ตั้งแต่นั่งสมาธิมาไม่เคยเกิดปิติเลยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย teeratoy2002, 29 สิงหาคม 2011.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    วางความรู้สึกไว้กับคำภาวนา อย่าสนใจในสิ่งอื่นนอกจากการตามดูลมหายใจ

    หากเผลอไปไม่เห็นลมหายใจ ให้ทำการเริ่มใหม่ ตั้งมั่นกับการภาวนา

    การปฎิบัติ ต้องรับรู้ถึงคำภาวนา จนกว่าคำภาวนา จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฎิบัติ

    ลมหายใจจะต้อเห็นอยู่ตลอด และ ชัดเจน

    ลมหายใจอย่างหยาบจะเห็นว่าหายใจแรง ลมหายใจที่ละเอียดจะเบา

    ฉนั้นจะเห็นจากแรงไปเบา และ เบาลงเรื่อยๆ จนเหมือนไม่หายใจ

    หากข้ามผ่านตรงนี้ไปได้ จะมีอาการนิ่ง เฉย ไม่รู้สึก นี่เรียกว่าสุข

    เมื่อข้ามผ่านมาแล้ว จะมีการรู้สึกเกิดขึ้น แต่ไม่รู้สึกถึงร่างกาย

    ต้องรักษาอารมณ์นี้ให้อยู่ เพราะส่วนใหญ่จะตกใจ แล้วกลับมาเริ่มใหม่อีก

    ต้องใช้เวลาในการปฎิบัติ ซึ่งให้คำตอบไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ อยู่ที่ผู้ปฎิบัติเองครับ
     
  2. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมจะแนะนำให้ ทำไมปฎิบัติจึงไม่ค่อยเกิดผล

    1. ให้ทำสติตลอดทุกขณะจิตพร้อมบริกรรมภาวนาไปด้วย ให้ทำตลอดวัน
    2. อย่าตั้งความอยากว่าจะได้
    3. อย่าคิดว่าการปฎิบัติการนั่งสมาธิแค่นั้น
    เวลานั่งก็ไม่ควรต่ำกว่า 1 ชั่วโมง อย่าตั้งความอยากใดๆ
    สมาธิอาจไม่เกิดตอนนั่ง บางทีเกิดขณะนอน
    ผมเองสมาธิก็ไม่ได้เกิดนั่ง ผมนั่งได้ไม่นานเป็นโรคปวดหลัง อาศัยกำหนดสติให้ติดต่อ
    พอล้มตัวนอนก็กำหนดไปเรื่อยๆจนกว่าจะหลับ สมาธิผมเกิดขณะนอน พอกำหนดโดยไม่ตั้งอยาก คำบริกรรมจะหายไปเองจะรู้สึกตัวพุ่งขึ้นลอยกลางอากาศ บางทีก็รู้สึกพุงลงใต้แผ่นดิน แต่เรามีสติรู้อยู่ ทีนี้ไม่ต้องดึงคำบริกรรมมาอีก ให้กำหนดอยู่ที่จิต ทำจิตให้เป็นกลางจิตจะดำเนินต่อของมันเอง ช่วงขณะนี้จิตจะตื่นเต้น จิตถอนออกมา
    สิ่งที่สำคัญที่สุด คือมีสติ สิ่งใดเกิดขึ้นก็ตาม ให้กำหนดจิตให้เป็นกลาง
    ไม่ว่านิมิตใดๆจะเกิดขึ้นก็อย่าไปสนใจ คนส่วนมากหลงไปตามนิมิตคิดว่าเป็นของจริง
    ผมเจอมามากแล้ว
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ กล่าวได้ดี ได้ถูกต้องครับ การปฎิบัติต้องวางจิตใจให้เป็นกลาง
     
