แอ๊บแบ้ว
ความเคลื่อนไหวล่าสุด:
27 ตุลาคม 2015
วันที่สมัครสมาชิก:
15 สิงหาคม 2007
โพสต์:
1,335
พลัง:
2,544
อัลบั้ม:
7
Photos:
142

โพสต์เรตติ้ง

ได้รับ: ให้:
ถูกใจ 2,544 1,897
อนุโมทนา 0 0
รักเลย 0 0
ฮ่าๆ 0 0
ว้าว 0 0
เศร้า 0 0
โกรธ 0 0
ไม่เห็นด้วย 0 0

แชร์หน้านี้

แอ๊บแบ้ว

เป็นที่รู้จักกันดี

แอ๊บแบ้ว เห็นครั้งสุดท้าย:
27 ตุลาคม 2015
    1. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      คุณเต้าเจี้ยว
      "หัวข้อ: อุเบกขาบารมี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์"
      คุณเต้าเจี้ยวเห็นอะไร ?
    2. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      หัวข้อ: อุเบกขาบารมี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจน ทศบารมีวิภาค - อุเบกขาบารมีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส กทม.สำเนาเทศน์เช้า วันสิ้นเดือนอ้าย ๒๓ กันยายน ๒๔๗๐
      อิทานิ จาตุทฺทสี ทิวเส สนฺนิปติตาย พุทฺธปริสาย กาจิ ธมฺมิกถา กถิยเต, อิโต ปรํ อุเปกฺขาปารมึ อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ภาสิสฺสามีติ อิมสฺส ธมฺมปริยายสฺส อตฺโถ สาธายสฺมนฺเตหิ สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติณ วันนี้เป็นวันจาตุททสีดิถีที่ ๑๔ ค่ำ แห่งกาฬปักษ์ เป็นวันธัมมัสสวนะ สำหรับพุทธบริษัทมาประชุมสันนิบาต เพื่อจะฟังพระธรรมเทศนาตามกาลนิยม ซึ่งมีมาในพระธรรมวินัย เมื่อพร้อมด้วยสันนิบาตได้พร้อมกันไหว้พระสวดมนต์ สมาทานศีล เสร็จกิจในเบื้องต้นแล้ว เบื้องหน้าแต่นี้ พึงตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาให้สำเร็จเป็นธรรมสวนามัยกุศล เป็นผลอันพิเศษ ด้วยการฟังพระธรรมเทศนา เป็นการบำรุงศรัทธาและปัญญาของตน ให้เจริญขึ้นโดยลำดับ ด้วยพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นดวงประทีปสำหรับส่องให้โลกสว่าง ด้วยโลกคือหมู่สัตว์มืดมน มหนธการด้วยอำนาจอวิชชาโมหะครอบงำทำให้ปัญญาทุพลภาพ มุ่งแต่ลาภและยศสรรเสริญความสุข เมาในวัยว่าตนยังหนุ่ม เมาในความไม่มีโรค เมาในชีวิต ไม่คิดถึงความตาย แสวงหาแต่วัตถุที่จะเอาไปตามตนไม่ได้ ข้อนี้ไซร้สำเร็จมาแต่การขาดการสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา อันเป็นโอวาทศาสนาคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าความจริงในสยามประเทศนี้ นับว่าเป็นหลักของพระพุทธศาสนา ด้วยพระพุทธศาสนาตกเข้ามาประดิษฐานอยู่ในประเทศสยามนมนานกว่า ๒,๐๐๐ ปีแล้ว แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ ด้วยว่าแต่บรรดาพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ของชาวสยาม ต้องเป็นอรรคศาสนูปถัมภก สืบขัติยวงศ์มามิได้ขาด ตั้งต้นแต่นครเชียงแสนเชียงรายมากระทั่งถึงกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นปัจจุบันบัดนี้ แต่นั่นแหละ อาศัยความที่ไม่ถาวรแห่งโลก เมืองหลวงต้องถูกโยกย้ายหลายตำบล เป็นเหตุให้จลาจลแห่งพระพุทธศาสนา ครั้นเมืองหลวงตั้งมั่นเจริญขึ้นในตำบลใด พระพุทธศาสนาก็เจริญขึ้นตามในตำบลนั้น ข้อนี้มีเจดิยสถาน(?เจดียสถาน)โบราณคดี เป็นเครื่องอ้างให้สันนิษฐานได้ว่า พระเจ้าแผ่นดินชาวสยามเป็นอรรคศาสนูปถัมภกตลอดมา แต่ความรู้ความฉลาดในธรรมวินัยของพุทธบริษัทก็คงจะขึ้น ๆ ลง ๆ ฉะนั้น ดังในประถมสมัยในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ข้อปฏิบัติในธรรมวินัยนับว่าเสื่อมทรามลงมาก หากอำนาจแห่งพระพุทธศาสนาบันดาล ให้พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าสยาม มาช่วยเป็นเป็นอรรคศาสนูปถัมภก ยกแยกเป็นคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นให้ศึกษาตรวจตรองเลือกคัด ปฏิบัติให้ตรงตามพระวินยานุญาต ส่วนธรรมปฏิบัติก็ให้ตรงต่อไตรสิกขา ไม่ให้งมงายเชื่อตามพวกวิปัสสนา หลับตาดูนรกดูสวรรค์ สู่ความเจริญ เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าสยาม และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นอรรคศาสนูปถัมภก เป็นบูรพาจารย์ของพวกเราทั้งหลาย อย่าพากันลืมพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ท่านทั้งสอง ที่ออกพระนามมาแล้ว ต่อแต่นี้ไป มรรค ผล นิพพาน จะชัชวาลแจ่มแจ้งขึ้นแก่พุทธบริษัทเป็นลำดับไป....... กัณฑ์นี้ได้บรรยายอารัมภกถามาก เพื่อเตือนในแห่งสัตบุรุษให้ตื่นจากหลับ พากันหลับมาหลายชั่วบุรุษแล้ว อย่าพากันหลงเชื่อถือตามลัทธิของครูบาอาจารย์อย่างเดียว เชื่อต่อพระอัฏฐังคิกมรรค เชื่อต่อไตรสิกขาด้วย เชื่อความสามารถของตนด้วย จึงจะได้ประสบมรรคผลนิพพาน

