ข้อมูลเตรียมพรัอมรับมือสถานการณ์ภัยน้ำท่วม

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 7 ตุลาคม 2011.

  1. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    [​IMG]
    ด้วยความนอบน้อมอัญเชิญพระฉายาลักษณ์ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมฯ ขอเดชะ


    เพลง “ตามรอยพระราชา”<o></o>
    ทำไมพระราชาเดินไปในป่าเขา
    ท่านทรงห่วงใยคนที่เขาอยู่ห่างไกล
    ทำไมพระราชาถึงมีเหงื่อไหล
    ท่านทุ่มเทแรงกายทรงงานมาหลายปี

    ทำไมพระราชาถือแผนที่เอาไว้
    ท่านอยากจะทรงเห็นเมืองไทยได้ทุกที่
    เพราะอะไรพระราชาถึงต้องทำแบบนี้
    ท่านอยากให้เรามีชีวิตที่เป็นสุข

    ท่านทรงเหนื่อยทรงทำเพื่อเราเรื่อยมา
    ถึงเวลาทำให้ท่านสุขใจ
    ร่วมกันสร้างความดีด้วยใจและกาย
    ก้าวตามรอยบาทองค์พระราชา

    เพราะอะไรพระราชา ถึงต้องเดินลุยน้ำ
    ท่านลำบากเพื่อทำให้พวกเราสบาย
    ทำไมทุกๆบ้านจึงมีรูปท่านติดไว้
    เป็นหลักคอยเตือนใจให้เราทำความดี

    ทำไมพระราชาถึงไม่หยุดพัก
    ท่านไม่เคยหยุดพัก เพราะรักเราหนักหนา
    หนูอยากจะเป็นเด็กดีของพระราชา
    ต้องตั้งใจศึกษาขยันและพอเพียง

    ท่านทรงเหนื่อยทรงทำเพื่อเราเรื่อยมา
    ถึงเวลาทำให้ท่านสุขใจ
    ร่วมกันสร้างความดีด้วยใจและกาย
    ก้าวตามรอยบาทองค์พระราชา

    จากวันนี้สักหมื่นปีต้นไม้ที่พ่อปลูก
    ต้องสวยต้องงดงามและยิ่งใหญ่
    บวกกันเป็นดินเดียวให้พ่อได้สุขใจ
    ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปอย่างที่แล้วมา

    จะขอตามรอยของพ่อ
    ท่องคำว่าเพียงและพอจากหัวใจ
    เป็นลูกที่ดีของพ่อ
    ด้วยความรักด้วยภักดีตลอดไป

    จากวันนี้สักหมื่นปีต้นไม้ที่พ่อปลูก
    ต้องสวยต้องงดงามและยิ่งใหญ่
    บวกกันเป็นดินเดียวให้พ่อได้สุขใจ
    ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปอย่างที่แล้วมา

    จะขอตามรอยของพ่อ
    ท่องคำว่าเพียงและพอจากหัวใจ
    เป็นลูกที่ดีของพ่อ
    ด้วยความรักด้วยภักดีตลอดไป

    ร่วมกันสร้างความดีด้วยใจและกาย
    ก้าวตามรอยบาทองค์พระราชา

    ร่วมกันสร้างความดีด้วยใจและกาย
    ก้าวตามรอยบาทองค์พระราชา


    [​IMG]
    <o></o>

    <o></o>
    อนุโมทนาขอกุศลส่งบุญผู้ผลิตบทเพลง "ตามรอยพระราชา" / เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์

    บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ตามรอยพระราชา" เนื่องในโอกาสมหามงคล
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา
    ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ <o></o>
    เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีอย่างยิ่งใหญ่
    โดยได้จัดทำบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ "ตามรอยพระราชา"<o></o>
    ขับร้องโดย: เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ และคณะประสานเสียงเด็กๆ <o></o>
    คำร้องโดย : ชนะ เสวิกุล นิติพงษ์ ห่อนาค ทำนองโดย ชนะ เสวิกุล, อภิไชย เย็นพูนสุข
    เรียบเรียงโดย: นันทพงศ์ ทศพร <o></o>
    กำกับมิวสิควิดีโอโดย: ประพัฒน์ คูศิริวาณิชกร

    ติดตามฟังเพลงและรับชมมิวสิควิดีโอ "ตามรอยพระราชา" ทางสื่อทุกช่องทาง
    ของบมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กรุ๊ป และพันธมิตร ตลอดทั้งเดือนธันวาคมนี้
    หรือที่ ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา | จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) พร้อมดาวน์โหลดได้ฟรี! ทาง ### Gmember สังคมคนรักเพลง ### ฟังเพลงออนไลน์ เพลง ฟังเพลง เพลงฮิต ฟังเพลงใหม่ ล่าสุด เนื้อเพลง และ *1239000 และสัญญาอนุญาตของ YouTube แบบมาตรฐาน




    <o></o>[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1795752/[/MUSIC]
    <o>
    </o>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2011
  2. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    เชิญดาวน์โหลด คู่มือจัดการบ้านหลังน้ำลด
    และคู่มือฟื้นฟูระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าหลังน้ำลด


    จัดทำโดย
    คณะอาสาสมัคร สมาคมสถาปนิกในพระบรมราชูปถัมภ์
    สมาคมนักออกแบบเรขศิลป์ไทย
    วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พฤศจิกายน 2554
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    บริษัทที่ตนเองทำงานนั้นได้จัดทำโครงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม โดยเห็นว่าชีวิตของคนทำงานโดยส่วนมากต้องตื่นแต่เช้า เพื่อออกไปทำงาน การที่จะมีโอกาสได้ทำบุญตักบาตรก็ยากอยู่ และเพื่อเป็นการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมเล็กๆ สร้างความรักความสามัคคีในหมู่คณะ และสั่งสมบุญ สั่งสมความดีไว้ เป็นสมบัติแห่งอริยทรัพย์ ไว้เป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป

    โดยทุกสิ้นเดือน และทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไปจะไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาจำนวน ๙ รูป มารับบิณฑบาตรช่วงเช้าเวลา ๘.๐๐ น โดยให้พนักงานได้จัดเตรียมข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อนำใส่บาตรพระ ก่อนจะใส่บาตรก็ให้กล่าวถวายเป็นสังฆทานในหมู่สงฆ์ เพราะตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่่าซุง) ท่านได้กล่าวไ่้ว้ การถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์นั้นมีอานิสงฆ์มาก

    ตัวอย่างบางตอนที่หลวงพ่อท่านเล่าไว้ใน หนังสือธรรมปฏิบัติเล่ม ๑๐ หน้า ๔๔-๔๘ ขอคัดบางตอนที่ตรงประเด็นดังนี้--

    ...ก็เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททำบุญวันนี้ ๒ อย่าง ใช้ทั้งข้าวสุก และข้าวสาร คนที่ใส่บาตรข้าวสารระวังให้ดีนะตายไปท้องขึ้นนะ แต่ความจริงเขามีผล ข้าวสารใช้วันหลังได้ใช่ไหม

    แต่ว่าบุญใส่บาตรข้าวสุกก็ดี ทำบุญใส่ข้าวสารก็ดี ด้วยปัจจัยเงินทองก็ตาม หรือดอกไม้จัดเป็นการบูชา ถือว่าเป็น พุทธบูชา คือบูชาพระพุทธเจ้าด้วย เป็น ธรรมะบูชา บูชาพระธรรมด้วย เป็น สังฆบูชา บูชาพระอริยสงฆ์ด้วย ถ้าจัดเป็นทานทุกส่วนที่ทานทำเป็นสังฆทานทั้งหมด

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังฆทานนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีอานิสงส์มากเป็นกรณีพิเศษ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชิษฐ์ตรัสว่า

    "การถวายทานกับพระองค์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าสังฆทาน ๑ ครั้ง"

    เห็นไหม บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำบุญเมื่อวานก็ดี วันนี้ก็ดี เป็นการถวายสังฆทาน ถวายกับพระกลุ่มใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทานนี่ทุกคนถ้าเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงสังฆทานที่ท่านถวายแล้ว ถวายวันนี้ก็ตาม วันก่อนก็ตาม วันพระทุกวันพระที่ท่านมาใส่บาตรเป็นการถวายสังฆทานเหมือนกัน

    รวมความว่าสังฆทานนี่มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าตายจากความเป็นคน ที่อยู่ของคนถวายสังฆทานก็คือ ชั้นนิมมานรดี ชั้นที่ ๕ แต่ว่าส่วนใหญ่คนถวายสังฆทานไปเกิด "ชั้นดาวดึงส์" กันมาก เพราะอะไร เพราะว่าไม่รู้จักชั้นที่ ๕ จิตใจตั้งใจจะไปดาวดึงส์ก็ไปอยู่ดาวดึงส์ อย่างตัวอย่างมีอยู่ในพระไตรปิฏกมีอยู่ว่า

    ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นมีหญิง ๒ คน พี่สาวชอบถวายทานเฉพาะพระสงฆ์ที่เขาชอบ เขาชอบองค์ไหนก็ถวายองค์นั้น ก็ได้บุญใหญ่ โดยมากส่วนมากเวลานั้นมีพระอรหันต์ อานิสงส์สูง

    ทีนี้น้องสาวจะถวายทานบ้าง เจอะพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านบอกว่า ถวายทานอาตมาน่ะดีอานิสงส์มาก เพราะอาตมาเป็นพระอรหันต์ แต่ ว่าถึง แม้จะเป็นพระอรหันต์ก็ตาม การถวายทานมีอานิสงส์สู้ถวายสังฆทานไม่ได้ ขอให้โยมถวายเป็นสังฆทานเถอะ โยมคนนั้นก็ถวายเป็นสังฆทาน

    เมื่อตายแล้วต่างคนก็ต่างเข้าไปสู่สวรรค์ พี่สาวชอบถวายทานเป็นส่วนบุคคล เลยไปเกิดเป็นนางฟ้าบน สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก น้องสาวไปเกิดบน ชั้นนิมมานรดี ชั้นที่ ๕ ก็มีรัศมีกายสว่างกว่า สวยกว่าพี่สาวมาก

    วันหนึ่งน้องสาวมาเยี่ยมพี่สาวที่ ชั้นดาวดึงส์ ยืนคุยกัน พระอินทร์ ก็มองดูคิดว่า นางฟ้าองค์นี้มาจากไหน สวยมาก แสงสว่างก็มาก เครื่องประดับตัวก็สวย เมื่อน้องสาวลากลับไปแล้ว พระอินทร์ก็เรียกพี่สาวมาหา

    ถามว่า "นางฟ้าที่มาคุยกับเธอเมื่อกี้มาจากไหน"

    เธอก็ตอบว่า "มาจากชั้นนิมมานรดี ชั้นที่ ๕ เขาเป็นน้องสาว"

    พระอินทร์ก็ถามว่า "ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอชอบทำบุญอะไร จึงมีรูปร่างหน้าตาสวย เครื่องแต่งกายก็สวยมาก แสงสว่างก็สว่างมาก"

    เธอก็บอกว่า "น้องสาวชอบถวายสังฆทาน"

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เฉพาะสังฆทานน่ะ ตายจากความเป็นคนไปเกิดชั้นที่ ๕ ของสวรรค์ ถ้ากลับมาเกิดเป็นคนเมื่อไหร่ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า

    "คนที่ถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต แม้แต่ครั้งเดียว ถวายด้วยศรัทธาแท้ ในสถานที่ใดที่เต็มไปด้วยความยากจนเข็ญใจมีความแร้นแค้น คนถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไปเกิดที่นั่น ในดินแดนเต็มไปด้วยความร่ำรวยมีความสุข มีทั้งความอุดมสมบูรณ์ จะเกิดที่นั่น"


    เป็นอันว่า คนที่ถวายสังฆทาน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้ท่านถวายสังฆทานกันแล้ว ผลที่จะพึงได้ก็คือ

    ๑. เกิดเป็นนางฟ้า หรือเทวดาชั้นที่ ๕

    ๒ ท่านเกิดใหม่กี่ชาติก็ตาม ยังไม่ถึงนิพพานเพียงใด คำว่ายากจนเข็ญใจจะไม่มีในท่าน

    ๓ ที่ทายกบอกว่า มะตะกะ ภัตตานิ การถวายวันนี้ถวายให้แก่คนตาย วันนี้พระยายมปล่อยคน ปล่อยเฉพาะคนที่รอการสอบสวน สัตว์ นรกปล่อยไม่ได้นะ เปรต อสุรกาย ปล่อยไม่ได้ ปล่อยเฉพาะคนที่รอการสอบสวน คนที่ตายไปแล้วมีบุญน้อยพอสมควร มีบาปน้อย ไม่แน่ใจว่าจะไปสวรรค์นรก ก็ไปรอการสอบสวนก่อน แต่รอมากนับแสน แต่การรอของสัตว์พวกนี้ก็รอนานเพราะว่า ๕๐ ปีของเราเป็น ๑ วันในเขตของพระยายม

    ฉะนั้นวันนี้ปล่อยสัตว์ออกมา ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถ้วนหน้า หลัง จากทำบุญจบแล้วให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น ที่ใช่ญาติไม่ใช่ญาติ ตั้งใจโดยเฉพาะนะ ถ้าญาติออกชื่อได้จะดีมาก ถ้าออกชื่อได้นี่เขาได้แน่นอน จะพ้นการสอบสวนไปสวรรค์ทันที

    สำหรับที่ไม่ใช่ญาติ หรือญาติออกชื่อไม่ได้ ก็นึกในใจก็แล้วกันว่า ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ที่มีความสุขก็ตาม มีความทุกข์ก็ตาม ขอให้โมทนาผลบุญที่เราทำในวันนี้ ถ้าเขามีโอกาสโมทนาได้ เขาจะมีความสุข ละจากสภาพจากความเป็นสัมภเวสีไปสวรรค์ทันที...

    -สรุป--

    หมายความว่า ปกติสังฆทานที่มีบุญมหาศาลอยู่แล้ว แต่ถ้าทำถูกจังหวะจะได้อานิสงส์ทวีคูณประมาณมิได้


    - เครื่องสังฆทานที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ (ทรัพย์ที่จะทำบริสุทธิ์)

    - ผู้ถวายมีจิตใจ แน่วแน่ บริสุทธิ์ และเบิกบาน ในอันที่จะนึกถึงประโยชน์ในเครื่องสังฆทานที่จำเป็นต่อพระสงฆ์ ทั้งก่อนให้ เวลาให้ และหลังให้

    - พระสงฆ์ (ผู้รับ) เป็นผู้ปฎิบัติชอบ ( ยิ่งหากผู้รับถวายสังฆทานเป็น พระอริยเจ้า ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าระดับ พระอรหันต์ ยิ่งสมบูรณ์แบบมีอานิสงส์มหาศาล และยิ่งถ้าพระอรหันต์นั้นออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ยิ่งมหาศาลเป็นทวีคูณประมาณมิได้)

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3.258746/

    แต่ในปัจจุบันนี้เราจะรู้ได้ไงว่าพระองค์ใหนเป็นพระจริงหรือพระปลอม ซึ่งดูํได้ยาก การให้ถือว่าการสละ การสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่หวังเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น ถือว่าเป็นการให้ที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว ได้บุญอยู่แล้ว ก็น้อมจิตระลึกภาพถึงรูปภาพ รูปลักษ์ ขององค์พระพุทธเจ้าที่งดงามที่สุด ใสที่สุด เป็นประธาน ให้ระลึกว่าเรากำลังใส่บาตรกับพระองค์ท่าน

    วิีธีนี้เห็นได้ว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีและเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะเวลาทำบุญ จิตนึกถึงบุญและนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอนุสติ เป็นอารมณ์ตลอด จิตก็ย่อมมีความปิติสุข ในบุญอย่างแน่นอน


    จึงขอเชิญชวนท่านใด หากบริษัทใด องค์กรใด ที่เจ้านาย นายจ้าง ที่เห็นว่ามีประโยชน์ เห็นความสำคัีญในจุดนี้ก็สามารถจัดทำโครงการการทำบุญตักบาตร หรือการปฏิบัติสมาธิในเวลาเช้า หรือกลางวันก็ดีนะครับ จัดเป็นชมรมได้ยิ่งดีเลย ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง เสียเวลาอะไรมากมายเลยและเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นมงคล มีคุณค่าต่อสังคมเล็กๆในองค์กร
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    เตือนป่วยภูมิแพ้ระวังสัมผัสเชื้อราน้ำท่วมก่ออันตราย

    [​IMG] กรมควบคุมโรคเตือนระวังเชื้อรา ผู้เป็นภูมิแพ้ หากสัมผัสอาจเกิดอันตรายได้ ขณะคนกินยากดภูมิ มีประวัติเป็นวัณโรค อาจเสี่ยงรับเชื้อราเข้าสู่ปอดเพิ่ม แนะวิธีทำความสะอาดอย่างถูกต้อง...

