" ปอบ " คืออะไร ? อาถรรพ์ ความเชื่อ เรื่องผี!!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 27 เมษายน 2013.

  1. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    รู้สึกอยากเห็นหน้าคนหล่อ อิอิ 555
    จะจุดไฟเผาเค้าหรา เดี๋ยวนาคีพ่นน้ำใส่นะ:cool:

    เค้าแค่มาล้อเล่น จะเผาเค้าจริงหรา

    ไฟในใจจงสงบลงนะจ๊ะ อิอิ

    ป.ล.ตลกวันละนิดจิตแจ่มใส เนาะ เนาะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.9 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  2. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เงียบซะงั้น สงสัยจะงอน คนหล่อพูดน้อยต่อยหนัก รูปสวยมั้ยจ๊ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p6.jpg
      p6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      95
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.8 KB
      เปิดดู:
      103
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  3. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    นพการจ๊ะ รออยู่เนาะ

    รูปหล่ออย่าใจร้ายดิ เดี๋ยวสาวหนีหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  4. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ช่วงนี้อากาศร้อนเนาะ อยากไปเล่นหิมะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 115825138.jpg
      115825138.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.6 KB
      เปิดดู:
      125
    • code5157.gif
      code5157.gif
      ขนาดไฟล์:
      377 KB
      เปิดดู:
      632
  5. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ความมุ่งมั่นเป็นเลิศ ชมธรรมชาติกันเนาะ น้ำ ลม ไฟ ขาดดิน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      107
  6. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ชักจะเงียบไปแล้ว นพการแอบหลับป่ะเนี่ยะ คนสวยรออยู่นะ

    ผู้ชายก็แบบนี้ มาหลอกให้รอ แล้วก็จากไป มิน่าเค้าถึงต้องโสดด ต่อไป เนาะ เนาะ

    หากไม่ตลกขออภัยด้วย ...

    ขณะนี้มีประจุไฟฟ้าสถิตย์ ในกระทู้ ใครคลื่นรับดี ระวังโดนดูดนะจ๊ะ อิอิ ขำๆ นะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  7. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    นพการรรรรร ใครอยู่ไกล้ช่วยเรียกที สงสัย สัปงก

    ตื่นแล้วก็มาคุยกันบ้างซิคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ใจเย็นๆ แม่นาง งูน้อยปัฐวีธาตุ อย่าพึ่งเหมือนสาว ม.ปลาย..
    กำลังเขียนตอนสุดท้ายอยู่ใช้สมาธิเล็กน้อย..ถึงปานกลาง.
    ไว้เขียนเสร็จก่อนอีกซักพัก..
    .
     
  9. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    มิน่า ลมพัดเย็นเชียวค่ะ หาย อุ่น แล้ว
    ป.ล.อย่าเขียนยาวมาก อ่านแล้วมึน
    ป.ล.2 เค้าสมาธิสั้นนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ย้ายเรื่องการเจริญสติ สมาธิ และภาวนาไปอีกกระทู้นึงแล้ว...
    ตอนนี้ก็เลยตอบได้หน่อยนึง ...
    เพราะกระทู้นี้เป็นกระทู้ผีปอบ...
    ผีมองโกล ก็พออนุโลมให้ได้...
    ว่ากันถึงเรื่องภาคปราบครับ

    วันก่อน มีพี่ท่านนึง เล่าว่า ในกลุ่มของท่านนั้น มักพูดกันว่า หลวงปู่สด เป็นภาคปราบ...
    ผมสงสัยว่าท่านลงมาปราบอะไรหรือ???
    พี่ท่านนี้บอกว่า ก็เวลาลูกศิษย์ฝึกสมาธิไป นึกถึงหลวงปู่ไว้กลางในกลาง หลวงปู่จะช่วยให้บรรลุธรรมโดยขัดขวางพญามาร...อันนี้วัดแถวปทุม บอกมาอย่างนั้น...

    ผมว่าพระพุทธเจ้ายังช่วยไม่ได้เลย แล้วหลวงปู่สดจะช่วยได้อย่างไร เรื่องจะชนะกิเลสนั้น เราต้องทำของเราเองไม่ใช่หรือ ใครจะช่วยเราทำหรือทำแทนเราก็หาไม่...

    ก็เลยวกกลับมาถึงคำถามคุณดาวรวย...อันนี้ตั้งใจจะแช่งนะครับ ขอให้รวยๆ...
    ให้รวยจนอุกอั่ง ไม่รู้จะเอาเงินเอาทองไปทำอะไร...
    ก็ขอให้เอามาแจกๆกันในกระทู้นี้ก็ได้นะ...
    ทุกคนพร้อมจะช่วยให้หายอุกอั่ง...
    ศัพท์ใหม่ พึ่งได้มาหมาดๆ...


