กรรมฐานใหญ่ พระอาจารย์บุญจันทร์ กมโล สมถวิปัสสนาภาวนา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 14 สิงหาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันนี้เป็นวันธรรมสวนะ เป็นวันอันพุทธบริษัททั้งหลายมุ่งหน้าเข้ามาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติคุณงามความดี

    คือ มีทาน ท่านเราก็ได้ให้ไปแล้ว ศีลเราก็ได้วิรัติ เจตนาวิรัติเอาแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ ก็พากันกระทำมาแล้ว เพราะเหตุอะไร พวกเราจึงได้ทำทาน จึงอยากจะทำทาน จึงอยากรักษาศีล อันนี้เป็นเบื้องต้นของเรา ที่เรามีความปรารถนาอยากจะฝึกหัดดัดกาย วาจา และใจของตน เพื่อให้เป็นแนวทางที่จะไปสู่สุคติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างคนต่างละบ้านช่องของตนออกมา แม้จะมีกิจการมากเท่าไรก็ตาม ก็อุตส่าห์พยายามปลีกตัวออกมา เพื่อจะบำเพ็ญทาน บำเพ็ญศีล บำเพ็ญภาวนา ว่าอย่างนั้น

    ทานคือสิ่งที่เป็นวัตถุภายนอก ได้แก่ ข้าว น้ำ โภชนา อาหาร หรือเครื่องใช้สอยต่างๆ มีผ้านุ่งผ้าห่ม เป็นต้น นี่เรียกว่าเป็นการให้ทาน ส่วนการรักษาศีล ก็มีรักษากาย วาจา ใจ ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ มีหลายประเภทสำหรับศีล เบญศีล นี่อย่างหนึ่ง

    เบญจศีลก็คือ ศีลห้า ที่เราเคยสมาทานกันมาแล้ว หรือผู้ที่ไม่สมาทาน จะเจตนาวิรัติเอาก็ได้ เจตนาวิรัตินั้นว่าอย่างไร เจตนาหัง ภิกขะเว สีลัง วันทามี วันนี้ข้าพเจ้าจะรักษาศีล แล้วแต่ความประสงค์ของเรา จะวิรัติเอาศีล เบญจศีลก็ได้ คือ ศีลห้า หรือจะวิรัติเอาศีลอุโบสถคือศีลแปดก็ได้

    นี้ไม่ยาก ถ้าหากว่าเรามีความประสงค์ที่จะฝึกหัดดัดตน หรือชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส

    ส่วนสำคัญก็มีใจนั่นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านว่า ศีล 227 นี้ เป็นศีลของพระปาฏิโมกข์ ศีลของพระ ศีล 10 เป็นศีลของสามเณร ศีล 8 เป็นศีลของฆราวาส หรือเป็นของแม่ชีก็ได้ เป็นของอุบาสก อุบาสิกา นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่ไม่มีความสามารถที่จะรักษาศีล 227 ได้ เราได้แค่นี้ก็ยังเป็นการดี นี่แหละพวกเราได้พากันกระทำมาเป็นนิตย์ หรือทุกวันพระ ที่เราพากันกระทำมาอย่างที่ว่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ชำระจิตใจของพวกเราทั้งสิ้น

    การให้ทานก็ชำระมัจฉริยะความตระหนี่ความเหนียวแน่น ไม่อยากจะบริจาคทาน คือ มันหวงแหน ไม่อยากให้ทาน เรียกว่า มัจฉริยะ ความตระหนี่ที่มีอยู่ภายในจิตใจของพวกเรา ทุกคนย่อมมี หรือบางคนก็ให้ง่าย บางคนก็ให้ยาก นี่เป็นอย่างนี้ เวลามันเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็อยากจะชำระความตระหนี่นั้นออกจากใจของเรา ไม่ให้มี เพื่อให้ใจของเรานั้นผ่องใส ไม่ให้ถืออยู่ในมัจฉริยะความตระหนี่นั้น

