เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    รวยไม่ทน จนไม่นาน

    อายุไขคนเราส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยปี ก็ต้องตาย จะเสพกามราคะมากมายไปเพื่ออะไร หาสุขที่แท้จริงให้เจอ เจอแล้วสร้างมันให้เกิดกับกายใจของตนให้ได้

    อย่าปล่อยให้โลกมายาและสิ่งแวดล้อมที่ปรุงแต่่ง กายใจเรา จนมองไม่เห็นสัจจธรรมความจริงของชีวิต

    สิ่งที่อยู่กับเราคงทนมีเพียง บาปและบุญ คือดีชั่ว คือกรรม ที่เป็นเงาติดตามเราไปทุกที่

    ใครจะเป็นอย่างไรอย่าไปสนใจ สนใจแค่กายใจของเราเท่านั้นพอ

    เมื่อดูเหมือนสิ่งที่กล่าวมานี้จะสวนกระแสโลก แต่ความจริงแก่นแท้ ไม่มีอะไรที่สวนกระแสโลกหรอก มีเพียงความรู้สึกนึกคิดของเราเท่านั้น มีเพียงจิตใจของเราเท่านั้น เมื่อเราปล่อยวางได้มีสติปัญญาจำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆได้ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจริง จิตมันเกิดปัญญา แยกออกมายกจิตสูงขึ้นๆ จนหลุดพ้นจากกระแสโลกได้ในที่สุด

    จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ มีปัญญาเป็นเครื่องยกจิตพ้นจากกระแสแห่งทุกข์ จงเป็นผู้ไม่ประมาทในกายใจของตนแค่นี้พอ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2016
  2. buytona

    buytona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +97
    สาธุ...
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    เทพที่เป็นครูอาจารย์ท่านมาอยู่กับคุณ นานพอสมควรแล้วครับ ท่านคือปู่ฤาษีนารอด ครับ ถือไม้เท้า รูปร่างสูงใหญ่แต่ไม่อ้วน ผมยาวขาวม้วนมวยผม ผิวสองสีครับ
    ท่านสวมชุดขาวแบบพราหม ครับ หากคุณมีบุญสัมพันธ์ คุณย่อม รับรู้สื่อได้มากยิ่งขึ้นแน่นอนครับ ท่าคอยดูแลช่วยเหลือคุณครับ สาธุ
     
  4. wukecheng

    wukecheng Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2013
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +46
    รบกวนคุณ TJS ตอบคำถามใน PM ให้ด้วยนะครับ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
  5. arrow3322

    arrow3322 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอความกรุณาคุณก้องช่วยตอบปัญหาในPMเพิ่มเติมด้วยครับ
    ขอบพระคุณครับ
     
  6. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    วันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปกราบไหว้พระสรีรังคารส่วนหนึ่งของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประดิษฐานอยู่ใต้ฐานองค์พระที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือ จิตผมได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างขึ้นมาในดวงจิต

    --- วันนี้ผมจึงมีนิทานจะมาเล่าสู่กันฟังครับ ^_^ ---

    กาลครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ได้มีพระอรหันต์บารมีมากองค์หนึ่ง ซึ่งกว่าที่ท่านจักสำเร็จพระอรหันต์ ท่านจุติเกิดมานับชาติไม่ถ้วน เหมือนพระอรหันต์องค์อื่น และในชาติล่าสุดนี้ ท่านก็ได้รับกิจหน้าที่ในการสืบสานพระพุทธศาสนาในพุทธกาลของพระศรีศากยะมุนีพุทธเจ้า และมาเกื้อหนุนพระราชาโพธิสัตว์ของประเทศผืนแผ่นดินทองแห่งหนึ่ง ทั้ง 2 องค์ก่อนลงมาจุติเกิดในชาติล่าสุดนั้น ท่านทั้ง 2 ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านทั้ง 2 รู้ในวาระจิตตนด้วยพระญาณบารมีอันยิ่ง และทรงส่องพระญาณอันเป็นโลกุตระดูว่า ตนต้องเกิดมาในบ้านใด มีฐานะเช่นไร มีบิดามารดาพี่น้องนิสัยใจคอลักษณะใด และแต่ละช่วงชีวิตจักต้องประสบพบเจอเหตุการณ์สำคัญใดบ้าง และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูบาอาจารย์ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรใดเข้ามาผูกเกี่ยว