  4. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    ลองเอาแบบนี้ไหมครับท่านที่ไม่เคยเจอปีติเลย
    1. ท่านเวลานั่งสมาธิท่านรู้อยู่แล้วว่า หายใจเข้าก็รู้สึกว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้สึกว่าลมออก โอเคท่านรู้แล้ว
    2.เพิ่มเข้าไปอีกคือ ให้บังคับลมหายใจ ไม่ต้องภาวนานะ หายใจเข้าแรงๆ-ออกแรงๆ เข้าแรงออกแรง ให้เกิดเสียงลมเข้า หูของเราต้องได้ยินลมเข้า ปืดๆๆๆๆยาวๆๆๆ ให้ถึงท้องน้อยใต้สะดือ ลองเอามือกุมท้องไว้ ดังสนั่นถ้าอยู่ในห้องเสียงลมเข้าจะต้องดังจนคนข้างนอกได้ยิน
    3.เวลาดึงลมเข้าท้องจะต้องเอ่นเวลาลมออก หลังจะต้องโค้ง แอ่น-โค้ง แอ่น-โค้ง ทำตัวให้เบาๆ อ่อนๆ ไม่ต้องเกร่งเวลาตึงลม
    4.ดึงลมเข้า-ออก อย่างต่อเนื่องห้ามหยุดเด็จขาด 20ครั้ง-30ครัง-40ครัง-50ครัง-60ครั้ง-70ครั้ง-80ครั้ง ห้ามหยุดเด็จขาด จมูกเราจะแสบ จะปวด สมองจะแสบ หัวจะชา ก็ห้ามหยุด ต้องอดทนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    5.เข้า-ออกๆๆๆๆๆๆๆเสียงต้องดัง ลมเข้าต้องยาว ลมออกต้องยาว ---ตายเป็นตายก็ห้ามหยุด
    6.ต่อมาก็ให้สังเกตุ มือจะชา ปากจะชา แขนจะชา ซอกจะชา หลังจะชา หน้าจะชา หัวไหล่จะชา ตัวจะชาทั้งตัว ก็ห้ามหยุด ต้องฟอกติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตายเป็นตาย มันจะทรมานมาก อยากจะหยุด ที่สุดของความทรมาน แขนของเราจะเหมือนไฟฟ้าช๊อต จีดๆๆ วิ่งตามตัววิ่งทั่วร่าง เหมือนไฟฟ้าช๊อตเลยถ้าท่านเคยโดนช๊อต
    7.พอผ่านมันได้ ลมที่หยาบจะดับทันที ลมจะเบาจนเรารู้สึกได้ ได้ถึงลมที่เบาจะลงไปใต้ท้องน้อย และจากร่างที่ชา หนัก แข็งเกร็ง ไฟฟ้าช๊อต ก็หายทันที เหงื่อจะไหลอย่างกับเหงื่อกาฬ แตกออกทั้งรูขุมขน มันเหมือนลมออกนอกร่างกาย
    8.หลังจากนี้ท่านจะเกิดปีติ ตัวสั่น ตัวโยกตัวโยน มือรำ มือเกร็ง แสดงออกท่าทางแล้วแต่อนุสัยในจิตว่าสะสมอะไรมาบ้าง ถ้าเคยเกิดเป็นเสือก็จะแสดงแบบเสือ ถ้ามีโทษะมาก ก็จะสั่น ตัวกระเด้งเลย หัวสั่นตัวสั่น

    แต่ก่อนที่จะมาถึงเลข 8 แทบตายทุกคนครับ ตอนผมปฎิบัติ ผมได้วันที่3ตอนบ่าย 4โมงเย็น เลือดออกจมูก ผมก็ยังดึงลมอยู่เลือดนี่เต็มเสื้อขาวๆๆเลย เพราะจะเอาให้ได้

    ***********เขาเรียกธรรมมะเผาขน*****บางคนสามารถทำได้ภายใน 1 ชั่วโมง ลองทำดูนะ ใครที่เป็นโรคภูมิแพ้นะหายทุกราย เป็นหวัดน้ำมูกเขียวๆ หายหมด
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ วิธีการปฎิบัติธรรมเปิดโลก ของจริงเลยครับ เหมือนกับที่ผมได้รับรู้เลยครับ วิธีเหมือนกันครับ
     
