จตุรฌาน เป็นที่รวมของ กรรมฐานทั้ง 40 กอง ป่าวครับ

ตัวผม เคยฝึกกรรมฐานเพียงแค่ 2 กอง คือ สีแดง (ถูกจริต) อานาปานสติ (พระอาจารย์ให้ทำตอนบวชเป็นพระกับองค์หลวงตามหาบัว) ตอนผมฝึกสีแดง เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ ดวงนิมิตสีแดงจะเปลี่ยนเป็นดวงขาว สว่าง ไสว สวยงาม ตั้งอยู่ที่หว่างคิ้ว
และอาการของอานาปานสติ เมื่อจิตเป็นสมาธิลมหายใจ จะละเอียด แผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนดับไป จิตแยกออกจาย กายหาย ลมหายใจหาย เหลือแต่จิต ขาวนวล สว่าง ไสว เท่ากำปั้นที่หว่างคิ้ว ผมจึงสงสัยว่าท่านที่ฝึกกรรมฐานกองอื่นๆ จะมีอาการสมาธิเหมือนผมหรือไม่ หรือกรรมฐานทุกกอง เมื่อจิตสงบจนถึงจตุรฌาน จะเหลือเพียงดวงจิต ขาว นวล สว่าง ไสว เหมือนกันทุกกองป่าวครับ

 

อานาปานสติ สันตี !! สิครับ " ลมหาย "

อานาปานสติ ขนาดให้กำหนดรู้ จะละวางจิต เปลื้องจิต ปล่อยจิต สลัดคืนจิตออกไปหมดเกลี้ยง
ก็ยังต้อง มี การรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ขั้นระหว่างการรู้ทั้งหมดเหล่านั้น

อานาปานสติ สันตี !! ลมหาย กลายเป็น ดวงสีขาว เส้นสีขาว อุโมงค์สันตี นั่น มัน สมาธินอก
ศาสนาเขาสอนหลอกแดก อานาปานสติ

ไม่เชื่อไป กางอานาปานสติสูตรไหนก็ได้ ไม่มีหลอก ลมหาย กายสังขารรำงับ ลมก็ยังอยู่
จิตสังขารรำงับลมก็ยังอยู่ จิตเป็น มหัคตจิตฌาณ1-8 ลมก็ยังอยู่ ยังต้องสลับกลับมารู้
ลมหายใจเข้า หายใจออก ไม่ให้หาย

ถ้าหาย เอา "สันตี !!! " รับประทานได้เลย

สมาธิพุทธ ไม่ใช่ ฌาณ เหนือกว่า ฌาณ ฟ้ากับเหว

 

หากสนใจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี ให้หา คำสอนที่ พระท่าน ชี้ชัดลงไปว่า หากทำกรรมฐาน
ใดแล้ว อานาปานสติ หายไป คือ ไม่กลับมารู้ลมหายใจในภูมิจิตปรกติ ไม่มี อานาปานสติ
เป็น ยอดของกรรมฐานทุกกอง ก็ชื่อว่า หาพุทธศาสนา สมาธิพุทธศาสนา ไม่เจอ

 

คุณเอกวีร์ ถ้าไม่เคยปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถึง อย่าอวดรู้ครับ ลองไปศึกษาพระไตรปิกฏหรือคำสอนกรรมฐานของพระอาจารย์ดังๆ ดูครับ เมื่อสมาธิถึง จตุรฌาน จิตจะแยกออกจากกาย จิตจะไม่รับรู้ความรู้สึกจากกายอีกต่อไป เหลือแต่จิตที่เป็น เอกคัตตา นิ่งสงบ แม้ลมหายใจ จิตก็ไม่รับรู้อีกต่อไป

 

อานาปานสติ สันตี ไง

อานาปานสติ ของสาวก ขี้ครอก ไง

อานาปานสติ ของพุทธศาสนา มันไม่ใช่ อะไรแบบนั้น ไปเปิดพระสูตรดู สิฮับ

อย่า โง่ดักดาน เชื่อตามๆ กันไป โดย ทอดทิ้ง คำสอนพระศาสดา

 

