ข้อความจากต่างมิติ - ข้อมูลเกี่ยวกับมิติต่างๆ และ โลกคู่ขนาน-มิติคู่ขนาน และอื่นๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 29 เมษายน 2013.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต - Multiverse)

    ข้อมูลชุดนี้ได้มาจากเวปไซต์ของ ดร.Suzanne Lie
    ซึ่งมีอยู่หลายเวปไซต์ ซึ่งเดี๋ยวผมก็จะแปะลิงค์ต้นฉบับเอาไว้ให้ด้วย
    ทุกๆโพสต์ไป เท่าที่จะทำได้หนะนะครับ

    ดร.Suzanne คนนี้ ดูเหมือนเธอจะมีความสามารถด้านการ
    "ขยายความตระหนักรู้" ของเธอ ออกไปรับรู้มิติต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์
    และเธอก็สามารถติดต่อสื่อสารทางจิตกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของเธอได้ด้วย
    รวมถึง เธอยังสามารถติดต่อสื่อสารกับรูปธรรมชีวิตจากมิติสูงๆได้อีกหลายรูปธรรม

    ซึ่งรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติเหล่านี้แหละ ที่เป็นผู้สอนเธอ
    และให้ข้อมูลต่างๆแก่เธอมากมายก่ายกอง
    เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานมาแล้ว น่าจะราวๆ 10-20 ปีแล้วมั๊งครับ

    โดยส่วนตัวผมแล้ว เพราะความที่ได้อ่านและแปลข้อความแนวๆนี้มาแล้วหลายปี
    ก็เลยพอจะมีข้อมูลพื้นฐานด้านนี้อยู่บ้าง และพอได้มาอ่านข้อมูล
    จาก ดร.Suzanne คนนี้แล้ว จึงรู้สึกว่า มันแทบจะเหมือนกันกับ และตรงกันกับ
    ข้อมูลจากรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติทุกๆรูปธรรม
    ที่ผมเคยอ่านและแปลมาทุกอย่างเลยหละครับ

    เพียงแต่ว่าข้อมูลของ ดร.Suzanne คนนี้ จะมีรายละเอียดมากกว่า
    และเน้นเรื่องมิติต่างๆมากกว่า และก็ครอบคลุมกว้างไกลไปหลากหลายมิติมากกว่าด้วย

    แต่อย่างไรก็ตาม ทุกๆท่านก็ยังต้องใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลเช่นเคยนะครับ
    เพราะว่า อย่างที่ผมบอกมาตลอดนั่นแหละครับว่า
    ตัวผมเองก็ไม่อาจที่จะรับประกัน หรือพิสูจน์ความถูกต้องอะไรให้ท่านได้
    เพราะว่าผมก็แค่ไปอ่านของเขามา แล้วเอามาแปลให้ท่านได้อ่านด้วยเท่านั้นเองครับ

    .....................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2013
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อะไรคือความตระหนักรู้แบบหลากมิติ
    What is Multidimensional Consciousness?


    โดย: ดร. Suzanne Lie

    ที่มา: http://www.multidimensions.com/MDC/mdc_home.html



    นิยามศัพท์:

    1. Dimension (มิติ): คือสิ่งที่ใช้ในการจัดแบ่งระนาบแห่งการดำรงอยู่ทั้งหลาย ออกจากกัน
    โดยอาศัยความแตกต่างด้านความสั่นสะเทือนของพวกมัน ซึ่งแต่ละมิติก็จะมีกฎ (Laws)
    และเกณฑ์ (Principles) ต่างๆเป็นของมันเอง
    ซึ่งก็จะสอดคล้องพอเหมาะพอดีกับความสั่นสะเทือนของมิตินั้นๆด้วย


    2. Consciousness (จิตสำนึก/ความตระหนักรู้): หมายถึงความตระหนักและการรับรู้ (Awareness)
    สิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในแต่ละมิติ จะปฏิบัติการอย่างชัดเจน, ง่ายดาย และอย่างมีแรงต้านทานน้อยที่สุด
    เมื่ออยู่ในระนาบหรือมิตินั้นๆ เพราะว่าระดับความสั่นสะเทือนของจิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น
    จะสอดคล้องและเข้ากันได้พอดีกับระดับความสั่นสะเทือนของมิตินั้นๆนั่นเอง


    3. Multidimensional Consciousness (จิตสำนึก/ความตระหนักรู้แบบหลากมิติ):
    คือความสามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะรับรู้ได้มากกว่า 1 มิติ ซึ่งการที่จะทำให้ความตระหนักรู้ของเรา
    มีความเป็นหลากมิติแบบนี้ได้ เราก็จะต้องจดจำให้ได้ซะก่อนว่า ภายในตัวเราเองนี้
    มีศักยภาพในการขยายความตระหนักรู้ของเราออกไปสู่มิติเบื้องบนและสู่มิติเบื้องล่าง
    ของมิติทางกายภาพนี้ ได้อยู่แล้ว


    4. Unconscious (ไร้สำนึกรู้): หมายถึง การไม่มีสติสัมปชัญญะรับรู้ และไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วม
    กับสิ่งกระตุ้นภายใน และ/หรือ สิ่งกระตุ้นภายนอก ที่อยู่ในมิติที่ตัวเองดำรงอยู่ หรือที่อยู่ในมิติอื่นๆได้
    เช่น มนุษย์ที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่สามารถมีสติสัมปชัญญะรับรู้ถึงตัวตน
    ส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1, 2 และ 4 ของตัวเองได้ ดังนั้น สิ่งที่ไม่อาจตระหนักรู้ได้เหล่านั้น
    จะสามารถเข้าถึงได้ดีที่สุดก็ด้วยอาศัย สัญญาณหรือข้อความจากร่างกายเนื้อ,
    การรพินิจพิเคราะห์ภายในตัวเอง หรือวิปัสนา, ความฝัน และการทำสมาธิ เท่านั้น


    5. Conscious (สำนึกรู้): หมายถึงมีความตระหนักรู้ และสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ
    ที่อยู่ภายในมิติที่ตนเองดำรงอยู่ได้ เช่น ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 ของเรา
    จะมีสำนึกรู้ในสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
    ซึ่งก็คือ ผ่านทางการเห็น, การฟัง, การสัมผัส, การลิ้มรส, และการดมกลิ่น เป็นต้น


    6. Superconscious (จิตเหนือสำนึก): เป็นส่วนของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่อยู่สูงขึ้นไปอีก
    คืออยู่ในมิติที่ 5 เป็นต้นไป ซึ่งตัวตนส่วนที่อยู่ในมิติสูงๆเหล่านี้ จะสามารถรับรู้
    และสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับสิ่งกระตุ้นที่อยู่ในมิติที่ตัวเองดำรงอยู่ได้
    รวมถึงสามารถรับรู้และเข้าไปมีส่วนร่วมกับตัวตนส่วนที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่าทั้งหลายของตัวเองได้อีกด้วย
    ดังนั้น จิตเหนือสำนึก จึงเป็นส่วนที่มีความเป็นหลากมิติโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
    แต่ตัวตนที่เป็นส่วนที่อยู่ในมิติที่ 3 ก็สามารถที่จะมีสำนึกรับรู้ ถึงตัวตนที่เป็นจิตเหนือสำนึกของตัวเองได้ด้วย
    โดยอาศัยการทำสมาธิ, การสวดมนต์-อธิษฐานจิต, และโดยการยอมรับการโอบกอด
    จากจิตสำนึกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไป

    ………………….
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จิตสำนึกหรือความตระหนักรู้ในมิติต่างๆ

    โดย: ดร.Suzanne Lie
    ที่มา: http://www.multidimensions.com/MDC/mdc_1dim.html



    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 1
    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 1 นี้ จะเป็นการตระหนักรู้ใน “จุด” (point) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    ซึ่งความตระหนักรู้ที่สอดคล้องกับมิตินี้ก็ได้แก่วพวกที่อยู่ในอาณาจักรแร่ธาตุ (Mineral Kingdom) ทั้งหลาย

    ซึ่งก็อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า นักวิทยาศาสตร์ของโลกในมิติที่ 3 สมัยนี้ ยังไม่ให้การยอมรับว่า
    แร่ธาตุต่างๆ ก็มีความตระหนักรู้ด้วย แต่บรรดานักบำบัดทั้งหลาย และเหล่านักปราชญ์ทางจิตทั้งหลาย
    ต่างพากันใช้คริสตัล เพื่อเป็นเครื่องมือในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บ มาแล้วนานหลายศตวรรษ

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 ของมนุษย์ ก็คือส่วนที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรา
    “ไร้สำนึกรู้” (unconscious) หรือไม่อาจรับรู้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 นี้
    ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเนื้อของเราเองด้วย ซึ่งประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ, น้ำ, และรหัสทางพันธุกรรม
    ที่รวมกันขึ้นมาเป็นส่วนประกอบของร่างกายเนื้อของเรานี้ ถ้าเราสามารถเข้าถึง
    ความตระหนักรู้ในระดับนี้ของตัวเราเองได้ เราก็จะสามารถติดต่อสื่อสารกับ
    โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพได้ทั้งหมด โดยอาศัยลักษณะร่วมที่เหมือนๆกันมากที่สุดของพวกมัน
    ซึ่งก็คือแต่ละโมเลกุลของพวกมันนั่นเอง หรือบางทีเราอาจจะสามารถเข้าถึง
    รหัสทางพันธุกรรมของตัวเราเองได้ อย่างมีสติสัมปชัญญะด้วยซ้ำไป



    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 2

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 2 นี้ จะเป็นความตระหนักรู้ถึง “จุด” (point) และ “เส้น” (line)
    ซึ่งความตระหนักรู้ที่สั่นสะเทือนสอดคล้องอยู่ในมิตินี้ก็คือ สสารทางชีวภาพต่างๆ (biological matter)
    เช่น อาณาจักรพืช (Plant Kingdom) และอาณาจักรสัตว์ชั้นต่ำ
    (Lower Animal Kingdom) ด้วย จิตสำนึกที่อยู่ในมิตินี้ จะไม่มีความตระหนักรู้
    ถึงความเป็นตัวตนของตัวเอง (self-awareness) เพราะว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
    จะรับรู้แต่เพียงลักษณะเฉพาะของสปีชีส์ของตัวเอง และรับรู้แต่เพียงว่า ตัวเองจะต้องกิน,
    ต้องต่อสู้ และต้องสืบพันธุ์เท่านั้น ความตระหนักรู้ของพวกมันจะตั้งอยู่บนการทำให้ตัวเอง
    มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างเป็นปกติที่สุด และพวกมันก็จะดำรงชีวิตอยู่ แบบมีความตระหนักรู้
    อยู่ในปัจจุบันขณะนั้นๆเท่านั้น

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 2 นี้ของมนุษย์ จะมีศูนย์รวมอยู่ที่สมองส่วนล่าง
    ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System)
    ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำงานของอวัยวะภายใน ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกายเนื้อของเรา
    ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่สามารถรับรู้ถึงส่วนนี้ของตัวตนของเราได้ แต่ด้วยการฝึกฝน
    เช่น โดยใช้วิธีการสนองตอบทางชีวภาพ (Biofeedback) หรือโดยการทำสมาธิ
    เราก็อาจจะสามารถรับรู้และควบคุมการทำงานของส่วนนี้ได้ เหล่าโยคีทั้งหลาย
    รู้วิธีการที่จะทำให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติของตัวเองอย่างมีสติสัมปชัญญะได้
    และสามารถควบคุมการเต้นของหัวใจ และอัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolism)
    ของร่างกายของตัวเองได้ด้วย

    คนโบราณ มักจะมีความตระหนักรู้ถึงส่วนที่เป็น “สัตว์” ของร่างกายเนื้อของตัวเองส่วนนี้ ได้ดีกว่าคนยุคปัจจุบันมาก
    ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถเข้าถึงสัญชาตญาณพื้นฐานของตัวเองได้อย่างมีสติสัมปชัญญะ
    และพวกเขาก็สามารถตระหนักรู้ด้วยว่าพวกเขาคือส่วนย่อยส่วนหนึ่งของส่วนรวมทั้งหมด
    ซึ่งต่างจากคนสมัยนี้มาก เพราะว่าคนโบราณจะให้ความเคารพนับถือต่อทุกสรรพชีวิตเสมอ
    และให้ความสำคัญต่อสมดุลของธรรมชาติเสมอด้วย


    .....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2013
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จิตสำนึกหรือความตระหนักรู้ในมิติต่างๆ

    โดย: ดร.Suzanne Lie
    ที่มา: http://www.multidimensions.com/MDC/mdc_1dim.html


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 3


    จิตสำนึกในมิติที่ 3 คือความตระหนักรู้ในเรื่องของ จุด, ความกว้าง, ความยาว, ความสูง, และปริมาตร
    ซึ่งสิ่งมีชีวิตกลุ่มๆหลักๆที่มีจิตสำนึกอยู่ในมิตินี้ก็คือ สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์ และอาณาจักรมนุษย์
    สิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบเป็นมนุษย์ จะประกอบไปด้วยธาตุทุกๆชนิดที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 1 และ 2
    ซึ่งได้แก่ ธาตุน้ำ, แร่ธาตุต่างๆ, รหัสพันธุกรรม และสสารทางชีวภาพ และรวมถึงประกอบไปด้วย
    “จิตวิญญาณที่เป็นเอกเทศก์” (individual Soul) ด้วย ซึ่ง “จิตวิญญาณที่เป็นเอกเทศก์” นี้เอง
    ที่เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ออกจากกัน เพราะว่าสิ่งมีชีวิต
    ที่อยู่ในอาณาจักรสัตว์ทั้งหลาย จะมีจิตวิญญาณที่เป็น “จิตวิญญาณแบบหมู่” (Group Soul)

    มิติที่ 3 นี้จะถูกล็อกเอาไว้ในกฎของ “ช่องว่างและกาลเวลา”
    และอยู่ใน “กฎแห่งเหตุและผล” (Cause & Effect paradigm)
    มิติที่ 3 นี้คือห้องเรียนสำหรับการเรียนรู้ของ “จิตวิญญาณของเรา” (our Soul)
    ที่จะเข้ามาเรียนรู้โดยอาศัยการ “มาอยู่ในร่างกายเนื้อแบบมนุษย์” นี้

    ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับ “การสรรค์สร้าง” (Creation) นั่นเอง

    ในมิติที่ 3 นี้ ชีวิตจะสะท้อนให้เราได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากำลังแสวงหาความเข้าใจอยู่
    เพราะฉะนั้นแล้ว กระบวนการแห่งการสรรค์สร้าง โดยอาศัยพลังงานจากความคิด
    และ อารมณ์ความรู้สึกของเรา จึงต้องถูกทำให้ช้าลง เพื่อที่จะทำให้เราสามารถแกะรอย
    หรือเกาะติดสถานการณ์ได้ทัน ว่าเรากำลังมีอะไรอยู่ในจิตสำนึกของเราอยู่
    (หมายความว่า ปกติแล้วถ้าอยู่ในมิติที่สูงๆ เช่น ในมิติที่ 5 เป็นต้น กระบวนการสรรค์สร้างนี้
    จะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก คือ คิดอะไรปุ๊บ ก็จะเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาปั๊บในทันทีเลย
    แต่ว่าในมิติที่ 3 นี้ กระบวนการนี้ ถูกออกแบบให้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อให้เราเกาะติดสถานการณ์ได้ทัน
    ว่าในระดับจิตสำนึกของเราแล้ว เราคิดอะไรออกไป ซึ่งเป็นเหตุ แล้วมันไปก่อให้เกิดอะไรขึ้น
    ซึ่งเป็นผลสำเร็จกลับคืนมาหาเรา – ผู้แปล)

    มิติที่ 3 นี้ เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ “โลกแห่งจิตสำนึก” (the Conscious World)
    แต่อย่างไรก็ตาม ในจิตสำนึกของมนุษย์ด้วยกันเอง มันก็มีระดับขั้นอยู่หลายระดับขั้นเหมือนกัน
    ที่เหลื่อมล้ำสูงต่ำต่างกันอยู่ ซึ่งปกติแล้วระดับขั้นที่ว่านี้ก็มักจะตรงกันข้ามกับอายุขัย
    หรือ ช่วงชีวิต (Stage of Life) ของมนุษย์เอง