  6. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    เมื่อท่านเจ้าของกระทู้ ลุยมาจนถึงขั้นที่ 8 แล้วต่อไปทางเราเขาเรียกว่าธรรมลงสู่ขันธ์ หรือร่างกายแล้ว ไม่ต้องไปทำตามขั้นที่ 1-8 อีก หรือจะทำก็ได้ ถ้ารู้สึกเครียดจากการรับอารมณภายนอก หมายเหตุสำหรับผู้ที่สมถะอ่อน จะต้องฟอกลมอยู่ตลอก เพื่อกระแทกอารมณ์ที่เรารับในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับ ผู้ที่เดินสมาธิตั้งแต่ 8-15ปี ใหล้ฌานแล้วแล้ว เวลาเกิดอารมณ์เสีย ท่านดูลมหายใจกหน่อยเดียวก็ผ่านอารมณ์พวกนี้แล้ว ท่านจะฟอกหรือไม่ฟอกก็ได้ ตามแต่ท่าน แต่เท่าที่สังเกตุ ถ้าเราไม่สบายเป็นหวัด จะต้องฟอก กระแทกไข้ออก หรือว่าจิตมันรับอารมณ์มากจน พิจารณาก๋แล้ว ดูลมก็แล้ว นานมากกว่าอารมณ์จะปกติ ท่านจงฟอกกระแทกอารมณ์มันออก ไม่เกิน 15 นาทีนะ ท่านจะเบาและโล่งอย่างเห็นได้ชัด
    วิชานี้มีคุณวิเศษอย่างมากเลยที่เดียว เช่นคนที่อกหัก เสียใจ มาฟอกที่วัดไม่เกิน 3 วันนะ อารมณ์พวกนี้กระเด็นหมด พวกที่สักยันต์ปลุกยันต์ได้ด้วยวิชานี้ ผู้ที่โดนของ ไม่ต้องไปหาอาจารย์แก้ ฟอกกระแทกมันออก ผู้ที่มีวิญญาณเข้าสิง ฟอกกระแทกมันออก สิ่งพวกนี้จะอยู่ไม่ได้ให้สังเกตุ พวกที่เข้ามาแฝงในร่างกาย มันจะวิ่งไปตามร่างกายหาที่ออก เพราะเอาพลังจิตจากการฟอกลมไปกระแทกมัน มันจะเจ็บ และถ้านั่งขัดเพชรตากแดดร้อนตอนเที่ยงวัน แล้วฟอกกระแทก ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง สิ่งพวกนี้ที่ไม่ดี ไม่สามารถอยู่ในร่างกายเราได้เลย
    ถ้าปฎิบัติไป จนได้ประมาณ 10-15 ปี ถ้าท่านเข้าถึงฌาน 2 ได้ ท่านจะสามารถพูดได้หลายภาษาถ้ามีวาสนามาทางนี้ ท่านจะมีญาณลงมาผ่านหลายๆญาณ(แต่ผมไม่ได้มาทางนี้) ท่านจะแปลภาษาได้หลายภาษา

    วิชานี้คล้ายกับวิชา ดวงธรรม ธรรมบัญดาล ของสายทางอีสาน

    ถ้าท่านไม่มาทางนี้ท่านก็เอาสมถะตัวนี้เป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนา มันจะไปเร็วมาก เพราะสมถะที่นี่สายวิชานี้ ได้เร็วมาก

    ***มาพูดต่อเลข 8 กัน หลังจากที่ธรรมมะลงสู่ขันธ์เราแล้ว เพียงแค่ท่านกำหนดลม หรือดูลมเข้า-ออก หน่อยเดียวเท่านั้น คำว่าหน่อยเดียวคือ ไม่เกิน 10 ลมเข้า-ออก ท่านก็จะแสดงปีติแล้ว เพราะธรรมมะลงส่ขันธ์เราแล้ว สายนี้เขาเรียกอย่างนี้ ก็คือได้ปีตินะเป็นภาษาเดียวกัน ถ้าท่านอยากให้แสดงแรงขึ้นก็ดึงลมเข้า-ออกให้ถี่ ถ้าอย่างให้ แสดงช้าลงก็ดึงลมเข้า-ออก ยาวๆช้าๆ เราใช้ลมในการบังคับปีติ เราสามารถบังคับให้แรงก็ได้เบาก็ได้

    พอได้อย่างนี้แล้ว ก็ปฎิบัติอย่างนี้แหล่ะ สลับกับดูกาย-ดูจิต ดูความคิด อยู่ในศิล แต่หลักใหญ่80%ของเราคือ ดูกาย-ดูจิตนะ อีก20%คือธรรมมะเปิดโลกเอาไว้เวลาเจออารมณ์แรงๆมันเข้ามาขังในจิต นานกว่าจะออก เราต้องกระแทกมันออกด้วยลมหายใจ พอจิตปกติดีแล้วก็เข้าเหมือนเดิมดูกาย-ดูจิต

