หลวงปู่วังสยบผีเปรตสุดเฮี้ยนตาโด ช่วยให้ไปเกิด

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย pokpok111, 14 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ๏ ส่งศิษย์ไปดูแลวัดศรีวิชัย

    เมื่ออยู่ต่อมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๑ สามเณรวันดี สอนโพธิ์ และสามเณรคำพันธ์ ปทุมมากร อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้พาไปอุปสมบทที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม และได้อยู่จำพรรษากับท่านพระอาจารย์วังที่ถ้ำชัยมงคลตลอดจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๓

    ในปีนั้นทาง วัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ไม่มีพระเณรอยู่ ท่านจึงได้ส่งพระวันดี อิสโก (สอนโพธิ์), พระคำพันธ์ จันทูปโม (ท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ - หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม), พระถ่อน กันตสีโล, สามเณรอ่อน พลแพง, สามเณรบุญศรี สอนโพธิ์, สามเณรถ่อน แสงโพธิ์ และเด็กชายบุดดี นะคะจัด ลงไปอยู่วัดศรีวิชัย ครั้นต่อมาท่านได้สั่งให้พระวันดีกลับไปอยู่กับท่านที่ถ้ำชัยมงคล


    ๏ อาพาธหนัก

    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านเริ่มอาพาธหนักขึ้น โรคท้องมานของท่านก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหว ท่านจึงให้หมอคนหนึ่งเอาเข็มแทงเข้าไปในท้อง เอาน้ำออกจากท้องได้หลายลิตร ทำให้ท้องแฟบลง จึงได้เห็นสิ่งหนึ่งภายในท้องแทงโผล่ขึ้นมา เอามือจับดูก็มีลักษณะแข็งๆ ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรในท้อง เมื่อเอาน้ำออกท้องแฟบลงก็ทำให้ท่านสบายขึ้นบ้าง เพราะไม่อึดอัดและเดินได้สบายกว่า แต่การรักษาก็ไม่มีอะไรพิเศษกว่าเดิม ต่อมาท้องท่านกลับค่อยโตขึ้นทีละน้อยๆ อีก เมื่อไม่มีทางเลือกจึงตกลงกันว่าจะต้องนำท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดนครพนม ขณะนั้นเป็น พ.ศ. ๒๔๙๖ แต่ก็มาคิดว่าการจะนำท่านเดินตามทางหลังภูเขาขึ้นๆ ลงๆ กว่าจะพ้นหลังภูเขาประมาณ ๒ กิโลเมตร จะใช้พาหนะอย่างอื่นไม่ได้แน่นอนนอกจากเดินเท่านั้น แม้ว่าท่านยังพอที่จะเดินได้อยู่ แต่ขนาดกำลังคนปกติเดินทางบนภูเขา ๒ กิโลเมตรก็เหนื่อยพอดู ไม่ต้องกล่าวถึงคนป่วยเช่นท่านเลย ดังนั้น เมื่อพร้อมกันก็จัดคนเดินเคียงข้างท่านสองคน นอกนั้นเดินออกหน้าก็มี ตามหลังก็มี เป็นคณะทั้งพระเณรและญาติโยม เมื่อเห็นว่าท่านเหนื่อยก็หยุดพักตั้งหลายครั้งตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสี่โมงจึงลงพ้นภูเขา

    เมื่อลงถึงพื้นดินราบแล้วจึงได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรจะไม่ให้ท่านต้องเดิน แต่ก็จนใจเพราะหนทางนี้เป็นหนทางคนเดินเท่านั้น เกวียนรถไปไม่ได้ บังเอิญนึกถึงรถแทรกเตอร์ของโรงงานไร่ยาสูบ ทางโรงงานไร่ยาสูบก็ได้ให้ความช่วยเหลือ ได้นั่งรถแทรกเตอร์ก็ยังดีกว่าท่านเดินมาเอง ถ้าคนปกติก็คงไม่ลำบากอะไรมาก แต่นี้ท่านป่วยร่างกายซูบผอม ก็กระทบกระแทกพอสมควร แล้วรถก็พาไปถึง วัดชัยมงคล บ้านแพง อำเภอบ้านแพง วัดนี้ก็ท่านพระอาจารย์วัง, คุณแม่สาลี และญาติโยมบ้านแพงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘

    เมื่อถึงวัดชัยมงคลนี้ ได้พักรอเรือกลไฟที่เดินระหว่างบ้านแพงถึงนครพนม พอดีได้เวลาแล้ว จึงได้โดยสารเรือกลไฟไปนครพนม ได้รับการรักษาอยู่โรงพยาบาลจังหวัดนครพนมนั้นเดือนกว่า หมอก็เอาใจใส่รักษาพยาบาลเป็นอย่างดี แต่หมอก็ไม่บอกอะไรและไม่ได้ให้ความหวังว่าจะหายหรือไม่อย่างไรเลย


    ๏ รักษาอาพาธที่กรุงเทพฯ

    ต่อมาวันหนึ่ง นายอำเภอประสงค์ กาญจนดุล นายอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม (ในขณะนั้น) ได้มากราบนมัสการเยี่ยมพระอาจารย์วัง ท่านได้เล่าอาการป่วยให้นายอำเภอนาแกฟังว่า ในช่องท้องมีอะไรไม่ทราบแข็งเป็นช่ออยู่ข้างซ้าย เอามือคลำดูก็ได้ ไม่รู้ว่าจะต้องได้ผ่าตัดหรือจะต้องรักษาอย่างไรหมอก็ไม่บอก นายอำเภอนาแกกราบเรียนว่า “ผมมีหมอคนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ กรุงเทพฯ ชื่อประกอบ เรื่องผ่าตัดนี้เขาเก่งมาก จึงขอกราบนิมนต์ท่านไปรักษาอยู่กรุงเทพฯ”

    ดังนั้น เมื่อได้มารักษาอยู่โรงพยาบาลจังหวัดนครพนมนี้ได้เดือนกว่า แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จึงตกลงออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เดินทางโดยสารรถยนต์ไปขึ้นรถไฟที่จังหวัดอุดรธานี ระยะทาง ๒๔๐ กิโลเมตร เป็นถนนลูกรังตลอดสาย ตอนเย็นวันนั้นได้ขึ้นรถไฟด่วนไปกรุงเทพฯ ตื่นเช้าก็ถึงกรุงเทพฯ ได้เข้ารักษาอยู่โรงพยาบาลตำรวจ การไปโรงพยาบาลตำรวจนี้ นายอำเภอประสงค์ท่านได้โทรศัพท์ติดต่อเรื่องการไปนี้ก่อนแล้ว จึงได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ขอขอบคุณท่านนายอำเภอในการนี้ด้วย

    เมื่อแรกที่ทำการรักษา ได้เจาะเอาน้ำที่ท้องท่านออกจนท้องแฟบลง หมอคลำดูที่เป็นช่อแข็งๆ นั้น จากนั้นหมอก็มีการฉีดยาและถวายยาให้ฉันอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าต้องผ่าตัดหรือจะรักษาต่อไปอย่างไรไม่บอกเลย (แต่มาทราบภายหลังจากท่านได้มรณภาพแล้วว่า ท่านเป็นโรคตับแข็ง จะผ่าตัดก็ไม่ได้ จะรักษาก็ไม่หาย ที่หมอรับรักษานี้ก็เพื่อให้ท่านมีกำลังพอเดินทางกลับวัดได้เท่านั้น เรื่องนี้ผู้เฝ้าปฏิบัติใกล้ชิดไม่ทราบเลย จนท่านมรณภาพแล้วจึงได้รู้) แต่อาการไม่ดีขึ้นเลยมีแต่อาการทรงกับทรุดลงเท่านั้น
     
