กายทิพย์ ประสบการณ์นอกกายเนื้อ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 8 กรกฎาคม 2005.

  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>

    โดย*YINGTHAI* สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    มีประสบการณ์เร้นลับจากการฝึกจิตอย่างหนึ่งซึ่งน่าสนใจและน่าพิสูจน์ นั่นคือเรื่องของการลอดจิตจน "กายทิพย์" สามารถแยกออกจากกายเนื้อไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆหรือแม้แต่ใน "โลกทิพย์" ภพภูมิของวิญญาณได้ โดยที่กายเนื้อยังมีชีวิตอยู่
    การฝึกถอดจิตนับเป็นหนึ่งใน 8 ศาสตร์วิชาทางศาสนาพุทธซึ่งเชื่อกันว่าในประเทศไทยมีผ็ที่มีความสามารถทางด้านนี้หลายท่าน นับแต่พระเกจิอาจารย์ที่มีอภิญญาณชั้นสูงหลายๆรูปหรือแม้แต่ฆราวาสที่เป็นนักปฏิบัติธรรมชั้นสูงบางท่านก็สามารถทำได้ อย่างนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานจึงอยากจะพาไปรู้จัก ท่านนี้คืออาจารย์ยุทธพงษ์ แสงอรุณกุศล ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะมากมาย ซ้ำยังมีประสบการณ์จากสมาธิหลายเรื่องที่จะเล่าให้เราฟัง
    อาจารย์ยุทธพงษ์เล่าให้เราฟังว่าท่านสนใจในเรื่องของพลังอำนาจจิตและวิญญาณมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2510 ที่ไหนมีการแสดงพลังจิต มีการประทับทรงท่านก็ชอบไปศึกษาแต่ในระยะแรกจะเป็นไปในลักษณะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการปฏิบัติอย่างจริงจังเพราะต้องการจะรู้ว่าเรื่องของพลังจิตและวิญญาณม่จริงหรือไม่และที่สำคัญคืออยากจะรู้ว่าทำไมคนเราจึงต้องมาเกิด อาจารย์ได้เริ่มต้นเล่าประสบการณ์ของการฝึกจิตให้เราฟังว่า
    "ผมเริ่มสนใจปฏิบัติสมาธิจริงๆตอนอายุ 26 อาจเป็นบารมีเก่ามาหนุนให้เรามีความสนใจเรื่องนี้ จึงทำให้เราอยากไปดู อยากไปเห็น ฝึกครั้งแรกก็เป็นสมาธิธรรมดา พุทโธๆต่อมาผมได้พบกับอาจารย์ซึ่งเป็นท่านแรกที่สอนผมให้มอง "กึ่งกลางระหว่างคิ้ว" คนที่สอนผมคนนี้เป็นคนลาวนะเขาสอนผมแค่ให้หลับตาและมองกึ่งกลางระหว่าคิ้วให้รวมจิตให้เป็นหนึ่งแล้วกายทิพย์จะแยกออกจากร่างไปเที่ยวตามที่ต่างๆที่เราปรารถนาจะไปได้ ท่านสอนเพียงเท่านี้ เราก็หัดหลับตามองไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ปรากฏว่าฝึกๆไปมันเกิดหนึบๆเกิดปวดเสียวและตึงๆที่กีงกลางระหว่างคิ้ว แต่ผมก็ยังเพ่งไปที่จุดตำแหน่งนั้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน ฝึกจนแม้เวลาหยุดเพ่งก็ยังมีอาการปวดหนึบๆอยู่ตรงนั้นฝึกปีหนึ่งครับก็เริ่มลอดได้แต่ใหม่ๆจะยังไม่คล้อง แต่ก็พอมองเห็นว่าภาวะที่กายทิพย์แยกออกจากกายเนื้อนี่เป็นยังไง"
