กระดูก300ท่อน (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 11 กรกฎาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ที่แท้มันก็กองกระดูก ทำไมจิตมันมาหลงยึดหลงถือหน้าของกูตาของกู ตามันไม่มี หูมันไม่มี ยึดทำไมมีเหลือแต่กระดูกเท่านี้ ใครจะมาถ่ายวิดีโอวิดีอาไม่ต้องเกี่ยว ดูกองกระดูกของตัวให้รู้ไม่รู้ไม่เข้าใจอย่าไปกินข้าว นั่งภาวนาเพ่งดูให้มันเห็นอัฐิกับกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง ดูกระดูกสันหลัง เป็นท่อนๆ ต่อกับกระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวก็เป็นกระดูกต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกก้นกบกระดูกตะโพก เขาก็ว่ามองให้เห็น กระดูกแท้ๆ มีอยู่ไม่เห็นไม่ได้

    ต้องเพ่งดูให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เรื่อยไป ทำไมเขาว่าเป็นกระดูกก้นกบ ดูให้ดีของมีอยู่ไม่ดูไม่พิจารณาจึงได้เกิดความหลง โมหะ อวิชชาไม่รู้ แล้วก็มีกระดูกเหง้าขามาต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกขาก็ต่อไปหากระดูกเข่า กระดูกเข่าก็คือว่าเป็นกระดูกที่แข้งขึ้นมาก็มาต่อกระดูกเข่า มีกระดูกสะบ้ากลมๆ แล้วกระดูกแข้งต่อลงไปทั้งสองข้างขาแข้งเหมือนๆ กัน กระดูกแข้งมันก็มีกระดูกสามเหลี่ยมกระดูกเล็กต่อลงไปเป็นกระดูกส้นแข้ง ข้างล่างมันต่อกับกระดูกเท้า กระดูกตีนเท้าก็คือว่าไปทางไหนมันเอาเท้าไปเรื่อย เท้าเดินหน้าไป ดูกระดูกเท้าเป็นข้อๆ ต่อออกไปจนถึงกระดูกนิ้วเท้า

    [​IMG]

    มันสวยงามที่ไหนทั้งสองข้างถ้าเอาไปยืนดู ยืนขึ้นต่อกันไว้ แขวนไว้ แล้วก็ดูซิ กระดูกนิ้วเท้า กระดูกเท้า กระดูกแข้งเป็นผีหลอกใหญ่ หลอกทั้งตัวเลย ที่จิตหลงเห็นเป็นของสวยของงาม เกิดราคะตัณหาเพราะไม่ดูกระดูกของตัวเอง จิตกิเลส จิตมัวเมา มันดูไปไม่ถูก ดูของปลอม ดูของจริงดูกระดูกซิ กระดูกมันเป็นของจริงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปไหนตั้งแต่เกิดมา มันเป็นกระดูกมันก็เป็นอยู่ เดี๋ยวนี้ก็เป็นกระดูกอยู่ เลยนี่ไปมันก็จะเป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น โน่นแหละจนถึงวันตายมันก็เป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น

    นี่แหละโครงร่างผีหลอก ผีหลอกของเรา อย่าไปหลอกผีตนอื่นอีก มันเป็นผีด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย คนจะเป็นชาติใดภาษาใดก็ไม่มีใครแปลกประหลาดกว่ากัน มันก็กองกระดูกนี่แหละ