แนะนำ ซ้ำอีกครั้ง

ฟังพระเทศน จะต้อง หาฟัง ที่เด็ดๆ

เพราะ พระท่านเมตตามาก ก็อาจจะกล่าว โอ้โลม ปฏิโลม เพื่อให้ ศิษย์ ไม่ท้อแท้ใจ

ฟังพระเทศน จะต้อง หาฟัง ที่เด็ดๆ อย่างของหลวงพ่อฤาษี ก็แนะไปแล้วว่า ให้ไป
หาฟัง ที่ท่านระบุ " อานาปานสติเป็นยอดมงกุฏ " เป็นที่รวมของ สมาธิทุกกรรมฐาน

ไม่ใช่ ไปควักเอา ฌาณ4 รหัสพ่อรหัสแม่ สมาธินอกพุทธศาสนาที่เขาทำกันก่อนพุทธศาสนาเกิด มาครอบ เหยียบย่ำ ทำลาย

 

เห้อ บัวในตรม ตาบอดคลำช้าง ปฏิบัติให้ถึงแล้วจะรู้เอง ผมไม่พูดอะไรมาก

 

มันก็ เป็นอย่างนี้ มาช้านาน ฮับ

คนทำ ฌาณได้ เวลาเข้ามา ภาวนา เสวนาธรรมใน พุทธศาสนา

คำพูด ของเด็กหัดภาวนา มันจะ อ้างเอา ฌาณ1-8 ว่าเป็นทางที่ใช่

พอคนกล่าวธรรม ย้อนแย้ง ก็จะมี มุขง่ายๆ ไอ้เฮียนั่นมันปฏิบัติไม่เป็น เท่าที่ สัญญาkuกุมหัวจิตหัวใจku ว่าทางนี้ใช่ แต่ อริยสัจจคืออะไร ส ใส่เกือก ไม่รู้

พอภาวนาไป เวิ้ง ว้าง ว่าง ไม่มีอะไรเหลือ ...ก็มาถามต่อ ว่า แล้วไงต่อ

หากติดตายเอา ฌาณ1-8 เป็นนิพพาน ก็ เฮียรับประทาน ใครย้อนแย้ง
ก็เอา สันตี ถีบปากมานปายว่า เอ็งไม่ปฏิบัติเข้ามา ไม่รู้อย่างku หรอก

เอาหน่า


ลองพิจารณาดู ที่กระแทกแรงๆ เพราะ คุณกำลังโดน พระศาสดาในพุทธกาล
หน้ามันชิงพ่อเล็บงามมาเกิด siriamaya5 มันหลอกต้มเอา จึงต้องให้ ยาแรง
ถีบตกบอร์ดกันก่อน

เพื่อให้ เอะใจ เกิดความคับข้องใจ เกิดการ หลุดออกจาก เวิ้ง ว่าง อากาสาสันตี นั่น !! ออกมา มีปฏิฆะกุมจิตอยู่ เห็นหรือไม่เห็น หากเห็น ฌาณ4 รหัวพ่อรหัสแม่
ใครมันยังมี พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก กลัวคนอื่นเบียดเบียน ผลงาน กรรมฐาน

 

พระพุทธองค์ อยู่มากใน อานปานสติ เป็นวิหารธรรม

แม้นกำลังสอน สาวกอยู่ จิตพระพุทธองค์ไม่มี ตกจาก สมาธิ !!!

สมาธิ อานาปานสติ ขี้ทูตกุดถัง จมหายไปไหน มะอึงจะหายไปไหน

สมาธิ อานาปานสติ ของพระศาสดา สามารถพูดได้ สอนสั่งได้ เดินเหินได้
หายไปในพรหมโลก ก็ไม่ตกจากรรมฐาน ตกจากสมาธิ



ใคร่ครวญ มีโยนิโสมนสิการ ให้มากๆ

 

ไม่ใช่ ... การเห็นจิตดวงขาว อยู่นั้น เรียกว่า โอภาส เป็น นิมิตในฌาน2

เช่นเดียวกับกายหาย จิตแยกออกจากกาย เป็น ปิติ ในฌาน 2
ยังคงผสมอยู่กับ ปิติ สุข อุเบกขา

จนจิตละเอียดขึ้นไปอีก จะเหลือ สุข-อุเบกขา และ แม้อุเบกขา ก็ไม่เหลือ นั่นแหละ ถึงเรียก จตุตถฌาน

 

ที่ผมถาม คือ จุดท้ายเมื่อเข้า ถึง ฌาน 4 ของกรรมฐาน 40 จะเหลือ จิตที่เด่น สว่าง ขาว นวล ทุกกองป่าวครับ
ลองไปฟังเทศน์ สมาธิในองค์ฌาน ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ดูครับ ท่านกล่าวไว้ชัดเจน การฝึกอานาปานสติ เมื่อลมหายใจดับสนิท จะเหลือเพียงจิตที่สว่างลอยเด่นอยู่

