การให้ทานที่ไม่ต้องเสียเงินแล้วยังได้นิพพาน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย jumook, 7 มีนาคม 2011.

  1. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    1. ทาน รู้ความหมายจึงจะให้เป็น
    2.การให้ทานที่ไม่ต้องเสียเงินแล้วยังได้นิพพาน
    3.เหตุที่ให้วัตถุทาน
    4.ข้อควรระวังในการให้วัตถุทาน
    5.อภัยทาน สูงกว่าวัตถุทาน
    6. ธรรมทาน คือ ให้ความรู้ที่ทำให้พ้นทุกข์
    7.ให้นิพพานเป็นทาน
    8.สุญญตาทาน ให้ความว่างเป็นทาน
    9.สุญญตาทาน คือการสละตัวกู
    10.วิธีการให้สุญญตาทาน
    11.สละ
    12.สุญญตาทาน ไม่เสียเงินและยังได้นิพพาน
    13.พระพุทธเจ้าให้ละเหยื่อของโลก
    14.บุญ คือเหยื่อล่อยิ่งกว่าเหยื่อล่ออย่างอื่น
    15.ต้องการพ้นทุกข์ต้องละเหยื่อล่อให้หมด
    16. สวรรค์ คือนรกชนิดหนึ่ง
    17.ทำบุญมาก เป็นทุกข์เพราะอยาก
    18.หยุดใจให้อยาก ก็ชนะได้ทุกอย่าง
    19.สวรรค์-นรก ในชาติปัจจุบัน
    20.ภาคผนวก
    21.บทพิจารณาสังขาร
    พิมพ์ไม่เก่งครับจะค่อยพิมพ์ลงไปเรื่อยๆนะครับ
    1.ทาน
    รู้ความหมายจึงให้เป็น

    ทาน แปลว่า การให้ เป็นหลักธรรมที่เรามักได้ยินได้ฟังและได้
    ปฏิบัติกันบ่อยที่สุด เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ก็จะมีคนชักชวนให้ทำบุญทำทาน
    กันอยู่เสมอ และเมื่อพูดถึงการให้ก็สื่อความหมายถึงว่าต้องมีผู้รับด้วย
    แต่...ยังมีการให้อีกประเภทหนึ่ง ไม่ต้องมีผู้ให้และไม่ต้องมีผู้รับ
    เป็นการให้ที่ไม่ต้องเสียเงินสักสตางค์เดียว แต่มีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่
    นิพพานได้ การให้ทานที่ไม่ต้องเสียเงิน แล้วยังได้นิพพานเป็นผลงานของ
    พระเดชพระคุณพระธรรมโกศาจารย์ หรือ หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
    แห่งสวนโมกพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยพระเดช
    พระคุณได้อธิบายความหมายและจุดประสงค์ของทานไว้อย่างครบครัน โดย
    เฉพาะ "สุญญตาทาน" ที่เป็นจุดประสงค์หลัก

    "สุญญตาทาน คือ เรื่องบริจาคตัวกูของกู หรือความเห็นแกตัวออกไป
    เสียให้หมด จิตที่ไม่เป็นแก่ตัว อันไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู เป็นจิตบริสุทธิ์ที่
    ไม่ได้ยึดถือไว้ด้วยอุปทาน พระพุทธเจ้าว่าจะไม่เกิดทุกข์ซึ่งก็คือนิพพาน"

    2.การให้ทานที่ไม่ต้องเสียเงิน
    แล้วยังได้นิพพาน

    วันนี้จะพูดเรื่องเกี่ยวกับการให้ทานที่มีในพระบาลีต่างๆ ให้หมกทุกเรื่อง
    เพื่อส่งเสริมให้รุดหน้าไปนิพพานโดยเร็ว โดยปกติทั่วไปเขาถือกันว่า
    เรื่องการให้ทานนี้เป็นเรื่องตื้นๆ คือ เป็นเพียงบรรไดไปสู่สวรรค์
    นั้นหมายถึงการให้ทานอย่างเด็กๆ เพราะการให้ทานชนิดที่จะ
    เวียนว่ายไปในวัฎสงสารก็มีอยู่
    ฉะนั้น ถ้าใครให้ทานเป็น ผลของทานก็จะทำให้ผู้นั้นไม่เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎะ
    ถ้าเอาเรื่องการให้ทานทั้งหมดมารวมกันเข้าแล้ว ก็แบ่งทานได้เป็น 2 ชนิด
    อีกตามเคย คือ ทานชนิดที่ต้องมีผู้รับ และ ทานที่ไม่ต้องมีใครมารับ


