ 30 แห่ง ฤดูร้อน ค.ศ. 1942 สถานที่ตั้งค่ายกักกันถูกดัดแปลงให้สามารถรองรับผู้ถูกเนรเทศจำนวนมากเพื่อสังหารหรือใช้แรงงานทาส ฮิตเลอร์มีความสนใจโดยตรงในการพัฒนาห้องรมแก๊ส ระหว่าง ค.ศ. 1939 -1945 แค่ 6 ปี ตำรวจลับเอสเอส ของรัฐบาลเยอรมัน รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตถึง 11-14 ล้านชีวิต ในจำนวนนี้เป็นชาวยิว 6 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรยิวในยุโรป และชาวโรม 500,000 - 1,500,000 คน การเสียชีวิตเกิดขึ้นในค่ายกักกันและค่ายมรณะ ย่านชาวยิว และการประหารชีวิตหมู่

    เหยื่อการล้างชาติ หลายคนถูกรมแก๊สจนเสียชีวิต ขณะที่บางคนเสียชีวิตเพราะหิวโหย หรือป่วยขณะใช้แรงงานทาส นโยบายของฮิตเลอร์ยังส่งผลให้มีการสังหารชาวโปแลนด์ และเชลยศึกโซเวียต พวกคอมมิวนิสต์และศัตรูการเมืองอื่น พวกรักร่วมเพศ ผู้พิการทางกายหรือใจ ผู้นับถือลัทธิพระยะโฮวาห์ นิกายแอดเวนติสต์ และผู้นำสหภาพแรงงาน ฮิตเลอร์ ไม่เคยปรากฏว่าเยือนค่ายกักกันและมิได้พูดถึงการสังหารอย่างเปิดเผย

    ปลาย ค.ศ. 1942 กองทัพเยอรมันพ่ายแพ้ในยุทธการครั้งที่สอง ทำให้แผนการของฮิตเลอร์ในการยึดคลองสุเอซและตะวันออกกลางสะดุด ค.ศ. 1943 ยุทธการสตาลินกราดในรัสเซีย สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมัน ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ตามด้วยความพ่ายแพ้เด็ดขาดในยุทธการเคิสก์ ในตะวันออกกลาง

    การตัดสินใจทางทหารของฮิตเลอร์เริ่มไม่มั่นคงเพิ่มขึ้น และฐานะทางทหารและเศรษฐกิจของเยอรมนีบั่นทอนลงไป พร้อมกับสุขภาพของฮิตเลอร์ คนใกล้ชิดและคนอื่นๆ เชื่อว่า ฮิตเลอร์อาจป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน

    ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกรานอิตาลี จนมุสโสลินีถูกปลด ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ช่วง ค.ศ. 1943 - 1944 สหภาพโซเวียตค่อย ๆ บีบให้กองทัพของฮิตเลอร์ ล่าถอยตามแนวรบด้านตะวันออก วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ในหนึ่งในปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

    ด้วยเหตุความเสื่อมถอยของกองทัพเยอรมัน โอกาสที่เยอรมนีจะแพ้สงครามเพิ่มขึ้น นายทหารหลายคนจึงสรุปว่า ความพ่ายแพ้หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการตัดสินใจผิดพลาดหรือการปฏิเสธของฮิตเลอร์ จะยืดสงครามออกไปและส่งผลให้ประเทศชาติพังพินาศย่อยยับ ระหว่าง ค.ศ. 1939 และ 1945 มีหลายแผนในการลอบสังหารฮิตเลอร์ ความพยายามลอบสังหารหลายครั้งต่อฮิตเลอร์จึงเกิดขึ้นระหว่างช่วงนี้

    กรกฎาคม ค.ศ. 1944 แผนที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาจากภายในเยอรมนี คือ เดือน แผนลับ ส่วนหนึ่งของติดตั้งระเบิดไว้ในกองบัญชาการแห่งหนึ่งของฮิตเลอร์ (รังหมาป่า) ฮิตเลอร์รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด เพราะบางคนผลักกระเป๋าเอกสารที่บรรจุระเบิดไปหลังขาโต๊ะประชุมที่หนักอย่างไม่รู้ เมื่อเกิดระเบิดขึ้น โต๊ะสะท้อนแรงระเบิดส่วนมากไปจากฮิตเลอร์

    ภายหลัง ฮิตเลอร์สั่งการตอบโต้อย่างโหดร้าย ซึ่งส่งผลให้มีการประหารชีวิตคนกว่า 4,900 คน จนถึงปลาย ค.ศ. 1944 กองทัพโซเวียตได้ขับไล่ กองทัพเยอรมันถอยกลับไปยังยุโรปตะวันตก และสัมพันธมิตรตะวันตก รุกคืบเข้าไปในเยอรมนี

    หลังได้รับแจ้งความล้มเหลวของการรุกของเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงตระหนักว่าเยอรมนีกำลังแพ้สงคราม ความหวังของเขา จึงขึ้นอยู่กับการถึงแก่อสัญกรรมของประธานาธิบดีอเมริกา แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ แห่งอเมริกา ดังนั้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 มีการเจรจาสันติภาพกับอเมริกาและอังกฤษ ฮิตเลอร์จึงสั่งการให้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมทั้งหมดของเยอรมนี ก่อนที่จะตกอยู่ในมือฝ่ายสัมพันธมิตร

    มุมมองของเขา คือ ความล้มเหลวทางทหารของเยอรมนีเสียสิทธิ์ในการอยู่รอดเป็นชาติ การดำเนินการแผนการเผาทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ถูกมอบหมายไปยังรัฐมนตรีทางอาวุธ ผู้ขัดคำสั่งเขาอย่างเงียบ ๆ วันที่ 20 เมษายน วันเกิดปีที่ 56 ฮิตเลอร์เดินทางครั้งสุดท้ายจากที่พักของผู้นำไปยังสวนที่ถูกทำลายของทำเนียบรัฐบาลไรช์ เขามอบกางเขนเหล็กให้ทหารเด็กแห่งยุวชนฮิตเลอร์

    วันที่ 21 เมษายน แนวรบโซเวียต ได้เจาะผ่านการป้องกันสุดท้ายของกองทัพเยอรมัน และรุกเข้าไปยังชานกรุงเบอร์ลิน ฮิตเลอร์สั่งการให้ทหารที่ภักดี และกองทัพเยอรมันที่ 9 ได้รับคำสั่งให้โจมตีขึ้นทางเหนือในการโจมตีแบบโอบล้อม แต่นายทหารก็แข็งข้อ ทรยศกับเขา

    ต่อมาประชุมทหารเมื่อวันที่ 22 เมษายน เขาได้รับบอกเล่าว่า การโจมตีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น และรัสเซียได้ตีฝ่าเข้าไปในกรุงเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์ขอให้ทุกคน ยกเว้นคนสนิทบางคนออกจากห้องประชุม จากนั้นเขาได้ประณามต่อการทรยศ และความไร้ความสามารถของผู้ไต้บังคับบัญชาของเขาอย่างเผ็ดร้อน

    เขาประกาศเป็นครั้งแรกว่า เยอรมนีแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ประกาศว่าเขาจะอยู่ในกรุงเบอร์ลินจนถึงจุดจบ คนสนิทเขาได้ออกประกาศวันที่ 23 เมษายน กระตุ้นให้พลเมืองเบอร์ลินป้องกันนครอย่างกล้าหาญ วันเดียวกันนั้น ผู้ปกครองที่แต่งตั้งส่งโทรเลขจากรัฐบาวาเรีย ว่าตั้งแต่ฮิตเลอร์ถูกตัดขาดในกรุงเบอร์ลิน ตัวเขาควรเป็นผู้นำเยอรมนีแทน โดยบอกว่าฮิตเลอร์ไร้ความสามารถ

    ฮิตเลอร์ตอบโต้ด้วยความโกรธ โดยสั่งจับกุม และเมื่อเขียนคำสั่งเสียเมื่อวันที่ 29 เมษายน เขาถอดผู้ปกครองที่แต่งตั้งออกจากตำแหน่งทั้งหมดในรัฐบาล กรุงเบอร์ลิน ถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง วันที่ 28 เมษายน ฮิตเลอร์พบว่า คนสนิทกำลังพยายามเจรจาเงื่อนไขการยอมแพ้ ต่อสัมพันธมิตรตะวันตก เขาจึงสั่งจับกุมคนสนิทและสั่งยิงทิ้งทันทีในกรุงเบอร์ลิน

    หลังเที่ยงคืนวันที่ 29 เมษายน ฮิตเลอร์สมรสกับเอวา เบราน์ ในพิธีตามกฎหมายเล็ก ๆ ในห้องแผนที่ภายในที่พักผู้นำ หลังทานอาหารเช้างาน งานแต่งงานที่เรียบง่ายกับภรรยาใหม่ของเขา จากนั้น เขานำเลขานุการ ไปอีกห้องหนึ่งและบอกให้เขียนคำสั่งเสียสุดท้ายของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนสนิทหลายคนเป็นพยานและลงนามเอกสาร ในช่วงบ่ายฮิตเลอร์ได้รับแจ้งข่าวถึงการลอบสังหารผู้นำเผด็จการชาวอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ซึ่งตั้งใจที่จะหนีการจับตัว

    วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 หลังการสู้รบถนนต่อถนนอย่างเข้มข้น กองทัพโซเวียตอยู่ในระยะหนึ่งหรือสองช่วงตึก จากทำเนียบรัฐบาลเยอรมัน ฮิตเลอร์และภรรยาทำการฆ่าตัวตาย ภรรยากัดแคปซูลไซยาไนด์ และฮิตเลอร์ยิงตัวตายด้วยปืนพกของเขา ร่างไร้วิญญาณของฮิตเลอร์และภรรยา ถูกนำขึ้นบันได และผ่านทางออกฉุกเฉินของบังเกอร์ ไปยังสวนที่ถูกระเบิดหลังทำเนียบรัฐบาล

    ทั้งสองร่างถูกวางไว้ในหลุมระเบิด ราดด้วยน้ำมัน และจุดไฟ ขณะที่กองทัพโซเวียตยิงปืนใหญ่ถล่มต่อเนื่อง เยอรมันยอมจำนน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม บันทึกในจดหมายเหตุโซเวียต ซึ่งได้มาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แสดงให้เห็นว่า ศพของฮิตเลอร์ ภรรยา ลูก ๆ ทั้งหกคน ทหารคนสนิท และสุนัขของฮิตเลอร์ ถูกฝังและขุดขึ้นมาหลายครั้ง

    การฆ่าตัวตายของอิตเลอร์ เป็น "คาถา" เสื่อม เมื่อปราศจากผู้นำ ลัทธิชาติสังคมนิยมก็ "ระเบิดเหมือนกับฟอง" พฤติการณ์ของฮิตเลอร์และอุดมการณ์นาซี ถูกคนเกือบทั้งโลกมองว่า ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง

    ฮิตเลอร์ส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนต่อสาธารณะว่า เป็นภาพลักษณ์ชายที่อยู่เป็นโสดโดยปราศจากชีวิตครอบครัว อุทิศตนทั้งหมดให้แก่ภารกิจทางการเมืองและประเทศชาติ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1931 เกลี เราบัล หลานสาวของเขา ฆ่าตัวตายด้วยปืนของฮิตเลอร์ในอพาร์ตเมนต์ของเขา หลานของเขามีความสัมพันธ์ กับฮิตเลอร์

    ความตายของเธอนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ลึกล้ำและยาวนาน เขาพบ เอวา เบราน์ ภรรยาลับของเขา ใน ค.ศ. 1929 และสมรสกับเธอในเดือน เมษายน ค.ศ. 1945 ก่อนการเสียชีวิต

    เขามองว่าชาวอาหรับ "เป็นเชื้อชาติต่ำกว่า" เขาเชื่อว่า ชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติสูงส่งกว่า ฮิตเลอร์ยกย่องศาสนาชินโตและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่ฮิตเลอร์นั้นเน้นการปฏิบัติมากกว่า เขาทุกข์ทรมานจากอาการและโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน รอยโรคที่ผิวหนัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคพาร์กินสัน ซิฟิลิส และมีเสียงในหู

    อีกด้านหนึ่ง เขาเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ เพราะกลัวโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต เขาเป็นผู้นำต้านการทดลองในสัตว์ และเลือกทานอาหารอย่างลึกซึ้ง คนสนิทสั่งให้สร้างเรือนกระจกใกล้กับที่พักผู้นำ เพื่อให้ฮิตเลอร์มีผลไม้และผักเพียงพออย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม เขาไม่ดื่มเหล้า และไม่สูบบุหรี่ เขาเป็นตัวตั้งตัวตีการรณรงค์งดสูบบุหรี่อย่างเข้มแข็งทั่วประเทศเยอรมนี

    เขาเริ่มใช้แอมเฟตามีน (ยาบ้า) เป็นครั้งคราวตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และเริ่มติดยาใน ค.ศ. 1942 ทำให้มีการตัดสินใจที่ไม่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไม่อนุญาตการร่นถอยทางทหาร เขาได้รับการสั่งจ่ายยาถึง 90 ชนิดที่แตกต่างกันระหว่างสงคราม และกินยาหลายเม็ดต่อวัน เพราะปัญหากระเพาะอาหารเรื้อรังและอาการป่วยอื่น ๆ

    เขาทุกข์ทรมานจากแก้วหูทะลุ อันเป็นผลของแรงระเบิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม ใน ค.ศ. 1944 และถูกถอนเสี้ยนไม้สองร้อยชิ้น ออกจากขาของเขา มือฮิตเลอร์สั่นและเดินย่องแย่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนสงคราม และเลวร้ายลงเมื่อใกล้บั้นปลายชีวิต เขารักษาโรคพาร์กินสันใน ค.ศ. 1945

    ฮิตเลอร์เคยมีแผนการใหญ่ ตั้งแต่ก่อนเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในการทำลายอิทธิพลของศาสนจักรคริสต์ภายในจักรวรรดิไรช์ โดยการทำลายล้างศาสนจักร เป็นเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นการไม่เหมาะสมที่จะแสดงท่าทีสุดโต่งนี้อย่างเปิดเผย เจตนาของเขา คือ รอกระทั่งสงครามยุติแล้วจึงค่อยทำลายอิทธิพลของศาสนาคริสต์

    เมื่อฮิตเลอร์พ่ายแพ้ จึงเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ยุโรปที่ถูกเยอรมนีครอบงำ และถูกแทนที่ด้วยสงครามเย็น ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าระดับโลกระหว่างสหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมา นโยบายของฮิตเลอร์ในอดึต ทำให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ทรมานในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 40 ล้านคนโดยประมาณ หรือ 27 ล้านคนเฉพาะในสหภาพโซเวียต..!!!

    สมดุล ตาชั่งอำนาจเชิงสงครามในยุคปัจจุบัน จึงมี 2 ฝ่ายหลัก คือ อเมริกา กับ สหภาพยุโรป และ อีกฝ่าย คือ รัสเซีย กับจีน แต่ประเทศใหญ่ๆ ในยุโรป ปัจจุบันถูกอเมริกา เอาเปรียบต่างๆ นาๆ จนเริ่มจะสุดกลั้น จึงเริ่มหันไปจับมือกับ รัสเซีย และ จีน เพราะขืนอยู่กับอเมริกา ต่อไป แล้วถูกรุมทำสงครามโลกครั้ง 3 ขึ้นมา ยุโรปคงสิ้นเผ่าพันธุ์เป็นแน่แท้

    ส่วนอเมริกานั้น ภายในประเทศ รัฐบาลเขาได้ใช้ ความล้ำเลิศอันน่าอ้ศจรรย์ทางด้านข้อมูลครอบงำประชาชนคนอเมริกัน เพราะเขารู้ตัวว่ากำลังจะสูญเสียการควบคุมบงการ และรัฐบาลอเมริกาก็กลัวว่าจะสูญเสียการบงการควบคุมมิตรประเทศของเขาด้วย แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลสหรัฐไม่เคยได้มีการควบคุมหรือบงการอย่างแท้จริงเชิงอำนาจเลย

    รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มียิวมีอิทธิพลครอบงำเหนืออีกที เป็นพวกเสพติดอำนาจ และต้องการให้อำนาจนั้นอยู่ในกำมือ ตามนิสัยของยิว ด้งนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จึงพยายามสั่งให้ประเทศเล็กๆ ซ้ายหันขวาหัน ซึ่งในขณะนี้การไม่ยอม และโต้ตอบกลับเริ่มมีมากขึ้นๆ

    ไม่เกิน 5 ปี สมดุลอำนาจโลก จะเอียงมาทาง รัสเซีย กับจีน แน่นอน เมื่อนั้นอเมริกาต้องก่อสงครามในภูมิภาคนี้ ที่มีผลใกล้เคียงกับดินแดนไทย เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเล่นงานจีน สิ่งที่คนไทยต้องเตรียมการรับ คือ ชะลอ ลด ยกเลิก การติดต่อค้าขายทางเศรษฐกิจกับอเมริกา แล้วเปิดตลาดใหม่มุ่งเอเชีย เพื่อดึงเงินทุน และความมั่งคั่งกลับมาอยู่เอเชีย

    เมื่อเกิดสงคราม ประเทศทางเอเชีย ก็จะได้เปรียบทางชัยภูมิ เพราะการทำสงครามนั้น ไม่อาจดื้อทำได้นานๆ เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจมันมาก จะเป็นแรงบีบกดดันผู้นำประเทศนั้นๆ ให้เร่งปิดเกมส์ และเมื่อเริ่มเห็นลางพ่ายแพ้ ประเทศพันธมิตรก็จะแปรพักตร์ ไปสวามิภักดิ์อีกฝ่ายหนึ่งเสมอ...สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เป็นบทเรียนพยากรณ์ผลของครั้งที่ 3

    บทเรียนฮิตเลอร์ เยอรมัน ที่เล่ามาสอนว่า ประเทศใดแม้จะเก่งกาจสามารถ และมีแสนยานุภาพอาวุธมากเพียงใด..เมื่อถูกรุมกินโต๊ะ..ก็ไม่อาจรอดชะตากรรมไปได้..ธรรมชาติจะปรับสมดุล โดยตัวมันเองเสมอ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 11 ก.ค.57 ขนบธรรมเนียมประเพณีเข้าพรรษาของลาว

    ในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงที่มีดินแดนติดกับไทยนั้น คือ พม่า ลาว เขมร ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ บางส่วนจะนับถือ ศาสนาคริส อิสลาม และศาสนา ความเชื่ออื่นๆ อีก เล็กน้อย

    ประจวบกับประเทศเหล่านี้ เคยตกอยู่ในอาณัติปกครองของราชวงศ์จักรีมาก่อน แล้วถูกฝรั่งตะวันตกมาบีบบังคับชิงดินแดนจากไทยไป ต่อมาก็ยินยอมปล่อยประเทศพวกนี้ให้เป็นอิสระ และเกิดเป็นประเทศใหม่ขึ้น มีดินแดนติดต่อกับไทย กลายเป็นประเทศเพื่อนบ้าน

    ดังนั้นรากฐานวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี การแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ กิริยาท่าทาง ความเชื่อ จึงแทบไม่แตกต่างกันกับไทย

    คนลาวช่วงเกิดสงคราม อพยพ ย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสเยอะมาก ปัจจุบันคนที่มีฐานะ จึงส่งลูกไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส โดยพักอาศัยกับญาติๆ อัตราเงินเดือนข้าราชการลาว วุฒิปริญญาตรี เริ่มบรรจุประมาณ 6,000 บาท และมีข้าวสาร เครื่องอุปโภค บริโภค แจกคนละกระสอบต่อเดือน

    ข้าราชการธรรมดา จะต้องห่อข้าวไปกิน เพราะค่าครองชีพในเวียงจันทร์แพงมาก ก๋วยเตี๋๋ยวชามละประมาณ 70 บาท คนลาวจึงอดออม และประหยัดมาก คนไปกินร้านอาหารได้ ต้องมีฐานะหน่อย หรือทำค้าขาย

    ที่หลวงพระบาง มีดิสโก้เทคอันดับหนึ่งของเขาด้วย แต่พระเจ้า..คนไปเที่ยวผู้ชายใส่เชิตแขนยาวสีขาว นุ่งเกงเกงขายาว นุ่งทับอย่างเรียบร้อย ส่วน ผู้หญิงใส่ชุดประจำชาติ เสื้อแขนกระบอกผ้าไหม ผ้าถุง เหมือนไปวัดไม่มีผิดเพี้ยน..!! ท่า เต้นก็ยุครุ่นสุนทราภรณ์ของไทยโน่นเลย

    ช่วงนี้ไทยมีประเพณีเข้าพรรษา ที่ประเทศลาว ก็มีประเพณีนี้เช่นกัน และมีเยาวชน หนุ่ม สาวชาวลาว เข้าวัด ฟังธรรมกันอย่างพร้อมเพรียง การนุ่งผ้าซิ่นของหญิงลาว จะกระทำตั้งแต่เด็กจนโต โดยเครื่องแบบนักเรียนหญิงประถม ถึง มหาวิทยาลัย ต้องนุ่งผ้าถุงเท่านั้น

    ในลาวแทบไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้นเลย แม้แต่ในเมืองหลวงเวียงจันทร์ หรือเมืองใหญ่ทางเหนือประเทศใกล้จีนอย่างหลวงพระบาง แค่มีคดีโขมย จะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งคดีฆ่า ปล้น ไม่มีทางเกิดขึ้น

    การข่มขืนหญิงที่ลาว ชายจะติดคุกน้อยมากเพียง 3 วัน..ชายไทยบางคนอาจอมยิ้ม สบายล่ะ เย้ๆๆ..แต่เดี๋ยวก่อนฟังให้จบ..วันที่ 4 เขาประหารเลย..จบคดี !!

