เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน มหาเทวีฯ (ตอนต่อค่ะ)


    นอกจากในเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเลขในหนังสือพยากรณ์แล้ว(อาจจะมีอย่างอื่นในหนังสือด้วย แต่กระทิไม่ได้ถาม) ก็จะคุยกับเธอในเรื่องทั่วไป

    แต่อย่างที่บอกท่านผู้อ่านนะคะ กะทิไม่ใช่คนคุยเก่ง ยิ่งเวลาคุยเราไม่ได้จ้องหน้าเขาแบบเป็นรูปธรรม อีกประการที่สำคัญ และแม้แต่หมอสุวิก็เป็น นั่นคือ การถูกหลอกจากเหล่ามาร และอสูร ที่จำแลงแปลงมาหลอกว่าเป็นคนที่เราคุยด้วย


    อย่างที่เคยเขียนเล่าให้ฟังในกระทู้ก่อนหน้านี้แล้วว่า หากในช่วงที่สมาธิของกะทิดีมากๆ กะทิเธอจะสามารถคาดเดาได้ว่า รถประจำทางสายไหนกำลังจะมาได้ล่วงหน้าด้วยตัวของตัวเองนะคะ แต่ถ้าสมาธิไม่ดี เช่น ใจร้อน ร้อนใจ กำลังจะไปสาย หรือว่าหลังเลิกงานเหนื่อยจากการทำงาน ไปยืนรอรถอากาศก็ไม่ดี ฟ้าก็มืด ใจก็มีอะไรๆ มากะทบเยอะ อย่างนี้ก็ไม่มีสมาธินะคะ


    ดังนี้มีอยู่วันหนึ่งกะทิก็ตัดสินใจเดินกลับบ้าน ไม่อยากรอต่อรถประจำทางเข้าบ้านแล้ว เดินก็ได้ ประมาณ 5 ป้ายได้มั้งคะ (ถือว่าออกกำลังกายลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพไปในตัว)


    ระหว่างที่ตัดสินใจหันหน้ามุ่งหน้าจะเดินไป ก็ได้ยินเสียงคุณเทวีบุปฝาพูดขึ้นมาว่า “หันไปมองสิ รถมาแล้วนะ”


    กะทิเธอก็หันไปมองนะคะ รถประจำทางที่กะทิเธอต้องการขึ้นก็มาจอดที่ป้ายแล้วจริงๆ ค่ะ กะทิเธอรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถที่ป้ายนะคะ ดังนั้นหลังๆ มาก็มีถามคุณเทวีบุปฝาฯ เรื่องรถที่กำลังจะมาอยู่ แต่ก็มีมาร – อสูร มาหลอกคำตอบอยู่นะคะ ซึ่งกะทิเธอก็ปรึกษาหมอสุวิหาทางแก้ไขอยู่ค่ะ


    และที่ติดใจมากๆ ก็คือทำไมเทวีบุปฝาฯ จึงเลือกที่จะมาอยู่กับกะทิเธอ ทั้งๆ ที่น่าจะเลือกไปอยู่กับคนอื่นก็ได้


    คำถามนี้หมอสุวิบอกว่า เป็นเพราะว่าเราเคยมีกรรมร่วมกันมา สำหรับกะทิแล้วอันนี้ก็เป็นคำตอบหนึ่ง แต่ก็เคยถามด้วยตัวเองกับเธอตรงๆ อยู่ครั้งหนึ่งนะคะ


    กะทิ : ทำไมเลือกมาอยู่กับกะทิ ทั้งๆ ที่กะทิมีจิตตั้งมั่นที่จะละวางจากการใฝ่หาความรักทั้งปวง จากการมีคู่ชีวิต จากการมีครอบครัว คุณเทวีฯ ปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ที่ตรงกันข้ามกับกะทิ แล้วเหตุใดจึงเลือกมาอยู่กับผู้ที่มีความคิดตรงกันข้ามเช่นนี้คะ?


    เทวี บุปฝา ทารวดี : เพราะว่ากะทิเธอมีจิตตั้งมั่นจริงจังที่จะละวางหนะสิ กะทิเธอรู้ถึงผลของการมีคนรักว่าไม่ยั่งยืน สักวันหากไปอยู่กินกับเขา หากไม่ลงรอยกัน ก็ต้องเลิกรา หรือหากอยู่กินกันไปจนชรา สุดท้ายก็มีคนใดคนหนึ่งต้องจากไปก่อนอยู่ดี กะทิเธอตระหนักถึงเหตุและผลในสิ่งเหล่านี้ ใจตั้งมั่นของเธอชัดเจนแข็งแกร่งมาก จนยากที่เรา ไม่มั่นใจว่า จะสามารถทำได้


    ถึงตรงนี้กะทิเธอก็ไม่เห็นว่าการละวางจากกามกิเลสมันจะมีความสำคัญมากอะไร เทวีฯ จำต้องเลือกมาอยู่กับกะทินะคะ


    แต่ทว่ากะทิก็ระลึกนึกถึงวันวานในอดีต ที่ไปกินข้าวประชุมแก้งค์ที่บ้านหมอสุวิ วันนั้นก็รวมกันอยู่หลายคน รวมทั้งพี่หนึ่งด้วย

    (กะทิต้องขออนุญาตพี่หนึ่งอีกครั้งที่จะเล่าเรื่องของพี่หนึ่งให้ท่านผู้อ่านฟังนะคะ จำได้เลาๆ นี้นะคะ หากขาดหล่นตกหล่น บกพร่องไปตรงไหน ก็ต้องขออภัยกับพี่หนึ่งและท่านผู่อ่านไว้ ณ ที่นี้นะคะ >>> ปล. หากพี่หนึ่งจะเป็นผู้อธิบายเองจะอธิบายได้ดีกว่ามาก เพราะพี่หนึ่งเธอเป็นคนพูดอธิบายๆ หลักธรรม หลักการอะไรแบบมีสาระได้มากกว่ากะทิเธอหนะค่ะ)


    พี่หนึ่งเคยเล่าว่า เธอเคยทราบจากคนผู้หนึ่งว่า เธอเคยเกิดในสมัยพุทธกาล ซึ่งคำสอนของพระองค์ฯ ที่ให้ละวางจากทุกสิ่ง(ทุกด้าน) รวมถึงกามกิเลส เป็นสิ่งที่พี่หนึ่งวางได้ในสมัยพุทธกาลนั้น แต่แล้วอยู่ดีๆ ใจของพี่หนึ่งในชาตินั้นก็แว้บไปคิดว่า “น่าจะลองมีครอบครัวดูสักหน่อยนะ”