    ช่วงแรกของชีวิต

    ในช่วงแรกเริ่มนี้ เราจะเป็นเด็ก และเราก็จะต้องพึ่งพึงผู้อื่นเพื่อการอยู่รอดของตัวเราเองแต่เพียงอย่างเดียว
    ในระยะแห่งการพึ่งพานี้ เราจะไม่รู้เลยว่าในจิตสำนึกของเรานั้นมีเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
    ที่เรากำลังสร้างสรรค์มันขึ้นมาอยู่นี้อยู่เลย เราจะมีความเชื่อว่าเราไร้พลังอำนาจ
    ที่จะไปต่อกรกับสภาวะแวดล้อมทั้งหลาย และเราก็จะเชื่อว่าเราคือเหยื่อของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
    ดังนั้น มันจึงเป็นเป้าหมายของเราที่จะต้องทำให้ความตระหนักรู้ในตัวเองมีเพิ่มมากขึ้น
    เพื่อที่เมื่อเราโตขึ้นแล้ว เราจะได้เป็นเอกเทศเสียที


    ช่วงที่สองของชีวิต

    ในช่วงที่สองนี้ เราเป็นเอกเทศแล้ว ซึ่งความเป็นเอกเทศนี้ จะพัฒนาขึ้นเมื่อเราได้เรียนรู้ว่า
    เราสามารถควบคุมชีวิตของเราเองได้ ซึ่งโดยอาศัยทางเลือกและประสบการณ์ชีวิตของเรา
    เราจะเชื่อมั่นในความสามารถของเรา ว่าเราจะสามารถรับผิดชอบได้ และรักษาความรับผิดชอบนี้ไว้ได้
    เพราะว่าเราเคารพตัวเราเอง ซึ่งการเคารพตัวเราเองนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับความรู้สึกถึงพลังอำนาจในตัวเองของเราด้วย
    เพราะถ้าปราศจากพลังอำนาจในตัวเองแล้ว เราก็จะเต็มไปด้วยความกลัว และมันก็จะทำให้
    การรอดชีวิตของเรามีน้อยลงด้วย


    ช่วงที่สามของชีวิต

    ในช่วงที่สามของชีวิตนี้ พวกเราจะเชื่อถือได้ ซึ่งความเชื่อถือได้นี้จะค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
    เมื่อเรามีความเชื่อมั่นและมีความนับถือตัวเราเองมากขึ้น มากจนกระทั่งเราสามารถรับผิดชอบต่อคนอื่นได้
    และด้วยประสบการณ์ด้านบวก ก็จะทำให้เราเรียนรู้ว่าเรามีผลกระทบไม่เพียงเฉพาะแต่กับชีวิตของตัวเราเองเท่านั้น
    แต่เรายังมีผลกระทบต่อชีวิตของคนอื่นๆอีกด้วย และเพราะว่าความเคารพในตัวของเราเองนี้เอง
    จึงทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าเราเป็นคนที่เชื่อถือได้

    แต่โชคไม่ดีนัก ที่ผู้คนมักจะไปรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้อื่น ทั้งๆที่ชีวิตของพวกเขาเอง
    ยังอยู่ในช่วงแห่งการพึ่งพาผู้อื่นอยู่เลย หรือไม่ก็ยังอยู่ในช่วง ที่ยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบ
    ต่อตัวเองให้ได้ด้วยซ้ำไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ จะไปทำให้เกิดครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ขึ้น
    เจเนอเรชั่นแล้ว เจเนอเรชั่นเล่า


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่กำลังขยายตัวของมิติที่ 3

    ในฐานะมนุษย์ เรามีความสามารถที่จะจดจำอดีตและอนาคตได้ ในขณะที่ยังคงดำรงความตระหนักรู้อยู่ในปัจจุบัน
    แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองจำนวนมากมาย ที่ยังคงสูญหายไป
    ภายในขอบเขตของ “จิตไร้สำนึก” (unconscious mind) อยู่ ซึ่งการสูญเสียดังกล่าวนี้
    จะทิ้งความรู้สึกแบ่งแยกจากส่วนรวมเอาไว้ให้เรา ซึ่งมันเป็นความรู้สึกกลัวที่ว่า
    พวกเราถูกจำกัดความสามารถเอาไว้ ไม่ให้บรรลุความปราถนาต่างๆของตัวเราเองได้
    และเป็นความเชื่อที่ว่าเรามีงานหนักที่จะต้องทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายต่างๆของเรา

    สังคมและวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ มักจะพยายามค้นหาเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า
    โลกแห่งความเป็นจริงเพียงโลกเดียว ที่มีอยู่เป็นอยู่ ก็คือโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ
    ที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรานี้เท่านั้นเอง และพวกเขาก็โน้มน้าว
    ให้พวกเราเชื่อตามพวกเขาด้วยว่า สิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรานี้เท่านั้น ที่เป็นความจริง
    และเพราะว่าระดับความตระหนักรู้แบบนี้เอง ที่ทำให้เราไปเหมารวมเอาเรื่องของ “วิญญาณ” (Spirit)
    เข้าเป็นเรื่องเดียวกันกับสสาร และจิตสำนึกของเราก็เลยถูกจำกัดอยู่ภายใต้การครอบงำของ ego
    ดังนั้น จึงทำให้เรามีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า เรามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนา ego ของเราให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ
    จนมันทำให้เราสูญเสียความเป็นหมู่คณะของเราไป ข้อจำกัดแบบนี้ จะพบได้มากที่สุด
    โดยเฉพาะในแถบซีกโลกตะวันตก ที่ผู้คนจะให้ความสำคัญต่อความสำเร็จส่วนบุคคล
    และให้ความสำคัญต่อทรัพย์สมบัติมากกว่าสิ่งอื่นใด ในชีวิตของพวกเขา

    เราจะสามารถจดจำความตระหนักรู้ของ “วิญญาณของตัวเราเอง” (Spirit Self) ได้
    ก็ต่อเมื่อเราได้ขยายขอบเขตของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเราเอง ออกไปครอบคลุม
    ถึงมิติที่สูงๆกว่าได้แล้วเท่านั้น แล้วเมื่อนั้นเราก็จะสามารถปลดปล่อยภาวะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นของเราเองออกไปได้
    และสามารถเยียวยารักษา “ความรู้สึกว่าตัวเองไร้พลังอำนาจ” และ “ความรู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ”
    ของเราให้หายได้ แล้วจากนั้น พวกเราก็จะเป็นอิสระ และอยู่ในความรู้สึกแบบใหม่

    เพราะว่าพวกเราได้ตระหนักรู้แล้วว่า มีเพียงแต่ตัวเราเองเท่านั้น
    ที่เป็นผู้สร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริงของตัวเราเองขึ้นมาให้กับตัวเราเอง
    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราก็จะวางใจได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
    เพราะว่าพวกเราจะไม่ต้องถูกดักซุ่มโจมตีและปล้นเอาคำมั่นสัญญาและเป้าหมายในชีวิตของตัวเราเองไป
    โดยการกระทำที่เป็นบ่อนทำลายตัวเอง ของตัวเราเอง ที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัวอีกต่อไปแล้ว

    เมื่อใดที่พวกเราสามารถตระหนักรู้ถึงส่วนต่างๆของความเป็นตัวตนของเราเอง ซึ่งมีอยู่มากมาย
    และเคยถูกลืมเลือนไปแล้วนั้น ได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา
    ก็จะขยายตัวออกไป ครอบคลุมกว้างไกลเกินของเขตของโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ของเรา
    และเกินขอบเขตของ ego ของเราด้วย

    และเมื่อใดที่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 3 ของเรา” ขยายขอบเขตจาก
    “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้แบบปัจเจกบุคคล” ไปสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้แบบหมู่” ได้แล้ว
    มันก็จะขยายตัวต่อไปสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับชุมชน”
    และจะขยายตัวต่อไปสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับประเทศ”
    และจะขยายตัวต่อไปสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้มวลรวมของคนทั้งโลก”
    และจะขยายตัวต่อไปสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้มวลรวมของโลกทั้งโลก”
    และจะขยายตัวต่อไปสู่ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับกาแล็กซี่”
    ซึ่งเมื่อใดที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเราขยายตัวออกไปเช่นนี้แล้ว
    คำจำกัดความของโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ก็จะขยายตัวตามไปด้วย

    ............................
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จิตสำนึกหรือความตระหนักรู้ในมิติต่างๆ

    โดย: ดร.Suzanne Lie
    ที่มา: http://www.multidimensions.com/MDC/mdc_1dim.html


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 4

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจาก MultiDimensions with Suzan Caroll)

    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 4 คือความตระหนักรู้ใน จุด, ความกว้าง, ความยาว, ความสูง,
    ปริมาตร และกาลเวลา มิติที่ 4 คือมิติที่รู้จักกันในนามของ “โลกทิพย์ หรือ ปรโลก” (Astral Plane)
    และกลุ่มของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้หลักที่อยู่ในมิตินี้ ก็คือ “กายทิพย์” (Astral Body)
    หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า “มนุษย์ชั้นสูง” (Higher Human) เพราะว่าระดับคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่ 4
    จะสูงกว่าของมิติที่ 3 ดังนั้นกายทิพย์ ซึ่งอยู่ในมิติที่มีความสั่นสะเทือนสูงกว่าแบบนี้
    จึงมีความตระหนักรู้ถึงอดีต, ปัจจุบัน, และอนาคต ในรูปแบบที่แตกต่างจากเรา
    คือเป็นแบบที่เลื่อนไหลและยืดหยุ่นได้ เพราะว่ากฎแห่งกาลเวลาและช่องว่างในมิตินี้แตกต่างจากของเรา

    ในมิติที่ 4 เราสามารถที่จะผนวกรวมเข้ากับตัวตนอื่นๆของเราได้ ในลักษณะเป็นกลุ่มของตัวตน
    โดยไม่ทำให้เราสูญเสีย ego ส่วนตัวของเราไปเลย เพราะว่ามิตินี้เป็นมิติสุดท้าย
    ที่จำเป็นจะต้องมียานพาหนะทางกายภาพเอาไว้เพื่อห่อหุ้มจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ส่วนบุคคลเอาไว้

    แต่อย่างไรก็ตาม เพราะความที่ธรรมชาติของช่องว่างและกาลเวลาของมิตินี้
    มีลักษณะเลื่อนไหลและยืดหยุ่นได้ จึงทำให้กายทิพย์ของเรา
    สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง/รูปแบบได้โดยธรรมชาติเช่นเดียวกัน

    ดังนั้น ในมิตินี้รูปกายจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว มันคือมิติแห่งการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
    หรือมิติของนักแปลงร่าง (Shape Shifter) ที่นิยายเทพปกรณัมกล่าวขวัญถึง

    นักปราชญ์ทางจิต หรือ ผู้วิเศษท่านใดก็ตาม ที่สามารถแปลงร่างได้
    ก็เพราะได้เรียนรู้ที่จะตรึงกายทิพย์ของตัวเองไว้ในมิติที่ 3 อย่างสมบูรณ์แบบ
    ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายเนื้อที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของพวกเขาเองได้


    หลายส่วนของชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของพวกเรา ก็ไปอยู่ในมิติที่ 4 ด้วย
    แต่อยู่ในรูปแบบที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่า
    และพวกเราก็ไม่สามารถตระหนักรู้ถึงมันได้ด้วย เพราะว่าความเป็นไปในมิติที่ 4 นั้น
    มันไม่ได้เป็นไปตามกฎของช่องว่างและกาลเวลาของมิติที่ 3 ของเรา

    ดังนั้น เราอาจจะฝันถึงชีวิตทั้งชีวิตของเราเองใน 1 ชาติภพ แล้วตื่นขึ้นมา
    และพบว่าเวลาในมิติที่ 3 ของเรา เพิ่งผ่านไปแค่ 5 นาทีเท่านั้นเองก็เป็นได้

    โลกแห่งความเป็นจริงในมิติทิพย์ของพวกเรา และรวมถึงโลกแห่งความเป็นจริง
    ในมิติที่ 3 ในชาติภพอื่นๆของเรา จะไม่สามารถรับรู้ได้ ด้วยตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของเรา
    จนกว่าเราจะสามารถจดจำ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้หลากมิติ” ของเราเองให้ได้ซะก่อนเท่านั้น

    มิติที่ 4 เป็นมิติที่เก็บรักษาความตระหนักรู้ในส่วนที่อยู่ในมิติที่ 1 และ 2 ของร่างกายเนื้อของเราเอาไว้
    และรวมถึงเป็นที่เก็บรักษาประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาของเราทั้งในภพชาตินี้
    และในภพชาติอื่นๆเอาไว้ทั้งหมด เราสามารถที่จะขยายความตระหนักรู้ในมิติที่ 3 ของเรา
    เข้าไปสู่มิติที่ 4 ได้ โดยการเพิ่มความตระหนักรู้ หรือสติสัมปชัญญะ ให้กับกายเนื้อของเรา
    ผ่านทางการฝึกจิต, ผ่านทางการจดจำความฝัน, และผ่านทางการมีประสบการณ์ที่เข้มข้น
    ของความชอบ (หรือความปิติสุข - ผู้แปล), ของอารมณ์, ของความคิดสร้างสรรค์,
    และ/หรือของจิตวิญญาณ

    โลกทิพย์ (Astral Plane) นี้ คือมิติแห่งความฝัน ในเวลาที่เรานอนหลับ
    พวกเราจะไม่มีสติสัมปชัญญะรับรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3
    แต่พวกเราจะไปมีสติสัมปชัญญะรับรู้อยู่ในมิติที่ 4 แทน

    กายทิพย์ที่อยู่ในมิติที่ 4 ของเรา คือที่ๆมีความฝัน,
    จินตนาการ, พลังจิต, ญาณทัศนะ,
    อิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์, และความคิดสร้างสรรค์ชั้นเลิศบรรจุอยู่

    ดังนั้น ถ้าเราสามารถขยายขอบเขตของจิตใจของเรา
    ให้เข้าไปสู่คลื่นความถี่ของมิติที่ 4 ได้มากเท่าไหร่
    เราก็จะสามารถมีประสบการณ์กับคุณลักษณะเหล่านี้
    ได้มากขึ้นด้วยเท่านั้น ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเนื้อนี้


    คนบางคน ก็เกิดมาพร้อมกับมีความสามารถในการเชื่อมโยงกับตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของตัวเองได้
    และจึงจำเป็นจะต้องฝึกฝน เพื่อตรึงความตระหนักรู้/จิตสำนึกของตัวเอง เอาไว้ให้อยู่ในโลกของมิติที่ 3 นี้ให้ได้
    ซึ่งพวกเขาก็มักจะรู้สึกแปลกแยก และรู้สึกว่าโลกนี้ชั่วร้าย

    แต่คนบางคน ก็เกิดมาโดยไม่มีความตระหนักรู้ถึงความเชื่อมโยงนี้อยู่เลย
    และดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกสะดวกสบายกว่าคนกลุ่มแรก และรู้สึกว่าการอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้
    คือการอยู่ที่บ้านของพวกเขาเอง แต่ว่าคนกลุ่มหลังนี้ มักจะรู้สึกถึงการตัดขาดจากตัวตน
    ส่วนที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย ของพวกเขาเอง และหลายๆคนก็ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่า
    พวกเขามี “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” ดำรงอยู่ด้วย

    แต่ไม่ว่าใครจะเชื่อว่าอย่างไรก็ตาม กายทิพย์ของเราก็มีอยู่จริง
    และความสั่นสะเทือนสูงสุดของมันก็คือ “เทพผู้นำทาง ทางจิตวิญญาณ”
    (Spiritual Guidance) ของเราเอง

    มันจะเหมือนกับการที่เมื่อเราอยู่บนยอดเขา เราก็จะสามารถมองลงมาและสังเกตการณ์
    และชี้นำทางให้กับผู้ที่อยู่ข้างล่างได้ กายทิพย์ของเราเองก็เช่นเดียวกัน
    ก็สามารถสังเกตการณ์ดูพวกเรา ผู้ที่กำลังอยู่ในมิติที่ 3 นี้ได้เช่นเดียวกัน
    และก็สามารถที่จะให้คำชี้แนะพวกเราได้เช่นเดียวกันด้วย

    และด้วยอาศัยความรู้ความเข้าใจที่มากกว่า ของตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของเรานี้เอง
    เราก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
    ให้เกิดขึ้นในโลกทางกายภาพของเราเองได้

    แต่อย่างไรก็ตาม มิติที่ 4 ก็ยังเป็นมิติที่มีความเป็นขั้วระหว่างแสงสว่างและความมืดอยู่
    และในมิตินี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกๆที่จะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเสมอไป
    โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นระนาบย่อยส่วนล่างของมัน