    ภาคปราบ พวกนี้เกิดมาเพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา แต่ต้องฆ่าผู้ที่หวังจะทำลายพระพุทธศาสนา ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีจิตใจคิดจะละเมิดศีล...
    แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาจะสิ้นไป จะอยู่ไม่ครบถึง5000ปี จะไม่มีให้พวกเราทั้งหลายได้ศึกษา ปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์...
    เวลานั้นพวกที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตย์จะลงมาทำหน้าที่นี้....
    แล้วก็มี2ทางให้เลือก คือบั้นปลาย ออกบวช เข้ากรรมฐาน ตายก่อนตาย...
    ท่านเหล่านี้ไปพรหมบ้าง เป็นเทวดาชั้นดุสิตบ้าง เป็นการหนีกรรม ซึ่งหนีได้เหมือนกัน แต่หนีได้พักเดียว กลับลงมาเกิดอีกที ร่างกายก็จะมีโรคมาก อายุขัยสั้น มีทุกข์เวทนาในการดำรงชีพอย่างแสนสาหัส...แต่ตรงนี้ท่านเหล่านี้ยอม...
    อีกทางหนึ่งคือ ตกนรกครับ คือไม่ทันเข้ากรรมฐาน ชิงตายเสียก่อน ส่วนมากแล้วจะนิยมไปอเวจีมหานรก โลหะกุมภีร์ ขุมนี้รู้สึกว่าจะชอบกันมาก กว่าจะผ่านขุมนี้ขึ้นมาก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ผ่านไปหลายพระองค์แล้ว...อันนี้เสี่ยงมาก...แต่ก็มีผู้ยอมฉิบหาย เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้...

    พวกนี้พอจะเรียกได้ว่า ภาคปราบ ตามที่เราๆท่านๆนิยมเรียกกันน่ะครับ...
    ฟังเอาแค่พอเป็นนิยายกำลังภายในนะครับ...อย่าไปถือเอาเป็นจริงเป็นจัง..
    แล้วก็อย่าไปปราบอะไรใครเขาที่ไหนเลย...เราปราบสิ่งชั่วในดวงใจ ของเราดีกว่า...อันนี้สิ ปราบยาก ยากมาก ยากจริงๆ...ปราบยังไงล่ะ ก็มันยังสงสัยอยู่...


    ผมจึงไปเปิดเป็นกระทู้ให้ใหม่...ให้คุณนพฯมาวิสัจฉนา...ป๋าtoplus99 ก็แวะเวียนมาตอบได้เช่นกัน แต่ว่าอาจจะมาเป็นช่วงๆ...ส่วนครูติงอาจจะมาตอบเป็นหลินฮุ่ย...

    ..................................
    ดังนี้แล้วก็ขอให้ท่านที่สงสัย เรื่องสติ ยกเว้นเรื่องสตังค์ อันนี้คุณนพฯคงส่ายหน้า...รวมถึงข้อสงสัยต่างๆที่อ่านมาฟังมาแล้วไม่เข้าใจ ก็นิมนต์ไปงงกันต่อที่กระทู้ ปุถุชน ... คนช่างสงสัย...นะครับ
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อย่าไปเห็นเลยครับ...
    เพราะคนที่ถ่ายมาก็มองไม่เห็นเหมือนกัน...
    แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น...
    ซึ่งก็เหมือนกับการสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง...
    รับรู้ได้ แต่มองไม่เห็น...

    ส่วนคนเห็นได้นี่ก็ยังไม่ได้มีอะไรดีหรอกครับ
    ยังต้องกินข้าวอยู่ กินเสร็จแล้วก็ต้องเข้าส้วมถ่าย ถ่ายออกมาก็ยังเหม็น
    ยังต้องทำงาน หากะตังค์กินข้าว...น่าสงสารเหมือนๆกัน...
    ยังต้องโดนด่า โดนแซว...

    หลวงพ่อที่ท่านสอนผมมา ท่านเคยบอกผมว่า ลำพังมีแค่สองตา ก็ได้เห็น ได้อ่าน สิ่งไม่ดีๆ สิ่งที่น่ารำคาญ น่ารังเกียจ มากมายอยู่แล้ว...ถ้ายังต้องไปเห็นในสิ่งที่ลูกตาไม่สามารถเห็นได้ นี่มันจะไม่ยิ่งเป็นทุกข์ไปอีกหรือ หลวงพ่อท่านว่า มันจะยิ่งทุกข์หนักกว่าคนปกติอีกนา...า...
     