    ขนาดวัยรุ่นหนุ่มสาว อายุ 14-15 ปี แถวชนบทข้างทาง เขายังแก้ผ้าอาบน้ำบ่อด้วยกันอยู่เลย เล่นกันเหมือนเด็กน้อย ไม่มีเรื่องทางเพศเหมือนเด็กไทย ที่วัฒนธรรมตะวันตก มากระตุ้นทำให้มีเพศสัมพันธ์เร็ว

    ในลาวมีพื้นที่กว้างใหญ่ ทรัพยากรยังอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ประชากรน้อย รัฐบาลจีนจึงสนับสนุนให้ประชากรของตน ย้ายถิ่นฐานมาทำการค้า และลงหลักปักฐานทางด้านทิศเหนือของลาว

    มีการเข้ามาลงทุนทำสวนยางพาราจำนวนมากมายมหาศาล โดยผู้ประกอบการจีน และใช้แรงงานราคาถูกของลาว บางส่วนมาได้สาวลาวเป็นครอบครัว แต่กฎหมายลาว ถ้าต่างชาติได้เมียลาว ถ้าเลิกกันทรัพย์ต้องตกเป็นของเมียลาวเท่านั้น ผัวกลับประเทศไปได้แต่ตัว

    ที่ลาว ชายหนุ่มจะเป็นที่หน้าอิจฉามาก เนื่องด้วยลาวมีประชากรเพียงราวไม่เกิน 10 ล้านคนเท่านั้น และสัดส่วนประชากร ชายต่อหญิงไม่สมดุลกัน โดยมีสัดส่วนเพศ ชาย : หญิง ราว 1 : 4 และสถิติเด็กที่เกิดโรงพยาบาลในลาวช่วงหลังๆ ชาย : หญิง บางปีถึง 1 : 6 ก็มี


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน1
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 11 ก.ค.57 ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตส์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน (ตอน 1 ปฐมเหตุ)

    ตอนนี้สงคราม ในตะวันออกกลางที่ทำท่าจะหยุดไม่อยู่ นอกจากในซีเรีย และ อิรัก แล้ว อีกจุดที่ดุเดือด เลือดนอง คือ ยิวอิราเอล กับปาเลสไตน์ ที่อยู่ในฉนวนการ์ซา ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจาก การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ในเขตปาเลสไตน์ ตลอด 4 วัน ตายทะลุ 120 รายแล้ว และมีผู้บาดเจ็บกว่า 600 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เด็ก ผู้หญิง และคนชรา ประชาชนเกือบ 900 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนกว่า 150 หลัง พังพินาศ หรือได้รับความเสียหายร้ายแรง

    สถานการณ์การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีวี่แววจะยุติลงโดยง่าย เมื่อมีจรวดจากกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนยิงเข้ามาใส่ เขตของอิสราเอล ทำให้อิสราเอลประเมินว่า นักรบในเลบานอนอาจเข้าร่วมกับกลุ่มฮามาส ในปาเลสไตน์ จึงจะมีมาตรการตอบโต้ทางอากาศอย่างดุเดือด

    กองทัพอิสราเอล เรียกกำลังสำรอง 40,000 นายรายงานตัวกับกองทัพ และจะส่ง 33,000 นายไปตรึงกำลังตามพรมแดนติดเขตของชาวปาเลสไตน์ พร้อมประกาศว่า จะปฏิบัติการขยายด้วยกองกำลังสำคัญทั้งหมด เคลื่อนกำลังภาคพื้นดินอาจมีขึ้นภายใน 2 วันนี้

    อิสราเอลเริ่มยุทธการป้องกันสุดปลายขอบ หรือ "โปรเท็กทีฟ เอดจ์" ตั้งแต่วันอังคารที่ 8 ก.ค. โดยยิงขีปนาวุธต่อต้านจรวด และปืนครก ของกลุ่มฮามาส ออกมาจากฉนวนกาซาเข้าสู่อิสราเอล ได้กว่า 121 ลูกจากราว 550 ลูก อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศมากกว่า 500 เที่ยว การปะทะครั้งนี้ถือเป็นความรุนแรงที่สุด นับจากเมื่อปี 2555

    แม้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วิงวอนยับยั้งเหตุความรุนแรงที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ในฉนวนกาซา แต่ก็ไร้ผล เพราะนายกรัฐมตรียิวไม่ใส่ใจข้อตกลงหยุดยิงใดๆ ยังสั่งปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ โดยยืนกรานว่าพวกฮามาสเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กกว่า 3.5 ล้านคนทั่วรัฐยิว

    กลุ่มฮามาส เองก็ข่มขวัญชาวอิสราเอล ด้วยการบอกให้ชาวยิว ทั้งหลาย รอดูการโจมตีด้วยการไล่แทงในทุกหนทุกแห่ง รอคอยการโจมตีแบบพลีชีพบนรถบัสโดยสารทุกคัน รวมถึงตามคาเฟ่และบนถนน...ดังนั้นสถานการณ์ในอิสราเอล และกาซา กำลังลุกลามเกินควบคุม

    มาดูเป็นบทเรียนคนไทยว่า อาหรับกับยิว ทำไมจึงต้องมีการรบพุ่งกันมากว่า 2 พันปี และทำไมจึงไม่มีฝ่ายใดกำชัยชนะที่เด็ดขาดได้สักที และในยุคหลัง ใครอยู่เบื้องหลังการรบพุ่งของชนชาติ 2 กลุ่มนี้

    หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่างๆ แรกเริ่มเดิมทีนั้นดินแดนปาเลสไตน์นั้นหาใช่ดินแดนว่างเปล่า หากแต่มีผู้คนอาศัยและสร้างสังคม วัฒนธรรม อารยธรรมมาช้านาน โดยมีหลายชนชาติเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ชาวกันอาน เป็นชนชาติอาหรับ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวปาเลสไตน์ ชาวกิบบิโอน ชาวฟิลิสติน (ต่อมาแผลงมาเป็นชื่อ ปาเลสไตน์)

    ต่อมาเมื่อชนชาติยิวซึ่งอพยพมาจากอียิปต์ เข้ามาบุกรุกดินแดนแถบนี้และเริ่มรบพุ่งแย่งชิงดินแดนจากชนพื้นเมืองที่อยู่มาแต่เดิม จนสร้างอาณาจักรอิสราเอลขึ้น แต่ต่อมาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือเรียกว่าอาณาจักรอิสราเอล ส่วนตอนใต้เรียกว่าอาณาจักรยูดาย
    ถัดจากนั้นดินแดนแถบนี้ก็ถูกปกครองโดยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ เช่น บาบิโลน อัสสิเรียน เปอร์เซีย กรีก โรมัน

    ในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้ลุกขึ้นแข็งข้อต่ออำนาจของจักรพรรดิติตัส ของโรมัน จักรพรรดิติตัสจึงสั่งทำลายกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ทางตอนเหนือเสียจนราบคาบ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 4 ปาเลสไตน์ก็ตกเป็นของชาวคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเข้ารีตคริสต์ได้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม

    กลายเป็นสถานที่ดึงดูดให้คริสต์ศาสนิกชนเข้ามาจาริกแสวงบุญกันมากขึ้น จนกลายเป็นศูนย์กลางระบบสงฆ์และนักบวชในศาสนาคริสต์ จนเกิดการสร้างโบสถ์และวิหารต่างๆ ตามมาอีกมากมาย จนกระทั่งกลุ่มชาติอาหรับได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบนี้และก่อสงครามแย่งชิงพื้นที่

    ปี ค.ศ. 637 ชาวอาหรับก็ยึดครองดินแดนได้โดยสมบูรณ์ ประชากรที่เคยนับถือคริสต์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมานับถืออิสลามมากขึ้น จนประชากรส่วนใหญ่ก็ลายเป็นชาวมุสลิมไปจนเกือบทั้งหมด ชาวคริสเตียนที่เหลืออยู่ พยายามอย่างยิ่งที่จะยึดครองดินแดนนี้กลับมาเป็นของชาวคริสต์อีกครั้ง โดยไม่เพียงแต่ชาวคริสต์ในดินแดนปาเลสไตน์เท่านั้น หากแต่ยังได้รับความร่วมมือจากชาวคริสต์จากต่างแดนมาร่วมรบในสงครามที่เรียกว่า “สงครามครูเสด”

    สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 150 ปี จนในที่สุดก็จบสิ้นลง โดยดินแดนปาเลสไตน์ตกเป็นของชาติอาหรับอย่างสมบูรณ์ มีประชากรส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังเป็นชาวคริสเตียน ดินแดนปาเลสไตน์ก็ยังถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครอบครองจากสองชนชาติคือ อาหรับและคริสต์ มานานกว่า 800 ปี ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชนชาติตุรกีเข้ายึดครองนานถึง 400 ปี แต่การยึดครองของชาวเติร์กนี้มิได้มีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา

    สัดส่วนการนับถือศาสนาของประชาชนในดินแดนแถบนี้ มิได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แม้แต่เชื้อชาติพลเมืองก็ยังคงเป็นชาวอาหรับเสียส่วนใหญ่ เหมือนก่อนหน้าที่พวกเติร์กจะเข้ามายึดครอง รวมถึงภาษา ประเพณี วัฒนธรรม ก็ยังคงเดิม เปลี่ยนแปลงเพียงกลุ่มชนชาติที่เข้ายึดครองเท่านั้น

    ปี ค.ศ. 1897 ได้มีการก่อตั้งกลุ่มลัทธิไซออนนิสม์ โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะบนแผ่นดินอเมริกาและยุโรป มีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิวกลับมาตั้งถิ่นฐาน สร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งกลุ่มไซออนนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า “พระเจ้าได้ประทานดินแดนแห่งนี้ให้กับชาวยิว”

    แต่ในขณะนั้นปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ กลุ่มไซออนนิสต์ใช้เวลานับสิบปีลงทุนกว้านซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับอย่างถูกกฎหมาย และจัดการพัฒนาพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งให้สามารถเพาะปลูกได้ ท่ามกลางความไม่พอใจของบรรดาชาวอาหรับเจ้าของที่ดินเดิม แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะได้ทำการซื้อขายกันไปแล้วตามกฎหมายทุกประการ

    ความขัดแย้งในการครอบครองดินแดนยังคงคุกรุ่นอยู่เรื่อยมา โดยมีกลุ่มไซออนนิสต์ดำเนินการอยู่ทั้งโดยเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งภาคพื้นยุโรปเกิดสงครามโลกขึ้นและได้ลุกลามขยายวงกว้างมายังดินแดนปาเลสไตน์

    ปี ค.ศ. 1910 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักเคมีชาวยิวสมาชิกกลุ่มไซออนนิสต์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด และได้เปลี่ยนสัญชาติจากลัตเวียมาเป็นอังกฤษ ได้ทำการคิดค้นดินระเบิดประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถผลิตเองได้โดยใช้วัตถุดิบ ที่หาได้ง่าย เนื่องจากก่อนหน้านั้นกองทัพอังกฤษใช้ดินระเบิดคอร์ไดท์ ซึ่งอังกฤษผลิตเองได้ แต่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบสำคัญคือ อาซีโทน

    สารนี้จำเป็นต้องสั่งเข้าจากเยอรมันซึ่งเป็นคู่สงคราม เมื่อไม่มีวัตถุดิบ อังกฤษจึงประสบปัญหาใหญ่ในการทำสงคราม จนกระทั่งได้ นักเคมีชาวยิว มาช่วย อังกฤษจึงยังคงสามารถเข้าร่วมรบในสงครามโลกต่อไปได้

    จากการช่วยเหลือของ นักเคมีชาวยิวผู้นี้ (ต่อมาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กระทรวงทหารเรือของอังกฤษ) ทำให้อังกฤษซึ่งมีอิทธิพลเหนือดินแดนตะวันออกกลางในช่วงนั้น ตอบแทนโดยการมอบดินแดนปาเลสไตน์ ให้เป็นที่พักพิงถาวรของชาวยิว โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามใน “สนธิสัญญาบาลฟอร์”

    ขณะเดียวกันก็เกิดสนธิสัญญาขึ้นซ้อนอีกหนึ่งฉบับ ที่ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษในอียิปต์ ไปตกลงกับชาวอาหรับว่า หากชาวอาหรับช่วยอังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว อังกฤษจะยกดินแดนบางส่วน รวมถึงปาเลสไตน์คืนให้แก่ชาวอาหรับ แต่เมื่อสิ้นสงคราม อังกฤษก็ยังคงยึดครองปาเลสไตน์โดยมิได้มอบให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องด้วยฝ่ายยิวและอาหรับต่างก็อ้างสนธิสัญญาที่ตนเองถือเป็นข้ออ้างในการครอบครองดินแดน

    ปี ค.ศ. 1923 องค์การสันนิบาตชาติ มอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว แต่อังกฤษก็ยังคงครอบครองดินแดนไว้เพื่อใช้ต่อรองกับกลุ่มชาติอาหรับ ในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าภายหลังสงคราม ดินแดนเจ้าปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้แก่ฝ่ายไหนอยู่ดี อีกทั้งปัญหาการอพยพเข้ามาของชาวยิวจำนวนมาก ก็ยังเพิ่มทวีความวุ่นวายเข้าไปทุกขณะ โดยมีกลุ่มชาติอาหรับแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

    ปี ค.ศ. 1939 -1945 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์และพรรคนาซี ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวไปทั้งหมด ประมาณ 7 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรยิวในยุโรป ที่เป็นผลจากความฝังใจของฮิตเลอร์ในสมัยวัยเด็ก ต่อการกดขี่ของยิว

    ปี ค.ศ. 1947 พวกไซออนนิสม์ ใช้วิธีการหลายอย่างสำหรับการถ่ายเทประชากร เช่น การทำสงคราม การก่อการร้าย การขับไล่โดยใช้กำลัง และนโยบายให้ชาวยิวมาตั้งหลักแหล่งในเขตที่อิสราเอลยึดครองไว้ ผู้ก่อการร้ายชาวยิวได้ทำร้ายชาวอาหรับอย่างรุนแรง ทิ้งระเบิดลงในกลุ่มคน ทำลายหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้ชาวอาหรับกลับมาอีก

    สมัชชาสหประชาชาติลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย การแบ่งดินแดนในครั้งนั้นทำให้ปาเลสไตน์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวยิว และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวอาหรับ

    ปี ค.ศ. 1948 เกิดสงครามระหว่างยิวกับประเทศอาหรับ 4 ประเทศ คือ ปาเลสไตน์ อียิปต์ ซีเรีย และเลบานอนขึ้น ชาวยิวเปลี่ยนองค์การใต้ดินฮากานาห์มาเป็นกองทัพแห่งชาติ ในระหว่างการต่อสู้นี้ ชาวปาเลสไตน์อาหรับต้องทิ้งถิ่นที่อยู่ลี้ภัยไปมากกว่าครึ่ง สงครามครั้งนี้ยุติลงในเวลาอันสั้น

    คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ มีคำสั่งตั้งรัฐยิวขึ้นอย่างเป็นทางการ บนแผ่นดินปาเลสไตน์ โดยตั้งชื่อว่า รัฐอิสราเอล ส่งผลให้ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ กลายเป็นชาวอิสราเอลไปโดยปริยาย ทำให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยขึ้นถึง 9 แสนคน ส่วนใหญ่หนีไปทางประเทศจอร์แดนและฉนวนกาซา นอกนั้นก็ไปยังประเทศซีเรียและเลบานอน

    ชาวปาเลสไตน์ต้องทิ้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน รวมทั้งทรัพย์สินสมบัติของตนไปเป็นผู้ลี้ภัยซึ่งไม่มีทางทำมาหากินเกือบล้านคน นอกจากนั้นผู้นำของชาวอิสราเอลยังมีแผนการบีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ต้องออกจากดินแดนของพวกเขาไป เพื่อตนจะได้เข้าไปครอบครองแทนที่เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของลัทธิไซออนนิสม์ ซึ่งตั้งใจจะให้ประเทศนั้นกลายเป็นชาวยิวโดยเฉพาะเท่านั้น

    ประธานาธิบดีชุดแรกของอิสราเอล มีจุดมุ่งหมายคือ ชาวยิวควรยึดประเทศปาเลสไตน์ให้ได้ การแก้ปัญหาให้ปาเลสไตน์ ก็คือต้องกำจัดชาวอาหรับออกไปจากมาตุภูมิของพวกเขาให้หมดสิ้น ดังนั้นจึงมีความคิดในเรื่อง “การถ่ายเทประชากร” ที่ฝังหัวอยู่ในสมองของพวกไซออนนิสม์เสมอ

    ชาวยิว จะเป็นเชื่อเสมอว่าในประเทศนี้ไม่มีเหลือพอที่คนสองชาติจะอยู่ร่วมกันได้ เขาย่อมจะไม่บรรลุถึงเจตนาที่จะเป็นอิสระชนได้ ถ้ามีชาวอาหรับอยู่ด้วยในประเทศเล็ก ๆ นี้ วิธีแก้ปัญหาวิธีเดียวก็คือต้องไม่ให้มีคนอาหรับอยู่ด้วย ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำได้มากไปกว่าต้องย้ายชาวอาหรับจากที่นี่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ย้ายไปให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่หมู่บ้านเดียวหรือเผ่าเดียว หลังจากการโยกย้ายนี้ ประเทศนี้จึงจะสามารถดูดซึมเอายิวนับล้าน ๆ คนได้

    ปี ค.ศ. 1949 เยรูซาเลม ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอิสราเอล เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งเกี่ยวพันกับ 3 ศาสนา คือ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่า พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศ และการมาครั้งที่สองของพระองค์ก็จะเกิดที่เมืองนี้เช่นกัน

    ส่วนชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นเมืองที่ นบีมุฮัมมัดถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ จึงการแย่งชิงเมืองนี้กันตลอดมา เพราะต่างมีความเชื่อว่าศาสดาของตน ขึ้นสวรรค์ที่เมืองนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ 2 ศาสนา มีบันทึกตรงกัน แต่คนละศาสดา ??

