ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

.......................ครบตามกติกา..........
...ต่อตามที่ขอ...(ผู้ขอ....STONE1..เด็กบ่อผุด..BELIEVE..หลานเขม..และ..เฉียวฟงหลานรัก)

............ตอนที่แล้วบอกไว้แล้วว่า..ลูกอมแบบนี้..เกิดขึ้นภายหลัง..แบบแรก..เมื่อวิชา
หลากหลายขึ้น...คติ..และ..เคล็ด..ที่ถือกันเข้ามามีอิทธิพล..ด้วย...

...ส่วนผสม..ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์..ก็จะมีแยก..เป็น ๒ อย่าง..คือ...
....๑. ส่วนผสมที่มี..ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว..เช่น..ว่าน..แร่...และแม้แต่..ใบลาน
เก่าชำรุด..ที่ลงคาถาบทสวด..ต่างๆ..นำเอามาเผาและ..บดเป็นผง....เป็นต้น..
.....๒. ส่วนผสมที่เกิดจาก..ผงสำเร็จต่างๆ..ที่ได้จากการลบผง..ดินสอพอง..บนกระดาน
ชนวน..แล้วเอามาปั้นเป็นแท่ง..เขียนยันต์..เสก..แล้วลบ..ทำซ้ำไปซ้ำมา..๑๐๘ ครั้งเป็น
ต้น...ผงสำเร็จประเภทนี้ถือว่า..ศักดิ์สิทธิ์มาก..คนสมัยก่อนนั้นเคร่งครัด..ถ้าฌานสมาบัติ
ไม่พอ..เขาไม่หลอกตัวเอง..จะไม่กล้าทำผงสำเร็จ..เด็ดขาด..เพราะถือว่า..ผิดครู..และ
อาบัติด้วย(เพราะหลอกตัวเอง..และ..ผู้อื่น)....ผงหลัก ๕ อย่างที่กำเนิดมาก่อน..ผงอื่นๆ
ก็คือ..ผงอิทธิเจ..ปถมัง..มหาราช..พุทธคุณ..และ..ตรีนิสิงเห....
....ที่เรียกว่า..ผงสำเร็จนั้น..ก็เพราะ..ผงนี้..ไม่ต้องปลุกเสกอีกแล้ว..สำเร็จด้วยตัวเอง..
มีความศักดิ์สิทธิ์..สมบูรณ์นั่นเอง...ถ้าเรามีอยู่..เอามาใส่กลัก..ห้อยขึ้นคอได้เลย...
..ไม่ต้องปลุกเสกที่ไหนอีก...อย่างผงสำเร็จ..ของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์..เป็นต้น..
เอาไปผสมทำเป็นพระขึ้นมาใหม่..ไม่ต้องปลุกเสกก็ได้.....

..........ส่วนผสมหลักนั้น..ก็แล้วแต่..จำเป็นเพราะเป็นตัวทำให้..ส่วนผสมอื่นๆยึดติดเข้า
ด้วยกัน...อาจจะมีจากทั้งปูนเปลือกหอย..น้ำอ้อยเคี่ยว..น้ำข้าวเหนียว..เอาผสมกันแล้ว
ให้มันแข็งคงรูปเป็นใช้ได้...หรือ..ไม่งั้นก็อาจจะเป็นดิน..ผสมไปกับ..ผงแล้วไปตากแดด
..เมื่อทำเสร็จแล้ว..เพื่อขบวนการสมบูรณ์..เนื่องจาก..ส่วนผสมอื่นนั้น..ยังไม่ได้มีความ
ศักดิ์สิทธิ์..ก็ต้องปลุกเสกครั้งสุดท้ายอีกครั้ง..เป็นเสร็จ...
....ของสมัยโบราณนั้น..จะไม่มีการถักหุ้ม..อะไร...การถักหุ้มนี่..มาเกิดในสมัยรัตนโกสินทร์
นี่เอง...เพราะถ้าลองคิดย้อนไปยุคโน้น..ถ้าหาย..แตก..ชำรุด..ก็..ไปขอให้อาจารย์
ทำใหม่..ก็แค่นั้น..เพราะ..ของที่ทำมันไม่ได้เยอะปริมาณมากอย่างยุคนี้...ทั้งเดือน..
หลวงพ่อก็อาจจะ..ทำซัก..สิบลูก..ก็คนที่อยู่ใกล้วัด..ยุคนั้นจะมีอยู่สักเท่าไหร..
..หลวงพ่อไม่BUSY..หรอก...
.....ผมมีลูกอมของ..หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา อยู่ ๑ ลูก..ก็เป็นแบบหลังนี่แหละครับ..
เป็นลูกอมแบบเนื้อผง..ผสมผงสำเร็จต่างๆ(เคยเล่าไปแล้ว..และ..เอารูปลงไปแล้วด้วย
สนใจก็ย้อนกลับหากันเอง..)