  12. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    คุณนพอย่าซีเรียสนะ ...เงียบเชียว ชักรู้สึกผิดนะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    ตอบ ''ผู้รู้ตัวใหม่'' หรือ ''สติทางธรรม'' ก็คือเครื่องมือตัวหนึ่ง
    ตอนนี้ให้นึกๆเอาไว้ก่อนว่า ดวงจิตคือ ก้อนกลมๆ..ผู้รู้คือ ฝ่ามือที่คลอบ
    ก้อนกลมๆดวงนี้เอาไว้อยุ่..จะทำให้อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น.
    และให้เข้าใจเอาไว้ว่า จิต,ความคิดที่เกิดจากจิต,ความคิดที่เกิดจาก
    ขันธ์ ๕ นามธรรมที่เป็นฝ่ายอารมย์เป็น คนละส่วนกันครับ..
    และผู้รู้ตัวนี้ก็จะทำหน้าที่
    คอยควบคุมความคิดต่างๆที่เกิดจากดวงจิตไม่กุศลหรืออกุศล
    ..และก็ยังทำหน้าที่คอยควบคุมความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้
    ตั้งใจหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม..ก็เพื่อให้ดวงจิตของเรานั้น.
    ค่อยๆคลายทั้งความคิดจากจิตและค่อยคลายทั้งขันธ์ ๕ นามธรรม
    ที่เป็นฝ่ายอารมย์ตรงนี้ ออกจากตัวจิตเราเอง..และเมื่อคลายตรงนี้
    ได้แล้ว.ตัวจิตก็จะเข้าสู่สภาวะเป็นกลางคือไม่มีทั้งความคิดทั้งขันธ์ ๕
    เข้ามาร่วมกับตัวจิต เราพูดง่ายๆคือจิตไม่มีการปรุงแต่ง หรือจิตไม่กระเพื่อม
    หรือจิตไม่มีอารมย์ใดๆมาร่วม หรือจิตไม่เกิด ณ เวลานั้น
    แล้วแต่จะเรียกครับ..ที่นี้ก็จะเหลือแต่ตัวจิต
    ..ผู้รู้ตัวนี้ก็จะทำหน้าที่ลำดับต่อมาก็คือ คอยควบคุมตัวจิตที่เข้าสู่
    สภาวะเป็นกลางนี้..และปล่อยให้จิตเค้ารับรู้ เพราะเอกลักษณะอย่างหนึ่ง
    ของจิตก็คือธาตุรู้...ตัวผู้รู้หรือสติทางธรรมตัวนี้..ก็จะทำหน้าที่ปล่อยให้
    ดวงจิตเค้ารับรู้.แต่ไม่ให้ดวงจิตเค้าเกิด..มาถึงตรงนี้ได้ก็จะเป็นการเริ่ม
    ต้นสำหรับการเดินปัญญาได้..ให้จำการมาถึงสภาวะตรงนี้ได้ว่าเป็นการ
    เริ่มต้นสำหรับการเดินปัญญาได้เท่านั้น..เปรียบเสมือนว่าเราขึ้นบันได
    มาถึงชานพักของบ้าน.แต่บนชานพักนั้นถ้าเราไม่ทำความสะอาดเลย
    ต่อไปเราก็ไม่สามารถที่จะอาศัยและยืนอยู่ได้ และก็ต้องก้าวถอยหลัง
    ลงบันไดมา..เพราะฉนั้นแม้ว่าจะขึ้นบ้านได้แล้ว ก็จะต้องคอยทำความ
    สะอาดเช็ดถูปัดฝุ่นอยู่เรื่อยๆ ฝุ่นในที่นี้ก็เปรียบได้ดัง กิเลสต่างๆนั้นเอง..
    ที่นี้เมื่อจิตมีความเป็นกลางได้ มีผู้รู้คอยกำกับได้แล้ว มีผู้รู้คอยกับ
    กำให้จิตรับรู้อย่างเดียวโดยที่ไม่ให้จิตเกิด..เนื่องจากจิตเค้าเป็นธาตุรู้..
    แต่เอาลักษณะที่พิเศษของ ผู้รู้ตัวใหม่ หรือ สติทางธรรม ก็คือ จะเป็น
    ทั้งธาตรู้และก็ผู้รู้ ครับ..เพราะฉนั้นบุคคลที่เข้าใจทางนามธรรมต่างๆ
    ได้ง่ายก็ขึ้นอยู่กับ ผู้รู้ตัวใหม่นี่หละครับว่ามีมากน้อยแค่ไหน...

    แล้วพอผู้รู้เค้าปล่อยให้จิตได้รับรู้ ได้เห็น ตามความเป็นจริง..ณ เวลา
    ปัจจุบันนั้นๆ..ด้วยความเป็นกลางแล้ว..จึงจะเกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้..
    ก็คือ "ปัญญาทางธรรม" ปัญญาทางธรรมตัวนี้หละครับ..ที่จะเป็นตัวที่
    จะทำให้ดวงจิต ลด ละ คลายกิเลสตัวต่างๆออกจากตัวจิตของเราเองได้
    จริงๆ ไม่ว่าเรื่อง โลภ โกรธ หลง ปัญญาทางธรรมตัวนี้จะช่วยให้ค่อยๆ
    คลายๆกิเลสพวกนี้ออกจากจิต จนสุดท้ายกระทั่งไม่มีเหลือเลย.
    ซึ่งจะไม่เหมือนปัญญาทางโลกที่เราได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมา
    ปัญญาทางโลกไม่ใช่ไม่ดี แต่เป็นปัญญาที่ใช้เป็นแนวทางเดิน
    ให้กับตัวจิตได้.เพียงแต่ว่ามันไม่สามารถช่วยให้ตัวจิตคลายกิเลสได้จริงครับ
    ซึ่งการที่จะคลายได้นั้น ก็เป็นไปตามขั้นตอน เพราะตัวกิเลสเองก็มี
    ทั้งแบบที่หยาบๆ แบบที่กลางๆ แบบที่ละเอียด เพราะฉนั้นเราจึงจำเป็น
    ต้องอาศัยความเพียรเข้ามาร่วม กับการเดินปัญญาตรงนี้ บวกกับการ
    สร้างสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบต่างๆ..พูดง่ายๆก็คือการสร้างสม
    ความดี การสะสมบุญบารมี ในทางด้านต่างๆ รวมทั้งการมีสัจจะใน
    การที่จะลด ละ กิเลสต่างๆ ก็เพื่อที่จะมาหนุนปัญญาทางธรรมตรงนี้.
    ให้ค่อยๆคลายกิเลสลง และคลายกิเลสลงเรื่อยๆ จากระดับหยาบๆจนกระทั่ง
    ไปถึงระดับที่ละเอียดได้นั่นเองต่อไปในอนาคตครับ..
    สรุปในขั้นตอนที่กล่าวมาจากข้างบนนี้
    .เป็นขั้นตอนการสร้างผู้รู้ตัวใหม่ จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่การเดิน
    ปัญญาเพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมได้นั่นเอง ส่วนใครจะมีมาก
    หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ เหตุและปัจจัยต่างๆส่วนบุคคลครับ........