      ........บัดนี้ จักแสดงใน อุเบกขาบารมี ต่ออนุสนธิสืบไปอุเปกฺขา นาม ชื่ออันว่า อุเบกขาบารมีนี้
      ....... หาใช่เฉย ๆ อยู่อย่างเดียวไม่
      ถ้าความเพิกเฉย เป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างเดียวเป็นอุเบกขาแล้ว
      อุเบกขาก็ไม่เป็นบารมี ไม่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าได้
      อุเบกขาบารมีนี้ หมายความเป็นกลาง คือหัดทำใจให้เป็นกลาง
      คือเป็นยอดเป็นจอมแห่งบารมีทั้ง ๙ มี ทานบารมี เป็นต้น ดังที่แสดงมาแล้ว

      ..... ถ้าขาดอุเบกขาจิต จิตที่เป็นกลางเสียแล้ว บารมีเหล่านั้นเกิดขึ้นไม่ได้
      ความจริงบารมีทั้ง ๑๐ ประการนั้น ในบารมีอันหนึ่งก็ต้องมีพร้อมทั้ง ๑๐ ประการ
      เป็นแต่ว่า จะยกบารมีอันใดขึ้นเป็นประธาน ก็เรียกบารมีอันนั้นเท่านั้น

      ......... เพราะคุณธรรมเหล่านี้เป็นอัญญมัญญปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน
      ท่านจึงร้อยเข้าไว้เป็นพวงเดียวกัน
      ในพระบารมีทั้ง ๙ นั้น จะสำเร็จได้ก็ต้องมีอุเบกขาจิตเข้าเป็นปัจจัยอุกหนุน