    อาจารย์ยุทธพงษ์บอกกับเราว่า จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วนั้นคือประตูสู่สวรรค์ ซึ่งหลายประเทศให้ความสำคัญ อย่างชาวจีนก็มีการสอนกันมาว่า "หน้าฟาก" คือแหล่งเปล่งรัศมีไว้คุ้มครองตัว ล้าใครไว้ผมบิดหน้าผาก เส้นผมจะบังรัศมีทำให้พบภูติผี วิญญาณได้ และชาวอินเดียก็จะมีการเจิมหน้าผากที่กึ่งกลางหน้าผาก ซึ่งจะสังเกตได้ว่าทั้งเทวดาอินเดียและจีนก็มีตาที่สามที่มีอิทธิฤทธิ์อยู่ที่กึ่งกลางหน้าผากเช่นกัน ส่วนชาวไทยเราก็มีการเจิมอุณาโลมที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วเช่นกัน นับว่าตำแหน่ง "จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว" นี้ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่ใช้สัมผัสกับโลกวิญญาณมานานแสนนาน ตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงปัจจุบัน
    คำว่า "กายทิพย์" นั้นผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่าคืออะไร อาจารย์ยุทธพงษ์ได้อธิบายให้ฟังว่า กายทิพย์มีสภาพคล้ายอากาศที่โปร่งแสงและจะแฝงแนบสนิทอยู่กับกายเนื้อดุจเป็นเนื้อเดียวกันและเมื่อเวลาหลุดแยกออกจากร่างจากการฝึกถอดจิต ร่างที่เป็นกายเนื้อของเราก็ยังมีชีวิตอยู่มีเพียงกายทิพย์ที่หลุดออกไปโดยเป็นร่างโปร่งแสงที่ไม่อาจสัมผัสได้ และระหว่างที่กายทิพย์แยกออกไปนี้จะมีสายใยที่เรียกว่า "สายใยแห่งชีวิต" ซึ่งมีลักษณะโปร่งใสเป็นสีเงินยวงเชื่อมโยงอยู่ตลอดเวลาและยังสามารถยืดยาวไกลออกไปได้ดังใจปรารถนา และสายใยแห่งชีวิตนี้จะทำหน้าที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือถ้ากายเนื้อยังมีสายใยนี้เชื่อมอยู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสายใยนี้ถูกตัดขาดลงเมื่อไหร่กายเนื้อก็จะตายลงทันทีซึ่งก็หมายถึงถ้ากายเนื้อหรือมนุษย์ผ็นั้นตายลงวันใด "สายใยแห่งชีวิต" นี้ก็จะขาดจากกายเนื้อมนุษย์ผู้นั้นในทันที
    ประสบการณ์นอกกายเนื้อจากการลอดกายทิพย์ของอาจารย์ยุทธพงษ์นั้นท่านได้บันทึกเรียบเรียงไว้ในหนังสือประสบการณ์จากสมาธิ-วิญญาณ ซึ่งผู้เขียนได้ขออนุญาตนำเรื่องเล่าที่น่าสนใจมาเผยแพร่ต่อไปดังนี้
    ลอดจิตไปนมัสการเจ้าพ่อหลักเมือง :
    เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จากการลอดจิตครั้งแรกของอาจารย์ยุทธพงษ์ หลังจากที่เพียรฝึกฝนมาเป็นเวลา 1 ปี โดยตั้งความหวังไว้ว่าอยากจะลอดกายทิพย์ให้หลุดจากกายเนื้อให้ได้คืนหนึ่งก็รู้สึกว่าขณะที่ปฏิบัติอยู่นั้นเกิดอาการปวดเสียงตึงเหมือนลูกข่างปลายแหลมปักลึกเข้าไปในหัวกะโหลกและหมุนอยู่ตลอดเวลาจนทะลุถึงท้ายทอยตรงก้านสมอง อาการอย่างนี้หมายถึงเริ่มจะลอดกายทิพย์ได้แล้ว และขณะนั้นก็มีความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเป็ฯกายเนื้อเข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่ง (โลกวิญญาณ) ที่มโหฬารไพศาล สลับซับซ้อนด้วยแสงสีและเกิดความรู้สึกหวาดเสียวล้อมรอบตัวมากมาย เห็นวิญญาณรูปร่างต่างๆทั้งที่แปลกหูแปลกตาไม่เคยพบเห็นในโลกมนุษย์ ทำให้กายทิพย์เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและกายทิพย์ก็แล่นกลับคืนสู่กายเนื้อทันทีทันใด เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจนจบใช้เวลาเพียง 1 นาที เท่านั้น ซึ่งในบันทึกของอาจารย์ยังได้เล่าต่อไปอีกว่า...