    ในมิติที่ 4 นี้ ความคิด และ อารมณ์ความรู้สึก
    จะไปสร้างให้เกิดโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
    ซึ่งเร็วกว่าเมื่ออยู่ในมิติที่ 3 อย่างมาก


    เพราะฉะนั้นแล้ว “ความกลัว” จึงสามารถที่จะไปสร้างให้เกิด “ปีศาจ”
    ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย พอๆกับที่ “ความรัก”
    จะไปสร้าง “ความสวยสดงดงาม” และ “ความสุขสำราญ”
    ให้เกิดขึ้นมาได้อย่างง่ายดายนั่นแหละ



    ระนาบย่อยของมิติที่ 4

    ในมิติที่ 4 นี้จะมีระนาบย่อยๆอยู่หลายระนาบ ซึ่งมีระดับคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน
    และพวกเราก็สามารถเข้าถึงได้โดยการขยายความตระหนักรู้ของเราออกไป


    โลกทิพย์ส่วนล่าง (the Lower Astral Plane) จะแผ่ปกคลุมไปด้วยพลังงานแห่งความกลัวทุกๆชนิด
    ที่มองไม่เห็น และเต็มไปด้วยพลังงานด้านลบต่างๆทุกๆชนิด
    ที่ถูกฉายออกมาจากมิติทางกายภาพ หรือมิติที่ 3
    โลกทิพย์ชั้นล่างนี้ เป็นที่รู้จักกันในนามของ “นรก”
    ซึ่งมีสถานที่ล้างบาปของผู้ตาย (Purgatory) อยู่ในนั้น


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมิติที่ 4 นี้ จะดึงดูดเอาอารมณ์ความรู้สึกของมิติที่ 3 เข้าไป
    และจะไปทำให้อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นขยายตัวมากขึ้นด้วย ดังนั้น มันจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ
    “มิติแห่งอารมณ์” อีกด้วย โลกทิพย์ชั้นล่างนี้ เป็นที่ๆเก็บอารมณ์ความรู้สึกด้านลบทั้งหมด
    ของมิติที่ 3 เอาไว้ ดังนั้น มันจึงเป็นที่ๆไม่น่าอยู่เอาซะเลย ดังนั้น เราจึงจะต้องเดินทางผ่านมันไปให้เร็วที่สุด
    เพื่อขึ้นไปสู่ระนาบย่อยที่สูงๆกว่าขึ้นไปอีก เช่น ระนาบแห่ง Faerie เป็นต้น

    ดินแดนแห่งเทพนิยาย (the Land of Faerie) ที่เราเคยได้อ่านกันมาแล้ว
    ในหนังสือ “นิยายเทพปกรณัม” ทั้งหลาย เมื่อสมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้น
    จริงๆแล้ว มันมีอยู่จริงๆ มันอยู่ที่ส่วนกลางของมิติที่ 4


    ซึ่ง Faerie นี้ จะแสดงออกมาในรูปแบบของการทุเลาเบาบางลง
    หลังจากที่เราได้เร่งเดินหน้าไปบนเส้นทางของเรา เพื่อทะลุผ่านความกลัวและความมืดมิด
    แห่งโลกทิพย์ส่วนล่างไปได้แล้ว และหลังจากที่เราเจอกับ Faerie แล้ว
    เราก็จะสามารถเดินทางเข้าไปในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 4 ของเราเองได้
    (หรือที่เรียกว่า “กายทิพย์ในมิติที่ 4” ของเรา) เพื่อเข้าไปใน “ระนาบแห่งอารมณ์”
    (the Emotional Plane) หรือที่รู้จักกันในนามของ “โลกทิพย์” ต่อไป
    เพื่อไปเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง

    และจากที่นั่น เราก็จะสามารถท่องไปใน “ระนาบแห่งความคิด” (the Mental Plane)
    เพื่อไปเรียนรู้วิธีการควบคุมความคิดของเราเองต่อไป

    ส่วนใน “ระนาบแห่งเหตุและผล” (the Causal Plane) หรือที่เป็นที่รู้จักกันในนามของ
    “ระนาบแห่งความคิดชั้นสูง” (the Higher Mental Plane) เราก็จะสามารถเรียนรู้
    กฎของเหตุและผลได้ว่า กระแสความคิดของเรา และอารมณ์ความรู้สึกของเรา
    จะไปสร้างให้เกิดโลกแห่งความเป็นจริงของเราเองขึ้นมาได้อย่างไรบ้าง

    ส่วนใน “ระนาบแห่งวิญญาณ” (the Spiritual Plane) จะเป็นจุดที่เชื่อมต่อตัวเรา
    ให้เข้ากับผู้นำทางชั้นสูงกว่าขึ้นไปอีกของเรา ที่เราเรียกว่า “I AM Presence”

    (ปล.”กฎแห่งเหตุและผล” โดยส่วนตัวผม ผมจะเข้าใจว่ามันคืออันเดียวกันกับ “กฎแห่งกรรม” นะครับ – ผู้แปล)

    ข้างล่างนี้คือหนึ่งในแผนผัง (เพราะว่ามันมีหลายแผนผัง) เกี่ยวกับระนาบย่อยต่างๆ
    ของมิติที่ 4 นี้ ซึ่งจะเรียงลำดับจากระนาบที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงสุด
    ไปหาระนาบที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่ำสุด

    1. The Causal/Spiritual Plane: เพื่อเรียนรู้กฎแห่งเหตุและผล และคำแนะนำด้านจิตวิญญาณ

    2. The Mental Plane: เพื่อเรียนรู้การควบคุมความคิดของเราเอง

    3. The Astral/Emotional Plane: เพื่อเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ของเราเอง

    4. The Land of Faerie: เป็นส่วนที่เหลื่อมซ้อนอยู่ระหว่างระนาบแห่งอารมณ์,
    ระนาบแห่งจิตใจ และระนาบแห่งเหตุและผล

    5. The Lower Astral Plane: เพื่อเรียนรู้การควบคุมด้านมืดของตัวเราเอง
    เช่น ความกลัว และอารมณ์ด้านลบทั้งหลาย

    6. The Etheric Plane: เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมิติที่ 3 กับมิติที่ 4


    มิติที่ 4 นี้ จะเป็นเหมือนกับสายน้ำ และเป็นตัวเชื่อมต่อเข้าไปในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย
    ซึ่งฐานของจุดเชื่อมต่อที่ว่านี้ก็จะเป็นจุดที่กายเนื้อกับกายทิพย์มาเหลื่อมซ้อนกัน
    ซึ่งพื้นที่ๆเกิดการเหลื่อมซ้อนกันนี้ เรียกว่า “กายแห่งพลังชีวิต” (Etheric Body)

    “กายแห่งพลังชีวิต” (Etheric Body) คือกายที่มีระดับความสั่นสะเทือนอยู่ระหว่างมิติที่ 3 และ 4
    กายๆนี้จะทำหน้าที่ห่อหุ้มร่างกายเนื้อเอาไว้ แต่จะขยายออกมาจากกายเนื้อราวๆ 2 – 3 นิ้ว


    ร่างกายในมิติที่ 4


    ในแต่ละระนาบย่อยของมิติที่ 4 ก็จะมีร่างกายของมันเองอยู่ ซึ่งกายแต่ละกายนี้
    ก็จะมีระดับความสั่นสะเทือนสูงมากขึ้นเป็นลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ


    "กายแห่งอารมณ์" (the Emotional Body) หรือที่รู้จักกันในนามของ
    "กายทิพย์" (Astral Body) นั้น จะมีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่า "กายแห่งพลังชีวิต"
    (the Etheric Body) และสูงกว่าร่างกายเนื้อด้วย และกายแห่งอารมณ์นี้
    ก็จะขยายออกมาครอบคลุมกายทั้ง 2 กายนี้ไว้ด้วย


    "กายแห่งจิตใจ" (the Mental Body)
    คือกายที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่าขึ้นไปอีก และซ้อนทับอยู่กับกายอื่นๆ
    ที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่ำกว่าทั้งหลาย ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว
    และมันก็แผ่ขยายออกมากว้างกว่าและครอบคลุมกายแห่งอารมณ์เอาไว้


    "กายแห่งเหตุและผล" (the Causal Body)
    เป็นกายที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่าขึ้นไปอีก และซ้อนเหลื่อมกันอยู่กับกายอื่นๆ
    แต่จะขยายออกมากว้างไกลกว่า และครอบคลุมกายแห่งจิตใจเอาไว้


    สุดท้าย "กายแห่งวิญญาณ" (the Spiritual Body) หรือ I AM Present
    คือกายที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงที่สุด และขยายตัวออกมากว้างไกลมากที่สุด
    กว่าทุกๆกาย ซึ่ง I AM Present ที่ว่านี้คือผู้พิทักษ์ “สะพานสายรุ้ง” (the Rainbow Bridge)
    เอาไว้ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างมิติที่ 4 กับมิติที่ 5

    กายทุกๆกายของมิติที่ 4 จะดำรงอยู่ทั้ง บน และ ล่าง และ รอบๆ และ ซ้อนอยู่ในร่างกายเนื้อของเรา
    แต่เราไม่สามารถที่จะมองเห็นพวกมันได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรา
    ซึ่งถ้าเราสามารถสัมผัสรู้ถึงมิติที่ 4 ได้อย่างมีสติสัมปชัญญะหละก็
    พวกเราก็จะสามารถขยายความตระหนักรู้ของเราออกไป จนมากพอที่จะสามารถข้ามสะพานสายรุ้ง
    เข้าไปสู่ “จิตเหนือสำนึก” (Superconscious Mind) ของเราเอง ที่อยู่ในมิติที่ 5 ได้

    พวกเราจะท่องเข้าไปในมิติที่ 4 หรือท่องผ่านมิติที่ 4 ไปได้ โดยอาศัย ความปราถนา, ความคิด
    และอารมณ์ความรู้สึกของเราเอง ซึ่งมันก็จะเหมือนกันกับที่เรากำลังแล่นเรือข้ามผ่านมหาสมุทรไป
    ซึ่งในที่นี้ตัวเราเองก็คือเรือ และมหาสมุทรก็คือมิติที่ 4 หรือ โลกทิพย์
    และสถานที่ๆเราต้องการจะไปนั้น ก็คือความปราถนาของเราเอง
    ส่วนความคิดของเราก็คือใบเรือและหางเสือ ส่วนลมในมหาสมุทรที่จะพัดพาเรือไปนั้น
    ก็คืออารมณ์ของเราเอง

    ถ้าอารมณ์ความรู้สึกของเราเต็มไปด้วยความกลัว และความสับสนว้าวุ่นใจ
    เราก็จะล่องเรือไปได้อย่างไม่สะดวกสบายนัก ถึงแม้ว่าความปราถนาของเรา
    จะคือระนาบที่สูงกว่าขึ้นไปอีกของมิติที่ 4 ก็ตาม แต่เพราะความที่เรายังอยู่ในสภาวะ
    ที่ขาดสมดุลอยู่ จึงทำให้เราเดินทางไปได้แค่ “ชั้นล่างของโลกทิพย์” (the Lower Astral Plane) เท่านั้น
    ซึ่งเป็นที่ๆถูกปกคลุมไปด้วยความกลัว เพราะการขาดความสมดุลด้านอารมณ์
    ดังนั้น ถ้าเราปราถนาที่จะท่องเข้าไปในระนาบที่สูงกว่าของมิติที่ 4 นี้ เราก็จะต้องรักษาความคิดของเรา
    ให้อยู่แต่ในความสอดคล้องกลมกลืน และรักษาอารมณ์ความรู้สึกของเรา ให้จดจ่อมั่นคง
    อยู่ในความสมดุลแห่งรักเท่านั้น

    ซึ่งด้วยวิธีการนี้ ในท้ายที่สุดแล้ว ก็จะทำให้เราสามารถท่องเข้าไปในระนาบทุกๆระนาบของมิติที่ 4 ได้
    แล้วจากนั้น I AM Present ของเราเอง ก็จะนำพาเราข้ามสะพานสายรุ้งเข้าไปในมิติที่ 5
    และมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปอีกต่อไปเอง

    ...........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2013
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ประสบการณ์การไปเยือนโลกทิพย์ชั้นล่าง
    (A Visit to the Lower Astral)


    โดย: ดร.Suzanne Lie
    (แปลมาเพียงบางส่วน)
    ที่มา: Unconscious - The First Root Chakra



    มิติที่ 3 และ 4 จะมีความเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันอยู่
    เหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆในมิติที่ 3 จะไปส่งผลกระทบต่อมิติที่ 4 ด้วย
    และในทางกลับกัน เหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆในมิติที่ 4 ก็จะย้อนกลับมา
    มีผลกระทบต่อมิติที่ 3 ได้ด้วยเช่นกัน เพราะว่าทั้งสองมิตินี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่

    ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ที่อยู่ในมิติทางกายภาพอย่างพวกเรานี้ จะไม่สามารถรับรู้
    ถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในมิติที่ 3
    จะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอยู่ในมิติที่ 4 เหมือนดั่งเป็นเสียงสะท้อน

    ซึ่งเสียงสะท้อนดังกล่าวนี้ จะสะท้อนสะเทือนต่อเนื่องไปเรื่อยๆอยู่ในระหว่างสองมิตินี้
    ซึ่งมันก็จะกลายไปเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้รูปแบบของความเป็นจริง
    หรือความเป็นไปนั้นๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อไปเรื่อยๆ

    เช่น ถ้ารูปแบบแห่งความเป็นไปนั้นๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มันก็จะช่วยให้เรายอมรับเอา
    “จิตวิญญาณของเราเอง” ให้เข้ามาอยู่ในร่างกายเนื้อของเราได้ แต่ถ้ารูปแบบแห่งความเป็นไปนั้นๆ
    เต็มไปด้วยความกลัว มันก็จะฉุดรั้งเราให้อยู่แต่ในวังวนของพลังงานด้านลบ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งวิธีการที่จะทำให้วัฏจักรนี้หยุดลงได้ก็คือ “ความกลัว” ดังกล่าวนั้น
    จะต้องถูกเยียวยาด้วย “ความรัก”

    โลกทิพย์ชั้นล่างนี้ คือส่วนที่มีระดับคลื่นความสั่นสะเทือนต่ำที่สุดของมิติที่ 4
    ซึ่งแผ่ปกคลุมไปด้วยพลังงานแห่งความกลัวทุกๆชนิดที่มองไม่เห็น
    และเต็มไปด้วยพลังงานด้านลบต่างๆทุกๆชนิด ที่ถูกฉายออกมาจากมิติทางกายภาพ หรือมิติที่ 3

    โลกทิพย์ชั้นล่างนี้ เป็นที่รู้จักกันในนามของ “นรก” แต่ว่ามันคือนรกที่พวกเราพากันสร้างกันขึ้นมาเอง
    เพราะว่ามันก็คือผลพวงของการกระทำที่ได้ถูกกระทำลงไปแล้วในมิติที่สามของพวกเรานั่นเอง

    โลกทิพย์ชั้นล่างนี้ คือที่ๆความกลัวทุกๆชนิด, ความโกรธทุกๆชนิด, ความโศกเศร้าเสียใจทุกๆชนิด
    และความเจ็บปวดทุกๆชนิด ที่ถูกสร้างขึ้นมาในมิติที่ 3 หรือที่ยังไม่ได้ถูกเยียวยารักษา
    ในภพชาติที่เรายังอยู่ในมิติที่ 3 มารวมกันอยู่ เพื่อรอให้พวกเรามาชำระสะสางพวกมัน
    ให้หมดสิ้นไป ในมิติต่อไป

    โลกทิพย์ชั้นล่างนี้ จะทำหน้าที่เหมือนเป็นที่ทิ้งขยะของเอกภพ
    เพราะว่าพลังงานแห่งความกลัวทุกๆหน่วย ของผู้คนที่มีอยู่ ในขณะที่พวกเขา “ตาย” ไป
    จากโลกในมิติที่ 3 นั้น จะไปฝังตัวอยู่ในส่วนที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่ำที่สุดของมิติที่ 4
    และพลังงานแห่งความกลัวนี้เอง ก็จะย้อนกลับไปส่งผลกระทบต่อมิติที่ 3 อีกทีหนึ่ง

    ก่อนที่เราจะสามารถนำเอา “จิตวิญญาณ” ของตัวเราเอง ให้เข้ามาอยู่ในร่างกายเนื้อของเราได้
    เพื่อให้มันช่วยเปลี่ยนสภาพของร่างกายเนื้อของเรา ให้กลายไปเป็น
    “กายแห่งแสงสว่าง หรือกายทิพย์” (Lightbody) ได้นั้น
    เราก็จะต้องเผชิญหน้ากับพลังงานแห่งความมืดมิดทั้งหลาย
    ที่เราได้ทิ้งเอาไว้ในโลกทิพย์ชั้นล่างซะก่อน แล้วก็ชำระสะสางให้มันหมดไปซะ
    ด้วยพลังงานแห่งความรักของเรา

    ซึ่งเมื่อใดที่เราทำได้เช่นนั้นแล้ว อุโมงค์แห่งแสงสว่างก็จะถูกสร้างขึ้น
    ซึ่งจะทอดทะลุผ่านความหนาแน่นทึบตันของมิตินี้ไป
    ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงตัวตนที่สูงส่งกว่าของเราเองได้สะดวกขึ้น
    และการชำระสะสางพลังงานของเราเองที่อยู่ในโลกทิพย์ชั้นล่างนี้
    ก็จะช่วยให้เราสามารถปลดปล่อย “ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด” ของเราไปได้ด้วย
    ซึ่งมันก็คือ “ความรู้สึกละอายใจ” (Shame) นั่นเอง


    .............................................................
    หมายเหตุ

    (ปล.ในนัยยะของข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย จะต่างจากทางพุทธนะครับ
    ที่ทางพุทธเราจะสอนให้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
    แต่ในข้อความจากต่างมิติแล้ว แม้แต่ความเกรงกลัว และ ความละอายทั้งหลายแหล่เหล่านี้
    ก็จะต้องปลดปล่อยออกไปจากใจของเราให้หมด ไม่ให้ยึดเอาไว้เลย
    เพื่อจิตวิญญาณของเราจะได้เป็นอิสระจากพันธนาการของพลังงานด้านลบใดๆทั้งมวล – ผู้แปล)


    พอดีมีพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รู้ทางด้านการปฏิบัติแนวพุทธของเรา
    และท่านก็ปฏิบัติจนรู้เห็นมากกว่าผมเยอะ ดังนั้นท่านจึงได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า


    "ความจริงแล้ว ทางพุทธก็มิได้ต่างกันเลย...จิตเมื่อถึงระดับอุเบกขาแล้ว
    ก็ปล่อย...หลุดหมด...เพราะจิตระดับนั้น ทุกขณะมันเป็นอัตโนมัติไปแล้ว
    ...หิริ-โอตะปะ ก็ได้รับอิสระไปด้วยเช่นกัน...พ้นเลย..."