      ......ในเวลาที่จักเจริญอุเบกขาบารมี พระบารมีธรรมทั้ง ๙ นั้นก็มาเป็นปัจจัยอุดหนุนให้อุเบกขาบารมีเต็มรอบ

      ....ท่านเรียกว่าสามัคคีธรรม คือ คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนั้นมีขึ้นพร้อมกันในสกลกายนี้

      .... นัยหนึ่งท่านเรียกว่า มัคคสามัคคี ท่านแสดงไว้ในปฐมสมโพธิพุทธประวัติของเก่า
      แสดงลักษณะมรรคสามัคคีว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราใกล้จะตรัสรู้
      สู้กับด้วยพระยามาราธิราชด้วยพระบารมี ๑๐ ประการ
      ด้วยอาวัชชนาการถึงพระบารมีทั้ง ๑๐ มีพร้อมเป็นมัคคสามัคคีแล้ว
      ร่างกายจิตใจของพระองค์ในเวลานั้นเป็นอุเบกขาญาณสัมปยุต เฉย เป็นกลาง
      เปรียบด้วยพระธรณี คือแผ่นดิน
      โบราณาจารย์จึงสมมติอาการนั้นว่า นางพระธรณีขึ้นมาช่วยดังนี้
      และเล็งเอาน้ำพระทัยของพระองค์เวลานั้นเต็มไปด้วยพระมหากรุณาแผ่ไปทั่วโลกธาตุ
      โบราณาจารย์จึงสมมติอาการแห่งพระกรุณานั้นว่า
      นางพระธรณีรีดน้ำออกจากมวยผม ไหลท่วมถมพัดพาเอาพระยามาร
      กับทั้งพลมารให้ล่มจมงมงาย คลื่นกระฉอกพัดซัดออกไปตกนอกขอบจักรวาล
      ดังนี้พึงเข้าใจอุเบกขาจิต คือจิตเป็นกลาง

      ....ถ้าจักชี้เจตสิก อัญญสมานาเจตสิกนั้นแหละ ซื่อว่าเจตสิกกลาง
      ... ถ้าเจตสิกกลางนั้นมาประกอบกับจิต ก็เรียกว่าอุเบกขาจิต
      .... ที่ท่านแสดงประเภทแห่งอุเบกขาไว้มีมาก

      ดังในพรหมวิหารจิตเป็นกลาง สัมปยุตด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
      ชื่อว่า อุเบกขาพรหมวิหาร

      จิตเป็นกลาง สัมปยุตเป็น สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา
      ชื่อว่า อุเบกขาเวทนา

      ....จิตเป็นกลางสัมปยุตด้วยสติ ธรรมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
      ชื่อว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์

      .... จิตเป็นกลางใน รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ไม่ตกไปในฝ่ายยินดียินร้าย
      ชื่อว่า ฉฬังคุเบกขา

      .... จิตเป็นกลางสัมปยุตด้วยเอกัคคตากับอุเบกขาเท่านั้น
      ชื่อว่า จตุตถฌานุเปกขา

      .... ลักษณะที่มาแห่งอุเบกขามีมากประเภท ชักมาแสดงพอเข้าให้เข้าใจความเท่านั้น
      อุเบกขาจิตนี้ถ้าสัมปยุตด้วยบุญด้วยกุศล ก็เป็นกุศลเจตนาไป
      .....ถ้าสัมปยุตด้วยบาปด้วยอกุศล ก็เป็นอกุศลเจตนาไป
      ....ถ้าไม่สัมปยุตด้วยกุศลากุศล ก็เป็นอัพยากฤตไปเท่านั้น
      .... อุเบกขาบารมีที่พระพุทธเจ้าทรงแจกแก่พุทธบริษัทให้ดำเนินตาม
      ผู้รับแจกได้ดำเนินตามและได้สำเร็จมรรคผลนิพพานนับด้วยโกฏิด้วยล้านไม่ถ้วน
      ....อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑
      ...สังขารุเบกขาญาณ ๑
      ....ฌานุเบกขา ๑