    เมื่อจิตคิดถึงตรงจุดนั้น ณ บัดนั้น จนบัดนี้เธอจึงยังคงมาเกิดเป็นมนุษย์


    และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรารวมตัวกันกินข้าวที่บ้านหมอสุวิ พี่หนึ่งก็ยังพูดกับหมอและเหล่าแก้งค์อีกเช่นกันว่า กามกิเลสนั้นเป็นเรื่องละได้ยากที่สุดของการเป็นมนุษย์ จะมีมารมาล่อหลอก ร่วมรักให้ดูจะๆ แม้แต่ในฝันให้เราไขว้เขวก้สามารถ พี่หนึ่งว่าอย่างนั้นในวันนั้น แล้วก็ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดในวันนั้นเถียงซะด้วยสิคะ? (กะทิตัวน้อยนั่งฟังตาปริบๆ ใจยังคงตั้งจิตเป็นกลาง)


    ขอนิทานจบล่ะค่ะ หมอสุวิรบกวนขยายความถึงความสัมพันธ์ระหว่างมหาเทวีเกษียณสมุทรกับเทวีบุปฝา ทารวดี นะเจ้าคะ แต่จะมาเล่าเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เพราะขณะนี้สถานการณ์ทางมิติอื่นกำลังลุกเป็นไฟไปทั่วจักรวาลอะนะคะ เราก็ทำใจร่มๆ รอ หมอสุวิ กันเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2015
  2. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168

    พี่หนึ่งได้เข้ามาอ่านแล้วนะคะ เธอให้กะทิช่วยเข้ามาเขียนอธิบายแทน (เพราะพี่หนึ่งไม่สะดวกในขณะนี้) ว่า

    ในช่วงที่เปลี่ยนใจ จิตอยากลองมีครอบครัวในความคิดของพี่หนึ่ง

    แว๊บแรกที่อ่านนึกถึงการโดนหลอกล่อให้ยินดีในกามกิเลส
    แว๊บถัดไป คิดว่าบางทีมันเป็นสนามประลองนะ ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ
    แว่บถัดไปอีก การรบ (ใดๆ แม้การบกับกิเลส) ย่อมมีแพ้ มีชนะ

    ในเมื่อเรายังไม่เที่ยงแท้แต่ ทุกสิ่งอย่างเสริมสร้างปัญญาก็ได้ หลงผิดก็ได้

    พี่หนึ่งคิดว่าเราเลือกได้ค่ะ เมื่อมีสติ และปัญญา(สัมมาทิฐิ)
     
  3. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    พอจะฝากคุณกะทิเรียนถามท่านเทวี บุปฝา ทารวดี ได้หรือไม่ครับว่า หนังสือพยากรณ์มีหลักการทำนายอย่างไร เช่น เป็นของวิเศษที่มีจักรพรรดิกายสิทธิผู้รอบรู้สถิตย์อยู่ หรือมีอุปกรณ์เก็บข้อมูลและการคำนวณต่างๆละม้ายกับคอมพิวเตอร์แต่ทรงประสิทธิภาพและมีเทคโนโลยีสูงกว่ามาก ภายในเก็บข้อมูลไว้มากมายและมีเครือข่ายเชื่อมโยงค้นคว้าได้ แบบอากู๋เกิล อยากรู้อะไรก็ค้นหาเอา อุปกรณ์จะวิเคราะห์ข้อมูลและคำนวณได้จากเหตุปัจจัยต่างๆเพื่อพยากรณ์ หรือจะใช้หลักการคิดคำนวณแบบโหราศาสตร์ ฯลฯ แต่ถ้าเป็นความลับก็ไม่เป็นไรครับ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2015
  4. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    แสดงว่าคุณเทวีฯเธอคงจะเห็นภัยของกามกิเลส
    และก็คงอยากจะละวางเหมือนกันรึปล่าวคะ แต่ก็ทำไม่ได้
    หรือทำยากจัง ก็เลยขอมาดูงานกะคุณกะทิละมั้งคะ
    ในบรรดาผู้ที่มีกรรมผูกพันกับเธอ คุณกะทิคงจะ
    เหมาะเจาะที่สุด ณ.เวลานั้นรึปล่าวคะ
    ...เดาล้วนๆนะคะ....

    เพื่อนดิฉันก็เป็นนะคะ ไขว่คว้าหาความรักทั้งชีวิต
    เจ็บแล้วเจ็บอีกก็ไม่เคยจำ ไม่เคยจำตอนเจ็บอะค่ะ
    จำแต่ตอนที่มันสุข ก็เลยผูกติดอยู่แต่กับอารมณ์นั้น

    แต่พูดถึงกามกิเลสนี่ ถ้าถึงขั้นเบาบาง
    ก็ต้องเข้าอนาคามีเลยปะคะ
     
  5. deep listening

    deep listening เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +536
    ตามมาอ่านงานคุณกะทิครับ
    ยอมรับเลยว่าเขียนได้น่าอ่าน น่าติดตามมากครับ
     
  6. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เป็นคำถามที่ดีนะคะคุณ aries

    เป็นคำถามที่น่าคิดทีเดียวค่ะ

    อย่างที่บอกนะคะ โดยปรกติแล้วนิสัยของกะทิเธอตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นคนที่ไม่ใช่เด็กที่รู้จักคิดถามใคร เหมือนตัวเองไม่มีเครื่องนำทาง จึงดูเหมือนไม่ใช่คนขี้อ้อน


    เหตุเพราะประเด็นใหญ่คือ ไม่เคยคิดที่จะอ้อนใคร อ้อนใครเขาก็ไม่ค่อยเป็น จึงไม่รู้วิธีจะพูด และรวมไปถึงถามในสิ่งที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เรามองแต่เฉพาะในมุมของเรา