    เมื่อ วันที่ 9 ธ.ค. นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางกรมควบคุมโรคมีความเป็นห่วงเรื่องเชื้อราที่มากับน้ำท่วม ซึ่งมักพบตามอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน โรงเรียน สำนักงาน และสถานที่ต่างๆ โดยการสำรวจเบื้องต้นของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า เชื้อราส่วนใหญ่ไม่ได้ก่อโรคในคน แต่เป็นเชื้อที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดเพราะความชื้นจากน้ำท่วม ซึ่งหากมีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันดีแล้ว จะไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น แพ้ละอองเกสร ก็อาจแพ้เชื้อราด้วย หากสูดหายใจเอาละออง (สปอร์) ของเชื้อราเข้าไป โดยอาจเกิดอาการโพรงจมูกอักเสบ ระคายเคืองนัยน์ตา หอบหืด หรือปอดอักเสบ จากการแพ้ เป็นต้น

    “นอกจากนี้ ในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ที่ใช้ยากดภูมิกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับเคมี บำบัดผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่เคยเป็นวัณโรค หรือโรคปอดเรื้อรัง รวมทั้งผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือผู้สูงอายุ อาจติดเชื้อราในปอด ซึ่งบางรายมีอาการรุนแรงได้ แต่ปัญหาเชื้อราเหล่านี้จะเกิดมากหรือน้อย ขึ้นกับโอกาสและการสัมผัสกับเชื้อรา ดังนั้นจึงต้องทำความสะอาดทุกอาคารบ้านเรือนอย่างดี รวมทั้งสวมเสื้อผ้ามิดชิดด้วย” นพ.รุ่งเรือง กล่าว
    [​IMG]
    โฆษกกรม ควบคุมโรค กล่าวต่อว่า สำหรับข้อแนะนำการทำความสะอาดเชื้อราอย่างถูกวิธีนั้น เน้นการเช็ดเชื้อราออกให้หมด แล้วปล่อยให้พื้นแห้ง จึงต้องเปิดประตูระบายอากาศให้มากที่สุด สิ่งที่กรมฯกังวล คือ เชื้อราจะเจริญเติบโตในความชื้น เช่น ห้องน้ำ อาจจำเป็นต้องล้างด้วยสารฆ่าเชื้อ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว หรือผงซักฟอก ด้วยการผสมผงซักฟอก 1 ส่วน ผสมกับน้ำ 10 ส่วน แต่ผู้ใช้ต้องสวมถุงมือยางป้องกันด้วย เพราะอาจเกิดการระคายเคือง กรณีเสื้อผ้าที่จมน้ำ ควรซักให้สะอาด แล้วลวกน้ำร้อน ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างใหม่ให้หมด หลังจากล้างเสร็จแล้ว ให้ตากแดดอุปกรณ์ จำพวกเครื่องครัวและภาชนะบรรจุให้แห้ง แล้วค่อยเช็ดให้สะอาด ก่อนเก็บจัดวางตามชั้นวางของต่างๆ กรณีเป็นวัสดุที่มีรูพรุน ยากต่อการทำความสะอาด บางครั้งหากไม่หนักหนา หรือราคาสูงมาก แนะนำให้ทิ้งทันที

    เตือนป่วยภูมิแพ้ระวังสัมผัสเชื้อราน้ำท่วมก่ออันตราย - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
  5. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    <table class="ecxmainmap" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="100%"><tbody><tr><td align="center" width="62%">
    นักวิชาการแนะอย่าซื้อบ้าน คลอง 6,13 ชี้เป็นทางผันน้ำ

    </td> <td width="32%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" width="33%">
    </td> <td align="center" width="33%">
    </td> <td align="center" width="33%">
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]




    นักวิชาการแนะไม่ควรซื้อบ้านในพื้นที่คลอง 6 , คลอง 13 เพราะเป็นทางระบายน้ำ แนะวางผังเมืองใหม่ให้ครอบคลุม แจ้งประชาชนให้ชัดก่อนซื้อบ้าน ว่าพื้นที่อยู่ในเขตเกษตรกรรมหรือไม่

    ในงานสัมมนาวิชาการ หัวข้อ "เมื่อมหาวิกฤติอุทกภัยผ่านไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย จะปรับตัวอย่างไร" ซึ่งจัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้มีการเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์มาพูดคุย กันถึงประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังภาวะวิกฤติน้ำท่วม โดยประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ได้มีการเตือนประชาชนไม่ให้ซื้อบ้านบริเวณที่เป็นทางระบายน้ำ

    โดย รศ.มานพ พงศทัต ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จาก เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทำให้มองเห็นได้ว่า ต้องเร่งให้ข้อมูลกับประชาชนที่จะซื้อบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณคลอง 6 และคลอง 13 ควรหยุดการซื้อบ้านในบริเวณดังกล่าว เพราะหากเกิดน้ำท่วมขึ้น เส้นทางนี้จะถูกใช้เป็นทางระบายน้ำอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีนี้ และในอนาคตก็จะเจอปัญหาเช่นนี้อีกแน่นอน

    นอกจากนั้นแล้ว รศ.มานพ ยังแนะนำว่า สื่อมวลชนควรจะเป็นสื่อกลางให้ความรู้กับประชาชน ว่า พื้นที่ใดเป็นพื้นที่สีเขียว และสีเขียวลายขาว ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรที่มีน้ำท่วมถึง รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่เตรียมไว้รองรับน้ำ เพื่อที่ประชาชนจะได้ไม่ไปซื้อบ้านในบริเวณดังกล่าว จะได้ไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมตามมา เพราะในปัจจุบันนี้ พบว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย มักเข้าไปพัฒนาโครงการในพื้นที่สีเขียว และสีเขียวลายขาวมากขึ้น

    รศ.มานพ ยังกล่าวต่อด้วยว่า ที่ต้องเร่งแก้ไขใหม่คือผังเมือง เพราะที่ผ่านมา ผังเมืองควบคุมแต่เฉพาะเขตเทศบาล ส่วนนอกเขตไม่มีการบังคับใช้ อย่างเช่นในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ถูกน้ำท่วม เสียหายเป็นพื้นที่นอกเขตเมืองทั้งสิ้น ดังนั้น อนาคตต้องปรับผังเมืองใหม่ กำหนดผังสีการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ชัดเจน และครอบคลุมทุกจังหวัด ซึ่งจะทำให้เห็นผังเมืองเป็นภาพใหญ่ขึ้น ขณะที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ต้องทำผังเมืองร่วมกันเป็นระดับอนุภาคด้วย


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    [​IMG]
     
  6. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    เจลล้างมือ อุปกรณ์ต้านภัยพิบัติโรคระบาด



    [​IMG]


    เรื่องของภัยพิบัติจากโรคระบาด จากนี้ไปคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เราต้องหมั่นดูแลสุขภาพและรักษาความสะอาด โดยเฉพาะการล้างมือเพื่อปลอดภัยโรคระบาดต่างๆ อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ช่วยรักษาความสะอาดได้ คือ เจลล้างมือ ซึ่งมีจำหน่ายทั่วไป หรือ จะซื้อวัตถุดิบมาทำใช้เองก็ได้
    วิธีทำเจลล้างมือ ไม่ต้องใช้น้ำ
    สูตร 1 : สูตรพื้นฐาน เพื่อการเตรียมเจลแอลกอฮอล์ 500 มล.
    1 Carbopol 940 (คาร์โบพอล 940) 1.5 กรัม
    2 Ethyl alcohol 95% (เอทิล แอลกอฮอล์ 95%) 370 มล.
    3 Triethanolamine (ไตรเอทาโนลามีน) 1.5 กรัม
    4 น้ำบริสุทธิ์ (น้ำ RO หรือ น้ำกลั่น) 128 มล.
    วิธีการเตรียม
    1. ตวงเอทิลแอลกอฮอล์ ผสมกับ น้ำบริสุทธิ์
    2. ค่อยๆ โปรย คาร์โบพอล 940 และใช้เครื่องกวนให้กระจายตัว
    3. ใส่ ไตรเอทาโนลามีน จะได้เจลแอลกอฮอล์
    สูตร 2 : สูตรเพิ่มสารให้มือนุ่มลื่น เพื่อการเตรียมเจลแอลกอฮอล์ 500 มล.
    1 Carbopol 940 (คาร์โบพอล 940) 1.5 กรัม
    2 Ethyl alcohol 95% (เอทิล แอลกอฮอล์ 95%) 370 มล.
    3 Triethanolamine (ไตรเอทาโนลามีน) 1.5 กรัม
    4 น้ำบริสุทธิ์ (น้ำ RO หรือ น้ำกลั่น) 123 มล.
    5 Propylene glycol (โพรไพลีน ไกลคอล) 5 มล.
    วิธีการเตรียม
    1. ตวงเอทิลแอลกอฮอล์ ผสมกับ น้ำสะอาด และเติมโพรไพลีน ไกลคอล
    2. ค่อยๆ โปรย คาร์โบพอล 940 ซึ่งเป็นสารประกอบให้เกิดเจล
    (Gel forming agent) และใช้เครื่องกวนให้กระจายตัว (พักทิ้งไว้ 1 คืน)
    3. ใส่ ไตรเอทาโนลามีน (สารประกอบให้เกิดเจล) เติมสี/กลิ่น จะได้เจลแอลกอฮอล์
    ข้อควรระวัง!
    1. ห้ามใช้ Methyl alcohol (เมทิล แอลกอฮอล์) แทนเอทิลแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
    2. แอลกอฮอล์ จะติดไฟง่าย ต้องระวังการเกิดเปลวไฟ ในส่วนของน้ำที่นำมาใช้ควรเป็นน้ำบริสุทธิ์ (น้ำ RO หรือ น้ำกลั่น) เท่านั้น ห้ามใช้น้ำบาดาลเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดตะกอน

    ข้อมูลเพิ่มเติม
    * สำหรับแหล่งซื้อวัตถุดิบในการทำเจลล้างมือไม่ใช้น้ำนั้นมีจำหน่ายที่ร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ และร้านขายเครื่องเคมี
    * เจลล้างมือไม่ใช้น้ำที่ดีนั้นเมื่อเปิดใช้ต้องมีกลิ่นแอลกอฮอล์ สามารถใช้เจลล้างมือได้บ่อยครั้งตามต้องการ
    * อายุการเก็บรักษาของเจลล้างมือจะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต
    ที่มา: เภสัชกรอรรคชัย ตันตราวงศ์ นักวิชาการ ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

    ขอบคุณข้อมูลจาก:เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโรคระบาด ทำได้ด้วยตนเอง | พลังจิต สมาธิ ธรรมะ ภัยพิบัติ
     
  7. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    บ้านสวนพอเพียง

    สอนเพื่อนทำน้ำยาล้างจาน


    1. N70 0.5 กิโลกรัม
    2. เกลือ 0.7 กิโลกรัมต้มด้วยน้ำ 1.5 กิโลกรัม(ลิตร)ทิ้งไว้ให้เย็น
    3. น้ำหมักผลไม้รสเปรี้ยว 1 ลิตร + น้ำ 10 ลิตร กะๆเอาน้ำหมักผมมีเยอะ ใส่มากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร
      น้ำหมักผลไม้รสเปรี้ยว
      น้ำหมักผลไม้รสเปรี้ยวสูตร 3:1:10
      ผลไม้ 3 กิโลกรัม
      น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
      น้ำ 10 ลิตร
      หมักทิ้งไว้ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย
    [​IMG]
    น้ำหมักผมครับ มะกรูด มะนาว มะปริง มั่วได้ที่​
    [​IMG]
    น้ำ เกลือครับอันนี้ก็มั่วอีก พ่อผมต้มข้าวโพดเสร็จ ผมก็เอาน้ำที่เหลือจากต้มข้าวโพดใส่เกลือเพิ่มเข้าไปให้ได้ตามสูตรแล้วต้ม ให้เกลือละลาย​
    วิธีที่ผมทำ

    1. เท N70 ครึ่งกิโลกรัมลงไปในถังที่มีความจุประมาณ 20 ลิตร
    2. ค่อยๆ เติมน้ำเกลือ คนไปเรื่อยๆ คนให้เข้ากัน
      [​IMG]
    3. คน และเติมน้ำเกลือไปเรื่อยๆ จนน้ำเกลือหมด
    4. ค่อยๆ เติมน้ำหมักที่ผสมน้ำแล้ว แล้วคนไปเรื่อยๆ อย่ารีบเติม เติมไปคนไป ความหนืดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
      [​IMG]
    5. ทดสอบความหนืดโดยการดึงไม้ที่ใช้กวนขึ้นมาดู
      [​IMG]
      ถ้าไหลเร็วก็แสดงว่าเหลวเกินไป ถ้าไหลช้าแสดงว่าข้น
      ขึ้นอยู่กับว่าอยากได้แบบเหลวหรือแบบข้น
    6. ทิ้งไว้ 1 คืนเพื่อให้ฟองยุบ จึงนำมาใช้งานได้
    ขอบคุณข้อมูลจาก:สอนเพื่อนทำน้ำยาล้างจาน | บ้านสวนพอเพียง
     
  8. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    สาระน่ารู้เกี่ยวกับการยังชีพ (Survival)

    คำแนะนำในการจัดเตรียมชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง

    [​IMG]


    แปลและเรียบเรียง โดย Kongp


    สถานการณ์ฉุกเฉิน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกที่และทุกเวลา ไม่สามารถคาดคะเนได้ หลายๆครั้งในข่าวทางโทรทัศน์ จะเห็นบุคคลที่ไม่ได้เตรียมเลยสำหรับกรณีฉุกเฉิน คนเหล่านี้มักจะตกอยู่ในอันตรายมาก และคนเหล่านี้ต้องรับการช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น วัตถุประสงค์ของชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง คือ การตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของเรา และรอรับการช่วยเหลือต่อไป โดยปกติแล้ว ระยะเวลา 3 วันก็เพียงพอสำหรับชุดฉุกเฉินของคุณ เพื่อให้สามารถยังชีพและอยู่รอดได้ จนความช่วยเหลือต่างๆ เข้ามา หากคุณมีครอบครัว คุณควรเตรียมชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ให้พอดีกับสมาชิกในครอบครัวของคุณ คำแนะนำดังต่อไปนี้ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณทราบวิธีการจัดชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ด้วยตัวคุณเอง
    คำแนะนำในการจัดเตรียมชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง

    สิ่งจำเป็นที่คุณจะต้องทำ

    - หา กระเป๋า เป้สะพาย หรือ จะเป็นถุงกันน้ำก็ได้ เพื่อสำหรับใส่สิ่งของตามรายการทั้งหมดที่คุณเลือกไว้
    - คุณไม่จำเป็นต้องเลือกทุกรายการที่จะให้คำแนะนำต่อไปนี้ก็ได้ แต่ให้เลือกในสิ่งที่คุณคิดว่าจำเป็นที่สุด
    - ทำรายการสิ่งของจำเป็นที่จะรวมอยู่ในชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมงของคุณและสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยจดใส่แผ่นกระดาษ อย่าลืมว่า ต้องเหมาะสำหรับคุณและคนในครอบครัวจริงๆ

    การเลือกสิ่งของที่อยู่ในชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง

    1. อาหารประเภทใดที่คุณจะต้องเลือกใส่ลงในชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ?

    - ควรเป็นอาหารที่รับประทานได้ทันที และเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ควรเป็นอาหารที่รสไม่จัด และไม่ต้องใช้น้ำมาก รวมไปถึงเตาขนาดเล็กพร้อมเชื้อเพลิง , ถ้วย ชามอลูมิเนียม ที่เปิดกระป๋อง อลูมิเนียมฟอยด์ เผื่อไว้สำหรับกรณีที่คุณจำเป็นต้องประกอบอาหาร คุณอาจจะต้องตกปลา เพื่อยังชีพ ดังนั้นควรมีชุดตกปลาสำรองไว้ เผื่อเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้ ควรมีสบู่สำหรับล้างมือ หรือล้างจานของคุณ

    2. คุณควรจะมีอุปกรณ์ เครื่องมืออะไรบ้าง ?

    - คุณจำเป็นจะต้องมีเทปผ้า (Duct Tape) ไว้ซ่อมแซมบ้านของคุณ เชือกร่มยาว 50 ฟุต , เลื่อยโซ่ ,ที่อุดหู หน้ากากกันฝุ่น N95 , พลั่วขนาดเล็ก พับได้ , กรรไกร ,มีด , กาว , ถุงมือช่าง , น็อต สกรู , คีม , ประแจ , ปากกาเมจิ , คีมเอนกประสงค์ และ กล่องพลาสติก ไว้เก็บสิ่งของเหล่านี้

    3. เงินและเอกสารประเภทไหน ที่คุณต้องนำไปด้วย ?

    - ในชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง คุณจำเป็นต้องมีรายการเอกสารที่สำคัญ เช่น เอกสารเกี่ยวกับประกันภัย เอกสารเกี่ยวกับครอบครัวของคุณ เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน ใบรับรองการเกิด และทะเบียนสมรส แผนที่ในท้องถิ่นของคุณ และเข็มทิศ เพื่อวางแผนอพยพ ภาพถ่ายครอบครัว เงินสด บัตรเครดิต กล้องใช้แล้วทิ้ง กล้องส่องทางไกล หนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ต และเอกสารอื่นๆ ที่คุณคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะอยู่ในชุดฉุกเฉิน

    4. อุปกรณ์ให้แสงสว่าง ควรเลือกอย่างไร ?