      .... จะอธิบายแต่เพียงอุเบกขา ๓ ประเภทเท่านี้ พอเป็นทางปฏิบัติของพุทธบริษัท
      ....ผู้ที่ปรารถนาจะเจริญโพชฌงค์ พึงตั้งสติให้รู้อยู่ที่กายที่ใจนี้
      ให้มีธรรมวิจยะ ตรวจตรองจนให้เห็นว่าสกลกายนี้เป็นสภาวธรรม
      แจกออกเป็นพระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ ให้รู้ชัดด้วยปัญญา
      ให้มีวิริยะความกล้าหาญองอาจในความเพียร ไม่เห็นแก่ร่างกายและชีวิต
      ทำจิตให้สงบ ให้เกิดปีติความเอิบอิ่มเบิกบานในดวงจิต
      ให้กายและจิตสงบเป็นปัสสัทธิเรียบราบดี ให้จิตเป็นหนึ่งในอารมณ์
      คือ สภาวธรรมในสกลกายนี้เป็นองค์สมาธิ
      ให้อุเบกขาจิตเพ่งสัมปยุตธรรมเหล่านั้น
      จะเห็นว่า คุณธรรมเหล่านั้นพรักพร้อมบริบูรณ์แล้ว
      เพียงเท่านี้ชื่อว่าสำเร็จภูมิอุเบกขาสัมโพชฌงค์
      และให้หมั่นทำจนชำนาญ คุณธรรมทั้ง ๗ นี้
      เป็นเหตุเป็นองค์จะให้ตรัสรู้อริยสัจธรรมตลอดถึงมรรคผลนิพพาน

      ....ผู้รับแจกควรยินดีตั้งใจปฏิบัติตามการแสดงพุทธโอวาท ก็แสดงได้แต่ทางปฏิบัติเท่านั้น
      การจะได้จะถึงเป็นกิจของผู้เลื่อมใส ผู้รับปฏิบัติจะได้เอง เห็นเอง
      ....ในสังขารอุเบกขาญาณนั้น ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
      จะชักมาแสดงพอเป็นนิทัศนะเมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรชำระศีลให้บริสุทธิ์
      ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ชำระทิฏฐิให้บริสุทธิ์ ชำระความสงสัยในอดีต อนาคต
      ให้บริสุทธิ์ด้วยปัจจุบัน ธรรมวินิจฉัยทางดำเนินให้ตรง ละวิปลาสสัญญาเสียได้
      แล้ว น้อมจิตสู่วิปัสสนาญาณ จะชักแผนที่ของโบราณาจารย์
      คือ แบบแผนมาแสดงไว้พอเป็นราว
      ถ้าจะให้ขาวสิ้นสงสัยต้องไปตรวจดูตามแผนที่ จะรู้สึกว่าแผนที่กับภูมิประเทศห่างไกลกันสักปานใด
      แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทางวินิจฉัยรู้จักผิดและถูก แผนที่มีคุณแก่ผู้ตรวจภูมิประเทศฉันใด