    ส่วนศีลก็เหมือนกัน ศีลนี่ก็เป็นการชำระจิตใจของพวกเราเหมือนกัน คือเว้นจากบาป บาปปาปะธรรม เว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น จนตลอดถึงที่สุดที่เรียกว่า อุจจาสะยะนะ นั้น ไม่นั่งนอนเตียงตั่ง หรือฟูกเบาะที่ยัดด้วยนุ่นหรือสำลี นี่เว้นจากสิ่งเหล่านี้ อันนี้ก็เรื่องการชำระจิตใจของพวกเราเหมือนกัน เวลามันติดอยู่ในสัมผัส สัมผัสที่อ่อนแข็งนี่เราติด เมื่อเวลานิ่มก็รู้สึกว่าสบายใจ นี่มันติดอยู่ในที่นี่ ก็พยายามชำระไม่ให้มี เพื่อจะรักษาศีล ชำระจิตใจของตน

    [​IMG]

    และทีนี้ส่วนการภาวนานั้นก็เหมือนกัน เป็นเรื่องที่ชำระจิตใจเหมือนกัน ให้เกิดให้มีเรียกว่า การภาวนา สิ่งที่ไม่เกิดก็ให้เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็รักษาเอาไว้ เหมือนอย่างภาษิตที่ท่านกล่าวไว้ว่า สักกายะ อัตตาโน สาธุ ละวะนัง โลนะ ตังยะถา ท่านว่า พึงรักษาคุณความดีของตนไว้เหมือนดั่งเกลือรักษาความเค็ม ความดีนั้นคืออะไร? อธิบายว่า ความดีนั้นก็คือ สิ่งที่ปราศจากโทษ สิ่งที่ไม่มีโทษ นั่นแหละเป็นความดี เป็นความบริสุทธิ์ สิ่งใดที่เป็นโทษที่เราลงมือทำหรือผู้ใดที่มีโทษเกิดจากทางกายก็มี เกิดขึ้นทางใจก็มี

    สำหรับโทษเกิดขึ้นทางกาย คือ การกระทำทางกายของพวกเรา มีการทำลายชีวิตของเขาอย่างนี้ เป็นต้น นี่เรียกว่า บาปเกิดขึ้นทางกาย ความชั่วเกิดขึ้นทางใจ ส่วนที่เกิดขึ้นทางใจของพวกนั้นก็คือ อิจฉา พยาบาทหรือเบียดเบียนคนอื่น เหล่านี้เรียกว่าเกิดขึ้นทางใจ

    นี่บาปมันเกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้รักษาคุณงามความดีของตน รักษาจิตของตน ไม่ส่งไปในอารมณ์ต่างๆ นี่เป็นส่วนหนึ่ง จะเรียกว่าภายในก็ได้ หรือจะเรียกว่าภายนอกก็ได้ ส่วนอันเป็นภายในอันแท้จริงนั้นก็คือใจนั่นแหละ รักษาใจอย่างเดียว นี่มีสติรักษาอยู่เสมอ มันจะคิดนึกในสัญญาอารมณ์อะไร คิดถึงบ้านถึงช่อง ถึงลูกถึงหลาน เราก็ห้ามไว้ไม่ให้มันคิดไป เราจะรักษาให้อยู่กับคำบริกรรมที่เรียกนึกอยู่ในใจนั้นว่า พุทโธๆ นั่นเอง อันนี้เป็นเบื้องต้น ต่อแต่นี้ไปจะไม่พูดมาก เราจะต้องทำหน้าที่ของเราต่อไป คือ นั่งสมาธิให้มีสติประคับประคองใจของเรา

    อย่าให้มันฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ

    ใครสบายอย่างไรก็นั่ง มันต้องพลิกหาดู มันจะสบายอย่างไร ถ้าหากว่ามันสบายแล้วก็ตั้งใจ ตั้งกายให้ตรง อย่าให้เอียงไปข้างซ้าย ข้างขวา หรือข้างหน้า ข้างหลัง อย่าก้มนัก เงยนัก ก้มนักเหมือนหอยนาหน้าต่ำ เงยนักเหมือนนกกระแต้นอนหงาย ท่านว่า ให้ดูพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง ทำให้อกผายไหล่ผึ่งแล้วก็ตั้งสติของตนไว้ให้ดี ให้สำรวมจิตของตนอยู่ แล้วก็นึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 จบ แล้วนึกบริกรรมเอาคำเดียว นึก พุทโธๆ อยู่อย่างนั้น แล้วคำบริกรรมกับใจของเรานั้นให้เป็นอันเดียวกัน ให้อยู่ด้วยกัน ไม่ให้เขวออกจากใจของเรา