    พระอรหันต์ท่านรู้ว่า ในชาติถัดไป ตนต้องบวชเป็นพระและขึ้นเป็นผู้นำสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ส่วนพระโพธิสัตว์ท่านรู้ว่า ตนต้องเกิดเป็นกษัตริย์เป็นผู้นำพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง และจากญาณบารมีโพธิสัตว์ ท่านรู้เห็นในวิบากกรรมของประเทศชาติ และหลังจากบ้านเมืองสงบสุข แล้วนั้น จักมีนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในการดูแลของพระอินทร์ท่าน ซึ่งนายกท่านนี้เคยบวชเป็นพระมาหลายพรรษา และเป็นผู้ทรงญาณบารมีอันวิเศษที่เคยสั่งสมไว้ในอดีต ท่านจักมาช่วยบริหารประเทศชาติ เพราะแท้จริงแล้วนายกท่าน ก็คือ พระอรหันต์ชั้นอาวุโส ท่านเป็นผู้ดูแลเหล่าพระอรหันต์บารมีน้อยทั้งหลาย ท่านได้จุติเกิดตามมาเพื่อรับช่วงการบริหารประเทศต่อ ตามระบอบการบริหารประเทศแบบประชาธิปไตยในยุคปัจจุบันโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นายกท่านนี้จักอยู่ในรัชสมัยของพระราชาโพธิสัตว์ที่อายุมากแล้วและกษัตริย์อีก 2 องค์ จึงจะหมดวาระหน้าที่ และด้วยอายุ ณ ตอนนั้นที่ชรามากแล้ว

    ครั้นพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ เมื่อท่านรู้สิ้นซึ่งพระชาติถัดไป ท่านทั้ง 2 ก็แยกย้ายกันไป พอวาระจุติมาถึงแก่พระอรหันต์ ท่านจึงตั้งอธิษฐานจิตเพื่อนำทางจิตมาปฏิสนธิในครรภ์มารดา ในเวลาไม่นานของโลกสวรรค์พระโพธิสัตว์ท่านจึงได้จุติตามลงมายังโลกมนุษย์ ผมขอสาธุในกิจหน้าที่ของท่านทั้ง 2 ครับ สาธุ !

    คุณวิเศษแห่งพระพุทธะ !

    ------------------------

    * อ้างอิง : ปัญหาเรื่องพระนิพพาน โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    " พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานจะไม่มีการเกิดก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเกิดก็ไม่ได้ ถ้าเรียกว่าเกิดก็ต้องเกิด ถ้าจะว่าไม่เกิด แต่สภาวะมันมีอยู่ "

    ลิงค์อ้างอิง : http://buddhasattha.com/2014/10/ปัญหาเรื่องพระนิพพาน/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      35.2 KB
      เปิดดู:
      53
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2016
  7. ต้น อิสระ

    ต้น อิสระ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    ขอความอนุเคราะห์ ผมถามไปใน pm ครับ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326

    ทุกคนต้องตาย ช้าเร็ว ไม่มีใครกำหนดได้ มีเพียงผลกรรมในอดีตและปัจจุบันเป็นเครื่องกำหนด

    ความตายเป็นเครื่องเตือนสติในความไม่เที่ยงแห่งชีวิต

    ความตายจึงเป็นนายของกายใจเรา ท่านเข้าใจความตายมากน้อยแค่ไหน หรือเข้าใจแค่เพียง การตายแบบไม่มีลมหายใจไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป

    มิติ มุมมองในเรื่องความตาย การตาย ของสรรพสัตว์มีแก่นแท้ มีความจริงมากมายที่คนส่วนใหญ่รู้ไม่ทั่วเข้าไม่ถึง รู้ไม่แจ้งในความจริงทั้งหมด

    การตายความจริงสรรพสัตว์ก็ต้องตายและหมุนเวียนการเกิดและตายมานับครั้งไม่ถ้วน การเกิดและตาย ให้อะไรกับความเป็นตัวเราใจเรา

    การมีชีวิตอยู่เพื่อรอเวลานั้นมาถึง ควรมีชีวิตอยู่อย่างไร อะไรคือความสุขที่แท้จริง เราควรตั้งความปราถนาอย่างไรที่เรียกว่าถูกต้อง หรือดีงามแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถปรับจูนทิศทางตรงนี้ได้