      ตำราแบบแผนก็มีคุณแก่กุลบุตรผู้ดำเนินในวิปัสสนาญาณฉันนั้นยกสังขารขึ้นสู่ไตรลักษณ์

      ชื่อว่า สัมมสนญาณ ให้พิจารณาความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของสังขารทั้งหลาย
      ชื่อว่า อุทยัพพยญาณ และปล่อยความเกิดขึ้นเสีย
      พิจารณาความชำรุดหักพังแห่งสังขารทั้งหลาย น่าสยดสยอง
      ชื่อว่า ภังคญาณ ตามเพ่งอาทีนพโทษแห่งสังขารทั้งหลายนั้น ให้เห็นดังเรือนไฟไหม้
      ชื่อว่า อาทีนวญาณ ให้เกิดญาณเหนื่อยหน่ายในสังขารทั้งหลายที่ตนเห็นโทษแล้วนั้น
      ชื่อว่า ภยตูปัฏฐานญาณ คิดจะปลดเปลื้องตนให้พ้นจากวัฏฏภัย อย่างมัจฉาชาติคิดจะพ้นจากข่ายฉะนั้น
      ชื่อว่า มุจจิตุกัมยตาญาณ พิจารณาเนือง ๆ ในสังขารทั้งหลายนั้นเพื่อหาอุบายเครื่องปลดเปลื้อง
      ชื่อว่า ปฏิสังขารญาณ ทำจิตเป็นกลาง เพ่งสังขารทั้งหลายที่ตนเห็นโทษมาแล้ว เป็นอารมณ์ด้วยสติสัมปชัญญะอุปถัมภ์
      ชื่อว่า สังขารุเบกขาญาณ.....
      สังขารุเบกขาญาณนี้เป็นเบื้องต้นแห่ง สัจจานุโลมิกญาณ และ โคตรภูญาณ และ มัคคญาณ เป็นลำดับไป

      ......อุเบกขาที่สัมปยุตด้วยสังขารทั้งหลายเป็นวิปัสสนาลักษณะอย่างนี้
      ชื่อว่า สังขารุเบกขาญาณ
      .....ถ้ายกจิตขึ้นสู่องค์ฌาน ละวิตก วิจาร ปีติ สุขเสียได้ ให้คงเหลืออยู่แต่เอกัคคตา กับ อุเบกขา เท่านั้น
      ชื่อ จตุตถฌานุเบกขา

      ให้พุทธบริษัทกำหนดอุเบกขาบารมีตามนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญให้เต็มรอบแล้ว นำมาแจกมีแตกต่างโดยประเภทเป็นอันมาก ที่นำมาแสดงไว้ในที่นี้พอเป็นนิทัศนะเท่านั้น พึงเข้าใจว่า จิตมัธยัสถ์เป็นกลาง ชื่อว่า อุเบกขา จิตที่เป็นอุเบกขานั้น ถ้าสัมปยุตกับด้วยธรรมประเภทใด ย่อมมีคุณานุภาพให้ประโยชน์นั้น ๆ สำเร็จ เมื่อพุทธบริษัทได้รับแจกอุเบกขาบารมีแล้ว พึงตรวจดูนิสัยของตนจะชอบใจในอุเบกขาพรหมวิหาร หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ หรือสังขารุเบกขาญาณ ถ้าชอบใจในอุเบกขาประเภทใด ก็พึงตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เกิดให้มีในตนให้บริบูรณ์ ล้วนแต่เป็นบาทแห่งวิปัสสนาให้บรรลุมรรคญาณ ผลญาณได้ด้วยกันทุกประเภทแห่งอุเบกขา ข้อสำคัญคือ ความทำจริงสำเร็จด้วยความไม่ประมาท ถ้าผู้ตั้งใจดำเนินปฏิบัติตามโดยนัยดังแสดงมานี้ ก็จะมีแต่ความงอกงามเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา ดังวิสัชนามา ด้วยประการฉะนี้ ฯ ที่มาโพสต์ : 23 ต.ค. 2007 เวลา 17:10 http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=2533
    3. เต้าเจี้ยว
      เต้าเจี้ยว
      อุเบกขา น่าจะประกอบด้วยเจตสิก อุเบกขา ไม่แน่ใจจะรวมพวก ปัญญา หรือเวทนาที่เป็นกลางด้วยไหม ก่อนจะถึงอุเบกขาจริงๆ ถ้าค้นดู ยังไงมาบอกกันบ้างนะ ขี้เกียจค่ะ
    4. คีตเสวี
      คีตเสวี
      [IMG]

      มีสิ่งหนึ่ง ที่ถูกทิ้ง ให้ผ่านเลย
      ดั่งเคย มิได้ตรึก นึกรักษา
      นั่นคือลม หายใจ ที่ผ่านมา
      ถูกปล่อยไป ดั่งไร้ค่า เวลาเพลิน