    สำหรับพุทโธ กับใจของเรานั้น อย่าให้แยกออกจากกัน

    ต่อแต่นี้ไปก็ให้สงบตั้งใจทุกคน จึงจะสมกับเราที่ตั้งใจมาชำระความชั่วออกจากใจของเรา ในระยะชั่วเวลา ก่อนที่เราจะได้กระทำอย่างนี้เป็นของยากที่สุด แล้วก็มีกิจการงานมายุ่ง กิจการงานทางราชการก็มี กิจการงานทางทำงานส่วนอื่น มีการทำไร่ ทำนา เป็นต้น เราต้องทำกิจการงานนี้ จนเราไม่สามารถออกมาบำเพ็ญตนได้ เพราะอุปสรรคเหล่านี้ขัดข้องอยู่เสมอ จะหาเวลาที่จะปลีกตัวออกมานั้นยากที่สุด เพราะฉะนั้น ในวันนี้เรามีเวลาหรือมีโอกาสดีแล้ว อุตส่าห์พยายามทำ ตั้งอกตั้งใจทำ จะเป็นตายอย่างไรขอบูชาพระรัตนตรัย เอากายบูชา เอาใจของเราบูชา นึกพุทโธๆ บูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม บูชาพระอริยสงฆ์

    ทั้ง 3 อย่างนี้ เรียกว่า ไตรสรณคมน์ หรือพระรัตนตรัย นี่ให้เราเข้าใจอย่างนั้น
    เอ้า ต่อแต่นี้ไปก็เมื่อหากว่าจิตของเราสงบ ขาดจากสัญญาอารมณ์แล้ว มันจะรวม บางคนก็จะมีอาการเย็นสบายลงไปเลยก็มี นี่ให้สังเกตให้ดี ให้สังเกตจิตของตนให้ดี บางคนก็มีอาการวูบวาบลงไปก็มี นี่ลักษณะของจิตเราที่ขาดจากสัญญาอารมณ์ มันจะรวมในเบื้องต้น บางทีก็มีอาการวับแวบเข้าไปก็มี บางทีปรากฏว่ากายของเราลอยไปในอากาศก็มี นี่อาการหนึ่ง

    บางทีเมื่อหากว่า ใจของเรามันจมลงไปเหมือนลงในที่ลึก จนเราตกประหม่า เป็นอย่างนั้น

    เมื่อหากว่าเป็นเช่นนั้น เราอย่าเพิ่งไปตกใจ ไม่ต้องตกใจ ทำความรู้เท่าว่า อาการเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของสิ่งที่มาหลอกลวงให้จิตของเราถอนจากสมาธินั้น

    ให้พึงทำความเข้าใจ รู้เท่าอย่างนั้น

    บางทีเมื่อเวลาจิตของเรามันรวมลงไป มันเกิดแสงสว่างขึ้นมา เหมือนอย่างแสงไฟนีออนนั่น แจ้งสว่างอยู่อย่างนั้น อันนี้อย่าเพิ่งไปลืมตาดู ให้พึงทำความรู้เท่าว่า เอ้า ในขณะนี้ใจของเราจะรวมแล้ว จิตของเรามันรวมลงไปแล้ว มันเกิดแสงประภัสสรขึ้นมาแล้ว ให้รู้เท่า อย่าไปส่งใจไปตามแสงนั้น ให้รู้จักรู้เท่า เอ้า ใครเป็นคนรู้ ใครเป็นคนเห็นอยู่ในที่นี้ เราหลับตาอยู่ทำไมรู้ ทำไมเห็น ทีนี้เราพึงตั้งสติน้อมเข้าไปหาผู้ที่รู้ก็คือ ใจเรานั้นน่ะ