    - ควรมีไฟฉาย พร้อมแบตเตอรี่สำรอง , เทียนไขขนาดใหญ่ ที่สามารถจุดได้หลายชั่วโมง และแท่งเรืองแสงแบบ 12 ชั่วโมง

    5. ที่พักอาศัยและเครื่องนุ่งห่ม จะเตรียมอย่างไรดี ?

    - สำหรับที่พักอาศัยและเครื่องนุ่งห่มของคุณ คุณสามารถเลือกเต็นท์ที่มีขนาดเล็ก มาไว้ในชุดฉุกเฉินได้ นอกจากนี้ ยังมีถุงนอน , ผ้าห่ม , ผ้าห่มฉุกเฉิน ,เสื้อกันฝน และผ้าพลาสติกกันน้ำ ไว้ทำหลังคา หรือเรียกว่าฟลายชีต

    6. สำหรับน้ำเพื่อบริโภคและอุปโภค ควรบริหารจัดการอย่างไรดี ?


    - คุณควรมีน้ำเก็บไว้ในชุดฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ไม่น้อยกว่า 1 แกลลอนต่อคนต่อวัน หรือ 2 แกลลอนต่อคนต่อวัน เพื่อสำหรับบริโภคและอุปโภค หากต้องการทำน้ำให้สะอาด คุณสามารถทำให้สะอาดได้ด้วยวิธีการต้มน้ำ และใช้ยาบำบัดน้ำ

    7. เกี่ยวกับความร้อนและการให้ความอบอุ่น ควรมีอะไรบ้าง ?


    - คุณควรมีไม้ขีดไฟ หรือ ไม้ขีดไฟกันน้ำ ,ไฟแช็ค , แท่งจุดไฟ , เลนส์ขยาย สำหรับก่อกองไฟ หรือ ฮีทเตอร์แบบพกพา เพื่อความอบอุ่นแก่คุณ

    8. เกี่ยวกับการสื่อสารในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควรเตรียมตัวอย่างไร ?

    - คุณควรมีวิทยุ AM FM พร้อมแบตเตอรี่สำรอง หรือ แบบชาร์จมือหมุนไดนาโม หรือ แบบชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ควรมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออื่นๆ เช่น กระจกสะท้อนแสง นกหวีด โทรศัพท์มือถือ , กระดาษและดินสอ , บัตรโทรศัพท์แบบเติมเงิน , พลุส่งสัญญาณ และหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน

    9. เกี่ยวกับด้านสุขภาพอนามัย ควรนึกถึงอะไรบ้าง ?

    - คุณควรที่จะมี กระดาษชำระ , เสปรย์ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ , โลชั่นต่างๆ , ยาประจำตัว ,อุปกรณ์ปฐมพยาบาล , ผ้าเช็ดตัว , สบู่ , ยาทากันยุง ไล่แมลง , มีดโกน ครีมโกนหนวด , หวี แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และรายการอื่นๆ ที่คุณคิดว่ามันจำเป็นสำหรับคุณ

    10. เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย ควรเลือกอย่างไร ?


    - ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีความอบอุ่น ไม่อุ้มน้ำ และสามารถปกป้องร่างกายได้เป็นอย่างดี เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว นอกจากนี้ ยังมีรองเท้าที่แข็งแรง เช่น รองเท้าผ้าใบ ถุงเท้า หมวก ถุงมือ แว่นกันแดด เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2012
  9. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    โปรดใช้วิจารณญาณ

    ให้ระมัดระวังเตรียมตัวรับมือน้ำหากเจอสภาพน้ำท่วมอีกจะทำอย่างไร
    น้ำบนดินอาจน้อยแต่น้ำใต้ดินอาจอันตราย และเืรื่องเก็บกักน้ำดิ่มให้มากๆ ทุกท่านที่ทราบถ้าที่บ้านของท่านมีอุปกรณ์เก็บน้ำดิ่มน้อยอยู่ ให้หาถังที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ดิ่ม กินให้มากๆ และควรศึกษาหาวิธีทำน้ำดิ่มให้สะอาด เพราะน้ำต่อไปอาจจะไม่สะอาดมีเชื่อโรคและสารต่างๆปะปนมากขึ้น
    วันหน้าอาจจะได้ใช้ประโยชน์

    และหลักเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงมีความสำคัญมากๆครับ
     
  10. อนัตตสัญญา

    อนัตตสัญญา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    <table id="post5467413" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #1295 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> tanakorn_ss [​IMG]
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2009
    ข้อความ: 1,525
    พลังการให้คะแนน: 302 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5467413" style="border-right: 1px solid #FFFFFF">
    ปีหน้าเป็นต้นไป ฝากความห่วงใยไปถึงสมาชิกที่มีความเกี่ยวเนื่องในกระทู้ทุกท่านนะครับ
    และโปรดใช้วิจารณญาณ จงอย่าเชื่อโดยทีเดียว ไม่ใช่เป็นการทำนายพิเศษอะไร เพราะไม่มีความสามารถพิเศษอะไร แต่มีความเป็นห่วงด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ได้มีเจตนาทำให้ตื่นตระหนก เพียงแต่เป็นการเล่าสู่ฟังในเพื่อนสมาชิกด้วยกันเท่านั้น

    ขอให้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ

    ปีหน้าเป็นต้้นไป ขอให้ระมัดระวังและเตรียมตัวดังนี้นะครับ

    - อะไรที่เคยเห็นก็จะได้เห็น อะไรที่คิดว่าไม่เกิดก็จะเกิด พยายามให้คิดว่ามันเรื่องธรรมดา ที่มันจะต้องเกิดและมันก็ต้องดับ ทุกสิ่งไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป เป็นตามยุค ตามกาลเวลา ตามวาระ ตามเหตุและปัจจัย สำคัญมากๆคือต้องไม่ประมาท

    - ให้ระมัดระวังเตรียมตัวรับมือน้ำหากเจอสภาพน้ำท่วมอีกอาจจะมาทางทะเลหรือทางเดิม
    น้ำบนดินอาจน้อยแต่น้ำใต้ดินอาจมีมากและอันตราย มีผลให้ดินทรุด และเตรียมเืรื่องการกักเก็บน้ำดิ่มน้ำใช้ให้มากๆ สำรวจและพิจารณาบ้านของท่านมีอุปกรณ์เก็บน้ำดิ่มมากน้อยเพียงใด และเก็บอย่างไรถึงจะสามารถไว้ใช้ได้ ให้หาถังที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ดิ่ม กินให้มากๆ และควรศึกษาหาวิธีทำน้ำดิ่มให้สะอาด เพราะน้ำต่อไปอาจจะไม่สะอาดพอมีเชื่อโรคและสารต่างๆปะปนมากขึ้น
    อ่านข้อความแล้วอาจงงๆ ไม่เข้าใจอยู่ แต่เดีียววันหน้าจะเข้าใจครับ

    อีักวิธีหนึ่งคือไดัรับคำแนะนำจากครูบาอาจารย์มาแต่ไ่ม่ขอเอ่ยนาม

    ท่านใดที่สมาธิดีถ้าเข้าใจฉานสี่ ถ้าถึงขั้นฉานสี่ ให้ใช้กำลังสมาธิฉานสี่ของท่านใ้ห้เป็นประโยชน์
    ให้อธิษฐานทำน้ำมนต์ให้บริสุทธิ์

    ท่านใดที่มีเหรียญทำน้ำมนต์ต่างๆ เช่น เหรียญพระเดชพระคุณหลวงพ่อปานวัดบางนมโค
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)วัดท่าซุง
    เหรียญทำน้ำมนต์จากวัดท่าซุงทั้งอดีต ปัจจุบัน
    หรือเหรียญทำน้ำมนต์จากเว็บพลังจิต
    หรือเหรียญพระที่มีผงจักรพรรดิ เช่นพระรุ่นต่างๆของวัดสะแก
    หรือพระผงจักรพรรดิ์ของหลวงตาม้า จากวัดถ้ำเมืองนะ
    หรือพระผงจักรพรรดิ์ที่ถูกสร้างขึ้นแจกฟรี จากผู้ที่ได้รับครอบวิชาหรือการฝึกสอนจากหลวงตาม้า ในการจัดสร้างพระก็ดี หรือพระผงจักรพรรดิที่มวลสารหลักคือผงจักรพรรดิก็ดี ให้ท่านเก็บรักษาติดตัวไว้เป็นที่ระลึกเป็นอนุสติให้ดีนะครับ วันข้างหน้าอาจจะได้ใช้ประโยชน์อย่างมาก ให้นำมาอธิษฐานขอคุณบารมีพลังแห่ง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ มาช่วยทำให้น้ำบริสุทธิ์ปราศจากเืชื้อโรค จากรังสี จากไวรัสต่างๆ
    แต่ต้องมีความเชื่อ ความศรัทธาที่ดีงาม และความดีในตัวผู้ใช้เป็นพื้นฐาน