    ดังนี้ขอตอบคำถามเท่าที่กะทิเธอเห็นนะคะ

    ถาม : หนังสือพยากรณ์มีหลักการทำนายอย่างไร


    ตอบ : เท่าที่เห็น ก็เฉพาะแต่ที่กะทิเธอถาม สิ่งที่ถามมักเป็นเรื่องตัวเลขในศาสาตร์ที่กะทิเธอสนใจ การวางสลับตัวเลขไปมาของตำแหน่งตัวหน้า กับตำแหน่งตัวหลัง ให้พลังเหนือกว่า หรือให้พลังน้อยกว่าหรือไม่อย่างไร? ประมาณนี้นะคะ คุณเทวีก็จะอธิบายให้ฟังแทนการเปิดหนังสือพยากรณ์ให้ดูค่ะ

    สรุปคือ บางทีเธอก็เปิดหนังสือให้ดู บางทีเธอก้พูดแนะนำไปเลย ไม่ได้เปิดหนังสือแต่ประการใดนะคะ เป็นการพูดคุยปรึกษาหารือ น่าจะเรียกอย่างนั้นได้ค่ะ


    ที่คุณ aries ถาม : มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลและการคำนวณต่างๆ ละม้ายกับคอมพิวเตอร์แต่ทรงประสิทธิภาพและมีเทคโนโลยีสูงกว่ามาก ภายในเก็บข้อมูลไว้มากมายและมีเครือข่ายเชื่อมโยงค้นคว้าได้ แบบอากู๋เกิล อยากรู้อะไรก็ค้นหาเอา อุปกรณ์จะวิเคราะห์ข้อมูลและคำนวณได้จากเหตุปัจจัยต่างๆเพื่อพยากรณ์ รึเปล่า?


    ตอบ : อันนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจนะคะ ถ้าใครมีคำถามแนะนำให้กะทิเธอไปถามอย่างนี้ล่ะก็ คราวต่อมากะทิเธอก็จะนำไปถามให้ค่ะ และในความคิดของกะทิเธอตอนนี้ คำถามนี้ทำให้กะทินึกไปถึงหมอสุวิ เดิมที่เธอเคยสอนกะทิให้ตรวจสุขภาพมนุษย์คนอื่น ก็ใช้วิธีเดียวกันกับการตรวจจับเรด้า ซึ่งในตอนที่เรียนกับหมอสุวิใหม่ๆ กะทิเธอจะนิมิตรเป็นแบบจอเรด้าอนาล็อก แต่สำหรับหมอสุวินั้น เธอนิมิตรเป็นแบบดิจิตอลแล้ว (หน้าจอแบบมองเป็นกระจกแบบในเรื่อง Star War ตั้งแต่สมัยที่โทรศัพท์มือถือ ยังไม่มีระบบทัชสกรีน(ยังแพงอยู่) หมอสุวิเธอก็ไปถึงระดับนั้นแล้วค่ะ)

    ดังนั้นเวลาที่บางคราวหมอสอนกะทิ หมอจะรู้สึกไม่ค่อยทันใจที่ยัยกะทิเธอตอบหมอช้า เพราะเราใช้เรด้าคนละรุ่นกันนะคะ


    ดังนั้นกะทิก็คิดว่า การที่กะทิเธอนิมิตรเห็นหนังสือพยากรณ์ของเทวีฯ บางทีอาจเป็นคล้ายๆ กับที่กะทิและหมอสุวิเคยปรึกษาหารือ ฝึกฝนเรียนรู้ ตรวจสุขภาพคนไข้ "คนๆ เดียวกัน" แต่มองเห็นจอเรด้าต่างกันก็ได้

    เช่นเดียวกันคือ หนังสือพยากรณ์เล่มเดียวกัน แต่กะทิเธอมองผ่านหน้าจอเรด้าแบบอนาล็อก ขณะที่ไม่แน่ว่าเทวีฯ อาจจะมองหน้าจอเป็นเรด้าเป็นแบบดิจิตอลก็ได้นะคะ


    ไม่รู้ว่าอธิบายแล้วทำให้ งง รึเปล่านะคะ แต่คิดว่าบางคนคงอ่านแล้วพอเข้าใจนะคะ

    ขอบคุณคุณ aries ที่แนะนำคำถามค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  7. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ถาม : เพื่อนดิฉันก็เป็นนะคะ ไขว่คว้าหาความรักทั้งชีวิต เจ็บแล้วเจ็บอีกก็ไม่เคยจำ ไม่เคยจำตอนเจ็บอะค่ะ จำแต่ตอนที่มันสุข ก็เลยผูกติดอยู่แต่กับอารมณ์นั้น

    ตอบ : จะเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าเพื่อนคุณ Lazaza หรือใคร หากยังคงเวียนวนอยู่เช่นนี้ ใจไม่เข้มแข็ง แม้เกิดใหม่ก็ยังจะมีนิสัยเดิมติดไปด้วย ดังนี้หากไม่พยายาม "ทำใจ" ในชาตินี้ หากเวียนวนไปในชาติใหม่ ก็จะคงยังมีนิสัยแบบนี้ติดตัวไปด้วยค่ะ


    ถาม : แสดงว่าคุณเทวีฯเธอคงจะเห็นภัยของกามกิเลส และก็คงอยากจะละวางเหมือนกันรึปล่าวคะ แต่ก็ทำไม่ได้ หรือทำยากจัง ก็เลยขอมาดูงานกะคุณกะทิละมั้งคะ ในบรรดาผู้ที่มีกรรมผูกพันกับเธอ คุณกะทิคงจะ เหมาะเจาะที่สุด ณ.เวลานั้นรึปล่าวคะ?


