ประสบการณ์มโนมยิทธิ กรรม และเรื่องยุ่งๆของผม

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย softkid9, 18 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    อนุโมทนาครับ ถ้าที่กรุงเทพ สามารถฝึกได้ที่บ้านซอยสายลมเลยครับ โดยจะมีการฝึกกรรมฐานมโนมยิทธิและญาณ๘ ทุกๆเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนนะครับ โดยหลวงพ่ออนันต์ ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ปัจจุบันจะลงมารับสังฆทานด้วยครับ

    สำหรับผู้ฝึกใหม่ให้เตรียมตัวโดยการลองจับคำภาวนาว่า "นะมะ พะธะ" ก่อนนะครับ และ พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุด (การมาฝึกไม่จำเป็นต้องชุดขาวนะครับ) และเตรียมเงินค่าครูหนึ่งสลึงขึ้นไป พร้อมกับดอกไม้สามสีและธูปเทียน ซึ่งตรงนี้ที่บ้านจะมีจัดเตรียมไวัให้ครับ เพียงแค่บอกเค้าว่าเป็นผู้ใหม่มาฝึกมโนมยิทธิครับ

    รายละเอียดลองคลิกเข้าไปดูได้เลยครับ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1639
     
  2. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    ใช่ครับ บ้านซอยสายลมนั้นนับได้ว่าเป็นสถานที่ฝึกมโนมยิทธิสำหรับผู้ที่อยู่กรุงเทพของวัดท่าซุง ซึ่งธรรมเนียมในการฝึกมโนมยิทธิและทำบุญสังฆทานและบาตรวิระทะโยช่วงต้นเดือนนั้นทำกันมาตั้งแต่
    หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2014
  3. wat2510

    wat2510 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +634
    ขอบพระคุณมากๆเลยครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีบุญพอที่จะได้เป็นลูกหลานหลวงพ่อท่านหรือเปล่า แต่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของหลวงพ่อเมื่อยี่สิบปีมาแล้วครับ ตอนนี้ตัวผมเองอยู่ที่โก-ลก จ.นราธิวาสครับ เมื่อคืนผมก็ลองทดสอบใจโดยการสวดอิติปิโสร้อยแปดจบ ยอมรับว่ากายสเทือนตอนใกล้จะถึงร้อยแปดจบ รุ่งเช้าก็ไปช่วยเค้ากวนข้าวทิพย์ที่วัดครับคนที่บ้านเค้าอยากไปฝึกมโนมยิทธิครับ สมเด็จองค์ปฐมที่ผมบูชามาครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [FONT=&quot]การรับศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน[/FONT]

    [FONT=&quot]ทุกคนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์คือ[/FONT]

    [FONT=&quot]
    1.ศิษย์ชั้น 3 พยายามรักษาศีล 5 เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น 3 คือศิษย์ขนาดจิ๋ว[/FONT]

    [FONT=&quot]
    2.ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง[/FONT]

    [FONT=&quot]
    3.ศิษย์เอก มีปฏิปทาดังนี้[/FONT]

    [FONT=&quot]3.1 รักษาศีล 5 ครบถ้วนเป็นปกติ[/FONT]
    [FONT=&quot]3.2 เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    ถ้า ปฏิบัติได้ตามที่กล่าวนี้ มาพบหรือไม่มาพบ ขออนุญาตเป็นศิษย์หรือไม่ขออนุญาตก็ตาม ถ้าคิดว่าอยากจะเป็นศิษย์ ให้ทราบว่า อาตมารับเป็นศิษย์แล้วด้วยความเต็มใจ
    [/FONT]


    [FONT=&quot]พระสุธรรมยานเถระ 25 ธ.ค.2527 (สมณศักดิ์ในขณะนั้น)[/FONT]
    [FONT=&quot]จากหนังสือประวัติครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานเคารพนับถือ[/FONT]
     
  5. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มไหนของหลวงพ่อฤาษีท่าน ต้องขออภัยไว้ก่อนว่ายังหาหนังสืออ้างอิงไม่ได้ กล่าวถึงทศชาติของสมเด็จองค์ปัจจุบันในชาติที่เสวยพระชาติเป็นพระสุวรรณสาม (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) แบ่งทรัพย์ไว้ 4 ส่วนดังนี้

    1. ใช้หนี้เก่า คือการเลี้ยงดูพ่อแม่และท่านผู้มีพระคุณต่อเราซึ่งพ่อแม่คือผู้ให้ชีวิตเรา ดังนั้นการเลี้ยงดูและกตัญญูต่อท่านเปรียบเหมือนการใช้หนี้เก่า จากประสบการณ์จริงของผม ผู้ที่กตัญญูต่อพ่อแม่นั้นมีแต่ความเจริญ ทำมาหากินก็มีความคล่องตัวครับ

    2. ให้เขากู้ คือการเลี้ยงดู ส่งเสียลูกหลานให้ได้เรียนหนังสือ สร้างโอกาสทางสังคมเพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิต ในบั้นปลายจะได้พึ่งพาอาศัย

    3. ทิ้งลงเหว คือการใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่ในชีวิตประจำวัน เปรียบเหมือนการทิ้งลงเหวเพราะกินไปก็ใช้ไปหมดไป

    4. ฝังดินไว้ คือการทำบุญกุศลในพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนการฝังทรัพย์ไว้ในดินเพื่อกินใช้ในภายภาคหน้า


    รูปปูนปั้นพระสุวรรณสามในวัดมกุฎกษัตริยาราม

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2014
  6. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]

    อจินไตยมี 4 อย่างคือ

    1. พุทธวิสัย
    2. ฌานวิสัย
    3. กรรมวิสัย
    4. โลกวิสัย


    วันนี้ว่าจะเล่าเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้ ในสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ซึ่งเรียกได้ว่ามีก่อนคริสตกาล ซึ่งในขณะนั้นทางโลกฝั่งตะวันตกยังเชื่อกันว่าโลกแบน ซึ่งเป็น 1 ใน 4 อจินไตย คือ
    รู้ไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ เสียสมองเปล่า ๆ ใช้อะไรไม่ได้ ไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงคิดไม่ควรและไม่อาจรู้ได้ด้วยคิด และถ้าขืนคิดให้รู้ให้ได้ก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความเครียดเสียสติ

    แต่ที่ผมจะเอ่ยถึงคือสิ่งที่มีผู้สงสัยและทูลถามพระพุทธองค์ ถ้าสิ่งใดไม่มีประโยชน์ พระพุทธองค์จะไม่ทรงตอบ แต่ถ้าพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าการตอบนั้นจะมีประโยชน์ จึงจะทรงตรัสอธิบายไว้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ดูกรมาลุงกยบุตร (พระภิกษุในสมัยพุทธกาล) ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น

    1.โลกเปรียบเหมือนผลมะขามป้อม สมัยนั้นเป็นยุคของปราชญ์เพลโต
    ซึ่งคนสมัยนั้นยังเชื่อว่าโลกแบน

    2.การกำเนิดของมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า“เมื่อใดมารดาบิดารร่วมกัน1(มีความสัมพันธ์ทางเพศ) มารดาอยู่ในฤดู1(ระยะเวลาไข่สุก) และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่แล้ว1 (มีวิญญาณเข้าไปปฏิสนธิแล้ว) เพราะประชุมองค์ประกอบ 3 ประการอย่างนี้ ก็มีการก้าวลงแห่งครรภ์” เมื่อทรงถูกถามต่อว่าทารกในครรภ์นั้นมีรูปร่างอย่างไร รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา) ต่อจากนั้นมีผม ขน และเล็บเกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดาก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น ผู้ที่เรียนทางสายแพทย์นั้น เมื่อได้อ่านพระสูตรนี้จะรู้สึกแปลกประหลาดใจมาก เพราะตรงกับหลักพัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาอย่างเหลือเชื่อ เพียงแต่คำศัพท์ที่ใช้ เช่น กลละ อัพพุทะ เปสิ ฆนะ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่สามารถเทียบเคียงทางชีวะได้ ซึ่งการปฏิสนธินั้นเพิ่งจะมาทราบการพัฒนาการของทารกในครรภ์เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีมานี้เอง

    3.เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนยังเชื่อกันว่าอะตอมหรือปรมาณูนั้นคือก้อนกลมตันที่อยู่นิ่งๆเหมือนลูกบิลเลียด แต่พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่าภายในปรมาณูนั้นมีช่องว่างอยู่เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อ ค.ศ.1910 นี้เอง

    4.พระพุทธองค์ทรงตรัสอธิบายไว้ใน อัคคัญญสูตร,สุริยสูตร,จูฬนีสูตร ว่าจักรวาลมี

    สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล)
    ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ (โลกธาตุกลางมีล้านจักรวาล)
    ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ (โลกธาตุใหญ่มีแสนโกฏิจักรวาล)

    “ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรไปร่วมกัน ดาราจักรมี 3 ขนาด คือ ดาราจักรอย่างเล็กมีจำนวนนับพัน ดาราจักรอย่างกลางมีจำนวนนับล้าน ดาราจักรอย่างใหญ่มีจำนวนแสนโกฏิ และดาราจักรเหล่านี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับในที่สุด”
    เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่ในสมัยพุทธกาล ซึ่งคนกว่าครึ่งโลกยังเชื่อว่าโลกแบน ถ้าเดินเรือไปจนสุดโลก จะตกจากโลกไป ยังจินตนาการถึงจักรวาลแบบ 3 มิติไม่ออก แต่พระพุทธองค์ทรงอธิบายถึงลักษณะจักรวาลได้ใกล้เคียงกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์และดูเหมือนจะล้ำหน้าไปเสียอีก ด้วยการบอกว่าจักรวาลไม่ได้มีจักรวาลเพียงหนึ่งเดียว

    5.สัตตสุริยสูตรอธิบายถึงวันสิ้นโลกว่าจะถูกพระอาทิตย์ที่เกิดขึ้น 7 ดวงกลืนกิน ในทางวิทยาศาสตร์นั้น ดวงดาวในสุริยะจักรวาลมีไฮโดรเจนอยู่ในชั้นบรรยากาศมาก มีองค์ประกอบคล้ายๆกับดวงอาทิตย์ เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ใกล้หมดพลังงานจะขยายใหญ่ขึ้น อุณหภูมิของสุริยะจักรวาลสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไฮโดรเจนเกิดปฏิกิริยาติดไฟและเป็นการเริ่มต้นของปฏิกิริยาฟิวชั่นได้เอง ดาวที่มีลักษณะดังกล่าวนั้นเช่นดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูนเป็นต้น

    [​IMG]

    แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ตถาคตทราบดีทุกเรื่องที่ท่านถาม รู้ลึกซึ้งกว่าที่ท่านอยากจะรู้...แต่ว่าท่านอยากจะรู้ไปทำไม ในเมื่อท่านรู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์มรรคผลใด ๆ ...เพราะมันมิใช่วิถีทางแห่งการดับอาสวะกิเลส เพื่อทำให้สิ้นทุกข์...ทุกเรื่องล้วนเป็นอจิณไตย คือท่านรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์...หากท่านอยากรู้ จงเร่งปฏิบัติให้สิ้นอาสวะกิเลสในตนเถิด แล้วท่านจะสามารถรู้ได้เอง