..ต่อเมื่อขอมา....

 

มารออ่านครับ กำลังจะเข้าสู่หน้าหนาว อากาศเปลี่ยน รักษาสุขภาพด้วยครับพี่

 

ขอบคุณครับสำหรับความรู้วันนี้ครับ. และมารอขอความรู้ตอนต่อไปครับครู

 

มา ลงชื่อ รอติดตามตอนต่อไปครับ......

 

ขอบคุณครับคุณอา สำหรับความรู้ดีๆ
และตามกติกาครับ ไม่ถามไม่ขอแต่รออ่าน

 

ขอต่อด้วยคนครับอ้าย
เรื่องราวของขลังในอดีต
ที่ไม่ทำแบบสุกเอาเผากิน
น่าติดตามหลาย ๆ ครับผม

 

ยังติดตามต่อครับพี่ modpong ในเรื่องของลูกอมที่พี่เล่าเรื่อง พอดีกล่าวถึงเรื่องหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ผมเคยเจอข้อเขียนในหนังสือรุ่นเก่า หนังสืออาณาจักรพระเครื่อง(หนังสือเล่มที่กล่าวผมมีซื้อหนังสือเก่ามาครับ) มีบทความถึงพระปิดตาคลุกรักหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ ผู้เขียนที่เขียนบทความกับมีความเห็นแย้งกับพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ ซึ่งผู้เขียน(เค้าให้ข้อมูลว่าตัวเองเป็นคนเมืองชล)ได้กล่าวว่าเค้ามีพระปิดตาคลุกรักที่เป็นพิมพ์นิยมแต่กลับไม่เก็บพิมพ์นี้ไว้เลย เพราะเค้าเชื่อว่าพระปิดตาหลวงพ่อแก้วนั้นต้องเป็นพิมพ์ขัดสมาธิเพชรที่เรียกว่าพระปิดตาวังหน้าในข้อเขียนของเค้าเค้าเขียนว่า............"เค้าเก็บพระที่คุณสมบัติไม่ใช่รูปสมบัติ"........ ซึ่งก็ขยายความว่า คุณสมบัติก็คือความศักดิ์ขององค์พระไม่ขึ้นอยู่กับราคา....รูปสมบัติก็คือรูปลักษณะนี้เป็นพิมพ์นิยมมีมูลค่าราคา.....และกล่าวถึงประวัติที่เค้าเคยเจอคนเก่าแก่ที่เค้าสืบค้นและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่.......ซึ้งตอนนั้นพี่ modpong เล่าเกี่ยวกับเรื่องลักษณะรักพอดี.....ผมก็เลยเอาเรื่องรักของพี่ modpong เทียบเคียงและความน่าจะเป็นจากเรื่องที่อ่านครับ(รวมทั้งดูรูปลักษณะพระที่เป็นพิมพ์นิยมของหลวงพ่อแก้วจากเน็ต) แล้วมาลองคิดต่อจากที่เค้าให้ข้อมูลว่าการสร้างพระปิดตาก็เพื่อให้ชาวบ้านป้องกันตัวเพราะจะต้องไปตัดไม้ในป่ามาสร้างวัดไม่ว่าจะป้องกันพวกผีป่า หรือสัตว์มีพิษต่างๆทำให้คิดว่าการสร้างพระแบบชาวบ้านจะมีรักนำเข้าจาก ญี่ปุ่น หรือจีนเข้ามาเป็นส่วนประกอบหรือ(ในความเห็นส่วนตัวว่าน่าจะไม่ใช่ ใช้รักไทยๆเรานี่แหละ)แล้วที่ทำแบบคลุกรักจะมาเหมือนเคลือบรักผิวหรือ......มันทำให้นึกถึงข้อเขียนของพี่แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกันครับ(อ่านเรื่องรักของพี่กลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ).........รออ่านต่อครับสำหรับองค์ความรู้ที่มีคุณค่า.....ขอบคุณพี่ modpong และทุก post ที่ยังให้องค์ความรู้นี้ยังอยู่ครับ..........