    ตอบนะคะ : เรื่องเทวีกะทิเธอก็ไม่ค่อยจะทราบเท่าไหร่ เพียงแต่หมอสุวิเคยบอกว่า เพราะมีกรรมผูกพันกัน และจากการคุยกับเทวีฯ ... เทวีฯ ให้เหตุผลเพราะกะทิเธอมีจิตตั้งมั่นละวางจากกามกิเลสเพียงเท่านั้นนะคะ


    แต่ความจริงในเบื้องลึก ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ กะทิเธอก็มีจิตตั้งมั่นขึ้นมาได้เอง โดยไม่มี "เหตุ" และ "ผล" มารองรับ ที่ทำให้จิตของเธอพยายามมีความเข้มแข็งในการละสิ่งนี้นะคะ


    (จากที่กะทิเธอเห็นในนิมิตร หลังจากที่ในปีก่อนโน้น ได้ขอขมาและอโหสิกรรมกับพี่ดอกแก้ว พี่สาวในอดีตชาติ (นามสมมติ) หลังจากนั้นพี่สาวก็บอกว่า หลังจากนี้เธอจะได้เห็นเหตุ (เห็นอดีตของเธอ นิสัยในปัจจุบันของเธอบางอย่าง ก็ยังคงติดมาเป็นนิสัยที่เป็นอยู่ในชาตินี้) เวลาผ่านไปหลายเดือนอยู่นะคะ ในวันนั้นขณะที่เขียนคุยเล่นเฟสบุ๊กอยู่กับพี่สาว(ตอนนั้นยังติดต่อกันอยู่) อยู่ดีๆ ก็มีภาพวิ่งเข้ามาเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ต้นจนจบให้เห็นอะนะคะ กะทิเธอเขียนลงไปเล่าภาพที่เห็นให้พี่สาวฟังด้วย แทบจะไม่ทัน เขียนไปน้ำตาก็ซึมไป ในภายหลังก็นำมาทำความเข้าใจ (คิดเงียบๆ ลำพัง) ร้อยเรียงตั้งแต่ต้นเรื่องใหม่อีกครั้ง ถึงเหตุและผลที่เกิดขึ้นหนะคะ)


    ดังนี้มันย่อมมีที่มาที่ไปค่ะ ซึ่งเป็นผลสะสมมาจากอดีตชาติ ไม่ได้ตัดใจเก่งกาจอะไรนัก หากไม่มี "เหตุที่รุนแรง"


    เรื่องนี้จะเอามาเขียนเป็นนิทานนะคะ แต่ว่าพยายามคิดเท่าไหร่ว่าจะเริ่มต้นเขียนยังไง มันก็คิดไม่ออกหนะค่ะว่าจะเริ่มเล่าอย่างไรดี (นี่เป็นที่มาที่ไปของชื่อเรื่องของนิทาน "พลังอธิษฐานของกะทิด้วยหนะคะ") แบบว่าอยากเขียนเล่าเนี่ย ก็มีมีผลเสียต่อตัวของกะทิเองด้วยนะคะ


    แต่ทว่า การเขียนนี้ก็เพราะมีจุดประสงค์หลักในการต้องการไถ่โทษ ขอขมากรรมและขออโหสิกรรมต่อบิดามารดาและพี่สาวในชาตินั้น(ที่เกิดเรื่องนี้)เป็นเป้าประสงค์หลักค่ะ ใครจะอยู่ดีๆ อยากมาแฉเรื่องส่วนตัวของตัวเองเสียๆ หายๆ นะคะ เป็นเรื่องที่ทำให้ตัดสินใจเขียนเล่าไม่ได้สักทีนั่นเองค่ะ ยังไงท่านผู้อ่าน อ่านแล้วก็ช่วยสาธุให้เป็นผลพลังในการขอขมาและอโหสิกรรมด้วยนะคะ




    นิทานเรื่อง พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน ผลของอดีต เหตุของปัจจุบัน


    กะทิเขียนร่างสดๆ ละกันนะคะ (ความจริงเขียนไว้จนเกือบจบเรื่องแล้ว แต่มันก็ยังรู้สึกเขียนแล้ววกไปวนมา คุณ Lazaza ถามขึ้นมาก็พอดีเลยค่ะ เขียนเล่าใหม่สดๆ ละกันนะคะ)



    ทุกอย่างในโลกย่อมมีที่มาที่ไป หรือก็คือ ย่อมีเหตุและผลของมัน โดยเรื่องนี้มี "เหตุ" และ "ผล" ดังนี้


    ผล : เป็นแรงอธิษฐานที่รุนแรงในอดีตชาติ ที่ได้รับรู้ผลลัพธ์ของความร้ายกาจของความรักค่ะ


    เหตุที่จะส่งผลในเบื้องท้าย >>>เป็น ... ผลจากที่เธอต้องการยึดเกี่ยวความรักไว้ เพราะถ้าไม่มีบ้านสามีคุ้มหัว เธอจะไม่มีที่อยู่ (คนสมัยโบราณ พอออกเรือนไปแล้ว ภรรยาจะเป็นสมบัติของสามี ถ้าไม่ยึดเกี่ยวสามีไว้ เธอก็จะไม่มีที่คุ้มหัว หรือไม่มีอยู่นั่นเองนะคะ)


    สามีในอดีตชาติของเธอ มียศมีตำแหน่ง คนในสมัยโบราณ หากใครมีตำแหน่งยศสูงๆ ก็จะมีภรรยามาก เหตุที่ต้องมีภรรยามาก ไม่ใช่ว่าสามีไปหามา แต่ว่า เธอถูกยกให้เป็นสมบัติของสามี โดยพ่อแม่ของเธอ


    เหตุ : ที่เพราะพ่อแม่ยกให้ >>> เพราะพ่อแม่ต้องการรักษาฐานะของตนเองเอาไว้ให้ยังคงเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่ในวงสังคมได้ต่อไป (การสร้างเครือข่าย ชั้นวรรณะในสังคมผู้ดีมักจะเป็นเช่นนี้ เช่น สมมตินะคะ สมมติว่า พ่อเป็นเจ้าคุณกรมโยธา อยากจะได้รับอนุมัติสตางค์มาสร้างทางหลวงพิเศษง่ายๆ ก็จะต้องไปขอจากเจ้ากรมการคลัง แต่ว่าไม่มีเส้นสาย ไม่รู้จักใคร จึงต้องสร้างเครือข่าย ถ้าไม่ใช่แป๊ะเจี๊ย ก็ต้องเป็นเครื่อข่ายญาติ จึงสร้างเครือข่ายมีญาติเป็นคนในกระทรวงกรมด้วยการเกี่ยวดองจัดแต่งคลุมถุงชน ลูกสาวลูกชาย เป็นต้น)


    พ่อผู้นี้เดิมก็มีภรรยาหลายคน(เพราะพ่อมียศตำแหน่งสูง ย่อมมีภรรยามาก) ด้วยเหตุนี้ พ่อจึงมีลูกสาวหลายคน หนึ่งในนั้นชื่อกระถิ่น กับดอกแก้ว (นามสมมติ) ลูกสองคนนี้สนิทกันมาก กินข้าวด้วยกัน เล่นด้วยกัน นอนด้วยกัน ปรึกษาหารึกัน รู้ใจกันและกัน วางใจกันและกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย


    เพื่อรักษาดำรงค์ศักดิ์ของตระกูลให้คงมีหน้ามีตาในสังคม (เปรียบไปก็เหมือนสังคมเครือข่ายในสมัยนี้นะคะ) พ่อจึงยกลูกสาวให้ไปคนหนึ่งกับคุณหลวงคนหนึ่ง

    "แต่อย่ากระนั้นเลย กลัวลูกจะเหงา ก็เลยยกให้ไปสองคน พี่น้อง จะได้ไม่เหงา" คุณหลวงผู้นี้จึงได้ภรรยาใหม่มายังเรือนของคนในครั้งคราเดียว สองคน


    การเปลี่ยนเรือนอยู่ ก็ต้องทำตามกฎบ้านใหม่ บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง นะคะ


    ผู้ออกกฎบ้านที่สองพี่น้องย้ายมาอยู่ใหม่ ไม่ใช่คุณหลวง หากแต่เป็นภรรยาเอก หรือภรรยาหลวงนะคะ (ซึ่งปัจจุบันเธอกก็ยังติดนิสัยเจ้ากี้เจ้าการเหนือกว่าสามีของเธอ คล้ายเดิมเป๊ะค่ะ) (ก็สามีเธอใหญ่นอกบ้านแล้ว ในบ้านก็ต้องเป็นหน้าที่ของธอนะคะ ประมาณนี้ค่ะ สามีเธอก็ยอมนะคะ แบบว่าไม่อยากเมื่อยหูฟังเสียงภรรยาพึมพัมเสียงดังหนะค่ะ ให้มีน้อยก็ใจดีมากมายถมไปแล้ว (ในอดีตชาตินะคะ)

    /ยังมีต่อ

    ยังไม่ถึงเบื้องท้ายนะคะ เพราะเบื้องท้ายนี่แหละที่ทำให้อดีตชาติของยัยกระถินได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้รุนแรงค่ะ


    ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขอใช้เรื่องเล่านี้เพื่อกล่าวรับผิดหากนิมิตรในการเห็นอดีตชาติของตนเองตามบทความที่ข้าพเจ้าเขียนข้างต้นนี้เป็นจริงโดยสัจจะ ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอขมาและขออโหสิกรรม ต่อบิดามารดาในชาติที่ข้าพเจ้าได้เขียนเล่าเรื่องนี้ และขอขมาและขออโหสิกรรมต่อพี่สาวของข้าพเจ้าในเรื่องที่ได้เคยล่วงเกินไว้(ซึ่งก็ได้เคยขอขมาและอโหสิกรรมต่อกันและกันไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว) แต่หากนิมิตรที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นบิดเบือนมีมารหรืออสูรตนใดมาแทรกให้นิมิตรนี้ไม่เป็นจริงโดยสัจจะแล้วไซร้ ก็ขอให้นิทานนี้ คงเป็นเพียงนิทานเท่านั้น บุญใดที่เกิดขึ้นจากการขอขมาและอโหสิกรรมจากบิดามารดาและพี่สาวของข้าพเจ้าในอดีตชาติที่ข้าพเจ้าได้เขียนเล่าเรื่องเอาไว้ให้ผู้อ่านนี้มีอยู่บ้างแล้วไซร้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชาบุญนี้แด่ สังฆราชราชา ซูเปอร์บาบา องค์พระปฐม องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า องค์ปัจเจกพระพุทธเจ้า และพระธรรมในพระพุทธศาสนา ขอบุญที่ข้าพเจ้าน้อมถวายแล้วนี้ จงเป็นพลังบุญเติมเต็มมหาสมุทรแห่งบุญของข้าพเจ้าที่เป็นจริงโดยสัจจะ ให้เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไปไม่มีเหือดแห้ง ข้าพเจ้าสามารถนำมาใช้ได้ไม่รู้พร่อง ขอให้ข้าพเจ้ามีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุข มีดวงตาเห็นธรรม เข้าใจสัจจธรรมแห่งการดับทุกข์ ทั้งเมื่อมีชีวิตอยู่และไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ตลอดจนข้าพเจ้าหลุดพ้นจากสังสารวัฎ เข้าสู่พระนิพานในสากลจักรวาลที่เป็นจริงโดยสัจจะเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2015
  8. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    เห็นตามที่คุณกะทิว่าจริงๆนะคะ
    นิสัยเดิมๆติดตามเรามา กรรมผูกพันต่างๆคอยสร้างวาระและโอกาส
    และเราก็จะยังคงตอบสนองโอกาสนั้นๆด้วยนิสัยเดิมๆ
    วนเวียนไปเหมือนหนูวิ่งวนในวงล้อ เราก็ไม่ต่างจากหนูนั่น

    สติในปัจจุบันจะเป็นตัวเริ่มต้นให้เราหลุดรอดจากวงล้อได้
    เมื่อใดที่เราตื่นจากการหลับใหล มีจิตตื่นรู้อย่างจิตพุทธะ
    ไม่ปล่อยให้อารมณ์และกิเลสมาปิดบังความจริง
    เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงลิขิตของตนได้บ้าง
    เหมือนเราค่อยๆแก้ปมเชือกที่ถูกผูกจนยุ่งเหยิง
    ด้วยความอดทน ตั้งมั่น ซักวัน ปมนั้นก็จะค่อยๆหมดไป

    ดิฉันมีความเข้าใจอย่างนี้ไม่ทราบว่าเข้าใจผิดมั้ยคะ
     
  9. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    นั่งรอร้อ...รอเรื่องเล่า ทำไมหยุดสงกรานต์กันนานจังเลยอะคะ
    งั้นขอเล่านิทานขั้นเวลาระหว่างรอนะคะ ตั้งใจไว้ว่าถ้าเรื่องจบแล้วจะมาเล่าน่ะค่ะ
    ด้วยตอนนี้คิดว่าเรื่องราวน่าจะจบลงแล้ว เพราะอาการทางกายเนื้อดูเหมือนจะเป็นปกติแล้ว
    แต่เรื่องทางมิตินี่ไม่ทราบนะคะ ต้องถามท่านอาหมอสุวิค่ะ

    จากความเดิม
    มีต่อ...
     