    ปี ค.ศ. 1953 หมู่บ้านชาวอาหรับถูกทำลายไป 161 แห่ง การกระทำที่โหดเหี้ยมที่สุดคือการฆ่าคนเกือบทั้งหมู่บ้านเดรยัสซีน ทำให้ชาวอาหรับต้องหนีออกจากประเทศไปอย่างมากมาย ปี 1956 ยิวบดขยี้ หมู่บ้านชาวอาหรับ ราบเรียบและขับไล่ผู้อยู่อาศัยออกไป จึงจะแน่ใจได้ว่าจะไม่มีหมู่บ้านเหลืออยู่ให้ชาวอาหรับหวนกลับมาได้

    การตั้งหลักแหล่งของชาวยิว คือ นโยบายที่จะทำให้ชาวยิวมาตั้งบ้านเรือนล้อมที่อยู่ของชาวอาหรับไว้ เพื่อป้องกันมิให้ชาวอาหรับรวมตัวกันได้ และตั้งใจจะผนวกฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและฉนวนกาซา เข้าเป็นของอิสราเอล ชาวยิวมีวิธียึดครองที่ดินเช่นนี้มากมาย เช่น ออกกฎหมายยึดเอาที่ดิน เนรเทศเจ้าของเดิมออกไป ออกกฎหมายให้ที่ดินนั้นเป็นเขตต้องห้าม ทำลายบ้านเรือนชาวปาเลสไตน์

    ใช้วิธีควบคุมบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และการกดขี่ปราบปรามชาวปาเลสไตน์ ฯลฯ ในด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ทางการอิสราเอลก็ใช้วิธีสั่งห้าม และเข้าควบคุมการตัดสินใจทุกอย่างในด้านการศึกษาของชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งการขู่เข็ญมิให้นักศึกษาหนุ่มสาวของชาวปาเลสไตน์กล้าแข็งต่อต้านอิสราเอล

    การเข้ายึดครองของอิสราเอล จึงทำให้ชาวปาเลสไตน์กลายเป็นคนต่ำต้อยถูกกดขี่ ชาวปาเลสไตน์อาหรับจะรู้สึกว่าพวกไซออนนิสม์เป็นศัตรูตัวร้าย พวกเขาพยายามรวมตัวกันทางการเมืองเพื่อต่อต้านชาวอิสราเอล แต่ก็เสียเปรียบในด้านการเงินและอาวุธ ดังนั้นขบวนการกู้ชาติของอาหรับในปาเลสไตน์ จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายแต่ก็ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว จำต้องใช้การต่อสู้แบบไม่เปิดเผย

    ปี ค.ศ.1956 หลังจากอียิปต์ สู้รบแพ้อิสราเอลในวิกฤตการณ์คลองสุเอซ หรือสงครามสุเอซ-ซีนาย ประธานาธิบดีกา มาล อับเดล นัสเซอร์ ของอียิปต์ ก็ประกาศจะล้างแค้น และสนับสนุนขบวน การชาตินิยมของชาวปาเลสไตน์ พร้อมกับลงมือจัดตั้งพันธมิตรอาหรับที่ราย รอบประเทศอิสราเอล และระดมสรรพกำลังเตรียมทำสงคราม

    แนวหน้ารวมกำลังแห่งชาติ อัล-ฟาตะฮ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีความมุ่งหมาย ที่จะสร้างแนวร่วมของชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดขึ้นมา โดยรวมเอาขบวนการต่อต้านของชาวปาเลสไตน์เข้าด้วยกัน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของความคิดทางการเมืองของแต่ละกลุ่ม

    ปี ค.ศ.1964 ได้มีการจัดตั้งองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (พีแอลโอ) ขึ้น โดยประธานาธิบดี อียิปต์ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ เลือกประธานคนใหม่ที่มาพร้อมกับนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น นั่นคือ นายยัสเซอร์ อาราฟัต ที่เขาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง มาตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งกษัตริย์ฟาฮัด ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

    และได้เข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพอียิปต์เมื่อครั้งสงครามคลองสุเอซ จากนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในที่สุด อาราฟัต พยายามอย่างยิ่งในการแสดงให้ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของชาวปาเลสไตน์ และ พยายามแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรม ในการกอบกู้ดินแดนของชาวปาเลสไตน์คืนจากอิสราเอล

    อัล-ฟาตะฮ กลายเป็นหน่วยที่มีพลังมากที่สุดในองค์การพีแอลโอ ชาวปาเลสไตน์ได้ประกาศความมุ่งหมายของพวกเขาออกมา คือพวกเขาจะต่อสู้เพื่อกลับไปสู่ประเทศที่เป็นมาตุภูมิของตน และจะจัดตั้งปาเลสไตน์ซึ่งเป็นอิสระและเป็นประชาธิปไตยขึ้น

    ความไม่พอใจให้ชนชาติอาหรับ จนกลุ่มชาติอาหรับจัดตั้งกองกำลังบุกเข้าอิสราเอล หวังที่จะกลาดล้างชาวยิวให้สิ้นซาก สงครามที่กินเวลายานาน 8 เดือน ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของชาติอาหรับ แต่ก็ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันต่อเนื่องมาอีกหลายต่อหลายครั้ง

    ปี ค.ศ. 1967 เกิด “สงคราม 6 วัน” โดยประธานาธิบดี อียิปต์ ส่งกองกำลังทหารกว่า 7 แสนนาย จากความร่วมมือของชาติอาหรับ 7 ชาติ เข้าถล่มอิสราเอลที่มีกองกำลังเพียง 2 แสนนายเท่านั้น เหตุการณ์กลับตาลปัตร กลายเป็นว่ายิวเป็นฝ่ายมีชัยในสงคราม ผลการรบ อียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย อิรัก สูญเสียกองทัพอากาศไปทั้งหมด

    โดยรวมแล้ว อียิปต์เสียทหาร 11,000 นาย จอร์แดนเสียประมาณ 6,000 นาย ซีเรียเสียราว 1,000 นาย และอิสราเอลเสีย 700 นาย ยิว ยังยึดดินแดนของฝ่ายชาติอาหรับมาเป็นของตน ขยายเขตแดนไป 3-4 เท่า เช่น เขตกาซ่าตะวันออก แหลมซีนายของอียิปต์ เขตเวสต์แบงก์ ที่ราบสูงโกรันของซีเรีย นครเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งดินแดนที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ยังถูกอิสราเอลครอบครองมาจนถึงปัจจุบัน

    นอกเหนือจากชัยชนะครั้งนี้แล้ว อิสราเอลยังฉวยโอกาสนี้ทำการขับไล่ชาวอาหรับออกจากจากดินแดนของตนเป็นจำนวนมาก จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มชาติอาหรับลดความนับถือต่อประธานาธิบดี อียิปต์ เป็นอย่างมาก

    ..เรื่องราวกำลังเข้มข้น ให้ติดตามต่อตอนที่ 2 เพื่อไขปริศนาว่ากลุ่มไซออนนิสม์ สำคัญต่อสงครามอาหรับ - ยิว และต่อโลกอย่างไร อ่านต่อที่
    https://www.facebook.com/media/set/?set=a.252806108242757.1073742037.187529244770444&type=1

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 12 ก.ค.57 ไขปริศนา..ยิวกับปาเลสไตส์ ใยต้องรบพุ่งฆ่ากัน (ตอน 2 เผชิญหน้า)

    ตอนแรกได้เล่าให้ฟังถึงรากฐาน และความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบของยิว ต่อชนชาติปาเลสไตน์ และอาหรับ จนก่อสงครามต่อกันตายไปจำนวนมากมายแล้ว

    ** ความเดิมที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.252803251576376.1073742036.187529244770444&type=1

    ปี ค.ศ. 1968 การโจมตีของชาวจอร์แดน ต่อค่ายผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ที่ตำบลฮุสเซ็นและอัชเราะฮ จนกระทั่งรัฐบาลจอร์แดนทำลายหน่วยต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ในจอร์แดน หน่วยปฏิบัติการใต้ดินพีแอลโอจึงต้องมารวมตัวกันใหม่ที่เทือกเขาเลบานอน ซึ่งถูกทหารอิสราเอลโจมตีอีก จนต้องย้ายที่ทำการไปอยู่ที่เมืองแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย

    ปี ค.ศ. 1972 องค์การพีแอลโอ ใช้ทุกวิถีทางแม้ กระทั่งใช้ความรุนแรงทางทหาร รวมทั้งการก่อการร้ายเหตุการณ์ที่เป็นที่จดจำของชาวโลกมากที่สุดครั้งหนึ่ง คือ การจับนักกีฬาชาวอิสเราเอลเป็นตัวประกัน ระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

    โดยกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ที่เรียกตัวเองว่า “ขบวนการกันยาทมิฬ” บุกเข้าหอพักนักกีฬาโอลิมปิก พร้อมกับจับตัวนักกีฬาชาวอิสราเอลจำนวน 11 คนเป็นตัวประกัน โดยพวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษการเมืองชาวปาเลสไตน์ 234 คน และอีก 2 คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่เยอรมัน พร้อมทั้งร้องขอเครื่องบินเพื่อเตรียมหลบหนีเข้าอียิปต์

    นายกรัฐมนตรี อิสราเอล ในขณะนั้นซึ่งดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อปาเลสไตน์และไม่ยินยอมเจรจากับผู้ก่อการร้าย ปฏิเสธข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ก่อการ และยังส่งหน่วยรบพิเศษที่เชี่ยวชาญในการชิงตัวประกันเข้ามาช่วยเหลือ แต่รัฐบาลเยอรมันปฏิเสธ เนื่องจากต้องการจัดการสะสางปัญหาด้วยตนเอง เพื่อรักษาหน้าของเจ้าภาพ โอลิมปิก

    หรืออีกประเด็นหนึ่งที่เป็นนัยยะแอบแฝง นั่นคือคือรัฐบาลเยอรมันต้องการแสดงความรับผิดชอบและลบล้างความผิดสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั่นเอง แต่พลแม่นปืนของเยอรมันทำพลาด จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อตัวประกันเสียชีวิตหมดทั้ง 11 คน ตำรวจเยอรมันเสียชีวิต 1 นาย ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 5 ราย ถูกจับเป็น 3 ราย

    โศกนาฏกรรมครั้งนี้สร้างความเคืองแค้นให้อิสราเอลอย่างมาก เพราะนอกจากตัวประกันจะเสียชีวิตหมด บรรดาชาติต่างๆ ก็ดูเหมือนจะลืมเลือนเรื่องนี้กันอย่างรวดเร็ว โดยหันสนใจการแข่งขันโอลิมปิกแทน ทั้งที่เกิดเรื่องราวอันเลวร้ายเช่นนี้แต่นานาชาติกลับยังคงดำเนินการแข่งขันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    อิสราเอลไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาลงมือปฏิบัติการตอบโต้อย่างทันควัน ส่งฝูงบินอิสราเอลไปถล่มฐานปฏิบัติการขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ในซีเรีย และเลบานอน รวมถึงการส่งหน่วยจารชนเข้าไปจัดการกับกลุ่ม PLO ทั้งในปาเลสไตน์ กลุ่มชาติอาหรับ และหลายพื้นที่ในยุโรปอย่างลับๆ

    ซึ่งปฏิบัติการหลายครั้งสร้างความเสียหายขั้นรุนแรง แต่อิสราเอลก็ไม่ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบอีกทั้งปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังการล้างแค้นดังกล่าว แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลายครั้งเกิดขึ้นจากฝีมือของ หน่วยสืบราชการลับอิสราเอล ที่เรียกตัวเองว่าพวก มอสสาด

    ปี ค.ศ. 1972 หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติการด้วยความรุนแรงทั้งอย่างลับๆ และอย่างโจ่งแจ้งมาช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พบว่าการใช้ความุรนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ผู้นำของ PLO และอิสราเอล ยอมหันหน้าเข้าหากัน โดยเจรจาผ่านทางสหประชาชาติ ก่อให้เกิดการลงนามในข้อ ตกลงสันติภาพออสโล ประกาศว่าโลกยอมรับให้มีดินแดนปกครองตนเองที่ชื่อปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่า

    ปี ค.ศ. 1973 สหรัฐอเมริกาได้แสดงตัวให้เห็นว่าเข้าข้างอิสราเอล และเกลียดชังพีแอลโออยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งสั่งปิดสำนักงานของพีแอลโอ ในนครนิวยอร์คและอายัติบัญชีเงินฝากของพีแอลโอด้วย

    ปี ค.ศ. 1979 ประธานาธิบดีอียิปต์ ได้เดินทางไปพบปะกัน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อเจรจาสันติภาพกัน โดยมิได้ปรึกษาหารือกับโลกอาหรับ ทั้งสามได้ลงนามในเอกสารฉบับเมื่อวันที่ 17 กันยายน คือโครงการสันติภาพในตะวันตะวันออกกลางและ สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอียิปต์กับอิสราเอล

    การที่อียิปต์ทำลงไปโดยพละการเช่นนี้ ทำให้โลกอาหรับไม่พอใจ เพราะจะทำให้โลกอาหรับแตกแยกกัน ชาวปาเลสไตน์ก็เกรงว่าอียิปต์จะทอดทิ้งพวกเขา เพราะไปรับรองอิสราเอล พีแอลโอได้ปฏิเสธข้อตกลงนี้อย่างแข็งขัน โดยถือว่าเป็นการปฏิเสธสิทธิตามกฎหมายของชาวปาเลสไตน์ ประเทศมุสลิมและประเทศเป็นกลางก็ปฏิเสธ แม้กระทั่งสหประชาชาติก็ยังปฏิเสธ

    ปี ค.ศ. 1981 จุดหมายที่สำคัญของอิสราเอล คือ ใช้สนธิสัญญานี้เป็นเครื่องกีดกันมิให้มีการจัดตั้งรัฐบาลปาเลสไตน์อิสระขึ้นได้ หลังจากนั้นไม่นาน อิสราเอลได้เข้าโจมตีเลบานอนใต้ ที่อยู่ของพีแอลโออย่างหนัก และได้ผนวกกรุงเยรูซาเล็มเข้าเป็นของยิวอีกด้วย

    สงครามที่ใหญ่ที่สุด และยาวนานที่สุดระหว่างอิสราเอล กับชาวปาเลสไตน์ก็เกิดขึ้นในเลบานอน ครั้งนี้ยิงมีจุดประสงค์คือ ทำลายกำลังทางการเมืองและการทหารของพีแอลโอ จัดตั้งรัฐบาลเลบานอนที่เข้มแข็งเพื่อช่วยเหลืออิสราเอล สร้างอิสราเอลขึ้นเป็นมหาอำนาจเพื่อควบคุมการพัฒนาทุกอย่างด้านการเมืองและเศรษฐกิจได้ในกำมือตน

    ฝ่ายอเมริกามีความยินดีในการกระทำของอิสราเอล แต่แสร้งเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย และรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ยอมเดินทางไปประท้วงการรุกรานที่กรุงเยรูซาเล็มด้วย แต่ชาวโลกกลับให้ความสนใจ แค่คำเรียกร้องของชาวปาเลสไตน์มากกว่าแต่ก่อน การสร้างสงครามครั้งนี้ปรากฏว่ามีคนตายถึง 15,000 คนซึ่งแน่ละส่วนใหญ่ต้องเป็นชาวปาเลสไตน์

    ปี ค.ศ. 1982 พีแอลโอได้ไปตั้งสำนักงานใหญ่ขึ้นใหม่ในเมืองตูนิซ ประเทศตูนิเซีย ต้องทำงานอย่าง-รีบเร่ง เพื่อสร้างโครงสร้างสำคัญ ๆ ด้านการเมืองและสังคมขึ้นมาใหม่หลังจากถูกทำลายไปแล้ว หน่วยต่อสู้ของพีแอลโอก็ต้องกระจายไปอยู่ตามประเทศอาหรับต่าง ทำให้รวมตัวกันได้ลำบาก

    ได้มีการประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศอาหรับ ครั้งที่ 12 ในเมืองเฟซ ประเทศโมร็อกโก ที่ประชุมได้ออก “กฎบัตรเฟซ” ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญ คือ จัดตั้งรัฐบาลปาเลสไตน์ โดยมีเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง ถอนกำลังทหารของอิสราเอลออกจากเขตยึดครองทั้งหมด ซึ่งเดิมเป็นของอาหรับก่อนสงครามปี 1967 รื้อถอนถิ่นฐานที่อิสราเอลสร้างขึ้น

    ยืนยันสิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์ ในการจะตัดสินใจด้วยตนเองและสามารถใช้สิทธิ์ในประเทศปาเลสไตน์ภายใต้การนำของพีแอลโอ ให้ฉนวนกาซาและดินแดนฝั่งตะวันตก (ของแม่น้ำจอร์แดน) อยู่ในความดูแลของสหประชาชาติไปก่อน และให้สภาความมั่นคงรับประกันต่อสันติภาพในระหว่างชนชาติต่างๆ ในแถวนั้น แต่รัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธ ไม่ยอมรับข้อเสนอนี้โดยสิ้นเชิง

    กลุ่มประเทศอาหรับได้ยื่นข้อเสนอนี้ไปยังรัฐบาลอเมริกา ประธานาธิบดีมะกัน แต่เขาก็ยังปฏิเสธเรื่องการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์อิสระ และมิได้กล่าวเลยว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ถอนทหารอิสราเอล จากเขตยึดครองได้อย่างไร และยังบอกปัดข้อเสนอของชาวอาหรับ ที่จะเอากรุงเยรูซาเล็มคืนด้วย

    ประธานาธิบดีรัสเซีย จึงได้เสนอแผนสันติภาพให้แก่อเมริกา ให้อิสราเอลคืนดินแดนยึดครองทั้งหมดให้แก่ชาวปาเลสไตน์ ชาวปาเลสไตน์มีสิทธิ์จัดตั้งรัฐอิสระของพวกเขาเองขึ้นในเขตแดนอิสราเอล และอิสราเอลต้องคืนกรุงเยรูซาเล็มตะวันออกให้ชาวปาเลสไตน์ด้วย แต่ในระหว่างนั้นอิสราเอลกลับท้าทายด้วยการสร้างชุมชนชาวยิวขึ้นใหม่อีก 5 แห่งที่แถบตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน

    ปี ค.ศ. 1993 อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ได้ตกลงกันเซ็นสนธิสัญญาออสโล อนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซา สถานการณ์ในตะวันออกกลางก็มีท่าทีที่สงบลง แต่เพียงหนึ่งปีให้หลังก็เกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายเหมือนเช่นเดิม เพราะอเมริกาคอยเป็นพี่เลี้ยงชั้นดี ที่คอยหนุนหลังยิว ทั้งทางลับๆ และแบบเปิดเผย

    ปี ค.ศ. 1995 กลุ่มชาวยิวหัวรุนแรงในอิสราเอล ไม่พอใจท่าทีที่ยอมอ่อนข้อของนายกฯ จึงเกิดการลอบสังหารขึ้น ตามด้วยการลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ ความขัดแย้งทวีเพิ่มขึ้น แม้นายอาราฟัตจะได้เป็นประธานาธิบดีปาเลสไตน์ในปีถัดมา แต่ความนิยมในตัวเขาก็ลดลงเนื่องจากผู้คนเห็นว่าเขาอ่อนข้อให้อิสราเอลจนเกินไป

    สันติภาพที่ได้มาทำให้ชาวปาเลสไตน์ปิติยินดี ออกมาฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ มีการยิงปืนขึ้นฟ้าและลุกลามไปถึงขั้นจุดไฟเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น สัญลักษณ์ของชาวยิว จากนั้นก็ชักธงชาติปาเลสไตน์ขึ้นยอดเสา แต่ขณะเดียวกันชาวยิวบางส่วนที่ยังอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ก็เกิดความไม่พอใจ ออกมาก่อความวุ่นวายตามท้องถนนจนเกิดเป็นจลาจลไปทั่วเมือง

    ปี ค.ศ. 2004 นายอาราฟัต ถูกปิดล้อมอยู่ที่เมืองรอมัลเลาะห์ เขาถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตเพราะเขามีนโยบายที่แข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายอิสราเอล ฝ่ายอเมริกาจึงต้องกำจัดเขาเพราะเขาขัดประโยชน์มหาศาลที่อเมริกาจ้องจะกอบโกย ผู้นำคนใหม่ของ PLO คือนายมะห์มูด อับบาส

    ปี ค.ศ. 2005 อิสราเอลยอมถอนกำลังออกจากฉนวนกาซ่า หลังจากครอบครองอย่างไม่เป็นธรรมมานานถึง 38 ปี เปิดทางให้ปาเลสไตน์จัดการเลือกตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2006 อิสราเอลและอเมริกา เอาใจช่วยให้พรรคฟาตาห์ ของนายอับบาส ขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จให้จงได้

    แต่แล้วความฝันของอิสราเอลและอเมริกาก็ดับวูบลง เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคฮามาส กลับได้ครองเสียงข้างมาก ผิดจากการคาดเดาของหลายๆ ฝ่าย แต่พรรคฮามาสก็ยังไม่สามารถจังตั้งรัฐบาลในระบบพรรคเดียวได้ ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมา

    พรรคฮามาส เป็นพรรคการเมืองสำคัญพรรคหนึ่งของปาเลสไตน์ มีแนวคิดที่ค่อนข้างรุนแรง มีกองกำลังเป็นของตนเอง คือ กลุ่มติดอาวุธฮามาส กลุ่มนี้มีบทบาทมากขึ้น ภายหลังที่ชาวปาเลสไตน์เริ่มเบื่อหน่ายกับกลุ่ม PLO การสูญเสียผู้นำอย่างนายอาราฟัต ทำให้กลุ่มฮามาสก้าวเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณฉนวนกาซ่า

    ในที่สุด กลุ่มฮามาสก็ทำการยึดดินแดนเขตฉนวนกาซ่าไว้ในครอบครอง และเตรียมที่จะจัดตั้งรัฐฮามาสขึ้นเป็นรับอิสระด้วย ขณะที่ฉนวนกาซ่าตกเป็นของกลุ่มฮามาส ทางฝั่งเวสต์แบงค์ก็ตกเป็นของกลุ่มฟาตาห์ของนายอับบาส กลายเป็นว่าชาวปาเลสไตน์ กำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนของตนเอง

    ฉนวนกาซา ดินแดนของปาเลสไตน์ เป็นหนึ่งในดินแดนที่อียิปต์เสียให้อิสราเอล มีอาณาบริเวณแคบๆ แค่ขนาด 360 ตร.กม. เท่านั้น ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นความยาวประมาณ 11 กิโลเมตรติดกับประเทศอียิปต์ ทางเหนือและตะวันออกติดกับประเทศอิสราเอล เป็นระยะทางราว 51 กิโลเมตร ทางตะวันตกติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะทางชายฝั่งประมาณ 41 กิโลเมตร