 

.............................
...พระปิดตาของหลวงแก้ว..นั้นสร้างสมัยรัชกาลที่ ๕
..ตั้งแต่ยุคต้นๆ..สำหรับเมืองชลนั้น..ไม่แปลกหรอก
..เนื่องจากมีชุมชนชาวจีนมาก..สินค้าจากจีนก็เข้ามาที่นี่มาก..มีเจ้าสัวเยอะ..วัดเครือวัลย์นั้น..ก็เป็นวัดในเมือง..หลวงพ่อแก้ว..นั้น..ก็เป็นที่นับถือสูงสุดในยุคนั้น..ถึงเวลาจะสร้างพระนั้น..ไม่แปลกที่..จะมีผู้บริจากให้ท่าน..เรื่องรักจีน..จึงไม่ได้มีปัญหา..แต่อย่างใด..เราอย่าไปคิดแค่..ทำแจกคนตัดไม้มาช่วย...
..เพราะบารมีท่าน..ต่อให้ใช้รักจีน..ทั้งหมดก็ได้..
..แต่จะเห็นว่า..สีรักที่เคลือบองค์พระ..มันก็มีแตกต่างกัน..เล็กน้อย..ออกอมแดงเข้มหน่อย..ออกชมพูบ้าง..หรือ..บางทีก็แดงอมน้ำตาล..ก็..เพราะช่วงการทำพระ..หลายปี..ช่วงนั้น..จีนกำลังปีปัญหา..เรือสินค้า..ก็ไม่ค่อยมาตามเวลา..พวกช่วง..รัก..ก็ขาดแคลน..ก็..ต้องใช้..รักไทย..ผสม..มากน้อย..ก็ไม่เท่ากัน..สีมันเลยมีหลายสี...เราไม่ต้องใส่ใจมาก..
เพียงแต่..ให้รู้ว่า..อนุโลมว่า..เป็นรักน้ำเกลี้ยง..ทั้งหมด..เนื้อใส..ถึง..ค่อนข้างใส..ต้องแยกแยะ..
...เรื่องความใส..ต้องคำนึงถึง..พื้นหลังด้วย..(..อันนี้
ก็..พิจารณา..รวมได้..ถึง..ปิดตายุคใกล้เคียงกัน..ในเมืองชล..)...
....ถ้าพระ..เนื้อขาว..ส่อง..ก็จะเห็นทะลุถึงเนื้อข้างใน..และ..สีจะสดใส...
....ถ้าพระ..เป็นเนื้อแบบ..คลุกรัก..เนื้อพระจะสีเข้ม..
..ถึง..จะทำพร้อมกัน..สีของรักที่เห็นด้วยตา..ก็จะเข้ม..เพราะพื้นหลังสีมันเข้ม..ความใสนั้นเท่ากัน..แต่ดูเหมือนไม่ค่อยใส...ถึงแม้..จะใช้รักชุดเดียวกัน..
...ความเก่าของมัน..สำคัญที่สุด..ต้องแยกว่า..
...รักปริ..แตก..ราน..แบบธรรมชาติ..เป็นยังไงให้ออก...
...การปริแตก..จากความร้อนที่..ใช้เครื่องอบ..นั้น
มันแตกต่าง..จากของจริง..ยังไง...
.................
..................
.....ถ้าดูรักเก่า..ได้ขาดจริงๆ...ไม่ต้องสนใจ..พิมพ์พระ...เพราะถ้า..รักมันเก่า..พระก็ต้องเก่า..แน่ๆ

 

........ครบตามกติกา
.....................
..ต่อตามที่ขอ(เรื่องของมองโกล)..(..ผู้ขอ..กำธรน้องรัก..เด็กบ่อผุด..พลศิริน้องรัก..
และ..STONE1..)