    รู้จากใจ เห็นอยู่ที่ใจนั้นน่ะ นั่นปรากฏว่าอยู่ในที่นั้น ให้น้อมเข้าไปในที่นั้น อย่าส่งไปตาม บางทีเกิดแสงจ้าลอยเข้ามา บางทีอาจจะลืมตัวไปก็ได้ เพราะความอยากคือตัณหา เห็นว่าเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ นึกว่าเป็นแก้วไปจริงๆ เป็นของวิเศษ เดี๋ยวก็จะตะครุบเอา เอื้อมมือ หรือแบมือไปเอาอย่างนั้น
    อย่าเพิ่งไปทำอย่างนั้น

    เมื่อเวลามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ให้ดูอยู่เฉยๆ เมื่อเวลาดูแล้ว เราก็น้อมเข้ามาสู่ใจของเรา มันแจ้งอยู่ที่ไหน อะไร มันเป็นให้น้อมเข้ามาสู่ใจของเรานั้นน่ะ รู้อยู่ที่ใจของเรา อย่าเพิ่งเอื้อมมือไป อย่าเพิ่งลืมตาดู ถ้าหากว่าเราไปนึกขึ้น จะลืมตาดู หรือนึกว่าจะหยิบเอาอย่างนี้ หรือจะกำเอาอย่างนี้ จิตของเรามันถอนจากสมาธิ ก็เลยไม่สงบได้

    กรรมฐานใหญ่ พระอาจารย์บุญจันทร์ กมโล สมถวิปัสสนาภาวนา (1 ) - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ทีนี้บางทีมันเกิดขึ้นมาเห็นคนตายนอนขวางหน้าอยู่ อย่างนี้ก็มี

    อย่าเพิ่งไปกลัว อันนี้เป็นแต่เพียงนิมิตต่างหาก ไม่ใช่เป็นความจริง ให้พึงทำความรู้เท่าอย่างนั้น บางทีจะไปกลัวจนละเมอไปก็ได้นะ บางทีปรากฏเห็นซากศพอันนั้นเหลือแต่โครงกระดูกอยู่อย่างนั้น เราเพ่งดูอยู่เฉยๆ

    ให้น้อมเข้ามาว่า เอ้าร่างกายของเรานี้ก็จะเหมือนกัน เหมือนซากศพ หรือเหมือนโครงกระดูกนั้นก็เหมือนกันนั้นแหละ

    น้อมเข้ามากำหนดดู ตั้งสติกำหนดดูตัวของเรา

    เมื่อเวลากำหนดแล้ว มันจะเปื่อยจะเน่าก็เหมือนอย่างนี้ไหม น้อมเข้ามาพิจารณา เอ้าถ้ายังไม่เป็นเหมือนอย่างนั้น เราก็ยับยั้งดูอยู่เฉยๆ ทีนี้เพ่งดู เมื่อเวลาเพ่งดูภาพศพ หรือร่างโครงกระดูกอันนั้นแล้วมันเห็นชัดเจนอยู่อย่างนี้ เราต้องน้อมเข้ามาสู่ใจของเรามาดูกายของเรา เราเห็นที่ไหน เห็นส่วนภายนอกนั้นน่ะ เห็นอยู่ที่ไหนเราก็กำหนดเอาที่นั้นน่ะมา หมายเอาตัวของเรานี้ ดูที่ตัวของเราให้เห็นอยู่ที่ตัวของเรานี้

    เมื่อเวลาเห็นอยู่ที่ตัวของเราแล้วนั้นน่ะเป็นความจริง เห็นสภาพความเป็นจริงของกายของเรา

    ใครเป็นคนเห็น ใครเป็นคนรู้ ทีนี้ล่ะน้อมเข้ามาอีก น้อมเข้ามาสู่ผู้รู้ หรือผู้ที่เห็นนั้นน่ะ ดูอยู่ที่นี่จนชำนิชำนาญ

    เราจะลืมตาดูก็เห็นอยู่อย่างนั้น จะหลับตาก็เห็นอยู่อย่างนั้น อันนี้ท่านเรียกว่า นิมิตติดตา อย่าเพิ่งไปเผลอ มันเกิดนิมิตติดตาขึ้นมาแล้ว เราดูอยู่อย่างนั้น

    [​IMG]

    เมื่อหากว่าเราไม่ต้องการอยากจะดู อย่างนี้เราหายใจเข้าแรงๆ หายใจออกแรงๆ ตั้งสติดีๆ อย่าให้เผลอ แล้วก็หายใจเข้าแรงๆ หายใจออกแรงๆ แล้วก็หายไปเลย นี่วิธีแก้

