กฎแห่งกรรม คืออะไร (ไม่มีเหตุบังเอิญในโลก)โดย ธ. ธรรมรักษ์ ดีมากๆๆครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ฑินนพโล, 28 มิถุนายน 2012.

  1. ฑินนพโล

    ฑินนพโล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +28
    กฎแห่งกรรม คืออะไร (ไม่มีเหตุบังเอิญในโลก)
    มิถุนายน 11, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์
    คำๆ นี้น่าคิดเพราะ มีหลายคนเข้าใจผิดๆ ว่ากฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่น่ากลัว เรื่องราวของอภินิหารที่บันดาลจากสิ่งลี้ลับให้เป็นไป หรือไม่ก็เข้าใจผิดในเรื่องของความหมายว่าเป็นเรื่องของผลแห่งการทำความชั่วที่ได้ยินแล้วก็มักไม่อยากจะพูดถึงต่อไป
    แต่ความจริงแล้ว กรรม นั้นแปลว่า “การกระทำ” คือสามารถเป็นไปได้ทั้งสองทางทั้งทางที่ดีและทางที่ชั่ว ถ้าทำกรรมในทางดีเราก็เรียกว่า “กรรมดี” ถ้าเราทำกรรมไปในทางที่ชั่วเราก็เรียกว่า “กรรมชั่ว” ซึ่งเราต้องเข้าใจคำๆ นี้ให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะเรามักเข้าใจผิดกันเสมอว่าเรื่องกรรมนั้นเป็นการทำชั่วเพียงอย่างเดียว
    ส่วนผลที่ได้รับจากการกระทำนั้นจริงๆ แล้ว เราเรียกว่า “วิบากกรรม” ซึ่งเรื่องของผลของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนเกินกว่าวิสัยของคนธรรมดาจะเข้าใจหรือรอบรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง หากจะทำได้ก็คงเป็นเพียงแค่การ “เทียบเคียง” กับหลักธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้หรือ เทียบได้กับเรื่องราวตามคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสสอนที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเท่านั้นเอง
    เหตุใดเราจึงไม่อาจปลงใจเชื่อในเรื่องเรื่องกฎแห่งกรรมได้อย่างสนิทใจ
    เหตุที่คนเรายังไม่สามารถเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมได้อย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นก็เพราะว่า “ไม่มีภาพที่ปรากฏให้เห็นได้ชัด” แบบทันตาเห็น เช่น การเชื่อว่าชีวิตนี้เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวไม่รู้ว่าต่อไปต้องไปเกิดเป็นอะไร มีชีวิตแบบไหนจึงได้ทำทุกอย่างในสิ่งที่ตนเองอยากจะทำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พูดง่ายๆ ก็คือ ขอให้เห็นกันจะๆ จังๆ ในชาตินี้เลย อะไรที่เป็นความสุขก็ขอเพียงคว้าไว้ก่อน ชั่วดีอย่างไรก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
    ไม่เคยมีภาพที่จะให้เห็นว่า เมื่อชีวิตหรือดวงจิตออกจากร่างของคนๆ หนึ่งไปก็จะไปเป็นอีกร่างหนึ่ง ได้ เช่นไม่เคยเห็นว่า จิตสามารถลอยออกจากร่างมนุษย์แล้วเข้าไปสู่ร่างของสัตว์ หรือ สัตว์เมื่อตายแล้วดวงจิตจะล่องลอยเข้าสู่ครรภ์ของหญิงคนใดคนหนึ่งเพื่อรอกำเนิดออกมาเป็นคน