    ในลำดับต่อมา..สำหรับบุคคลที่พอมีกำลังสมาธิไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม
    ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับในเรื่องของสติปัฎฐาน ๔ ด้วยครับ...บุคคลกลุ่มนี้
    ก็มักจะกล่าวหรือพูดถึงในเรื่องของการพิจารณา.ไม่ว่าจะพิจารณากาย
    พิจารณาธรรม พิจาณาจิต พิจารณาเวทนา หรือพิจารณากิเลสต่างๆ
    ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่บุคคลที่พอมีความสามารถเข้าสมาธิได้ในระดับสงบ
    หรือมีความสามารถดึงจิตเข้าสู่สภาวะความเป็นทิพย์ได้..หรือแม้แต่
    บุคคลที่มีความสามารถใช้กำลังจิตได้..หรือบุคคลที่มีความสามารถ
    ดึงจิตเข้าสู่ความสงบแล้วใช้ความสงบเป็นทุนบวกกับการบริกรรมต่างๆ
    เพื่อให้เกิดผลในด้านต่างๆได้.และแม้แต่บุคคลที่มีสัมผัสพิเศษภายใน
    ต่างๆในระดับใช้งานได้หรือมีกำลังจิตในระดับใช้งานได้แล้วต่างๆก็ตาม..
    ยังไงๆ บุคคลเหล่านี้..ก็จะต้องมาพิจารณาหรือมาวิปัสสนาเพื่อคลาย
    กิเลสไม่ว่าจะส่วนหยาบ ส่วนกลางหรือส่วนละเอียดเช่นกัน.เพื่อปลาย
    ทางเดียวกัน เพื่อเข้าสู่ อริยะทรัพย์ภายในเช่นเดียวกัน..อริยะทรัพย์
    ภายในก็คือความว่าง ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ จิตที่ว่างจากความคิด
    จิตที่ว่างจากอารมย์ จิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในความคิด ว่าง
    จากความยึดมั่นถือมันในอารมย์ และต่อมาจิตที่ว่างจากกิเลส ตัวจิต
    เค้าถึงจะไม่เกิด..ตัวจิตเค้าถึงจะสงบในลำดับต่อมา เมื่อตัวจิตเค้าสงบ
    เค้าก็จะรู้ว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ เมื่อรู้ว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ ตัวจิตเค้า
    ก็จะไม่อยากเกิดอีกนั้นเอง....แต่การที่เราจะไปถึงขั้นที่ตัวจิตจะไม่อยาก
    เกิดได้นั้น...

    แน่นอนว่าเราจะใช้เพียงสติทางโลกและปัญญาทางโลกหรือเรียกว่าปัญญา
    ทางสมมุติ. ที่เราได้มาจากการอ่าน การฟัง การได้ยิน แม้ว่าเราจะมีปัญญา
    ทางโลกในระดับอัจฉริยะก็ตาม..
    ซึ่งทุกๆคนถ้ามีความเพียร ก็สามารถสร้างปัญญาทางโลก
    ของเราให้เป็นอัจฉริยะกันได้ทุกๆคน..เพียงแต่ว่าปัญญา
    ทางโลกนี้มันไม่ได้คลายกิเลสออกจากตัวจิตเราได้นั่นเอง..และสติทางโลก
    ที่หลายบุคคลเข้าใจนั้น..มันเป็นการระลึกรู้ ในขณะที่ดวงจิตของเรา
    มันรวมกับความคิดที่เกิดจากจิตไปแล้ว และดวงจิตของเรามันรวมกับ
    ขันธ์ ๕ ฝ่ายนามธรรมไปแล้วครับ...เราจึงเข้าใจว่าตัวเราเองรู้ ตัวเราเองเห็น
    ทั้งๆที่เรายังยึดติดอยู่กับความคิด เรายังมีอารมย์ปนอยู่ด้วย..แต่เราก็เข้าใจ
    ว่าเรารู้เราเห็นนั่นหละครับ..เราจึงพูดๆไปว่าเรามีสติ..ทั้งๆที่เราไม่มีสติ
    ก็คือ ไม่มีสติทางธรรม ที่จะทันว่าตอนนั้น ดวงจิตเรามันรวมกับความคิด
    และรวมกับอารมย์อยู่นั่นเองครับ...