  2. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ๏ มรณภาพ

    มาวันหนึ่งพระอาจารย์วังได้อาเจียนและถ่ายเป็นเลือดออกมาไม่มาก ตั้งแต่ตอนเช้ามาจนกระทั่งถึงตอนเย็น วันนั้นดูอาการของท่านอ่อนเพลียมาก อาการทางกายก็ไม่มีอะไรอีก ท่านได้พูดเบาๆ แต่เสียงปกติว่า “มันจะตายก็ให้มันตายไป” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงท่านก็ได้มรณภาพไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อเวลา ๒๐.๑๘ น. ของวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ รวมสิริอายุได้ ๔๑ ปี เมื่อท่านมรณภาพแล้วก็มีการฉีดยาป้องกันการเน่า และไม่มีรถบริการเคลื่อนศพไปจากกรุงเทพฯ ได้ เพราะได้รับคำบอกว่า นอกเสียจากเรามีรถส่วนตัวจึงนำศพกลับต่างจังหวัดได้ จึงตกลงเอาศพฝากวัดดวงแข หัวลำโพง กรุงเทพฯ ไว้ก่อน

    ในปีต่อมา ท่านพระอาจารย์โง่น โสรโย ได้นำอัฐิของพระอาจารย์วังออกจากวัดดวงแข หัวลำโพง ไปจัดงานถวายเพลิงศพที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม โดยได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณท่านพระครูวิจิตรวินัยทร (พรหมา โชติโก) (ต่อมาได้ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระราชสุทธาจารย์) ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของพระอาจารย์วังนั้นเอง ได้กรุณาช่วยจัดการถวายเพลิงศพให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกประการ

    ท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ท่านมีลูกศิษย์เป็นพระภิกษุอยู่ ๓ รูป คือ

    ๑. ท่านเจ้าคุณพระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (วัดถ้ำพวง) ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร

    ๒. ท่านพระอาจารย์โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก ตำบลวังหลุม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

    ๓. ท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) วัดศรีวิชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม


    ๏ สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิ

    เมื่อทำการถวายเพลิงศพท่านแล้ว ได้นำอัฐิครึ่งหนึ่งไปก่อเจดีย์ไว้บนหลัง ถ้ำชัยมงคล ภูลังกา ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดหนองคาย โดยการนำของ ท่านพระครูวินัยธร (ท่านเจ้าคุณพระจันโทปมาจารย์ - หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม), พระสิงห์ อินทปญฺโญ (พระราชวราลังการ - หลวงตาสิงห์ อินทปญฺโญ), พระหนูเพชร ปญฺญาวุฑโฒ, พระเสียน วชิรญาโณ และเด็กวัดคือ นายสังวาลย์ ผงพิลาและนายสีทัด ประสงค์ดี

    การก่อเจดีย์บนภูเขาซึ่งเป็นที่สูงย่อมลำบากเหน็ดเหนื่อย ลำพังแต่ตัวเปล่าเดินขึ้นไปก็เหนื่อยพอแรงอยู่แล้ว นี้ต้องแบ่งเอาซีเมนต์จากถุงใหญ่ใส่ถุงเล็ก กว่าจะหมดปูน ๕ ถุง ต้องเดินขึ้นลงอยู่หลายเที่ยว ส่วนทรายที่จะใช้ก่อก็ต้องลงจากหลังเขาที่จะก่อเจดีย์ ลงไปเอาในลำห้วยกั้งซึ่งเป็นลำห้วยอยู่บนเขา มีกองทรายพอรวมเอาได้ แต่อยู่ไกลจากที่ก่อเจดีย์ประมาณ ๑ กิโลเมตร เป็นระยะทางบนภูเขามีขึ้นๆ ลงๆ ตลอด กว่าจะถึงต้องหยุดพักหลายครั้ง มีเหงื่อโทรมทั่วตัว แต่ทุกคนก็พร้อมเพรียงช่วยกันเป็นอย่างดี ส่วนน้ำที่จะผสมปูนนั้นต้องเอาบาตรลงไปตัก ซึ่งมีน้ำอยู่ใกล้กว่าทรายหน่อย เอามาได้ทีละบาตรเท่านั้น ส่วนอิฐสำหรับก่อนั้นเอาก้อนหินที่พอดี ถากแต่งนิดหน่อยใช้แทนอิฐ แล้วก็ฉาบแต่งตามรูปที่ต้องการ ได้ช่วยกันพยายามทำอยู่ถึง ๒๑ วันจึงสำเร็จ เสร็จแล้วได้นำ อัฐิของพระอาจารย์วังบรรจุไว้ตรงกลางเจดีย์ ในเวลาที่พร้อมกันทำอยู่นี้ก็ได้อาศัยการอุปถัมภ์อุปัฏฐากจากคณะศรัทธาญาติโยมบ้านโนนหนามแท่ง บ้านดอนกลาง และบ้านโพธิ์หมากแข้ง ได้จัดทำอาหารขึ้นไปถวายจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จึงขออนุโมทนา ณ ที่นี้ด้วย จากนั้นคณะสงฆ์ก็กลับลงไปสู่วัดของตน