  10. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    รวมๆแล้ว ความเจ็บป่วยกินเวลาตั้งแต่ ปลายปี 2556 มาจนถึง
    ต้นปีนี้ 2558 (จนสภาพกลับมาเป็นปกติ) เป็นเวลาทั้งหมดปีกว่าๆนะคะ
    อยากจะลงรูปอาการตอนที่เป็นหนักๆให้ดู จะรับกันได้มั้ยคะ 555
    เพื่อเป็นวิทยาทาน ธรรมทาน อะไรๆ ฯ เอาไปดูเลยแล้วกัน เหอๆ...

    lip1_zpsajydx02g.jpg lip2_zpsbeekb7mt.jpg

    lip3_zps6bwowg9u.jpg lip4_zpste0yvovy.jpg

    รอบๆปากนี่แดงหมด เหมือนโดนตบปากมาเลยนะคะ
    อาการนี่มีตั้งแต่ แห้ง ตึง ลอก บวม แสบ คัน มีน้ำเหลือง
    ไหลออกมาด้วย สยองมั้ยคะ แต่คนรอบข้างนี่ไม่มีใครทราบ
    เลยนะคะว่าเป็นหนักขนาดนี้ เค้าเห็นแต่ว่ามันดูบวมๆแดงๆ
    เพราะดิฉันจะแต่งหน้าเอาแป้งโปะๆๆปิดไว้น่ะค่ะ
    แต่ถ้าวันไหนน้ำเหลืองไหลหนักๆนี่แป้งโปะไม่อยู่นะคะ
    ต้องใส่ผ้าปิดปากเลย ช่วงนั้นไม่สังสรรค์พบปะใครเลยนะคะ

    ช่วงที่เป็นหนักๆนั้น รู้สึกหดหู่ในจิตใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่า
    เราโดนกลั่นแกล้ง และเค้าทำกับเราเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เรา
    ไม่มีทางต่อสู้เลย จึงคิดว่าจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมบ้าง
    ตัวเองไม่ได้มีความสามารถอะไรนะคะ เพียงแต่คิดว่า ขนาด
    จุดธูปอธิษฐานทั่วไป เบื้องบนท่านยังได้ยินเลยนะ นี่ถ้าเรา
    ไปพูดในสมาธิเนี่ย น่าจะถึงเหมือนกัน

    แปลกนะคะ เวลาที่หดหู่ซึมเศร้านี่ เข้าสมาธิดี๊ดี ไม่รู้ทำไม
    ก็พอนั่งได้สงบดี ก็เอาเลยค่ะ บอกเล่าเรื่องราวคร่ำครวญไป
    เค้าเลยหาว่าเราขี้ฟ้อง หลังจากฟ้องเสร็จก็นั่งนิ่งๆเคลิ้มๆไป
    ก็ได้ยินเสียงแว่วๆว่า “ให้พญาครุฑช่วย” ก็คิดว่าตัวเองคงจะ
    เพ้อไปเอง แต่ก็ไปเล่าให้ท่านอาสุวิฟัง ท่านก็เช็คให้
    แล้วบอกว่ามีครุฑมาจับนาคจริงๆ ก็เห็นว่ากวาดไปหมดนะคะ
    ดูซิ มาเล่นงานเราคนเดียว แค่มาแค่ตนเดียว เราก็ไม่มีปัญญา
    สู้อยู่แล้ว นี่ขนมาทั้งแก๊ง เราก็เละสิคะ

    แต่จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เรารู้ชัดว่า เรานี่ไม่ได้อยู่คนเดียวเลยนะ
    มีผู้คอยดู คอยฟัง คอยช่วย เราอยู่ตลอดเลย เพราะฉะนั้นท่านอื่นๆ
    บางทีท่านอาจจะนึกน้อยใจในโชคชะตา ท่านอาจไม่รู้หรอกว่า
    บางทีเบื้องบน ใครต่อใครอาจวิ่งวุ่นช่วยเหลือท่านอยู่ ผลมันอาจจะ
    ไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวัง แต่ท่านก็ไม่รู้หรอกว่า หากใครต่อใครไม่ได้
    ช่วยเหลือท่านไว้ ท่านอาจจะแย่กว่านี้ก็เป็นได้

    มีต่อ...
     
  11. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    แต่นึกว่าเรื่องจะจบ กลับไม่ใช่นะคะ ผู้เป็นลูกโดนจับ
    แต่ผู้เป็นพ่อกลับมาสานต่อการแก้แค้น ช่วงนั้นดิฉันก็อาการขึ้นๆลงๆ
    เพราะโดนสารพัดเชื้อที่เค้านำมาใส่ ตั้งแต่ สะเก็ดเงิน ปากเท้าเปื่อย
    อีสุกอีใส ไรในเลือด เหอๆ ส่วนตัวนี่ไม่รู้เรื่องหรอกนะคะว่าโดน
    เชื้อพวกนี้ ถ้าท่านอาหมอสุวิไม่บอก รู้อย่างเดียวค่ะว่าเละมาก

    ท่านอาหมอสุวิท่านก็เมตตารักษาให้ดั่งคนไข้ ไอซียู เพราะต้อง
    ดูอาการเป็นระยะๆ นอกจากนี้ท่านก็ยังเมตตาต่อรองกับคู่กรณีให้
    จนดิฉันระอายใจและเกรงใจคุณหมอมาก เพราะคู่กรณีนี้เป็นผู้
    ไม่รักษาคำพูดเลย ตกลงแล้วก็พลิกลิ้นตลอด

    แต่กระนั้นท่านอาสุวิก็ยังเมตตาสอนธรรมให้ดิฉันรู้จักให้อภัย
    และรู้จักวางอุเบกขา จะได้ไม่ผูกกรรมผูกเวรต่อกัน ซึ่งตัวเอง
    ก็พยามทำและก็เข้าใจว่า เราก็ทำอยู่นี่นา
    “หนูไม่ได้โกรธเค้าเลยนะคะ” (จริง จริ๊งงง ...เสียงสูง555)
    แต่ทำไมท่านอาทักบ่อยจังนะ เรื่องให้อภัยเนี่ย หรือว่าเรายังทำไม่ถูก
    เดือดร้อนต้องไปเปิดตำราหาความหมายของการให้อภัยกันใหม่
    ก็ได้ความหมายมาดังนี้ค่ะ คัดมาบางส่วนนะคะ

    “โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน
    โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการ
    บริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิต
    โดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น ….

    ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา
    ก็ย่อมอภัยให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการ
    ให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะ
    ไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน”

    ..พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร..

    อ้อออ ซึ้งค่ะ เพราะเราคิดอยู่เสมอว่า “ชั้นไม่โกรธเธอก็ได้
    แต่เธอก็เลิกเบียดเบียนชั้นสิ” ...นี่มันยังไม่ใช่การอภัยที่แท้จริงสินะ...
    ก็ต้องมาฝึกใหม่ และยังคงต้องฝึกต่อไป สำหรับคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่
    2 ข้อนี้ การให้อภัย และการวางอุเบกขา .... ยากจริงๆนะคะ

    มีต่อ...
     
  12. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ขอบคุณค่ะ ที่เล่าให้ฟัง เพิ่งเห็นกับตาครั้งแรก เฉพาะเจาะจงที่ปากด้วย
     
  13. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ตอนหลังมาอีก ได้รับทราบเรื่องราวจากคุณอาสุวิว่า นาคผู้พ่อนั้น
    เนื่องจากเกเรมาก เลยถูกกักบริเวณ (โดยผู้ใดนั้น ดิฉันก็จำ
    รายละเอียดไม่ได้นะคะ) แต่กระนั้นเธอก็ยังใช้ให้ผู้อื่นมา
    ทำร้ายดิฉันแทนอยู่เรื่อยๆ จนดิฉันเกิดคำถามถามอาหมอสุวิไปว่า
    ไม่มีใครดูแลหนูเลยเหรอคะ ทำไมโดนใครๆเข้าถึงได้ง่ายจัง
    ก็ได้รับคำอธิบายว่า มันเป็นช่วงดวงตก เป็นวาระกรรมของดิฉันเอง
    ช่วงดวงตกนี้ เป็นช่วงที่พลังชีวิต(ออร่า)อ่อนแอ อะไรๆก็เข้ามาได้ง่าย
    ทุกคนต่างก็มีวาระกรรมเป็นของตนหลีกเลี่ยงไม่ได้
    (ตรงนี้หนูอธิบายถูกมั้ยคะคุณอา) ก็เข้าใจแระ เลยก้มหน้า รับสภาพไป...

    จนในที่สุด ก็มีท่านนาค(ท่านอื่น)มาช่วยจัดการให้ ด้วยเห็นว่า
    พ่อนาคนี้อันธพาลเค้าไปทั่ว ดิฉันเลยคิดเอาเองว่า อาจจะมีผู้อื่น
    ที่โดนรังแกนอกเหนือจากดิฉันเหมือนกัน ท่านจัดการ
    โดยใช้วิธี ”พิษยอกพิษ” (ไม่แน่ใจว่าเรียกอย่างนี้จะถูกมั้ยนะคะ)
    คือ หากพ่อนาคนี้ใช้พิษทำร้ายใครอีก เค้าก็จะเจ็บด้วยเหมือนกัน
    รายละเอียดดิฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะคะ แล้วก็โดนส่งมาให้
    ท่านอาสุวิดูแลความประพฤติใช่มั้ยคะ

    ท่านนาคที่มาช่วยนี้ท่านคือผู้ใดคะ ด้วยความซึ้งให้พระคุณ
    ดิฉันจึงสอบถามคุณอาสุวิไป ได้รับคำตอบว่า ท่านเป็นนาคที่
    ดูแลสมเด็จองค์ปฐม และประจำอยู่ที่ซุ้มประตู ข้างพระพุทธชินราช
    ที่พิษณุโลกโน่นแน่ะ ... โอ้โห เป็นความเมตตาของสมเด็จองค์ปฐม
    และท่านนาคแท้ๆ ที่ท่านยังอุตส่าห์เห็นถึงความทุกข์ร้อนของเรา
    ทุกวันนี้ยังระลึกถึงท่านอยู่เสมอเลย

    แต่ด้วยมันเป็นวาระกรรมของดิฉันนะคะ ซึ่งดิฉันไปทำอะไรไว้ในชาติไหนนั้น
    ดิฉันก็ไม่ทราบนะคะ ทราบแต่เพียงเป็นกรรมทางวาจา อาการของดิฉันก็เลย
    ยังขึ้นๆลงอยู่ ยังเห็นสภาพว่าไม่ปกติอยู่ แต่ก็ไม่หนักเหมือนช่วงแรกๆแล้ว
    อาหมอสุวิท่านบอกให้อดทน และทำบุญอุทิศส่วนกุศล ขออโหสิกรรม และให้
    อโหสิกรรมไปเรื่อยๆ หลังจากนั้น คุณอาสุวิท่านบอกว่า ดวงเริ่มขึ้นแล้ว
    อาการดิฉันก็ยังดูเป็นทรงๆอยู่ แล้วก็ค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ จนอาการทาง
    กายเนื้อค่อยๆดีขึ้นจนเป็นปกติในที่สุดเมื่อประมาณต้นปีนี้ค่ะ 2558

    จบ...


    ทั้งนี้บุญใดที่ลูกทำไว้ดีแล้ว และบุญจากการเผยแพร่เรื่องราวนี้ ลูกขอนำบูชาต่อผู้มีพระคุณทั้งหลายที่ได้ช่วยเหลือลูกไว้ อันมีสมเด็จพ่อองค์ปฐมเป็นที่สุด ท่านครุฑ ท่านนาค ท่านอาสุวิ
    และอีกหลายๆท่านที่ลูกไม่ทราบ บุญใดที่ก่อเกิดขึ้นแล้วนี้ขอให้มีแก่ นาคคู่กรณีทั้งหลาย ท่านเจ้ากรรมและนายเวรและเหตุแห่งวิบากกรรมทั้งปวง หากมีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยประมาท
    พลาดพลั้งล่วงเกินทั้งทางกาย วาจา ใจ จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขอให้ท่านได้โปรดให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า และสิ่งใดที่ท่านได้ล่วงเกินต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้อโหสิกรรมแก่ท่าน
    ขออย่าได้มีสิ่งใดติดค้างต่อกันอีกเลย
     