    อย่าไปมัวคิดฟุ้งซ่านไปที่อื่น ดูกองกระดูกของตัวเองให้รู้ให้เข้าใจ เวลายืนก็กองกระดูกยืน ให้เห็นอย่างนั้น ไม่ต้องมองให้เห็นเนื้อหนังมองเป็นกองกระดูก ยืนก็ผีหลอกยืน โหวกๆ หวากๆ ไปหมด มันดีอย่างไรวิเศษอย่างไร จิตนี้จึงมาหลง มันไม่ดูกองกระดูกของตัวเองจึงได้มัวเมากองกระดูก เวลานั่งสมาธิภาวนาก็กระดูก 300 ท่อน มันนั่งไม่ให้เห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง เห็นกระดูกนั่ง จะนั่งแบบไหนก็กระดูก 300 ท่อน มันนั่งมันยืนขึ้นก็กระดูก 300 ท่อน มันยืนขึ้น ยืนอยู่ ทั้งนี้มันเดินไปมาที่ไหนก็ดูมันเดิน มันจะเอากระดูก 300 ท่อนนี่แหละเดินโทกเทกๆ ไปมา เดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหลัง เดินไปข้างซ้ายข้างขวา
    นี่แหละดูกระดูกให้มันเห็น

    มันอยู่ในอิริยาบถใดก็ดูตามความเป็นจริงในอิริยาบถนั้น มันเดินเป็นยังไง ดูมันขึ้นบนลงล่าง ไปไหนมาไหน ก็เห็นกระดูกมันเดินไปยังงั้นแหละ ระวังกระดูกมันจะหัวเราะให้ดู เวลากระดูกมันหัวเราะคางมันอ้าขึ้นมา ดีใจก็หัวเราะแฮกๆ กระดูกน่ะเสียใจก็ร้องไห้ น้ำหูน้ำตาไหล ถ้ายังไม่ตาย ถ้ายังเหลือแต่กระดูก มันแห้งไม่มีน้ำตา ร้องไห้เป็นที่ไหน มันร้องไห้ก็ให้ดูกระดูกมันร้องไห้ ดูตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมา กระดูกคอ กระดูกแขนกระดูกสันหลัง กระดูกข้าง กระดูกขา กระดูกเท้า กระดูกนิ้วเท้า หมดจากมันเดินแล้วมันก็จะมานั่ง

    นั่งก็ดูมันนั่ง นั่งมันเอาอะไรลงก่อน

    กระดูก 300 ท่อนนั้นแล้วมันเป็นยังไง นั่งพับเพียบแล้วมันเป็นอย่างไร กระดูก 300 ท่อนนี้ นั่งคุกเข่ามันเป็นอย่างไรกระดูก 300 ท่อน ดูมันทุกอิริยาบถเมื่อนั่งมันนานๆ มันเหนื่อยมันก็จะนอน กระดูก 300 ท่อนมันนอน นอนก็ดูมันตั้งแต่กะโหลกศีรษะจนถึงปลายเท้า กองกระดูกระนาวไปหมด จิตอย่าได้มาหลง ไม่ต้องมาหลงเนื้อหลงหนังของมนุษย์ ดูกองกระดูกของตนให้มันทั่วถึง ให้มันได้ทุกขณะที่กระดูกมันเคลื่อนไหวไปมา นอนมันหลับไป หลับไปสักพักคนมันยังไม่ตายก็ตื่น ตื่นขึ้นมากระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ นั่งในส้วม มันก็กองกระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ นั่งในส้วม มันก็กองกระดูกมันเดิน กองกระดูกมันยืน กองกระดูกมันนั่ง กองกระดูกมันนอน กองกระดูกมันถ่าย กองกระดูกมันพูดจาปราศรัย หัวเราะ ร้องไห้ อะไรต่อมิอะไรจิปาถะ

    กองกระดูกมันแสดงบทบาททั้งนั้น

    เอาให้มันเห็นเงากองกระดูก ไม่ต้องเห็นเงาหน้าตาคนธรรมดา เขาฉายถ่ายวิดีโอก็ถ่ายเอากองกระดูกนี่แหละ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะเป็นของดีของวิเศษเกินกระดูกไปได้ไม่เกินตาย