................เพราะว่า..มองโกล..วางจุดเชื่อมโยงไว้..เรียกง่ายๆว่า..แต่ละจุด..จะห่าง
ประมาณ..เมื่อม้า(มองโกล)ห้อเต็มเหยียด..แล้วมันเหนื่อยจนฝีเท้าตกนั่นแหละ....
..แต่ละจุดที่ว่าจะเรียกให้เข้าใจง่ายคือ..”สถานีม้า”.......
....เพราะที่นี่..จะมีม้าสำรองไว้หลายตัว..เมื่อผู้นำข่าวมาถึง..และยังไม่ล้า..เขาก็สามารถ
กระโดด..ขึ้นหลังม้าตัวใหม่..และห้อไปยัง..สถานีต่อไปได้....ถ้าขี่มาหลายวันบังไม่ได้
พัก..ก็ส่งต่อให้คนอื่น..ทำหน้าที่แทน...
.....สถานีม้า..แห่งใหม่..ที่เกิดขึ้นแต่ละแห่ง..จะเกิดตามเส้นทางเดินทัพ..ของมองโกล
..ที่ทำอย่างนี้ได้..เพราะ..มองโกลนั้น..จะเผาจุดเข้าตีต่างๆ..ไม่ว่าจะเป็นป้อม..หรือ..
เมือง..ไม่ให้พวกที่เหลือ..หรือหนี..ไปได้กลับมารวมตัวอีก..เพราะจำเป็นที่..จะต้อง..
สร้างสถานีม้า..ดังกล่าว..และ..เป็นการสะดวก..เมื่อเดินทัพกลับบ้าน...
....สถานีนึง..จะมีทหารอย่างน้อย ๑ หมู่..หรือ ๑ อราว์ท(..การจัดลำดับหน่วยรบนั้น
ของมองโกล..ถือว่า..ทันสมัย..และ..ใกล้เคียง..ในสงครามสมัยใหม่..มากกว่าเพื่อน
..โดยอาศัย..ตัวเลข..หลักสิบ..เป็นหัวใจ...
๑ หมู่ (อราว์ท)..มี ๑๐ คน...
๑ กองร้อย (ซูอุท) มี ๑๐๐ คน
๑ กองพัน (มิงกาน) มี ๑,๐๐๐ คน
๑ กองพล (ทูเมน) มี ๑๐,๐๐๐ คน..............)
..อาจมีมากกว่า ๒ หมู่ได้..ถ้าพื้นที่เสี่ยงที่จะมีการลอบโจมตี.....
...พลนำสาร..จะไปคู่นึง..เสมอ..เพราะป้องกันความเสี่ยง..ที่ข่าวจะไม่ถึงมือ..
..อาจจะ..เกิดจากอุบัติเหตุ..หรือ..โดนลอบโจมตี..เพราะมองโกล..ถือว่า
..การข่าว..เป็นเรื่องสำคัญกว่าอย่างอื่น..เมื่อส่งไป..ที่ไหน..ที่นั่นต้องได้รับ
....หน่วยรบ..แต่ละแห่ง..จะมีแผนที่ที่ครอบคลุม..พื้นที่ทำการทั้งหมด...
..และ..ตำแหน่ง..ของสถานีม้า...
.....เมื่อเขาส่งข่าว..ไปถึงอีกหน่วย..เขาจะทราบเลยว่า..เมื่อไหร่..ข่าวจะไปถึง
..เพราะจะคำนวณจาก..ระยะเส้นทาง..กับความเร็วที่ม้าห้อเต็มเหยียด...
....ดังนั้น..ไม่ว่า..แผนโจมตี..ที่ต้องประสานกัน..หรือ..ข้อมูลอื่นใด..จะส่งไป
ให้ถึงก่อนเข้าตีมั้ย..เขาจะรู้ล่วงหน้าว่าจะทันมั้ย..ด้วยระบบดังกล่าวนี่เอง..
.....แค่นี้..ก็จะเห็นว่า..ฝรั่ง..ไม่มีทางมาทาบได้เลย..ในเรื่องระบบสื่อสาร..
.......เพราะ..ผู้นำสารฝรั่ง..ใช้วิธีห้อม้าไปจนหมดแรง..แล้วก็พักม้า..จนพอมีแรง
ต่อ..ค่อยวิ่งต่อ...คาดการณ์..ระยะเวลาส่งข่าวได้ยาก..ส่งข่าวไปคนเดียว..
เกิดอุบัติเหตุ..หรือ..โดนลอบฆ่ากลางทาง..ก็เรียบร้อย..อีกด้านนึง..ก็จะไม่ได้ข่าว
...ยิ่งระยะทางการส่งไกลมาก..ยิ่งช้า..ของมองโกล..ระยะทางการส่งข่าว..ไม่เกี่ยว
.....ซึ่งด้วยหลักการดังกล่าว..ทำให้..การสื่อสารวางแผน..ของ ๒ ทัพ..จากสุโบไต
ไปที่..มองเข้(..หลานเจงกิสข่าน..)..หรือ บาตู(..หลานเจงกิสข่านเช่นกัน)...
..เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ..ทั้งวางแผน..และ..สั่งการได้รวดเร็ว...
.....นี่แหละ..คือ..ส่วนหนึ่งของปัจจัย..ที่ทำให้มองโกล..เหนือกว่า..ฝรั่ง...