    แล้วจิตจะเบาขึ้นไปเรื่อยอย่างเห็นได้ชัด 1ปีเนี่ยลองมาดูมาประมวลจิตดูว่านิสัยจะดีขึ้นตามลำดับ วัดโดยระยะปีต่อปี จึงจะมากเห็นภาพนะ

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  7. teeratoy2002

    teeratoy2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +417
    จะลองปฏิบัติดูครับ อนุโมทนาธรรมทานกับทุกท่านด้วยครับ
     
  8. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    ชื่อวัดเขาสมโภชน์ครับ อยู่ลพบุรี คุณไปขึ้นรถที่อนุสาวรีย์ชัย รถอยู่ในซอยโรงบาลราชวิถี อยู่ตีนสะพานลอย คุณลองไปถามเขานะ รถตู้วัดเขาสมโภชน์ วิ่งทุกวัน วิ่งถึงวัดเลย มีอยู่ 2 รอบ 11.00น. กับ 14.00น. วิ่ง3ชั่วโมงครึ่งถึงวัด ราคารถ น่าจะ 180แล้วมั้งที่วัดมีชุดขาวขาย สะดวงสะบาย ห้องน้ำสะอาด หมอนมุ้งผ้าห่มซักทุกวัน ท่านอาหารมังสวิรัส อากาศดี มีลิงเยอะ อยู่ติดเขา เขาล้อมรอบวัด กินฟรีอยู่ฟรี จะอยู่กี่วันก็ได้ ถ้าอยู่เป็นเดือนจะต้องบอกเขา ถ้าอยู่ 7 วัน ก็แค่เขียนชื่อฝากบัตรประชาชน ไปนอนที่อาคันตุกะชาย มี 2 ชั้น ตอนเช้า นะ ให้ไปช่วย เขาจัดอาหารที่หอฉัน บอกว่าบอล แนะนำมา คนที่วัดรู้จักหมด เพราะอยู่มา 8 ปีแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักไอ้บอลนะ ทั้งพระ ชี รู้จักหมด เพราะมันเป้นคนบ้า
     
  9. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    อ่าครับ ปฎิบัต มานานหรือยังครับ ตั่งแต่ปฎิบัตมา ไม่มีปิติเลย สุดยอดครับ สอนผมมั่งนะ
    ว่าท่านปฎิบัตแบบไหน ปิติ มีหลาดลักษณะนะครับ ลองควรและพิจรณาดีๆครับ ตังแต่ปฎิบัต
    แคง หัวเรอะร้องไห้ไหม มีความรู้สึก ร้อนไหม หนาวไหม หิวข้าวไหม อิ่มไหม สรุปแล้ว
    ควรทำความเข้าใจกับปิติ อีกนิดนะครับ เพราะปิติ เกิดได้ ทุกขณะไม่ว่าแบบไหน หรือสภาวะใด
    ถ้าไม่มีเลย สุดยอดครับ น่านับถือมากๆ ถ้ายังมีฐาติขันเป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีปิติ สาธุครับ ^^
     
  10. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    ดิฉันก็เหมือนกันนั่งได้เป็นชั่วโมง จับคำภาวนากับบทสวดมนต์ บางครั้งก็คำว่าสัมมาอะระหัง และก็ติดอยู่กับคำภาวนาไปตลอดไม่ปล่อย ไม่เกิดปิติ แต่ก็รู้ว่านั่งสบายไม่ปวดเมื่อย ไม่หนาวไม่ร้อน ก็พยายามอยู่ว่าสักวันคงถึงวันนั้น
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ดูจากกระทู้ " สวดมนต์คนขัดจังหวะ "

    ก็น่าจะ ชี้ได้ถึง "การตั้งจิตไว้ผิด" ทำให้ สวดมนต์ไม่ได้อานิสงค์ ปฏิบัติธรรมไม่ได้พลานิสงค์