    ถ้าเราไม่มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ด้วยความเพียรจริงๆ เราจะไม่ทันตรงนี้ครับ..
    เราจะไปเผลอว่า ตัวความคิดที่เกิดจากจิตซึ่งมันเป็นสัญญาที่ได้มา
    จากทางโลก ได้มาจากการอ่าน การได้ยิน ได้ฟัง แล้วเผลอไปคิดว่า
    ตัวนี้เป็นสติทางธรรม..เป็นตัวปัญญาทางธรรม แล้วก็เผลอซ้ำสองก็คือ
    นำไปพิจารณาอีก..ก็จะยิ่งกลายเป็นว่า เราไม่ทันทั้งขันธ์ ๕ นามธรรม
    ไม่ทันทั้งตัวกิเลส..ตัวจิตเราก็จะเข้าสู่การวิปัสสนาในรูปแบบ ที่มันสร้าง
    หรือมันฟอร์มตัวขึ้นมาเอง..จนกระทั่งกลายเป็น วิปัสสนึกนั่นเองครับ..
    เราจึงได้พบได้เห็นว่า ทำไมนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่หลงตัวเอง คิดว่า
    ตัวเองบรรลุคุณธรรมชั้นสูงระดับต่างๆ..กลับไม่มีเครื่องรู้ ไม่มีสัมผัสต่างๆ
    ไม่มีความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ ตลอดจนมีความยึดมั่นถือมั่น
    ในความคิดของตัวเอง สังเกตุได้หากมีการแย้ง และก็จะมีความยึดมั่น
    ถือมั่นในอารมย์ของตัวเอง ยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นๆได้อยาก..
    ตลอดจนเรื่องที่เป็นกันไม่รู้ตัวก็คือ การอยากได้รับการยอมรับจากทางสังคม
    และจะยึดมั่นถือมั่น ว่าในเรื่องที่ตนถ่ายทอด ในเรื่องที่ตนรู้เป็นเรื่อง
    ที่ดีที่สุด แม้ใครจะพูดประเด็นไหนๆก็ตาม ก็จะต้องแย้งว่าสิ่งที่ตนถ่ายทอด
    ดีที่สุด ถูกที่สุด..ทั้งที่พุทธศาสนา.ท่านๆสอนให้เราไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ
    ไม่ว่าจะเป็นผู้สอน ในคำสอน.แต่ท่านให้เราวางความเห็นส่วนตัวไว้
    แล้วก็ไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงให้รู้ด้วยตัวเอง พอเข้าถึงแล้ว พอรู้แล้ว
    ท่านก็ให้ละ ให้วาง ทุกๆเรื่องครับ...

    ปล.เด่วอีกตอนก็จบครับ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอนจบครับ..หลังจากที่เราพอเข้าใจภาพโดยรวมๆแล้ว ถึงหน้าที่และเอกลักษณ์ต่างๆ
    พอเข้าใจบ้างแล้วว่า มันเป็นคนละส่วนกัน ไม่ว่าจะ จิต ความคิด อารมย์
    สติทางธรรม และการสร้างปัญญาทางธรรม ดวงจิตเราก็จะแยกแยะได้เอง
    ว่า อะไรเป็นจิต ฐานของจิตของตรงไหน(เราสังเกตุได้ตอนที่จิตกระเพื่อม)
    กิริยาต่างๆของความคิดที่เกิดจากจิตเป็นอย่างไร กิริยาต่างๆของขันธ์ ๕
    นามธรรมเป็นอย่างไร ตลอดจนสร้างผู้รู้ให้ต่อเนื่อง จนสามารถเข้าสู่สภาวะ
    ที่เป็นกลางได้แล้ว.และเริ่มเดินปัญญาได้แล้ว..ณ เวลาปัจจุบัน ก็จะมาเข้า
    สู่เรื่องของการยกเรื่องพิจารณาครับ...

    แต่การที่เราจะยกเรื่องพิจารณาได้ ในขณะที่พิจารณาก็จำเป็นจะต้องมีพื้น
    ฐานมาบ้าง พอทราบว่า ณ เวลาใดที่จิตเราเป็นกลาง กิริยาแบบใดจิตเรา
    เป็นกลาง..และที่สำคัญก็คือ เราจะพิจารณาเรื่องอะไรนั่นหละครับ ?????
    ตรงนี้หละครับ คือปัญหาของนักปฏิบัติแม้ว่า เราจะรู้วิธีการเข้าถึงอารมย์
    ที่เราจะพิจารณาได้ แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่มันผุดขึ้นมาให้เราพิจารณาได้ครับ..
    มันมีแต่เรื่องที่เราคิดหรือยกมันขึ้นมาพิจารณา.แต่พอเราพิจารณาไปแล้ว
    พอออกมาสู่สภาวะปกติ ก็กลับพบว่า กิเลสตัวนั้นๆ มันก็ยังอยู่ ไม่ได้ลดน้อย
    ลงไปเลย...สาเหตุที่ทำให้เราพลาดตรงนี้ไปได้อย่างคาดไม่ถึง..
    ก็เพราะเราขาดการสร้างผู้รู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง..จนกระทั้งผุ้รู้ตัวนี้สามารถ
    ทราบได้ว่า ตัวจิตดวงนี้ของเรานั้น มันยังสอบตก ในกิเลสเรื่องใดๆอยู่นั่นเองครับ
    ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบและความเพียรเช่นกัน ก่อนที่เราจะเห็นกิเลส
    ละเอียดแต่ละตัวของเราได้ครับ..ซึ่งกิเลสละเอียดแต่ละตัวตรงนี้จะเป็น
    เสมือนการที่เรากำลังอยู่บนถนนสายหลัก แล้วมีท่อนไม้มันมาขวางทางอยู่
    เราก็ต้องหาวิธีที่จะข้ามหรือผ่านตรงนี้ไปให้ได้ เพื่อที่เราจะเดินทางต่อไป
    นั่นเองครับ...