    การมีชีวิตอยู่ของคุณก็ไม่สามารถเดินไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้องหรือที่ควรที่ดีได้

    ความรวยและความยากจน ความเป็นโน่นนี่นั้นไม่ใช่ตัวกำหนดความถูกต้องดีงามในทางความคิด เพื่อดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

    แต่ความเป็นผู้มีสติปัญญาเข้าถึงสัจจะธรรมความจริง ต่างหากจะทำให้คุณเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อคุณเข้าใจทุกอย่าง คุณย่อมทราบดีว่า ที่สุดแล้ว

    สรรพสิ่งมันก็แค่มายาของโลก ที่เป็นจริงเช่นนั้น มันยากที่ท่านจะยอมรับมัน แต่มันคือสัจจะความจริง ที่ท่านต้องได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายมันก็อยู่ที่สติปัญญาในธรรมของท่าน ที่เป็นเครื่องยกจิตใจของท่านนั่นเองให้หลุดพ้นจากมายาของโลก ครับ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มรณานุสติ
    มิได้มีไว้เพื่อระลึกถึงความตายในแบบที่เรียกว่า ความตายเป็นของน่ากลัวที่ทุกคนต้องพบความพลัดพลาด ความตายเป็นทุกข์อย่างยิ่งของผู้ที่ตายลงและเป็นทุกข์อย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นคนรักและเครือญาติหรือผู้ใกล้ชิด

    หากแต่แท้จริงความตายเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ที่ธรรมชาติกำหนดมาแล้ว

    ร่างกายที่ไร้จิต กายธาตุที่แตกดับลงไปพร้อมกัน เกิดอสุภะ ปรากฏให้ท่านได้พบเห็นความอุจาด ไม่น่ามอง ความเน่าเปื่อยลงไป กลิ่นของกายธาตุที่เน่าเสื่อมสลายลงไป เชื้อโรคและสัตว์น้อยใหญ่ใช้ประโยชน์ จากกายเนื้อที่เน่าเปื่อย ความเป็นจริงเหล่านี้บอกอะไรแก่เรา

    เราจะไม่เหลือซึ่งกายและสิ่งใดเมื่อเราต้องตายลง เราควรรักษาจิตของเราอย่างไร มีสิ่งใดที่เราเอาหรือนำไปได้บ้าง

    ชีวิตที่เหลือมีอยู่นี้จึงไม่ประมาท ไม่ควรละทิ้ง มรณานุสสติและอสุภะกรรมฐาน เพราะสมาธิทั้งสองตัวนี้ จะนำเราไปสู่ความจริงในความตาย ในความแตกดับในการไม่เที่ยงของชีวิต ของกายสังขาร จะนำไปสู่ปัญญาชั้นสูงในทางธรรม เป็นผู้ไม่หลงชีวิตไม่ประมาทนั่นเอง เมื่อจิตเรามีความรู้แจ้งในกายสังขารที่ไม่เที่ยง ย่อมมีดวงตาเห็นธรรม ในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และความไม่ยึดมั่นถือมั่น จนในที่สุดจิตใจดวงนี้ย่อมมีกำลังเอาชนะความมีตัวตน เอาชนะความยึดมั่นในตนได้ในที่สุด

    เราเขาจึงไม่ต่างกัน มีสภาพอันเดียวกัน คือมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ด้วยกันทั้งสิ้น จงไม่ประมาทในอัตภาพคือกายใจของตนนี้นั่นเองครับ สาธุ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =================

    กายคตานุปัสติ ก้าวหน้ารวดเร็วเพราะอสุภะกรรมฐาน ก่อเกิดปัญญาในธรรม จิตตั้งมั่น ด้วยมรณานุสติ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ความเป็นนั่นเป็นนี่ มันก็เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ

    ไม่มีความเป็นอะไรทั้งสิ้น มีเพียงความตั้งมั่นปราถนานำพาสรรพสัตว์ข้ามพ้นทุกข์ มีเพียงสักแต่ว่าทำความดีเพื่อสร้างบารมีธรรมให้เต็มปณิธาณ ที่ตั้งไว้ก็เท่านั้นเอง