    มีเมืองกาซาเป็นเมืองหลักในอาณาเขตนี้ มีประชากรชาวปาเลสไตน์ อาศัยอยู่ประมาณ 1.7 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพลี้ภัย ส่วนใหญ่จะเกิดในพื้นที่ฉนวนกาซา และอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ซึ่งอพยพมาในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นผลหลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล

    ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายซุนนีย์ มีอัตราการเติบโตของประชากรราวร้อยละ 3.2 ต่อปี หรือคิดเป็นอันดับที่ 7 ของประเทศที่มีอัตราการเติบโตประชากรสูงที่สุดในโลกแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก (ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด) และไม่นานนี้ได้มีการขุดพบก๊าซธรรมชาติด้วย

    ท้ายที่สุดเมื่อกลุ่มฮามาสสามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ ก็เท่ากับปาเลสไตน์ตกเป็นของกลุ่มฮามาสไปโดยปริยาย แม้ว่านายอับบาสยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ก็ตาม การขึ้นครองอำนาจของกลุ่มฮามาส ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของอิสราเอลและอเมริกา และ รวมไปถึงประเทศต่างๆ ใน EU ที่ไม่ยอมรับกลุ่มหัวรุนแรงนี้

    เมื่อกลุ่มฮามาสขึ้นมาครองอำนาจ อเมริกา จึงประกาศสั่งระงับการช่วยเหลือเงินจำนวนกว่า 600 ล้านเหรียญ ที่เคยสัญญาว่าจะมอบให้กับปาเลสไตน์ทันที ทางฝั่งนายอับบาส ซึ่งยึดดินแดนเขตเวสต์แบงค์ไว้ เห็นช่องทางเหมาะ จึงประกาศจัดตั้งรัฐบาลขึ้นแข่งกับกลุ่มฮามาสทันที

    กลายเป็นว่าปาเลสไตน์ มีการแบ่งแยกออกเป็นสองพวก ซึ่งบรรดาประเทศต่างๆ ที่มีอเมริกาเป็นหัวโจก ล้วนแต่มีทีท่าสนับสนุนรัฐบาล ของนายอับบาส มากกว่ารัฐบาลของกลุ่มฮามาส และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังของกลุ่มฮามาสกับกองกำลังของอิสราเอล บริเวณฉนวนกาซ่า ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ระบุว่าเป็นการป้องกันตัว เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากโจมตีก่อน

    การรบพุ่งกันก็เกิดขึ้นจนได้ ฝ่ายอิสราเอลที่ไม่ค่อยพอใจกลุ่มฮามาสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงฉวยโอกาส ใช้เป็นเหตุผลเข้าโจมตีฉนวนกาซ่าอย่างเต็มรูปแบบ แถมยังประกาศอีกว่าการรบจะยุติลงก็ต่อเมื่อสามารถ ล้มล้างกลุ่มฮามาสให้สิ้นซากไปได้เท่านั้น เพราะมีแบ็คอัพชั้นดีคืออเมริกาคอยหนุนหลัง และประเทศใน EU

    การจู่โจมปาเลสไตน์ครั้งนี้ของยิว ก็สร้างความไม่พอใจให้กับพี่น้องมุสลิมทั่วโลก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในฉนวนกาซ่า ล้วนแต่เป็นชาวมุสลิมแทบทั้งสิ้น มีการประท้วงของชาวมุสลิมต่อการกระทำของอิสราเอล แม้แต่ในเขตเวสต์แบงค์เองที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มฮามาสก็ยังออกมาประณามการโจมตีของอิสราเอลเช่นกัน

    ที่อเมริกาและประเทศใน EU ต่างเห็นดีเห็นงามที่จะกำจัด กลุ่มฮามาส ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มก่อการร้ายอัล กออิดะห์ และหากพวกเขาสามารถผลักดันให้กลุ่มฟาตาห์ของปาเลสไตน์ กลับมาครอบอำนาจเช่นเดิม ก็จะสามารถต่อรองผลประโยชน์ได้ง่ายกว่านั่นเอง

    เฮนรี คิสซินเจอร์ อดีต ที่ปรึกษาความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา (NSA) ปี พ.ศ. 2516 ที่กล่าวว่า…“ผู้ควบคุมการผลิตอาหารก็ควบคุมประชาชนได้..ผู้ควบคุมพลังงานก็สามารถควบคุมทวีปต่างๆได้ทั้งหมด..ผู้ควบคุมกระแสเงินตราได้สามารถควบคุมโลกได้”

    แนวคิดการบริหารการจัดการและควบคุมโลก เพื่อความมั่นคงของอเมริกา จึงกระทำโดย “ผู้นำกลุ่มทุน” ซึ่งเป็นเหล่านายธนาคารในกลุ่มไซออนนิสม์ ชาวยิวมีการผนึกกำลังทางการเมืองเข้มแข็งกว่าฝ่ายอาหรับ ฐานะทางการเงินก็ดีกว่า เพราะได้รับการสนับสนุนจากชนชาติยิวจากแหล่งต่าง ๆ และจากอเมริกาด้วย ด้านการทหารก็เหนือกว่า และมีอาวุธที่ดีกว่าด้วย

    แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความเกลียดชังและความขัดแย้ง ด้วยเหตุข้างต้นนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างชาวอาหรับ กับ ชาวยิว และมันก็จะคงอยู่ต่อไป

    จะได้เห็นว่าสงครามรอบใหม่นี้ กลุ่มไซออนนิสม์ ที่ปกครองของยิว คือ สาเหตุแห่งความขัดแย้ง และการแตกความสามัคคีของปาเลสไตน์เอง ก็เป็นจุดอ่อนให้อเมริกา และยิว แทรกแซง แม้แต่ผู้นำของตนเองยังไม่มีโอกาสเลือกได้เองอย่างแท้จริง

    คนไทยควรได้ศึกษาการแตกความสมัคคีของปาเลสไตน์ เป็นตัวอย่าง เพราะอเมริกา จะเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเราทันที และอเมริกาไม่ได้เลือกเข้าข้างประชาธิปไตย แบบเลือกตั้ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เขาเลือกข้างฝ่ายที่อวยประโยชน์ทรัพยากร ให้กับประเทศของเขามากที่สุด..โดยเขาไม่เคยจริงใจกับประเทศใด !!

    ปัจจุบันในอเมริกา มีประชากร 318 ล้านคน คนจนในประเทศมีถืง 55 ล้านคน (17%) , มีผู้ติดยา 22 ล้านคน ( 7% ) โดยนำเข้าทางเรือจากเมกซิโกแทบทั้งหมด มีกองทัพ กองกำลังของตนเอง , ตนอเมริกันมีอาวุธปืนถืง 310 ล้านกระบอก คนอเมริกัน 47% มีปืนยิงกันทุกวัน มีผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศกว่า 2 ล้านคน

    มีแก๊งค์อาชญากรรมติดอาวุธ ถืง 33,000 แก๊ง กำลังพล ราว 1.5 -2.0 ล้านคน พกปืนเดินกันว่อน กระจายอยู่ในรัฐต่างๆ แทบทั่วทุกรัฐ ที่พร้อมจะยิงทุกคนที่เดินผ่านย่านอิทธิพล ที่แม้แต่ตำรวจยังไม่กล้าแหยม..แก๊งพวกนี้ ค้ายา ค้าปืนสั้น ปืนกล ปืนไรเฟิล ปืนยิงช้าง เครื่องยิงลูกระเบิด อาวุธต่อสู้รถถัง

    มีการค้ามนุษย์อย่างโจ่งครึ่ม ข่มขืน ปล้น ข่มขู่ ชิงทรัพย์ ฆ่าคน ล้วงกระเป๋า , ในทุกๆ วัน มีการใช้ปืนก่ออาชญากรรม 3,000 ครั้ง คนมะกัน 80 คนถูกฆ่า บาดเจ็บอีก 300 คน บางส่วนก็เป็นแก๊งค์ในสังกัดพรรคการเมือง ลูกสมุนวุฒิสมาชิก เป็นผู้มีอิทธิพล ข่มขู่คนมะกันไปลงคะแนนเสียง คุมการขนส่ง การก่อสร้าง

    อเมริกา เจอทั้งศึกใน และศึกนอกบ้างแล้ว..ไอ้มาม่า ควรติดต่อกลุ่มติดอาวุธแดง นปช.ที่ทูตพริตตี้ บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ให้ส่งกองกำลังติดอาวุธหนัก RPG , M79 , M16 , ระเบิด RGD-5 ไปช่วยพี่ใหญ่ต่อการกับสารพัดแก๊งค์ในอเมริกาด่วน..

    อพยพแดง นปช.ช่วยราชการในดินแดนมะกันสัก 3 ปี น่าจะเห็นเนื้อเห็นน้ำ..เผาไปเลยครับพี่น้อง !!

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 13 ก.ค.57 เปิดโปง..รู้ทันมะกัน อสูรกายแห่งแทรกแซง เหตุชายแดนใต้ (ตอน 1)

    มีหลายคนสงสัยไหมว่า สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ของไทย ทำไมไม่ยุติ และมีเหตุรุนแรงอยู่เนืองๆ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่ช่วงรัฐบาลนั้นๆ และมีต่างชาติ เข้ามาสนับสนุนเงินทุน อาวุธ และการฝึกฝน กลุ่มก่อการร้ายชายแดนใต้ของไทยหรือไม่ และต่อไปสถานการณ์จะเป็นอย่างไร

    เนื้อหา 2 ตอนนี้ จะช่วยไขปริศนา ฉีกหน้า ชาติที่ใช้ความแตกต่างทางการนับถือศาสนา วัฒนธรรม มาสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมือง ที่ต่อเนื่องมาจากครั้งก่อน ในเรื่องการช่วงชิงแหล่งน้ำมันใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ของไทย

    ** ดุเรื่องเดิม..สงครามชิงน้ำมันบล็อกที่ 3 ชายแดนภาคใต้ของไทยที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.220118778178157.1073741940.187529244770444&type=3

    จากสถานการณ์การต่อสู้ในประเทศอิรัก นับตั้งแต่ต้นเดือน มิถุนายน 57 ที่ผ่านมา นอกจากภาพของความรุนแรงแล้ว ยังแฝงความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และคำถามที่ชวนสงสัยอีกมากมาย หลายคนสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่มาที่ไป ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายมุสลิมสุนนี่-กับชีอะห์ เหตุใดกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย (หรือ ISIS ในช่วงแรก) ถึงได้มีศักยภาพบดขยี้กองทัพอิรักได้ขนาดนี้ และอนาคตของอิรัก และภูมิภาคนี้ จะเป็นอย่างไร

    ปฏิบัติการสายฟ้าแลบของกลุ่มกลุ่มติดอาวุธ ISIS ช่วงแรกๆ ตกตะลึงถึงศักยภาพในการรุกคืบแบบรุกฆาต ยึดครองเมืองสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะในภาคเหนือ และอีกหลายเมืองทางตะวันตกที่มีพรมแดนติดกับซีเรีย รวมถึงเมืองสำคัญๆอย่าง โมซุล เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิรัก , เมืองฟาลลูจาห์ที่ใหญ่อันดับ 7 , เมืองไทกริตบ้านเกิดของซัดดัม ฮุสเซ็น , เมืองตัล อาฟาร์ฯลฯ อีกทั้งยังสามารถยึดโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ของประเทศไว้ได้

    โดยมีเป้าหมายใหญ่คือการยึดกรุงแบกแดด ของอิรัก และกองกำลังติดอาวุธนี้ได้ประชิดแบกแดด แต่ก็ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ยึมเมืองได้ ยึดเมืองคืน จากกองกำลังของอิรัก แต่ก็มีทหารอิรักจำนวนไม่น้อยแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม อาวุธยุทโธปกรณ์ของอิรักจำนวนมากถูกกลุ่ม ISIS ยึด จนรัฐบาลอิรักต้องดึงความช่วยเหลือจากมิตรประเทศ และไม่ใช่มิตรทั้งหลาย

    แม้แต่อิหร่าน นิกายชีอะห์ ประเทศคู่แค้นที่รบกันมาหลายปี ก็ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลอิรัก โดยส่งกองกำลังติดอาวุธมาตรึงกำลังแนวชายแดน แต่รุกเข้ามาในเขตแดนอิรัก เพื่อป้องกันกลุ่มติดอาวุธนิกายสุนนี่ แต่ที่ชัดเจนคือซีเรีย ที่ส่งเครื่องบินรบเข้าไปช่วยโจมตีกลุ่มติดอาวุธ ในเมืองอันบาร์มาแล้ว

    ที่มากลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย หรือ Islamic State of Iraq and Syria (ISIS) มีชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น กลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและเลแวนท์ (ISIL) , รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย , รัฐอิสลามแห่งอิรักและอัล-ชาม , รัฐอิสลามแห่งอิรักและตะวันออก เปลี่ยนชื่อไปมาหลายครั้ง จนล่าสุดใช้ชื่อว่า กลุ่มรัฐอิสลาม (IS)

    โดยมีเป้าหมายคือตั้งรัฐอิสลามที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามในอิรัก ซีเรีย และดินแดนที่เรียกว่าเลแวนท์ ซึ่งครอบคลุมถึงเลบานอน อิสราเอล ปาเลสไตน์ จอร์แดน ไซปรัสและทางใต้ของตุรกี..โอ้..คิดการใหญ่มาก

    ปี ค.ศ. 2004 กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า องค์กรศรัทธาเอกานุภาพและการญิฮาด ภายใต้การนำของอาบู มูซาบ อัล ซาร์กาวี ชาวอาหรับเชื้อสายจอร์แดน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการยึดครองอิรักของสหรัฐฯ เขาเคยเข้าร่วมกับกลุ่มอันซาร์ อัล อิสลาม หรือกลุ่มสหายร่วมรบแห่งอิสลาม ซึ่งเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนของชาวเคิร์ดในอิรัก

    ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอัลกออิดะห์ เปลี่ยนชื่อเป็น องค์กรญิฮาดในประเทศแห่งสองแม่น้ำ และกลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่ออัลเคด้าห์ในอิรัก แม้ว่าทางกลุ่มจะไม่เรียกกลุ่มตัวเองแบบนี้ก็ตาม แต่ก็เป็นที่รู้กันทางพฤตินัย

    ปี ค.ศ. 2006 กลุ่มนี้ได้เข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ในอิรักภายใต้ร่มใหญ่ขององค์กรที่ใช้ชื่อร่วมกันว่า “สภาที่ปรึกษามูญาฮิดีน” ในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่กลุ่มของซาร์กาวี มีการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างหนัก โดยพุ่งเป้าโจมตีไม่เฉพาะรัฐบาลอิรัก แต่รวมไปถึงกลุ่มชีอะห์ที่สนับสนุนรัฐบาลอิรักด้วย ทำให้บิน ลาเดน และ อัยมาน อัล ซาวาฮีรี ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของซาร์กาวี ที่จะเปิดศึกระหว่างสุนนี่-ชีอะห์ โดยขอให้ยุติเสีย แต่ซาร์กาวีก็ไม่สนใจ

    ต่อมาอเมริกาโจมตีทางอากาศ ส่งผลให้นายซาร์กาวีเสียชีวิต ต่อมามี นายอาบู อัยยูบ อัล มัสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดชาวอียิปต์ ขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่ม มัสรี และสามารถดึงกลุ่มติดอาวุธอีกหลายกลุ่มเข้าร่วม จนกระทั่งได้ประกาศการรวมตัวกันภายใต้ชื่อใหม่ว่ากลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรัก (กลุ่ม ISI) ต่อสู้ในอิรักมาต่อเนื่อง

    ปี ค.ศ. 2010 อเมริกา ปฏิบัติการทางทหาร สังหารนาย มัสรี ตาย จากนั้นนาย อบูบักร อัล บักดาดี ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นที่ 3 จนถึงปัจจุบัน

    ปี ค.ศ. 2013 กลุ่ม ISI ภายใต้การนำของบักดาดี ได้ขยายแนวรบเข้าไปในประเทศซีเรีย ร่วมกับฝ่ายกองกำลังฝ่ายต่อต้านอื่นๆ ในซีเรีย โดยหวังโค่นอำนาจประธานาธิบดีอัสซาด ด้วยเป้าหมายเชิงพื้นที่ที่กว้างขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ISIS และได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับกลุ่มอัลกออิดะห์ เพราะขัดแย้งกับกลุ่มอัล นุสรา ฟรอนท์ ในซีเรียที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมกันต่อสู้กับอัสซาด

    เพราะนายบักดาดี ประกาศเอาดื้อๆ ว่ากลุ่มอัลนุสรา ได้รวมเข้ากับ ISIS แล้ว แต่ผู้นำกลุ่มอัล นุสรา ฟรอนท์ กลับปฏิเสธและไม่พอใจบักดาดีมาก แม้จะมีสมาชิกบางส่วนเข้าร่วมกับ ISIS ก็ตาม ในขณะที่หัวหน้ากลุ่ม อัล นุสรา ฟรอนท์ พยายามขอให้บักดาดีหยุดความพยายามที่จะรวมนุสรา เข้ากับ ISIS แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงประกาศตัดสัมพันธ์กับ ISIS และบักดาดี

    จนมาถึงปฏิบัติการสายฟ้าแลบ มีรายงานที่ค่อนข้างยืนยันแล้วว่ากลุ่มอัลนุสราในซีเรียและอัลกออิดะห์ ได้กลับมาจับมือกับกลุ่ม ISIS แล้ว และกลายเป็นกลุ่ม IS ที่ประกาศเขตปกครองตนเองโดยกินดินแดนทั้งอิรัก และ ซีเรีย ใช้กฎหมายอิสลาม

    ดูการแทรกแซงอเมริกาในอิรัก ในแคว้นเคิร์ด ที่เป็นดินแดนติดต่อระหว่างอิรัก กับ ตุรกี ได้เกิดเหตุลุกลามระหว่างรัฐบาลกลางอิรักนิกายชีอะห์ และแคว้นปกครองตนเองชาวเคิร์ดนี้ กระพือขึ้นจากเหตุความไม่สงบจากฝีมือพวกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) สุหนี่ ที่กำลังทำให้เกิดรอยแตกแยกทางนิกาย และเชื้อชาติของอิรักอย่างหนัก

    กระทรวงพลังงานอิรัก ระบุว่า กองกำลังเคิร์ดได้เข้าควบคุมศูนย์การผลิตพลังงานใน ไบฮัสซัน และบ่อน้ำมันเคอร์คุก ใกล้กับเมืองเคอร์คุก แล้วราว 1 เดือนก่อน ตามคำสั่งของอเมริกา หลังจากอิรักถอนทหารออกมา เพราะเจอสงคราม 2 ด้าน คือต้องหันไปรบกับปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบของพวกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) สุหนี่ ของอเมริกา ที่สามารถยึดพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลทางเหนือและตะวันตกของอิรักไว้

    บ่อน้ำมันทั้งสองแห่งของอิรัก มีความสามารถในการผลิตน้ำมันรวมกันมากมายถึง 450,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็ไม่ได้เดินเครื่องผลิตแบบเต็มพิกัดมานานแล้ว นับตั้งแต่เดือน มีนาคม 57หลังจากท่อลำเลียงเพื่อการส่งออกเคอร์คุก – เชย์ฮานของอิรักถูกลอบก่อวินาศกรรมจนเสียหาย แต่รัฐบาลอิรักดำเนินการเพื่อปกป้องสาธารณูปโภคด้านพลังงาน และกำลังเดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตในบ่อต่างๆ และเพิ่มการลงทุนในการผลิตน้ำมันเบนซินระดับท้องถิ่น

    ส่วนกองกำลังแคว้นเคิร์ด อ้างว่าพวกเขามีความจำเป็นต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปเพื่อคุ้มครองบ่อน้ำมันไบฮัสซัน และพื้นที่มัคช์มัวร์ อันเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำมันยักษ์เคอร์คุก เพราะทราบมาว่ากระทรวงพลังงานอิรัก มีแผนปั่นป่วนท่อลำเลียงหนึ่งที่ออกแบบมา เพื่อสูบน้ำมันจากมัคช์มัวร์ และเลิกให้ความร่วมมือกับแคว้นเคิร์ด รื้อทำลายและตัดขาดการสูบน้ำมันของท่อลำเลียงใหม่

    โดยไบฮัสซัน และมัคช์มัวร์ เป็นส่วนหนึ่งของบ่อน้ำมันเคอร์คุก ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทน้ำมันแห่งรัฐ นอร์ทออยคอมปานี (NOC) แสดงชัดเจนว่าอเมริกา มุ่งส่งกองกำลังติดอาวุธของตนเอง 2 กลุ่ม คือ กองกำลังเคิร์ด และ กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) เข้าควบคุมแหล่งน้ำมันในอิรัก เพื่อให้อเมริกาได้แหล่งพลังงานขนาดใหญ่มานั่นเอง

    ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในอิรัก เพื่อรับมือกับการก่อกบฏของพวกนักรบกลุ่มต่างๆ ต้องเจอเหตุแทรกซ้อน จากความตึงเครียดระหว่างนายกอิรัก กับเหล่าผู้นำเคิร์ด ภายใต้ข้อตกลงทางพฤตินัย ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิรักจะเป็นของชาวชีอะห์ ขณะที่ตำแหน่งประธานสภาเป็นของชาวสุหนี่ และประธานาธิบดีเป็นของเคิร์ด..แสบสุดๆ อเมริกา

    แต่หลังการประชุมสภานัดแรกไปแล้ว หลังเสร็จการเลือกตั้ง กลับมีแต่ความยุ่งเหยิง เพราะเหล่าสมาชิกรัฐสภาต่างขาดความสามัคคี คอยขัดคอ และข่มขู่กัน ท้ายที่สุดแล้วบางส่วนก็วอล์คเอาต์จนต้องเลื่อนประชุม และการประชุมสภารอบใหม่ก็เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด

    เมื่อสัปดาห์ก่อน นายมัสซุด บาร์ซอนี ประธานแคว้นเคิร์ด บอกกับรัฐสภาว่าตรียมจัดประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากอิรัก รวมถึงมีสิทธิในการปกครองตนเองจากอิรัก เติมเชื้อความโกรธแก่นายกอิรักมากขึ้น

    ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ก็เข้าสู่ขั้นเลวร้ายสุดรอบใหม่ เพราะนายกอิรักระบุว่าแคว้นเคิร์ดปล่อยให้พวกนักรบรัฐอิสลาม และกลุ่มอื่นๆ ใช้เมืองเอกของพวกเขาเป็นฐานทัพ ทำให้กลุ่มนักการเมืองชาวเคิร์ดออกมาตอบโต้ ประกาศว่าจะระงับการเข้าร่วมในรัฐบาลผสมอิรัก

    ส่งผลให้รัฐบาลอิรักได้จัดการฝึกอบรมการใช้อาวุธ ให้กับผู้หญิงในเมืองบัดร์ บริเกด ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของกองทัพชีอะห์กว่าหมื่นคน เป็นเวลา 5 วัน โดยในขณะนี้ มีผู้หญิงกว่า 450 คนเข้ารับการฝึก มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการปกป้องชุมชน หากว่ากลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) ที่หนุนหลังโดยอเมริกาเข้ามาโจมตี

    นายกรัฐมนตรีประจำเมืองบัดร์ บริเกด ระบุว่ามีผู้หญิงอีกหลายหมื่นคน รอที่จะเข้าร่วมรับการฝึกใช้อาวุธอยู่ โดยการฝึกดังกล่าวไม่ได้เป็นไปเพื่อส่งผู้หญิงเข้าไปร่วมรบในแนวหน้าเคียงบ่าเคียงไหลกับกองทัพรัฐบาลอิรัก แต่เป็นไปเพื่อ "เตรียมความพร้อมเพื่อช่วยขับไล่ศัตรูและปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง"

    รัฐบาลได้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องให้ผู้หญิงรู้จักใช้อาวุธให้เป็น เนื่องจากผู้ชายในหมู่บ้านส่วนใหญ่ได้อาสาไปร่วมรบต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) ของอเมริกา ทำให้เหลือแต่เพียงผู้หญิงและเด็กที่ขาดความชำนาญในการรบ

    ล่าสุดกองกำลังความมั่นคงอิรัก และกลุ่มติดอาวุธมุสลิมชีอะห์ ที่เข้าข้างรัฐบาลได้สังหารนักโทษมุสลิมนิกายสุหนี่ ไปอย่างน้อย 255 ราย ระหว่างหลบหนีการรุกคืบของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) ซึ่งบุกยึดพื้นที่ตอนเหนือของอิรัก เพราะกลุ่มนี้ประกาศจัดตั้งรัฐซ้อนรัฐ เป็นรัฐอิสลามขึ้น ในพื้นที่ตอนเหนือของอิรักจดพรมแดนซีเรีย

    ส่งผลให้ ฮิวแมนไรต์วอตช์ ที่อยู่เบื้องหลังโดยอเมริกา ซึ่งมีฐานที่นครนิวยอร์ก ดิ้นๆๆ แถลงว่า “กองกำลังความมั่นคงอิรัก และกลุ่มติดอาวุธฝ่ายรัฐบาล ประหารชีวิตนักโทษอย่างน้อยไป 255 ราย อย่างไม่เป็นธรรม ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน เป็นต้นมา มีการจับนักโทษหลายสิบคนมาจุดไฟเผาทั้งเป็น และอีก 2 กรณี พวกเขาใช้วิธีโยนระเบิดมือเข้าไปในห้องขัง”

    ฮิวแมนไรต์วอตช์ ของอเมริกาอ้างหลอกชาวโลกต่อว่า “การสังหารหมู่โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายบ้านเมืองเช่นนี้ อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การยิงนักโทษทิ้งถือเป็นพฤติกรรมป่าเถื่อนที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน”

    ขณะที่ทั่วโลกรุมประณามการกระทำอันโหดร้ายของกลุ่มติดอาวุธ IS ของอเมริกา เพราะเคยจับทหารรัฐบาลอิรักได้ราว 200 คน แล้ว บังคับนอนกับพื้น และกราดยิงสังหารหมู่เอาดื้อๆ แต่..ฮิวแมนไรต์วอตช์ ของอเมริกา กลับแกล้งมึนและเพิกเฉย แต่กลับเห็นด้วย หนุนกลุ่มติดอาวุธนี้ ให้โจมตีประชาชนเด็ก ผู้หญิง ของประเทศอื่น ว่าเป็นสิ่งที่ทำไปเพื่อมนุษยธรรมว่างั้นเถอะ !!

    อยากให้คนไทยเข้าใจว่า ฮิวแมนไรต์วอตช์ คือ กลุ่มปฏิบัติการกลุ่มหนึ่งที่รับทุนจากอเมริกา และดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับรัฐบาลมะกันเท่านั้น ดังนั้นการที่กลุ่มนี้ ออกรายงานอะไรในไทย เช่น การค้ามนุษย์ การปกป้องพิราบกระป๋อง..ก็คือ เครื่องจักรในการแทรกแซง ในประเทศต่างๆ เท่านั้นเอง..ไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น !!

    ดูการแทรกแซงอเมริกาในมิตรประเทศจอร์แดนบ้าง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามากกว่า 1 ปี สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ใช้แผ่นดินจอร์แดน เป็นสถานที่ฝึกการสู้รบให้กับฝายกบฏซีเรีย ตามที่เคยบอกตอนก่อนว่า โอบามา ประกาศทุ่มงบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อติดอาวุธ และฝึกการสู้รบให้ฝ่ายกบฏซีเรียสาย กล๊าง กลาง..โดยใช้ดินแดนของจอร์แดน เป็นสถานที่รองรับการฝึกฝ่ายกบฏซีเรีย

    แต่ประหลาดมาก เมื่อรัฐบาลโอบามา ไม่เคยร้องขอต่อรัฐบาลจอร์แดนอยางเป็นทางการ เพื่อขอใช้แผ่นดินจอร์แดนเป็นสถานที่รองรับการฝึกนักรบฝ่ายกบฏซีเรีย ขณะที่รัฐบาลจอร์แดนซึ่งจำใจยอมร่วมมือกับโอบามา ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนหลายครั้งว่า ไม่ต้องการให้ความรุนแรงจากสงครามในซีเรียไหลล้นเข้าสู่ดินแดนของตน

    เพราะหวั่นเกรงการตอบโต้ที่คาดไม่ถึงจากซีเรีย ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาซ้ำเติมจอร์แดน ที่ต้องรองรับคลื่นผู้อพยพจากซีเรีย จำนวนมากกว่า 600,000 คน ขณะนี้รัฐบาลบารัค โอบามายังคง “มืดแปดด้าน” และไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้ประเทศใดเป็นฐานรองรับการฝึกนักรบฝ่ายกบฏซีเรีย แทนที่จอร์แดน โดยสหรัฐฯ อาจขอความร่วมมือจากซาอุดีอาระเบีย ตุรกี รวมถึงรัฐเศรษฐีอาหรับ แถบอ่าวเปอร์เซีย เพื่อขอเอากองกำลังติดอาวุธของตน เข้าไปฝึกอาวุธ ในดินแดนประเทศเหล่านั้น

    แผนงบประมาณ กว่า 15,000 ล้านบาท ของโอบามาต่อสภาคองเกรสส์ ดังกล่าว คงต้องถูกชะลอออกไปอีกหลายเดือนจากนี้ ส่งผลให้โอบามาต้องเลี่ยงไปใช้กลยุทธ์หัวหมอ โดยวิธีการนำ “งบประมาณฉุกเฉิน” ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ “เพนตากอน” ไปใช้ในภารกิจนี้ก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องขอสภาคองเกรสส์...เออ เอากะมันดิ

    ดูการแทรกแซงอเมริกาในซีเรีย เมื่อแนวร่วมแห่งชาติซีเรีย (SNC) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันอย่างหลวมๆ ของกบฏซีเรีย ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด และมีอเมริกา และชาติตะวันตกคอยหนุนหลัง ได้เลือก ฮาดี อัล-บาห์รา หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาสันติภาพเจนีวา เป็นประธานคนใหม่แล้ว

    ประธานแนวร่วม SNC ซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมอุตสาหการ จากสถาบันในสหรัฐฯ เขามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซาอุฯ และอาศัยอยู่ในอาณาจักรเศรษฐีน้ำมันแห่งซีเรีย ขณะที่สหรัฐฯ และชาติมหาอำนาจอื่นๆ แต่งตั้งให้แนวร่วม SNC เป็นองค์กรหลักที่เป็นตัวแทนกบฏซีเรีย

    แต่กบฏกลุ่มนี้ ก็แทบจะไม่มีอำนาจในซีเรีย เพราะกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแนวร่วม SNC ต่างเป็นผู้แผ่อิทธิพลอิสระครอบงำหลายพื้นที่เอง นอกจากนี้การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันภายในกลุ่มแนวร่วม SNC เอง ยังบ่อนทำลายความพยายามของกบฏกลุ่มนี้ ในการต่อกรกับกองกำลังที่ภักดีต่อประธานาธิบดีซีเรีย เพราะที่เป็นกลุ่มอิสลามแนวทางแข็งกร้าวยิ่งกว่า และมีนักรบติดอาวุธจากต่างชาติเข้าร่วมเป็นสมาชิก

    ไอ้มาม่า เจือก ไปทั่ว แทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น ถึงขั้นบ้าอำนาจแต่งตั้งแนวร่วม SNC เป็นองค์กรหลักที่เป็นตัวแทนกบฏซีเรีย ไปสู้กับรัฐบาลประเทศเขาเองอีกแล้ว..ไหนบอกอเมริกา และ EU เรียกร้องประชาธิปไตยไง ความเนื่อเชื่อถืออเมริกา ไม่เหลือหลอ ล้มละลายทางเครดิตในประชาคมโลกหมดสิ้น

    รัฐบาลมะกันเอง กลับมีคนยิวไซออนิสต์ครอบงำอีกต่อ..จึงเป็นได้แค่ลูกสมุนของคนยิวเท่านั้น..ไร้ศักดิ์ศรีมหาอำนาจจริงๆ ...เรื่องกำลังต่อจิ๊กซอออกมาแล้ว มาเปิดโปงว่ามันวนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรง ของจังหวัดชายแดนใต้ของไทยในรูปแบบใด ในตอน 2 ต่อไป...


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 13 ก.ค.57 เปิดโปง..รู้ทันมะกัน อสูรกายแห่งแทรกแซง เหตุชายแดนไต้ (ตอน 2)

    จากตอนแรกที่เปิดโปง การที่ชาติตะวันตกเข้าไปแทรกแซง ชาติอาหรับ โดยหนุนกลุ่มติดอาวุธ กลุ่มย่อยต่างๆ เพื่อให้ต่อสู้กับรัฐบาลประเทศนั้นๆ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ กลับไปกระตุ้นความมั่งคั่งประเทศตนเอง แล้วใช้ฮิวแมนไรต์วอตช์ มาเป็นประโยชน์ในการสร้างภาพลวงตาชาวโลกแล้วนั้น

    ** ความเดิมตอนแรกที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.252952958228072.1073742038.187529244770444&type=1

    ดูการแทรกแซงอเมริกาในมิตรประเทศบาห์เรน ที่เป็นเกาะยุทธศาสตร์ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามอ่าวเปอร์เซีย กับอิหร่าน และเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือที่ 5 แห่งกองทัพสหรัฐฯ ขณะที่วอเมริกาเป็นพันธมิตรกับ ราชวงศ์อัล-คาลิฟา แห่งบาห์เรน มาอย่างช้านาน (กษัตริย์ที่นี่ นับถือนิกายสุนีห์)

    ประเทศนี้พยายามฟื้นตัวจากผลกระทบของการประท้วง ที่นำโดยชาวชีอะห์ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2554 ที่แผ่ลามมาจากการ “อาหรับสปริง” ที่หนุนลับๆ โดยอเมริกา ให้ประชาชนลุกฮือในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และเรียกร้องปฏิรูปประชาธิปไตย ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

    กองกำลังทหารบาห์เรน ได้รับการสนับสนุนจากพวกทหารที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย สามารถสยบปราบปรามผู้ประท้วงในอีกราว 1 เดือนถัดมา ทว่านับตั้งแต่นั้นมา ก็มีการชุมนุมกลุ่มเล็กๆ ตามหมู่บ้านของชาวชีอะห์เป็นพักๆ และเกิดปะทะกับตำรวจหลายต่อหลายครั้ง

    และแล้วความจุ้น ยุยงให้คนประเทศต่างๆ สู้รบกัน ก็ปะทุขึ้นมาอีกแล้วที่บาห์เรน เมื่อกระทรวงการต่างประเทศ บาห์เรน แถลงแสดงความไม่พอใจและเดือดปุด เมื่อ นายทอม มาลินาวสกี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำสำนักประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงาน ที่แทรกแซงกิจการภายในของบาห์เรน ด้วยการ “ แอบพบปะกับแกนนำพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง “

    รัฐบาลบาห์เรน รักษาศักดิ์ศรี พูดชัดเจนว่า “รมช.อเมริกา ไม่เป็นที่ต้อนรับของบาห์เรน” เพราะชาตินี้ปกครองด้วยชาวสุหนี่ และ รมช.อเมริกา ควรเดินทางออกไปในทันที..ภาษาบ้านๆ คือ ตะเพิดและเฉดหัวส่งว่างั้นเถอะ

    โดยเฉพาะที่จะก่อความเสียหายแก่คู่สนทนาอื่นๆ โดยอ้างถึงกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่นำโดยพวกชีอะห์ โดย รมช.อเมริกา ได้พบปะกับกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายค้านชีอะห์ อัล-เวฟัก ซึ่งเป็นสมาคมการเมือง ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลบาห์เรน (คล้ายๆ นปช.) รัฐบาลบาห์เรน ย้ำว่าการพบปะของเขาขัดแย้งกับธรรมเนียมทางการทูต และไม่เคารพต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ

    ต่อมากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รีบออกมาแถลงแก้เกี้ยวว่า รมช.ของเขา ยังคงอยู่ในบาห์เรน ที่ตั้งของฐานทัพเรือที่ 5 แห่งกองทัพเรืออเมริกา (ไม่กล้าออกมานอกฐานทัพ) เพื่อสนับสนุนความพยายามปฏิรูปของกษัตริย์ !!..อเมริกาจะไปล้มระบอบกษัตริย์ ที่ประเทศพันธมิตรตนเองอีกแล้ว..!!

    ในความไร้เสถียรภาพของอิรักวันนี้ อาจทำให้หลายคนที่มองผิวเผินว่าเป็นความล้มเหลว ในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯในตะวันออกกลาง แต่จริงๆ แล้วมองแบบนั้นตื้นไป เพราะไม่ใช่ความล้มเหลวของนโยบาย แต่อเมริกา กลุ่ม EU และยิว ต้องการทำให้คนเข้าใจอย่างนั้นเพราะเขาคิดว่าคนอื่นนั้นโง่ ตามเขาไม่ทัน

    สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ เป็นการวางแผนมาก่อนล่วงหน้าหลายปี สื่อตะวันตกพยายามจะเบนความจริงไม่ให้โลกรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น โดยพยายามทำให้เกิดกระแสความเข้าใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่สอดรับกับผลประโยชน์ของตะวันตกตลอดมา กรณีของอิรักคนจำนวนมากถูกทำให้เห็นว่าสิ่งทีเกิดขึ้นในอิรักคือ สงครามกลางเมือง

    ในอเมริกาเอง มีการเข้ามามีอิทธิพลของขบวนการไซออนิสต์ (กลุ่มยิวโปรเจคทางการเมือง) ในโครงสร้างของรัฐบาลอเมริกา ชัดเจนแล้วว่าเวลานี้รัฐบาลยิวอิสราเอล ได้ควบคุมกลไกต่างๆ ของรัฐบาลอเมริกาไว้เรียบร้อยเบ็ดเสร็จแล้ว

    เวลานี้ชาวอเมริกันส่วนมากกำลังเริ่มสงสัยในความตื่นตัวเกี่ยวในเรื่อง “ความคลั่งไคล้อิสราเอล” ของรัฐบาลอเมริกา และได้เรียกร้องไปยังรัฐบาลอเมริกาให้ทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง และได้ตั้งคำถามไปยังรัฐบาลตนเองว่า “หรือว่าประเทศของเราถูกครอบครองโดยอิสราเอลเสียแล้ว?”