    สมมุติว่า ผู้รู้หรือสติทางธรรมเราทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องได้ เราจับสังเกตุ
    ผู้รู้ตรงนี้ได้..เช่น เวลาเราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม เมื่อก่อนเหตุการณ์นี้
    ถ้าเกิดขึ้นแล้วเราเห็น เราจะรู้สึกไม่ดี และมีความคิดไปผสมร่วม บางทีถึง
    ขั้นออกท่าทาง แสดงกิริยา หรือพูดแสดงอารมย์..แต่ ณ ตอนนั้น
    ผู้รู้เราจับได้ทันและก็ไม่สนใจในขณะที่จิตเราก็นิ่งๆและไม่มีอารมย์ร่วม.
    นั่นหละครับตัวที่จับได้ทันและตัดไม่ให้มีอารมย์ร่วมนี่หละครับ.
    คือผู้รู้ตรงนี้ แต่เราขาดการสังเกตุ
    โดยมาก..เรามักจะรู้ทันก็ต่อเมื่อมันมีความคิดมีอารมย์เข้าไปร่วมแล้ว..
    และเราก็ขาดการสังเกตุอีกว่า..
    อารมย์และความคิดตรงนี้มันเข้าไปร่วมได้อย่างไร
    และก็เกือบร้อยทั้งร้อย..ก็จะสังเกตุไม่ทันอีกว่า มันวางไปตอนไหน และมัน
    วางเรื่องนั้นๆได้เพราะอะไรครับ..หรือมันดับไปตอนไหนครับ
    ซึ่งเราก็จะลืมๆกันเป็นปกติและกลายเป็นเรื่องธรรมดาครับ.
    .ถ้าเราเพิ่มการสังเกตุ
    ตรงนี้ได้นานขึ้นแม้เพียงอีก ๒ ถึง ๓ วินาทีในทุกๆเรื่องที่วาง
    ผู้รู้ของเรา ก็จะเริ่มก้าวเข้าสู่ ผู้รู้ยิ่งกว่า หรือ ก้าวเข้าสู่มหาสติได้
    ส่วนจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการสร้างผู้รู้พื้นฐาน
    และการจับหลักการสังเกตุตรงนี้นั้นเองครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย..
    ถ้าเราเพิ่มเวลาตรงนี้ได้เพียงแค่เสี้ยววินาที เราจะมีความรู้ความเข้าใจ
    ในเรื่องนามธรรมต่างๆได้ดีขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนครับ...
    พอเราสร้างผุ้รู้จนเรา ทราบแล้วว่า เรายังอ่อนกิเลสตัวไหนอยู่...
    เราก็มาเข้าสูสภาวะเป็นกลาง จะโดยวิธีการตามที่เล่าให้ฟังมา
    หรือใครจะใช้กำลังสมาธิก็แล้วแต่...