    สาธุสวัสดีทุกท่านครับ ไม่อยู่สองสามวัน กลับบ้านไปทำบุญกับแม่ ไว้เจอกันใหม่อาทิตย์หน้านะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2014
  7. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    เรื่องอจินไตย ผมเคยไปโต้วาทะกับพวกมิจฉาทิฏฐิอยู่ครั้งหนึ่ง พวกนั้นมีความเห็นว่าเรื่องจักรวาลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นเรื่องโม้ เขาพระสุเมรุไม่มีจริง ปฏิเสธกระทั่งการมีอยู่ของนรกสวรรค์ นี่ถ้าจัดอยู่ในทิฏฐิ ๖๒ แก๊งนั้นก็อยู่ในจำพวกนั้นเยอะมาก แก๊งนั้นมักจะโจมตีความไม่น่าเชื่อถือของพระไตรปิฎกบ้าง เป็นเรื่องหลอกเด็กบ้าง พอผมบอกว่าอยากรู้อะไรก็พิสูจน์ไปสิ วิธีการ ขั้นตอน อะไรทุกอย่างพระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้ว เขาก็พูดมาประมาณว่า คุณเป็นศาสนิกคุณก็พิสูจน์ให้พวกเราเห็นสิ พวกเราเป็นอศาสนิก ผมเลยไม่โต้เถียง เพราะพื้นฐานมันไม่เหมือนกัน แก๊งนั้นยอมรับนับถือวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ยอมรับการมีอยู่ของประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แต่ในทางพุทธศาสตร์มีเพิ่มมาอีก ๑ คือ จิต เมื่อเขาปฏิเสธการมีอยู่ของจิต ผมเลยเลิกเถียง เพราะผมเอาอะไรไปพูดเขาก็ไม่ยอมรับฟัง จะให้ผมไปพิสูจน์ให้เขาเห็นประจักษ์กับสายตา ผมก็บอกไปว่าใครทำใครก็ได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ ต่อให้ผมพิสูจน์จนประจักษ์จริงกับประสาททั้ง ๕ ของเขาเหล่านั้น แต่หากเขาไม่ยอมรับการมีอยู่ ก็ป่วยการจะไปพิสูจน์อะไร ผมเลยหยุดโต้ ขี้เกียจไปโต้กับมิจฉาทิฏฐิ มาโต้คารมกับกิเลสในตัวดีกว่า เกมชีวิตมองอะไรสั้นๆไม่ได้ วัฏฏะสงสารนี่ยาวไกล กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่รู้ต้องเกิดเป็นอะไรมาหลายภพแสนชาติ แล้วกว่าจะได้มาพบพระพุทธศาสนา ก็ยากแสนลำบาก แต่ก็อย่างว่า บารมีเขาไม่ได้ทำมาในด้านนี้ เขาคงต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกไม่รู้เท่าไหร่กว่าที่เขาจะประจักษ์จริงว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นความจริงที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ มันคือความจริง ผมก็ได้แต่มาย้ำเตือนตัวเองล่ะครับ ถ้ายังไม่ถึงพระโพธิญาณเท่าใดก็ขออย่าให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ สวดมนต์อธิษฐานทุกครั้งขอให้เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นผู้ที่มั่นคงในพระรัตนตรัยตลอดไปจนกว่าจะถึงพระโพธิญาณ จะยากดีมีจนยังไงก็ช่างถ้าเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วละก็ เจ๊งอย่างเดียวเลยครับ

    มาเล่าประสบการณ์ไปฝึกมโนมยิทธิเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานะครับ วันเสาร์ผมไปฝึกขั้นเริ่มต้น ฝึกห้องที่ ๒ นะครับถ้าจำไม่ผิด อาจารย์ที่ฝึกท่านใจดีมาก ท่านพูดไปผมก็ทำใจให้คล้อยตามไปกับกับพูดของท่าน ท่านพาพิจารณาร่างกายผมก็พิจารณา ตอนพิจารณาถึงความตายผมมองเห็นตัวเองนอนตัวแข็งทื่อซีดเซียวอยู่ในโลงศพซึ่งเขาเตรียมจะเผา แล้วมาถึงช่วงที่อธิษฐานขอเจอท่านแม่ในอดีตชาติ ผมเจอท่านแม่เยอะมากเลยครับ นับไม่ถ้วน อาจารย์ให้อธิษฐานขอพบท่านแม่ที่มีความสำคัญกับเรามากที่สุด ท่านแม่ท่านก็มายืนด้านหน้า ของผมเจอ ๒ ท่านครับ ผมถึงกับคุกเข่ากอดท่านไว้ ท่านก็ลูบหัว ท่านแม่ที่มาปรากฎให้ผมเห็นท่านแต่งกายคล้ายกับท่านแม่ศรีระจิต คือท่านไม่ได้สวมชฎายอดแหลม แต่สวมคล้ายๆเป็นมงกุฏดอกไม้ แต่มงกุฏทำจากโลหะมีค่าอ่ะครับ และมีท่านแม่อีกท่านลักษณะคล้ายๆกัน แล้วตอนอธิษฐานขอพบท่านแม่ที่สำคัญกับเรามาก ผมเจอแม่ในชาติปัจจุบันของผมด้วย เห็นแวบเดียว แต่แม่คนปัจจุบันของผมท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ จากนั้นอาจารย์ก็ให้อธิษฐานขอเจอท่านพ่อบ้าง ท่านพ่อท่านก็มาครับแต่ไม่เยอะเท่าท่านแม่ แล้วก็ให้อธิษฐานขอเจอท่านพ่อที่มีความสำคัญกับเราท่านพ่อที่ผมเจอท่านสวมมงกุฏยอดแหลม ถือพระขรรค์มาด้วย ตัวท่านจะออกเขียวขี้ม้า ผมก็คุกเข่ากอดท่าน จากนั้นอาจารย์ก็พาขอขมา(ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ)

    แล้วอาจารย์ก็ให้พุงจิตด้วยการขอบารมีพระมายังที่พระจุฬามณี มาถึงพระจุฬามณีที่ผมเห็นทรงเจดีย์จะคล้ายๆกับเจดีย์ศิลปะของทางภาคเหนือ มีนายทวารบาลเฝ้าประตู ๒ คน ผมก็ขออนุญาตท่านเข้าไป เข้าไปด้านในเจอพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่มาก ผมเห็นแค่หัวเข่าของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง คือพระแท่นที่พระท่านประทับนั่งสูงท่วมหัวผมมาก แล้วผมก็เห็นพระพุทธเจ้าองค์เล็กๆลอยอยู่รอบพระองค์ใหญ่ แล้วเห็นสมเด็จองค์ปัจจุบันอยู่ทางด้านขวามือ เจอหลวงพ่อฤาษี กับหลวงพ่อปานอยู่ด้านในด้วย แล้วอาจารย์ถามว่าด้านซ้ายกับด้านขวา ด้านไหนรัศมีกายสว่างกว่ากัน ท่านอื่นตอบด้านซ้าย แต่ผมเห็นรัศมีหลวงพ่อปานครับ กับด้านขวาเป็นรัศมีของหลวงพ่อฤาษี อาจารย์เฉลยว่าด้านซ้ายเป็นพรหม ด้านขวาเป็นเทวดา คือผมไม่เห็นพรหมกับเทวดาในพระจุฬามณีเลยแม้แต่องค์เดียว เจอแต่พระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ที่ประทับนั่งเป็นประธานกับพระพุทธเจ้าองค์เล็กๆ ที่ลอยอยู่เต็มในพระจุฬามณี และสมเด็จองค์ปัจจุบันที่ประทับนั่งด้านซ้ายพระวรกายของพระองค์ใหญ่มากเท่าๆกับพระหน้าตัก ๔ศอกครับ