    ทานที่ให้แล้วจะเวียนว่านไปในวัฏฏะนั้น เป็นทานชนิดที่ต้อง
    เสียเงินและต้องมีผู้รับทั้งนั้น
    ส่วนทานที่ให้แล้วจะออกไปนอกวัฏฏะนั้น ไม่เสียเงินและไม่ต้องมีผู้รับ

    ทานซึ่งต้องมีผู้รับ ก็คือ

    1.วัตถุทาน (ให้วัตถุสิ่งของ)
    2.อภัยทาน (ให้อภัยโทษ)
    3.ธรรมทาน (ให้ธรรมะ)

    ส่วนประเภทที่ไม่ต้องเสียเงิน

    และไม่ต้องมีผู้อื่นมารับนั้น
    จะขอเรียกเอาเองว่า สุญญตาทาน






    ซึ่งทำให้ไม่เวียนว่ายไปในวัฏฏะอีกต่อไป




    3.เหตุที่ให้วัตถุทาน


    เหตุที่ให้วัตถุทาน ก็มี 4 อย่าง คือ
    1.ให้เพราสงสาร

    2.ให้เพราะความเลื่อมใสในผู้ปฏิบัติ
    3.ให้เพื่อบูชาผู้มีคุณ
    4.ให้เพื่อใช้หนี้บุญคุณ








    การให้วัตถุทาน ก็ต้องเลือกผู้รับที่เหมาะสมจริงๆ อย่าให้ทานนั้นมันไป
    ได้แก่คนชั่ว แล้วต้องให้ไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อตกเบ็ดคนอื่นเพื่อเอา
    มาเป็นพรรคพวก แล้วแสวงหาประโยชน์ร่วมกัน อย่างนี้เจตนาไม่บริสุทธิ์
    การให้ก็ต้องเกิดจากการพอใจจริงๆ เมื่อให้เสร็จแล้วก็ยังอิ่มอกอิ่มใจ

    เวลาที่จะให้ก็ต้องเลือกให้มันเหมาะสม รวมความว่า

    ต้องเลือกสิ่งของ

    ต้องเลือกเวลา
    เลือกสถานะการณ์
    เลือกบุคคล
    เลือกประโยชน์ที่เขาจะได้









    ดังพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

    "เลือกเฟ้นเสียก่อนแล้วจึงให้ทาน นี้พระสุคต สรรเสริญ"






    4.ข้อควรระวังในการให้วัตถุทาน
    ทั้งนี้ ขอเตือนว่า ระวังให้ดี คือ การให้วัตถุทานนี้มันเป็นไปเพื่อเพิ่ม
    กิเลศก็มี ไม่เป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลสก็มี มันอยู่ที่ เจตนา หากำไรหรือไม่

    ถ้าทำบุญ 1 บาทโดยหวังจะได้วิมานหลังหนึ่ง
    อย่างนี้เป็นการค้ากำไรเกินควร
    เป็นการให้ทานชนิดที่เป็นไปเพื่อกิเลส
    คือ เพิ่มความเห็นแก่ตัวมากขึ้น
    มีอุปทานยึดถือมากขึ้น
    แล้วก็จะมีความทุกข์มากขึ้น
    ความทุกข์มากขึ้น เพราะความยึดถือนั้นๆ

    ส่วนทานที่ไม่เป็นไปเพื่อกิเลสนั้น

    คือ ให้ไปเพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่น
    ทำลายความตระหนี่
    ทำลายความเห็นแก่ตัวให้หมดไป
    เช่น บริจาคไปโดยคิดว่า
    จงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นเถิด
    เราไม่ต้องการอะไรตอบแทน
    เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นไปเพื่อนิพพาน
    หรือการดับกิเลส
    [​IMG]

    แต่ถึงกระนั้นก็อย่างให้อย่างหลับหูหลับตา
    เพราะมันจะทำให้มีคนขี้เกียจมากขึ้น
    มีคนเอาเปรียบมากขึ้น
    ทำให้มีอลัชชีในพระพุทธศาสนามากขึ้น
    จึงต้องระวังในการให้วัตถุทาน

    5.อภัยทาน สูงกว่าวัตถุทาน

    อภัยทาน หมายถึง ให้อภัย

    อภัย นี้แปลว่า ไม่ต้องกลัว เช่น
    1.ให้อภัยโทษ

    2.ยอมรับการขมาโทษ

    3.การไม่เบียดเบียนไม่ประทุษร้ายใครทางร่างกายและทางน้ำใจ

    4.หรือแผ่เมตตาจิตเป็นปกติ






    อภัยทานนั้น
    ไม่ต้องลงทุนสักสตางค์เดียว
    ถ้าเราสร้างโบสถ์หลังก็ต้อง
    เสียหลายแสนบาท
    แต่ให้อภัยทานนี้ไม่ต้องเสียตางค์
    แล้วยังจะเป็นผลสูงกว่าด้วย
    เพราะมันทำยากมากกว่าให้วัตถุ
    มันเป็นเรื่องจิตใจสูงมากขึ้นไปอีก
    ถ้ามนุษย์มีการให้อภัยทานซึ่งกันและกัน
    การเบียดเบียนกันหรือสงครามก็จะไม่เกิดขึ้นในโลก