    เราจะต้องไม่ลืมหลักการอย่างหนึ่งก็คือ เรื่อง "การวางอารมย์"ครับ
    วางอารมย์เรื่องที่เราจะยกขึ้นพิจารณานั่นเอง..ไม่งั้นพอถึงอารมย์ที่เรา
    จะพิจารณานั้น เราจะนึกอะไรไม่ออกครับ..พอนึกออกหรือนึกขึ้นมาเอง
    ก็จะกลายเป็นว่า เรื่องนั้นๆมันก็จะกลายเป็นความคิดที่เข้าไปปรุงกับตัวจิต
    เข้าไปปรุงกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมและปรุงร่วมกับกิเลสไปแล้ว..จึงกลาย
    เป็นเสมือนปัญญาทางโลก พอออกมาถึงไม่ส่งผลกับการคลายกิเลสของ
    เราได้จริงๆ เป็นเพียงการเอาปัญญาทางโลกมาเป็นตัวขวางไว้เฉยๆนั่นเองครับ.
    เพราะถ้าเรานึกขึ้นมาเอง เรื่องๆนั้นจะทำให้ ดวงจิตหลุดจากสภาวะเป็นกลาง
    ขาดความสามารถในการรับรู้ เพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรม..
    การวางอารมย์ก็คือ ถ้ารู้ว่าเราอ่อนเรื่องอะไร เราก็คิดๆไว้ระหว่างวัน
    แล้วก็ลืมๆไป ไม่สนใจ เด่วพอเวลาเข้าถึงอารมย์วิปัสสนาได้มันจะผุด
    ขึ้นมาได้ของมันเองอัตโนมัติ และไม่หลุดจากอารมย์ความเป็นทิพย์
    หรืออารมย์ที่เราจะวิปัสสนาได้นั่นเองครับ..
    ที่นี้จะพิจารณาอะไร ก็ปล่อยให้จิตเค้าว่างรับรู้อยู่ภายใน...
    จะพิจารณาจิตก็ปล่อยให้ จิตเค้าว่างรับรู้อยู่ภายใน จะพิจารณากาย
    ก็ปล่อยให้จิตเค้าว่างรับรู้อยู่ภายใน จะพิจารณาเวทนาจะพิจารณาธรรม
    ก็ปล่อยให้จิตเค้าว่างรับรู้อยู่ภายใน..ถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ได้ตามลำดับ
    ของมันเองครับ...ถ้าเราสังเกตุตรงนี้ได้..การพิจารณากายกับจิตมันแทบ
    จะไม่ได้แยกขาดจากกัน.ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ได้ว่า กายกับจิตมันมีความสัมพันธ์
    กันมาเราก็จะต่อไปในเรื่องเวทนาได้ของมันเองตรงนั้น สุดท้ายเราถึงจะเห็น
    ธรรมได้ครับ...ไม่งั้นถ้าเราไปพิจารณาอาการ ๓๒ อะไรรู้ว่ากายเราตรงนี้
    มันเน่ามันเหม็น มันจะยังเป็นการพิจารณาในส่วนของรูปธรรมอยู่มันจะยัง
    ไม่ส่งผลให้เกิดมรรคผลกับตัวจิตในการตัดเรื่อง ความยึดมั่นถือมันได้จริงๆครับ
    เพราะจะเหมือนกับตัวจิตยังส่งออกอยู่ ส่งออกคือส่งออกไปปรุงแต่ง
    ร่วมกับความคิด ส่งออกไปปรุงแต่งร่วมกับขันธ์ ๕ นามธรรมนั่นเองครับ..
    เพราะฉนั้นให้เราทำความเข้าใจ ในเรื่องนามธรรมต่างๆที่เล่ามาให้ดีๆครับ
    ให้รู้กิริยาต่างๆของจิต รู้กิริยาต่างๆของความคิดให้ได้ก่อน เข้าถึงสภาวะที่จิต
    เป็นกลางให้ได้ก่อน..เราจะต้องแยกรูปธรรม กับ นามธรรมให้มันได้ก่อนครับ
    ยังไม่ต้องรีบร้อน ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่งั้นแม้ว่าเราจะพิจารณาได้
    ถึงขั้นพิจารณาธรรมแต่ตัวจิต มันยังไม่ว่าง รับรู้ มันก็จะกลายเป็น กิเลสธรรม
    มันจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมุติ เป็นปัญญาทางโลก หรือปัญญาโลกีย์
    เราจะรู้เห็นเฉพาะในภาพรวมๆครับ

    เพราะฉนั้นแล้วพยายามสร้างความเพียรไว้ ให้จิตเรามันแยกรูปแยกนาม
    ให้ได้ก่อน คอยดู คอยสังเกตุให้ดีๆครับ..เราถึงจะเข้าสู่การเจริญสติปัฏฐาน
    ๔ ได้ครับ..คงพอเข้าใจนะครับว่า ทำไมสมัยพุทธกาล ท่านถึงไม่สอน
    เรื่องสติปัฏฐาน ๔ กับมนุษย์ครับ..เพราะมนุษย์ยังขาดการแยกแยะตรงนี้
    ยังหลงยึดมั่นถือมัน กับความคิดกับอารมย์ของตนเองอยู่นั่นเองครับ..
    และทำไมแทนที่ถ้าพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ ได้แล้วความสามารถใน
    การเข้าใจนามธรรมจะทะลุลวง ตลอดจนมีความสามารถพิเศษต่างๆมากมาย
    เพราะจิตจะเข้าสูความว่างได้ในเวลาปกตินั้น.มันจึงไม่บังเกิดขึ้น
    เพราะว่า จิตมันยังไม่นิ่ง ไม่ว่างรับรู้ นั่นเองไงครับ..

    ส่วนวิธีการตรวจสอบง่ายๆ ถ้าดวงจิตมันได้คลายเรื่องใดเรื่องหนึ่งลงไป
    แล้วนะครับ แต่ให้เราพยายามจะนึกแทบตาย หรือคิดจนกระทั่งโลกระเบิด
    กิเลสเรื่องนั้นๆมันก็จะไม่
    ผุดขึ้นมาอีก..หรือเราไปเจอเหตุการณ์ที่เคยทำให้เรามีอารมย์ร่วมแบบ
    เดิมๆอีก ตัวจิตเราก็จะไม่มีอารมย์ใดๆเกิดขึ้นเลยนั้นหละครับ..
    ถ้ามันมีผุดขึ้นมาแม้แต่นิ๊ดดดด เดียวแสดงว่ามันยังคลายไม่หมด.
    เราก็ค่อยมาเพิ่มความเพียร หายอุบาย ในการวางเรื่องนั่นๆให้หมดไป
    และไม่ว่าเรื่อง โลภ โกรธ หรือ หลง เราก็ต้องพยายามคลายมันออก
    ให้หมดทุกเรื่องในอนาคตกันต่อไป ตามเหตุตามวาระครับ..