    อย่าไปลืม ลืมสติ ให้รู้เท่าอย่างนั้น เอ้า ถ้าหากว่ามันสงบอยู่เฉยๆ ก็รักษาอยู่เสียก่อน อันนี้แหละจิตของเรามันบริสุทธิ์ เมื่อเวลามันรวมลงไปมันก็เยือกเย็นสบายอยู่อย่างนั้น ในขณะที่จิตของเรามันบริสุทธิ์ จิตของเรามันผ่องใสจนเกิดแสงสว่างขึ้นมา มันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากใจนั่นแหละ ใจของเราบริสุทธิ์มันก็มีแสงประภัสสรเกิดปรากฏขึ้นมาให้เรารู้ นี่มันเป็นอย่างนั้น

    แต่นี้ไปก็จะไม่แสดงให้มากมายเสียเวลาที่จะทำจิต เดี๋ยวก็จะส่งจิตมาคอยฟังเอาเสียงอยู่ที่นี่ อย่าส่งมา ให้กำหนดอยู่ที่ตัวของเรานั้น ได้ยินเสียงก็ได้ยินอยู่ที่ใจของเรานั้นส่งเข้าไปหาใจของเรา อย่าส่งมาหาเสียงที่ท่านพูดอยู่ ท่านแสดงอยู่ที่นี่ อย่าส่งมา ให้รักษาใจของตัวไว้ให้ดี เอ้าต่อแต่นี้ไปก็ทำหน้าที่ของตัวจนกว่าที่จะบอกให้หยุด แล้วแต่โอกาส อย่าได้กระดุกกระดิก ให้นิ่ง จึงจะเห็นความจริงอยู่ภายในใจของเรา

    ใครยังนั่งไม่ถนัดไม่สบายอยู่ก็พลิกหาดู อย่าก้มนัก ถ้าก้มเกินไป จิตของเรารวมไม่ถนัด ไม่สบาย ให้ตั้งพอดี พอดีละ เอ้าแต่นี้ไปก็ให้ตั้งใจอธิษฐานขอให้จิตของข้าพเจ้ารวมเป็นสมาธิเพื่อบูชาพระรัตนตรัย อธิษฐานแล้วก็ตั้งสติบริกรรมอยู่ต่อไป เอ้าตั้งใจพวกโยมผู้หญิงถ้าสามารถจะนั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งพับเพียบก็ได้เหมือนกัน เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ตั้งสตินึกบริกรรม พอเมื่อเวลานึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 จบ แล้วก็ตั้งสติกำหนดอยู่เฉพาะใจดูที่ใจ

    มันเกิดขึ้นที่ใดดับอยู่ที่ใด นั่นแหละให้สังเกตดูใจของเรานั้น จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรให้สังเกต มันมีอาการ หรือกิริยาขึ้นลงอย่างไร

    เอ้าตั้งใจบุญกุศลจะเกิดขึ้น ปรากฏว่าอยู่ที่ใจของเรานั้นน่ะให้มันอยู่จุดเดียว จิตมันอยู่จุดเดียว สติของเราให้มันอยู่จุดเดียว ถ้าหากว่าเราปล่อยให้มันถอนอยู่เรื่อยๆ ตั้งอยู่เรื่อยๆ มันก็ไม่เป็น อย่าให้มันถอน ถอนจากจุดที่หมายของเรา ไม่ให้มันเคลื่อนที่ สมมติอย่างของภายนอกมันตั้งแล้ว อย่าให้มันเคลื่อนที่ ให้ตั้งอยู่จุดเดียวนั่น

    นี่ฉันใดก็ดี เรื่องของการตั้งสติก็เหมือนกัน เราต้องตั้งอยู่ในจุดเดียว ตั้งขันติความอดทนอย่าให้มันแสดงขึ้นมาให้อยู่ภายในใจ หรือทางกายก็ดี อย่าไปพลิกให้มัน อย่าไปเผลอ ต้องต่อสู้ฝ่าฟันเวทนาอย่างขนาดเลย เราต้องเอาชนะมันให้ได้