    6.ธรรมทาน
    คือ ให้ความรู้ที่ทำให้พ้นทุกข์

    ธรรมทาน คือ ให้ธรรมเป็นทาน หมายถึงความรู้ที่จะทำให้
    พ้นทุกข์ได้ ไม่ค่อยเป็นไปเพื่อกิเลส นอกจากทำไปเพื่อโออวดอยากดัง

    หรือหวังประโยชน์ตอบแทน ธรรมทานนี้ทำโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้ เช่น
    อาตมากำลังอธิบายธรรมอยู่อย่างนี้

    ก็เรียกว่าให้ ธรรมทานโดยตรง

    ส่วนผู้ที่ช่วยพิมพ์หรือสนับสนุน

    การพิมพ์หนังสือธรรมมะ

    ของอาตมาให้มันแพร่หลาย

    ก็เป็นผู้ให้ธรรมทานโดยอ้อม

    แต่ก็ถือเป็นบุญเท่ากัน

    เพราะมีเจตนาเป็นกุศลอย่างเดียวกัน













    แม้คำด่า


    เพื่อให้เพื่อนมนุษย์เป็นคนดีมีศีลธรรม


    หายจากความโลภ โกรธ หลงงมงาย


    หรือให้หมดความเห็นแก่ตัว


    ก็เป็นธรรมทานเหมือนกัน




    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ทุกคนถือว่า คำด่าด้วยนเจตนาเช่นนี้
    เป็นการชี้ขุมทรัพย์ อันมีค่าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น คำด่าชนิดนี้จึงเป็นธรรมทาน
    ถ้าเราไม่ได้อาศัยธรรมทานชนิดนี้ เราคงเหลวไหลกว่านี้ คนชั่วในบ้านเมืองจะมีมากกว่านี้



    7.ให้นิพพานเป็นทาน
    ทีนี้ อยากจะแถมทานอีกอย่างหนึ่ง คือ ให้นิพพานเป็นทาน

    หลายคนชอบพูดว่า ท่านพุทธทาสนั้น ชอบว่าเอาเอง พูดเอาเอง ไม่ใช่เรื่องจริง

    ไม่ใช่เรื่องที่มีในคัมภีร์ ฉะนั้น จึงขอยืนยันว่า ไม่ใช่พูดเอาเอง มันอยู่ในคัมภีร์

    แต่เรียกชื่อ ไม่เหมือนกัน ให้นิพพานเป็นทาน ก็คือการทำให้คนได้ชิมรสของ

    พระนิพพาน คือ ความสงบ ความเย็นใจ







    อย่างว่าสวนโมกข์นี้จัดอะไรไว้หลายอย่าง พอใครมาสวนโมกข์

    แล้วก็เย็นอกเย็นใจ เพราะมันลืมเรื่องตัวกูของกู จิตมันเกิดว่าง มันเลยสงบเย็น

    นี่คือตัวอย่างของการชิมรสพระนิพพาน ถึงจะไม่ใช่นิพพานแท้ นิพพานถาวร

    นิพพานตลอดกาล แต่ก็รสชาติอย่างเดียวกัน คือเย็นใจสบายใจอย่างบอกไม่ถูก










    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ"
    ในบรรดาทานทั้งหลายนั้น
    ธรรมทานชนะทานทั้งหลายทั้งปวง
    นี่! พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญธรรมทานที่เป็นธรรมะจริง และดับทุกช์
    ได้มากกว่าทานประเภทอื่นๆ

    8.สุญญตาทาน ให้ความว่างเป็นทาน
    สำหรับทานที่ไม่ต้องมีผู้รับ และไม่ต้องเสียเงินนั้น จะต้องวินิจฉัย
    คำบางคำกันเป็นพิเศษเสียก่อนคือ
    คำว่า ทาน แปลว่า ให้
    คำว่า บริจาค แปลว่า สละออกไปรอบด้าน
    ปฏินิสสัคคะ แปลว่า สลัดคืน หรือให้คืน
    เข้าใจคำ 3 คำนี้แล้ว จะเข้าใจสุญญตาทานได้

    สุญญตาทาน นี้ อาตมาตั้งชื่อเอาเอง จะหาชื่อนี้ไม่พบในพระไตรปิฏก
    แต่เรื่องราวนั้นมีเยอะแยะไปหมด คือ เรื่องบริจาคตัวกูของคือ หรือ
    ความเห็นแก่ตัวออกไปเสียให้หมด