    มีองค์กร ชื่อ “คณะกรรมการอเมริกัน-อิสราเอลเพื่อกิจการสาธารณะ” AIPAC หรือ The American Israel Public Affair Committee ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายอเมริกา ทำหน้าที่ล็อบบี้ทุกเรื่อง เพื่อผลประโยชน์ของอิสราเอลในอเมริกา โดยอ้างว่าเป็นการรักษาผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง จึงเปรียบเสมือนอสูรกายที่กำลังครอบงำอเมริกา

    คำเรียกขานผู้ที่มีอิทธิพลต่อสื่อต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา คือ “ไซออนิสต์” ซึ่งคือ โปรเจคการเมืองของเผ่าพันธุ์ยิว ในการครอบครองโลก โดยมียูดาย เป็นแนวทางหนึ่งในโปรเจคนั้น จึงต้องทำความเข้าใจและแยกให้ออกระหว่าง “ยูดาย” และ “ไซออนิสต์”

    ส่วนมากของผู้ที่มีอิทธิพลเหนือสื่อต่างๆ ล้วนเป็นผู้ที่ไร้ศาสนา และพวกเขาคือผู้ที่พลีอุทิศจิตวิญญาณของตนให้กับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เข้ารุกรานครอบครองแผ่นดินปาเลสไตน์ในขณะนี้เพื่อดำรงเผ่าพันธ์ สื่อให้ต่างๆ ของโลกตะวันตก เช่น CNN , AFP ฯลฯ ควบคุมโดย AIPAC ทุกกระบวนการ ทำให้ทำงานรายงานข่าวไปในทิศทางเดียวกัน

    เวลานี้ชาวอเมริกันส่วนมาก กำลังขาดความเชื่อมั่นต่อสื่อสารมวลชนหลักของตนเอง เนื่องจากสื่อต่างๆ เหล่านั้นมีคนของไซออนิสต์เป็นผู้ควบคุม และบริหารงานแทบทั้งหมด และในเวลานี้สื่อต่างๆ เหล่านั้นกำลังโน้มน้าวจิตใจของชาวอเมริกัน เพื่อให้มีการเสียสละอุทิศตนเกี่ยวกับสงครามในซีเรีย เช่นเดียวกับการโน้มน้าวให้ชาวอเมริกันเห็นดีเห็นงามกับการบอยคอตโครงการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่าน

    ชาวอเมริกันในสังคมต่างๆ เริ่มเบื่อหน่าย เริ่มแสดงอาการรังเกียจ และต่อต้าน องค์กร AIPAC กันแล้วในเวลานี้ แม้กระทั่งในชุมชนชาวยิวในอเมริกา ขณะนี้ชาวยิวเริ่มออกมาต่อต้านขบวนการไซออนิสต์กันบ้างแล้ว ร่วมกับชาวอเมริกันที่ต่อต้านไซออนิสต์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชุมชนดังกล่าวเป็นชุมชนที่รัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

    สงครามในตะวันออกกลาง ที่ลึกลงไปกว่านั้นที่ไม่เปิดเผย คือ กระบวนการที่ทำให้เกิดความยุ่งเหยิง ที่เดินเกมส์ โดยตะวันตกและยิว ทำให้อิรัก ซีเรีย ไร้เสถียรภาพก่อน และแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทางทหารในตะวันออกกลางของอเมริกา อังกฤษ และอิสราเอล โดยแผนการนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพ ความยุ่งเหยิง ความรุนแรง ที่แผ่ขยายจาก เลบานอน ปาเลสไตน์ และซีเรีย ไปถึงอิรัก อ่าวเปอร์เซีย อิหร่าน และชายแดนอัฟกานิสถาน

    แผนการนี้เป็นโครงการใหม่ของอเมริกา และอิสราเอล ที่หวังจะใช้เลบานอน เป็นจุดผลักดันให้เกิดการจัดสรรแบ่งเขตพรมแดนในตะวันออกกลางกันใหม่ โดยอาศัยกลุ่มกองกำลังต่างๆ สร้างความยุ่งเหยิง รุนแรง สร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง ให้แผ่คลุมทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งจะเอื้อให้อเมริกา อังกฤษ และอิสราเอล สามารถวาดแผนที่ตะวันออกกลางใหม่

    ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอ์เรเนียน จากเลบานอน และซีเรียไปจนถึง อนาโตเลีย อาระเบีย อ่าวเปอร์เซีย รวมถึงที่ราบสูงอิหร่าน สงครามตะวันออกกลาง ที่ขยายวงกว้างออกไปเช่นนี้ ในท้ายที่สุดจะส่งผลให้มีการกำหนดพรมแดนประเทศกันใหม่ และทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์สำหรับอเมริกา และอิสราเอล ระยะยาวในที่สุด

    อเมริกา และอิสราเอล ใช้ความพยายามอย่างเป็นระบบ ในการปลุกปั่นปัญหาความรุนแรง กระตุ้นให้เกิดการแบ่งแยกในระดับประชาชนในตะวันออกกลาง ที่มีฐานมาจากความแตกต่าง ระหว่างนิกายทางศาสนา และกลุ่มก้อนทางวัฒนธรรมในตะวันออกกลาง และอาหรับเองหลายๆ รัฐบาลในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุฯ ก็มีท่าที่สอดรับกับอเมริกา โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ต่อต้านการยึดครองของต่างชาติตะวันตกให้อ่อนกำลังลง เพราะอาหรับอิสลามทะเลาะกันเอง แตกแยกมั่วไปหมด

    เป็นไปตามยุทธศาสตร์ “แบ่งแยกแล้วพิชิต” การสร้างสงครามกลางเมืองในจุดต่างๆ คือ วิธีการที่ดีที่สุดในการแยกประเทศหนึ่งเป็นเสี่ยงๆ เช่น กรณีของแหลมบอลข่าน และ การใช้ความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มน้อย มาทำลาย และแบ่งแยกยูโกสลาเวียออกเป็นเสี่ยงๆ ที่สำเร็จมาแล้ว

    วันนี้อิรัก เองก็อยู่ในแผนที่กำลังถูกทำให้แตกตัวเหมือนบอลข่าน ด้วยกลยุทธ์ถนัดของจักรวรรดินิยม ที่ใช้กองกำลังติดอาวุธเป็นเครื่องมือ อเมริกาจึงนิยมคำการต่อสู้ของกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ว่า “เป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้าน ที่สนับสนุนประชาธิปไตย “ บางทีอเมริกาก็เรียกว่า ผู้ก่อการร้าย เพราะรัฐบาลตะวันตกมองว่า “เขาต่อสู้กับใคร” มากกว่าดูว่า “เขาเป็นใคร”

    เช่น กรณีการต่อสู้ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในซีเรีย ถูกอเมริกาเรียกว่า เป็นนักรบเพื่ออิสรภาพและประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ ทั้งๆ ที่รัฐบาลซีเรียมาจากการเลือกตั้ง แต่พอในอิรักถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่ต่อสู้กับรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่อเมริกาก็หนุนหลังกลุ่มติดอาวุธ IS ตลอดมา และยังหนุนรัฐบาลอิรัก ในช่วงแรกๆ

    ส่วนกลุ่ม มูญาฮิดีน และตอลิบัน ที่ขับไล่โซเวียต ในประเทศอัฟกานิสถานในปี ค.ศ.1980 ก็เคยได้รับการสนับสนุน และยกย่องจากอเมริกา แต่ตอนนี้ถูกเรียกว่าผู้ก่อการร้าย นับตั้งแต่ชัยชนะในสงครามโซเวียต อัฟกานิสถานเรื่อยมา กลุ่มติดอาวุธต่างๆ ภายใต้ร่มของอัลกออิดะห์มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือของอเมริกา และนาโต้ เพื่อยับยั้ง กีดกัน การส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางเข้าสู่จีน ไม่ให้จีนเจริญกว่า และโลกอาหรับหันไปใช้เงินหยวน แทนดอลลาห์

    อเมริกา กลุ่ม EU และยิว เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาความขัดแย้ง ในซีเรีย ทั้งกลุ่มอัลนุสรา ฟรอนท์ ที่ต่อสู้กับรัฐบาล และ IS กลุ่มติดอาวุธพวกนี้ เป็นพันธมิตรทางทหารของตะวันตก ที่ค่อยสนับสนุนอาวุธ เงินทุน อาหาร เวชภัณฑ์ และคอยควบคุมการคัดเลือกนักรบ ตลอดจนการฝึกซ้อมในลักษณะกองกำลังกึงทหารในอีกประเทศหนึ่ง เพื่อไปปฏิบัติการอีกประเทศหนึ่ง

    กลุ่มติดอาวุธที่อเมริกาหนุนเหล่านี้ ย่อมแข็งแกร่งขึ้นมา ในกรณีของอิรัก อเมริกา รู้ว่ากลุ่มติดอาวุธ IS ที่มีฐานในอิรัก และกลุ่มติดอาวุธอัลนุสรา เป็นภัยคุกคามอิรักและรัฐบาลของอิรัก ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธ IS ที่ต้องการสถาปนารัฐอิสลามนั้น สอดรับกับเป้าหมายของอเมริกาที่ต้องการวาดแผนที่อิรักและซีเรียใหม่

    โดยฉีกย่อยออกเป็น 3 เขตปกครอง กล่าวคือ รัฐอิสลามสุนนี่ สาธารณรัฐอาหรับชีอะห์ และสาธารณรัฐเคิร์ดิสถาน โดยสร้างฉากโดยการสนับสนุนทางการเงิน และ ติดอาวุธหนัก ให้คู่ต่อกรทั้งคู่สู้รบกันเอง ชิงอำนาจให้เกิดสงครามกลางเมือง ในเกมส์ที่ควบคุมรีโมทโดยอเมริกา และนาโต้

    ส่วนสื่อกลุ่มไซออนิสต์ของยิว มีหน้าที่สร้างฉากลิเก ทำให้ทั่วโลกเชื่อหรือเห็นในมิติเดียวว่า นี้เป็นสงครามกลางเมืองของการปะทะกันระหว่างสุนนี่-ชีอะห์ ที่อาจขยายไปทั่วภูมิภาค เพราะ
    การขยายฐานอำนาจของรัฐบาลชีอะห์หลายประเทศในตะวันออกกลาง ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างความกังวลให้กับ ระบอบกษัตริย์ซาอุฯ สะเทือนเป็นอย่างยิ่ง

    ด้วยเหตุเช่นนี้ จึงเป็นเงื่อนที่กำหนดท่าที และนโยบายต่างประเทศของซาอุฯ ในตะวันออกกลางให้อิงอยู่กับฝ่ายอเมริกาฯ เสมอมา โดยอ้างว่าต่อต้านการขยายอิทธิพลของอิหร่าน รวมถึงให้การสนับสนุนทุนและอาวุธกลุ่มต่างๆ ที่ต่อสู้กับรัฐบาลชีอะห์ ที่ชัดเจนคือในซีเรีย และอิรัก ที่ผ่านมาซาอุฯได้ตำหนิรัฐบาลอิรัก ที่ปล่อยให้อิหร่าน เข้ามามีอิทธิพลในอิรักมากเกินไป ซึ่งสะท้อนแนวคิดชัดเจนว่ารัฐบาลซาอุฯ มีความกังวลอย่างมาก ต่อการขยายอิทธิพลของอิหร่าน และชีอะห์ในตะวันออกกลาง

    ซาอุ ฯ เคยคัดค้านการถอนทหารอเมริกาออกจากในอิรักอย่างแข็งขัน หรือแสดงความผิดหวังที่อเมริกาไม่ใช้กำลังทหารของตนเอง เข้าโค่นรัฐบาลซีเรียแบบสงครามเต็มรูปแบบ เพราะการโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถือเป็นเป้าหมายที่ซาอุฯ ให้ความสำคัญมากกว่า กรณีการขยายอิทธิพลของชีอะห์ในอิรักเสียอีก

    เพราะซาอุมองว่าถ้าโค่นรัฐบาลซีเรียได้ ก็จะเป็นการเตะตัดขา ตัดกำลังรัฐบาลชีอะห์ของอิรักในทางอ้อม และเป็นการลดทอนอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลางด้วย ที่สำคัญคือการที่ซาอุฯ สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย โดยเฉพาะอัล นุสรา หรืออัลกออิดะห์ที่ผ่านมา ก็เสมือนการสนับสนุนการต่อสู้ของฝ่ายต่อต้านในอิรักด้วย

    เพราะทั้งกลุ่มติดอาวุธ IS และกลุ่มอัลนุสรา กลุ่มอัลกออิดะห์ ที่เป็นนิกายสุนนี่ ทุกกลุ่มได้กลับมาจับมือและร่วมกันต่อสู้แล้ว ซึ่งรัฐบาลชีอะห์ เครือ อิรัก อิหร่าน และซีเรีย ต่างก็ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่เช่นกัน แถมกองกำลังเคิร์ด ที่หนุนหลังโดยตุรกี และอเมริกา เข้ายึดบ่อน้ำมัน 2 แห่งทางเหนือของอิรัก และเข้าควบคุมปฏิบัติการของบริษัทพลังงานของรัฐด้วย

    โดยเหล่านักการเมืองชาวเคิร์ด ระงับการเข้าร่วมในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีของอิรัก ดังนั้นดินแดนนี้คงแตกเป็นเสี่ยงๆ ขนาดๆ เล็กๆ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบ พวกนักรบอิสลามกลุ่มย่อยต่างๆ ปฏิบัติการจู่โจมและยึดเมืองต่างๆ ทางเหนือและทางตะวันตกของประเทศอิรัก

    คนไทยควรเรียนรู้ สร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา ในทฤษฎีสงครามกลางเมือง เพื่อวาดแผนที่ใหม่เพราะจะเห็นว่าตัวแสดงต่างๆ กำลังขับเคลื่อนไปในแนวทางเดียวกัน แต่ต่างกันที่เป้าหมาย นั่นคือการทำให้เกิดสงครามกลางเมืองตามเกมความยุ่งเหยิง ในยุทธ์ศาสตร์ที่ต่างกัน โดยอเมริกาใช้การแบ่งแยกแล้วพิชิต , ส่วนกลุ่ม IS เปิดแนวรบกับรัฐบาลชีอะห์ ทั้งในซีเรียและอิรักเพื่อก่อตั้งรัฐอิสลาม..แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นแค่เครื่องมือ และหมากในกระดาน ของอเมริกา และยิวเท่านั้นเอง

    ดังนั้นอนาคตของตะวันออกกลาง มีความเป็นไปได้ใน 3 แนวทางตามทฤษฎีเกมศูนย์ คือ
    1) คงสภาพเดิม อิรัก-และเครือรัฐบาลชีอะห์ ชนะกลุ่มติดอาวุธของอเมริกา และยิว สามารถรักษาฐานอำนาจและอิทธิพลของตนในตะวันออกกลางได้
    2) รัฐบาลอิรักถูกโค่นโดย IS และเปลี่ยนระบอบการปกครอง ในระยะยาวอาจรวมกับซีเรีย
    3) อิรัก-ซีเรีย ถูกฉีกแผ่นดินออกเป็นสามส่วน รัฐอิสลามสุนนี่ สาธารณรัฐอาหรับชีอะห์ และสาธารณรัฐเคิร์ดิสถาน..แนวนี้เป็นไปได้สูง เพราะกลุ่มไซออนิสต์ ที่ชักใยรัฐบาลอเมริกาปลื้มมาก

    ภายใต้ความยุ่งเหยิง และสงครามกลางเมือง ของความขัดแย้งสุนนี่-ชีอะห์ กับสงครามตัวแทนและอิทธิพลของสื่อกระแสหลักไซออนิสต์ สิ่งที่อันตรายที่สุด คือ ปัญหาความขัดแย้งและกระแสความเกลียดชังระหว่างนิกายสุนนี่-ชีอะห์ อาจถูกโหมกระพืออย่างเป็นระบบไปทั่ว ในตะวันออกกลาง และส่วนอื่นๆของโลก รวมทั้ง 3 จังหวัดชายแดนไต้ของไทย

    ซึ่งกลุ่มติดอาวุธชายแดนไต้ของไทย ก็อ้างเรื่องความแตกต่างทางศาสนา และจะสร้างรัฐอิสลามเช่นกัน ซึ่งกลุ่มนี้ได้รับทุนจากซาอุฯ โดยมีอเมริกาหนุนอย่าลับๆ ร่วมกับทุนจากกลุ่มเผาไทย ในรูปแบบกองทุนนิรนามจากต่างประเทศ ส่วนการฝึกอาวุธนั้น กลุ่มติดอาวุธพวกนี้ ก็เดินทางไปฝึกที่อัฟกานิสถาน และตะวันออกกลาง กับกลุ่มอัลกออีดะห์ และอัลเคด้าอีกขาหนึ่ง

    ตอนนี้ใน 3 จังหวัดใต้ ร้าน KFC ปิดกิจการ เพราะไม่ได้รับเครื่องหมายฮาลาล เกรงจะถูกต่อต้าน และไม่ปลอดภัย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกา และตะวันตก ที่กำลังรังแกคนปาเลสไตน์ ในเขตฉนวนกาซา และรังแกคนอาหรับ ในตะวันออกกลาง

    ชาวไทยพุทธที่กำลังมองปัญหาแบบผิวเผิน ที่เรียกตัวเองว่า "ไทยพุทธ กลุ่มน้อย" ที่กิน KFC อยู่และไม่พอใจ โดยนัดรวมตัวเรียกร้องกันที่ยะลา เพื่อจี้ให้ผู้บริหาร KFC ชี้แจง ต้องการให้ 3 จังหวัดใต้เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ทุกศาสนามีสิทธิเสรีภาพ ที่จะมีวิถีชีวิตตามปกติ

    ให้พึงระวังว่า กำลังจะตกเป็นเหยื่อเครื่องมือสร้างเงื่อนไข การยั่วยุ ให้ฝ่ายมะกัน ที่นำสายลับมาปฏิบัติการในไทยถึงราว 4,000 คน และชาติตะวันตก รวมทั้งซาอุฯ ใช้สร้างสถานการณ์ขยายความขัดแย้ง สั่งให้ผู้ก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนใต้ ในรีโมทคอนโทรล ก่อเหตุรุนแรงทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้

    ถึงแม้ว่าในเมืองไทยจะมีสถาบันเบื้องสูงเป็นศูนย์รวมใจ และไม่อาจปลุกกระแส ผู้ร่วมต่อต้านได้มากเหมือนกลุ่ม IS กลุ่มอัลนุสรา กลุ่มอัลกออิดะห์ และกองกำลังเคิร์ด เหมือนในอิรักก็ตาม !!

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  10. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    ติดตามข่าวต่างประเทศที่มีการรบของยิวอิสราเอลกับชาวปาเลสติเนี่ยนก็สงสารเค้า ผู้คนโดยเฉพาะเด็กตายเป็นจำนวนมาก ถือว่าประเทศไทยเรานี้โชคดีกว่าเค้าเยอะ

    ส่วนอเมริกาทำตัวเป็นคนช่างยุ ตอนนี้ประเทศเค้าก็กำลังรับกรรมภัยธรรมชาติหลายรัฐ ทั้งพายุทอร์นาโด แผ่นดินถล่ม และพายุหิมะเมื่อช่วงหน้าหนาว ประชากรอเมริกันก็รับผลกรรมกันไป
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    โหดร้ายเหลือจะรับไหวยิ่งเห็นภาพเด็กๆ นอนตายเกลื่อน เราไม่กล้าเอารูปมาให้ดู แต่สามารถไปดูภาพทั้งหมดได้ตามลิงค์ค่ะ
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 14 ก.ค.57 เอาแล้ว คนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เดินขบวนประท้วงยิวฆ่าเด็ก

    ชาวญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แม้ประเทศเขาทั้งสอง จะ เคยมีอดีตบาดหมาง ที่เกาหลีเคยถูกกองทัพญี่ปุ่นข่มแหงรังแกมาก่อน และปัจจุบันสองประเทศนี้ก็ยังมึนชาต่อกัน

    แต่เมื่อได้เห็นภาพความโหดร้ายที่ยิวอิสราเอล ปิดล้อม และใช้อาวุธสงครามร้ายแรง สังหารเด็ก และผู้หญิงอ่อนแอ ชาวอาหรับปาเลสไตน์ และมีสื่อใหญ่ตะวันตกสังกัดกลุ่มไซออนนิสต์ บิดเบือนหลอกลวงคิดว่าชาวโลกรู้ไม่เท่าทัน คนสองประเทศนี้จึงออกมาเดินขบวนประท้วงยิว โดยมิได้นัดหมาย

    นับเป็นชาติแรกๆ ที่แสดงออกซึ่งความไม่พอใจอย่างสันติ ส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลมะกัน ผู้เป็นลูกพี่ เพื่อจะส่งไปถึงยิว ที่เป็นเจ้านาย คอยจูงจมูกรัฐบาลมะกันอีกต่อหนึ่ง

    หมดกันเกียรติยศศักดิ์ศรี ของชาติมหาอำนาจมะกัน ในที่สุดความลับก็เปิดเผยว่าที่แท้ก็เป็นแค่ลูกจ๊อกยิวนี่เอง..อเมริกายุคไอ้มาม่าเป็นผู้นำนี้ ตกต่ำจนน่าอับอายจริงๆ

    ประวัติศาสตร์ความภาคภูมิใจมะกันในฐานะประเทศแกนนำชนะสงครามโลก มาจบสิ้นยุคไอ้มาม่านี่เอง เมื่อถูกยิวไซออนนิสต์สนตะพาย สั่งซ้าย-ขวา หันได้..


    [​IMG]

    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 14 ก.ค.57 เด็กปาเลสไตน์ กำลังถูกทหารยิวปิดล้อมสังหาร

    ขณะนี้กองกำลังทหารไซออนิสต์ ของยิวราว 40,000 นาย กำลังใช้เครื่องบินไอพ่น จรวดนำวิถี ปืนใหญ่ กองกำลังทางเรือ ระบบต่อต้านขีปนาวุธ รถถัง ปืนกล เข้าปิดล้อมฉนวนการ์ซา ที่อยู่อาศัยของกลุ่มฮามาส ปาเลสไตน์

    จากนั้นระดมยิงอาวุธจากทั้งอากาศ จากบนบก จากทางน้ำ เข้าใส่เด็กๆ ผู้หญิง ปาเลส์ไตน์ ที่พวกเขาไม่มีทางสู้ใดๆ ได้เลย จนตายไปกว่า 165 คน และเจ็บกว่า 1,000 คนแล้ว

    และทหารยิว โดยการหนุนหลังของมะกัน บังคับให้พวกเขาที่กำลังร้องไห้ด้วยความกลัวราว 4,000 คน ต้องออกจากบ้านพักอาศัย อพยพออกไปจากดินแดนทั้งหมด ไม่งั้นทหารยิวจะปิดล้อมสังหารทุกคนไม่ให้เหลือหรอ

    โดยอ้างว่ากลุ่มฮามาส ยิงจรวดใส่ดินแดนยิว แต่ประหลาดมาก ที่จรวดทั้งหมด กลับยิงไปไม่ถึงดินแดนของยิวเลย และจนบัดนี้ ยังไม่มีประชาชนยิว ตายหรือบาดเจ็บเลยสักคน

    และรูปแบบของไซออนิสต์ ที่เขาครอบครองธนาคารใหญ่ๆ และสื่อหลักทั่วโลก เป็นที่รู้กันทั่วโลก คือ "สร้างข่าวลวง" เขาจะสร้างข่าวจากดำเป็นขาว หลอกคนที่อาศัยในฝั่งของยิว และหลอกคนทั่วโลก ให้รับรู้ในมุมที่ไซออนิสต์ต้องการให้รู้เท่านั้น ทั้งๆ ที่อาจไม่เป็นจริงตามนั้นเลยสักนิด

    เช่น สร้างข่าวว่า กลุ่มฮามาส แอบเอาอาวุธ ไว้ในโรงเรียน โรงพยาบาล ชุมชน ฯลฯ ขอให้ตรองดีๆ เพราะดินแดนเขามีนิดเดียว และอยู่กันอย่างแออัดมาก จะให้เขาเอาอาวุธกระป๋องพวกนี้ไปไว้ที่ไหน ?