    ถ้าหากว่าเราฝ่าฟันในตอนนี้ได้ จิตของเราก็จะขาดจากสัญญาอารมณ์รวมเป็นสมาธิได้นาน ไม่เป็นขณิกสมาธิ กลายเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าหากว่าเราไม่ย่อท้อแล้ว มันจะรวมลงไปเป็นอัปปนาสมาธิ

    เราจะถอนก็ได้ เราไม่ต้องการถอนก็ได้ เราอยู่ในนั้นเลย อยู่ในความสงบอันนั้น เวทนานี้ไม่มีปรากฏอยู่ในกายของเรา มีแต่ความสุขอย่างเดียว ความสุขล้วนๆ ที่ไม่มีสิ่งใดมาเจือปนกับใจของเรา มีแต่ความสุข แต่ว่าเราอย่าไปติด ต้องย้อนออกมาอยู่ในอุปจารสมาธิเพื่อค้นคว้าหาปัญญา

    ค้นคว้าที่กายของเรานั่น ดูที่กายของเรา เราเพ่งดูที่กายของเรา วิตกวิจารณ์ลองดู มันจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป หรือมันมีความยักย้ายแปรผันอยู่ตรงไหน ให้รู้จักสภาพความเป็นจริงของกายของเรา

    ถ้าหากว่าจิตของเรามันอยู่มันเป็นเอกัคตาจิต เอกัคตาธรรมแล้ว เราจะพิจารณาลงไปได้ เพราะอำนาจหรือความกล้าหาญของใจเรามันมีพลัง เราจะพิจารณามันก็เห็นชัดเจนโดยที่ไม่สงสัยในกายของเรา

    เมื่อเวลาเราไม่สงสัยในกาย ไม่หวง ไม่แหนซึ่งกายของเรา เรียกว่า เราถอนจากสักกายทิฏฐิ คือความถือกายได้แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในกายไม่มี เห็นสภาพความเป็นจริงมันแตกทำลายอยู่เสมอ เห็นไม่เป็นบุคคล ไม่เป็นสัตว์ เป็นธาตุไปทั้งหมด เห็นสภาพของกายมันเป็นธาตุ เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เหล่านี้นี่มันก็กลายเป็นธาตุไปทั้งหมด

    ส่วนธาตุดินกลายไปเป็นดิน ส่วนธาตุน้ำก็กลายไปเป็นน้ำ ส่วนธาตุลมก็กลายไปเป็นลม ส่วนธาตุไฟที่อบอุ่นอยู่ในกายของเรา มันก็กลายไปเป็นธาตุไฟ เมื่อเวลาสิ่งเหล่านี้แยกออกจากใจของเราได้ มันก็ไม่มีรูปไม่มีร่างอะไร มันกลายไปเป็นธาตุแล้ว ที่ยังคงเหลืออยู่มีที่ท่านเรียกว่า อมตธรรม คือ สิ่งที่ไม่ตาย ได้แก่ดวงใจของเรา อันนี้ไม่มีตาย ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ตั้งอยู่อย่างนั้น เป็นฐิติธรรมตั้งอยู่อย่างนั้นตลอดไป ให้เราเข้าใจอย่างนั้น

    การปฏิบัติของพวกเราไม่ต้องไปสงสัยลังเลเอ้าเขาว่าอย่างนั้น อาจจะไปสงสัยลังเลเกิดขึ้นมา ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ากว้างขวางมากที่สุด แล้วก็ต่างคนต่างลูบคลำเหมือนอย่างคนตาบอดคลำช้าง อ้ายคนหนึ่งมันไปคลำถูกขาช้าง ไอ้ช้างนี่มันก็เหมือนกับสูบว่าอย่างนั้น อีกคนหนึ่งไปคลำดูถูกตัวของมัน นึกว่าช้างนี่มันเหมือนกระพังว่าอย่างนั้น

