พอจะมีใครทราบบ้างว่า ท่านพญานาคสีทององค์นี้มีนามว่าอะไร

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย tassumalee, 27 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขอเล่าแบบรวมๆนะครับ...
    แม้ว่าเราจะปฏิบัติแบบไหน ถ้าเข้าถึงได้แล้ว รู้ละ รู้ปล่อย รู้วาง
    เดินปัญญาต่อจนรู้ว่างได้ทุกนาทีมีประโยชน์ทั้งนั้นครับ..
    เพราะไม่ว่าจะปฏิบัติแบบไหน เป้าหมายก็เพื่อการหลุดพ้นครับ..

    ปกตินักปฏิบัติจะปล่อยวางเป็น ไม่มีการระลึกรู้ นึกขึ้นได้
    คิดขึ้นได้ และไปวิพากษ วิจารณ์อะไร ที่เป็นสาเหตุการปรุง
    แต่งอะไรไปต่างๆนาๆอะไร..ประเภทยังอยากรู้โน้น นี่นั้น
    ทุกเรื่องในสัมผัส ในทุกกิริยาในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่
    สิ่งที่ยังมาไม่ถึง แล้วบอกว่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอกทางปฏิบัติ
    เค้าเรียกว่า หลงครับ(หลงแบบคิดว่าตัวเองมีสติ)
    เพราะมันไปร่วม ไปปรุง ไปหลง ตั้งแต่เราไป
    ระลึกรู้ เราไปนึกขึ้นได้แล้วครับจิตมันส่งกระแสไปเชื่อมเรียบร้อย
    โรงเรียนจีนแล้วครับ และที่ปัญหาต่างๆ ที่ทำให้เราเผลอไปแยกแยะ
    วิพากษ์ วิจารณ์ ตลอดจนตัดสินไปโน้นนี่นั้น..
    มันเริ่มต้นจากการไปรู้ตรงนี้นี่หละครับ..

    แม้ปากเราก็บอกว่าเราไม่หลงหรอก ไม่มีปัญหาหรอก เราไม่ยึดหรอก..
    แต่ก็ยังอยากรู้เรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ยังกล่าวถึงแต่เรื่องสัมผง สัมผัส
    ในอดีตอยู่ตลอดเวลา ติดในสภาวะโน้นนี่นั้นอยู่เรื่อย
    ทั้งๆที่ ทางพุทธศาสนาก็สอนกันมา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วว่า
    ให้อยู่แต่กับปัจจุบัน. อยู่กับปัจจุบันแต่ก็ยังเผลอยึด ยังเผลอหลงอดีตกันอยู่เรื่อยๆ

    ไม่ยึด ไม่หลง ได้อย่างไร ก็มันรวมกับจิต ตั้งแต่เราไป อยากรู้
    ไประลึกรู้แล้วครับ...เพราะฉนั้นตรงนี้ต้องระวังดีๆครับอย่าประมาทครับ...
    เพราะฉนั้นเราต้องฝึกตัดไอ้ตัวไปรู้ให้ดีๆด้วยครับ...

    กำลังจิตใจ มันมาจากภูมิต้านทาน ที่เราโดนเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจครับ
    ไม่ใช่ กำลังจิต ที่ตัวจิตมีกำลังต้านทาน กระแสต่างๆภายนอก
    ที่มาทำให้เรา ระลึกรู้ นึกขึ้นได้ต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการ
    ใช้งานทางจิตเราแบบพิเศษๆต่างๆครับ..ต้องนี้แยกแยะประเด็นให้ดีๆครับ....

    ส่วนสมาธิรักษาโรค มีหลายวิธีครับ คุณ Nee653
    มันเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราจะเกิดอีกครับ...
    เพียงแต่มันแสดงออกเป็นรูปธรรม แสดงให้ชัดเจน..
    บอกกล่าวได้ยาก รับรู้ พิสูจน์ได้เป็นบุคคลเฉพาะกลุ่ม
    มันไม่ใช่ แบบ ทานศีล สมาธิ ปัญญา แบบที่พระพุทธฯ
    ท่านกล่าว ซึ่งเป็น สากล ไม่มีล้าสมัย และอยู่ตลอดกาลครับ

    และถ้าคนนั่งสมาธิทั่วๆไปถ้าเราไม่รุ้เรื่องอะไรเลย
    เรานั่งสมาธิในระดับสงบๆเฉยๆ นิ่งๆ จนจิตเรามันข้ามธาตุร่างกาย
    ออกไปโหมดวิญญานธาตุได้(แบบไม่รู้ตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติครับ)
    มันก็เริ่มรักษา ปรับธาตุร่างกายตัวเอง
    ได้แล้วครับตามสภาพที่เป็น ณ ปัจจุบันนะครับ
    ไม่ใช่ว่า เหมือนกับเด็กที่พึ่งเกิดใหม่ๆนะครับ
    บางคนที่เห็นว่าตัวเองมีควันออกจากตัว ไม่ว่า สีดำ สีขาว
    สีใส นั้นหละครับ คือการที่มันกำลังปรับธาตุร่างกายตัวเอง แต่ในระยะ
    แรกๆ จะเริ่มจากอาการ คันๆ หยุบๆหยิบๆก่อน เพราะเป็นกิริยาพื้นฐานครับ..
    แต่ที่พลาดๆกันเพราะเรามั่วไปหลง ไปคาดหวัง
    ระดับสมาธิ ไปหวังผลของสมาธิในด้านต่างๆ
    จนลืมไปว่า สมาธิที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการ ข่ม บังคับ
    ด้วยวิธีการใดๆ เป็นสมาธิที่มาจากจิตใจที่สงบ
    ตัดกิเลสได้ จิตคลายตัวได้ ในสภาวะใช้งานได้จริง
    แบบที่เราลืมตาปกติใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปครับ

    อีกวิธีก็คือ ถ้าเรามีความชำนาญในความเป็นทิพย์ของจิต ให้เราเริ่มต้นด้วยอาปาฯ
    และเราตั้งเป็นก้อนกลมๆ ไว้ตรงหัวไหล่ขวา แล้วเลื่อนมา ข้อพับ และวางบนฝ่ามือ
    สำหรับช่วงแรกๆ ถ้าชำนาญก็เรียกขึ้น ฝ่ามือก็ได้ ได้ก้อนกลมๆตรงนี้
    เราก็ย้ายไปเปลี่ยนแทนบริเวณร่างกายส่วนไหนเราที่มันพร่อง(จะเป็นสีดำ)
    มันจะไหลมาแทนกันได้ แล้วเราก็เอาที่มันไหลมาแทน ไปใช้ไฟเผาก็ได้ครับ
    วิธีนี้จะเหมาะกับจริตอย่างคุณ Nee 653 นะครับ เพราะคุณมันหนัก
    ไปทางสัมผัสภายใน. ไม่ได้มีกำลังจิตที่เกิดจากตัวจิต ที่พอจะโลดโผน
    หรือออกไปเปรี้ยวนอกบ้านได้ เหมือนพวกที่เค้ามีฐานสมาธิใช้ระดับกำลังสูงจริงๆ
    หรือพวกที่เค้ามีฐานกำลังจิตจากกสิณ จนสามารถใช้งานได้จริงๆ
    ในระดับลืมตาปกติ จนเรียกเป็นพลังงานได้ ทำให้คนอื่นๆรู้สึกสัมผัสได้
    ประมาณนี้ ยังไงก็ลองใช้ดู เพื่อว่าจะรักษาอาการที่เป็นเรื้อรังของตัวเอง
    ที่มันไม่หายซักทีได้นะครับ ...

    ส่วนถ้าใครถ้าใครมาทางพลังงานต่างๆ มันจะไหลวิ่งๆเข้ามารวมกันได้เองบนฝ่ามือ
    และก็เอาทิ้งหรือจะให้ชัวก็เปิดประตูมิติไว้เหนือศรีษะเราและก็ปล่อยมันออกไป
    เสร็จแล้วก็ปิดมันซะ. พวกนี้ถ้าทำได้ พวกโรคร้ายแรงต่างๆ ประมาณ
    ครั้งที่ ๕ ถึง ๖ มันก็หายได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้วครับ...

    การรู้แบบพิเศษต่างๆ ถ้าเป็นไปเพื่อไปการ ลด ละ คลาย เพื่อไม่ให้มี
    ถือว่าดีหมดครับ...รู้วัตถุประสงค์ได้ เข้าใจได้ถือว่าดีครับ..
    ยกตัวอย่างเช่น ชาติโน้นนี่นั้น เราเป็นโน้นนี่นั้น เราไปพลาดตรงจุดไหน
    ทำไมเราถึงยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ...
    หรือเรามีความสามารถเข้าถึงเรื่องพลังงานได้ แล้วเรารู้วิธีเคลียร์ตัวเอง
    แล้วใช้สงเคราะห์บุคคลอื่นๆในทางที่เป็นประโยชน์ได้อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ
    และก็ต้องไปลืมเรื่อง ปัญญาทางธรรมครับ..สมัยพุทธกาลลองย้อนดูครับ
    พระพุทธฯท่านก็ใช้ในลักษณะของการช่วยญาติๆท่านครับ...
    อย่าไปใช้เพื่อตนเอง เพื่อยกตนเอง อย่างนี้เป็นพวก ด้านมืดครับ..
    ไม่ว่าด้านมืดด้านสว่าง ก็ต้องการพัฒนากำลังจิตตัวเอง เพื่อพลังงาน
    เพื่อกำลังจิตทั้งนั้นหละครับ ต่างกันเพียงแต่การนำไปใช้งานครับ
    ใช้เพื่อตัวเอง ยกตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีโน้นนั้นนี้ เค้าก็ว่าเป็นด้านมืด
    ใช้เพื่อคนอื่นๆ เห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ ใช้เพื่อสงเคราะห์ ใช้แล้วไม่ให้
    ตัวเองมี ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการ ลด ละ คลาย เค้าก็ว่าเป็นด้านสว่าง
    แตกต่างกันแค่ตรงนี้ แล้วแต่เราจะเลือกและเข้าใจครับ ก็ค่อยๆเป็น
    ค่อยๆไปครับ เพราะทุกๆคน มีทั้งด้านมืดและด้านสว่างในตัวเองอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติครับ

    ปล.เรามัวแต่เสียเวลา ไปอยากรู้แต่เรื่องคนๆอื่นๆเค้า..
    ไปหวนคิด ยึดติดแต่เรื่อง อดีตที่ผ่านมาแล้ว..มันเป็นการส่งออกครับ
    ซึ่งไม่ใช่หลักการทางพุทธศาสนาครับ..แล้วเมื่อไรจะรู้ตัวเองซักทีครับ
    แล้วเมื่อไรจิตมันจะคลายตัวเองซักที..ไม่ต้องไปพูดเรื่องกำลังจิต
    กำลังใจอะไรให้เสียเวลาครับ ยิ่งห่างไกลเข้าไปใหญ่ครับ...
    ถ้ารู้แล้วตัดได้จริง ไม่ปรุงแต่งต่อได้จริง มองเป็นฮาๆขำๆได้จริง
    หรือใช้จิตแล้วก็แล้วไปได้จริง ไม่อะไรอะไรกับมัน อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ...
    พอเข้าใจนะครับ..
     
  2. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,551
    พญาเอรกปัตตนาคราช
     

แชร์หน้านี้

Loading...