    ที่จะหลบเป็นภูเขาเหมือนที่อื่นก็ไม่มี ถ้าเอาไว้กลางสนามฟุตบอล แล้วจะเป็นอย่างไร ? และที่บอกฮามาสขุดอุโมงค์นั้น ก็ข่าวลวงโลกชวนขำอีก โดนถล่มซะขนาดนั้น จะเอาอุปกรณ์อะไรมาขุด เพราะการขุดใต้ดินต้องใช้เครื่องจักรทันสมัย และนำ้จำนวนมาก แค่วิ่งหนีขีปนาวุธจากเครื่องบินที่ขึ้นบินถล่มแบบทุกนาที ก็หมดไปวันๆ แล้ว

    และที่ตลกที่ไซออนิสต์ ออกข่าวว่าฮามาส ใช้เด็กเป็นโล่มนุษย์ โดยเอาขึ้นไปบนหลังคานั้น เป็นการโกหกชนิดเชิญยิ้มต้องม้วนเสื่อ เพราะขัดหลักคำสอนศาสนาของเขาสิ้นเชิง ความเชื่อคนอาหรับเขาพลีชีพตนเอง แต่เขาไม่พลีชีพญาติคนอื่นเด็ดขาด เขาไม่เหมืิอนฝรั่ง ลองคิดตามว่าถ้าท่านมีลูก จะเอาไปชูรับลูกระเบิดไหม ? ขัดสัญชาติมนุษย์ ไม่มีใครทำ !!

    และที่บอกแจ้งล่วงหน้าก่อนระเบิดลงก็ไม่จริง คิดง่ายๆ แบบบ้านๆ ถ้าแจ้งล่วงหน้า พวกนักรบฮามาส ก็เผ่นป่าราบจากจุดพิกัดนั้นหมด จะนอนรอระเบิดทำไม ? แล้วถ้าแจ้งล่วงหน้า จะไปทิ้งระเบิดทำไม เพราะนักรบไปหมดแล้ว

    อีกทั้งนึกภาพในสภาวะสงครามระเบิดลงตูมๆ ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้น จะแจ้งล่วงหน้าจุดพิกัดเฉพาะตึกเป้าหมายนั้นๆ อย่างไร ใช้การสื่อสารอะไร ? เสียงระเบิด ไซเรนหวอ เสียงปืน ตะโกนสัปสนอลหม่าน แจ้งอย่างไร ? เป็นเรื่องลวงโลกทั้งเพ

    ข่าวสารจากบรรดาไซออนิสต์ฝั่งยิวนี่แหละ ที่ทำให้คนที่หลงเชื่อสนิท ต้องปิดหู ปิดตา ปิดใจตัวเอง ไม่ให้ยอมรับการเห็นเด็กๆ ที่ถูกฆ่า และแขน ขาขาด ทำเสมือนเขาเป็นเป้าลองปืนของยิว

    ภายในไม่กี่วันหน้านี้ เด็กๆ พวกนี้คงถูกทหารยิวปิดล้อมสังหารจนหมดสิ้น และเรื่องก็จะเงียบหายไปเหมือนครั้งก่อน ที่ตายไปราว 1 หมื่นคน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่า "ฆ่าล้างเผาพันธ์ุ" ขนานแท้..

    แต่มะกันที่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน ดิ้นเร่าๆ จะเป็นจะตายในไทย กลับแถลงว่า "ตามบาย ฆ่าเด็กให้พอใจเลยลูกพี่ยิวไซออนนิสต์ รัฐบาลมะกันไม่เห็น เพราะกำลังพี้กัญชา"

    ฆาตรฆ่าล้างเผ่าพันธ์เด็กๆ ตาดำๆ แมนมากเลยลูกพี่ยิวของมะกัน..น่าภาคภูมิใจในการชนะสงครามครั้งนี้จริงๆ..มิน่า..ไอ้มาม่าถึงเคยได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพมาก่อน..ตัดสินได้เที่ยงตรงสมราคาจริงๆ !!

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 13 ก.ค.57 กองทัพ จารึกชื่อ พล.อ.ร่มเกล้า ไว้ที่อนุสรณ์สถาน แต่ไม่จารึกชื่อเสธ แดง

    กองทัพไทย ได้จารึกชื่อของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารที่เสียชีวิตจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ไว้ที่อนุสรณ์สถาน ร่วมกับบรรพชนที่สละชีวิตเพื่อประเทศชาติ แต่ไม่จารึกรายชื่อของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เนื่องจากถูกจัดให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับกองทัพ

    เพราะ พล.อ.ร่มเกล้า ทำเพื่อประเทศไทย แต่ เสธ.แดงทำเพื่อคนแดนไกล และกลุ่มเสื้อแดง ติดอาวุธ นปช.


    ** ดูเรื่องเดิมไขปริศนา ใครฆ่าเสธแดง ได้ที่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.236638036526231.1073742003.187529244770444&type=3

    [​IMG]

    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 13 ก.ค.57 เรือรบอเมริกันจ่อ เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธขู่ใส่ 2 ลูกทันที

    เกาหลีเหนือ ได้ออกมาแสดงความโกรธเกรี้ยวต่อการเดินทางมายั่วยุ ของเรือบรรทุกเครื่องบิน “จอร์จ วอชิงตัน” ของอเมริกา เข้ามาเทียบท่าทางตอนใต้ของเมืองปูซาน ของเกาหลีใต้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และประณามการซ้อมรบร่วมกันของทัพเรืออเมริกา และเกาหลีใต้ ที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-21 กรกฎาคม 57 โดยกลาโหมเกาหลีเหนือถึงกับระบุว่า การกระทำครั้งนี้เป็นการยั่วยุแบบไม่ยั้งคิด

    อเมริกาควรที่จะเข้าใจได้แล้วว่า ยิ่งดึงดันที่จะใช้วิธีการแบล็กเมล์ และข่มขู่ด้วยนิวเคลียร์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นการผลักดันให้เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ที่ล้ำสมัยมากขึ้นเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง

    ว่าแล้ว เกาหลีเหนือ ก็สั่งยิงขีปนาวุธนำวิถีพิสัยใกล้ จำนวน 2 ลูก มีระยะทำการประมาณ 500 กิโลเมตร ไปตกลงในทะเลทางชายฝั่งด้านตะวันออกตอนเวลา 01.20 น. และ 01.30 น. ของเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยถูกยิงออกมาจากพื้นที่ทางเหนือห่างไปประมาณ 20 กิโลเมตร จากเขตปลอดทหาร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเกี่ยวกับการซ้อมรบร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ที่กำลังจะมีขึ้น

    เกาหลีเหนือมักจะออกมาต่อว่า พร้อมทั้งตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธอยู่เป็นประจำ เวลาที่มีการซ้อมรบเกิดขึ้นในบริเวณชายแดนทางใต้ โดยไม่สนใจต่อมติสั่งห้ามสหประชาชาติเคย ที่ไม่ให้เกาหลีเหนือดำเนินการทดสอบขีปนาวุธนำวิถี

    เกาหลีเหนือ กำลังยกระดับการคุกคามด้วยการแสดงให้เห็นว่า พร้อมที่จะยิงขีปนาวุธได้ทุกที่ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ ขณะเดียวกัน พื้นที่ซึ่งถูกใช้ยิงขีปนาวุธครั้งนี้ยังอยู่ในระยะยิงของปืนใหญ่เกาหลีใต้ได้ด้วย การยิงขีปนาวุธจากพื้นที่ตรงนั้น เชื่อว่าเกาหลีเหนือพยายามที่จะให้โลกมองว่า “คิม จองอึน” นั้นเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย

    ดังนั้นช่วงการซ้อมรบร่วมกัน ของทัพเรืออเมริกา และเกาหลีใต้ ที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-21 กรกฎาคม 57 นี้..ใครไปท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ก็จะได้มีเสียว ว ว !!..เพราะพี่ คิม จองอึน แกเป็นคนขี้ตกใจ ขืนเบลอๆ ตื่นนอนเผลอกดปุ่มขีปนาวุธ ระบุพิกัดพลาดไปลงกลางเรือบรรทุกเครื่องบินจอร์จ วอชิงตัน..มันจะจั๊กกะเดียมใจนะนั่น !!


    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 14 ก.ค.57 แฉ.. สื่อใหญ่ยิวไซออนนิสต์ลวงโลกโกหกคำโต จากปาเลสไตน์สู่บทเรียนไทย

    ด้วยตามแนวคิดมะกันเชื้อสายยิวสมัยใหม่ที่ว่า " ครองอาหารได้ก็ควบคุมประชาชนได้..ครองพลังงานได้ก็ควบคุมทวีปได้..ครองระบบการเงินได้ก็ครอบครองโลกได้" กิจการธนาคารใหญ่ๆ , ธุรกิจทุนขนาดมหึมาในโลกแทบทุกชนิด , สื่อสารสาธารณะใหญ่ๆ ของโลก ยิวไซออนิสต์ จึงเป็นเจ้าของกิจการแทบทั้งหมด ทั้งในมะกัน ใน EU

    กลุ่มการเมืองในมะกัน และ EU หากจะได้เป็นรัฐบาลได้ ต้องให้ยิวไซออนิสต์ยินยอม เห็นพ้อง และสนับสนุนทุนให้ เพราะระบบที่อ้างชื่อเรียกว่า "ประชาธิปไตย" ในความหมายของมะกัน และยุโรป จะมีความหมายแตกต่างจากที่คนเอเซีย และคนไทยเข้าใจว่าคือการเลือกตั้ง

    ประชาธิปไตย ในความหมายของเขา หมายถึงการทำงานเพื่อ "สนองประโยชน์ของกลุ่มทุน" ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่ อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ กลุ่มทุนใหญ่ยิวไซออนิสต์ จะยอมลงทุนเงินมากๆ เพื่อคัดเลือกคนเข้าไปเป็นรัฐบาลมะกัน และ EU ก่อน เพื่อยึดอำนาจรัฐมาเป็นของตน จากนั้นกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ของยิวไซออนิสต์จะเริ่มทำงานถอนทุนทันที

    โดยผลักดันให้ผู้นำ หรือสภา ประเทศ ที่ถูกอิทธิพลครอบงำแล้ว ออกกฎหมาย กติกา ระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่จะทำให้นายทุนยิวไซออนิสต์ได้เปรียบ หรือผูกขาด อุตสาหกรรม สินค้า บริการ ฯลฯ ในประเทศนั้นๆ และกีดกันคู่แข่งขัน ไม่ให้เข้ามามีส่วนแบ่งการตลาด หรือ ล้มกิจการไป เพื่อยิวไซออนิสต์จะเข้าไปซื้อกิจการนั่นๆ แบบถูกๆ แล้วยึดครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ เช่น จะมีธนาคารใหญ่ใน โปรตุเกสจะล้มเร็วๆ นี้ คงเสร็จยิวไซออนิสต์เหมือนเคย

    แนวคิดนี้ของยิวไซออนิสต์ไม่ใช่เพิ่งมี แต่เขามีมากว่า 2-3 พันปีของชนชาติเขาแล้ว เพราะเดิมเขาเป็นชนเร่ร่อนมาก่อน ไม่มีแผ่นดินเป็นของตนเอง เขาจึงมักกระจายตัวเข้าไปอยู่ในดินแดนของชนชาติอื่น เช่น อียิปต์โบราณ เยอรมัน ยุโรปยุคกลาง และอิสราเอลในยุคใหม่

    เมื่อชนชาติยิวแทรกตัวไปอยู่ดินแดนแห่งใด ก็มักจะเอารัดเอาเปรียบ ขยายอิทธิพลเพื่อครอบงำชนชาตินั้น และพยายามแย่งชิงดินแดนชนชาติอื่น มาเป็นของตนเอง ทำให้ต้องก่อสงครามสู้รบกับเจ้าของดินแดนนั้นๆ เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

    เช่น สมัยโบราณ ยิวถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนอิยิปต์ ข้ามแม่น้ำไนน์มา , สมัยกลางยิว ถูกฮิตเลอร์ สังหารหมู่และขับไล่ออกมาจากเยอรมัน และยุโรป แตกกระจายไปหลายทิศทาง จนมาแย่งดินแดนชาวปาเลสไตน์ ที่เป็นชนชาติอยู่เดิม , สมัยใหม่ ยิวจึงพยายามรวมตัวกันอยู่ในดินแดนและตั้งชื่อเป็นประเทศอิสราเอล

    ยิวมีบทเรียนจากสมัยโบราณ และสมัยกลางมาแล้ว ว่าเขาทำการค้าครองอาหาร และครองพลังงานอย่างเดียว เขาไม่อาจได้ดินแดนอยู่อาศัย อย่างถาวร และอย่างเบ็ดเสร็จได้ จึงเกิดลัทธิไซออนิสต์ขึ้นมา จากนั้นกลุ่มนี้ ก็ส่งเผ่าพันธ์ยิวขยายตัวไปอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก แทรกตัวไปเป็นพลเมืองของประเทศที่เขาจะกระทำได้ ประเทศที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาก็คือ อเมริกานั่นเอง เพราะอเมริกาก็สร้างชาติขึ้นมาจาก คนอังกฤษ เสปน ฝรั่งเศส โปรตุเกส แล้วใช้อาวุธที่เหนือกว่า เข้าไปแย่งดินแดนคนเผ่าอินเดียแดงท้องถิ่นเช่นกัน

    ยิวไซออนิสต์ ก็แทรกผสานตัวเข้าไปแบบเนียนๆ กลายเป็นพลเมืองมะกันในที่สุด และก็ทำแบบเดิมเหมือน 2 พันปีที่แล้ว คือ ขยายอิทธิพลการค้า ครอบครองประเทศมะกัน แต่เขาเปลี่ยนรูปแบบใหม่เพิ่มจากบทเรียน คือ ต้องเข้ายึดอำนาจรัฐเสีย และ ครอบครองตลาดการเงินของโลก โดยใช้อิทธิพลทางทหารของรัฐบาลมะกัน

    ดังนั้นยิวไซออนนิสต์ ที่มีตัวแทนของตนเองในรัฐบาลมะกัน จึงต้องทำตามทฤษฎี คือ ยึดอาหาร ยึดพลังงาน ยึดการเงินของโลก คู่ขนานกับการ "สูบทรัพยากร" จากประเทศทั่วโลก แบบไดโว่ มาหล่อเลี้ยงความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์พูนสุข ของชนชาติยิว

    แต่ความฝังใจ 3 พันปีของชนชาติยิว ถูกส่งต่อความคิดจากบรรพบุรุษมาสู่ชนรุ่นหลัง แม้ผ่านมาหลายชั่วอายุคน แต่ความคิดก็ไม่ลบเลือนความฝังใจ คือ การก่อสงครามรบพุ่งกับชนอาหรับ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่โบราณกาล ประเทศย่านตะวันออกกลางทั้งหลาย จึงมีสงครามประปรายตลอดมา ตั้งแต่สงครามครูเสด มาจนถึงปัจจุบันนับครั้งไม่ถ้วน และชนอาหรับก็สูญเสียชีวิตมากมายตลอด

    แต่ด้วยความที่ชนอาหรับ รวมตัวกันไม่ติดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวสักที แบ่งแยกนิกายเป็นชีอะห์ กับสุนีย์ โดยมีรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นชีอะห์ แถมช่วงยุคใหม่ ยังถูกยิวรบแบบแยบยน ก่อให้เกิดความแตกแยกจากเนื้อในของอาหรับแต่ละนิกาย แบ่งแยกเป็นกลุ่มเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก ปัจจุบันก็ เช่น ตอลีบัน , กลุ่ม IS , อัลกออีดะห์ , อัล นุสรา , เคิร์ด ฮามาส ฟาร์ตา และอีกสารพัดกลุ่มนับไม่ถ้วน

    ยิวสามารถแตกชนชาติอาหรับศรัตรู เป็น 2 นิกาย แถมแตกแต่ละ นิกายเป็นกลุ่มอีกหลายสิบกลุ่มย่อยๆ แล้วยิวก็ยุแหย่ หนุนทุนทรัพย์ อาวุธ อาหาร ให้กับหลายสิบกลุ่มเหล่านั้น ให้ปะทะ เข่นฆ่ากันเอง ตามแต่จังหวะเวลานั้น หัวหน้ากลุ่มใดขัดขืน หรือ หมดประโยชน์ ก็จะเจอการโจมตีลอบสังหารจากมะกันหมดสิ้น เช่น บินลาเดน , กัดดาฟี , ซัดดัม , อาราฟัด , ซาฮารี ฯลฯ

    ส่วนหัวหน้ากลุ่มใดมีประโยชน์ ก็เลี้ยงไว้ดูเล่น เพื่อเป็นเครื่องมือให้ไปต่อสู้กับอาหรับที่เป็นอริกับยิว เช่น หัวหน้ากลุ่มติดอาวุธนิกายสุนีย์ทั้งหลาย ในทุกประเทศของเป้าหมายยิว ซึ่งยิวไซออนิสต์ยุคใหม่ ใช้ยุทธศาสตร์ "แบ่งแยกแล้วยึด" เสมอมา

    ประเทศอาหรับพันธมิตร ที่ยิวเก็บไว้เป็นเครื่องมือจัดการกับอาหรับคู่อริ เช่น ซาอุฯ บาห์เรน จอร์แดน ตุรกี การ์ตา ฯลฯ เหตุเพราะอาหรับกลุ่มนี้มีฐานทุนเดิมที่มั่นคง หลายประเทศปกครองโดยระบอบกษัตริย์ ที่ยิวไซออนิสต์ และมะกัน ครอบงำได้ง่าย โดยกลุ่มพวกนี้ล้วนไปเรียนต่อในมะกัน มีธุรกิจผูกขาดกับมะกัน และ EU ทั้งสิ้น และยังเป็นเส้นทางบล็อคพลังงานเข้าสู่จีน และรัสเซีย ไม่ให้ ยึดครองตลาดเงินตรา เปลี่ยนแปลงการแลกเปลี่ยนจากดอลลาห์ไปเป็นหยวน และรูเบิ้ลได้

    จะสังเกตุได้ว่า ประเทศใดก็ตามถ้าดินแดนอยู่ใกล้ๆ อิสราเอล แล้วยิวไซออนิสต์ ในรัฐบาลมะกันควบคุมบงการไม่ได้ ผู้นำนั้นๆ ก็จะถูกสื่อใหญ่ๆ ของโลกใส่ร้ายสร้างภาพให้เลวร้าย เป็นเผด็จการ หรือมีอาวุธนิวเคลียร์ แล้วก็ก่อสงครามตัวแทน จากนั้นก็ลอบโจมตีสังหารในที่สุด ถัดมาก็ชักใยสร้างรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมา ประเทศอาหรับที่โดนมุขนี้ประจำมากว่า 20 ปี แล้วคือ อิหร่าน อิรัก ลิเบีย ซีเรีย

    ส่วนดินแดนอาหรับในจุดที่ติดอิสราเอล ที่ยิวไซออนิสต์ยอมให้สงบสุขไม่ได้เด็ดขาด คือ ปาเลสไตน์ ยิวก็ยุแหย่ฉีกออกเป็น 2 พวกเสียอีก คือ กลุ่มฮามาส ในดินแดนฉนวนการ์ซา กับ กลุ่มฟาตาห์ ในเขตเวสแบ็งค์ โดยผู้นำกลุ่มฟาร์ตา คือ คนที่ยิว หนุน เพื่อกดกลุ่มฮามาสไว้ คือให้ 2 กลุ่มในเผ่าพันธุ์เดียวกันขัดแย้งกันเองอีก

    แม้ชาวปาเลสไตน์จะเลือกตั้งกลุ่มฮามาสมาเป็นตัวแทนในสภา อิสราเอล และยิวไซออนิสต์ในรัฐบาลมะกัน ก็ไม่ยอม เพราะกลุ่มฮามาสนั้น ยิวควบคุมไม่ได้ เพราะเขาอนุรักษ์นิยม หัวแข็ง รักพวกพ้อง อิสราเอล จึงก่อสงคราม ล่วงละเมิดดินแดนประเทศปาเลสไตน์ที่มีดินแดนเพียงน้อยนิด แทบตกลงไปในแม่น้ำไนน์เรื่อยมา

    แล้วยิวไซออนิสต์ ที่ครองสื่อโลก ก็สร้างข่าวสารโกหกคำโตให้คนมะกัน และชาวโลกกว่า 7 พันล้านคน หลงเชื่อ ว่ากลุ่มฮามาส ยิงจรวดจำนวนมาก โจมตีเมืองใหญ่ เช่น ทริโปลี ของอิสราเอล ออกมาจากโรงเรียน โรงพยาบาล ย่านชุมชน ทั้งที่ความจริงแล้วฉนวนการ์ซา แออัดยัดเยียดมาก ไม่มีภูเขาให้หลบภัย แต่เป็นพื้นที่ราบแทบทั้งหมด

    ถ้าไม่ให้เขาหลบภัย และยิงอาวุธต่อสู้จากตึกอาคาร จะให้เขาไปต่อสู้ และหลบภัยที่ไหน? การขุดหลุมอุโมงค์ก็ทำไม่ได้ เพราะต้องใช้เครื่องจักรทันสมัย และน้ำจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาไม่มีทางทำได้ เพราะแค่วิ่งหลบขีปนาวุุธ และลูกปืนใหญ่ ที่ตกลงมาเหมือนห่าฝนจากท้องฟ้าตลอดวัน ตลอดคืน พวกเขาก็ไม่ได้หลับนอน และหมดไปวันๆ แล้ว

    ตอนนี้พลเรือนปาเลสไตน์ตายไปเกือบ 200 คน บาดเจ็บกว่า 1,200 คน โดยไม่มีพลเรือนยิวอิสราเอล ตายหรือบาดเจ็บจากอาวุธของกลุ่มฮามาส เลยแม้แต่คนเดียว อย่าว่าแต่พลเรือนเลย แม้แต่สัตว์เลี้ยงในดินแดนอิสราเอล ยังไม่มีรอยขีดข่วนสักตัว นี่มันไม่ใช่การต่อสู้ แต่มันคือการกระทำอยู่ฝ่ายเดียว !!