    อดีตจึงไม่สำคัญ จักไม่เอามาสำคัญตน เท่าปัจจุบันที่ต้องสร้างความดีหรือบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป

    ในเมื่อเกิดเป็นคนขึ้นมาแล้ว จิตใจที่หนักแน่นตั้งไว้ดีแล้ว ย่อมมีกำลังอานุภาพมากมายต่อการทำความดีอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณและไม่อาจทำชั่วเบียดเบียดผู้อื่นได้ เพราะกำลังใจที่ดีแล้ว ย่อมหนุนส่งให้ตนเองสร้างกำลังแห่งความดี อย่างไม่ย้อท้อและไม่สนใจโลกธรรมใดๆ



    นี่คือหัวใจแห่งพระโพธิสัตว์ ย่อมมีวิริยะและขันติเป็นเลิศ แม้วิบากกรรมก็ไม่อาจขวางกั้น วิถีธรรมแห่งการสร้างบารมีแห่งโพธิสัตว์ได้



    กระผมขอมอบกำลังใจนี้ให้แก่พระโพธิสัตว์ทุกๆท่าน ขอทุกท่านจงมีกำลังกายกำลังใจอันยิ่งใหญ่ในการสร้างความดี สร้างบารมีให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไปครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2016
  12. arrow3322

    arrow3322 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอขอบคุณ คุณก้อง มากๆครับที่ได้กรุณาตอบปัญหาในPM ครับ
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เงากรรม

    อันเงาที่ติดตามตัวเราไปไม่ใช่เงาที่เกิดจากแสงดวงอาทิตย์ในยามกลางวันหรือดวงจันทร์ในยามกลางคืนที่สะท้อนจากตัวเรา แต่เงาที่แท้จริงย่อมหมายถึงผลกรรม แห่ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ผลกรรมทั้งหลายเหล่านี้ คือเงาที่สะท้อนตัวเรา สะท้อนตัวตนของเรา สะท้อนจิตใจเรา และเงากรรม ทั้งหลายนี้จะเป็นเงาติดตามเราไปทุกที่ทุกภพทุกชาติ เมื่อใดที่ วาระแห่งกรรมให้ผล เงากรรมที่ติดตามเราไป เหล่านั้นย่อมให้ผล แก่กายใจของเราในทันที

    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม จึงเป็นกรรม ที่เป็นเงาติดตามเราไปทุกที่ทุกสภาวะ ดังนั้นพึงสำรวมระวังให้มากในกรรมทั้งสามส่วน พึงมีสติ เป็นนายรักษา มีศีลธรรมเป็นเครื่องประคองและเป็นกำแพงแก้ว เพื่อความไม่ประมาทและกระทำผิดอันเป็นบาปกรรม ที่เกิดจากกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม นะครับ สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จงเริ่มต้นด้วย การละบาป หมั่นทำบุญ สร้างทาน ถือศีล และสวดมนต์ภาวนา ทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดเป็นปรกติจิต ทุกขณะจิต

    ความก้าวหน้าในทางธรรม ต้องอาศัยพระธรรม และอาศัยครู คือพระพุทธเจ้า น้อมนำสู่การปฏิบัติทางกายและจิต

    จงทำหน้าที่ของเราในทางโลกและทางธรรมให้ดีที่สุด พัตนาตนเองให้ก้าวหน้า ไม่ต้องไปสนใจคนอื่น สนใจดวงธรรมของตน หรือแสงสว่างในตนเองเท่านั้น สร้างแสงสว่างของตนเองให้เกิดขึ้นให้จงได้

    แม้จะเป็นเพียงแสงสว่างของหิ่งห้อยที่ดูน้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่า สัตว์อื่นน้อยใหญ่ที่ไม่มีแสงสว่าง ได้แต่รอคอยหรืออาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์เท่านั้น ยากที่จะสว่างด้วยตนเอง แล้วจะหลุดพ้นด้วยตนเองได้อย่างไร ครับ สาธุ
     