    - ให้ระมัดวังภัยจากความแตกแยกทางความคิด ทางสังคม การเมืองที่รุนแรง
    ส่วน มากเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นับถือคนชั่วเป็นคนดี เห็นสิ่งไม่ดีงาม เป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องถูกต้องไปหมดจะีีกลายเป็นแรงกรรม มีผลกระทบต่อส่วนรวมมากๆ ให้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงให้มากที่สุด
    วันนี้บางท่านอาจมีความคิดที่แตกต่าง ว่่าเหตุใด แต่เดี่ยววันหน้า จะเข้าใจ

    - แผ่นดินอาจจะเริ่มไหวถึ่ขึ้นเรื่อยๆ ไกล้ๆำไทย และในไทยทางเขตภาคเหนือบนและเหนือตอนกลาง

    - ให้หมั่นทำความดีให้มากที่สุด ให้หมั่นให้ทาน รักษาศิล และนั่งสมาธิเจริญภาวนาให้มากที่สุดเท่าที่จะำทำได้ ทำมากทำน้อยไม่สำคัญขอให้ทำ จะได้เป็นอริยทรัพย์ เป็นบุญฤทธิ์คอยคุ้มครองรักษา เป็นปัจจัยทั้งทางโลกและทางธรรมต่อไป

    - ถ้าเป็นไปใด้ให้พยายามฝึกจิตดูจิต ฝึกสติ ให้มากที่สุด เจริญสมาธิภาวนาให้มากๆ ให้พยายามกำหนดจิต ไม่ใช่คิดตามจิต เพราะธรรมชาติของจิตมันคิดฟุ้งซ่านตลอด

    และจากนั้นก็พิจารณาตั้งคำถามว่า

    • เราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือไม่
    • เชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรมหรือไม่
    • เชื่อว่าพระอรหันต์มีจริงหรือไม่
    • เชื่อโลกนี้ – โลกหน้าหรือไม่
    • และ วิธีที่จะปราบพยศและความผยองของจิตคือคือตัวหลง ให้นึกถึงความตาย ว่าคนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย ไม่มีใครที่สามารถจะหนีความตายไปได้พ้น วิธีการพิจารณาเช่นนี้จะทำให้จิตเรามีกำลัง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติ
    ถ้า เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ควรประมาท ให้หมั่นทำความดีให้มากๆ เพราะต่อไปนี้หลังจากที่ธรรมชาติมาเตือนแล้วยังไม่มีสติ ยังประมาท หลงกันอยู่ ทะเลาะกันอยู่ ต่อไปเขาจะทำหน้าที่เต็มตัวอาจใช้เวลา 5-6 ปี คนดี มีศิล ธรรมเท่านั้นอาจจะรอด ถ้าไม่เกินวิสัยแห่งกรรม หรือยังไม่ถึงวาระ ให้เชื่อมั่นในหลักคำสอนของพระพุทธเ้จ้า

    ธรรมย่อมรักษาคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
    คนดีย่อมมีความดีคอยเป็นกำแพงแก้วคุ้มครอง


    ภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตคือทุกข์และความตาย ไม่แบ่งเชื้อชาติ ชนชั้น วรรณะ
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    มีอยู่แค่นี้จริงๆสัจธรรมของชิวิตเกิดมาแล้วมันต้องทุกข์และต้องตายในที่สุด ที่ธรรมชาติให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน

    แต่สุดท้ายธรรมทั้งหลาย และ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเกิดดับเป็นธรรมดา ทุกยุค ทุกสมัย ทุกกาล ทุกเวลา ไม่จำกัดกาลเวลา
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..



    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG]</td></tr></tbody></table>


    ที่มาข้อความจากกระทู้: http://palungjit.org/threads/แจกฟรี-พระผงจักรพรรดิ์-แจกเรื่อยๆ-ไม่จำกัดจำนวน.265845/page-65
     
  11. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ขอเป็นกำลังใจให้กับพ่อแม่พี่น้องทางภาคใต้ได้แคล้วคลาด ปลอดภัย
    ให้ผ่านพ้นวิกฤตพายุในครั้งนี้ไปด้วยดีนะครับ


    [​IMG]

    เชิญเหล่าพุทธศาสนิกชนร่วมสร้างบันไดกราบรอยพระพุทธบาท ณ. วัดลำจังหัน
    รายละเอียดคลิกอ่านลิงค์ด้านล่าง
    http://palungjit.org/posts/5535416
     
  12. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [SIZE=+2] สาระน่ารู้ น้ำดื่มปลอดสารเคมี[/SIZE]
    [SIZE=+2]
    [/SIZE]
    [​IMG]


    น้ำดื่มปลอดสารเคมี
    โดย
    ประสงค์ นิ้มวัฒนา วศ.บ.(จุฬาฯ)

    คำนำ

    จาก ประสบการณ์กว่า 30 ปี ในการทำงานเป็นวิศวกรการประปา เพื่อผลิตน้ำประปาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานน้ำดื่ม รวมกับความสนใจ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องน้ำดื่ม ทำให้มีความรู้เกี่ยวกับการผลิตน้ำดื่มชนิดต่างๆ ทั้งที่ต้องใช้สารเคมีนานาชนิด และที่ไม่ต้องใช้สารเคมี หรือน้ำดื่มปลอดสารเคมี จึงได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ลงในหนังสือเล่มนี้ โดยหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีส่วนช่วยให้ประชาชนในทุกระดับชั้น ได้มีน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยจริงๆ และส่งผลให้ทุกๆท่านมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์และแข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไป.
    ประสงค์ นิ้มวัฒนา
    1 ธันวาคม 2545


    สุขภาพร่างกาย
    ถัด จากอากาศสำหรับหายใจ สิ่งที่คนเราขาดไม่ได้ก็คือ น้ำสำหรับดื่ม คนเราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องรับประทานอาหารถึง 7 วัน แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำเพียง 3 วัน ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ยาก น้ำดื่มจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวันของคนเรา เพราะสุขภาพร่างกายของคนเราจะสมบูรณ์แข็งแรง หรือเจ็บป่วยอ่อนแอนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราบริโภคเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นอากาศ น้ำ หรือ อาหาร ถ้าเราหายใจเอาแต่อากาศที่บริสุทธิ์ ดื่มแต่น้ำที่สะอาด รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ปราศจากสารพิษ เราก็จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ในทางตรงข้าม ถ้าอากาศก็มีแต่ฝุ่นควัน น้ำก็มีแต่สารเคมี อาหารก็ไม่ปลอดสารพิษ เราก็คงจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ไปไม่ได้
    เนื่องจากอากาศเป็นสิ่งที่ เราเลือกไม่ได้ ไปอยู่ที่ตรงไหนก็ต้องใช้อากาศที่ตรงนั้นหายใจ แต่น้ำและอาหารเราสามารถเลือกได้ และเนื่องจากน้ำมีความสำคัญมากกว่าอาหาร เพราะปริมาณน้ำที่ดื่มนั้น มีมากกว่าปริมาณอาหารชนิดต่างๆที่เรารับประทานเข้าไป เราจึงควรพิถีพิถันกับน้ำที่จะดื่มให้มากสักหน่อย


    น้ำดื่ม
    ถึง แม้น้ำดื่มจะไม่ใช่ผักหรือผลไม้ ที่จะต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือใช้ปุ๋ยที่เป็นสารเคมี ไม่ใช่อาหารทะเลที่ชุบน้ำยาอาบศพ ไม่ใช่ไก่ ไม่ใช่หมู ที่ต้องฉีดวัคซีน หรือกินยารักษาโรคสัตว์ อันอาจทำให้มีสารเคมีตกค้างมาถึงผู้บริโภคได้ แต่ในน้ำดื่มก็อาจมีสารเคมีปนมาด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการผลิตน้ำดื่มนั้น ชนิดและปริมาณของสารเคมีที่ใช้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำดื่มนั้น หากแหล่งน้ำเป็นน้ำที่มีคุณภาพต่ำก็จำเป็นต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก หากแหล่งน้ำเป็นน้ำที่มีคุณภาพดี ก็ใช้สารเคมีจำนวนน้อย หรือไม่ต้องใช้เลย