    ความที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ประกอบกับความไม่เข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรมและการให้ผลของกรรมนี้เองทำให้คนเราไม่เชื่อเรื่องกรรม และไม่กลัวการทำความชั่วว่าการทำความชั่วนั้นจะนำพาจิตไปสู่สภาพที่ต่ำหรือสยดสยอง อย่างเบาก็คือ กลับไปเกิดเป็นมนุษย์ที่มีความทุกข์ยากแสนสาหัส อย่างกลางก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน และอย่างหนักก็คือต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอบายภูมิ
    วลีที่มักพูดกันเสมอว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ก็เพราะการนำภาพที่มองเห็นเพียงแต่ตาเปล่านี่มาตัดสินว่ากฎแห่งกรรมนั้นไม่มีจริงหรือเป็นเรื่องที่เชื่อยากทำความเข้าใจยากเพราะ คนที่ทำไม่ดีแล้วยังมีความสุขมีอำนาจอยู่ในสังคมนี้ก็มีให้เห็นอยู่มากมายจริงๆ
    แต่ความเป็นจริงแล้ว เรื่องการทำความดีและความชั่วของคนเรานั้นเราไม่อาจจะนับกันเฉพาะช่วงเวลาปัจจุบันที่เรามองเห็นกันเฉพาะหน้าอยู่ได้ เพราะจำนวนการทำความดีและความชั่วของแต่ละคนนั้นไม่ได้ทำกันมาเพียงแค่ครั้งสองครั้ง มันสะสมต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานและมีความซับซ้อนมากมายจนยากที่สาวไปให้รู้ว่า ก่อนหน้าที่เราจะเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเราเคยเป็นอะไรมาก่อน และได้ทำอะไรมาบ้างผลกรรมที่ตามมาจึงไม่อาจจะหาหรือรู้สาเหตุที่แท้จริงได้ง่ายนัก
    การที่เรามีความสุขสบายเพราะทำ “บุญ” มามาก หรือ การที่เรามีความทุกข์อยู่มากมายยากจนขัดสนเป็นเพราะเราทำ “บาป” มามาก เราก็ยังไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้หากเรายังไม่เชื่อ เปรียบเสมือนว่าตอนนี้ ขณะที่เรากำลังรู้สึกว่าเราหิว หรือ อิ่มอยู่ หรือ เจ็บปวดอยู่จากสาเหตุอะไรก็ตามเราย่อมไม่อาจให้คนอื่นโอนไปหิวแทน อิ่มแทน หรือ ได้รับความเจ็บปวดแทนได้
    และเช่นเดียวกันที่ เราจะบังคับไม่ให้เกิดอาการหิว ไม่ให้เกิดความเจ็บปวดนั้นเราก็ไม่สามารถบังคับได้เช่นกัน เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันเป็นไปเฉพาะตัวอะไรที่ทำให้เกิดสภาพเหล่านี้ขึ้นมาก็คือ “เหตุของมันเอง” การกระทำในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างต้องมีการใช้ระยะเวลาฟูมฟัก สะสมบ่มกรรมชนิดนั้นๆเอาไว้เมื่อมันสุกงอมแล้วก็ต้องมารับเอาผลของกรรมนั้นไปแบบ ของใครของมัน

    ในที่นี้ผู้เขียนจึงอยากจะยกตัวอย่างเรื่อง “ผลอำนาจแห่งกรรม” ให้ชัดเจนจากพระไตรปิฎก เรื่องของ “มหากาล” ว่าเหตุใดจึงมีคำกล่าวที่ว่า “ทำดีแล้วไม่ได้ดี”
    ชายคนหนึ่งมีชื่อว่า “มหากาล” ซึ่งเป็นหนุ่มนิสัยดีมากมีความพยายามที่จะรักษาและถือศีลมากคือพยายามถือศีล 5 เป็นอย่างน้อยให้ได้ 8 วันต่อเดือน
    วันหนึ่งมหากาลก็ได้ไปฟังธรรมกถาที่พระวิหารตลอดจนรุ่งเช้า แล้วได้ออกไปล้างหน้าอยู่ริมสระแต่เช้า ขณะนั้นมีเหล่าโจรซึ่งกำลังหลบหนีเจ้าของทรัพย์ผ่านมาเมื่อเห็นจวนตัวแล้วจึงทิ้งสิ่งของที่ขโมยไว้ใกล้ๆ กับมหากาลแล้วก็ทำการหลบหนีไป
    พอเจ้าของตามมาติดตามมาเห็นสิ่งของเข้าและอยู่ใกล้ๆ กับมหากาล จึงจับมหากาลด้วยคิดว่าเป็นขโมย ช่วยกันทุบตีจนตายแล้วก็ทิ้งศพไว้ ต่อมาเมื่อเหล่าพระภิกษุทั้งหลายและสามเณรเดินถือหม้อน้ำดื่มไปที่สระ ก็พบศพของมหากาล จึงพูดกันว่า “อุบาสก ผู้ฟังธรรมกถาอยู่ในวิหารอย่างมหากาลกลับได้มรณะอันไม่สมควร”
    ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ว่าเป็นเพราะอะไร พระพุทธองค์จึงได้ตรัสแสดงธรรมบอกกล่าวว่า การที่มหากาลได้รับผลกรรมที่ตนไม่ได้ทำในชาตินี้ก็เพราะเป็นผลกรรมสืบเนื่องมาจากอดีต ซึ่งเหมาะสมแก่กรรมของตนเองที่เคยทำไว้ก่อนแล้ว
    อดีตของมหากาลนั้น มีว่า เกิดพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงชนบทชายแดนแห่งหนึ่ง พระราชาจึงทรงแต่งตั้งราชบัณฑิตอันเป็นตำแหน่งทางการไว้ที่ปากดงเพื่อดูแลชายแดนให้คนเดินทางข้ามไปมาโดยปลอดภัย
    วันหนึ่งมีชายหนุ่มกับภรรยาเดินทางมาให้ตนเองช่วยพาข้ามดง แต่ราชบัณฑิตเห็นหญิงงามผู้เป็นภรรยาเข้าก็ถูกตาต้องใจหวังจะได้มาครอบครอง จึงอ้างกับทั้งสองว่า นี่เป็นเวลาพลบค่ำแล้วจะไปส่งให้ตอนเช้า แล้วก็ทำทีจัดอาหารและที่พักที่นอนให้อย่างดี
    จากนั้นก็นำของมีค่าของตนเองไปแอบซุกไว้ข้างชายหนุ่มผู้เป็นสามีในขณะที่เขานอนหลับอยู่และทำการกล่าวหาเขาว่าเป็นขโมย ด้วยอำนาจที่มีก็สั่งให้โบยชายหนุ่มให้ถึงแก่ความตาย
     
  2. ฑินนพโล

    ฑินนพโล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +28
    ราชบัณฑิตหนุ่มผู้ที่ได้สร้างผลกรรมหนักเช่นนี้ไว้เมื่อตายไปแล้วก็ไปตกนรกอยู่ในอเวจีนานเท่านาน และด้วยเศษกรรมที่เหลืออยู่เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกจึงต้องถูกใส่ความและถูกทำร้ายเช่นนี้จนตายอีก 100 ครั้ง และ มหากาล ก็คืออดีตราชบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นนั่นเอง
    การที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสอธิบายอย่างนี้ เพราะจะกล่าวถึงเรื่องของกรรมนั้นมีระยะเวลาแห่งการให้ผล ถ้าจะเปรียบเทียบให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็เหมือนกับ “การปลูกต้นไม้” โดยที่ต้นไม้บางชนิดก็ให้ผลพวงที่หนัก บางชนิดก็ให้ผลเล็กน้อย บางชนิดก็ให้ผลออกดอกเร็ว บางชนิดก็ช้า บางชนิดก็ให้ดอกให้ผลอยู่เรื่อยๆ และบางชนิดก็ให้ผลแบบนานๆ ครั้ง
    ขอยกตัวอย่างประกอบจากเรื่อง ชน 3 ชนให้ฟังกันอีกสักหนึ่งเรื่องว่าด้วยผลแห่งกรรมคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางของพระภิกษุแต่ละกลุ่มที่ได้รวมกลุ่มกัน 3 กลุ่มขณะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการตอบคำถามได้ดีว่า “เหตุใดเราจึงต้องเป็นผู้รับกรรมที่ก่อเอาไว้”
    เรื่องของ ภิกษุกลุ่มแรก ครั้งหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในวัดพระเชตวันมหาวิหาร มีภิกษุกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเข้าเฝ้าระหว่างทางก็ได้แวะที่ตำบลหนึ่งเพื่อเข้าไปบิณฑบาต ชาวบ้านก็ช่วยกันรับบาตรอย่างดีแล้วก็นิมนต์ให้นั่งในโรงฉัน ถวายข้าวยาคู (ข้าวต้มที่ต้มจนเหลวเป็นของรองท้อง) เพื่อรอเวลาใส่บาตรแล้วก็นั่งฟังธรรมกันอยู่
    เกิดเหตุประหลาดคือ มีเปลวไฟแลบออกมาจากเตาของผู้หญิงคนหนึ่งแล้วเกิดลามไปติดหญ้าที่อยู่บนชายคาบ้านแล้วเปลวไฟก็ปลิวลอยไปในอากาศ เป็นเวลาเดียวกับที่กาตัวหนึ่งบินมาถูกไฟนั้นเข้าพอดีจนตกลงมาไหม้อยู่กลางบ้านตายสนิทตรงนั้นเอง