  15. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    พระพุทธชินราช และ พระพุทธชินสีห์ พระพุทธะผู้สอนธรรมอันประเสริฐแก่พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์เดินดินทั้งหลาย มาหลายยุคหลายสมัยตราบจนทุกวันนี้ สาธุ !
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      243.5 KB
      เปิดดู:
      59
  16. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    พระพุทธะทรงตรัสสอนชี้ทางแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย มีว่า ด้วยภาวะของคนยุคสมัยปัจจุบันที่หาเช้ากินค่ำ เหน็ดเหนื่อยตรากตรำจากการทำงานมาทั้งวัน ยากที่จักทำจิตใจตนเองให้นิ่งสงบตั้งมั่น และเกิดสติสมาธิปัญญาในทางธรรมได้ แม้เวลาสวดมนต์นั่งสมาธิก็ไม่นิ่งสงบมีความฟุ้งซ่านอยู่ร่ำไป รวมถึงการปฏิบัติธรรมฝึกตนเพียงไม่กี่ชั่วโมงใน 1 วัน(24 ชม) จึงไม่เพียงพอที่จักทำให้เราก้าวหน้าในทางธรรมได้ดีเท่าที่ควรเป็น ดังนั้น แล้วเราจักมีกุศลอุบายใดที่จักดึงจิตดึงใจเราให้ทรงอยู่ในสติสมาธิปัญญาอยู่เสมอทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิตได้

    คำตอบ คือ การฟังสวดเป็นการน้อมนำพระพุทธคุณจากบทสวดมนต์ที่มีพลังทิพยอำนาจเข้าสู่จิตใจเรา ฟังยามที่เราว่างและไม่ว่าง โดยไม่เสียการงาน พลานุภาพแห่งพระพุทธคุณ ท่านทรงบอกว่า ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นพลังงานในช่วงความถี่ที่ทรงตัวราบเรียบ ซึ่งความถี่ดังกล่าวจักไปปรับความถี่ที่ไม่คงที่หรือภาวะจิตที่วุ่นวายใจของคนยุคนี้ให้คงที่ราบเรียบ ความถี่จากบทสวดจักแผ่เป็นรัศมีวงกว้างออกไปตามระดับเสียงดังมากน้อย นอกจากปรับความถี่ของจิตแล้ว ยังไปปรับความถี่ของเนื้อสมอง,ปรับความถี่ของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเราให้เกิดภาวะสมดุลของการทำงานในอวัยวะทุกส่วน เมื่ออวัยวะแข็งแรงจึงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถขับพิษขับเชื้อโรคร้ายออกจากร่างกายได้ทางทวารต่างๆ ด้วยเหตุนี้ การฟังบทสวดจึงสามารถรักษาทุกโรคได้ แต่มนุษย์จักมีสติสมาธิปัญญาทางธรรมรู้เห็นรู้แจ้งในเหตุปัจจัยและผลที่เกิดได้หรือไม่ แม้วิทยาศาสตร์ก็ยังก้าวไม่ถึงศาสตร์ความรู้แจ้งทางจิตที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้

    (เหตุแห่งโรคภัยต่างๆ เกิดเนื่องเพราะการทำงานของร่างกายที่ไม่ปกติบกพร่อง ไม่ว่าจักเป็นด้วยเหตุการเสื่อมสภาพของอวัยวะก็ดี ด้วยเหตุมีสิ่งแปลกปลอมเป็นพิษเป็นเชื้อร้ายเข้าสู่ร่างกายก็ดี จนส่งผลทำให้อวัยวะทำงานผิดปกติจนเกิดเป็นโรคภัยอาการเจ็บป่วยแสดงขึ้นมาให้เห็นและไม่เห็น)

    ความถี่ข้างต้น ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "การปรับธาตุดินน้ำลมไฟในร่างกาย" แม้จักเรียกต่างกันไปตามสมมติบัญญัติ แต่อยู่บนพื้นฐานสัจธรรมความจริงที่ไม่เป็นอื่น แม้วิทยาศาสตร์ก็มีการพิสูจน์ออกมาแล้ว แต่เขาใช้ดนตรีบรรเลง ที่เขาเรียกว่า "ดนตรีบำบัด" ซึ่งก็มีประโยชน์แต่พลังงานไม่เท่าเสียงบทสวดเพราะบทสวดจักมีพลังงานมากน้อยเพียงใด อยู่ที่คนสวดเป็นสำคัญว่า คนสวดใช้กำลังจิตกำลังฌานสมาธิ เปล่งเสียงออกมามีพลังมากน้อยเพียงใด