    ต้องตั้งจิตใหม่ให้ดีๆ ว่า เราสวดมนต์ไม่ใช่เพื่อเทวดาที่ไหน แต่ต้อง
    เพื่อ เทวดา ที่มาขัดจังหวะ นั่นแหละ


    สวดยังไง

    สวดโดยไม่ต้อง คำนึงว่า จะต้องสวดจบ

    แต่ให้ตังจิตใหม่ว่า สวดเท่าที่จะมีเวลา มีเท่าไหร่ ก็เท่านั้น
    ต้องพร้อมตลอดเวลาที่จะทำงาน ตามหน้าที่ ต่อ เทวดา ที่มาขัดจังหวะ

    วางจิตแบบนี้ งานการทำตามหน้าที่ไม่เสีย เขาก็ไม่พาลเตะ พระพุทธรูป

    วางจิตแบบนี้ สวดได้แค่สามคำถูกขัดจังหวะ จะเกิด ปิติ พอใจ ที่ได้สวด
    ตั้งสามคำ

    วางจิตแบบนี้ได้บ่อยๆ เราจะไม่ต้องตั้งท่า ทำพิธีการ พอเราทำหน้าที่
    ไม่คั้งค้าง ปฏิรูปสถาณที่ได้หมดจรด วาสนามีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ยิ่งใช้
    วาสนาบารมีเพิ่ม เพราะตั้งตนไว้ชอบทั้งสองส่วน ฉลาดในการรับฟัง
    ทั้งคำสั่งให้ทำตามหน้าที่ ฉลาดในการเสร็จจากหน้าที่ก็ระลึกถึงนัยยะ
    อันลึ้งซึ้งของบทสวดมนต์ บริกรรมงานทางโลก และทางธรรม อย่างมี
    ศิลปะในการประกอบ

    มีวินัย มีวาจาเป็นสัจจ ไม่บกพร่อง บำรุงคนในครอบครัวได้สมบูรณ์
    รู้จักสละ .......จิตใจจะค่อยๆเปลี่ยน กุศลต่างๆ จะค่อยๆเกิด


    ความร้อนใจ จะถูกกำหนดรู้ ไม่ฉวยเข้ามาเป็นตน

    ปิติจะเกิด

    ความปราโมทย์อันเกิดจาก มี มงคล38ประการ อย่างเป็นลำดับลำดา
    เห็นคุณค่าของธรรม ซึ้งในพระธรรม ดูดดื่มในรสพระธรรม ไม่ใช่แค่
    ตัวเรา แต่ คนที่ขัดจังหวะ จะค่อยๆ ร่มเย็นไปด้วย ต่างกลายเป็น
    คนว่าง่ายแก่กันและกัน เมื่อนั้นก็พร้อมจะไป ฟังธรรมตามกาล

    เขาอกเข้าใจคุณค่าของการบำเพ็ญตบะ

    ที่เหลือ ก็ขึ้นกับ การตั้งจิตไว้ถูก แค่ไหน ถ้าตั้งไว้ถูก ที่เหลือ
    คืเห็นอริยสัจจ จนถึงจิตเกษม ก็ไม่ยาก
     
  12. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    คือ ดิฉันตื่นกลางดึกเพราะฟุ้งซ่าน รู้สึกตัวว่าฟุ้งซ่าน ก้อจับลมหายใจ(ไม่ได้บริกรรม) ก้อหลับไปเอง และฝันว่า ตัวเองบินได้ เหาะได้ ลอยได้ (รู้ตัวว่าฝันอยุ่) อันนี้คือปิติ หรือปรุงแต่งคะ ตอนฝันมีความรู้สึกตกใจด้วย
     
  13. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตอนปฏิบัติจริงๆต้องไม่ตั้งความหวังว่าอยากไปถึงจุดไหนค่ะ แค่จับลมหายใจในปัจจุบันด้วยความรู้สึกปล่อยวางก้อพอ ...จับลมไปเรื่อยๆๆๆ
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สองอันนี้ ถามเอง แล้วก็ ตอบคำถาม เองอยู่แล้ว

    ตอนที่ รู้ว่าจิตมี ตกใจ จิตกำลังคว้าอาการตกใจ สติกำลังอ่อนกำลังลง
    กำลังจะเพลี้ยงพล้ำให้กับ อภิชญา โทมนัส