    ทานนี้ ไม่ต้องมีผู้รับ ไม่ต้องรู้สึกตัวเราผู้ให้ คือ ถ้าทำได้จริง ทำได้
    ถึงที่สุด ก็จะไม่มีตัวกูผู้ให้ทาน

    ถ้าถามว่าเอาอะไรให้ ก็ตอบว่าเอา "ตัวกู" นั้นแหละให้ คือ บริจาค
    อุปทานความยึดมั่นถือมั่นว่า นี่เป็นตัวกู นี้เป็นของกูให้หมดไป แล้วมัน
    จะเหลือแต่ความว่าง


    คือเหลือแต่จิตที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา
    จิตที่ไม่เห็นแก่ตัว อันไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู
    แต่เป็นจิตบริสุทธิ์ หรือเบญจขันธ์บริสุทธิ์
    ที่ไม่ได้ถูกยึดถือไว้ด้วยอุปาทาน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าถือว่าจะไม่เกิดทุกข์เลย
    ซึ่งก็คือ "นิพพาน" นั่นเอง

    สุญญตาทาน คือการสละตัวกู

    คำว่าบริจาคนี้
    มันต้องสละออกไปหมด
    มันจึงจะเป็นบริจาค
    ใครบริจาคแล้วยังหวังสิ่งตอบแทน
    อย่างนี้มันไม่ใช่บริจาค
    มันเป็นการลงทุนค้าขายหากำไร
    เป็นบริจาคที่คดโกง
    การบริจาคนี้
    มันต้องทำด้วยความสุจริตใจจึงจะได้บุญ

    อนึ่ง ต้องศึกษาธรรมะในชั้นแรกอีกข้อหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของ
    ธรรมชาติ และธรรมชาตินี้ไม่ใช่ตัวตนของใคร ธรรมชาติมันปรุงแต่งกันอยู่ตาม
    ธรรมชาติ มีบาลีว่า
    "สุทธธัมมัง สมุปปันนัง" เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นล้วนๆ
    "สุทธสังขารัง สันตติ" เป็นการสืบต่อของธรรมชาติล้วนๆ

    ฉะนั้น ก้อนดิน ก้อนหิน ต้นไม้ เลือดเนื้อ ร่างกาย ชีวิตจิตใจของเรานี้
    จึงเป็นการเกิดขึ้น เป็นการปรุงแต่งของธรรมชาติล้วน มันจึงไม่เป็นอะไรของใคร

    แต่จิตมันโง่ไปยึดถือว่า
    เป็นตัวตนของตน คือ
    ความโง่ที่แสนจะโง่
    เกิดขึ้นแล้วในใจ
    แล้วก็ไม่รู้เป็นความโง่
    คิดว่าเป็นความจริง

    ดังนั้น ความยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกูมันก็เกิดขึ้นในใจ เห็นว่าร่างกาย
    กับจิตใจนั้นเป็นตัวกู แล้วก็ยังมีอะไรๆ เป็นของกูไปหมด ฉะนั้น เราจะต้องหัด
    สละคืนให้ธรรมชาติเป็นลำดับๆไป
    9.วิธีการให้สุญญตาทาน

    สละ
    ขั้นที่ 1 สละ มานะทิฏฐิ อย่างหยาบๆ
    เช่น ความดื้อถือรั้น ความจองหองพองขน
    ที่ไม่ยอมใคร

    ขั้นที่ 2 สละความเห็นว่ามีอะไรๆ
    เป็นของตัว ซึ่งเรียกว่า อัตตนียา
    กล่าวคือ ความเห็นแก่ตัว นั่นเอง

    ขั้นที่ 3 ก็ละ อัสมิมานะ หรือ อัตตา คือ
    ตัวกูนั่นเอง สิ่งที่เรียกว่าอัตตานี้
    เป็นแกนกลางของกิเลส
    ของความเห็นแก่ตัว หรือของความรู้สึกที่ผิดๆทั้งหลาย
    ถ้าสามารถละอัตตาหรือตัวกูเสียได้ มันก็เป็นนิพพาน เพราะนิพพาน
    คือความว่างจากตัวกู ว่างจากกิเลส ว่างจากทุกข์ ว่างจากความว่ายเวียน
    ว่างจากตัณหาอุปทาน มันจึงเป็นความสงบสุขที่เยือกเย็น เวลาที่ใจของเราสงบ
    เพราะไม่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์เลย นั้นแหละเป็นตัวอย่างของนิพพาน อย่างนี้
    เรียกว่า สุญญตาทาน
    ขั้นที่ 4 ประการสุดท้ายคือ
    สละนิพพานออกไปเสียอีกทีหนึ่ง ไม่ถือว่านิพพานเป็นของกู
    เป็นเพียงความว่างอย่างยิ่งของอารมณ์เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...