    ท่านทั้งหลาย สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ด้วยการฟังวนบทสวดที่ผมเลือกมาข้างล่างหลายๆ รอบ ในยามที่คุณว่างและไม่ว่าง ยามหลับและยามตื่น เพราะผมก็เหมือนคุณทุกๆ คน เป็นมนุษย์ทำงานไม่ค่อยมีเวลา แต่มันได้ผลเกินคาด ต้องโมทนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูบาอาจารย์ที่ชี้ทางสว่างให้เราได้ปฏิบัติฝึกจิตได้ง่ายขึ้น ด้วยกุศลอุบายแห่งพระพุทธะ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงเคยเจ็บป่วย และหายดีเพราะทรงฟังบทสวดของศิษย์ตถาคต เมื่อท่านทั้งหลายได้ฟังสวดอยู่เนืองนิจทั้งยามหลับยามตื่นแล้วนั้น พอครั้นนั่งสมาธิ จิตจักทรงตัวทรงสติทรงสมาธิได้โดยไว ฟังสวดนานวัน สมาธิจิตจักดำดิ่งลุ่มลึกถึงฌานนำวิปัสสนาเกิดปัญญา ยามใช้ชีวิตประจำวันแลทำการงานใด อานิสงค์เกิดพลัน มีสติสมาธิแลปัญญาแจ้งชัดมีไหวพริบทุกลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต มีสติรู้ทันอารมณ์ตน,มีสมาธิมั่นเกิดปัญญาจัดการเรื่องราวแลแก้ไขปัญหาใดๆ สำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย เหล่านี้ คือ สติสมาธิปัญญาทางธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้นแล สาธุ !

    -----------------------

    3 บทฟังวน ยามว่างและไม่ว่าง ยามหลับและยามตื่น จิตจะมีกำลังใจเบานิ่งสงบเป็นสมาธิลุ่มลึกมากขึ้น นานวันจิตจักทรงฌานทรงสติทรงสมาธิแลทรงปัญญาทางธรรม มีไหวพริบจัดการงาน,แก้ไขปัญหาลุล่วงได้โดยง่าย เป็นการฝึกจิตที่เหมาะกับชีวิตอันวุ่นวายของคนในยุคสมัยนี้ครับ.

    บทพระพุทธมนต์ Download :
    http://www.mediafire.com/listen/9as645wwajdq1xe

    บทพระคาถาเงินล้าน Download :
    https://drive.boonrawd.co.th:5001/sharing/L3dOsnCqB

    บทพระคาถาชินบัญชร Download :
    https://drive.boonrawd.co.th:5001/sharing/iNpqT4rbC
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      40.5 KB
      เปิดดู:
      55
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2016
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========================

    ขออนุโมทนาครับ สาธุ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การเข้าไปเห็นความจริงในพระสัทธรรม ย่อมไม่อาจเข้าไปเห็นได้ด้วยตา

    แต่พระสัทธรรม ความจริงทั้งปวงทั้งโลกียะสภาวะและโลกุตระสภาวะ จะเข้าไปเห็นแจ้งได้ ต้องอาศัยเครื่องมือคือปัญญาเท่านั้น
    สาธุ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326

    การปฏิบัติธรรม นำตนก้าวสู่ความเป็นพระโสดาบัน

    1 เป็นผู้ยึดมั่นในคำสอนสามประการคือ ละบาป ทำดี ชำระจิตให้ขาวสะอาดเป็นอุปนิสัย
    แต่ให้เข้มงวดใน หิริโอตัปปะ ห้ามบกพร่องในเรื่องนี้ คือต้องละบาปให้ได้โดยสมบุรณ์ คือต้องไม่ทำบาปทั้งปวง

    2 อาศัย บุญทาน ศีล และสมาธิเป็นพื้นฐานดีงามในระดับหนึ่งแล้ว และด้วยพื้นฐานส่วนนี้ ทำให้เกิดสติปัญญา เบื้องต้นในยกภูมิจิตให้ดีงามกว่าปุถุชน โดยให้เน้นเรื่อง ทาน และศีล โดยเฉพาะศีล ถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งยวด

    3 อาศัย สติปัญญาในสมถะสมาธิ อันประกอบด้วย ฌาณ8 เป็นเครื่องทรงสมาธิจิต เป็นเครื่องเข้าถึงความรู้แจ้งในสมาธิฌาณ ทั้งรูปและอรูปฌาณ ครับ