 

ฟังเทศน ฟังธรรม ไม่เป็น มันก็จะ ฟังไป เพื่อ ตะครุบเงาของจิต

ตะครุบเอาอาการที่ตนได้สัมผัส ไปเปรียบเทียบ แล้วก็ สำคัญมั่นหมาย ย้ำคิด ย้ำทำว่า ถูกต้อง

มันเลยไม่ทันสังเกต บริบทของคำเทศนา

พระท่าน จะใช้บริบทว่า " บางทีจิตของท่าน........... " พอจบกระแสประโยค ก็
แตกปริเฉทอีกว่า " บางทีจิตของท่านก็จะเป็น........... " แล้วก็ว่ากันไปเรื่อยๆ
ตาม " เงาของจิต " ที่มันจะ ปลิ้นปล้อนหลอกลวงส่งออกนอก

ความแตกต่างของ " ปริเฉท " คนฟังธรรมเป็น จะเอามา เอะใจ เพื่อ รวบให้
เป็นเพียง รูปกับนาม สัญญาอันเดียว เพือกำหนดรู้จิตมี วิตก วิจาร ปฐมฌาณเฮียอะไร !!
ในเมื่อจิตมันหวลกลับไปมีวิตกวิจาร การงานไม่มี ปัญญาไม่เห็น กิเลสไม่เคยซักฟอก ความสิ้นสงสัยไม่มี

ความแตกต่างของ " ปริเฉท " คนฟังธรรมไม่เป็น จะเอามา สะใจ เพื่อ รวบให้
เป็นเพียง ผลงานกู kuรู้ kuเห็น kuทำได้เหมือนตามๆกันมาเห็นไหม สันตี !!!

 

เนี่ยะ ดูสิ

ขนาด พระเยสู ยังสามารถ อธิบาย อารมณ์การภาวนา ที่คุณทำได้

แล้วยังไง .....เอะใจไหม ........หาก ทำได้ในสิ่งที่ พระเยอดสู เขาสอนได้ เนี่ยะ
จะเอะใจไหมว่า แล้ว สมาธิแบบไหน ที่ พระศรีมารยา5 ( จริงๆ iคนนี้ เขาอ้างว่า เขาก็
พระเยสู กลับชาติมาเกิด ) อีกทั้ง พระเยสู ตัวจริงมาสมัครสมาชิก สอนฌาณแก่คุณได้

แล้ว สมาธิอย่างไหน ที่ สาสดาหนาสันตี อื่น สอนไม่ได้ !!!!


ต้นคด ปลายตรง ไม่มี นะฮับ


ต้องตรงทาง มันจะต้อง ตั้งจิตไว้ถูกตั้งแต่แรก ต้องใคร่ครวญให้ดีๆ อย่าฟังธรรมไป เปรียบเทียบไป
รับรองเลยว่า ไม่ใช่ แต่ถ้า โยนิโสมนสิการถูกต้องแต่แรก สาสสสสสสสสดาอื่น หลอกเราไม่ได้

 

ตอนแรกไม่เข้าใจคุณ ตอนนี้ ผมมองว่าคุณ ฮา + หลอน นิดๆ นะครับ 555 คอมเม้นคุณตลกดีครับ ชอบๆๆ

 

ค่อยๆ ดูไป บางที iกระผม ก็ หนาสันตี ไม่ต่างกัน

แต่ ลองเอาเป็นไป "มุขนัยได้" เวลาเราได้รับความรู้อะไรมา สำคัญว่าใช่

ลองเอามา ถาม ฉอง หรือ ฉามตัวนี้ดู หาก ฉองตัว หรือ ฉามตัว กล่าวรับรอง
สิ่งที่คุณเพียรพยายามมาได้ว่า ถูกต้อง ...จะเอายัไง จะเปลี่ยน กาลพุทธศาสนา
จาก สมณะโคดม เป็น พระสรีเบอร์5 หรือ จะโอนลอยตามลายเซ็นเป็น เยโอดสู ไปเลย
กรณีตัวที่ฉาม อันนี้ ไม่รู้


นี่ถ้าหัวเราะได้ จิตมันคลายตัวแล้ว เวลาจิตคลายตัว

ก็พึงทราบว่า ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านจะสอนระบุเอาไว้ว่า กรรมฐานบางตัวใน 40
ได้แค่อุปจาร บางตัวได้อัปปนา