    คุณผู้อ่านเคยคิดว่าเราเคยเจอเหตุการณ์ที่ “แสนบังเอิญ” ขนาดนี้หรือไม่เช่น เราอยู่ของเราปกติแล้วก็จู่ๆ เกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เกิดความลำบาก เกิดความบาดเจ็บหรือเกิดความสูญเสียได้ เช่น เหตุการณ์ที่เคยเป็นข่าวเหลือเชื่อเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ในบ้านของตนเองแท้ๆ แต่กลับมีพลร่มชะตาขาดที่ โดดร่มดิ่งพสุธาลงมาแล้วร่มไม่กางจนตนเองต้องตายโดยหล่นลงมาทับหญิงชราที่นั่งดูทีวีอยู่ในบ้านของตนเองเฉยๆ กลับต้องมาตายอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
    หรือเหตุการณ์อุบัติเหตุร้ายแรงอื่นๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นสร้างความทุกข์และโศกเศร้าให้เกิดขึ้นอีกมากมายในสังคมปัจจุบัน
    เรื่องของอีกาที่ถูกไฟเผาโดยบังเอิญนี้ก็เช่นเดียวกันซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องเหตุบังเอิญ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แล้วว่าทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เหล่าภิกษุที่ได้เห็นเหตุการณ์จึงนำความนี้ไปกราบทูลถามว่าเหตุใดกาตัวนั้นจึงถูกไฟเผาตายอย่างน่าอนาถ
    พระพุทธองค์ก็ตรัสให้ความกระจ่างว่า กาตัวนั้นได้รับผลกรรมที่ตนเองทำไว้แล้วโดยแท้ ก็คือในอดีตกาล มีชาวนาผู้หนึ่งที่ฝึกวัวของตนเอาไว้ใช้งาน แต่ไม่อาจฝึกได้ดั่งใจเสียทีคือ เจ้าวัวตัวนี้มีนิสัยขี้เกียจที่เดินไปได้หน่อยหนึ่งก็จะนอนลงเสีย แม้จะเอาไม้ตีให้ลุกขึ้นแล้วพอเดินไปได้อีกหน่อยหนึ่งก็นอนลงอย่างนั้นเหมือนเดิม
    ชาวนาฝึกวัวตัวนั้นอย่างไรมันก็ไม่อาจละนิสัยเกียจคร้านอย่างนั้นได้ที่สำคัญก็คือ ตนเองถูกความโกรธเข้าครอบงำเสียแล้วจึง ปล่อยให้มันนอนตามสบายสมใจ ว่าแล้วก็เอาฟางไปพันโคตัวนั้นแล้วก็ทำการจุดไฟเผาวัวตัวนั้นจนตาย ด้วยกรรมที่ทำไว้กับวัวตัวนั้นหลังจากที่ชาวนาตายไปแล้ว ก็ต้องไปตกนรกอยู่เป็นเวลานาน แล้วต้องกลับมาถือกำเนิดเป็นอีกาถึง 7 ครั้ง แล้วก็ต้องถูกไฟไหม้ตายอย่างนั้นด้วยผลแห่งกรรมที่เหลือมา
    ภิกษุกลุ่มที่สอง เดินทางมาไกลโดยทำการโดยสารเรือไปเพื่อที่จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ทว่าเรือก็เกือบจะอับปางลงโดยที่เรือได้หยุดนิ่งเสียเฉยๆ กลางทะเล ทำอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย จึงได้มีการทำสลากให้ทุกคนจับเพื่อค้นหาตัวกาลกิณีโยนทิ้งเสียนอกเรือ ซึ่งคนที่จับสลากได้ตัวกาลกิณีก็คือ ภรรยาของนายท้ายเรือนั้นเองซึ่งตอนแรกนายท้ายเรือไม่เชื่อ จึงขอให้ทำการจับสลากถึง 3 ครั้ง นายเรือจึงจำใจต้องสละนาง
    แต่นายเรือเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะเห็นภรรยาต้องลอยอยู่กลางทะเล จึงขอให้นำกระออมที่เต็มไปด้วยทรายผูกไว้ที่คอ แล้วโยนลงไปในมหาสมุทรเพื่อจะได้ไม่ต้องทนเห็นนางอีกในที่สุดนางก็เลยถูกปลาและเต่ารุมกินได้รับผลวิบากกรรมอันไม่น่าเกิดกับนางได้เลย