    ๏ สร้างอุโบสถเป็นอนุสรณ์แด่พระอาจารย์วัง

    วันหนึ่งราว พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ได้พบกับ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) ท่านบอกว่า อัฐิพระอาจารย์วังที่เก็บไว้นั้นควรจะสร้างอะไรเพื่อเป็นอนุสรณ์และเอาอัฐิบรรจุไว้ พระจันโทปมาจารย์จึงกราบเรียนท่านว่า ถ้าจะสร้างก็จะสร้างอุโบสถ ท่านบอกว่าสร้างได้เลยเราจะช่วย จึงมีความดีใจอย่างยิ่งที่มีครูบาอาจารย์มีความเมตตากรุณาช่วยเหลือ ต่อมาจึงได้ประชุมทางวัดและทางชาวบ้าน แล้วแจ้งถึงการที่จะ สร้างอุโบสถเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร แต่การจะสร้างนี้ต้องทำเป็นอุโบสถ ๒ ชั้น เหตุผลคือ ศาลาการเปรียญหลังเก่าเล็กคับแคบไม่เพียงพอกับจำนวนผู้มาทำบุญ จะสร้างอุโบสถชั้นเดียวก็จะต้องสร้างศาลาการเปรียญใหม่อีก และพื้นที่ดินของวัดก็ไม่กว้างขวางมากนัก ดังนั้น จึงควรสร้างอุโบสถนี้เป็น ๒ ชั้น แต่การสร้างนี้ก็ต้องใช้ทุนทรัพย์นับเป็นล้านสองล้านจึงจะสำเร็จ เรามีปัจจัยที่จะสร้างเพียง ๗๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดหมื่นบาทถ้วน) เท่านั้น

    ดังนั้น พระจันโทปมาจารย์จึงได้แจ้งความในใจต่อที่ประชุมว่า เราได้ระลึกถึงอุปการีที่พระอาจารย์ได้มีแก่พวกเรามามากมาย จึงจะขอสร้างอุโบสถนี้เป็นอนุสรณ์ให้ได้ และได้ยกมือตั้งสัจจะอฐิษฐานว่า “จะขอสร้างให้สำเร็จให้ได้ แม้เวลาจะนานกี่ปีหรือจะสูญสิ้นทุนทรัพย์ไปเท่าไรก็ตาม ก็จะมุ่งมั่นสร้างไปจนสำเร็จแม้จะตายไปก่อนในชาตินี้และยังสร้างไม่เสร็จ ชาติหน้าเกิดใหม่ก็ขอให้ได้มาสร้างต่อจนเสร็จ” ที่ประชุมจึงได้ยินดีพร้อมใจกันตามที่มีความมุ่งมั่นไว้
     
  3. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    [​IMG]
    พระธาตุเจดีย์หลวงปู่วัง ฐิติสาโร เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่วัง ฐิติสาโร
    [​IMG]
    ๏ ธรรมคำสอนของพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร
    บันทึกจากความทรงจำโดยพระจันโทปมาจารย์
    (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม)