    "ต่อมาวันหนึ่งตั้งใจนอนแต่หัวค่ะประมาณ 6 โมงเย็นเราก็รีบเข้านอนโดยทำใจให้สบายๆหลับพักผ่อนเต็มที่ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งประมาณตี 3 รู้สึกไม่ง่วง สำรวมจิตทำใจให้ปลอดโปร่งสบายและนอนท่าหงายตัวขึ้นรวมจิตเป็นหนึ่งมองไปที่จุดปวดเสียวตึงกึ่งกลางระหว่างคิ้วเพียงแวบเดียวก็สามารถรวมตัวเป็นลูกข่างที่หมุนเจาะลึกเข้าไปในสมอง ขณะนั้นเราคิดได้ว่าทุกครั้งที่เราถอดกายทิพย์ได้นั้นมักจะพบกับสิ่งน่ากลัว คราวนี้เราตั้งต้นใหม่ เราตั้งใจจะไปหาครูอาจารย์ของเราคือท่านเจ้าพ่อหลักเมืองสนามหลวงกรุงเทพฯท่านต้องคุ้มครองเราแน่นอน เราก็ตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงเจ้าพ่อหลักเมือง โดยไม่ได้นึกถึงสถานที่ (ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่สนามหลวง) ทั้งนี้เมื่อเรานึกถึงบุคคล ชื่อ นามสกุลแล้วก็เน้นให้เห็นใบหน้าของคนนั้นให้ปรากฏชัดแจงในความนึกคิดขณะนั้น แม้ว่าเราะจะไม่รู้ว่าเขาตอนนั้นอยู่ที่ไหนก็ตาม กระแสพลังจิตก็ดึงดูดเหนี่ยวนำให้เข้าไปหากันจนได้ และเมื่อกายทิพย์หลุดพ้นจากกายเนื้อแล้ว กายทิพย์จะหลุดลอยออกไปด้วยความเร็วสูงมาก พุ่งเข้าไปในห้วงอวกาศอันเงียบสงัด เวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไม่มีขอบฟ้า
    กายทิพย์เมื่อออกจากกายเนื้อจะเกิดมีอำนาจพิเศษหนุนนำคือ "ทิพย์อำนาจ" เข้าผสมกับอำนาจพลังจิตที่กายเนื้อฝึกได้ในชีวิตประจำวัน และเพียงจิตที่เปลี่ยนแปลงชั่วแวบว่าเราจะไปหา "เจ้าพ่อหลักเมือง" ก็เกิดบันดาลเป็นอำนาจดึงดูดให้กายทิพย์เปลี่ยนทิศทางทันที วูบหล่นมายืนอยู่บนพื้นดินทันทีซึ่งขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ท่ามกลางความมืดนั้นพอจะมองเห็นรางๆกายทิพย์กำลังยืนอยู่ที่สนามหญ้าแห่งหนึ่ง ข้างหน้าเรามีบ้านหลังหนึ่งใหญ่พอสมควร ข้างบ้านมีโรงรถติดกับบ้าน ขณะที่เรากำลังยืนพิจารณาอยู่นั้นก็เกิดเห็นร่างยักษ์ผู้ชาย 5 ต ผิวดำร่างใหญ่โตมาก เท่ากับยักษ์วัดแจ้ง ผมหยิกตาโต ปากแยกเขี้ยววิ่งเข้ามาจะตะครุบ หวังจับตัวเราให้ได้ เรากลัวมากอยากจะหนูไปให้พ้นจึงกำมือสองข้างเข้าหากันที่หน้าอก รวมจิตเป็นหนึ่งอธิษฐานนึกอยากหนีให้พ้นจากตรงนั้น กายทิพย์ไม่ต้องเดิน ไม่ต้องเหาะ ไม่ต้องวิ่ง กายทิพย์ล่องหนหายวับไปกับตาทันทีจากที่ตรงนั้น
    การเคลื่อนไหวหรือการเดินทางของกายทิพย์เร็วเท่าๆกับความนึกคิดของจิตที่นึกคิดด้วยใจที่อธิษฐานอย่างแน่วแน่ ทั้งมุ่งมั่นว่าจะกลับเข้ากายเนื้อ กายทิพย์ก็ไปถึงกายเนื้อทันที ชั่วแวบหนึ่งกายเนื้อก็เริ่มรู้สึกตัวมีความนึกคิดสมบูรณ์ นั่งตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นว่าฝันไปหรือไม่ไม่ใช่ฝันแน่เพราะเรามีสติรู้เห็นตลอดเรื่อง เราจึงยืนยันว่า "เป็นการถอดกายทิพย์ออกจากกายเนื้อไปได้จริง"
     