แลวลอง ทวนดูคำถามไก่โต้ง ยอโย่ง ที่กระเดิดไป จะสรุปความ คว่ำคำสอน ครูบาอาจารย์

คิดเอาว่า ปล่อยต่อไป จะเป็น เบอร์6 หรือว่า " 666 "

 

ถ้ายัง หัวเราะ วางใจคลายได้อยู่


ค้นอากู๋เกิ้ลก็ได้ หรือ wiki อะไรนี่แหละ จะมี ตารางแจกแจงกรรมฐาน40
ว่า ตัวไหนสุดทางแค่ ฌาณอะไร

ทีนี้ ต้องเข้าใจ ฌาณ ในเชิง อภิธรรม ว่า มันมีแค่4 ด้วยองค์ประกอบ ฌาณ คือ ดู วิตก วิจาร ปิติ สุข อุเบกขา เอกัคคตา

แต่ถ้าเอา อารมณ์บัญญัติมาจับกรรมฐาน มันเลยมี ชื่อเรียกไป 8 หรือ 9 แต่ด้วย องค์ฌาณ
ฌาณจะมี แค่4 ตรงนี้จะทำให้ไม่งง ข้อมูลของนักปริยัติเขา ไม่ต้องไปด่าเขาว่า เขาไม่ภาวนา




การเรียนธรรม ปฏิบัติไป กระเดิดสรุปผล อย่างที่คุณทำ อันนี้เป็นเรื่องที่ ต้องตัก เตือน กันแรงๆ แต่เริ่มแรก

ไม่เช่นนั้น จะปฏิบัติไป กระเดิดไปคิด ทิ้ง ผลงานการภาวนาทั้งคืน มา นั่งคิด โดนนิวรณ์เล่นงาน ไม่รู้สึกตัว

 

ขออีกโพส ละกันนะ

อานาปานสติ ที่ปรากฏ ตามคำสอนตามสมัย คุณต้องทำความเข้าใจว่า พระท่าน
สอนโดยการกำหนดจิต ดูประโยชน์ของผู้ฟังเป็นใหญ่

ภูมิจิตของผู้ฟังอยู่ตรงไหน ต่ำต้อย ป้อแป้ ป้อแป้ พิกล พิกาล เพียงใด ท่านจะสอน ต่อยอดจากตรงนั้น เป็นหลัก

การที่จะสอนเพ้อเจ้อ หาประโยชน์ไม่ได้ (คนฟังไม่มีภูมิธรรมถึง) เนี่ยะ เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น เวลาฟังธรรมต้องเผื่อใจ อย่ากระโดดจับคำเทศนา เท่านี้ใช่ อย่างอื่นเปล่า
คุณจะ พิกลพิกาล ไปตามคนฟังธรรมเหล่านั้นกันหมด


อานาปานสติ เป็น กรรมฐานของ มหาบุรุษ หากมัน ย้อนกลับไปเหมือน ฌาณ4
แล้ว พระพุทธองค์ทำไม ไม่สำเร็จฌาณ4 - 8 แล้วก็ สำเร็จธรรมไปหละ

อานาปานสติ เป็น กรรมฐานที่ พระพุทธองค์ทรงเห็น ความแตกต่าง ฟ้ากับเหว
ไม่ใช่ ฌาณอย่างที่คนในโลกทั้งโลกเขาภาวนากัน

อานาปานสติ เหนือกว่า กรรมฐานทุกชนิดบนโลก ความเหนือกว่า มันสมควรแค่
ไหนที่จะไปกล่าวว่า ปฏิบัติอานาปานสติแล้วก็ขี้ทูตกุดถัง คือ ฌาณ4 นั่นแหละว๊า

สันตีควรยกให้เลย หรือไม่ควรยกให้

อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่ ทำให้ระลึกได้ว่า ต้องกินข้าว อาบน้ำ บ้าง เพราะอะไร
เพราะละเมอว่า จิตกูเจอแล้ว เหลือแต่จิต จิตนี่แหละใช่ จะเอาจิตนี้ไปนิพพาน สันตี !!!

อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่ ทำให้ระลึกได้ว่า ต้องกินข้าว อาบน้ำ บ้าง เพราะกายคตสติ
เป็นหนทางดำเนิน ออกจากสมาธิ ทะลึ่งไหลไปคิดแล้วไม่กำหนดรู้ เพชรฆาติฟันหัวฉับ !!!