    อีกคนหนึ่งคลำไปถูกงวงช้างเข้าใจว่าเป็นต้นมะละกอ เอ้าช้างนี่มันเหมือนต้นมะละกอว่าอย่างนั้น ไอ้คนหนึ่งคลำไปที่ศีรษะมัน ไอ้ช้างนี่มันเหมือนกับตั่งเรานั่งว่าอย่างนั้น หรือพูดเป็นภาษาลาวว่าตั่งสาวหลอดสาวไหมน่ะ เขาว่าช้างมันเป็นเหมือนกับตั่งที่เขานั่งสาวไหมนั่น ก็เลยนึกอยู่ในใจ คนหนึ่งคลำไปๆ ก็เลยถูกใบหูมัน ก็นึกว่าช้างนี่มันเหมือนกับตาลปัตรหลวงพ่อว่าอย่างนั้น ก็เลยนึกคิดอยู่ภายในใจของตนนั้น ไอ้คนหนึ่งคลำไปถูกหางมัน เอ้าไอ้ช้างนี่มันเหมือนกับไม้กวาดว่าอย่างนั้น ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่เชื่อ เอ้าต่างคนต่างคลำ

    นี่ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันกว้างขวาง ใครทำใครว่าที่ไหนก็ถูกเหมือนกันหมด เมื่อเวลาสรุปใจความแล้วเรียกช้างตัวเดียวมันก็หมดเรื่อง
    การปฏิบัติก็เหมือนกัน เราไปหลงสมมติ สมมติว่าช้างมันเป็นเหมือนต้นมะละกอ ช้างมันเหมือนกับลูกสูบ ช้างมันเหมือนกับกระพังว่ายังนั้น ตามสมมติเลยหลงสมมติ ทีนี้ล่ะถ้ามันเหมือนกับไม้กวาดก็เลยหลงสมมติไม่ได้รวม

    เมื่อเวลารวมช้างทั้งหมดงวงมันก็เป็นงวงช้าง ศีรษะมันก็เป็นศีรษะช้าง ขามันก็เป็นขาช้าง หูมันก็เป็นหูช้างเหมือนกัน หางมันก็เป็นหางช้าง รวมทั้งหมดมันก็เป็นตัวเดียวนั่นแหละ ไม่ต้องไปสมมติที่นั่นที่นี่ นี่ก็ฉันใด เรื่องการปฏิบัติธรรมของพวกเราก็เหมือนกัน ไม่ต้องสงสัยที่อื่น มาดูที่กายกับใจของพวกเรานี้ อันนี้แหละมันเป็นสิ่งปิดบังคุณธรรมไว้ ไม่ให้เราเห็นธรรม ก็เพราะกายของพวกเรานี้แหละ

    ถ้าหากว่าใครพิจารณากายให้เห็นชัดเจน คนนั้นจะเห็นธรรม เห็นสภาพความแปรปรวนของกาย เกิดก็เกิดจริง แก่ก็แก่จริง เจ็บก็เจ็บจริง ตายก็ตายจริง นี่เรียกว่าสัจธรรมเป็นของจริงทั้งนั้น ให้เรารู้จักสภาพความเป็นจริงอย่างนี้อย่าไปหลงใหล

    บางท่านบางเกจิอาจารย์ก็ว่ากันไป เดี๋ยวก็แต่งแก้ หรือตัดกรรมตัดเวรอย่างนี้เป็นต้น นี้ก็ล้วนแล้วแต่ว่าเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นน่ะมาอวดอ้าง แต่ว่ามันเขวจากหลักไปเสียแล้ว เขวจากหนทางมรรค หนทางมรรคไม่ใช่เป็นอย่างนั้น คือ อัฏฐังคิกมรรค สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น

    นี่เราอย่าเพิ่งไปสงสัยหรืออย่างที่เขาเล่าลือกันว่า อาจารย์คนนั้นคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างนั้นอย่างนี้ อันนั้นเป็นเรื่องสมมติกันต่างหาก สมมติขึ้นแล้วก็พากันหลงไปอย่างนั้น เสกสรรปั้นยอกันขึ้นมาก็เลยหลงกันไป ไม่ได้น้อมเข้ามาสู่ตัว ไม่ได้พิจารณาตัวของตัวเอง ก็เลยหลงไปตามอารมณ์ของคนที่เขาว่ากันไปนั่นน่ะ

    อันแท้ที่จริงนั้นต้องมาดูที่เราเอง

    กรรมฐานใหญ่ พระอาจารย์บุญจันทร์ กมโล สมถวิปัสสนาภาวนา (2 ) - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...