  2. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    "Astral travel" การถอดกายทิพย์จากเรื่อง Veronika decides to die

    "Veronika decides to die" เป็นผลงานของ Paolo Coelho นักประพันธ์เบสต์เซลเลอร์ชาวบราซิล ซึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกญิงสาวคนหนึ่งที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เธอได้ฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย จึงถูกส่งไปรักษาในโรงพยาบาลบ้าและได้พบกับตัวละครอีกตัวหนึ่งซึ่งได้รับการบำบัดด้วยการฉีดอินซูลินให้ช้อค ระหว่างนั้นเองที่หญิงผู้นี้สามารถถอดกายทิพย์ได้...

    She started reaching into the existence of the soul, read a few books on occultism, and then, one day, she stumbled on a vast literature that described exactly what she was experiencing: it was called 'astral travel' and many people had already had the same experience. Some had merely set out to describe what the had felt, while others had developed techniques to provoke it. Zedka now knew those techniques by heart and she used them every night to go wherever she wished.
    เธอได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณมาหลายเล่ม ในที่สุดก็เจอเล่มหนึ่งที่อธิบายได้ตรงกับสิ่งที่เธอกำลังประสบมากที่สุด ที่เรียกว่า astral travel ที่หลายคนเคยลองมาแล้ว ซึ่งบางคนก็แค่อธิบายประสบการณ์ของตนได้ ในขณะที่บางคนใช้เทคนิคบางอย่างทำให้เกิดขึ้น เซ็ดก้ารู้เทคนิคพวกนี้อย่างขึ้นใจ และใช้มันช่วยเธอเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆทุกคืน

    The descriptions of those experiences and visions varied, but they all had certain points in common the strange, irritating noise that precede the หeperation of the body from the spirit, followed by a shock, a rapid loss of conciousness, and then the peace and joy of floating in the air, attached to the body by a silver cord that could be stretched indefinitely, although there were legends (in books, of course) that said the person would die if they allowed that silver thread to break.
    คำบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์นี้แตกต่างกันออกไป แต่มีจุดที่เหมือนกันได้แก่ เสียงประหลาด น่ารำคาญก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง ตามมาด้วยอาการช้อก และการหมดสติสัญปชัญญะอย่างทันทีทันใด จากน้นก็พบกับสันติสุขและความเบิกบานของการล่องลอยอยู่ในอากาศ กายทิพย์ถูกโยงติดกับร่างด้วยเส้นด้ายสีเงินที่สามารถยืดได้ไปไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้จะเคยมีตำนาน (จากหนังสือนั่นแหละ) บอกว่าเราอาจตายได้หากยอมให้เส้นได้สีเงินขาดลง