    เมื่อเหล่าภิกษุทั้งหลายได้เดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาจึงทูลถามเรื่องกรรมเก่าของหญิงผู้นั้นว่าเหตุใดนางจึงต้องตายเช่นนี้ พระองค์จึงตรัสบอกเล่ากรรมเก่าของหญิงผู้นั้นว่า
    ในอดีตกาล หญิงผู้นั้นเป็นภรรยาของเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นผู้ที่ขยันทำกิจการงานบ้านต่างๆ ด้วยมือของนางเองโดยมีสุนัขตัวหนึ่งของนางนั่งดูอยู่ เมื่อนางออกไปหาอาหารในป่าเพื่อหาวัตถุต่างๆ มาทำอาหาร สุนัขตัวนี้ก็ออกไปกับนางด้วยเสมอ พวกคนหนุ่มๆ เห็นเข้าก็ทำการเยาะเย้ยล้อเลียน ทำให้นางอับอายเป็นอย่างมาก
    เมื่อนางได้รับความอับอาย นางจึงทำร้ายสุนัขให้มันหนีไปแต่มันก็กลับมาอีกแล้วก็ตามนางไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเมื่ออดีตชาติก่อนหน้า สุนัขตัวนี้เคยเป็นสามีของนางมาก่อนเพราะเหตุนี้ สุนัขตัวนั้นจึงไม่อาจละความรักที่มีต่อนางลงได้
    นางเกิดความรำคาญและความโกรธมาก เมื่อนำอาหารไปให้สามีของนางในที่นาแล้ว จึงเอาเชือกใส่ไว้ในชายพกในขณะที่สุนัขตามไปด้วย เมื่อนำอาหารให้สามีแล้วก็ถือกระออมเปล่าไปท่าน้ำนำทรายบรรจุให้เต็มข้างหนึ่ง อีกข้างก็เอาผูกคอสุนัขไว้แล้วก็ทำการผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ สุนัขตัวนั้นจึงต้องตายในน้ำเช่นเดียวกับตัวของนางเองที่ได้ถูกกระทำโดยสามีในชาติปัจจุบันและนางก็ต้องถูกเขาเอากระออมเติมด้วยทรายผูกคอถ่วงน้ำตลอดอีก 100 ชาติ
    ส่วนภิกษุในกลุ่มสุดท้าย นั้นเป็นกลุ่มภิกษุจำนวน 7 รูปที่เดินทางจากชนบทเพื่อเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ระหว่างเดินทางพอถึงเวลาเย็นก็ได้พักในถ้ำแห่งหนึ่ง พอตกกลางคืนก็กลับเกิดเหตุมีแผ่นหินขนาดใหญ่กลิ้งมาปิดทับประตูไว้ ทำอย่างไรก็ไม่ขยับ ทำให้ภิกษุที่อยู่ในท้องถิ่นนั้นต้องระดมชาวบ้านมาช่วยภิกษุที่ติดอยู่ในถ้ำ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจจะขยับหินนั้นออกได้เลย ภิกษุกลุ่มสุดท้ายพอรอดตายออกมาจากถ้ำจึงได้นำความนี้ไปทูลถามพระพุทธองค์
    พระพุทธองค์กล่าวว่าเหล่าภิกษุทั้ง 7 นั้นต่างก็ได้รับผลกรรมที่ได้กระทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะในอดีตกาลภิกษุทั้งเจ็ดได้เกิดเป็น เด็กเลี้ยงวัว 7 คนเที่ยวพากันไปเลี้ยงวัวอยู่เป็นเวลา 7 วันในบริเวณใกล้ชายป่า ได้พบเห็นตะกวดตัวใหญ่ผ่านมาจึงไล่จับ เจ้าตะกวดตัวนั้นจึงหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในจอมปลวก
    เด็กชายทั้งเจ็ดเห็นแล้วจึงเอากิ่งไม้ที่หักได้คนละกำมาปิดช่องทางออกไว้เพื่อไม่ให้ตัวตะกวดหนีไปได้โดยคิดกันว่าวันรุ่งขึ้นจะมาจับให้ได้ แต่พอวันถัดมาต่างก็พากันลืมต้อนวัวไปเลี้ยงที่อื่นเสียหมด จนอีก 7 วันให้หลังได้ต้อน
     
  3. ฑินนพโล

    ฑินนพโล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +28
    วัวมาที่เดิมก็นึกขึ้นได้พากันไปเปิดกิ่งไม้ที่ปิดทางเข้าออกไว้ ก็พบเห็นตะกวดที่อ่อนแรงพยายามจะคลานออกมา เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็เกิดความสงสารจึงพากันไปลูบหลังมันและกล่าวขอโทษจากนั้นก็ปล่อยมันไป เด็กชายทั้งเจ็ดไม่ได้ทำการฆ่าตะกวดตัวนั้นจึงไม่ต้องลงไปตกนรก แต่ก็ได้เป็นผู้ก่อกรรมร่วมกันที่ทำให้ตะกวดอดอาหาร จึงต้องเกิดกลายมาเป็นผู้ร่วมอดอาหารร่วมกันตลอด 7 วัน ใน 14 อัตภาพ