    แล้วอาจารย์พามาด้านนอกพระจุฬามณีอธิษฐานขอพบพระอริยเจ้า ผมเห็นพระอริยเจ้านั่งเป็นระเบียบไกลสุดลูกหูลูกตา จากนั้นก็อธิษฐานขอบารมีพระพาไปยังวิมานของท่านปู่พระอินทร์ ช่วงพุ่งจิตไปผมก็จูงมือท่านพ่อท่านแม่ มีพระปางมารวิชัยอยู่บนศรีษะกับพระปางลีลาที่พระองค์ท่านทรงพาไป ไปถึงวิมานของท่านปู่พระอินทร์เจอกับแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ใหญ่โตมากเลยครับ แล้วก็อธิษฐานขอเจอท่านปู่พระอินทร์ ท่านก็ทรงประทับนั่งและนมัสการพระพุทธเจ้าที่พาผมมาที่วิมานของท่าน เจอท่านย่า อาจารย์ก็ให้ดูเครื่องแต่งกาย ผมเห็นเป็นสีขาวแบบแก้วทึบ จากนั้นก็กราบท่านปู่พระอินทร์แล้วอาจารย์ก็ให้อธิษฐานพุ่งจิตไปยังวิมานของสมเด็จองค์ปัจจุบัน ใกล้ๆกันนั้นผมก็เจอวิมานของหลวงพ่อฤาษี ท่านยืนถือไม้เท้าอยู่ แล้วผมก็เข้าไปกราบสมเด็จองค์ปัจจุบัน ทีแรกเห็นเป็นพระองค์ธรรมดา แต่พออธิษฐานให้พระองค์ทรงแสดงพระวรกายแบบอยู่ในพระนิพพาน ผมก็เห็นพระองค์ทรงเครื่องพระนิพพานทั้งหมด จากนั้นก็กราบ สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านลูบหัวผม แล้วอาจารย์ก็ให้อธิษฐานไปยังวิมานของตัวเอง วิมานของผมเล็กครับ ลักษณะเป็นแบบบ้านเป็นศิลปะไทยผสมจีน พอเข้าไปยังวิมาน อาจารย์ให้กลิ้งไปกลิ้งมาบนแท่น แล้วพาไปชมดอกไม้ สระน้ำ

    ลงเล่นน้ำได้แปบเดียว สัญญาณการฝึกสิ้นสุดลง อาจารย์พาอุทิศส่วนกุศลตามหลวงพ่อ ผมก็ตั้งจิตมานั่งในวิมานของตัวเอง อทิสมานกายผมนั่งคุกเข่าต่อหน้าพระซึ่งฉลองพระองค์ตามสภาพพระนิพพาน แล้วผมก็กล่าวคำอุทิศตามหลวงพ่อ พระท่านยกมือประนม จนจบแล้วออกมาด้านนอก ผมรู้สึกว่าเจอท่านพระยายมราช ตัวท่านสูงมากเลยครับ ผมต้องเงยหน้ามองท่าน แล้วอาจารย์ก็พาฝึกต่อ พาไปลงเล่นนำ ชมดอกไม้ แล้วก็อธิษฐานไปที่วิมานของตัวเองในพระนิพพาน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมอธิษฐานพระโพธิญาณด้วย กลับไปเจอวิมานของตัวเองสูงใหญ่มาก แล้วไปกราบลาสมเด็จองค์ปัจจุบัน ลาหลวงพ่อ ลงมาลาท่านปู่ท่านย่า ไปกราบลาพระที่จุฬามณี ตอนกราบลาอาจารย์ให้แยกอทิสมานกาย ผมก็แยกไปกราบลาพระ กราบลาพระอริยเจ้า เทวดา พรหมทั้งหมด เยอะมากเลยครับ ตอนอาจารย์เลิกฝึก จิตผมแทบจะไม่อยากลงมาเลยครับ ค้างอยู่ที่พระจุฬามณีอยู่หลายวินาทีแล้วกำหนดจิตมาที่ร่างกาย จบการฝึกครับ แล้วอาจารย์ก็แนะนำว่า ถ้าได้ห้องนี้แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปฝึกห้องญาณ ๘

    วันถัดมาผมก็ไปฝึกห้องญาณ ๘ ไปเร็วมากเลยครับ อาจารย์พาไปที่พระนิพพานแล้วผมยังนั่งแกร่วอยู่กับที่จากนั้นก็พุ่งจิตตามไป ส่วนใหญ่ตามไม่ค่อยทัน ถ้ามีสัก ๑๐ คะแนน ผมคงได้สัก ๒ คะแนน แต่ละท่านที่ตอบได้นี่ขั้นเทพทั้งนั้นเลยครับ ผมนี่ตามไปแบบตะกุกตะกัก แต่ก็ดีครับถือว่าเป็นการไปชิมลางไว้ก่อนต้นเดือนหน้าถ้ามีผิดพลาดอะไรผมก็คงจะไปฝึกอีก
     
  8. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ อนุโมทนาความดีของพี่เก่ง น้องต๋อง น้องกฤษณ์ และทุกๆท่านด้วยนะคะ... (good)

    เนื่องจากวันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ทางวัดท่าซุงมีการจัดงานทำบุญวันเข้าพรรรษา, ทำบุญฉลองชัยชนะพระเจ้าพรหมมหาราช,พิธีอัญเชิญระฆังและยกฉัตรที่หอระฆัง หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ จึงถือโอกาสมาเล่าประสบการณ์เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับพระเจ้าพรหมมหาราชค่ะ rat_wting


    [​IMG]

    พระเจ้าพรหมมหาราช วัดท่าซุง ขอบคุณรูปภาพจาก เพจมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ในเฟซบุ๊ค