    ขอขอบพระคุณมากนะครับ ที่ได้ให้ความกระจ่างแก่พวกเรา
    เพราะลำพังผู้ที่ยังปฏิบัติไม่ถึงอย่างผม และ อาจจะมีท่านอื่นๆด้วย
    ก็อาจจะงง ในสิ่งที่ข้อความจากต่างมิตินี้กล่าวไว้ และในสิ่งที่พุทธเราสอน
    จึงอาจจะหลงเข้าใจไปว่า มันต่างกัน..แต่แท้ที่จริงแล้ว..มันไม่ต่างกันเลย

    .......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จิตสำนึกหรือความตระหนักรู้ในมิติต่างๆ

    โดย: ดร.Suzanne Lie
    ที่มา: http://www.multidimensions.com/MDC/mdc_1dim.html



    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 5


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ในมิติที่ 5 คือความตระหนักรู้ถึง ความกว้าง, ความยาว,
    ความสูง, กาลเวลา, และ วิญญาณ (Spirit) ทุกๆชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 5 นี้
    จะดำรงอยู่ใน “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้แบบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของวิญญาณ”
    (the Unity consciousness of Spirit) แต่ทว่าพวกเขา ก็จะยังคงมีประสบการณ์
    แห่งความเป็นตัวตนเฉพาะของตัวเองอยู่ ว่า “ฉัน” คือหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มๆนี้


    ในมิตินี้ช่องว่างและกาลเวลาจะไม่มีผลกระทบต่อความตระหนักรู้ของที่นี่
    และมันก็จะไม่มีมายาการของ “การแบ่งแยก” หรือ “ข้อจำกัด” อยู่ในมิตินี้ด้วย
    แต่พวกเขาจะมีแต่ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน
    กับพระเจ้า/กับพระแม่เจ้า/กับ All That Is อยู่ตลอดเวลาเท่านั้น


    จิตสำนึก/ความตระหนักรู้หลัก ที่ดำรงอยู่ในมิตินี้ ก็คือเหล่ารูปธรรมชีวิตแห่งดวงดาวทั้งหลาย
    ที่ไม่มีเพศ และอยู่ในรูปแบบของ "กายแห่งแสงสว่าง" (Light Body) ล้วนๆ


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ซึ่งกายแห่งแสงสว่างที่ว่านี้ ก็คือร่างกายที่มีองค์ประกอบหลักเป็นแสงสว่าง
    แทนที่จะเป็นคาร์บอนแบบร่างกายเนื้อของเรา และกายแห่งแสงสว่างของเราเหล่านี้
    ก็มีความตระหนักรู้ถึงตัวตนที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าทั้งหมด ของเราเองด้วย
    โดยไม่มีข้อจำกัดทางด้านกายภาพใดๆทั้งสิ้น

    รูปธรรมชีวิตเหล่านี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ความเจ็บปวด
    เพื่อเป็นบทเรียนของชีวิตอีกต่อไปแล้ว
    เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องได้รับการปกป้อง
    และไม่จำเป็นจะต้องมีสัญญาณเตือนภัยใดๆทั้งสิ้น
    เหมือนอย่างที่ร่างกายเนื้อของเราต้องมี

    ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของเรา จะผนวกรวมเอาบทเรียนชีวิตทั้งหมด
    ของตัวตนที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าของตัวเองทั้งหมด ทุกๆตัวตน
    ที่กำลังพากันลงมาเรียนรู้อยู่ใน “โรงเรียนแห่งโลก” อยู่นี้
    มาเป็นของตัวเอง


    และเพราะฉะนั้นแล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยความทุกข์
    แบบที่โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพของเรามีนี้
    เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับการเรียนรู้เลย


    ทุกๆการกระทำของมิตินี้ จะมีพื้นฐานมาจาก “ความรัก” เท่านั้น
    เพราะว่า..ก็เหมือนกับการที่..ใบไม้แห้ง ไม่อาจที่จะทนทาน
    ต่อความสั่นสะเทือนที่สูงกว่าของไฟได้ฉันใด
    ความกลัว ก็มิอาจที่จะรอดชีวิตอยู่ได้ ในระดับความสั่นสะเทือนที่สูงกว่า
    ของมิติที่ 5 ได้ฉันนั้นเหมือนกัน

    ดังนั้น ถ้าในระหว่างที่เราอยู่ในมิติที่ 5 แล้วเราเกิดรู้สึกถึงความกลัวขึ้นมาหละก็
    ระดับความสั่นสะเทือนของเราก็จะลดต่ำลงไปทันที และจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา
    ก็จะถูกดึงให้ตกลงมา สู่ระนาบย่อยชั้นล่างของมิติที่ 5 ในทันทีด้วย
    เพราะว่า จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา จะต้องทรงอยู่ใน “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข”
    (Unconditional Love) ของมิติที่ 5 เท่านั้น เราถึงจะสามารถรักษาสภาพการเชื่อมต่อ
    กับวิญญาณของตัวเราเองได้อย่างมีสติสัมปชัญญะ

    ในมิติที่ 5 นี้ ประสบการณ์, การสรรสร้าง,และการเดินทาง
    จะเป็นไปอย่างสอดประสานกลมกลืนกัน กับพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์
    ของพระเจ้า (God/Goddess/All That Is) เสมอ

    และทุกๆชีวิต, ทุกๆสถานที่, ทุกๆสถานการณ์, หรือทุกๆตำแหน่งแห่งหน
    ที่เราปราถนาที่จะไป/จะมี/จะเป็น จะบังเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด
    ซึ่งถ้าเราเลือกที่จะมีประสบการณ์ของการเคลื่อนที่ มันก็จะมีความรู้สึก
    เหมือนกับความรู้สึกที่ผสมกันระหว่าง การลอยไป กับการเดินอยู่บนน้ำอย่างนั้นแหละ

    กายแห่งแสงสว่างของเรา ก็จะคล้ายๆกับกายทิพย์ของเราที่อยู่ในมิติที่ 4
    ตรงที่มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือรูปร่างได้อย่างง่ายดาย
    เหมือนๆกันกับที่เราจะสามารถเปลี่ยนสถานที่ หรือ ประสบการณ์ที่เราอยากจะมีได้
    โดยอาศัยเพียงความปราถนาของเราเองเท่านั้น

    และเราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของ “กาย”
    ที่จะเอามาใช้ห่อหุ้มจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเราเองได้ด้วย

    มิติที่ 5 นี้คือมิติเริ่มต้นของการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension) เพราะฉะนั้น
    ทุกๆจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่อยู่ที่นั่น จะมีความเป็นหลากมิติโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
    ความตระหนักรู้ถึงมิติที่ 4 และมิติที่ 3 ของพวกเขา จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
    เหมือนๆกันกับที่เราก้มลงมองดูที่มือและเท้าของตัวเองอย่างนั้นแหละ

    เพราะว่ามันจะไม่มีความรู้สึกถึงการแบ่งแยกอยู่เลย ดังนั้น เราจึงจะสามารถมีประสบการณ์
    กับโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในมิติที่ 3 และ 4 ของตัวเราเองได้
    พร้อมๆกับการมีประสบการณ์ในร่างกายแห่งแสงสว่างที่อยู่ในมิติที่ 5 นี้ ในขณะเดียวกัน

    เพราะว่ามันจะไม่มีความรู้สึกถึงการมีข้อจำกัดอยู่เลย ดังนั้น เราจึงจะสามารถเชื่อได้อย่างง่ายดายว่า
    เรากำลังมีชีวิตอยู่ และ มีสติสัมปชัญญะรับรู้อยู่ ในหลากหลายระดับของคลื่นความสั่นสะเทือน ไปพร้อมๆกัน

    ก็เหมือนกับการที่จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา รู้อยู่ว่าตัวเราประกอบขึ้นจากแร่ธาตุชนิดต่างๆ,
    น้ำ, รหัสพันธุกรรม, และสสารทางชีวภาพของมิติที่ 1 และ มิติที่ 2 นั่นแหละ
    ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของเราเองก็เช่นเดียวกัน พวกเขาก็จะรับรู้ถึงพวกเรา
    ซึ่งเป็นตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 3 และ 4 ของพวกเขาเองได้เหมือนกัน

    ในมิติที่ 5 พวกเราจะดำรงอยู่ร่วมกันด้วยความรักแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Love),
    ด้วยการให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Forgiveness),
    และ ด้วยการยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Acceptance) ด้วย

    พวกเราจะไม่มีการตัดสินชี้ถูกผิดให้กันและกัน ไม่มีความรู้สึกผิด
    หรือไม่มีความรู้สึกด้านลบต่อตัวตนส่วนที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่าทั้งหลาย
    ของตัวเราเองเลย ที่กำลังพากเพียรพยายามที่จะจำจด
    “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” (Higher Self) ของตัวเราเองให้ได้อยู่นี้

    ในความเป็นจริงแล้ว ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของตัวเราเอง
    จะทำหน้าที่เป็น “ผู้นำทาง” ให้กับตัวตนส่วนที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าของตัวเราเอง
    และของคนอื่นๆด้วย


    ในมิติที่ 5 นี้ ก็มีระนาบย่อยๆอยู่ด้วย แต่ว่าการตระหนักรู้ถึงมัน และการพูดถึงมันจะมีน้อยมากๆ

    จากประการณ์ของฉัน ฉันพบว่ามันจะมีเขตแดนอยู่เขตแดนหนึ่ง
    ที่เราจะต้องไปรอคอย “คู่แท้” (Divine Complement) ของเรา
    ซึ่งคู่แท้ของเราที่ว่านี้ ก็คือสิ่งที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า Twin Flame นั่นเอง


    “คู่แท้” หมายถึง ส่วนที่มีขั้วตรงข้ามกันกับเรา ของร่างกายแห่งแสงสว่างของเราเอง
    ที่ก่อนหน้าที่จะแยกกันออกมาเป็นสองส่วนนั้น ร่างกายแห่งแสงสว่างนี้จะไม่มีเพศ
    เพราะว่ามีพลังงานของทั้งสองเพศอยู่ในกายเดียวกันเรียบร้อยแล้ว
    แต่พอเราจะต้องลงมาเกิดในมิติที่ต่ำกว่า เราจึงต้องแบ่งแยกกายแห่งแสงสว่างนี้
    ออกเป็นสองส่วน ซึ่งมีขั้วตรงกันข้ามกัน (ดังนั้น แต่ละส่วนจึงเป็นคู่แท้ของกันและกัน
    และที่ต้องแยกกายแห่งแสงสว่างออกเป็นสองส่วน ก็เพราะว่าระดับความสั่นสะเทือน
    ของมิติที่สามนี้ ไม่สูงพอที่จะรองรับระดับพลังงานของทั้งสองส่วนนี้ได้พร้อมกัน – ผู้แปล)


    .............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เดี๋ยวค่อยมาต่อนะครับ

    ........................
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปอีก
    MORE ABOUT THE HIGHER DIMENSIONS


    โดย: The Arcturian ผ่านทาง ดร. Suzanne Lie
    ที่มา: http://www.multidimensions.com/superconscious/super_illumination_higherdim.html


    ตอนที่ 1:


    สวัสดีที่รักทั้งหลาย

    พวกเราสื่อสารมาถึงคุณจากมิติที่ 8 พวกเราคือชาวดาว Arcturus บนดวงดาวของพวกเรา
    พวกเราไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียกแต่อย่างใดเลย เพราะว่าพวกเราก็แค่ใช้ชื่อดวงดาวของเราเท่านั้นเอง
    บางคนจึงเรียกพวกเราว่า “ชีวิตระดับดวงดาว” (Planetary Logos)

    มิติที่ 7 เป็นมิติของ “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul)
    ส่วนมิติที่ 8 คือมิติของชีวิตระดับดวงดาว (Planetary Logos)
    ส่วนมิติที่ 9 และ 10 คือมิติของ “Solar Elohim”

    (Elohim ระดับระบบสุริยะ ซึ่ง Elohim ก็จะประมาณว่า
    คือพระเจ้าผู้สร้างรูปกายต่างๆขึ้นมาในแต่ละส่วนของแต่ละจักรวาลนั่นเอง – ผู้แปล)

    ส่วนมิติที่ 11 และ 12 คือมิติของ “Stellar Elohim”
    (Elohim ระดับกระจุกของดวงดาว หรือ ระดับกาแล็กซี่)

    ซึ่งในระหว่างที่ความตระหนักรู้ของคุณ (ดร.Susanne – ผู้แปล) กำลังอยู่ใน “เปลวเพลิงสีม่วง” อยู่นี้
    คุณจะสามารถเข้าใจถึงความเป็นไปในมิติต่างๆได้มากกว่าและง่ายดายกว่า
    เมื่อตอนที่คุณอยู่ในโลกทางกายภาพของคุณอย่างมาก

    แนวคิดเรื่อง “ความเป็นปัจเจกบุคคล” (individuality) มีความเข้มข้นรุนแรงมากในมิติที่ 3
    แต่ว่ามันก็จะลดลงมาหน่อย เมื่ออยู่ในมิติที่ 4 และเมื่ออยู่ในมิติที่ 5 ชั้นล่าง
    มันก็จะกลายเป็นเรื่องของทางเลือกแล้วหละว่า จะเลือกมีตัวตนแบบเป็นเอกเทศหรือไม่ก็ได้
    แต่นับตั้งแต่มิติที่ 5 ส่วนกลางขึ้นไป มันก็จะไม่มีความเป็นตัวตนแบบเป็นเอกเทศเหลืออยู่เลย

    มิติที่ 6 เป็น “มิติของศักยภาพแห่งความเป็นไปได้” (the Realm of Possibility)
    ส่วนมิติที่ 7 คือโลกของจิตวิญญาณต้นธาตุทั้งหลาย (OverSouls)
    ซึ่งทั้งสองมิตินี้ก็ไม่มีเรื่องของความเป็นปัจเจกบุคคลอยู่เลยเช่นเดียวกัน

    มิติที่ 6 คือมิติที่เป็นศูนย์รวมของโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้ทั้งมวล
    ในขณะที่มิติที่ 7 เป็นศูนย์รวมของ “จิตวิญญาณ” ทั้งหมด ที่มันดูแลอยู่