    จากเรื่องราวตัวอย่างที่ยกมาจากพระไตรปิฎกนี้เป็นธรรมกถาที่แสดงให้เห็นถึงว่า ผลแห่งกรรมนั้นจะตามติดคนไปทุกหนทุกแห่ง คนจะอยู่ที่ไหนๆ ก็ไม่มีวันพ้นจากผลกรรมชั่วของตนเองดังที่พระพุทธองค์ตรัสกล่าวกับเหล่าภิกษุทั้งหลายไว้ว่า
    “แม้ในที่ทั้งหลายมีอากาศ เป็นต้น ในบริเวณแม้สักส่วนหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้วพึงพ้นจากผลแห่งกรรมชั่วหาได้มีไม่”
    อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เรื่องของกรรมนั้นเป็น “ของกลางๆ ” คือเป็นไปได้ทั้งดีและไม่ดี ดังนั้นเรื่องของกรรมดีก็เช่นเดียวกันแม้ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือในเวลาใดหากเคยทำกรรมดีไว้แล้วก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงผลกรรมแห่งความดีไปได้
    ขอยกตัวอย่างกรณีของ “สามเณรสุข” ผู้ที่ได้รับผลกรรมแห่งการกระทำความดีของตน
    สามเณรสุขนั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธกาล เกิดในตระกูลผู้มั่งคั่งพอสมควรคือเป็นตระกูลอุปัฏฐากพระสารีบุตรในเมืองสาวัตถี ตอนที่มารดาของท่านตั้งครรภ์ก็มีอาการแพ้ท้องอยากกินอาหารที่เป็นเดนของพระภิกษุ นางจึงนิมนต์พระสารีบุตรเป็นประธานและพระสงฆ์จำนวนมากมาฉันอาหารที่บ้าน ส่วนตัวนางก็ไปนั่งต่อท้ายสุดของพระสงฆ์คอยรับอาหารที่เป็นเดนของพระสงฆ์มารับประทาน
    ตลอดเวลาที่มารดาตั้งครรภ์สามเณรสุขนั้น คนในครอบครัวไม่เคยมีใครได้รับความทุกข์เลยมีแต่ “ความสุขสบาย” กันถ้วนหน้า คือสุขทั้งกายและใจอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเที่ยวก็ได้เที่ยว อยากทำอะไรก็ได้ทำ และไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ความสะดวกสบายไม่เคยมีเรื่องติดขัดเลย พอคลอดบุตรแล้วเด็กคนนี้จึงได้ชื่อว่า “สุข”
    พอเด็กชายสุขอายุได้ 7 ขวบ ก็อยากบวชกับพระสารีบุตรซึ่งผู้เป็นแม่ก็ไม่ขัดใจจัดแจงให้บวช พอบวชแล้วก็ให้มีการถวายภัตตาหารที่วัดเป็นเวลาถึง 7 วัน เสร็จแล้วทั้งเหล่าญาติและพ่อแม่ก็พากันกลับบ้าน ในวันที่ 8 สามเณรสุขก็ออกไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรได้พบเห็นสิ่งต่างๆ รอบข้างคือ ชาวนากำลังไขน้ำเข้านา ช่างศรกำลังดัดลูกศรเพื่อทำธนูและคันศร ช่างไม้กำลังถากไม้ จึงคิดได้ว่าขนาดสิ่งที่ไม่มีชีวิตยังสามารถดัดแปลงได้ คนเรามีจิตใจก็ควรจะฝึกฝนบังคับจิตใจได้เหมือนกัน
    พอคิดได้ดังนี้เธอจึงเดินกลับไม่ไปบิณฑบาตกับพระอาจารย์แล้วก็ขอกลับไปนั่งบำเพ็ญเพียรกรรมฐานที่วัดส่วนเรื่องอาหารก็ฝากให้พระอาจารย์รับแทน (พระสารีบุตรก็ยินยอมและได้นำอาหารที่มีรสเลิศมากมาให้ ซึ่งอาหารที่มีรสเลิศเหล่านั้นได้มาด้วยบุญของสามเณรเอง)
    สามเณรสุขกลับไปนั่งภาวนาจวนจะบรรลุธรรม พระสารีบุตรก็กลับเข้าวัดมาพอดีแต่พระพุทธองค์ก็ทรงไปขวางไว้ก่อน เพราะสามเณรกำลังจะบรรลุอรหันต์แล้วเข้าไปตอนนี้อาจจะขัดจังหวะ จึงตั้งคำถามกับพระสารีบุตรให้ท่านตอบ 4 ข้อเสียก่อนเป็นการถ่วงเวลาไว้
    พอสามเณรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็พอดีเวลาฉันเพลพอดี พอฉันเสร็จล้างบาตรเรียบร้อย เงาของพระอาทิตย์ก็คล้อยบ่ายอย่างรวดเร็ว จนพระภิกษุทั้งหลายโจษขานกันเซ็งแซ่ว่า เมื่อสักครู่ยังเป็นเวลาสายแต่พอสามเณรสุขฉันเสร็จ ทำไมกลายเป็นบ่ายทันที
    พระพุทธองค์เสด็จมาถึงก็อธิบายให้ฟังถึง “ผู้ที่ได้สร้างกรรมดีมีบุญบารมีมากเป็นเช่นนั้นเอง เวลาที่บำเพ็ญธรรมมักจะเป็นเช่นนี้ ” แล้วก็อธิบายถึงเหตุผลที่สามเณรสุข ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงได้มีบุญท่วมท้นขนาดนั้นและมีความสุขมากทั้งในเพศฆราวาสและในสมณเพศ
    การที่สามเณรสุขนั้นเกิดมาสบายมีความสุขมากอยากได้อะไรก็ได้มาโดยง่าย เพราะได้ทำบุญมาดีแล้วตั้งแต่ชาติก่อน คือ ในอดีตชาติของสามเณรสุข มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่งได้รับมรดกจากพ่อของตนเองเป็นจำนวนเงินมหาศาลจึงได้ใช้ทรัพย์สมบัตินั้นอย่างฟุ่มเฟือย
    วันหนึ่งแกก็สั่งให้เตรียมอาหารรสเลิศที่มีราคาแสนแพงพร้อมทั้งตกแต่งสถานที่การบริโภคอย่างโอ่อ่าแล้วก็ทำการประกาศทั่วเมืองว่า ตัวเขาจะนั่งรับประทานอาหรที่เลิศและหรูที่สุดในวันนี้ให้ประชาชนทั้งหลายมาชมได้เป็นขวัญตา
    ประชาชนก็พากันมาเพราะไม่เคยเห็นของกินของดีมากมายขนาดนี้มาก่อน ในขณะนั้นก็มีชายหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งเข้ามาเที่ยวที่เมืองนี้กับเพื่อน พอทราบเรื่องว่าจะมีการโชว์การกินของดีของแพงก็อยากไปดูบ้าง พอได้ไปดูก็เกิดความอยากกินอาหารเหล่านั้น จึงได้ไปขอร้องลูกชายเศรษฐีว่า ขอแบ่งของกินดีๆ เหล่านี้สักหน่อยเถิดถ้าข้าพเจ้าไม่ได้กินของดีเช่นนี้ต้องตายแน่ๆ ว่าแล้วก็แสดงอาการทรมานเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก
    เจ้าหนุ่มลูกเศรษฐีเห็นก็กลัวว่าจะตายจริงๆ ก็เลยตั้งเงื่อนไขว่า ของดีๆ แพงๆ อย่างนี้จะกินฟรีคงไม่ได้ต้องทำงานรับใช้ก่อนเสีย 3 ปีแล้วจะยอมให้อาหารนี้สักถาดหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ชายหนุ่มคนนี้ก็ยินยอมตกปากรับคำ
    แกก็เลยต้องไปทำงานรับใช้เศรษฐีเป็นเวลา 3 ปีเพื่อแลกกับอาหารดีๆ เพียงถาดเดียว พอครบ 3 ปี เจ้าหนุ่มเศรษฐีเห็นความตั้งใจจริงของนายคนนี้ก็เลยจัดงานให้เหมือนกับที่ตนเองเคยจัดเมื่อ 3 ปีที่แล้วท่ามกลางความสนใจของประชาชนเป็นจำนวนมากกว่าเดิม
    จะไม่ให้เป็นที่น่าสนใจได้อย่างไร หากคุณผู้อ่านลองคิดตามเล่นๆ ว่า จะมีใครบ้ายอมรับใช้คนอื่นนานเป็นปีๆ เพื่อแลกกับอาหารเพียงถาดเดียวคนแบบนี้ก็มีด้วยจริงหรือ ด้วยความสงสัยเหล่านี้ จึงน่าจะเป็นเหตุให้ผู้คนสนใจมาชมเป็นอันมาก
    แต่ก่อนที่ชายหนุ่มบ้านนอกจะได้ลงมือรับประทานอาหารที่ตนเองหมายมั่นจะกินให้ได้มา 3 ปี ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งเดินผ่านมา พอเหลือบเห็นพระเข้า ชายหนุ่มคนนี้ก็คิดได้ว่า การที่ตัวเขาเองเกิดมายากจนเช่นนี้ ถึงกับต้องไปรับจ้างเขา 3 ปีเพื่อกินอาหารดีๆ เพียงถาดเดียวและเมื่อกินอิ่มแล้วก็อิ่มแค่เพียงมื้อเดียว ควรจะนำอาหารนี้ไปถวายพระเสียจะดีกว่า หากผลบุญมีจริงก็น่าจะทำให้ตนเองมีกินมีใช้สุขสบายในชาติหน้า