      อันชีวิต ลิขิตไว้ ให้สั้นนัก
      หากรู้จัก ว่าใกล้ตาย ไม่นานเนิ่น
      ลมหายใจ ที่ทิ้งไว้ อย่าได้เมิน
      เร่งสรรเสริญ มีปัญญา พาพ้นกัน
    5. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      เด๋ว...ไปทบทวนวิชาก่อนง่า
    6. ฐาณัฏฐ์
      ฐาณัฏฐ์
      [IMG][IMG] โยคีปะทะเส้าหลิน หุหุ
    7. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      ที่ยกธรรมครูบาอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาแสดง ...เพื่อเป็นปัญญาสำหรับผู้ใฝ่ธรรม.... ด้วยหวังดี ในความเจริญทางธรรมต่อเพื่อนธรรมก็เท่านั้น..(แม้กระผมก็หมั่นเตือนตนด้วยข้อธรรมดังที่ได้แสดงไปอยู่เช่นเดียวกัน).. ถูกผิดประการใดตนผู้กระทำย่อมรู้ดี ....ไม่ใช่วิสัยเราจะไปตัดสินอะไรใคร (กฏแห่งกรรมมีจริง)..... และไม่ทำให้ตนได้ดีอะไรขึ้นมา .. มีแต่จะก่อความรำคาญเดือนร้อนให้เราเปล่าๆ ... ตามคำครูบาอาจารย์มั่นท่าน ..... (ทั้งหมดกระผมก็เข้าใจดังนี้แล....ท่านเข้าใจอย่างไรก็พิจารณาปรับตนเองเถิด)....กระผมเข้าใจคุณเต้าเจี้ยวว่า "มีความปราถนาดีต่อเพื่อนธรรมหวังในความเจริญที่มีต่อเพื่อนธรรมเช่นเดียวกัน" ......
      .......อนุโมทนา สาธุด้วยนะครับ ถ้าเข้าใจ .....(ที่กล่าวเช่นนี้อาจจะมากไปสำหรับจุดประสงค์ในการสนทนากับเพื่อนธรรม.เพื่อแสวงหาความความรู้ของข้าพเจ้า....แต่ด้วยเจตนาดี และหวังว่าท่านจะเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้น..ก็อดไม่ที่จะกล่าวดั่งที่แสดงไปแล้ว...หวังว่าคงจะได้รับการอภัยในโทษ ที่ได้ล่วงเกินในครั้งนี้ ...จบ)
    8. เต้าเจี้ยว
      เต้าเจี้ยว
      ทุกสิ่งย่อมมีที่มา มีเหตุปัจจัย
      ก่อนแรกมา เวลาใครคุยอะไร ดิฉันจะย้อนดูโพสต์เก่าๆ ของคนเหล่านั้น เพื่อความเป็นกลาง เดี๋ยวนี้ ก็พอจะเดาทางกันไปได้..
    9. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      เจริญธรรม ..เช่นเดียวกัน.....ครับ......คุณเต้าเจียว ....
    10. คีตเสวี
      คีตเสวี
      [IMG]

      หลายคน เกิดมาเพื่อได้พบกับความทุกข์ .. แล้วก็ตายจากไป
      เพื่อที่จะเกิดมาพบกับความทุกข์ใหม่ ไม่รู้จักสิ้นสุดเลยทีเดียว
      แต่บางคนกลับโชคดี ที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา
      ได้ฟังธรรมเห็นธรรม และออกจากสังสารวัฏได้
    11. เต้าเจี้ยว
      เต้าเจี้ยว
      [IMG] เจริญในธรรมค่ะ
    12. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      ชะ...ช้าก่อนท่าน..ท่านฐาณัฎฐ์..อาหารมียาพิษ!? อ๊ะป่ะ .....หุหุหุ
      (ซื้ออาหารอาหมวยใกล้บ้านดีกว่า ..มีขนมจีบ..ด้วย อิอิอิ)
      อาหารอย่างนี้ต้องผู้มีวรยุทธสูงเท่านั้น ....เพราะสามารถใช้ลมปรานขับออก...ในตอนเช้าได้อ่ะ หุหุหุ.....( เอ่อ (+_+) เลอะเทอะใหญ่แล้ว ....บอกตรงๆทำไม่เป็น.... ^_^! ...จบ.)
    13. ฐาณัฏฐ์
      ฐาณัฏฐ์
      [IMG]
      [IMG] เกี๊ยวครีมชีส [IMG]