....ต่อเมื่อขอมา...

 

ขอบคุณพี่ modpong ที่เสริมปัญญาและมุมองของพระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ครับ....หลังๆ ผมพิมพ์ยาว...... เพียงแต่ผมคิดว่าเหมือนเราคุยกันมีแทรกเล็กๆน้อยๆ........ทำให้เหมือนคุยเสวนากันอยู่....คงไม่ว่ากันนะครับพี่ modpong และ ท่านอื่นๆ ด้วยครับ.......... ผมยังตามอยู่ทั้ง 2 เรื่องครับ เช่นเคยครับ ขอบคุณพี่ modpong และทุก post ที่ให้เดินไปต่อครับ....................

 

..........
....ผมเคยพูดไว้หลายครั้งว่า..ถ้าคุณอยากดู..รักเก่า..ให้ขาด..
..คุณต้องมีกล้องอีกตัว..ที่มีขนาด 25x..หรือ..30x(..มากกว่านี้..ไม่แนะนำ)
....คุณถึง..จะเห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่..มันจะเปิดโลกให้คุณ..
....หาของแท้..มาดู..พระอะไร..ก็ได้ที่เคลือบรักน้ำเกลี้ยง..หา มาหลายๆ
ตัวอย่าง..ดูรอยปริ..รอยแยก..จุดบุ๋ม....ผิว..ลักษณะการ.ราน..อ้า..
....ซอก..รอยต่อระหว่างเนื้อ..กับผิว...ความโปร่งแสงของ..รัก..
....เก็บ..และ..จดจำให้หมด..ลืมไอ้ที่อ่านในหนังสือให้หมด...
...สร้างความจำ..และ..จุดตาย..ของตัวเอง..
.....นั่นแหละ..มันจะทำให้คุณจำได้ดี.....
.....และ..อย่าลืม..ไปส่อง..รักน้ำเกลี้ยงเก๊..ฝีมือดีๆ..เปรียบเทียบ
ในสมอง...แล็คเก้อร์..มันต่างจากรัก..ยังไง..ต้องดูให้ออก..