    แต่ว่า..นับตั้งแต่มิติที่ 8 เป็นต้นไป ความแบ่งแยกของมิติต่างๆจะเบลอๆ
    และไม่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนเหมือนมิติที่อยู่ต่ำกว่า

    พวกคุณที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกในขณะนี้ ก็เริ่มต้นมาจากมิติที่ 12 โน่นแหละ
    ซึ่งเป็นมิติของ Stellar Elohim ผู้ซึ่งเคยเป็นและยังคงเป็น “หนึ่งเดียว”
    กับพระผู้สร้าง (the Source) อยู่ จนถึงบัดนี้

    Elohim ทั้งหลาย คือผู้เป็นเจ้าของรูปร่างหรือรูปกายต่างๆ (the holder of form)
    ในอนันตจักรวาลนี้ (Multiverse) และ Stellar Elohim นี้ ก็จะเหมือนกับ
    เป็นปู่ทวด ของปู่ทวด ของปู่ทวด ของปู่ทวดนั่นเอง

    และเพราะว่าในตอนนั้น ปู่ทวด Elohim นี้ ต้องการที่จะขยายครอบครัวของตัวเองออกไป
    ดังนั้น จึงได้ส่งส่วนต่างๆของตัวเองออกไปในอนันตจักรวาลนี้อย่างมากมายก่ายกอง
    เพื่อออกไปหาประสบการณ์ชีวิตในโลกต่างๆและในมิติต่างๆ หลากหลายระดับชั้น
    มากมายก่ายกอง ซึ่งกระบวนการในการแบ่งภาคตัวเองออกไปนี้ ก็จะคล้ายๆกับการที่
    “ดาวฤกษ์” หมุนเหวี่ยงเอา “ดาวเคราะห์” ทั้งหลายออกมาจากตัวมัน เพื่อโคจรรอบๆตัวมันนั่นแหละ

    ถ้ามองจากมุมมองหรือการรับรู้ของมิติที่ 12 แล้ว มันจะไม่มีการแบ่งแยกใดๆเลย
    เพราะว่าทุกๆประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละส่วนของความเป็นตัวตนของมัน
    ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของ Elohim เองด้วย โดยอัตโนมัติ

    ไกอา (Gaia) คือรูปธรรมชีวิต ที่มีระดับความตระหนักรู้/จิตสำนึก ที่วิวัฒน์แล้ว รูปธรรมหนึ่ง
    ซึ่งระดับความตระหนักรู้/จิตสำนึกที่ขยายตัวมากในระดับนี้ จะมีก็แต่เพียงดาวเคราะห์เท่านั้นถึงจะมีได้
    และไกอาก็จะแบ่งปันประสบการณ์ทุกๆประสบการณ์ของมัน ร่วมกับดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า Sol
    หรือที่ชาวโลกเรียกกันว่า “ดวงอาทิตย์” (the Sun) ด้วย

    (ปล.ดาวฤกษ์ หรือ Star คือ ดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่น ดวงอาทิตย์ เป็นต้น
    ส่วนดาวเคราะห์ หรือ Planet คือดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
    เช่น โลก, ดาวศุกร์ และอื่นๆ เป็นต้น – ผู้แปล)

    และ “ดวงอาทิตย์” (the Sun) ก็คือรูปธรรมชีวิต ที่มีระดับความตระหนักรู้/จิตสำนึก
    ที่วิวัฒน์แล้ว รูปธรรมหนึ่ง ซึ่งระดับความตระหนักรู้/จิตสำนึกที่ขยายตัวมากในระดับนี้
    จะมีก็แต่เพียงดาวฤกษ์เท่านั้นถึงจะมีได้ และดวงอาทิตย์ ก็จะแบ่งปันประสบการณ์
    ทุกๆประสบการณ์ของมัน ร่วมกับ “ดวงอาทิตย์ศูนย์กลาง” ที่เรียกว่า The Great Central Sun ด้วย

    (ปล.ดวงอาทิตย์ศูนย์กลาง หรือ the Great Central Sun มีชื่อเรียกว่า Alcyone
    เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดาดาวฤกษ์ทั้ง 7 ดวง ของกลุ่มดาวลูกไก่
    หรือ Pleiades – ผู้แปล)

    ดวงอาทิตย์ศูนย์กลาง (The Great Central Sun) ก็คือรูปธรรมชีวิต ที่มีระดับความตระหนักรู้/จิตสำนึก
    ที่วิวัฒน์แล้ว รูปธรรมหนึ่ง ซึ่งระดับความตระหนักรู้/จิตสำนึกที่ขยายตัวมากในระดับนี้
    จะมีก็แต่เพียงกาแล็กซี่เท่านั้นถึงจะมีได้ ก็จะแบ่งปันประสบการณ์ทุกๆประสบการณ์ของมัน
    ร่วมกับ Stellar Elohim ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นปู่ทวดของกาแล็กซี่นั้นๆด้วย

    อันที่จริงแล้ว Stellar Elohim เป็นอะไรที่มากกว่า “ดาวฤกษ์” ดวงหนึ่ง
    เพราะว่ามันคือ “แหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ทั้งหลาย” เพราะฉะนั้นแล้ว
    แทนที่มันจะหมุนปั่นเอาดาวเคราะห์ต่างๆออกมา มันก็จะหมุนปั่นเอาดาวฤกษ์ต่างๆออกมาแทน

    Stellar Elohim ผู้ซึ่งเป็นปู่ทวดของกาแล็กซี่ของเรา ก็จะแบ่งปันประสบการณ์
    ทุกๆประสบการณ์ของมัน ให้กับ Stellar Elohim ของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
    (Milky Way Galaxy) ทั่วทั้งกาแล็กซี่นี้ด้วย

    และ “ปู่ทวดดวงอาทิตย์ใจกลางกาแล็กซี่” หรือ Stellar Elohim ของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้
    ก็คือรูปแบบของรูปกายที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า และ “ย่าทวดดวงอาทิตย์ใจกลางกาแล็กซี่”
    (the Great Central Grandmother) ดวงนี้ ตัวมันเอง ก็เป็นสิ่งที่มีรูปกาย (form) ชนิดหนึ่งด้วย

    Elohim ทั้งหลาย ซึ่งเป็น “ผู้ถือครองรูปแบบ” (holders of form) ก็คือ matrix ชนิดหนึ่ง
    ที่สามารถทำให้ “สิ่งที่ยังไม่ได้เนรมิตออกมา” ถูก “เนรมิตออกมา” ได้

    ในคัมภีร์ไบเบิลของพวกคุณกล่าวไว้ว่า “ในตอนเริ่มต้นนั้น มันมีคำพูดเกิดขึ้น”
    (In the beginning was the word) ซึ่ง Elohim ที่ว่านี้แหละ ก็คือ “คำพูด” ที่ว่านั้นหละ
    หรือมันก็คือ matrix ของเสียง ที่ไปจับเอาแสงสว่างแห่งเอกภพเอาไว้
    เพื่อเนรมิตออกมาให้เป็นวัตถุธาตุทางกายภาพ

    Stellar Elohim จะหมุนปั่นเอา “ระบบดวงดาว” (Star system) ทั้งหลายออกมา
    ซึ่งตรงใจกลางของระบบดวงดาวแต่ละระบบที่ว่านี้ ก็จะมี Solar Elohim อยู่

    (ปล.ตามความเข้าใจของผม “ระบบดวงดาว” หรือ Star system จะมีขนาดใหญ่กว่า
    “ระบบสุริยะ” หรือ Solar system เพราะว่าในระบบดวงดาวหนึ่งๆ
    อาจจะมีดวงอาทิตย์อยู่ในนั้นมากมายก็ได้ เช่น กลุ่มดาวลูกไก่ เป็นต้น
    ส่วนระบบสุริยะหนึ่งๆ อาจจะมีดวงอาทิตย์แค่ดวงเดียวก็ได้ เช่น ระบบสุริยะของเราเป็นต้น – ผู้แปล)

    Solar Elohim จะสั่นสะเทือนอยู่ในระดับระดับคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่ 9
    และก็จะหมุนปั่นเอา “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (OverSoul) ทั้งหลาย ออกมา
    ให้มาอยู่ในมิติที่ 7 ซึ่งจิตวิญญาณต้นธาตุของพวกคุณนี้ ก็อาจจะเปรียบได้กับ
    “ดาวเคราะห์” ทั้งหลายนั่นเอง เพียงแต่ว่าพวกมันไม่ใช่ดาวเคราะห์จริงๆเท่านั้นเอง
    เพราะว่าพวกมันยังไม่ได้ถูกเนรมิตออกมา ให้มาอยู่ในโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ

    เพราะฉะนั้นแล้ว Stellar Elohim ก็จะหมุนปั่นเอา “ระบบดวงดาว” (Star system) ทั้งหลายออกมา
    ส่วน Solar Elohim ก็จะหมุนปั่นเอา “ระบบสุริยะ” (Solar system) ทั้งหลายออกมา
    และ Solar system ทั้งหลาย ก็จะหมุนปั่นเอา Oversoul ออกมา
    เพื่อที่จะกลายไปเป็นรูปธรรมชีวิตที่มีรูปกายทางกายภาพ ในระบบสุริยะนั้นๆในอนาคตต่อไป

    “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul) ก็คือ “จิตวิญญาณ ของ จิตวิญญาณ” อีกทีหนึ่ง
    (Soul’s Soul) และมันก็จะทำหน้าที่รับผิดชอบต่อจิตวิญญาณทุกๆดวงของมันเอง
    ที่ถูกส่งลงมาเกิดในโลก (world), ในโลกแห่งความเป็นจริง (reality), และในดาวเคราะห์ต่างๆ
    ที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าทั้งหลาย ทั้งหมด

    ซึ่งเมื่อใดที่ Oversoul ได้หมุนปั่นเอา “จิตวิญญาณ” (Soul) ออกมาแล้ว
    มันก็จะทำหน้าที่เป็น “ผู้นำทาง” ให้แก่จิตวิญญาณเหล่านั้นด้วย

    และในทางกลับกัน “จิตวิญญาณ” ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะทำหน้าที่เป็น “ผู้นำทาง”
    ให้กับ “ผู้ที่ลงมาเกิดในร่างมนุษย์” ของพวกมันเอง อีกต่อหนึ่งด้วย

    และก็เหมือนกันกับที่ทุกๆ Stellar Elohim จะมีอยู่หลายๆกาแล็กซี่
    และทุกๆ Solar Elohim จะมีอยู่หลายๆ solar system
    “จิตวิญญาณต้นธาตุ” แต่ละดวง ก็จะมี “จิตวิญญาณ” อยู่มากมาย เช่นเดียวกัน
    และ “จิตวิญญาณ” เหล่านี้ ก็จะมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมากมายหลายโลก
    ที่กระจายลงมาเกิดใน ตั้งแต่มิติที่ 5 ไปจนถึงมิติที่ 3

    ในมิติที่ 5 ก็ยังมีความเป็นตัวตนแบบปัจเจกบุคคลอยู่บ้าง
    แต่ว่าในมิติที่ 6 จะปฏิบัติการอยู่ในรูปแบบของ “โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้”
    ส่วนในมิติที่ 7 ของ Oversoul จะปฏิบัติการอยู่ในรูปแบบหรือในหน้าที่ของจิตวิญญาณ

    ในมิติที่ 8 ไปจนถึงมิติที่ 10 ซึ่งมิติต่างๆจะไม่แบ่งแยกออกจากกันเหมือนในมิติที่ต่ำๆกว่า
    จะปฏิบัติการอยู่ในรูปแบบของ “ระบบสุริยะ”
    และในมิติที่ 11 และ 12 ซึ่งก็จะเป็นมิติที่ไม่แยกขาดจากกันเช่นเดียวกัน
    ก็จะปฏิบัติการอยู่ในรูปแบบของ “กาแล็กซี่”

    และก็จะเหมือนกันกับที่ Oversoul จะคอยให้ความช่วยเหลือแก่จิตวิญญาณทั้งหลายของมัน
    ในการยกระดับความตระหนักรู้ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ, ตัว Oversoul เอง มันก็จะพยายาม
    ยกระดับความตระหนักรู้ของตัวมันเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆด้วย โดยการไป download เอา
    ส่วนของความเป็นตัวตนของตัวมันเอง ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่ามิติที่ 7 ลงมาใส่ตัวมันเอง

    และเมื่อใดที่ Oversoul ดวงใด ได้ตัดสินใจว่า มันพร้อมแล้วที่จะขยายความตระหนักรู้
    หรือจิตสำนึกของมันออกไปอีก มันก็จะร้องขอขึ้นไปยัง “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” (Higher Self) ของมัน
    และร้องขอให้ส่ง “ฑูต” จากดวงดาวที่อยู่ในมิติที่สูงกว่ามิติที่ 7 ซึ่งเป็นหนึ่งใน..
    เพราะไม่รู้จะเลือกใช้คำไหนดี..”บรรพบุรุษ” ของมัน เพื่อให้มาช่วยเหลือมัน
    และเพื่อให้ช่วยนำพาเอาส่วนหนึ่งของความเป็นตัวตนของมัน เข้ามาสู่มิติที่อยู่ต่ำกว่าทั้งหลายด้วย

    ตัวอย่างเช่น ในตอนที่ไกอาส่งคำร้องขอออกไป ในช่วงแห่งการล่มสลายของแอตแลนติส
    ก็ได้มี Oversoul จำนวนมากมายที่ได้ตอบรับคำร้องขอของไกออแล้ว

    ซึ่ง Oversoul เหล่านั้น ก็รู้ดีว่า การที่จะช่วยเหลือไม่ให้ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ต้องสูญสลายไปนั้น
    ก็ย่อมจะต้องมีความท้าทายอย่างมากเป็นธรรมดา และเพราะด้วยเหตุนี้ พวกเขาจำนวนมากมาย
    จึงได้พากันร้องขอ “คลื่นความสั่นสะเทือนที่สูงกว่า” ให้แผ่ส่งลงมาถึงพวกเขา
    และพวกเขาจึงได้พากันลงมาสู่คลื่นความสั่นสะเทือนที่ต่ำกว่า เพื่อมาปรากฎกายขึ้น
    บนดาวเคราะห์โลก ซึ่งอยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้ และด้วยเหตุนี้ Oversoul ทั้งหลาย
    จึงทำหน้าที่เป็น “ผู้ที่แปลงร่างลงมาจากมิติที่สูงกว่า” เพื่อมาตอบสนองต่อคำร้องขอความช่วยเหลือของไกอา

    และก็เหมือนกับการที่เหล่า Oversoul ทั้งหลาย ยอมตอบสนองต่อคำร้องขอจากมิติที่ 3
    ของดาวเคราะห์โลกนั่นแหละ, Solar Elohim และ Stellar Elohim ก็เช่นเดียวกัน
    ก็จะตอบสนองต่อคำร้องขอจากมิติที่ 7 ของ Oversoul ของตัวเองเช่นเดียวกัน

    ซึ่ง Stellar Elohim และ Solar Elohim จากกลุ่มดาว Arcturus
    ก็มีความอ่อนไหวต่อคำร้องขอนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่ามันเป็นภาระหน้าที่ของพวกเขา
    ที่จะต้องปกป้อง the Corridor ซึ่งเป็นประตูมิติที่จะใช้ผ่านเข้า-ออกจากมิติที่ 3

    ส่วน Stellar Elohim และ Solar Elohim ของกลุ่มดาวลูกไก่ และกลุ่มดาว Sirius
    ก็ได้ตอบรับต่อคำร้องขอของไกอาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าพวกเขาคือผู้ที่มีส่วนสำคัญ
    ในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวเอาไว้บนดาวเคราะห์โลกใบนี้ มาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกแล้ว

    Elohim เหล่านี้ ได้พากันหมุนปั่นเอาส่วนหนึ่งของความเป็นตัวตนของพวกเขาเอง
    ให้ออกมาเป็น Oversoul จำนวนมากมาย แล้วจากนั้น Oversoul ทั้งหลาย
    ซึ่งอยู่ในมิติที่ 7 ก็พากันส่งส่วนหนึ่งของความเป็นตัวตนของพวกเขาเอง ลงมาเกิดในมิติที่ 5
    เพื่อไปเตรียมความพร้อม เพื่อที่จะลงมาเกิดในมิติที่ 4 ต่อไป และก็เพื่อที่จะรอลงมาเกิด
    ในมิติที่ 3 ในท้ายที่สุดนั่นเอง

    ………………………..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไปอีก
    MORE ABOUT THE HIGHER DIMENSIONS


    โดย: The Arcturian ผ่านทาง ดร. Suzanne Lie
    ที่มา: http://www.multidimensions.com/superconscious/super_illumination_higherdim.html