    ก่อนอื่นต้องบอกว่า เมื่อได้อ่านเรื่องการไปวัดท่าซุงครั้งแรกของพี่เก่งแล้ว โดนมากๆค่ะ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบชัดเจนและแปลกมาก สำหรับตัวเฟมเองก็มีเรื่องเล่าเล็กๆน้อยๆซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองก่อนที่จะได้มาพบกับหลวงพ่อเหมือนกันค่ะ เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อวัยเด็กกล่าวคือ โดยปกติคุณแม่จะเป็นคนที่ชอบสวดมนต์มากตั้งแต่สมัยสาวๆ และเป็นคนที่ชอบทำบุญมาก เวลาทำบุญมักจะซื้อของที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อทำบุญเสมอๆ และด้วยเหตุนี้เองเวลาที่คุณแม่ขึ้นไปสวดมนต์ไหว้พระ เฟมและน้องๆก็มักจะตามขึ้นไปสวดมนต์ด้วย จนเมื่อโตขึ้นมาหน่อย คุณแม่ก็จะมอบหมายให้เรานำข้าวพระขึ้นไปถวาย และด้วยความที่เฟมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้วันหนึ่งไปหยิบเจอหนังสือประวัติพระเจ้าพรหมมหาราชเข้าโดยบังเอิญ


    [​IMG]


    ตอนที่นั่งอ่านนั้นรู้สึกสนุกมาก เกิดปีติขนลุกซู่ซ่าค่อนข้างแรงและบ่อยครั้งตลอดเวลาที่อ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ตอนนั้นเฟมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร เนื่องจากยังเด็กอยู่มาก จนเมื่ออายุประมาณ10 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ได้รับคำแนะนำให้ไปหาคนทรงพระเจ้าพรหมมหาราช ซึ่งเฟมก็มีโอกาสไปยังสถานที่นั้นด้วย แต่เนื่องจากเป็นเด็กคุณพ่อคุณแม่เลยให้ไปเล่นกับน้องๆในพื้นที่รอบๆบริเวณนั้น จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเฟมมีโอกาสแอบเดินไปแถวๆนั้น จนได้พบกับคนที่กำลังทรงพระเจ้าพรหมมหาราชอยู่ ในใจก็รู้สึกปีติและคิดในใจว่าเราเป็นทหารของท่าน อยากให้ท่านทักทายเรา อะไรทำนองนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ อิอิ

    จนสุดท้ายมาเจอกับหลวงพ่อ จึงได้รู้ว่าตัวเองน่าจะเคยมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าพรหมมหาราชแหงๆเลย

    ปล. เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัจจัตตังอันสัมผัสได้เฉพาะตัว ดังนั้นจึงขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ อ่านแล้วก็ขอให้เก็บเกี่ยวแต่ผลประโยชน์ที่จะได้ในทางธรรม เพื่อจุดมุ่งหมายให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันค่ะ แต่สำหรับท่านอื่นๆที่อาจจะเป็นบุคคลทั่วๆไปที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อ ก็ขอให้ถือซะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวบันเทิงธรรมอีกเรื่องหนึ่ง และได้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นลักษณะของประสบการณ์เฉพาะตัวอันพิสูจน์ได้ยาก(ต้องสัมผัสเองจึงจะรู้) จึงสามารถกลายเป็นช่องโหว่ให้มีผู้ที่ไม่หวังดีนำเอาศรัทธาความเชื่อต่างๆเหล่านี้มาแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์จากท่านได้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2014
  9. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    อนุโมทนาค้าบพี่เฟม พี่ต๋อง และ พี่เก่งนะครับ

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    วันนี้ก่อนการเจริญพระกรรมฐานได้เกิดความสงสัยว่าวิหารร้อยเมตรที่วัดท่าซุงนั้น เหมือนกับวิมานขององค์สมเด็จพระมหามุนีบนพระนิพพานหรือไม ที่เกิดความสงสัยเพราะเมื่อวันศุกร์ที่ผานมาผมพิ่งได้ไปสักการะสรีระหลวงพ่อที่วัดท่าซุงมาครับ พอออกมาก็เห็นว่าตัววิหารนั้นมีความยาวและสวยสดงดงามมาก เพราะทุกๆครั้งที่ขึ้นไปไม่เคยสังเกตุวิมานของท่านจริงๆจังเลยครับ แหะๆ วันนี้เลยอยากจะลองพิสูจน์ดูว่าเหมือนมากน้อยเพียงใด พอจิตเริ่มเข้าสู่สมาธิก็ขอบารมีพระไปที่พระจุฬามุณีเจดีย์สถานเสียก่อน แล้วจึงไปที่วิมานของท่านบนพระนิพพาน ขอบารมีท่านชมวิมานแบบชัดๆ ผลปรากฎว่า ภาพที่เห็นนั้นมีความงดงามและเหมือนกับวิหารร้อยเมตรที่วัดท่าซุงแบบถอดแบบกันมาเลยทีเดียว แตข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ข้างบนนี้เงียบสงบ สัปปายะมาก ต่างจากมหาวิหารร้อยเมตรที่วัด และที่สำคัญคือ ผมไม่ต้องออกแรงเดินเลย ใช้จิตเคลื่อนเข้าไปเรื่อยๆจนถึงองค์สมเด็จท่าน วันนี้ได้กราบท่านและถวายมาลัยแก้วและดอกไม้แก้วแด่ท่าน วันนี้เห็นมีพานแก้วมารองรับด้วยครับ แล้วจึงถวายท่าน และได้กราบลาท่านไปที่วิมานของตัวเอง หลังจากนั่งๆนอนๆได้สักพักจึงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องครูบาอาจารย์ในอดีตชาติ อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังครับว่า ผมเจอครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งตามผมกลับมาที่บ้านด้วยจากวัดแขกสีลม(วัดพระศรีมหาอุมาเทวี) เพื่อปฎิบัติธรรมต่อ เพราะ ที่นั้นมันวุ่นวายมาก ท่านปฎิบัติธรรมไม่ได้ จริงๆแล้วนึกสงสัยมานานพอสมควรแล้วครับว่า ท่านกับผมเคยเกี่ยวข้องกันอย่างไร วันนี้คงถึงเวลาที่ผมจะได้รู้แล้วกระมังครับ ผมจึงขอบารมีพระและบารมีของหลวงปู่ปาน และ บารมีของหลวงพ่อให้นำพาท่านขึ้นมา พอเจอท่าน ท่านก็ยิ้ม ท่านเป็นฤาษีชีปะขาวครับ ตามลักษณะที่ผมได้ทราบมาตั้งแต่แรก ผมจึงกราบท่าน และ ทูลถามท่านว่า ท่านเคยเป็นครูบาอาจารย์ของผม ท่านเคยสอนมโนมยิทธิกระผมมาในชาติปางก่อนใช่หรือไม่ขอรับ ท่านก็ยิ้มแล้วตรัสตอบว่า "จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ ณ เวลานั้นยังไม่ได้ใช้คำนี้ ข้าเคยสอนญาณ๘ ให้เจ้าในอดีต ในตอนนั้นทิพจักขุญาณของเจ้าแจ่มใสมาก" ผมจึงทูลถามท่านต่อว่า ที่ใดและระยะเวลานานเพียงใดแล้ว ท่านก็ตอบว่า "สามร้อยปีที่แล้ว ณ ดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้แหละ" หลังจากนั้นผมจึงกราบลาท่านและกราบลาพระและเคลื่อนจิตกลับมาณมนุษยภูมิครับ