    ตายแล้วมันก็กระดูกอ่อนอย่างนี้แหละ จิตหลงจิตมาร จิตกิเลส จิตไม่รู้ จิตอวิชชา ตัณหา จิตตาบอด จิตมันเป็นนะโมตาบอด คือสิ่งที่มันเป็นจริงอยู่ไม่ดู ไม่เห็น เรียกว่าตาบอด ตาอวิชชาตัณหา ตาราคะ ตาโทสะ ตาโมหะ มันไม่เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันชอบ ดูให้มันเห็นแจ้งให้มันเข้าใจในใจของตัวเอง เมื่อไม่เห็นกระดูกของตัวเองก็เรียกว่าฟังธรรมก็ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่เห็นของจริง ถ้าเพ่งให้เห็นกระดูก 300 ท่อน นับได้ให้มันเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์นับได้ 300 ท่อน มันอยู่ที่ไหนบ้าง มีอยู่ในร่างกายนี้แหละ มีอยู่ในกองกระดูก

    ดูกองกระดูกของตัวเองตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันแตกตายไม่ให้มันหลงใหลไปได้
    นี่แหละอัฐิกับกระดูก 300 ท่อน พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วตั้ง 2,000 ปีกว่า จิตใจคนเราก็ยังไม่สนใจ ยังไม่เอามาคิดมาอ่านโลเลไป โลเลอยู่ โลเลกิน โลเลนอน โลเลไปตามอำนาจกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ไม่พิจารณาอัฐิกับกระดูก 300 ท่อนของตัวเอง ก็มาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาไข้ มาตาย ก็เพราะแบกกระดูก 300 ท่อน ไม่รู้จักปล่อยวางให้โลกเขาสับมะกอกอยู่ทุกวันทุกคืน ให้เขาด่าอยู่ทุกวันทุกคืน ไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เขาเอาค้อนตีหัวตีกะโหลกศีรษะก็ตีกองกระดูก ช่างมันที่สุดมันก็ตายแหละ อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอีก เกลียดชังใครก็อย่าไปฆ่าอย่าไปแกงกัน กองกระดูกไม่ถึง 100 ปี มันก็ตายแล้ว 99 ปียังไม่เต็มก็ตาย

    เหมือนหลวงปู่แหวนเราน่ะ ตายแล้วก็เห็นไหม อยู่ในหีบนั่น เขาถ่ายรูปไว้ ไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดชหมดเรื่อง พวกเรายังอยู่ ตัวเรายังอยู่ก็เหมือนกัน ดูกระดูกให้มันเห็นชัดเห็นแจ้ง พระก็สมมติเณรก็สมมติ ผ้าขาวก็สมมติ มันก็กองกระดูกนั่นแหละ หญิงก็กองกระดูก ชายก็กองกระดูก คนชาติใดภาษาใดก็กองกระดูก ไปหลงกองกระดูกมันทำไม โหวกๆ หวากๆ ไม่เห็นมันสวยมันงามที่ไหน ทำไมจึงไม่กำหนดพิจารณา

    ต้องกำหนดพิจารณา ดูให้มันเห็นแจ้งด้วยสติด้วยสมาธิปัญญา เห็นแจ้งในจิตในใจของตัวเองจนไม่ต้องไปถามคนอื่นว่ากระดูกตรงไหนมันเป็นอย่างไร คือยังไม่ดูไม่พิจารณา ถ้าดูพิจารณาแล้วมันเห็นแจ้งเห็นชัดในหัวใจของตัวเองไม่ต้องไปถามใคร ข้ารู้หมดนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรู้ เจ้าสังขารมาสร้างกองกระดูกให้เราตถาคตลุ่มหลงมัวเมามาอย่างนี้ตั้งแต่อเนกชาติแล้ว ต่อไปเจ้าสังขารจะไม่ได้สร้างอีก เราได้ทำลายแล้ว ทำลายอวิชชาจิตไม่รู้ พระองค์ทำลายฆ่ามัน พระองค์เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก 300 ท่อนแล้วจิตใจของพระองค์ก็ไม่หลงเพลิดเพลินในกองกระดูก นั่งก็ไม่หลงกองกระดูก กระดูกคนอื่นก็ไม่หลง กระดูกตัวเราก็ไม่หลง