    ตอนที่ 2:


    การที่จะทำให้แกนแห่งความตระหนักรู้ในแนวตั้ง เกี่ยวกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณ
    ที่มีอยู่อย่างมากมายนี้ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาให้ได้นั้น มันจะช่วยได้มาก
    ถ้าหากว่าพวกคุณสามารถจดจำภพชาติต่างๆของตัวเอง ที่อยู่ในมิติที่ 3 และ 4 ได้
    ซึ่งภพชาติเหล่านี้คือผู้ที่ได้สั่งสมประสบการณ์มากมาย ซึ่งเป็นบทเรียนแห่งชีวิต
    เอาไว้ให้กับปัจจุบันชาตินี้ของพวกคุณ

    บทเรียนชีวิตทั้งหลายของภพชาตินี้ บ่อยครั้ง จะสามารถทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงได้ดีที่สุด
    และก็จะสามารถเยียวยารักษาได้ดีที่สุด ถ้าพวกคุณไปทำมันในภพชาติแรกของพวกคุณ
    หรือที่เรียกว่า “ปฐมชาติ” ซึ่งปฐมชาติที่ว่านี้ หมายถึงภพชาติแรกที่บทเรียนชีวิตแต่ละบทเรียนได้บังเกิดขึ้น

    มิติที่ 3 คือมิติแห่งการ “สอบตก/สอบผ่าน” และคือมิติที่ทุกๆปัญหาจะย้อนกลับมาใหม่อีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า
    ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับมาภายในภพชาติเดียวกันนี้ หรือว่าย้อนกลับมาในภพชาติอื่นๆก็ตาม
    จนกว่าปัญหานั้นๆจะได้รับการแก้ไข หรือ “สอบผ่าน” อย่างสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น

    พวกคุณทุกๆคน ได้พากันเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว ตั้งแต่เมื่อหลายชาติภพก่อน
    เพื่อที่จะรอคอยกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นของดาวเคราะห์โลก ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในภพชาตินี้
    พวกคุณได้พากันเก็บคะแนนแห่งชีวิตเอาไว้มากมายแล้ว เพื่อที่จะเอามาใช้ในภาระกิจของตัวเองในภพชาตินี้
    และความท้าทายของพวกคุณในตอนนี้ก็คือการ “ปรับตั้งขั้นละเอียด” ให้กับปัญหาเหล่านั้น
    ที่กำลังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นี้ ตั้งแต่เมื่อหลายภพชาติที่แล้ว ให้มันถูกต้องซะใหม่

    ดังนั้น การกลับไปแก้ปัญหาตั้งแต่ “ปฐมชาติ” ของมัน ที่ปัญหาแต่ละอย่างเริ่มต้นเกิดขึ้นนั้น
    จึงจะทำให้พวกคุณสามารถปลดปล่อยพวกมันออกไปได้ทีละตัว และทั้งหมดด้วย อย่างถูกวิธี

    ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกส่วนใหญ่ จะมาจากความกลัวที่เกิดจาก “การพลัดพราก” เป็นหลัก
    ซึ่งหมายถึงการพรัดพรากจากผู้อันเป็นที่รัก, การพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ, การพรัดพรากจากสุขภาพที่ดี,
    การพรัดพรากจากความสุข, และพรัดพรากจากการมีชีวิต เป็นต้น

    ปฐมชาติที่เป็นชาติต้นกำเนิดของความกลัวการพรัดพรากที่ว่านี้ ก็คือภพชาติแรก
    ที่พวกคุณลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในมิติที่ 3 นี้นั่นเอง ซึ่งในตอนนั้น
    พวกคุณต้องประสบกับความหวาดหวั่น เพราะการพรัดพรากจากตัวตนของตัวเอง
    และความเจ็บปวดอันนี้ก็ได้หมุนเวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
    ภพชาติแล้ว ภพชาติเล่า

    ด้วยเหตุนี้ พวกคุณจึงมีความรู้สึกลึกๆอยู่ข้างในมาโดยตลอดว่า
    พวกคุณจะต้องกลับไปเชื่อมต่อกับตัวตนที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าของตัวเองให้ได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    ซึ่งความเจ็บปวดอันนี้จะสามารถเยียวยารักษาได้ โดยการกลับไปเชื่อมต่อกับ
    ตัวตนที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าของตัวเองให้ได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ “คู่แท้” หรือ Divine Complement ของตัวพวกคุณเอง

    ซึ่งการกลับไปเชื่อมต่อกับขั้วพลังงานแห่งเพศชาย หรือ เพศหญิงของพวกคุณดังกล่าวนี้
    จะทำให้พวกคุณกลับไปเป็นตัวตนที่ไร้เพศของตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    และเมื่อนั้น มันก็จะทำให้พวกคุณมีความสามารถมากพอ ที่จะไปพบ และไปดาวน์โหลดเอาส่วนอื่นๆ
    ของแก่นแท้แห่งความเป็นตัวตนหลากมิติ ของตัวเอง เข้ามาสู่ตัวเองได้

    จงจำไว้ว่า การพรัดพรากจาก “The All That Is” นั้น เป็นเพียงมายาเท่านั้น
    และมายาการนี้ ก็จะดำรงอยู่แต่เฉพาะในโลกแห่งมิติที่ 3 และ 4 ซึ่งมีคลื่นความถี่ต่ำๆนี้เท่านั้น

    ความเจ็บปวดอันนี้เอง ที่เป็นตัวไปยึดเกาะกับ matrix ของโฮโลแกรมของมิติที่ 3 นี้
    และเมื่อใดที่มายาการแห่งการพรัดพรากนี้ได้ถูกปลดปล่อยออกไป ความเจ็บปวดก็จะถูกเยียวยา
    และมายาก็จะไร้โครงสร้างให้มันไปยึดเกาะอีกต่อไปแล้ว และเมื่อนั้น มันก็จะแตกโพ๊ะเหมือนฟองสบู่
    และเมื่อใดที่มายาการแห่งการพรัดพรากถูกปลดปล่อยออกไป
    พวกคุณก็จะสามารถจดจำถึงความเป็นตัวตนหลากมิติของตัวเองได้ แล้วตรึงมันเอาไว้ในมิติที่ 3 ได้


    ขอพรจงมีแด่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ที่กำลังอยู่ในกระบวนการตื่นรู้ของตัวเองอยู่นี้

    พวกเราคือชาว Arcturian


    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2013
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    Arcturian Teaching - Living Multiple Realities Part 1

    คำสอนของชาว Arcturain:
    การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอันหลากหลาย Part-1


    สื่อสารผ่าน ดร. Suzanne Lie
    วันที่ : 13/1/13

    ที่มา:
    Awakening with Suzanne Lie: Arcturian Teaching - Living Multiple Realities Part 1


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    (คัดเลือกมาแปลเพียงบางส่วน)


    โลกแห่งความเป็นจริงอันหลากหลาย (Multiple Realities) ประกอบไปด้วย
    “โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน” (Parallel Realities),
    “โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางเลือกอื่น” (Alternate Realities), และ
    “โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ” (Multidimensional Realities)

    ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริงบางโลก ก็สั่นสะเทือนอยู่ในระดับคลื่นความถี่เดียวกัน
    แต่โลกแห่งความเป็นจริงบางโลก ก็สั่นสะเทือนอยู่ในคลื่นความถี่ที่แตกต่างออกไป

    ดังนั้น โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลาย ที่สั่นสะเทือนอยู่ในช่วงคลื่นความถี่เดียวกัน
    กับของมิติที่ 3 และ 4 นี้ จึงเรียกว่าเป็น “โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน” (Parallel Realities),
    หรือ “โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางเลือกอื่น” (Alternate Realities)

    ในทางกลับกัน โลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลาย ที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่างกัน
    แต่เป็นประสบการณ์เดียวกัน จะเรียกว่า “โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ”
    (Multidimensional Realities)

    เพราะว่าดาวเคราะห์โลก กำลังอยู่ในระหว่างการเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติที่สูงกว่าอยู่
    ดังนั้น โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน และ โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางเลือกอื่น
    ทั้งหมดของเธอ จึงกำลังมีการเปลี่ยนระดับคลื่นความถี่ตามไปด้วยอยู่
    เพราะฉะนั้นแล้ว โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน และ โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางเลือกอื่นทั้งหลาย
    จึงกำลังพากันเลือนลางหายไป และรวมเข้ามาอยู่ในแพทเทิร์นเดียวกันทั้งหมด
    ซึ่งเป็นแพทเทิร์นของชีวิตในเวอร์ชั่นที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

    ฉันอยากจะอธิบายถึงโลกแห่งความเป็นจริงแต่ละชนิดแบบคร่าวๆให้คุณฟังสักหน่อย
    และเพื่อที่จะทำให้เข้าใจคำอธิบายนี้ง่ายขึ้น ฉันอยากจะตั้งชื่อโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่คุณกำลังอาศัยอยู่นี้ ว่า “โลกแห่งความเป็นจริงหลัก” (Base-Line Reality) ซะก่อน


    โลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนาน (Parallel Reality) จะถูกสร้างขึ้นมาทุกๆครั้ง
    ที่คุณทำการตัดสินใจครั้งสำคัญ ว่าจะ “เลือก” ทางไหนดี ซึ่งการเลือกดังกล่าวนั้น
    จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้

    ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะเลือกออกจากงานประจำอันหนึ่ง
    มันก็จะมีโลกแห่งความเป็นจริงคู่ขนานเกิดขึ้นทันทีโลกหนึ่ง
    ซึ่งจะเป็นโลกฯคู่ขนานที่คุณยังเลือกที่จะทำงานนั้นต่อไปอยู่
    ซึ่งความตระหนักรู้ตามปกติของคุณ ฉันหมายถึงคุณ คนที่ฉันกำลังคุยด้วยอยู่นี้
    ก็อาจจะไม่รับรู้เลยว่ามีโลกฯคู่ขนานอันนี้อยู่ด้วย แต่ว่าจิตวิญญาณหลากมิติของคุณ
    จะสามารถรับรู้ได้

    เพราะว่าจิตวิญญาณหลากมิติของคุณ ได้เดินทางมาไกลแสนไกล จาก “แหล่งกำเนิด”
    จนเข้ามาอยู่ในโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ และต้องการที่จะมีประสบการณ์
    กับทุกๆเงื่อนไขแห่งความเป็นไปได้ ของทุกๆประสบการณ์ ดังนั้น เมื่อใดที่ความตระหนักรู้ของคุณ
    สามารถกลับเข้าไปสู่การคิดแบบหลากมิติที่มีมาแต่กำเนิดของตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของตัวคุณเองได้แล้ว
    คุณก็จะสามารถคิดคำนวณถึง ทั้งโลกแห่งความเป็นจริงหลักของคุณ และโลกฯคู่ขนานทั้งหลาย
    ที่แตกแยกย่อยออกมาจากมัน ในตอนที่คุณทำการตัดสินใจเลือก ได้พร้อมๆกันอย่างง่ายดาย

    ด้วยวิธีการนี้ คุณก็จะสามารถได้บทเรียนที่เหมาะสมที่สุด จากประสบการณ์ทุกๆประสบการณ์
    ของคุณเอง แล้วแบ่งปันโลกฯคู่ขนานทั้งหมดนั้น ให้กับต้นกำเนิดของคุณเองได้

    (ปล.ในมองมุมของตัวตนในมิติที่ 5 ของเรา พวกเขาจะรับรู้ทุกๆทางเลือกแห่งความเป็นไปได้
    ของแต่ละประสบการณ์ จากโลกฯคู่ขนานทุกๆโลกฯที่เกิดขึ้น คือจะรู้หมดเลยว่า
    ถ้าเลือกแบบนี้จะได้ผลแบบนี้ ถ้าเลือกแบบนั้นจะได้ผลแบบนั้น
    และก็เลยสามารถประมวณผลและสรุปได้ว่า ทางเลือกไหนคือทางเลือกที่ดีที่สุด
    หรือที่เหมาะสมที่สุด ของประสบการณ์นั้นๆ – ผู้แปล)

    ในขณะที่ยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหลัก ที่อยู่ในโลกทางกายภาพนี้
    คุณจะไม่อาจตระหนักรู้ได้เลยว่า ในความเป็นจริงแล้ว มันยังมีโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่เป็นไปได้ทั้งหมด อยู่อีกมากมายหลายเวอร์ชั่น ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในโลกฯคู่ขนาน
    หรือ โลกฯบนทางเลือกอื่นๆ


    และมันก็มีความแตกต่างกันอยู่อีก ระหว่างโลกฯคู่ขนาน
    กับโลกฯบนเส้นทางเลือกอื่น


    เพราะว่าบุคลิกลักษณะของคุณ เวอร์ชั่นที่อยู่ในโลกฯคู่ขนาน
    จะเหมือนกันกับบุคลิกลักษณะของคุณ
    ผู้ที่กำลังอยู่ในโลกฯหลักนี้แหละ


    ส่วนในโลกฯบนเส้นทางเลือกอื่น (Alternate Reality) นั้น
    คุณจะสำรวจตรวจค้นบุคลิกลักษณะแบบอื่นๆของตัวเอง
    เพื่อเอามาใช้ในสถานการณ์เดียวกัน กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
    อยู่ในโลกฯหลักของคุณ

    เพราะฉะนั้นแล้ว โลกฯบนเส้นทางเลือกอื่นของคุณ ก็จะเหมือนกันกับ
    โลกฯหลักของคุณ เพียงแต่ว่า “คุณ” จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันนั้นๆ
    โดยผ่านมุมมองของผู้ที่มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างออกไป

    ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะสามารถชิมลางบุคลิกลักษณะแบบอื่นๆ หรือแม้แต่แง่มุมอื่นๆ
    ของคุณภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณเองได้ ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
    แต่ว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย

    และเมื่อใดที่ความตระหนักรู้หลักของคุณขยายตัวขึ้นไปสู่มิติที่ 4 และ มิติที่ 5 ส่วนล่างได้แล้ว
    โลกฯคู่ขนาน และ โลกฯบนเส้นทางเลือกอื่นทั้งหลาย ก็มักจะ “แพร่ซึม”
    เข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงหลักของคุณ

    ด้วยวิธีการนี้ โลกฯคู่ขนานและโลกฯบนเส้นทางเลือกอื่นทั้งหลายของคุณ
    ก็จะมาบรรจบกัน แล้วรวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียวกับ ego ของคุณเอง
    ที่กำลังขยายตัวอยู่ตลอดเวลา และก็กำลังผสานรวมเข้ากับตัวตนหลากมิติของตัวคุณเองอยู่

    (ปล.คำว่า ego ขยายตัวนี่ แปลว่า มันขยายขอบเขตความตระหนักรู้ของมันออกไปนะครับ
    คือมันพัฒนาขึ้นนะ ไม่ใช่ว่ามันแย่ลง หรือ มี ego เพิ่มมากขึ้น – ผู้แปล)

    อันที่จริงแล้ว เมื่อใดที่ระดับการรับรู้ของคุณ เพิ่มสูงขึ้นจนเข้าไปอยู่ในมิติที่ 5 หรือสูงกว่าได้แล้ว
    คุณก็จะสามารถเข้าไปดูโลกฯคู่ขนานและโลกฯบนเส้นทางเลือกอื่นทั้งหมดของคุณเอง
    ที่อยู่ในมิติที่ 3 และ 4 ได้ ด้วยเหตุนี้ คุณก็จะสามารถมีข้อมูลมากที่สุด และ
    มีสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากชีวิตบนโลกที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่าของคุณเองได้มากที่สุดด้วย

    และด้วยมุมมองของตัวตนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าของคุณอันนี้
    คุณก็จะสามารถมองดูตัวตนที่อยู่ในมิติต่ำๆกว่าของตัวเอง
    ได้อย่างไม่มีการตัดสินชี้ถูกผิด

    หนึ่งในเหตุผลที่คุณ “เลือกที่จะไม่” ตระหนักรู้ถึงโลกฯคู่ขนานและโลกฯบนเส้นทางเลือกอื่นของตัวเอง
    ในขณะที่คุณกำลังอยู่ในกายเนื้อแห่งมิติที่ 3 อยู่นี้ ก็เพราะว่า มันมีความเป็นไปได้อย่างมาก
    ที่จะมีการตัดสินชี้ถูกผิดตัวเอง ซึ่งการตัดสินชี้ถูกผิดตัวเองนี้ จะไปขัดขวางกระบวนการ
    เลื่อนระดับขึ้นของคุณ ให้ช้าลงอย่างมาก