    สุดท้ายนี้ก็ขอปิดท้ายด้วยคำพูดของพี่เฟมครับ

     
  10. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    เมื่อสมัยก่อนตอนผมอายุซัก 12-13 ผมเคยอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง กล่าวถึงการเป็นอมตะโดยการนำเหล็กไหลชั้นหนึ่ง เช่นวรรณะสีเขียวปีกแมลงทับ มาแช่กับน้ำยาโดยใช้เหล็กไหลน้ำหนึ่งหนัก 4 บาท นำเหล็กไหลมาผ่านการแช่น้ำยาแล้วกำกับด้วยคาถา แล้วดื่มลงไปจะกลายเป็นอมตะ ไม่แก่ไม่ตาย อยู่ไปตลอดสมัย ผมก็พวกชอบของวิเศษ ดาบ กระบี่กระบอง คาถาหายตัวอะไรพวกนี้ซะด้วย ก็ติดใจอยู่พักใหญ่ละครับ แต่พอตอนนี้ที่รู้จักธรรมะที่หลวงพ่อขยายความธรรมะของพระพุทธองค์แล้ว ก็ระลึกนึกถึงความคิดสมัยนั้นถ้าเราเกิดเป็นอมตะขึ้นมาจริงๆ คงต้องมองดูคนที่เรารักตายลงไปทีละคน จนไม่เหลือคนที่เรารักเลยซักคนเดียว มองความเปลี่ยนแปลงรอบๆตัวเรา วัตถุสิ่งของที่เรารักก็เปลี่ยนแปลง จนในที่สุดก็สลายตัว คงจะทุกข์ดีพิลึกละครับ งั้นเราจะมีชีวิตที่เป็นอมตะเพียงเพื่อเฝ้ามองคนที่เรารักตายไปทีละคน วัตถุที่เราชอบสูญสลายหายไปในที่สุดไปทำไม

    ผม พี่ๆน้องๆลูกหลานหลวงพ่อ และสัตว์โลกต่างก็เดินทางมาไกลเหลือเกิน ผ่านการเกิด แก่ เจ็บ ตายกันมาจนนับไม่ถ้วน เคยเกิดเป็นทุกสิ่งมาแล้ว เคยเกิดเป็นพ่อแม่เค้าก็ทุกข์ เป็นลูกเค้าก็ทุกข์ เกิดเป็นทั้งผู้ชายผู้หญิง เป็นกษัตริย์ เป็นคนธรรมดา เป็นทั้งเศรษฐีและยาจก เป็นพรหม เทวดา เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์นรกก็ผ่านมาหมดแล้ว ทุกวันนี้สอนใจตัวเองอยู่ทุกวันว่าเรามีเป้าหมายอันสูงสุดคือพระนิพพาน ทุกอย่างที่ทำวันละเล็กวันละน้อยก็เป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพานทั้งนั้น ถึงจะเตะแตะเดินเต็มความสามารถแล้ว มันจะช้ากว่าวิ่ง แต่ก็ถือว่าออกเดินทางแล้วและกำลังฟันฝ่ากับกิเลสที่หมักหมมในจิตดวงนี้ ซึ่งมันหยั่งรากลึก ทำอะไรตามใจกิเลสมานานแสนนาน ก็นับวันเวลาเฝ้ารอวันสุดท้ายของชีวิต ด้วยศรัทธาในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ จะเดินทางเป็นครั้งสุดท้ายแล้วละครับ จะได้นอนพักซะที

    [FONT=&quot]ธรรมะเล่าโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน[/FONT]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> [FONT=&quot]
    ต้องคิดไว้อยู่เสมอ[/FONT].....[FONT=&quot]เมื่อเรารู้ตัวว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]
    1.เราเกิดแล้วเราจะต้องเจ็บไข้ไม่สบาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา
    [/FONT]
    [FONT=&quot]2.เราจะต้องแก่[/FONT]
    [FONT=&quot]3.เราจะต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนาและที่เราไม่ต้องการ[/FONT]
    [FONT=&quot]4.เราจะต้องตาย คิดให้รู้ไว้ เมื่อรู้แล้วอย่างนี้ ถ้าอะไรมันมากระทบ เราก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะต้องมี[/FONT]

    .....[FONT=&quot]เหมือนกับคนเดินไปข้างหน้า รู้ว่าข้างหน้ามีแม่น้ำขวาง[/FONT] [FONT=&quot]เมื่อไปถึงพบแม่น้ำเข้าจริงๆ ก็ไม่มีการตกใจ เพราะรู้ว่ามีแม่น้ำ จะได้หาพาหนะเตรียมการเพื่อข้ามน้ำ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ชีวิตของเราก็เหมือนกัน[/FONT]