    ปล.จบคำถาม ของ ป๋า มิงค์ครับ
     
  15. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    คุณนพเป็นพระปลอมตัวมาหรือเปล่า หรือเป็นมหาที่ไหน
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    เปล่าๆ พักออกไปซื้อของมา.
    เป็นผู้ชาย เท่ห์ๆ น่ารัก ธรรมดาๆคนหนึ่งนี่หละ.
    ยังไม่ดีและปัญญาทางธรรมอยู่ในระดับหยาบ
    และยังต้องเจริญสติอยู่ทุกๆวันเหมือนมนุษย์
    ปกติทั่วๆไปนี่หละ..๕๕๕ .โม้เล็กน้อยถึงปานกลาง
    ..:cool:
    ข้อความที่คุณ Empire triumph เขียนผมเห็นแล้วหละครับ
    แต่ผมรอให้ ป๋า มิงค์ ตอบก่อนดีกว่า เพราะอาวุโสกว่า
    น่าจะตอบได้ดีกว่าผมครับ..
    เรื่องการทำให้เห็น วิญญานในรูปนะครับ..ความจริง
    ส่วนตัวทำให้บุคคลอื่นๆเห็นได้ง่ายมากเลยครับ.
    ผมพาดึงให้เห็นแบบมองภาพด้วยตาเปล่าๆนี่หละครับ.
    เห็นได้แม้กระทั่งหน้าตา ทรงผม และรู้กำลังจิตก็ยังได้
    ถ้าพอเข้าถึงได้นะครับ....
    แต่อย่าง ป๋า มิงค์ ว่าละครับ เห็นได้แล้วมันทำให้ตัว
    เรามันดีขึ้นเป็นคนดีขึ้นหรือเปล่าครับ..และ
    เราต้องการจะเห็นไปเพื่ออะไรครับต้องตอบ
    คำถามตรงนี้ในใจเอาไว้ให้ดีๆด้วยครับ
    .
    ถ้าเห็นแล้วมันโน้มน้าวเข้ามา
    พิจาณาในตัวเราให้เกิดประโยชน์ได้เพื่อลดละกิเลสได้
    ให้เรายึดมั่นในพระรัตนตรัยได้อย่างมั่นคง หรือเห็นแล้วเราสามารถ
    ใช้ประโยชน์จากการเห็นในทางที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ
    หรือมีประโยชน์ในทางธรรมได้นั่นอีกประเด็นครับ.
    พูดง่ายๆว่าเข้าใจวัตถุประสงค์ที่เห็นได้หรือไม่
    ไม่ใช่ว่าต้องการทราบว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรนะครับ.
    แต่อยากเห็นเพื่อความอยาก เพื่ออยากรู้
    เพื่ออยากพิสูจน์.อะไรทำนองนี้..มีทางสายวิชาพิเศษก็มีสอนครับ.
    และก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามวาระและเวลาของมันดีกว่าครับ.
    .เพราะการเห็นเป็นภาพได้ยังไงๆมันก็ยังไม่พ้นสัญญาไม่ว่าจะจากตัวจิต
    เราหรือจากภายนอกที่ส่งสัญญามาเพื่อเชื่อมให้เราเห็นได้
    มันก็ยังอยู่ภายใต้สภาวะการปรุงแต่งเหมือนเดิมไม่ว่ามันจะจริง
    หรือไม่จริงก็ตามครับ...

    ใช้ปม เห็นใจ
    ใช้ใจ เห็นมาร
    ใช้มาร เห็นธรรม
    ใช้ธรรม เห็นเรา
    ใช้เรา เห็นอุปทาน
    เห็นแบบนี้ให้ได้นะครับ..
    ..
    ปล.ประมาณนี้หละครับ...
     
  17. mai261

    mai261 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +508
    อ่านท่านจอมยุทธ์ทั้งสองพิม ท่าน ระมิงกับท่านนพ เล่นเอาข้าน้อย งง กว่าวิชา คณิต ฟิซิกซ์ ซะอีก บอกตรงๆอ่านมันไม่เข้าซิลิบั้ม ข้าพเจ้าเลยมันดูลึกซึ้งกว่าวิชา เดชคัมพีย์เทวดาซะอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2015
  18. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    คุณ กาลีนะ

    ไปซ่อมคอมพ์ แถวไหน ไปเที่ยวไหนน้อ

    นี่เรา มาเฝ้าบ้านให้หลายวันแล้วนะ (ถ้าเป็นบ้านจริงคงจะรื้อตู้เย็นกินเสบียงหมดแล้ว)

    คิดถึงเน้อ
     
  19. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    หยิน-หยาง

    ขาว-ดำ

    โลกุตระ-นรกโลกันต์

    ทำงานแข็งขันกันน่าดู มาดูกันว่าความเพียรใครจะมากน้อยกว่ากัน

    ความดีทำยาก ให้ผลช้า ใช้ความเพียรสูง!!!
    ความเลวทำง่าย ให้ผลไว ไม่ต้องใช้ความเพียรอะไร
    แค่คิดชั่วๆ กับการกระทำบัดซบง่ายๆ ก็เป็นผลได้ทันที!!!
     
  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    กวนมาก...สุขภาพจิตเป็นไงบ้าง ดูแลตัวเองไหวมั๊ยล่ะเธอเอ๊ยยย..
     

แชร์หน้านี้

Loading...