    มนุษย์เราทุกคนย่อมหลงอยู่ในสมมติของโลก คือ สมมติให้เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ ภูเขา แผ่นฟ้า แผ่นดิน ทุกอย่างที่อยู่ในพื้นโลกนี้ ก็ถูกสมมติให้เป็นต่างๆ กันไป ตามคำสมมตินั้นๆ ส่วนมนุษย์เรานั้นมีส่วนประกอบพร้อมมูล คือสังขารทั้งหลาย ได้แก่ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ปรุงแต่งให้เป็นมนุษย์ คือคนเราทุกวันนี้ส่วนประกอบที่เห็นได้ชัดๆ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม รวมประชุมกันอยู่เหมือนๆ กันหมด แต่แล้วก็สมมติว่า นี่เป็นผู้ชาย นี่เป็นผู้หญิง นี่เป็นบิดา นี่เป็นมารดา เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นพี่เป็นน้อง ปู่ย่า ตายาย แล้วแต่จะสมมติไปตามความประสงค์ที่จะให้เป็น

    เหมือนกันกับการสมมติของคณะหมอลำหมู่ หรือคณะลิเก เล่นละครเมื่อเขาเล่นเขาก็สมมติกันไปตามเรื่อง คือสมมติให้เป็นพระเอกนางเอก เป็นเจ้า เป็นบ่าวไพร่ แล้วเขาก็แสดงไปตามเรื่องราวในแต่ละท้องเรื่องนั้นๆ ในท้องเรื่องนั้นก็จะมีทั้งบทรัก ความเศร้าโศกเสียใจ มีทั้งบทหัวเราะ รื่นเริง เพลิดเพลินเจริญใจ บางตอนก็พลัดพรากจากกัน แล้วก็คร่ำครวญร้องให้โศกเศร้าเสียใจ บางคราวมีการกระทบกระทั่งกัน จนถึงมีการฆ่าฟันล้มตายกันก็มี เรื่องทั้งหมดนั้นคละเคล้าทั้งส่วนที่สมหวัง ทั้งส่วนที่ผิดหวัง มีทุกรส พร้อมหมดทุกอย่าง เขาก็เล่นกันไปตามสมมติกันไปตลอดคืน ครั้นรุ่งเช้ามาแล้วก็สมมติว่าจบเรื่อง สิ้นสุดการสมมติลงแค่นั้น ตัวสมมติทั้งหลายก็กลับเป็นจริง คือ นาย ก นาย ข นาย ค และนาง ง ตามเดิม ไม่ได้เป็นจริงตามคำสมมตินั้นเลย

    แต่การสมมติของคนเรานี้ได้ถูกสมมติกันทุกวัน ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตาย ซึ่งเป็นสมมติที่ยาวถึง ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี หรือยิ่งกว่านั้น ทั้งหมดนี้จึงเรียกว่า ละครชีวิต ได้แสดงละครชีวิตนี้ไปตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่ประสบเข้า เป็นเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย คือจบลงด้วยการตาย สิ่งสมมติมาแล้วทั้งหมดก็กลับกลายหาสภาพเดิม คือเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ และเป็นลม อันเป็นสภาพเดิมของโลกต่อไป หมดความเป็นชาย เป็นหญิง เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นบิดา มารดา เป็นลูกหลานแค่นั้นเอง แต่นี้เราถูกสมมติให้เป็นไปตามสมมตินั้นๆ ไม่ได้เข้าใจว่ามันเป็นจริงเพียงสมมตินั้น แต่ไม่จริงตามความเป็นจริงเลย จึงทำให้หลงผิด คิดผิด เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกสมมติให้เป็นนั้น หารู้ไม่ว่าความจริงนั้นไม่มีอะไรยั่งยืน ย่อมมีเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และมีความแตกสลายไปในที่สุด เป็นสัจธรรมคือความจริงตลอดไป

    เหมือนกันกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นสู่ท้องฟ้า และก็จะตกลับขอบฟ้าไป แม้จะมีผู้ใดปรารถนาจะไม่ให้พระอาทิตย์ตกไป แต่พระอาทิตย์ก็ไม่สนใจกับผู้ใด แม้จะข่มขู่ ด่าว่า กราบไหว้ วิงวอน ก็ไม่เป็นดังนึกได้เลย แต่เราก็ยังหลงผิด คิดว่าเป็นจริงตามสมมตินั้นว่านี่คือบิดามารดาเรา จึงทำให้หลงรักใคร่พอใจ ยึดติดแน่นหนากับสิ่งที่เข้าใจผิดนั้นอย่างลึกซึ้ง ยากที่จะคลายความรักได้ จึงเป็นเหตุเกิดราคะ ความกำหนัดรักใคร่ โลภะ คือความปรารถนา อยากได้ อยากเป็นตามที่ตนปรารถนานั้น จึงทำให้หวงห่วงอาลัย อยากให้สิ่งที่ตนรักนั้นอยู่กับเรานานๆ ตลอดไป ไม่อยากให้พลัดพรากจากเราไป ไม่อยากให้มีอะไร หรือผู้ใดมาขัดขวางความรักความผูกพันกับสิ่งที่เราหวง ถ้าเกิดมีสิ่งใดหรือผู้ใดมาทำให้เราได้พลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราหลงนั้น สิ่งนั้นหรือผู้นั้นก็ต้องเป็นคู่อริกับเรา จึงเป็นเหตุให้เกิดไฟคือโทสะ ได้แก่ความโกรธ เผาลนจิตใจให้เร่าร้อน จนเกิดเป็นการทะเลาะวิวาท ผิดเถียงกันขึ้นไป เป็นบาป เป็นกรรม ตกนรกหมกไหม้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพราะความหลงผิดติดมั่นในสมมตินั่นเอง

    ทางที่ควรปฏิบัติ คือ ให้พิจารณาใคร่ครวญด้วยปัญญาให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง แล้วอย่าหลงยึดติดในสมมติที่เราเป็น ให้ถือว่าเป็นโลกธรรมคือธรรมประจำโลก มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ ยักย้าย ถ่ายเท แปรผันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุขความทุกข์ที่ยั่งยืนตลอดไป ย่อมสมมติว่าเป็นสุข สมมติว่าเป็นทุกข์ สับสนวนเวียนอยู่เสมอไป ไม่แน่นอน ควรสังวรระวัง ทำให้ใจเป็นกลาง คืออย่ายินดีเกินไปในเมื่อประสบกับสิ่งที่รักใคร่พอใจ อย่ายินร้ายในเมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พอใจ ควรรีบตักตวงประโยชน์ในขณะที่เราเป็น คือเป็นลูกที่ดีของบิดา มารดา เป็นมารดา บิดาที่ดีของลูก เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นอาจารย์ที่ดีของศิษยานุศิษย์ เป็นข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่ในทางใดๆ แล้วให้เป็นคนดี เป็นคนที่สังคมต้องการในการงานและหน้าที่นั้นๆ พึงสังวรระวังอย่าทำกรรมอันเป็นบาปอกุศล ทุจริต มิจฉาชีพ อย่าทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยแก่สังคม อันจะเกิดผลให้ได้รับทุกข์โทษอันไม่พึงปรารถนาทั้งในชาตินี้และชาติหน้า แล้วถึงตั้งใจบำเพ็ญตนในทางดี คือรักษาศีล บำเพ็ญสมาธิ และปัญญา เพิ่มนิสัยปัจจัยคือความดีให้ภิญโญยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อจะได้บรรลุซึ่งธรรมอันจะทำให้สิ้นสุดลงซึ่งสมมติบัญญัติทั้งหลาย ไม่ต้องมาเวียนว่าย ประสบสุข ประสบทุกข์ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่มีที่จะจบสิ้นลงได้ ขอให้เราได้พ้นจากแดนสมมติอันเต็มไปด้วยกองทุกข์ทั้งปวงนี้ ขอให้รู้แจ้งตลอดซึ่งวิมุตติธรรมนั้น

    “ให้พิจารณาใคร่ครวญด้วยปัญญา
    ให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
    แล้วอย่าหลงยึดติดในสมมติที่เราเป็น”

    พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _189_104.jpg
      _189_104.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.8 KB
      เปิดดู:
      1,517
    • _211_314.jpg
      _211_314.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.9 KB
      เปิดดู:
      352
  4. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆมานำเสนอสู่กันฟังมากๆค่ะ. อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าผู้ครองบรรชิตใดที่ชอบติดอยู่ในคำว่าสมมติหรืออยู่อย่างผู้เป็นบรรชิตโดยเนื้อแท้ xx
     

แชร์หน้านี้

Loading...