      ส่วนประกอบ

      แป้งเกี๊ยว 1 ห่อ
      กะหล่ำปลีซอย ครึ่งหัว
      แครอทหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ 1 หัว
      ต้นหอม 10 เส้น
      ครีมชีส 1 ก้อน
      น้ำเปล่า 1 ถ้วย

      วิธีทำ

      1.ใส่กะหล่ำปลีซอย และแครอทลงไปคลุกเคล้ากับครีมชีสให้เข้ากัน
      2.นำส่วนผสมของครีมชีสมาใส่แป้งเกี๊ยวที่เตรียมไว้ ปั้นเป็นก้อน อย่าให้เยอะมากน๊า
      3.พอจะห่อเกี๊ยว ให้นำน้ำเปล่ามาทาที่ขอบแป้งเกี๊ยวรอบๆแผ่น แล้วจึงค่อยๆห่อโดยการค่อยๆรวบแป้งเกี๊ยวขึ้นมารวมกันให้เป็นถุง และ นำต้นหอมที่เตรียมไว้ มามัดปากถุงให้เรียบร้อย
      4.จากนั้น นำไปทอดในน้ำมันร้อนจัด จนเหลืองกรอบ แล้วนำขึ้นมาซับน้ำมัน จัดใส่จานตกแต่งให้สวยงาม

      เอาไว้ลองทำทานดูนะท่าน หุหุ
    14. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      ขอพักก่อนครับ...มีโอกาสค่อยสนทนาไหม่....ถ้าไม่ตายซะก่อนนะครับ....Google!? ผิดเอ้ย Good bye ครับ....... ( Google ...เพลินไปหน่อย นะครับอย่าถือสา ....หุหุหุ)
    15. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      อนุโมทนาด้วยครับ ..... ถือว่าเจริญปัญญาร่วมกัน .....
    16. เต้าเจี้ยว
      เต้าเจี้ยว
      ไม่จำเป็นต้องนิโรธค่ะ อรหันต์มือใหม่ หมายถึงเพิ่งเป็นซิงๆ ตอนนั้นก็ได้ ออกมาแล้วจากการดับขันธ์ จะต้องทวนผลญาณที่ผ่านมา ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หมดกิเลสแล้วใช่ไหม คงสื่อสารไม่ดี ขออภัยค่ะ ..การเข้านิโรธนี่ ต้องมีกำลังฌาน คงต้องเป็นพระอนาคาหรือพระอรหันต์ที่มีฌาน

      สภาวะเห็นจิต หรือเป็นจิตบริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ เป็นสภาวะเลยบัญญัติ จะว่าเป็นเอกัคตารมณ์อย่างโลกียฌานก็ไม่ได้ ในกำลังฌานไม่ดี ถึงวูบไปเฉยๆ เพราะในอริยะขั้นต้นนั้น แค่อุปจารสมาธิก็เป็นกำลังประหารกิเลสได้ แต่ถ้ากำลังสมาธิมาก อยู่ภาวะนั้นได้นานตามกำลังฌานเลยทีเดียว (อ่านเรื่องกำลังสมาธิในการประหารกิเลสได้จากหนังสือพุทธธรรมก็ได้)