 

หลวงพ่อปราโมทย์ อธิบายสมาธิจนถึงฌาน จากอานาปานสติ




สมถะ อีกชนิดหนึ่งเป็นสมถะเต็มรูปแบบ อันนั้นทำยากแล้ว ในยุคนี้ที่มาเรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นอยู่ไม่กี่คน มีไม่มาก ที่ทำสมถะเต็มรูปแบบได้ เห็นมีคุณดำเกิง มีอาจารย์วิชา อาจารย์วิชาเป็นลูกศิษย์อาจารย์วิริยังค์ทำอานาปานสติ คุณดำเกิงเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านก็ทำอานาปานสติเหมือนกัน พวกนี้เขาฝึกสมาธิ เขาฝึกกันทุกวัน หายใจไปนะ หายใจไป หัดใหม่ๆก็จะไปรู้ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ลมหายใจเนี่ยเขาเรียกว่า "บริกรรมนิมิต" ไปรู้ลมหายใจ ไม่เอาสติไปที่อื่นแล้ว มีแต่สติอยู่กับลม แต่ว่าไม่เผลอตัวนะ ไม่เคลิ้ม ไม่ลืมตัว รู้สึกตัวอยู่ แล้วก็เห็นร่างกายนี้หายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นลมอยู่ เอาลมหายใจนี้เป็นอารมณ์

หายใจไปนะ ทีแรกลมหายใจจะยาว หายใจเป็นธรรมชาติเนี่ย เราจะหายใจยาว หายใจลึกนะ หายใจไปถึงท้องเลย ทีนี้พอเราหายใจไปเรื่อย จนเริ่มสงบ ลมหายใจจะสั้น สั้นๆนะ จนขึ้นมาอยู่ที่ปลายจมูกนี้หน่อยเดียว เพราะฉะนั้นพอลมมันละเอียด ลมมั้นสั้นนะ ค่อยๆละเอียดๆนะ ใจนี้มันจะโล่งว่าง จะสว่าง มันจะรู้สึกสว่าง

ทำไม รู้สึกสว่าง เวลาคนนั่งสมาธินะ เลือดจะมาเลี้ยงสมองส่วนหน้านี้เยอะ ถ้าคนฟุ้งซ่านนะ เลือดจะไปเลี้ยงที่อื่น ไปเลี้ยงมือเลี้ยงเท้ามั้ง เลี้ยงปาก แต่พอจิตเริ่มสงบนะ เลือดมาอยู่ที่ตรงนี้เยอะ จะให้ความรู้สึกว่าสว่าง สบาย แต่ไม่ใช่ว่าสว่างขึ้นมาเพราะเลือดมาอยู่ที่หัวหรอกนะ อันนี้สำหรับมนุษย์นะ เทวดาเขาไม่มีเลือดนี่ เขานั่งสมาธิเขาก็สว่างได้เหมือนกัน พอจิตมันสงบมันก็จะสว่างขึ้นมา

ทีนี้สว่างทีแรกมันก็จะสว่างอยู่ตรง นี้ เป็นดวงขึ้นมา ให้เราดูดวงสว่างตรงนี้แทนลมหายใจ เพราะลมหายใจสั้น..จนลมหายใจหยุดไปแล้วนะ จะเป็นดวงสว่างขึ้นมา ใช้แสงสว่างตรงนี้แทนลมหายใจ ตัวนี้เรียกว่า "อุคคหนิมิต" ไม่ใช่บริกรรมนิมิตแล้ว ตัวลมเป็นแค่บริกรรมนิมิตนะ พอมันเป็นความสว่างเกิดขึ้น เป็นอุคคหนิมิต ใช้ความสว่างนี้เป็นอารมณ์กรรมฐาน หายใจไปเรื่อย..แต่มันไม่รู้สึกว่าหายใจเท่าไหร่ มันเหมือนหายใจทางผิวหนัง แต่ใจมันจะสว่าง รู้ในความสว่าง มันก็ใหญ่ๆขึ้นมาได้นะถ้าฝึกชำนาญ ถ้าไม่ชำนาญก็จะถลำลงไปในแสงแล้วก็เบลอร์ไปเลย เคลิ้มๆไป ถ้าชำนาญก็จะขยับได้ ให้ใหญ่แค่ไหนก็ได้ ให้เต็มโลกก็ได้ จิตใจก็เริ่มมีปีติมีควาสุขขึ้นมา นี่ได้สมาธิ