......แค่นี้..ถ้าคุณชอบพุทธคุณ..ไม่ต้องสนใจคำว่า..สากล..
.....พระแท้..ซะอย่างไม่ต้องกลัว....
........จำไว้ว่า....ดูรักน้ำเกลี้ยง....ใช้กับ..พระสมเด็จวัดระฆัง..ไม่ได้
........เพราะ..สมัยยุครักน้ำเกลี้ยงที่มีอยู่..พระก็มีปลอมแล้ว..ต้องดู
เนื้อ..ดูพิมพ์เอา....รักแท้..แต่..พระปลอม..ปลอมกันมาร่วม ๑๐๐ ปีแล้ว

 

ยิ่งอ่านยิ่งทึ่งกับมองโกลจริงๆ การบริหารจัดการเป็นระบบมาก

อ่านมาถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจแล้วครับว่าทำไมถึงยึดไปได้เกือบครึ่งค่อนโลก

ขอบคุณครับอา รอติดตามตอนต่อไปครับ

 

ได้ความรู้เรื่องรักเพิ่มอีก รออ่านตอนต่อไปครับ...

 

ขอบคุณครับพี่ มารออ่านศึกษาหาความรุู้ตอนต่อไปครับ

 

มาที่นี่ได้แต่ความรู้ครับ..ตั้งแต่การพิจารณาพระเครื่องยุคเก่า พระกรุ การดูรัก ประสบการณ์พระเครื่องในสงครามเวียดนาม ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดหน้าพระเมรุ ผีบ้านแก่ง แล้วก็อีกหลายๆเรื่อง ขอบคุณสำหรับความรู้และประสบการณ์ต่างๆที่นำมาแบ่งปันครับ ...ขอบคุณจริงๆครับและจะติดตามอ่านและนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดครับ.....

 

สวัสดีครับคุณอา..มาติดอ่านบทความดีๆทั้งสองเรื่องครับ

 

กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่แรกอีกรอบเพื่อเพื่อความเข้าใจ ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจมากขึ้นครับ มองภาพได้กว้างขึ้นกว่าเดิมและเข้าใจได้มากขึ้น ขอขอบคุณครับสำหรับความรู้ครับ และขอรอติดตามความรู้ตอนต่อไปครับครู

 

............................
....นั่นแหละ..สิ่งที่ผมต้องการ..อ่านไปรอบนึง..เอาไปใช้งาน..แล้ว..กลับไปอ่านอีกรอบ..จะได้เข้าใจมากขึ้น
...และ..จะได้รู้ว่า..ที่ผมสอนไป..นี่คือ..ของจริง..
..ไม่ใช่จินตนาการ..เอามาบอกคนอื่น..หรือ..เข้าใจคนเดียว..แล้วเที่ยวไปสอนชาวบ้าน..หรือ..พวกที่อ่านหนังสือ..เป็นหลัก..ประสพการณ์น้อย..แต่ข้อมูลเยอะ..เอาของคนนี้..ไปโปะ..กับของคนโน้น..แล้วมาแต่งตำรา....ผมใช้ประสพการณ์..ของตัวเองที่ยาวนาน..ทำเองกับมือ..ทดลองเอง..ทุกอย่างที่ไม่เข้าใจ
..แล้วเอามา..ประมวล..ให้คนทั้งหลายอ่าน..มันต่างกัน....
...ผมต้องการให้ผู้ที่เรียนรู้จากผม..ไม่ใช่นกแก้ว..นกขุนทอง..จำแม่งตะพึด..ไม่รู้ว่าที่ไปที่มาเป็นยังไง..
..เมื่อเราเข้าใจในหลักการอย่าง..ถ่องแท้..เราเข้าไปที่ไหน..ก็มีคนนับถือ..
....ดีแล้ว..นั่นแหละ..ยิ่งกลับไปอ่านหลายครั้ง..ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ..จะเข้าใจมากขึ้น....

 

ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ดีๆที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น จะรอติดตามต่อไปครับ

 

จริงครับยิ่งอ่าน จะยิ่งเข้าใจแต่ละเรื่องที่พี่เขียนใว้ผมอ่านอย่างน้อยสองรอบ เช่นเรื่องหลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง ชอบอ่านเพราะทุกอย่างทีนำมาเขียน เกิดจาก..ประสบการณ์จริง.. เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปเรื่อยๆครับ