    ก็ให้ รำพึงถึง

    ถ้า นมสิการ ถูก จะไม่กระโฉกโฮกฮาก จน มึน ทึบ ตีบ ตัน อึดอัด

    ถ้า นมสิการ ถูก จะไม่หลุดออกมา ถูกดึงกลับมาจน ไปต่อไม่ถูก

    ถ้า นมสิการ ถูก จะไม่กลับไป กลับมาจน เกิดกูเก่ง ...จะมีแต่
    เห็น ปฏิปทาบ้านๆ ของชาวบ้าน อันผู้รู้ไม่ติดข้องอยู่ ไม่หวลไป
    เอะอะไรเกิดกับเราหนอ ไม่ฮานาก้า มีแต่ ปรกติของสรรพเพที่ผัน
    แปรไปตามปัจจัยการ แล้วเพียรไปเรื่อยๆ จนมั่นคงใน ปฏิปทา
    ไม่ใช่ มุ่งไล่หา "ผล" อะไรเกิดหนอ
     
  15. บารมี 10

    บารมี 10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +1,072
    - ฝันว่าบินได้หรือเหาะได้นี่ ผมก็เคยฝันตอนเด็กๆ

    - ชีวิตกำลังจะมีความสุขนะนั่น
     
  16. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ให้สติอยู่กับปัจจุบัน คือรู้ปัจจุบัน ลมออกรู้ ลมเข้ารู้ คือรู้ว่าลมกระทบที่ใดตามรู้ปัจจุบัน ไม่ทันก็ตามไปเรื่อย ๆ พอทันแล้วจะรู้เอง ว่าปิติเป็นอย่างไร ไม่เคร่ง ไม่เครียด ขาวางสบาย มือวางสบาย ไหล่ว่างสบาย ตั้งกายตรง ลมตอนแรกเข้ายาวให้สุดท้องป่องรู้ถึงใต้สะดือ ค่อยผ่อนออกไล่ขึ้นมา จนกว่าจะตัดเอง ไม่ต้องผวงว่าจะเกิดไม่เกิด บางทีเกิดปิติแล้วท่านไม่รู้อาการเอง ขออนุโมทนาครับ
     
  17. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    ดูจากกระทู้ " สวดมนต์คนขัดจังหวะ "

    ก็น่าจะ ชี้ได้ถึง "การตั้งจิตไว้ผิด" ทำให้ สวดมนต์ไม่ได้อานิสงค์ ปฏิบัติธรรมไม่ได้พลานิสงค์


    ต้องตั้งจิตใหม่ให้ดีๆ ว่า เราสวดมนต์ไม่ใช่เพื่อเทวดาที่ไหน แต่ต้อง
    เพื่อ เทวดา ที่มาขัดจังหวะ นั่นแหละ


    สวดยังไง

    สวดโดยไม่ต้อง คำนึงว่า จะต้องสวดจบ

    แต่ให้ตังจิตใหม่ว่า สวดเท่าที่จะมีเวลา มีเท่าไหร่ ก็เท่านั้น
    ต้องพร้อมตลอดเวลาที่จะทำงาน ตามหน้าที่ ต่อ เทวดา ที่มาขัดจังหวะ

    วางจิตแบบนี้ งานการทำตามหน้าที่ไม่เสีย เขาก็ไม่พาลเตะ พระพุทธรูป

    วางจิตแบบนี้ สวดได้แค่สามคำถูกขัดจังหวะ จะเกิด ปิติ พอใจ ที่ได้สวด
    ตั้งสามคำ

    วางจิตแบบนี้ได้บ่อยๆ เราจะไม่ต้องตั้งท่า ทำพิธีการ พอเราทำหน้าที่
    ไม่คั้งค้าง ปฏิรูปสถาณที่ได้หมดจรด วาสนามีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ยิ่งใช้
    วาสนาบารมีเพิ่ม เพราะตั้งตนไว้ชอบทั้งสองส่วน ฉลาดในการรับฟัง
    ทั้งคำสั่งให้ทำตามหน้าที่ ฉลาดในการเสร็จจากหน้าที่ก็ระลึกถึงนัยยะ
    อันลึ้งซึ้งของบทสวดมนต์ บริกรรมงานทางโลก และทางธรรม อย่างมี
    ศิลปะในการประกอบ