พอมีสมาธิขึ้นมาแล้ว นะ ก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น จิตมันยังตรึกมันยังตรองถึงดวงสว่างนี้อยู่ เรียกว่ามีวิตกมีวิจารอยู่ จิตยังไม่ละเอียดจริง เราเฝ้ารู้ไปนะ จิตมันสงบขึ้นมาเนี่ย มันทิ้งการตรึกการตรองในตัวนิมิต ไม่เอานิมิตนะ มันกลับมารู้ที่จิตได้ จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาเป็นตัวผู้รู้ขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นเป็นตัวผู้รู้แล้วเนี่ยมันจะเห็นว่ามีความสุขเกิดขึ้น มันมีความสุขอยู่แล้วแหละแต่ทีแรกมันหวือหวามันไม่ดูความสุขนะ มันมัวแต่ไปดูนิมิต จิตมันเปลี่ยนจากการรู้นิมิตมาดูความสุขแทน ความสุขก็จะดับให้ดู เป็นอุเบกขาขึ้นมา มีปีติ มีสุข สุดท้ายจิตเป็นอุเบกขา แล้วทรงตัวเป็นผู้รู้อยู่นะ บางทีร่างกายหายไปเลย ไม่มีร่างกายแล้ว
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม บ.โค้งดารา ต.ท่าพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี


จนลมหายใจหยุดไปแล้วนะ

จนลมหายใจหยุดไปแล้วนะ

จนลมหายใจหยุดไปแล้วนะ


:boo:

 

ผมไปหลอกเอาเงินใครครับ
ผมให้ธรรมะเป็นทาน สิ่งปลูกสร้าง
ผมก็สร้างกันเองในครอบครัวของผม เคยไปบอกบุญคุณไหม คุณทับถมผมเพื่อให้คุณดูดีขึ้น
นี่เป็นวิชามาร ไม่ใช่คุณพระ ปีศาจปากคาบ
คำภีร์ เอาคุณความดีของพระไปเป็นของตน
คนแบบนี้เรียกว่า ยืมจมูกคนอื่นหายใจไปวันๆ
จำอวด ตลอดชีวิตของเอกรู้ไม่จริงนิ่งไม่ได้หากไม่กลับใจเสียใหม่ เอกรู้ไม่จริงจะเป็นได้แค่นักก่อการวิวาท .

 

สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
ไปคิดเอาเอง คนเรียนจบสูงทางโลกีย์
ในบรรดาผู้ปฏิบัติสมาธิ ระดับอภิญญา 5 ขั้นโลกีย์
ก็ระลึกชาติของตัวเองได้แล้ว หรือเอกรู้ไม่จริง
ได้แค่นั่งเทียน มาสอนผมก็อยู่ของผมดีๆเอกรู้ไม่จริง
ก็ยังจะเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาชนผม
ผมจะเผยเป็นวิทยาทานให้กับเอกรู้ไม่จริงนิ่งไม่เป็น
ในกลุ่มผู้บรรลุฌานลาภีบุคคล
บรรลุวิชชา 3 อภิญญา 6 วิชชา 8
ย่อมระลึกชาติของตนได้ หรือเอกรู้ไม่จริงจะเถียง
เมื่อผู้ระลึกชาติได้อย่างผมออกมายืดอกยอมรับอ้างความรับผิดชอบ แสดงให้เอกรู้ไม่จริงได้รู้ถึงขนาดนี้
เอกรู้ไมาจริง ยังจะดูหมิ่นดูแคลนในธรรมชั้นสูงกว่าตัว
ผมเองก็ช่วยไม่ได้ จะบอกอะไรให้นะเอกรู้ไม่จริง
ระลึกชาติ ของตัวเองสักชาติได้บ้างไหม ถ้าไม่ได้
ก็อย่าริตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนใคร เอาตัวเอกรู้ไม่จริงให้รอดจาก การกำเนิดใน ชีวิตทั้ง 6 อันมี สัตว์นรก
ดำเนิดเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ เทวา
อะไรกัน กูรูปากดี ยังปิดประตูอบายภูมิไม่ได้เลย
แต่มีหน้ามาสอนทำตัวเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอด
โลกเค้าจะหัวเราะเยาะเอานะเอกรู้ไม่จริง ที่แท้ตัวของ
ตนเองยังเต็มไปด้วยเครื่องอสุจิ