    และตัวแทนยิวอิสราเอลเอง ต่างประโคมข่าวว่ากลุ่มฮามาส ของปาเลสไตน์ ในดินแดนฉนวนการ์ซา ใช้เด็ก เป็นโล่มนุษย์ รับอาวุธจากการโจมตีทางอากาศ ที่ยิวประเคนใส่แบบไม่ยั้งนั้น ก็เป็นเรื่องลวงโลกเช่นกัน เพราะขัดกับหลักความเชื่อของชนชาติเขา เพราะเขาอุทิศชีวิตตนเองได้ เพื่อปกป้องญาติ และพวกพ้อง จึงไม่อาจใช้เด็กเป็นโล่มนุษย์ได้ อีกทั้งกับขัดหลักความจริงที่มนุษย์พ่อ แม่ ทำกับลูกอีกด้วย การสร้างพล็อตโกหกนี้ จึงไร้สาระ

    ที่ยิวอ้างอีกว่าก่อนโจมตี จะประกาศให้คนจุดนั้นหลบออกไป อันนึ้เอาฮา อย่างเดียว โดยคิดว่าคนทั้งโลกหลอกได้ ก็จะไปโจมตีตรงนั้น แล้วประกาศให้นักรบฮามาสตรงนั้น หลบออกไป จะทิ้งระเบิดไปเพื่ออะไร? ใครจะนอนรอตรงนั้นให้ระเบิดมาตกใส่หัว การโกหกมุขนี้ตื้นไป

    ประเทศปาเลสไตน์ ถือเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน สหประชาชาติยอมรับสถานะ แต่ตอนนี้ยิวอิสราเอล นำกำลังหน่วยรบพิเศษ รถถัง ปืนใหญ่ บุกรุกทางบกข้ามพรมแดน ไปประเทศปาเลสไตน์ เข้าไปตลุยทำลายบ้านเรือน ยิงเด็กเล็ก ที่ต่อสู้ด้วยเพียงก้อนหินขว้างใส่รถถัง ทหารยิว ก็ยิงใส่หัวจนเด็กหัวแบะ ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แล้วยังโจมตีทางอากาศจากเครื่องบิน และปืนใหญ่ โจมตีทางเรือจากแม่น้ำไนน์ เหมือนการปิดล้อมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวปาเลสไตน์ชัดๆ เพื่อบังคับให้คนปาเลสไตน์ 2 หมื่นคน ต้องอพยพออกไปจากดินแดนประเทศของเขาเอง

    จากภาพนี้คือสิ่งพิสูจน์ว่า สิ่งที่สื่อยิวไซออนิสต์ ที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลมะกัน และ EU หลอกลวงชาวโลกตลอดมานั้น คือ "การโกหกคำโต" เหมือนกับเหตุการณ์ 9/11 ที่ผ่านมา เพราะคนปาเลสไตน์ผู้ใหญ่ไม่ได้ใช้เด็กเป็นโล่มนุษย์ อย่างที่สื่อยิวไซออนนิสต์กล่าวหา แต่พวกเขาใช้เพียงตัวเปล่าที่มีแต่เสื้อผ้าและเนื้อ ไม่มีแม้แต่เสื้อเกราะ ค้อมตัวหลบระเบิด ปกป้องเด็กๆ ของเขาไว้ !!

    เขาไม่ได้ชูเด็กเหนือหัว เพื่อปกป้องตัวผู้ใหญ่เอง อย่างที่ยิว และมะกัน พยายามทำให้ชาวโลกเชื่อเช่นนั้น ผ่านสื่อของเขา แม้แต่คนมะกัน ใน EU หรือ คนที่อาศัยในอิสราเอล ก็จะถูกปกปิด ไม่ให้เห็นภาพข่าวแบบนี้ทางทีวี หนังสือพิมพ์ เพราะยิวไซออนิสต์จะบล็อคภาพแบบนี้หมดสิ้น พวกเขาพยายามสร้างความเชื่อของผู้คน เพื่อไม่ให้รับรู้ความจริงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ที่เกิดขึ้น

    หน่วยงาน UN , USIAD , ฮิวแมนไรท์วอช หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ไม่มีทางทำอะไรได้ นอกจากปิดปากเงียบ เพราะผู้บริหารองค์กรพวกนี้ ก็คือ ยิว ไซออนนิสต์ นั่นเอง นี่คือแผนการขยายดินแดนของยิวอีกรอบต่อจากสงคราม 6 วัน เพื่อรองรับคนยิวที่จะอพยพจากที่ต่างๆ เข้าไปอยู่อาศัยแทนคนปาเลสไตน์

    คนไทยจะต้องเรียนรู้จากอาหรับว่า การขาดความสามััคคี มันร้ายแรงเกินกว่าจะคาดคิดมากมายนัก มันอาจถึงกับทำให้ต่างชาติมาแทรกแซง จนคนเผ่าไทย ถูกยุแยงให้ฆ่ากันเอง กันเกิดสงครามกลางเมือง ประเทศแตกเป็นเสี่ยง แบ่งเป็นหลายประเทศ

    ที่ผ่านมายิวไซออนิสต์ มะกัน ได้แทรกแซงการเมืองของไทย โดยสร้างกลุ่มการเมืองที่เป็นหุ่นเชิดได้ คือ เผาไทย และหนุนกลุ่มติดอาวุธแดง นปช. , การ์ด อพปช., กลุ่มติดอาวุธ กวป. ,กลุ่มก่อการร้าย BRN จังหวัดชายแดนใต้ , จัดตั้งรัฐซ้อนรัฐหมู่บ้านเสื้อแดง , หนุนการแยกภาคเหนือและอีสานจากไทยเป็น สปป.ล้านนา

    หนุนอาวุธสงครามผ่านมาทางประเทศเพื่อนบ้านในสมัยเผาไทยครองอำนาจเป็นรัฐบาล เพื่อนำมาให้กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงพวกนี้ มาก่อสงครามกลางเมืองกับทหารไทย และกลุ่มพวกนี้ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว มีการเคลื่อนไหวกองกำลังลับๆ การสร้างข่าวลือ แถวภาคเหนือบน และภาคอีสาน

    มีการใช้แนวคิดไซออนิสต์ กดบริษัทการเมืองเล็กจนง่อยเปลี้ย แล้วซื้อ ส.ส.ควบรวมกิจการทางการเมือง บีบซื้อสื่อทีวี หนังสือพิมพ์ ให้กลุ่มทุนมาครอบงำการปกครอง ออกหรือแก้กฎหมาย เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนผูกขาด เหมือนกับไซออนิสต์ อเมริกา และ EU เป๊ะ

    ตอนนี้กลุ่มพวกนี้ก็ตั้งองค์กรวางแผง Sale ขายชาติชื่อ "เสรีเทย" แล้ว หลบภัยกฎหมายไทยไปอยู่ใต้ปีกมะกัน และ EU คนแดนไกลก็จะไปจัดงานวันเกิดตนเองปลายเดือน ก.ค.57 ที่ฝรั่งเศส บรรดาสมุนใกล้ชิดก็แหยงที่จะตามไป ปูเน่าที่จะโดน ปปช.ฟ้องสารพัดคดีต่อศาลอาญานักการเมือง ในเดือน ส.ค.57 ก็จะขอออกนอกประเทศไปก่อน เพื่อ หนีคดีตามคนแดนไกลไปฝรั่งเศส

    คนไทยต้องเห็นแก่เผ่าพันธ์ไทย มากกว่า อามิสสินจ้าง การโกหกคำโต เชื่อข่าวลือต่างๆ ที่ถูกสร้างอย่างเป็นระบบ มาจากแดงขายชาติ และ NGO สมุนทาสน้ำเงิน ยิวไซออนนิสต์ EU และมะกัน ที่ชอบสร้างข่าวให้ประชาชนสับสนในเรื่อง ตามวาระต่างชาติกำหนด อย่ายอมถูกยุแหย่ให้แตกแยกกันเหมือนชนชาติปาเลสไตน์

    รวมใจสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเสมอ จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ เชื่อใจในผู้นำยุค คสช. ที่กำลังเดินหน้า พาชาติออกไปจากหายนะภัย ใครแตกแถวไป ก็คอยตักเตือนกันเดินกลับเข้ามา ลูกหลานก็ต้องคอยเตือนพร่ำสอน ภัยร้ายแรงจากแดง นิวิชากำกวมล้มเจ้า และ NGO แฝงตัวขายชาติ

    นิยามความสามัคคีกัน มันจะส่งผลปรากฎ ให้เผ่าพันธ์เราพ้นภัยก็ตอนนี้แหละ !!


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  17. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    ยกตัวอย่างธุรกิจดังๆที่เป็นของชาวยิว เช่น Warner brothers ที่สร้างหนังในฮอลลีวูด Levie's jeans นี่ก็ใช่ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษนายโทนี่ แบลร์นี่ก็เป็นชาวยิว เจ้านายเก่าของคุณพ่อบ้านดิฉันก็เป็นยิว มีธุรกิจเดินสายไฟทั่วเมลเบิร์นเลยเมื่อก่อน ชาวยิวเค้ามีอิทธิพลในเศรษฐกิจโลกทุกอย่าง
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 15 ก.ค.57 ภาพที่รัฐบาลมะกัน และอิสราเอส จะไม่ให้ประชาชนตัวเองเห็น

    ในภาพแรก เด็กชายปาเลสไตน์อายุ 12 ปีทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและปล่อยโฮ เพราะครอบครัว และญาติเขารวม 18 ราย ตายเรียบจากการโจมตีทางอากาศ และรถถังของยิวอิสราเอล เขาตะโกนตลอดเวลาว่า "เขาจะต้องแก้แค้น" และสิ่งนี้มันจะฝังหัวเด็กอย่างเขา ให้ต้องจับอาวุธ แม้เพียงก้อนหินขึ้นมาสู้กับยิว

    ภาพถัดไปจะเห็นทหารยิวนอนเล่นเอกเขนกบนรถถัง โดยมีเพื่อนทหารกำลังยกลูกปืนใหญ่มาใส่ เพื่อระดมยิงใส่เด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ ภาพถัดไปจะเห็นทรากปรักหักพังของอาคาร รถ ยับเยิน และแน่นอนว่า ถ้าเด็กกำลังนอนในอาคารพลเรือนแห่งนี้ พวกเขาต้องตายแน่ๆ แล้วอาคารพลเรือนแบบนี้น่ะหรือ ที่เป็นเป้าหมายลูกปืนใหญ่ของยิว

    ภาพถัดไปคือเด็กน้อย 3 คน กำลังเล่นน้ำในอ่างอย่างไร้เดียงสา เพราะบ้านพวกเขาพังราบจนสิ้น และเด็กๆ แบบ 3 คนนี้แหละ คือ เป้าหมายทำลายของอาวุธยิว และรัฐบาลมะกัน

    ภาพแบบนี้พลเรือนมะกัน EU และ ยิว คงไม่มีโอกาสได้เห็นและรับรู้ เพราะไซออนิสต์ที่คุมสื่อหลักไว้ เช่น CNN , BBC ฯลฯ จะถูกห้ามนำเสนอทางทีวี และหนังสือพิมพ์ ให้ประชาชนทราบ เขาจะยอมให้เห็นเฉพาะอีกด้าน ในมุมของยิวต้องการแสดงเท่านั้น

    วันนี้สถานทูตฝรั่งเศสประจำไทย ทำพฤติกรรมเดียวกับทูตอเมริกา คือ จัดงานวันชาติ แล้วเชิญนักแสวงโชคทางการเมืองเผาไทย และแกนนำติดอาวุธแดง นปช.ไปงาน โดยไม่เชิญตัวแทนรัฐบาลไทย เรียกว่าเปิดหน้าแทรกแซงไทยแบบปาเลสไตน์เลย

    ผสานกับแกนนำเสรีเทย มือปืน 10 ล้านกระบอก ที่ลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่หนุนขบวนการล้มเจ้า ออกแถลงการณ์ให้ EU และมะกัน คว่ำบาตรทางการค้าไทย ให้คนไทยเดือดร้อนแสนสาหัสมากๆ เพื่อ จะได้เลือกเผาไทย เป็นรัฐบาลสมัยหน้าอีก

    เขาทำลายชาติไทยกันเป็นขบวนการ และเป็นระบบแบบนี้แหละ คนไทยเข้าใจหรือยังว่ากลุ่มไหน กำลังเป็นหนอนบ่อนใส้ ให้ฝรั่งเศส EU และอเมริกา มาแทรกแซงทำลายประเทศเรา ให้แตกเป็นเสี่ยง ก็เผาไทยนี่แหละ คือ นอมินีของตะวันตก ที่เขาส่งมายึดประเทศเรา

    สงครามกลางเมืองการสู้รบกันของคนไทย ก็จะถูกจุดชนวนโดยเผาไทย และแดง นปช.นี่เอง หาใช่ใครอื่นไกล เพราะพวกเขายอมขายชาติ และตกเป็นทาสฝรั่งตะวันตกไปเสียแล้ว

    และหากคนไทย ยังฝักไฝ่แดง และยอมเลือกให้เผาไทยกลับมาครองอำนาจสมัยหน้า อนาคตลูกๆ ของท่านก็จะมีชะตากรรมเดียวกับเด็กปาเลสไตน์พวกนี้แน่นอน

    ข้อมูลพวกนี้ภาคประชาชนต้องเรียนรู้กันเองจากบนลงสู่ชาวบ้าน จะรอแต่ทางรัฐบาลเฉพาะการนี้ ทำสารคดีบอก หรือ เดินสายตระเวณบอกประชาชนคงไม่เหมาะ เพราะมีหน้าที่อื่นๆ ของชาติรอให้ทำอีกมากมาย

    เพราะการรู้ความจริงแล้วบอกต่อๆ กัน คือการสื่อสารทางตรงที่ดีที่สุด


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 15 ก.ค.57 เผยโฉมหน้า กลุ่มติดอาวุธที่ยิวและมะกันถล่มตอนนี้

    ตอนนี้ไม่ว่าชาวโลก จะส่งเสียงห้ามปราม ขอร้อง ยิวอิสราเอล และ มะกัน อย่างไร แต่ 2 ชาตินี้ก็ไม่สนใจ ยังคงถล่มฉนวนการ์ซาที่มีดินแดนพื้นที่นิดเดียวราว 360 ตร.กม.ขนาดเท่าเขตรอบนอก กทม. 2 เขตรวมกันเท่านั้น

    แต่ยิวกับมะกันไม่ยินยอมให้เขาได้อยู่อาศัย ในประเทศเขาเอง บุกรุกข้ามพรมแดนประเทศปาเลสไตน์ ทั้งทางบก อากาศ เรือ ถล่มฉนวนการ์ซาไม่ยั้งทั้งวันทั้งคืนกว่า 1,350 จุด ลูกเด็กเล็กแดงตายกันเป็นเบือ ขีปนาวุธ และปืนใหญ่นานาชนิด หลายพันลูก ปิดล้อมพื้นที่ ประเคนใส่ชาวปาเลสไตน์แบบไม่ยั้งมือ ไม่สนว่าจะเป็นเด็ก หรือ ผู้ใหญ่

    จนคนแก่ ผู้หญิง ต้องหอบลูกจูงหลานหนีตายราว 2 หมื่นคน ออกจากที่อยู่อาศัยของตัวเอง ทั้งคราบน้ำตา และหยดเลือด เพราะพวกเขาไม่มีที่จะไปอีกแล้ว ยิวแย่งดินแดนเขาไปหมดแล้ว

    ที่ท่านกำลังเห็นภาพ คนแก่ ผู้หญิงเดินอพยพ พี่อุ้มน้องขึ้นสะเอว และถือกระเป๋าใส่ขนม นมของน้อง นี่แหละคือนักรบฮามาส ที่ยิว และมะกัน กล่าวถึงว่าน่ากลัวหนักหนาล่ะ

    พวกเขาน่ากลัวเพราะมีอัตราการเพิ่มของประชาสูงมากเป็นอันดับ 7 ของโลก ขืนปล่อยไว้นานจำนวนจะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นยิว กับ มะกัน ต้องสร้างฉากสงคราม สารพัดอ้าง เพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชนปาเลสไตน์ แล้วขับออกจากดินแดนแห่งนี้

    ยิวจะได้มายึดสร้างที่อยู่อาศัย สนามกอฟมะกัน และโรงแรมหรูหรา รองรับคนยิวจากทั่วโลก ที่จะย้ายมาอยู่เพิ่ม..เดี๋ยวนี้ยิวไซออนิสต์ และรัฐบาลมะกัน มีศัตรูเป็นกลุ่มติดอาวุธใหม่แล้ว..อาวุธร้ายแรงนั้นคือ "ขวดนม" นั่นเอง


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 15 ก.ค.57 หัวเราะก๊ากทั้งโลก เมื่อแดงโชว์ทุยหลอกพวกเดียวกันเอง

    ในสื่อออนไลน์นำสิ่งที่ทุยแดง หลอกเสื้อแดงพวกเดียวกันเอง ว่าปูเน่าบินไปแสดงความยินดีกับนายกฯ เยอรมันที่ได้แชมป์บอลโลก 2014 แต่แท้จริงคือภาพเก่าปี 55 สมัยเพิ่งหลอกต้มประชาชนไทยให้เลือกมา และเป็นนายกฯ ไม่ใช่ภาพปัจจุบัน

    ในเพจนี้สร้างความวี๊ดว้าย กระตู้ฮู ดีใจปานได้หญ้าอ่อน ยามหลังฝนตก เม้นท์กันเฟสแทบแตก เมื่อเสื้อแดงเชื่ออะไรกันง่ายๆ จากข่าวลือแบบนี้แหละ โดยไม่พิจารณาว่ามันเป็นไปไม่ได้

    ที่ผ่านมา การปล่อยข่าวลือจากเพจแดง จะเกิดขึ้นตลอดมา เพื่อหล่อเลี้ยงความเพ้อฝันเสื้อแดง ให้จมปลักอยู่กับความหวังลมแล้งๆ และมีการปล่อยข่าวอีกว่าคนแดนไกล ไปแสดงความยินดีถ่ายรูปกับทีมเยอรมันด้วย เพียงเพื่อจะเกาะกระแสไปกับฟุตบอลเท่านั้น ถึงกับหลอกลวงพวกเดียวกันเอง และคิดว่าคนเสื้อแดงหลอกง่ายทุกกรณี

    ตอนนี้คนเสื้อแดงจำนวนมากเขาหู ตา สว่างแล้ว เลิกกินหญ้า หันมาบริโภคไก่ย่างวิเชียรบุรี และยิ่งมีการจับคนยิง M79 ใส่เด็กตามจุดต่างๆ และผู้ต้องหาสารภาพ เลยทำให้คนเสื้อแดงเขาทนให้ทุยแดงหลอกลวง ต้มต่อไปไม่ไหวแล้ว

    จะสร้างข่าวลือเอาฮากันปายถึงหนาย เออ..ว่าแต่วันก่อนมีคนส่องกล้องไปเห็นคนแดนไกล และแกนนำเสรีเทย นัด ไปพบมนุษย์ต่างดาวที่ดวงจันทร์ และติดสินบนให้เอาจานบินมาถล่มไทย..รวมทั้งให้ดาวดวงนั้นบอยคอตสินค้าไทยด้วย..อันนี้คงจะจริง..ฮา


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน1
    https://www.facebook.com/thailandcoup
     

แชร์หน้านี้

Loading...