    กินก็กระดูกมันกิน พูดก็กระดูกมันพูด เอาให้มันทันกองกระดูก พิจารณากองกระดูกของตัวให้มันเข้าใจ ให้มันเห็นแจ้งเห็นชัด เหม็นหอมมันก็มาจากกระดูก มันมีสมัยเมื่อยังไม่ตาย ยังไม่เป็นกองกระดูก เหม็นก็อยู่นี่ หอมก็อยู่นี่ กินถ่ายอยู่ตลอดวันตาย ตื่นเช้าก็แสวงหาอาหารมากิน กินเข้าไปเลี้ยงกองกระดูก กินแล้วก็ถ่ายเทออกมา ดีวิเศษอะไร

    จิตให้รู้ ให้เข้าใจ ภาวนาดูให้เข้าใจ ละกิเลสโลเล จิตใจโลเลออกไปให้หมด เป็นจิตที่แน่วแน่เพียรเพ่งดูให้มันทะลุปรุโปร่งตามความเป็นจริง ของจริงและกระดูกจริง อย่างนั้นถ้าไม่เห็นมันก็ยังหลงของปลอมนี่อีก ถ้ามันรู้มันเห็นแจ้งว่าอัฐิกังกระดูก 300 ท่อน พระพุทธเจ้าสอนให้ดูให้รู้แจ้งในใจ จึงไม่ลุ่มหลงมัวเมาต่อไป ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก 300 ท่อน มันก็มาวนอยู่เข้าใจว่าเป็นของสวยของงามไป สวยที่ไหนงามที่ไหน ผีหลอกทั้งเพ ผีหลอกตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมาจนถึงปลายมือปลายเท้า ผีหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชาย
    พิจารณากองกระดูกตัวเองให้รู้ อย่าให้หลงใหลต่อไป

    อัฐิกับกระดูก 300 ท่อน ดูให้แจ้ง ดูให้เห็น กำหนดให้ได้ กำหนดให้ได้ทุกเวลา กระดูกกำหนดไปถึงไหนถึงวันตาย ตายเมื่อใดก็ดูกระดูก 300 ท่อนมันไป นั่งก็กระดูก 300 ท่อน ไปหลงมันทำไม พูดก็กระดูก 300 ท่อนไปหลงมันทำไม ถ่ายภาพถ่ายรูปก็เงา ไปหลงเงาทำไม เงากระดูก เหตุไม่ดูกระดูกของตัวเอง จึงได้หลงกองกระดูกคนอื่น

    เดี๋ยวนี้เวลานี้ ให้ดูกระดูกของตัวเอง ดูจนนับได้ อ่านได้ด้วยตนเอง จึงเรียกว่าพิจารณา

    ถ้าไปถามคนอื่นบอกมันเรื่องของจริงมันอยู่ที่กระดูก เห็นแจ้งกระดูก กระดูกเขา กระดูกคนทั้งโลกก็เหมือนกัน จะไปทะเยอทะยานวุ่นวายไปทำไม

    เมื่อมันถึงขั้นตายเป็นกองกระดูกแล้วมันหาบสมบัติในโลกไปได้กี่ชิ้น กี่อัน ไม่มีอะไรก็ทิ้งเปล่าๆ อัฐิกับกระดูก 300 ท่อนทั้งหมดละ ตายเมื่อใดมันเอาอะไรไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฐิกับกระดูก 300 ท่อน จิตมันก็โลเลไม่ตั้งมั่นเที่ยงตรง

    นี่แหละเราท่านทั้งหลาย อัฐิกับกระดูก 300 ท่อน ต่อไปภายหน้าอย่าได้มีความลุ่มหลงมัวเมา ให้กำหนดให้ทั่วถึงรอบคอบทุกชิ้นทุกอัน แล้วก็จะต้องกำหนดอยู่จนถึงวันสิ้นชีวิตจึงจะเข้าใจในธรรมปฏิบัตินี้ ดังแสดงมาก็สมควรแก่กาลเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใ...ทศนาของ-พระญาณสิทธาจารย์-หลวงปู่สิม-พุทธาจาโร
     

แชร์หน้านี้

Loading...