    .....[FONT=&quot]ถ้าบุคคลทั้งหลาย รู้ว่าสภาวะความเป็นจริงว่า[/FONT] [FONT=&quot]เกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์[/FONT] [FONT=&quot]ทุกข์เพราะอาหาร ทุกข์เพราะการบริหารการงาน ทุกข์เพราะการกระทบกระทั่ง[/FONT] [FONT=&quot]ทุกข์เพราะการป่วยไข้ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย[/FONT] [FONT=&quot]ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรัก[/FONT] [FONT=&quot]ของชอบใจทั้งสิ้น นี่มันเป็นตัวทุกข์ รู้แล้วว่ามันจะต้องทุกข์[/FONT] [FONT=&quot]เราก็ทำให้มันไม่ทุกข์เสีย ถ้ามันกระทบอะไรเข้า เราก็รู้สึกว่าอันนี้มันธรรมดา เรารู้อยู่แล้ว[/FONT]

    .....[FONT=&quot]แล้วเราก็คิดต่อไปด้วยว่า ทุกข์อันนี้เราจะให้มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่ให้มันมีอีก หมายความว่า เราจะไม่เกิดมาเพื่อให้ทุกข์อีก ถ้ายังเกิดตราบใด เราก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่เพียงนั้น[/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 117_n.jpg
      117_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.2 KB
      เปิดดู:
      1,221
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2014
  11. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    จะไม่กล่าวถึงมโนมยิทธิก็จะกะไรอยู่ เดี๋ยวจะหลุดจากแนวประสบการณ์มโนมยิทธิไปเป็นแนวบ่นไปตามเรื่องตามราว ถึงจะยังไม่ทันแก่ แต่ก็มีเรื่องมาบ่นได้เป็นกระบุงเลยละครับ เมื่อตะกี้นี้ แฟนผมเล่าสภาพของวิมานที่ชั้นยามาให้ฟังว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมบ้าง เพราะผมเป็นลูกหลวงพ่อประเภทขี้สงสัย ชอบพิสูจน์ เพราะเราทำบุญฉะนั้นก็แปลว่าเราต้องมีบุญเป็นของเราเอง ถูกต้องมั๊ยครับ

    ตอนนี้วิมานที่ชั้นยามาวัสดุเป็นแก้ว 5 สี มีขนาดใหญ่โตพอๆกับวัดวัดหนึ่งเลยทีเดียว มีพระพุทธรูปตั้งเรียงรายรอบวิมาน มีเจดีย์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้าวิมาน ปกติระฆังนั้นจะมีห้อยอยู่รอบวิมานแต่ตอนนี้มีหอระฆังเพิ่มเข้ามา สระน้ำเพิ่มขนาดขึ้นพอให้เห็นว่าบุญที่ทำเกี่ยวกับน้ำนั้นมีพอสมควรแล้ว ซึ่งครั้งล่าสุดที่แฟนผมขึ้นไปที่วิมานที่ยามานั้นยังไม่มีสิ่งที่กล่าวถึง บางสิ่งมีแล้วแต่มีการเปลี่ยนแปลงของขนาดหรือวัสดุครับ ผมจะเล่าบุญที่ได้ทำในช่วงหลังๆนี้ให้ฟังว่ามีอานิสงส์อะไรบ้าง ถึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

    1.ทำบุญสร้างพระพุทธรูปเช่น
    1.1ร่วมปิดทองพระพุทธปฏิมากรชำระหนี้สงฆ์ สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธสิกขีทศพลที่ 1 ณ วัดแสงอรุณปากประ ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง
    1.2ร่วมทำบุญสร้างฐานพระคัณฐราช (ฐานพระสแตนเลส) บนกุฏีชั้นที่ 3 วัดถํ้าเมืองนะ
    1.3บอกบุญเชิญชวนญาติธรรมและร่วมบุญประดับเพชรสมเด็จองค์ปฐมปางลีลาประทานพร ศูนย์พุทธศรัทธาสระบุรี
    1.4ร่วมสร้างพระอุณาโลมเพื่อนำไปประดับบนพระนลาฏสมเด็จองค์ปฐม 23 องค์ ณ วัดป่าเจดีย์เขาดิน จ.ชัยนาทและสำนักสงฆ์เขาแก้วมณีเทพสถิตย์.จ.ชัยภูมิ เป็นต้น
    (ยังมีอีกนะครับแต่ขอเอ่ยเป็นตัวอย่างเท่านั้น)

    2.ทำบุญบูรณะเจดีย์ โครงการบูรณะพระสุเมรุเจดีย์ หน้าพระบรมธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน (กองบุญเกี่ยวกับเจดีย์นี้ทำกองบุญเดียวครับ)

    3.ทำบุญระฆังนั้นผมทำมาประมาณ 2 - 3กองบุญแล้ว แต่ล่าสุดนี้ร่วมสร้างระฆังหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์
    สะเดาะห์เคราะห์ 8 ปาง ซึ่งเพิ่งจะติดตั้งและทำบุญไปเมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้วนี้เองที่หอระฆังหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ข้างวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ วัดท่าซุง และร่วมบุญระฆังแขวนรอบวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งกองบุญ

    4.ร่วมบุญสร้างที่เก็บน้ำขนาดใหญ่ของวัดท่าซุงในป่าร้อยไร่หลังวัด งบประมาณ 12 ล้าน เริ่มสร้างปี 2557

    ถ้าพี่ๆน้องๆท่านใดที่เข้าไปห้องพระพุทธรูป-วิหารทาน-สิ่งก่อสร้างบ่อยๆ จะจำกองบุญต่างๆที่ผมเล่ามานั้นได้ ที่ผมกล่าวถึงบุญที่ทำในช่วงหลังๆนี้ทำให้วิมาน วัสดุและบริเวณมีการเปลี่ยนแปลงครับ ที่นำมาเล่าสู่กันฟังนั้นก็ด้วยจะเน้นให้เห็นถึงบุญที่เราทำนั้นไม่ได้หายไปไหน ยังรอเจ้าของอยู่เปรียบเหมือนญาติมิตรที่รอการกลับไปของเรา