  14. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เขาเรียก ซุ้มเรือนแก้วจ้า
    ซุ้มเรือนแก้วนี้ มีนาคอยู่สองตนรักษาอยู่
    และที่ เลยจากเศียรนาคออกมาทั้งสองด้าน (ข้างๆหัวเข่าท่าน)
    ด้านหนึ่งเป็นยักษ์ ด้านหนึ่งเป็นอสูร
     
  15. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    แล้วท่านผู้นี้เล่า ไม่คิดให้อโหสิกรรม ให้อภัยทาน ให้ผู้อื่น บ้างหรือ
    ก็เธอผู้นั้น มาแย่งความรักของแม่(ที่ควรจะได้รับจากพ่อ)
    และเธอผู้นั้น ก็มาแย่งความรักของพ่อ ไปจากตัวเธอเอง

    การให้อภัยทานผู้อื่นได้ เท่ากับให้อภัยตนเอง
    ความโกรธแค้นผู้ที่มาพรากความรัก ผูกพยาบาท และขอแก้แค้นคืน เป็นปฐมเหตุ แห่งเรื่องราว ก่อความทุกข์ ก่อเกิดหมุนเวียนไม่จบสิ้น
     
  16. jarujun

    jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เรื่องนั้นจำไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าจำได้ก็อโหสิให้ค่ะ เรื่องของพ่อแม่ไม่ใช่ของเรา
     
  17. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    อ่านคำตอบแล้ว อภัยทาน และการอโหสิกรรม คงไม่อาจเกิดขึ้นได้
    บุญอันเกิดจากอภัยทาน ถึงท่วมดิน ท่วมฟ้า ท่วมจักรวาล ก็ยังคงเกิดขึ้นไม่ได้ คงยังไม่ถึงเวลาจริงๆ

    การแก้แค้นจองเวรครั้งนี้ ก็ยังคง ยืดเยื้อ อีกแสนนาน(เป็นกัปป์เป็นกัลป์)
    และยังคงต้องสร้างบุญและกรรมใหม่ๆซ้อนทับให้ยุ่งเหยิงต่อไปอีก
     
  18. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    มีผู้ถามหมอสุวิ หลังไมค์ว่า

    หมอสุวิจึงตอบเธอไปว่า

    เราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ต่างดาวทั้งสิ้น

    ตามหลักฐานในพระไตรปิฎก จิดต่างดาวพวกแรกที่มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นพวกอภัสราพรหม
    หลังจากนั้น ก็ยังมีทะยอย กันมาเรื่อยๆ อีกหลายเผ่าพันธุ์
    แม้ปัจจุบัน ก็ยังมีมา

    ดังนั้น คุณ xxxx จึงเป็นหนึ่งในดวงจิตต่างดาวที่มาอยู่ มาถือกำเนิดในโลกมนุษย์ ในยุคหลังๆ

    พวกที่มาอยู่เก่าแก่ พลังงานประจำตัว(ออร่า)ที่ห่อหุ้มตัวอยู่ จะอยูที่ประมาณ ๙๐-๑๕๐ หน่วย อาชวิน โดยประมาณ
    หากมีพลังออร่าสูงกว่านี้ (ประมาณ ๑๕๐-๒๕๐-๓๐๐ หน่วย) ก็เป็นพวกเทวดาหรือพรหม มาเกิด(ยังอยู่ในสามโลก)
    แต่หากสูงเกิน ๒๘๐ ขึ้นไป นี่ส่วนใหญ่จะมาจาก จักวาลนอก สามโลกขึ้นไป
    (ความรู้นี้ ได้จาก อ.ตาที่สาม - และระดับออร่าที่กล่าวถึง เป็นออร่าตามธรรมชาติ จากการถือกำเนิด และไม่ผ่านการฝึกฝนใดๆ)

    คุณ xxxx ที่เรากำลังพูดถึง พบกันครั้งแรก ออร่าของท่านผู้นี้ก็พุ่งกระฉูดอยู่ประมาณ ๓๘๐-๔๐๐ หน่วย
    วันนี้หลังจากผ่านการฝึกฝนมาอีกกว่าห้าปี พลังออร่าของท่านนี้ ก็พุ่งเกินกว่า ระดับ ๔,๐๐๐ หน่วยแล้ว

    ผู้ฝึกพลังจักรวาล ที่สามารถส่งพลังรักษาทางไกลได้ พลังออร่าก็จะอยู่ที่ ๒๐๐ หน่วยขึ้นไป(ระดับพอทำได้ - หากจะให้ดีควรอยู่ที่ระดับ ๒๕๐ หน่วย ขึ้นไป)
    ระดับ มาสเตอร์ของพลังจักรวาลนี่ ออร่าเขา ไม่ตำกว่า ๑,๐๐๐.- หน่วย สักคน
    เคยพบซุปเปอร์พลังจักวาลนี่ ออร่าเขาหก-เจ็ดหมื่น หน่วยเชียวนะ

    ดังนั้นคำถามที่ว่า ท่านผู้นี้มีพลังในการบำบัดรักษาได้หรือไม่ ก็คงไม่ต้องตอบแล้ว

    อย่างไรก็ดี ไม่ว่าพลังจะสูงส่งแค่ไหน ก็ยังอยู่ใต้กฏแห่งกรรม
    การรักษาก็รักษาได้เท่าที่กฏแห่งกรรมอนุญาติ

     
  19. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    สวัสดีครับ อ.สุวิ ผมอยากทราบวิธีวัดพลังออร่าครับ...เราจะรู้ได้อย่างไรครับ
     
  20. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    เอาตามที่ อ.ตาที่สามสอนไว้นะครับ
    ท่านว่า พลังหรือแสงออร่า ที่กระจายออกจากตัวไปได้ไกล ๑ เมตร ให้เรียกว่ามีออร่าหรือมีพลัง ๑ หน่วย

    ถ้าออร่าของไคร กระจายออกไปได้ไกลสุดเท่าไหร่ (สมมุติว่า ๒๑๕ เมตร) ท่านผู้นั้นก็มีออร่า เท่านั้นหน่วย(คือมีออร่า ๒๑๕ หน่วย)

    อันนี้ต้องมีมีตามองเห็น หรือมีจิตสัมผัสการแผ่รังสีของพลัง หรือออร่าได้นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...