    เมื่อคิดได้แล้วชายหนุ่มจึงนำอาหารนั้นไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า และคงจะเป็นกรรมบันดาลโดยนัยว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้นท่านกำลังออกจากฌานสมาบัติ (คือการนั่งบำเพ็ญภาวนาทางจิตเป็นเวลานานติดต่อกันหลายวันโดยไม่ได้รับสิ่งบริโภคใดๆ เลย) ทำให้ทานที่ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจะมีอานิสงส์มากส่วนมากมักจะให้ผลทันตาเห็น
    กรณีของชายหนุ่มผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะเศรษฐีเจ้าของอาหารนั้นอยากรู้ว่า เจ้าหนุ่มคนนี้จะรับประทานอาหารที่ตนให้แบบไหน จะกินอย่างเอร็ดอร่อยหรือมูมมามท้องแตกตายแบบชูชกหรือเปล่า จึงส่งให้คนรับใช้มาดู พอทราบข่าวว่านำอาหารถาดนั้นไปถวายพระเสียแล้ว ก็เรียกให้ชายหนุ่มไปหาพร้อมกับชมเชยการกระทำและมอบทรัพย์ให้จำนวนหนึ่งและขออนุโมทนาบุญในสิ่งที่เขากระทำ
    การที่มีคนลงทุนทำงาน 3 ปีแลกอาหารถาดเดียวนั้นย่อมเป็นข่าวใหญ่อยู่แล้ว เมื่อพระราชาของเมืองทรงทราบเรื่องก็ทรงเลื่อมใสในการกระทำของชายหนุ่มผู้นี้จึงขอแบ่งส่วนบุญจากเจ้าหนุ่มผู้นี้และพระราชทานทรัพย์ให้กับเจ้าหนุ่มเป็นจำนวนมากและสถาปนาให้เจ้าหนุ่มกลายเป็นเศรษฐีประจำเมืองนามว่า “ภัตตภติกะเศรษฐี” แปลว่า เศรษฐีผู้รับจ้าง (3 ปี) เพื่ออาหาร (ถาดเดียว) และอดีตของ ภัตตภติกะเศรษฐี ผู้นี้เองที่ได้กลับมาเกิดเป็น “สามเณรสุข” ในสมัยพุทธกาลนี่เอง
    ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกรรมในด้านดีหรือไม่ดีก็ตาม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทำกรรมอะไรลงไปแล้วจะไม่มีการสูญเปล่าไม่ว่าทั้งดีและชั่วย่อมได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน
     
  4. นักขัต

    นักขัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +777
    อนุโมทนาสาธุครับ
    อ่านแล้วทำให้ละได้ (อาจจะชั่วครู่)
    ผมก็คิดว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำดีได้ชั่วมีถมไป
    แต่อ่านแล้วผมเข้าใจแล้วก็ปล่อยวางได้บ้างครับ
    จะพยายามปล่อยวางและเข้าใจให้ตลอดครับ
    ดีมากๆ
     
  5. อินทิราธา

    อินทิราธา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +346
    ขออนุโมทนาสาธุกับบทความนี้ด้วยค่ะ อ่านแล้วดีมากๆค่ะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้ที่ดิฉันได้ประสบสิ่งนี้อยู่ ก็แปลว่าเกิดจากกรรมที่ได้ทำมาจากชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม แต่ดิฉันก็จะพยายามทำดีด้วยกาย วาจา และ ใจ ต่อไป จะพยายามไม่สร้างกรรมใหม่แม้ว่าจะทำยากก็ตามค่ะ
     
  6. monkeyswilf

    monkeyswilf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +122
    เรื่องบัญเอิญไม่มีจริง:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...