    แต่จริงๆแล้ววิมานที่สวรรค์นั้นก็แค่ปรากฏขึ้นตามกำลังบุญของเราเท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่สถานที่หรือภพภูมิที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ผมตั้งใจไว้ที่พระนิพพานลูกเดียวครับ แต่ถ้าตอนจะสิ้นลม ถ้ากำลังใจยังขาดเหลืออีกนิดหน่อยไปปฏิบัติต่อข้างบนเอาก็ได้ ไม่ต้องมีร่างกายให้ต้องเดือดร้อน มีเวลาปฏิบัติได้ตามสบายเราเลย ไม่ต้องมีเรื่องมีอารมณ์มากระทบใจ ได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จ ได้เจอกับพระโพธิสัตว์ ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ในอดีต แค่นี้ก็กำไรแล้วครับ จะได้ย้ายบ้านใหม่เป็นการถาวร สบายเราเลย อิๆ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  12. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    อนุโมทนาในกองบุญทุกๆอย่างที่พี่เก่งได้บำเพ็ญนะครับ โดยเฉพาะบุญธรรมทาน ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ทำบุญอะไรเท่าไหร่นัก กรรมฐานก็ไม่ได้ทำ จะมีก็แต่การสวดมนต์ก่อนนอนทุกๆคืน และ ก็ใส่บาตรพระสงฆ์ในทุกๆวันพระ

    ดีใจที่ได้กลับมาอ่านประสบการณ์และธรรมทานที่พี่ได้เอามาลงให้อ่านในกระทู้นี้อีกครั้งนึงครับ :cool:
     
  13. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    แฮะๆ ขอบคุณครับน้องกฤษณ์ พี่นี่ก็ไม่ใช่จะดีกว่าน้องเลยครับ แต่ที่มั่นใจและยึดเป็นที่พึ่งก็คือคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพพาน บุญกุศลที่พยายามเก็บเล็กผสมน้อยแบบน้ำก๊อกไหลหยดทีละหยดน่ะครับ รวบรวมรอเวลาให้เต็มตุ่ม เรื่องทรัพย์นี่ก็มีแค่พอจ่ายหนี้นั่นละครับ แต่ก็ด้วยศรัทธาในธรรมะของพระพุทธองค์ที่หลวงพ่อท่านขยายความไว้ จึงแบ่งเงินไว้ทำบุญทุกวันวันละสิบยี่สิบบาททุกวัน บางวันรวมได้ 50 บ้าง 100 บ้างก็โอนไปทำบุญเรื่อยๆครับ เงินไม่ได้มีเหลือมาก แต่ที่มั่นใจคือกำลังใจที่พยายามจะทำความดี เพราะกะว่าหมดลมหายใจเมื่อไหร่ สบายเมื่อนั้น

    อ้อ!..มีเทคนิคสะสมบุญวิหารทานมาฝากครับ คือตอนสวดมนต์ก่อนนอน ผมจะหยอดกระบุกบาตรวิระทะโยทุกคืน (ใช้กระปุกหรือแก้วก็ได้ครับ แต่ของผมใช้บาตรวิระทะโย ที่วิหารแก้ว100เมตรมีแจกฟรีครับ ถามเจ้าหน้าที่ที่วิหารได้เลย)ไม่มากครับแค่วันละบาทสองบาท พอได้จำนวนซักหน่อยผมก็แคะกระปุกนำเหรียญนับถุงละหนึ่งร้อย ไปแลกที่เซเว่นบ้าง โลตัสเอ็กเพลสแล้วโอนเงินไปทำบุญในกองบุญต่างๆใน
    ห้องพระพุทธรูป-วิหารทาน-สิ่งก่อสร้างตามที่เราชอบใจ หรือทำกับวัดท่าซุงก็ได้ครับ โอนฟรีด้วยแต่เวลาโอนแล้วต้องไปแจ้งการทำบุญและเจตนาในการทำบุญที่เว็บของวัดด้วย ทางวัดจะได้นำไปใช้ตามความตั้งใจของเราครับ แค่นี้ก็ได้บุญวิหารทานแบบง่ายๆแล้วละครับ ไม่ต้องเครียดกับเรื่องแบ่งเงินจำนวนมากทำบุญ แค่หยอดกระปุกวันละ 1 - 2 บาทแค่นั้นเอง สาธุและอนุโมทนาบุญนะครับ

    [​IMG]

    ภาพนี้ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อถ่ายที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูนประมาณปี 2518 นะครับ
    (ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เพราะเจดีย์ข้างหลังดูคล้ายๆ เดี๋ยววันหยุดจะไปถ่ายรูปที่วัดมาเปรียบเทียบนะครับ อยู่ใกล้ๆพอดี)


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8595_n.jpg
      8595_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.7 KB
      เปิดดู:
      1,335
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  14. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]
     
  15. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2014
  16. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]
     
  17. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]
     
  18. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]
     
  19. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2014
  20. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    มีเรื่องความฝันมาเล่าให้พี่ๆน้องๆได้อ่านกัน ผมฝันเมื่อคืนนี้เอง โดยปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยจะฝันอะไรเท่าไหร่ เมื่อคืนผมฝันว่าอย่างนี้ คือฝันเห็นหลวงพ่อของพวกเรา ท่านแบกระดาษหรือแบมือนี่ละครับ จำไม่ค่อยได้ เห็นเป็นกลุ่มตัวเลข ถ้าจะเรียกตามความหมายชาวโลกก็คือตัวเลขสามตัวหรือหวยนั่นเอง มีตัวเลขสามตัวอยู่ 4 กลุ่ม แต่มีปัญหาคือผมจำเลยไม่ค่อยได้ คือจำได้มั่งไม่ได้มั่ง และถึงจะจำได้หมดก็คงไม่ตื่นเต้นดีใจด้วยหรอกครับ เพราะปกติก็ไม่ค่อยจะถูกอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจในตัวเลข แต่ประเด็นก็คือมีความรู้สึกว่าชื่นใจและดีใจที่ฝันเห็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านมากกว่า

    ผมเข้าใจว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งว่าถ้าเราต้องการพระนิพพานจริงๆแล้ว จะมีความหลงในโลกนี้ จะหลงในโลกียะนี้มั๊ย จะตื่นเต้นดีใจกับของที่ชาวโลกเค้าชอบกันรึเปล่า ผมเข้าใจว่าอย่างนี้น่ะครับ ดีใจที่ฝันเห็นหลวงพ่อท่านเลยมาเล่าสู่กันฟัง ขอความเจริญในธรรมและความถึงที่สุดแห่งการไม่ต้องเกิดจงมีแด่ทุกท่านครับ สวัสดี



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...