    มีวินัย มีวาจาเป็นสัจจ ไม่บกพร่อง บำรุงคนในครอบครัวได้สมบูรณ์
    รู้จักสละ .......จิตใจจะค่อยๆเปลี่ยน กุศลต่างๆ จะค่อยๆเกิด


    ความร้อนใจ จะถูกกำหนดรู้ ไม่ฉวยเข้ามาเป็นตน

    ปิติจะเกิด

    ความปราโมทย์อันเกิดจาก มี มงคล38ประการ อย่างเป็นลำดับลำดา
    เห็นคุณค่าของธรรม ซึ้งในพระธรรม ดูดดื่มในรสพระธรรม ไม่ใช่แค่
    ตัวเรา แต่ คนที่ขัดจังหวะ จะค่อยๆ ร่มเย็นไปด้วย ต่างกลายเป็น
    คนว่าง่ายแก่กันและกัน เมื่อนั้นก็พร้อมจะไป ฟังธรรมตามกาล

    เขาอกเข้าใจคุณค่าของการบำเพ็ญตบะ

    ที่เหลือ ก็ขึ้นกับ การตั้งจิตไว้ถูก แค่ไหน ถ้าตั้งไว้ถูก ที่เหลือ
    คืเห็นอริยสัจจ จนถึงจิตเกษม ก็ไม่ยาก


    ขอขอบคุณมากแต่ช่วยตอบกระทู้ให้เข้าใจแล้วค่ะแต่ งงกับคำว่าเทวดาขัดจังหวะและเตะพระพุทธรูปค่ะ ช่วยตอบด้วยนะคะส่งทางPM ก็ได้ ขอบพระคุณค่ะ
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็หมายถึง " คน " ที่เขามาขัดจังหวะการสวดมนต์ คนนั้นแหละคร้าบ

    เห็นเล่าด้วยนี่ว่า เขาคนนั้น เตะ พระพุทธรูป อะไรเงียะ

    ทีนี้ ทำไมเรียก คนๆนั้น ที่มีกริยาแบบนั้นว่า เทวดา


    ต้องเรียกว่า เทวดา ฮับ เพราะ เทวดา เนี่ยะ คือ บุคคลที่ใช้
    การ นึกเอาถึงสิ่งที่ต้องการ กล่าวถึงสิ่งที่ต้องการ แล้วมี
    "คนอื่น"ที่เขาไป บรรดาลให้เกิด ตรงตามประสงค์ ด้วยสองมือ
    หรือ 5อภิญ์มือ ก็ได้

    การทำหน้าที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไร จัดเป็น กุศลผลบุญ

    ยิ่งถ้าทำด้วย "จิตว่าง(ปราศจาก การร้อยรัดบีบเค้นถ่วงจิตใดๆ)"
    จะถือเป็น การปฏิบัติธรรม ด้วยซ้ำไป

    ดังนั้น

    พุทธบริษัท สวดมนต์ ก็ปฏิบัติธรรม หยุดสวดมนต์ออกไป
    ทำหน้าที่ ก็ยังเป็น การปฏิบัติธรรม ไม่มีการเว้นวรรค เด็ดขาด
     
  19. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ยิ้มก็ปิติแล้วครับ
    ไม่เคยยิ้มหรือครับ
     
  20. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..หมั่นทำบุญความดีมากๆเข้า ปิติไม่แค่จะเกิดจากบุญภาวนาอย่างเดียว บุญกิริยาอื่นๆก้อช่วยให้มีปิติได้ ให้ทาน,รักษาศีล,ช่วยเหลือผู้อื่น,หมั่นเจริญเมตตา บุญความดีต่างๆที่ได้กระทำจะสะสมไว้ในดวงจิต เวลามานั่งสมาธิจิตมันก้อเป็นสุข อิ่มบุญอิ่มอกอิ่มใจเป็นปิติสุข ไม่ต้องไปเอาหรอกตัวพองตัวโยก เอาจิตเป็นสุขปิติในบุญในสมาธิดีกว่า..

    ทำสมาธิก้อต้องมีความเห็นที่ถูกต้องด้วยในเวลาทำ ทำเพื่ออะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...