    เพราะฉะนั้น ชาวโลกผู้ที่กำลังอยู่ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นส่วนใหญ่
    จึงเลือกที่จะจำกัดการรับรู้ของตนเองเอาไว้ ไม่ให้ไปรับรู้โลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆด้วย
    ที่พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ และ/หรือเยียวยารักษามันได้

    ...........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2013
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มิติที่ 6 (The Sixth Dimension)

    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/superconscious/super_illumination_violetfire.html


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    (เลือกมาแปลเพียงบางส่วน)


    ภายในมิติที่ 6 นี้ มันจะมีคลื่นแห่งความเป็นไปได้ (waves of possibility) อยู่มากมาย
    ซึ่งจะมองดูคล้ายๆกับคลื่นไซน์ (sine wave) ในอวกาศ


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต – คลื่นไซน์)

    คลื่นไซน์เหล่านี้จะเคลื่อนที่ตระเวณไปในมิติที่ 6 ในลักษณะของระลอกคลื่น
    เหมือนระลอกคลื่นในมหาสมุทร คลื่นไซน์เหล่านี้จะประกอบด้วยชั้นต่างๆมากมาย
    ซึ่งแต่ละชั้นก็จะเป็นตัวแทนของแต่ละมิติของโลกแห่งความเป็นจริงเดียวกันนั้นๆ
    และเพราะว่าทุกๆมิติจะมีตัวแทนอยู่นี้เอง จึงทำให้จิตวิญญาณของคุณ
    สามารถที่จะเลือกระดับคลื่นความถี่ใน octave ของโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่คุณ “ผู้ลงมาเกิด” กำลังมีประสบการณ์อยู่ได้

    เพราะฉะนั้นแล้ว มิติที่ 6 จึงเป็นมิติศูนย์รวม
    ของ “พิมพ์เขียว” (blueprint)
    ของ “โลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้ทุกๆโลก”
    (all the possible realities)
    ของมิติที่อยู่ต่ำกว่าทั้งหมด เอาไว้ด้วยกัน


    ตัวอย่างเช่น ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงของคุณ คุณได้งานใหม่มางานหนึ่ง
    แต่ว่าถ้าระดับความสั่นสะเทือนของจิตสำนึกของคุณต่ำมากๆ มันก็เป็นไปได้มาก
    ที่คุณจะเลือกตำแหน่งหน้าที่การงานที่ “ไม่สอดคล้อง” กับความต้องการของจิตวิญญาณของตัวคุณเอง
    แต่เป็นตำแหน่งงานหน้าที่การที่ถูกครอบงำด้วย ego ของคุณเองแทน
    และเพราะว่าทางเลือกนี้เอง จึงทำให้คุณมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะต้องทนทุกข์อยู่กับ
    “ความกลัวว่าจะเอาชีวิตไม่รอด” แบบมนุษย์ระดับล่าง และคุณก็อาจจะมีประสบการณ์
    ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันกันคนอื่นๆในที่ทำงานของคุณ รวมถึงคุณจะมี
    ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความกลัวและความไม่ปลอดภัย ดังนั้น โลกแห่งความเป็นจริงอันนี้
    จึงดำเนินไปด้วยความทุกข์ยาก และความลำบากยากเข็น

    แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณได้งานใหม่มางานหนึ่ง และระดับความสั่นสะเทือนของจิตสำนึกของคุณ
    สูงมากๆ คุณก็จะมีความเป็นไปได้มาก ที่จะเลือกตำแหน่งหน้าที่การงานที่จะทำให้คุณ
    มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะว่ามันจะสั่นสะเทือนสอดคล้องกับความต้องการ
    ของจิตวิญญาณของคุณ คุณจะเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมงานของคุณ และคุณก็จะสามารถ
    รู้สึกถึงความเป็นหมู่คณะและความมีมิตรไมตรีได้

    แต่ถ้าคุณดำเนินชีวิตอยู่บน ego ของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว และไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ
    กับจิตวิญญาณของตัวคุณเองเลย มันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติไป ที่คุณจะมีชีวิตอยู่ในโลกของมายา
    และอยู่ในสังคมที่มีแต่การโกหกหลอกลวง

    แต่อันที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะดำเนินชีวิตอยู่ อย่างไม่สอดคล้องกับความต้องการ
    ของจิตวิญญาณของตัวเองก็ตาม แต่คุณก็อาจจะสามารถพบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
    แม้ว่าคุณจะมีความเชื่อมต่อกับจิตสำนึกระดับสูงกว่าของตัวคุณเองน้อยมากก็ตาม

    แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคือผู้ที่ได้รับข้อความนี้ มันก็เป็นไปได้น้อยมากๆ
    ที่คุณจะเป็นคนประเภทนั้น

    ที่คุณมาอยู่ที่นี่ ในเปลวเพลิงสีม่วงนี้ (เขาพูดกับผู้รับสาส์น หรือ ดร.Suzanne
    ซึ่งตอนนั้นกำลังมีความตระหนักรู้อยู่ในมิติที่ 5 และอยู่ในเปลวเพลิงสีม่วง ในวิหารสีม่วง
    บน The Great Central Sun บนกลุ่มดาวลูกไก่ และเขาก็บอกว่า พวกเราหลายคน
    ที่กำลังอยู่ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้ ก็เคยไปที่นั่นแล้ว และทำแบบเดียวกันนี้มาแล้วเหมือนกัน
    เพียงแต่ว่าพอกลับลงมาแล้ว พวกเราจดจำไม่ได้เท่านั้นเอง – ผู้แปล) ก็เพราะว่าคุณ
    ต้องการที่จะขยายขอบเขตของชีวิตด้านจิตวิญญาณของคุณออกไป และเพื่อที่จะ
    เสาะแสวงหาคำชี้แนะจากจิตวิญญาณของตัวคุณเอง

    ดังนั้น ถ้าคุณสามารถใช้โอกาสนี้ ช่วงที่กำลังอยู่ในเปลวเพลิงสีม่วงนี้
    เพื่อยอมจำนนต่อจิตวิญญาณของตัวเองให้ได้แล้ว
    คุณก็จะสามารถสร้างพันธมิตรขึ้นมาได้ ระหว่างตัวคุณเอง กับจิตวิญญาณของคุณ
    เพื่อร่วมกันสร้างโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นมาด้วยกัน โลกแห่งความเป็นจริง
    ในแบบที่คุณเคยออกแบบเอาไว้ตั้งแต่ก่อนถือกำเนิดบนโลกมนุษย์

    และมันก็เหมือนกับการที่ ego ของคุณ จะต้องเข้าหาจิตวิญญาณของคุณเอง
    เพื่อให้ได้มาซึ่งคำแนะนำนั่นแหละ จิตวิญญาณของคุณเองก็เช่นเดียวกัน
    ก็จะสามารถขึ้นไปที่มิติที่ 6 เพื่อให้ได้มาซึ่งคำแนะนำได้เหมือนกัน
    ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ถ้าจิตสำนึกในมิติที่ 3 ของคุณได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
    และได้ยอมจำนนต่อจิตวิญญาณของคุณแล้ว คุณก็จะได้ประโยชน์จากบทเรียนอันยิ่งใหญ่
    เกี่ยวกับพลังอำนาจในการสร้างสรรค์ที่แท้จริงของตัวเองอย่างมากเลยทีเดียว

    แต่ทว่า มันอาจจะต้องใช้เวลายาวนานสักหน่อย เมื่อเปรียบเทียบกับเวลาบนโลกของคุณ
    กว่าที่คุณจะสามารถเข้าใจบทเรียนนั้นอย่างถ่องแท้ได้ โดยใช้จิตใจที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของคุณคิด
    เพราะว่ามันจะพบกับความยากลำบากอย่างมาก กว่าที่จะไปเข้าใจเรื่องราวของมิติที่ 6 ได้

    และการที่จะทำให้คุณสามารถเข้าใจเรื่องราวของมิติที่ 6 ได้นั้น คุณจะต้องยอมจำนน
    ต่อความคิดของตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของคุณเอง ซึ่งก็คือจิตวิญญาณของคุณเองซะก่อน
    เพราะว่าถ้าคุณยอมจำนนต่อตัวตนหรือจิตวิญญาณของคุณที่อยู่ในมิติที่ 5 แล้ว
    และในทำนองเดียวกัน จิตวิญญาณของคุณก็ยอมจำนนต่อมิติที่ 6 ด้วย
    คุณก็จะไหลไปด้วยกัน ทั้ง ego และ จิตวิญญาณของคุณ ก็จะไหลไปด้วยกัน
    บน “คลื่นแห่งความเป็นไปได้” (Waves of Possibilities) ของมิติที่ 6

    ตลอดความยาวของ “คลื่นแห่งความเป็นไปได้” (Waves of Possibilities ) ของมิติที่ 6
    มันจะมี “จุดสำหรับเชื่อมต่อ” (Points of Connection) อยู่มากมายอยู่เป็นระยะๆ
    ซึ่งจุดสำหรับเชื่อมต่อเหล่านี้ ก็คือจุดหรือบริเวณที่เป็นทางเข้า ซึ่งคุณจะสามารถใช้
    เพื่อเข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงโลกใดก็ได้ที่คุณต้องการ

    เมื่อใดที่มีจุดสำหรับเชื่อมต่อจุดใดจุดหนึ่ง สั่นสะเทือนสอดคล้องกับหัวใจของคุณ
    คุณก็จะสามารถเข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงโลกนั้นได้ โดยวิธีการใช้หัวใจของคุณ
    เชื่อมต่อกับจุดสำหรับเชื่อมต่อจุดนั้นๆไว้ และเมื่อคุณเชื่อมต่อกับจุดสำหรับเชื่อมต่อจุดนั้นๆแล้ว
    คุณก็จะสามารถตามเข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงโลกนั้นๆได้ นานเท่าที่ความสั่นสะเทือนของคุณ
    ยังคงสอดคล้องกับของมันอยู่ แต่ถ้าระดับความสั่นสะเทือนของคุณสูงขึ้นหรือลดลงไปจากเดิม
    คุณก็จะถูกตัดขาดการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงโลกนั้นๆ แล้วคุณก็จะลอยไปตาม
    กระแสคลื่นแห่งความเป็นไปได้ จนกว่าคุณจะพบจุดแห่งการเชื่อมต่อจุดอื่น
    ที่มีระดับความสั่นสะเทือนสอดคล้องกับของคุณ คุณถึงจะเข้าไปใหม่ได้

    ตัวตนส่วนที่อยู่ในมิติที่ 3 ของคุณจะไม่สามารถรับรู้ถึงการผ่านไปของกาลเวลาได้
    เมื่ออยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงเหล่านี้ เพราะว่ามิติที่ 6 ไม่ใช่มิติที่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา

    มิติที่ 6 ดำรงอยู่เฉพาะใน “ที่นี่” และ “เดี๋ยวนี้”
    ของโลกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้โลกในมิติที่ 3 ของคุณจึงอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม
    เมื่อหลุดออกมาจากการเชื่อมต่อแล้ว ตัวตนที่อยู่ในโลกทางกายภาพของคุณ
    ก็อาจจะรู้สึกถึงความเศร้าโศกได้ เพราะว่าคุณเพิ่งจะหลุดออกมาจากการเชื่อมต่อ
    ของโลกแห่งความเป็นจริงที่คุณเคยสั่นสะเทือนสอดคล้องอยู่นั่นเอง....

    ....มิติที่ 6 เป็นศูนย์ควบคุมภาพสามมิติหรือโฮโลแกรมส่วนตัวของคุณ
    เพราะฉะนั้น ถ้าคุณต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่อยู่ในโฮโลแกรมของคุณ
    คุณก็จะต้องเคลื่อนความตระหนักรู้ของคุณเข้าไปในมิตินั้นๆ
    และเมื่อใดที่พิมพ์เขียวอันเก่าถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว
    หรือเมื่อใดที่พิมพ์เขียวใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
    คุณก็จะสามารถเชื่อมต่อมันให้เข้ากับ “ระบบเขาวงกตคริสตัลไลน์”
    (the crystalline labyrinth systems) ที่อยู่ในมิติที่ 5 ได้
    เพื่อให้พิมพ์เขียวดังกล่าวนั้นตกผลึกออกมาสู่การมีรูปร่าง

    มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่คุณจะต้องควบคุมมิติที่ 4 ของตัวเองเอาไว้ให้ดี
    เพราะว่าถ้าไม่ควบคุมแล้ว คลื่นทิพย์ของอารมณ์ความรู้สึกของมิติที่ 4 จะไปรบกวน
    ทำให้มันไม่สามารถที่จะเนรมิตออกมาเป็นรูปเป็นร่างในมิติที่ 3 ได้....


    .........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Sine_Wave.jpg
      Sine_Wave.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.9 KB
      เปิดดู:
      3,314
    • 6th dimension.jpg
      6th dimension.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43 KB
      เปิดดู:
      3,081
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  13. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    อยากรู้ว่าจริงๆแล้วมิติทั้งหมดนี่มันกี่มิติกันแน่เนี่ย
    หลายตำราเหลือเกิน ไม่ชัวร์ก็ไม่เป็นไร อ่านเอามัน
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ดีครับ ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ ว่าอยากจะอ่านเอามัน
    เพราะฉะนั้นแล้ว ก็อย่าไปซีเรียสกับคำตอบเลยนะครับ

    ขอให้สนุกนะครับ


    :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
    ...........................................................
     
  15. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +433
    เรื่องพวกนี้ ถ้าเริ่มอ่านแรก ๆ ก็แนะนำให้อ่านเล่น ๆ อ่านเอาสนุกไว้ก่อนครับ ไม่ยังงั้นละก็เครียดเปล่า ๆ โดยใช่เหตุ เมื่อแต่ก่อนโน้นผมเริ่มอ่านงานของ Kryon บอกตรง ๆ ว่าไม่ชอบเลย อ่านไปก็ยิ่งรู้สึกเป็นแนวคิดบ้า ๆ บอ ๆ ไร้สาระ แต่พอผ่านไป ๆ บอกได้เลยตอนนี้เป็นทั้งสาวก ทั้งแฟนคลับ อ่านได้ อ่านดี ไม่เบื่อ

    (*)

    คงเหมือนตอนที่มีคนถาม Kryon ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราพร้อมหรือเราต้องการพัฒนาการทางจิตวิญญาณมากขึ้น Kryon ก็ตอบว่า เป็นเรื่องธรรมชาติมาก ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรหรอก เหมือนกับว่าเวลาเราหิวเราก็จะเริ่มหาของกินแต่ถ้าอิ่มอยู่ไม่หิวเราก็ไม่้ขยับไปหาของกิน แน่นอนมีสิ่งที่เรียกว่า ความหิวความกระหายทางจิตวิญญาณอยู่ด้วย ดังนั้นไม่ต้องวิตกหรือกัังวลอะไร

    ^-^

    แล้วก็อย่างที่ Kryon บอกเสมอ ๆ คือ มนุษย์มีความหลากหลาย มีลักษณะของความไม่เหมือนใคร ดังนั้นจะมีเส้นทางเฉพาะของที่เหมาะสมของมนุษย์แต่ละคนอยู่ ซึ่งไม่อาจจะเปรียบเทียบหรือลอกแบบกันได้

    (rose)

    ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ฟัง ค่อย ๆ คิดตาม สนุกและได้ความรู้ไปอีกแบบครับ


    (kiss)
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เรื่องมิติคู่ขนานชุดนี้ได้ความรู้ดีมากๆเลยครับคุณชยุต
    ขยายความรู้ได้ละเอียดลึกกกกกยิ่งขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ
    อ่านแล้วนึกอยากแบ่งปันทำเป็นหนังสือแนวการ์ตูนให้เด็กๆหรือผู้สนใจอ่านกันเยอะๆ
    มีภาพประกอบที่เข้าใจง่ายๆด้วยน่ะครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2013
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    สายใยแห่งจิตสำนึก
    The Strings of Consciousness


    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/superconscious/super_illumination_strings.html

    (เลือกมาแปลเพียงบางส่วน)


    ....มันมี “สายใยแห่งจิตสำนึก” (Strings of Consciousness) อยู่มากมาย
    ที่แผ่ออกไปจากหัวใจของฉัน – หัวใจของ IlliaEm ซึ่งแต่ละสายใย
    ก็จะเป็นสายใยแห่งจิตสำนึกหลากมิติ ที่ทอดยาวลงไปจากมิติที่ 10 เรื่อยลงไปสู่มิติที่ต่ำๆกว่าทั้งหลาย
    จนถึงโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพทั้งหลาย ที่อยู่ในมิติที่ 3 และที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่านั้น