    Her experience, however, showed that she could go as far as she wanted and he cord never broke. But, generally speaking, the books had been very useful in teaching her how to get more and more out of her astral travelling. She learned, for example, that she wanted to move from one place to another, she had to concentrate on projecting herself into space, imagining where exactly she wanted to go. Unlike the routes follwoed by planes - which leave from one place and fly the necessary distances to reach another - an astral journey was made through mysterious tunnels. You imagined yourself in a place, you entered the appropriate tunnel at a terrifying speed, and the other place would appear.
    แต่จากประสบการณ์ของเธอ พบว่าเธอสามารถไปไกลได้เท่าที่อยากไป โดยที่เส้นด้ายสีเงินก็ไม่ขาด จะว่าไปแล้ว หนังสือเบ่มนั้นสอนให้เธอใช้ประโยชน์จาก astral travel ได้มากขึ้นทุกที เป็นต้นว่าเธอได้เรียนรู้ว่าต้องใจจดใจจ่อกับสถานที่เฉพาะเจาะจงที่ต้องการไป จิตนาการตัวเองอยู่ในห้วงอวกาศ ไม่เหมือนกับการเดินทางโดยเครื่องบินที่ต้องบินจากที่หนึ่งไปเป็นระยะทางหนึ่งเพื่อไปยังอีกที่ การเดินทางแบบ astral travel ใช้อุโมงค์ลึกลับ เราต้องจินตนาการตัวเองอยู่อีกที่ แล้วจึงเข้าสู่อุโมงค์ด้วยความเร็วใจหาย แล้วอีกสถานที่หนึ่งจึงปรากฏ

    It was through books too that she had lost fear of the creatures inhabiting space. Today there was no one else in the ward, but the first time she had left her body, she had found a lot of people watching her, amused by her look of surprise.
    หนังสือหลายเล่มช่วยให้เธอเลิกกลัวสิ่งมีชีวิตที่สิงสถิตอยู่ในห้วงอวกาศ วันนี้ไม่มีใครอยู่ในวอร์ด แต่ในครั้งแรกที่เธอออกจากร่าง เธอพบว่ามีคนจำนวนมากกำลังจ้องมองเธออยู่ และขบขันกับสายตาที่แสดงความประหลาดใจของเธอ

    Her first reaction was to assume that these were dead people, ghosts haunting the hospital. Then, with the help of books and of her own experience, she realised that, although there were a few disembodied spirits wandering about there, amongt them were people as alive as she was, who had either developed the technique of leaving their bodies, or who were not even aware of what was happenning to them because, in some other part of the world, they were sleeping deeply, while their spirits roamed freely abroad.
    ปฏิกริยาแรกของเธอคือคิดเอาว่า พวกนี้คือผีที่มาหลอกหลอนโรงพยาบาล จากนั้นหนังสือกับประสบการณ์ได้สอนเธอว่า ถึงแม้จะมีวิญญาณไร้ร่างจำนวนหนึ่งวนเวียนอยู่แถวนั้น ในตำนวนนั้นแล้วเป็นคนมีเลือดเนื้อและชีวิตเช่นเดียวกับเธอ บ้างกได้เพัฒนาเทคนิคในการออกจากร่าง บ้างก้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังหลับสนิทอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก ในขณะที่วิญญาณของพวกเขาล่องลอยอย่างอิสระในต่างแดน
     
  3. xx

    xx สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +16
    xx
     
  4. kraarak

    kraarak สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    สนใจมั่ก ๆ ว่าแต่คนโพสทำได้รึเปล่าครับ เล่าสู่กันฟังหน่อยนะ นะ
     
  5. chatyamn

    chatyamn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +4,057
  6. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    มโนมิยิทธิ เป็น วิชาที่เข้าถึง กายทิพย์ ของ ตน กายทิพย์ของตน กำลังไปอยู่ที่ใด ทำอะไรในขณะนี้ ก็จะเห็นเป็นแบบนั้น และเป็นการวัดตัวเองด้วยว่า เมื่อตายไปแล้ว ได้ไปสวรรค์ แน่นอน (เจอในสิ่งดีๆ ด้วยน่ะ)

    มีอีกวิชาหนึ่ง ถอดวิญญาณ ไม่มีใครถอดได้ เพราะ สัตว์ สัตว์นรก ไม่มีกำลังในการถอดวิญญาณ

    ถอดได้ เรียกว่า กายทิพย์ กัน มองร่างตน ยังเป็นร่างมนุษย์ หากมองร่างตนไม่ใช่ร่างมนุษย์ แต่เห็นเป็นสัตว์ จงระวัง ภพที่เกิด คือ สัตว์เดรัจฉาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...