      เรื่องธรรมกายค่อนข้างยาก ต้องศึกษาเยอะ หลวงปู่สดเป็นพุทธภูมิ ถ้าอ่านจากพระสูตรก็มีมากนะ แต่ต้องตีความดีๆ
    17. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      แป่ววววว ..... ไม่ต้องตอบก็ได้
    18. เต้าเจี้ยว
      เต้าเจี้ยว
      [IMG] อืม บางส่วนเหรอ ข้าพเจ้าติดปัญหาเรื่องขี้เกียจพูดอยู่บ้าง แต่คิดว่าคุณมีการอธิบายที่ดีนะ อนุโมทนาค่ะ
    19. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      การเห็นจิตบริสุทธิเป็นปัญญาญาณ เห็นตามจริงว่าไม่มีทั้งรูป1และนาม 4 ถามว่าทำไมต้องอยู่ในโลกุตตรฌาน เพราะเป็นการตัดรูปและนามออก ขณะนั้นมีแต่การรู้ จึงว่าของจริงนิ่งเป็นใบ้ ส่วนการพิจารณาอยู่ในเอกัคตาไม่ได้ จึงต้องถอนออกมา เพื่อการพิจารณา (สังขาร) การถอนออกมาในขณะยังไม่ประหารกิเลส จึงสำคัญต่อการโยนิโสใหม่เพื่อเพิ่มพละห้าอีกครั้งให้เสมอ .....(อนุโมทนาครับ)
      แต่ หากประหารกิเลสไปแล้ว การถอนออกมา เป็นการพิจารณากิเลสว่าประหารไปแล้วเท่าใด (ผลญาณ)(ข้อนี้เป็นการทวนสภาวะ ของพระอรหัตที่เข้านิโรธ ใช่หรือไม่ครับ? แค่สงสัยน่ะครับ .....ใช่หรือไม่ก็อนุโมทนาด้วยครับ)
      เพราะในภาวะนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ (สภาวะแห่ง อุเบกขา , เอกคตา ในญาณ ๔,๕ ใช่หรือไม่ครับ ......ใช่หรือไม่ก็อนุโมทนาด้วยครับ)

      เมื่อกลับมายังขันธ์ห้าจึงใคร่ครวญได้ เพราะต้องใช้การสังขาร ตัวนี้จึงว่าเป็นปัญญา คือใช้ความรู้หรือบัญญัติเข้ามาพิจารณา .....อนุโมทนาด้วยครับ
      และนี่เป็นเหตุที่ต้องรู้เรื่องธรรมกาย (อายตนะนิพพาน) สำหรับพระโพธิสัตต์ เพื่อการสื่อสารทางบัญญัติของผู้พ้นโลก เพราะเป็นการพ้นไปจากขันธ์ห้าแล้ว และแน่นอน พุทธภูมิหรือโพธิสัตต์ระดับที่จะมาสร้างบารมีต้องทราบเรื่องนี้ ส่วนพระอรหันต์ที่ยังไม่ทิ้งขันธ์ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในฌานสี่ มีชีวิตปกติทั่วไป มีต่ำสุดคือปฐมฌานเป็นฐาน (.....ยังไม่รู้แต่จะพยายาม)

      ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา .... สู้ต่อไปค่ะ .......ก็ตราบเท่าเข้าสู่นิพพานนั่นแหละครับ
      ................ ขออนุโมทนาอีกครั้ง .........
    20. แอ๊บแบ้ว
      แอ๊บแบ้ว
      แจ่มเลย....คุณเต้าเจี้ยวนี่ ....สุดยอดดดดด .....พูดน้อยต่อยหนัก...
      ผมเข้าใจตามที่คุณพูด แม้จะเพียงบางส่วน (ยังโง่อยู่) แต่นี่ถือเป็นการตอบที่ชัดเจนดีมาก........นับถือ นับถือ จากใจจริงมิใช่ยอเพื่อให้หลง .....สาธุ ....และอนุโมทนาด้วยครับ
  • Loading...
  • Loading...
  • ลายเซ็น

    อยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ให้ดี
  • Loading...
Loading...