    และในทุกๆมิติ บนสายใยแต่ละเส้น ก็จะมีสายใยย่อยๆที่แตกแขนงออกมาในแนวนอนอีกมากมายก่ายกอง
    เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆที่แตกต่างออกไป
    (เช่น ภพชาติแต่ละภพชาติ และโลกฯคู่ขนาน และ โลกฯบนเส้นทางเลือกอื่น เป็นต้น - ผู้แปล)

    ลองนึกภาพดูแบบนี้ว่า มีเชือกยาวๆอยู่เส้นหนึ่ง ที่ทอดยาวจากหัวใจของฉัน ซึ่งอยู่ในมิติที่ 10
    ทอดยาวเรื่อยลงไปผ่านโลกทุกๆโลก จนไปถึงมิติที่ 3 แล้วมันก็จะมี “เชือกเส้นหลัก”
    อีกจำนวนหนึ่งที่ทอดยาวไปในแนวตั้ง ผ่านทะลุเข้าไปสู่ “วิหารสีม่วง” (Violet Temples) ทุกๆวิหาร
    ซึ่งมีอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าของมิติทุกๆมิติ แล้วจากนั้น มันก็จะมี “เชือกเส้นรอง” อีก
    จำนวนมากมายก่ายกอง ที่ทอดยาวไปในแนวนอน จากวิหารสีม่วงทั้งหลาย
    เข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงแต่ละโลก ซึ่งรู้จักกันในนามของ “ชาติภพ” ต่างๆ
    ซึ่งอยู่ในแต่ละมิติอีกด้วย

    วิหารสีม่วงทั้งหลาย จะทำหน้าที่เป็นเหมือน “สถานีขยายสัญญาณ” (routing station)
    ให้กับ “สายใยชีวิตและจิตวิญาณ” ที่ทอดยาวในแนวตั้ง จากมิติที่สูงกว่า ลงไปสู่มิติที่ต่ำกว่า
    และแตกแขนงออกไปในแนวนอน เข้าไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงทุกๆโลก ที่อยู่ในแต่ละมิติ
    ดังนั้น แท้ที่จริงแล้ว สายใยแห่งจิตสำนึกของฉัน ก็คือ “สายใยแห่งวิญญาณ” (Strings of Spirit) นั่นเอง

    เพราะฉะนั้นแล้ว สายใยเหล่านี้ มันจึงมีอยู่อย่างมากมายก่ายกอง จนนับไม่ถ้วน
    และก็ไม่อาจที่จะทำให้ขาดสะบั้นลงได้ด้วย

    ในบางภพชาติ ที่อยู่ในมิติที่ 3 ของคุณ ที่เป็นภพชาติที่คุณตื่นรู้แล้ว คุณก็จะมีความจำได้หมายรู้ว่า
    คุณคือผู้สร้างโฮโลแกรมของตัวคุณเองขึ้นมา แต่ในทางกลับกัน ในภพชาติใดที่คุณยังคงหลับไหลอยู่
    คุณก็จะรู้สึกถึงการมีข้อจำกัด และการแบ่งแยกจาก The All That Is

    แต่โชคยังดีที่ เมื่อใดที่ตัวตนใดตัวตนหนึ่ง ของภพชาติที่กำลังหลับไหลอยู่เหล่านี้
    เกิดจดจำ “สายใยแห่งจิตสำนึก” ขึ้นมาได้ พวกเขาก็จะสามารถใช้มัน เพื่อเชื่อมต่อกับ
    ตัวตนหลากมิติของตัวเองได้ แล้ว “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” ของพวกเขา
    ก็จะมอบความรักแบบไม่มีเงื่อนไขมาให้พวกเขา และช่วยดูแลพวกเขา ซึ่งนี่คือสิ่งที่จำเป็น
    สำหรับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆของพวกเขา จนกว่า “คุณ” จะพร้อมแล้ว
    ที่จะตื่นรู้ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ

    ความสามารถของพวกคุณในการมีจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ อยู่มากกว่าใน 1 โลกแห่งความเป็นจริงนั้น
    เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากในมิติที่ 3 แต่โชคยังดีที่ มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
    กับตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ทั้งหลายของพวกคุณ ที่จะสามารถรับรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงแขนงย่อยๆ
    ที่แตกแขนงออกมาจากโลกแห่งความเป็นจริงหลัก หรือ “สายใยแห่งจิตสำนึกหลัก” ของพวกคุณได้

    ในมิติที่ 5 เมื่อใดที่คุณผสานรวมกับ “คู่แท้” หรือ “ส่วนเติมเต็มอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเอง
    (your Divine Complement) ได้แล้ว คุณก็จะกลับไปเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
    ซึ่งผลจากการรวมกันนี้ ก็จะทำให้คุณผนวกรวมเอาความทรงจำที่มีอยู่ทั้งหมด
    ที่เกี่ยวกับประสบการณ์ทุกๆประสบการณ์ ของตัวตนอีกขั้วหนึ่งของคุณ เข้ามาด้วยโดยอัตโนมัติ
    เพราะฉะนั้นแล้ว ในมิติที่ 5 นี้ คุณจึงสามารถมีจิตสำนึก/ความตระหนักรู้อยู่ในหลากหลายมิติ
    ในเวลาเดียวกันได้ และจากมุมมองของตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 5 ของคุณอันนี้
    คุณก็จะสามารถตระหนักรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆได้พร้อมๆกันมากที่สุดถึง 7 โลก

    ในมิติที่ 6 นี้ มันเป็นเรื่องง่ายๆที่จะรับรู้ถึงสายใยแห่งจิตสำนึกหลายๆสายพร้อมๆกัน
    ที่กำลังสั่นสะเทือนเอา “คลื่นแห่งความเป็นไปได้” ของโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆออกมาอยู่ตลอดเวลา
    และในมิติย่อยที่อยู่สูงที่สุดของมิติที่ 6 มันจะเป็นมิติ “ศูนย์กลางโปรแกรม” (Program Center)
    ของโฮโลแกรมของโลกแห่งความเป็นจริงทุกๆโลกของพวกคุณ ที่อยู่ในทุกๆมิติที่อยู่ต่ำลงมา
    ซึ่งจากตรงนี้ คุณจะสามารถรับรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงทุกๆโลกของพวกคุณ
    ทั้งที่อยู่ใน มิติที่ 6,5,4 และ 3 ได้พร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน

    มิติที่ 7 เป็นมิติของ “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul) ของคุณ ซึ่งมันก็คือ “ฮัป” (hub)
    ของระบบทั้งระบบ ที่แตกแขนงแยกย่อยออกมา เพื่อมาเป็นโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมด
    ของ “จิตวิญญาณ” ของคุณ ที่อยู่ในทุกๆมิติด้านล่าง ซึ่งเมื่อใดที่คุณสามารถจดจำได้ว่า
    จะสามารถท่องขึ้นไปในแนวดิ่ง ไปตามสายใยแห่งจิตสำนึกสายใยหลัก เพื่อเข้าไปสู่หัวใจ
    ของตัวตนที่เป็นพระเจ้า Elohim ของตัวเอง ที่อยู่ในมิติที่ 8 ถึง 10 ได้อย่างไรแล้ว
    คุณก็จะสามารถรับรู้ถึงสายใยทุกๆสายใย ของโลกแห่งความเป็นจริงทุกๆโลกของตัวคุณเอง
    ที่ทอดยาวลงมาสู่โลกเบื้องล่างได้

    ต่อไปชาว Arcturian จะมาพูดถึงมิติที่ 7 ถึงมิติที่ 12 ให้คุณฟัง
    (ซึ่งผมได้โพสต์ไปก่อนหน้านี้แล้วหนะนะครับ - ผู้แปล)

    แต่จงจำไว้เสมอว่า คุณทุกๆคน คือรูปธรรมชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 12
    ที่ได้ท่องเที่ยวลงมาตาม “สายใยแห่งจิตสำนึก” ของตัวเอง
    เพื่อมามีประสบการณ์อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้


    ดังนั้น มันจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้อง “บรรลุ” หรือ “เรียนรู้” เลย
    เพราะว่ามันมีแต่จะต้อง “จดจำให้ได้” เท่านั้น


    ฉันคือ IlliaEm

    …………………….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    หมายเหตุเพิ่มเติมครับ

    (ปล.ในนัยยะของข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย จะต่างจากทางพุทธนะครับ
    ที่ทางพุทธเราจะสอนให้มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
    แต่ในข้อความจากต่างมิติแล้ว แม้แต่ความเกรงกลัว และ ความละอายทั้งหลายแหล่เหล่านี้
    ก็จะต้องปลดปล่อยออกไปจากใจของเราให้หมด ไม่ให้ยึดเอาไว้เลย
    เพื่อจิตวิญญาณของเราจะได้เป็นอิสระจากพันธนาการของพลังงานด้านลบใดๆทั้งมวล – ผู้แปล)


    พอดีมีพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รู้ทางด้านการปฏิบัติแนวพุทธของเรา
    และท่านก็ปฏิบัติจนรู้เห็นมากกว่าผมเยอะ ดังนั้นท่านจึงได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า


    "ความจริงแล้ว ทางพุทธก็มิได้ต่างกันเลย...จิตเมื่อถึงระดับอุเบกขาแล้ว
    ก็ปล่อย...หลุดหมด...เพราะจิตระดับนั้น ทุกขณะมันเป็นอัตโนมัติไปแล้ว
    ...หิริ-โอตะปะ ก็ได้รับอิสระไปด้วยเช่นกัน...พ้นเลย..."


    ขอขอบพระคุณมากนะครับ ที่ได้ให้ความกระจ่างแก่พวกเรา
    เพราะลำพังผู้ที่ยังปฏิบัติไม่ถึงอย่างผม และ อาจจะมีท่านอื่นๆด้วย
    ก็อาจจะงง ในสิ่งที่ข้อความจากต่างมิตินี้กล่าวไว้ และในสิ่งที่พุทธเราสอน
    จึงอาจจะหลงเข้าใจไปว่า มันต่างกัน..แต่แท้ที่จริงแล้ว..มันไม่ต่างกันเลย

    .......................[/QUOTE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    “คู่แท้” หรือ “ส่วนเติมเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา”
    (THE DIVINE COMPLEMENT)


    ที่มา:
    http://www.multidimensions.com/superconscious/super_divine.html



    (เลือกมาแปลเพียงบางส่วน)

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    “คู่แท้” หรือ “ส่วนเติมเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา” หรือ Divine Complement
    หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า Twin Flame นั้น คือส่วนหนึ่งของตัวตนในมิติที่ 5 ของเราเอง
    ที่จะทำให้เรากลายเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ ในฐานะตัวตนที่ไร้เพศ (androgynous)

    ในมิติที่ 5 และในมิติที่อยู่สูงๆกว่าขึ้นไปทั้งหลาย มันจะไม่มีความเป็นขั้วใดๆอยู่เลย
    เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงไม่มีความเป็นเพศหญิง และ เพศชาย เพราะว่าทุกๆรูปธรรมชีวิต
    ที่อยู่ที่นี่จะปราศจากเพศโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขาก็อาจจะเลือกที่จะสวมใส่รูปกาย
    ของเพศหญิงหรือเพศชายก็ได้ด้วย ก็เหมือนกับการที่พวกเรา อาจจะเลือกที่จะแต่งตัว
    ให้เหมือนกับเพศตรงข้ามของตัวเองนั่นแหละ

    เมื่อใดที่ระดับความสั่นสะเทือนของเราอยู่ในระดับความสั่นสะเทือนของมิติที่ 5 แล้ว
    เราก็จะสามารถ เลือกที่จะส่งจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา หรือส่งส่วนหนึ่งของแก่นแท้ของความเป็นเรา
    ให้ลงมาเกิดในมิติที่ต่ำๆกว่าได้ ดังนั้น เราจึงจะต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งว่า
    เราจะลงมาเกิดเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย

    คู่แท้ของเรา หรือ Twin Flame ของเรา ก็คือส่วนหนึ่งของความเป็นตัวตนไร้เพศของเรา
    (our androgynous self) ที่ยังคงอยู่ในมิติที่ 5 เพื่อคอยดลใจและคอยช่วยเหลือชี้นำทางให้กับเรา
    ซึ่งเราที่ว่านี้ ก็คือผู้ที่ลงมาเกิดในร่างกาย ของมิติที่ต่ำๆกว่านั่นเอง และเพราะว่าคู่แท้ของเรา
    ก็คือผู้ที่มีแก่นแท้ของความเป็นตัวตนอันเดียวกันกับเรา ดังนั้น คู่แท้ของเรา จึงเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุด
    ที่จะทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับมิติที่ 5 ได้

    และถึงแม้ว่าตัวตนส่วนที่ลงมาเกิดอยู่ในร่างกายของเรา จะมีเพียงเพศเดียว
    แต่เราก็ยังจะมีความเชื่อมโยงอยู่กับตัวตนส่วนที่เป็นขั้วตรงข้ามกันกับเรา
    ผู้ซึ่งไม่ได้ลงมาเกิด และยังคงอยู่ในร่างที่ไร้เพศของเราที่อยู่ในมิติที่ 5 อยู่ตลอดเวลา
    และความเชื่อมโยงนี้เอง ที่กระตุ้นเรา ให้ค้นหาความเป็นเอกภาพของรักแท้

    ตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา (Our Higher Self) ได้ส่งธาตุแท้ของตัวเอง จำนวนมากมาย
    ลงมาเกิดในมิติที่ต่ำๆกว่า เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จากมิติที่ 3 และ 4 นี้เอง
    ที่จะทำให้เขามีภูมิปัญญา, ความรัก และ พลังอำนาจมากขึ้น

    ในลมหายใจออก ตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา ได้ส่งธาตุแท้ของตัวเองลงมาเพื่อมาหาประสบการณ์ชีวิต
    ในมิติที่ต่ำๆกว่า แล้วจากนั้น ในลมหายใจเข้า เขาก็จะเรียกเอาสิ่งที่ “กิ่งก้านสาขา” ของเขาเอง ทุกๆตัวตน
    ได้เรียนรู้มาทั้งหมด กลับคืนไปที่บ้านของเขา

    ซึ่งการเรียกคืนกลับบ้านดังกล่าวนี้ จะทำให้เรารู้สึกถึงความรัก..ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข..
    แต่บ่อยครั้ง เราก็อาจจะไม่สามารถได้ยินเสียงเรียกนั้น จากมิติที่สูงกว่าได้
    ดังนั้น เราจึงเที่ยวเสาะแสวงหามัน จากมิติที่เราอาศัยอยู่แทน

    ถ้าเราพบตัวตนอีกส่วนหนึ่งของเรา ที่ลงมาเกิดด้วยกันในโลกทางกายภาพนี้เข้า
    เราก็จะถูกดึงดูดให้อยากเข้าไปผสานรวมกับคนๆนั้นทันที ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะทำได้สำเร็จ
    แต่บ่อยครั้งกว่า ที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าความสลับซับซ้อนของชีวิตในมิติที่ 3 นี้
    ไม่ยินยอมให้เราประสบความสำเร็จในการผสานรวมกันอย่างที่ต้องการได้

    แต่อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ได้เจอกับตัวตนอีกส่วนหนึ่งของตัวเราเอง
    ก็สามารถที่จะจุดประกายไฟแห่งความทรงจำให้กับเราได้แล้ว
    แล้วเมื่อนั้น เราก็จะมีความรู้สึกอยู่ลึกๆข้างในว่า “เราอยากจะกลับบ้าน”
    ซึ่งเป็นที่ๆเราจะได้กลับไปผสานรวมกันกับคู่แท้ของเราอย่างแน่นอน

    แต่เราก็สามารถที่จะกลับบ้านของเรา “ในความตระหนักรู้ของเรา” ได้ด้วย
    ดังนั้น เราจึงสามารถที่จะมีประสบการณ์แห่งความสุข-ความอิ่มเอมใจ
    ของการผสานรวมกันทางกายภาพ กับตัวตนอีกส่วนหนึ่ง ที่อยู่ในโลกทางกายภาพของเราได้
    โดยการผสานรวมกันทางความตระหนักรู้ กับตัวตนส่วนที่เป็นวิญญาณที่ยังไม่ได้ลงมาเกิด
    ของเราเองแทน ซึ่ง Carl Jung เรียกการผสานรวมแบบนี้ว่า “การแต่งงานอันลี้ลับ”
    (the Mystical Marriage)

    ................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  20. Twana

    Twana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +725
    Knowledgable message -Heartfelt appreciation ka..
    Very good translation :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...