    4 อาศัยความเข้าถึงโคตรภูญาณ มี สติปัญญาในวิปัสสนาญาณ อันเป็นญาณทัสนะรอบรู้ใน วัฏฏะของการเกิดทุกข์ ตั้งแต่ อวิชา ไล่ไปจนถึง ชาติ ชรา มรณา ทุกขะโสกะปริเทวะ คือการปฏิสนธิและปัจจะยา เหตุเห่งการเกิดทุกข์ เหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    หรือเรียกว่า อิทัปปัจจยะตาสมุปบาท ครับ ข้อนี้จะทำให้เกิดปัญญาณุ้แจ้ง ในการเกิด การตาย และไม่อยากเกิดอีก เบื่อหน่ายการเกิดที่มีแต่ทุกข์นั่นเอง ครับ

    ฉนั้น นั้นเมื่ออาศัยพื้นฐานทั้งสี่ข้อที่กล่าวมา นั่นแสดงว่า
    บุคคลผู้นั้น ย่อมจะต้องมีทั้งบุญทาน ความดี ศีล มีสติปัญญาในธรรม ที่ฝึกฝนจนเกิดเป็นบารมี ในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยสิ่งเหล่านั้นที่สั่งสมจนเกิดตกผลึกเป็น ดวงตาที่เห็นธรรม ก้าวล่วงพ้นจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระโสดาบันได้นั่นเอง

    จากเหตุปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้จิต ก้าวล่วงในธรรม ละ สังโยชน์สามข้อได้สำเร็จเบื้องต้นคือ

    1 สามารถ ละสักกายะมานะทิฏฐิในตนได้ คือไม่ยึดติดในตัวตนของตน เพราะมีสติปัญญาเข้าถึงแล้ว

    2 สามารถ ละ วิจิกิจฉา ได้ คือไม่มีความสงสัยใน คุณธรรม ความดี ใดๆทั้งสิ้นเพราะมีสติปัญญาเข้าถึงแล้ว

    3สามารถละ สีลัพพตปรามาส ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทในศีล จะไม่ลูบคลำศีลเหมือนเป็นของเล่น แต่จะยกเอาศีลเป็นเครื่องบูชา อันหมายถึง ความเป็นผู้มีศรัทธาปัญญาเชื่อมั่นกราบไหว้ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด ด้วย โดยมีศีลเป็นเครื่องปฏิบัติอันเป็นกรอบแห่งความดีงามที่ตนจะรักษาด้วยชีวิต

    ดังนั้น นั่นย่อมแสดงว่า จิตท่านได้ยกแล้ว ได้ก้าวผ่านพ้นแล้วจากความเป็นปุถุชน ไปสู่ความเป็นอริยะชนคือพระโสดาบันได้แล้วด้วยประการ ฉะนี้ครับ

    อนึ่งการเทียบเคียง ท่านให้ใช้ สังโยชน์ เข้ามาเทียบเคียง ถ้าละสังโยชน์ได้มากเท่าไหร่ กิเลสก็เบาลงไปมากเท่านั้น ถ้าละสังโยชน์ได้หมด นั้นก็แสดงว่า อสวะท่านดับสนิทแล้วไม่มีหลงเหลือ นั่นคือท่านสำเร็จพระอรหันต์แล่้วนั้นเองครับ สาธุ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326

    เหตุผลที่เราจะต้องปฏิบัติธรรม เพื่อยกจิตให้ก้าวสู่ความเป็นพระโสดาบัน เพราะว่า ความเป็นพระโสดาบัน นั้น
    1.1จะเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของความเป็นพระอริยะบุคคล มีที่สุดคือพระอรหันต์ เข้าถึงพระนิพพาน หลุดพ้นทุกข์ได้ ภายในไม่เกิน7ชาติ อย่างเร็วก็ปัจจุนชาติก็สามารถ สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลุดพ้นทุกข์ได้

    1.2นอกจากนี้ ความเป็นพระโสดาบัน ยังหมายถึงความเป็นผู้ห่างไกลหลุดพ้นจากบาปกรรม ไม่กระทำบาปกรรมอีก กรรมฝ่ายอกุศล ดับสนิทแล้ว

    1.3 พระโสดาบันจะหมายถึงผู้เป็นเนื้อนาบุญที่จะยังกุศลกรรม ยังประโยชน์สุข ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจน แม้ตายไปย่อมมีสวรรค์สมบัติเป็นแน่แท้ไม่เป็นอย่างอื่น

    1.4 ผลบุญจากการปฏิบัติตนอยู่ในความเป็นพระโสดาบัน จะยังผลให้มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม มีโอกาสได้เกิดและได้พบพระพุทธเจ้าพบพระธรรม พบพระอรหันต์ เป็นต้น ชีวิตจะมีแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไปครับ

    นี่จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่กล่าวได้ว่า พระโสดาบันนั้นจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งครับ

    2 คุณวิเศษแห่งพระโสดาบัน คือ
    2.1จะเป็นผู้ปราศจากเวรภัย ยกเว้นอนันตริยกรรมในอดีต ให้ผล แต่แม้จะให้ผล ก็จะเบาบางลง อายุไขก็จะไม่สั้น แต่จะยืนยาวเพราะบารมีจากการถือศีลไม่ทำบาปนั่นเอง อนึ่งเพราะความดีและศีล จะเป็นกำแพงแก้วคุ้มกันอัปมงคลทั้งปวงไม่สามารถมาทำร้ายเบียดเบียนได้
    2.2จะเป็นผู้ไม่ขัดสนเงินทองและทรัพย์ จะเป็นผู้ไม่อดยาก แต่จะมีพร้อมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์
    2.3 จะเป็นผู้มีกัลญาณมิตร
    2.4 จะเป็นผู้เป็นที่รักของเทวดาเทพพรหม
    2.5 จะเป็นที่พึ่งของญาติพี่น้องญาติธรรมผู้ยังเป็นปุถุชน ตลอดจนเป็นที่พึ่งของจิตวิญญาณที่ตกยาก
    2.6 เจ้ากรรมนายเวรอนุโมทนาและเมตตาอโหสิกรรม ยกเว้นอนันตริยะกรรม
    2.7 จะเป็นผู้ได้อภิญญาเบื้องต้น ไปจนถึงวิชาสาม หากมีความเพียรในสมถะและภาวนา
    2.8 จะเป็นผู้มีนิมิตที่ดี คือแม้หลับหรือตื่นก็จะเกิดนิมิตที่ดี เพราะอาศัยผลแห่งความดีที่ตนกระทำ
    2.9 อื่นๆ

    3 คุณพิเศษที่พระโสดาบันมีหรือได้รับนั้น จากที่กล่าวมามีความแตกต่างกับปุถุชนมาก เพราะปุถุชนผู้ยังหลงในวัฏฏะ มีกิเลสหนาฉาบทา ย่อมสร้างบาปกรรม เมื่อใดที่ปุถุชนยังเป็นผู้สร้างเวรกรรม เมื่อนั้นเวรกรรม ผลแห่งบาปกรรม และเจ้ากรรมนายเวร จะเป็นเครื่องทำร้าย เครื่องปิดกั้น เครื่องถ่วงซึ่งความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม ย่อมไม่สามารถยกตนให้พ้นจากโคลนตมได้ ฉันนั้น ฉนั้นความเป็นพระโสดาบัน จึงมีความสำคัญดังที่กล่าวมา

    อนึ่งในพุทธบริษัทสี่ หากมีพระโสดาบันเกินครึ่งหนึ่ง ก็จะยังผลให้พระศาสนา มีความเจริญรุ่งเรืองและยืนยาวต่อไปอีก 1เท่าตัว แต่ทุกอย่างก็ล้วนเป็นไปตามวัฏฏะจักร ความเสื่อมย่อมทวีความรุนแรง พระอรหันต์ พระอริยะบุคคล ตลอดจน เทพพรหมมาเกิดน้อยลง พระโพธิสัตว์ ต่างก็ต้องลงมาทำหน้าที่ช่วยเหลือ สรรพสัตว์ จวบจนถึงเวลาแห่งการดับสูญและเกิดใหม่ จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาโปรดมหาสัตว์เพื่อหลุดพ้นทุกข์ต่อไปครับ

    วิถีแห่งวัฏฏะสงสารก็หมุนเวียนเป็นธรรมดาอย่างนี้ ครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...