    น้ำ ดื่มที่สะอาดปลอดภัย คงจะไม่สามารถบอกได้ด้วยการดูด้วยลูกตาอย่างเดียว น้ำที่ดูใสแจ๋วไม่มีตะกอน ไม่มีสี ก็อาจจะเป็นน้ำกร่อย น้ำกระด้าง หรือเป็นน้ำที่มีสารเคมีละลายอยู่โดยไม่มีสี ให้มองเห็นได้ รวมทั้งจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคซึ่งมีขนาดเล็ก ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    หากเรากระหายน้ำมาก และมีน้ำมาให้ดื่มโดยไม่มีทางเลือก เราก็คงจะดูเพียงว่าน้ำขุ่นหรือไม่ มีกลิ่นผิดปกติ หรือมีรสผิดปกติหรือไม่ ถ้าดูใสดี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสผิดปกติ เราก็คงต้องดื่มแก้กระหายไปก่อน แต่ถ้าเป็นน้ำที่เราจะใช้ดื่มเป็นประจำทุกวัน ก็คงจะต้องพิถีพิถันให้มากกว่านี้ การดูด้วยตา ดมด้วยจมูก ชิมด้วยลิ้น คงจะไม่พอ เพราะน้ำนั้นอาจจะมีเชื้อโรคซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดื่มเข้าไปก็อาจปวดท้อง ท้องเสีย ไม่สบายได้ หรือน้ำนั้นอาจจะมีสารเคมีหรือสิ่งที่มีอันตรายละลายอยู่ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ให้สัมผัสได้ เมื่อดื่มติดต่อกันไป 1-2 ปี ก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร ดื่มไปอีกเป็นสิบๆปี จึงจะเริ่มแสดงอาการ เช่นการเป็นมะเร็งเป็นต้น
    ต่อไปเราจะได้มาดูกันว่า น้ำที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้เป็นน้ำดื่ม คือ น้ำฝน, น้ำประปา และน้ำดื่มบรรจุขวด มีที่มาที่ไปกันอย่างไร


    น้ำฝน

    น้ำ ฝนเป็นน้ำที่ใช้ดื่มกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จนเมื่อ 100 กว่าปีมานี้ เริ่มมีน้ำประปาใช้ ผู้ที่มีน้ำประปาใช้ ค่อยๆเปลี่ยนจากดื่มน้ำฝนไปดื่มน้ำประปา เพราะเห็นกับความสะดวก ไม่ต้องรองน้ำฝน ไม่ต้องตั้งโอ่งน้ำฝนให้เกะกะ จนถึงปัจจุบันค่านิยมค่อยๆ เปลี่ยนไป การดื่มน้ำฝนถูกมองว่าเป็นเรื่องของชาวชนบทที่ไม่มีน้ำประปาจะใช้ หรือเป็นเรื่องของคนจนที่ไม่มีเงินซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด ธุรกิจการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด ธุรกิจเครื่องกรองน้ำประปา และการปล่อยข่าวว่าอากาศมีมลพิษ ฝนเป็นฝนกรด ฝนเหลือง ต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นเหตุให้การใช้น้ำฝนเป็นน้ำดื่มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากการที่ธุรกิจน้ำดื่มเจริญเติบโตขึ้นราวกับดอกเห็ด ธุรกิจร่ำรวยขึ้น แต่ประชาชนยากจนลง เพราะต้องแบ่งเงินไปซื้อน้ำดื่มและสุขภาพก็ทรุดโทรมลงเพราะน้ำที่ดื่มนั้นมี คุณภาพต่ำ ไม่มีใครออกมาให้ข้อมูล หรือชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับน้ำฝนที่จะใช้เป็นน้ำดื่ม ว่ามีความปลอดภัยเพียงไร มีคุณภาพดีกว่าน้ำดื่มชนิดอื่นอย่างไร และจะใช้ดื่มได้อย่างไร

    ความจริงถึงแม้ในปัจจุบันนี้ น้ำฝนก็ยังเป็นน้ำที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ที่จะใช้เป็นน้ำดื่ม น้ำบริโภค ไม่มีน้ำดื่มชนิดไหนจะเทียบได้ เพราะน้ำฝนเป็นน้ำที่เกิดจากการระเหยของน้ำจากทะเล จากมหาสมุทร และจากแหล่งน้ำอื่นๆ รวมตัวกันเป็นเมฆ และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำอันแสนบริสุทธิ์ ระหว่างที่เม็ดฝนตกผ่านอากาศลงมา ได้มีการสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ ทำให้น้ำฝนมีรสชาติตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับการดื่มกิน ข่าวการเกิดฝนกรดฝนเหลืองอาจจะทำให้คนที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง ไม่กล้ากินน้ำฝน

    ฝนกรดเคยเกิดเป็นข่าวขึ้นระยะหนึ่งที่บริเวณโรงไฟฟ้า ถ่านหินลิกไนท์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่แม่เมาะ เนื่องจากถ่านหินที่นำไปเผามีกำมะถันอยู่มาก และไม่มีเครื่องกรองอากาศก่อนปล่อยออกจากปล่อง ทำให้มีไอกำมะถันลอยอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อมีฝนตกลงมาและชะเอาไอกำมะถันลงมาด้วย ทำให้น้ำฝนมีรสเปรี้ยว อันตรายของฝนกรดที่มีต่อสุขภาพจากการดื่มกินนั้น มีไม่มาก เพราะถ้าฝนตกลงมามีรสเปรี้ยวแล้ว ก็คงจะไม่มีใครกินอยู่แล้ว แต่อันตรายที่ชัดเจนคือ การหายใจเอาไอกำมะถันเข้าไป ทำให้ประชาชนในบริเวณนั้นเป็นโรคทางเดินหายใจกันเกือบหมด แต่ขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ทำการติดตั้งเครื่องกรองกำมะถันเพื่อแก้ปัญหา นี้แล้ว

    สภาพความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำฝน เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของสิ่งแวดล้อมหรือมลภาวะของ อากาศ อากาศที่ไม่มีมลภาวะ จะให้น้ำฝนที่สะอาดบริสุทธิ์ซึ่งมีค่า pH = 5.6 น้ำฝนที่มีค่า pH น้อยกว่า 5.6 จะถูกเรียกว่า “ ฝนกรด ” การที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ความสนใจกับฝนกรดมาก เพราะฝนกรดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก เช่น ทำให้เกิดการสะสมของกรดในดิน เมื่อดินมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น ดินก็จะกลายเป็นดินเปรี้ยว ใช้เพาะปลูกไม่ได้ ฝนกรดที่ตกลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ จะทำลายระบบนิเวศน์วิทยาในน้ำ มีผลต่อการดำรงชีวิตของปลาและแพลงตอนซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหาร แต่ค่าความเป็นกรดเป็นด่างหรือค่า pH ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ตัดสินได้ว่า น้ำนั้นปลอดภัยสำหรับการบริโภคหรือไม่ ดังจะเห็นได้จากน้ำอัดลมหรือน้ำโซดาที่เราใช้ดื่มเป็นประจำ จะมีค่า pH = 3 น้ำมะเขือเทศมีค่า pH = 4 น้ำมะนาวมีค่า pH = 2 ก็เป็นสิ่งที่เราใช้บริโภคเป็นปกติ ชนิดและปริมาณของสารเคมีต่างหาก ที่จะใช้ตัดสินว่าน้ำนั้นปลอดภัยสำหรับการบริโภคหรือไม่

    กรมอนามัยซึ่งมี หน้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยของประชาชน มีหน่วยงานที่คอยเฝ้าระวังคุณภาพของน้ำฝน มีการเก็บตัวอย่างน้ำฝนจากที่ต่างๆ ไม่ว่าในกรุงเทพหรือต่างจังหวัด มาทำการวิเคราะห์คุณภาพทั้งทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และแบคทีเรีย เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนเป็นน้ำดื่ม หากพบว่าน้ำฝนไม่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค ก็จะแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ และเท่าที่ผ่านมา นอกจากที่แม่เมาะแล้ว ก็ไม่เคยปรากฏว่าน้ำฝนมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานน้ำดื่มที่องค์การอนามัยโลก กำหนด เว้นแต่น้ำฝนที่เก็บกักไว้ในภาชนะที่ไม่สะอาด ก็จะมีแบคทีเรียเกินมาตรฐาน ซึ่งหากนำไปต้มหรือกรองด้วยระบบ Slow Sand Filter เสียก่อน ก็จะสามารถนำมาดื่มได้อย่างปลอดภัย

    ส่วนฝนเหลืองนั้น เกิดในสมัยสงครามเวียดนาม พวกเวียดกงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ ทหารอเมริกันขับเครื่องบินมองไม่เห็นพวกเวียดกง เห็นแต่ใบไม้เขียวไปหมด ก็เลยเอาสารเคมีไปโปรยให้ใบไม้ร่วง ปรากฏว่าสารเคมีนั้นฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ พอฝนตกลงมาก็ทำให้น้ำฝนมีสีเหลือง คนที่โดนสารเคมีนั้นเข้าไป ต้องเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานเป็นจำนวนมาก อเมริกันถูกนานาชาติประณามในการใช้สารเคมีนั้น หลังจากนั้นมาก็ไม่มีการใช้สารเคมีนั้นอีก ฝนเหลืองจึงเป็นเรื่องของการทำลายล้างกันในยามสงคราม ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในยามสงบสันติ


    คุณภาพแหล่งน้ำ

    หาก คิดว่าน้ำฝนเป็นแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด มีสารพิษใช้บริโภคไม่ได้ ก็จะไม่มีแหล่งน้ำที่ไหนในโลกนี้จะสะอาดหรือใช้บริโภคได้ เพราะน้ำฝนเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำทุกชนิดในโลกนี้ น้ำในแม่น้ำลำคลองก็เกิดจากน้ำฝนที่ตกลงมา แถมชะล้างเอาสิ่งสกปรกจากพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นดิน ตะกอน ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี สารเคมี สารพิษต่างๆ น้ำทิ้งจากโรงงาน น้ำทิ้งจากท่อระบายน้ำ และสิ่งปฏิกูลต่างๆ ไหลลงไปรวมอยู่ในแม่น้ำลำคลอง น้ำบาดาลหรือน้ำใต้ดินก็มีต้นกำเนิดมาจากน้ำฝน ที่ไหลซึมผ่านชั้นดิน ชั้นทราย ชั้นหิน ลงไปรวมเป็นแหล่งน้ำบาดาล ซึ่งชั้นต่างๆ ที่น้ำซึมผ่านลงไปนี้สามารถกรองได้เฉพาะตะกอนหรือความขุ่น ทำให้น้ำดูใสขึ้น แต่ก็ไม่สามารถกรองสารเคมีที่ละลายอยู่ในน้ำออกได้ มีแต่จะละลายเอาสารเคมีที่อยู่ในชั้นดินชั้นหิน เพิ่มเข้าไปอีก ในระบบการผลิตน้ำดื่มชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด หรือเครื่องกรองน้ำประปา ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงระบบที่ช่วยแยกตะกอนออกจากน้ำ ทำน้ำขุ่นให้เป็นน้ำใส ทำน้ำกระด้างให้เป็นน้ำอ่อน ดูดสีดูดกลิ่นออกจากน้ำและฆ่าเชื้อโรคในน้ำเท่านั้น และทุกขั้นตอนของการผลิตน้ำดื่มดังกล่าว ก็มีการใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปอีก ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นสารเคมีที่ไม่มีอันตราย ก็เป็นการอ้างตามความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเท่าที่เครื่องมือในปัจจุบันจะตรวจวิเคราะห์ได้ ซึ่งต่อไปในอนาคตเมื่อมีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มขึ้น ก็อาจจะรู้เพิ่มขึ้นอีกว่า สิ่งที่ไม่มีอันตรายในอดีต กลายเป็นสิ่งที่มีอันตรายเสียแล้ว เช่นคลอรีนที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคในน้ำดื่ม ในอดีตก็ว่าปลอดภัย แต่ในปัจจุบันรู้แล้วว่า คลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในน้ำ กลายเป็นสารก่อมะเร็งชื่อ Trihalomethane เป็นต้น


    การรองน้ำฝน

    ปัญหาการปนเปื้อนของน้ำ ฝนจากมลพิษอื่นๆในอากาศ มีน้อยมาก ไม่มีผลที่จะทำให้น้ำฝนใช้บริโภคไม่ได้ นอกเสียจากว่ามลพิษในอากาศนั้น มีมากจนใช้หายใจไม่ได้ ก็อาจจะทำให้น้ำฝนใช้บริโภคไม่ได้ การรองน้ำฝนในขณะที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ โดยเฉพาะในตอนต้นฤดูฝน จะทำให้ได้น้ำฝนที่ไม่ค่อยสะอาด เนื่องจากหลังคายังสกปรกอยู่ ควรปล่อยให้ฝนตกลงมาชะล้างฝุ่นละอองในอากาศ และพื้นหลังคาที่ใช้รองน้ำฝน ให้สะอาดสักระยะหนึ่งก่อน การรองน้ำฝนควรจะรองในตอนที่ฝนตกหนักๆ หรือตอนที่มีพายุดีเปรสชั่นเข้า จะได้น้ำฝนที่สะอาดที่สุด

    จากวัฏจักรของน้ำตามธรรมชาติ จะพบว่าน้ำฝนเป็นน้ำที่สะอาดที่สุด เมื่อน้ำฝนตกถึงพื้นดินก็จะค่อยๆ สกปรกมากขึ้น มีการ ชะเอาดินโคลนเข้าไป หากเป็นพื้นที่เกษตรกรรมก็จะมียาฆ่าแมลงและยากำจัดศัตรูพืชเพิ่มเข้าไป เมื่อไหลไปในคลองในแม่น้ำ ก็จะมีโอกาสสกปรกมากยิ่งขึ้น เมื่อลำน้ำนั้นไหลผ่านโรงงานอุตสาหกรรม ก็จะต้องรับน้ำเสียและสารเคมีจากโรงงาน เมื่อไหลผ่านตัวเมืองหรือชุมชน ก็ต้องรับน้ำจากท่อระบายน้ำและสิ่งปฏิกูลต่างๆจากชุมชนนั้น ฉะนั้นน้ำธรรมชาติที่สะอาดที่สุดก็คือ น้ำฝนที่รองเอาไว้ก่อนตกถึงพื้นดิน
    น้ำ ฝนที่เก็บไว้ในโอ่งหรือแท้งค์น้ำ อาจมีจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคปะปนอยู่ ซึ่งจะมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความระมัดระวังในการเก็บ การรักษา และการนำน้ำฝนนั้นมาใช้ ภาชนะเก็บน้ำที่สะอาดและมีฝาปิด การระวังไม่ให้มีสิ่งสกปรกตกลงไปในน้ำ การใช้ขันที่สะอาดและล้างมือให้สะอาด ก่อนที่จะจุ่มลงไปตักน้ำขึ้นมาใช้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความสะอาดของน้ำฝนได้มาก


    การดื่มน้ำฝน
    วิธี นำน้ำฝนไปดื่มมีหลายวิธี ผู้ที่ไม่พิถีพิถันในเรื่องความสะอาดของน้ำที่จะดื่ม และเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้สูง อาจจะดื่มน้ำฝนโดย ใช้ขันตักน้ำฝนในโอ่งไปดื่มโดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เคยดื่มน้ำฝนวิธีนี้เป็นประจำ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานสูง สำหรับผู้ที่พิถีพิถันขึ้นมาหน่อยไม่อยากที่จะดื่มน้ำที่มีมดมีลูกน้ำเข้าไป ด้วย ก็อาจจะใช้ผ้าขาวบางมากรองเสียชั้นหนึ่งก่อน จึงนำไปดื่ม แต่ถ้าจะให้สะอาดปราศจากเชื้อโรค ก็ต้องเอาไปต้มให้เดือด แต่การต้มน้ำนี้ นอกจากจะเปลืองไฟเปลืองแก๊สและไม่สะดวกแล้ว ยังต้องระมัดระวังการถูกน้ำร้อนลวกด้วย นอกจากนี้รสชาติของน้ำฝนที่ไม่ได้ต้ม ยังอร่อยกว่าน้ำฝนที่ต้มแล้ว คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมการต้มน้ำฝนสำหรับดื่ม แต่ตามหลักอนามัยแล้ว น้ำที่ดื่มเข้าไปควรจะปราศจากเชื้อโรค และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการต้มน้ำให้เดือด จะเป็นการฆ่าเชื้อโรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มีอีกวิธีหนึ่ง ที่สามารถทำให้น้ำฝนสะอาดปราศจากเชื้อโรคได้โดยไม่ต้องต้ม นั่นคือวิธีกรองด้วยระบบ Slow Sand Filter (ทรายกรองช้า) ซึ่งเป็นระบบกรองน้ำที่มีอยู่ในธรรมชาติ และถูกนำมาใช้กับระบบประปาที่มีแหล่งน้ำดิบ ที่เป็นน้ำใสและมีคุณภาพสูง มานานกว่าศตวรรษแล้ว ปัจจุบันได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำระบบ Slow Sand Filter สำหรับใช้กรองน้ำฝนประจำบ้านแล้ว เครื่องกรองน้ำฝนนี้ เป็นเครื่องที่ทำขึ้นได้ไม่ยาก ผู้ที่มีหัวเป็นช่างสักเล็กน้อย ก็สามารถทำเองได้ โดยเสียเงินซื้อวัสดุไม่เกิน 500 บาท วัสดุก็หาซื้อได้ไม่ยากแม้ในต่างจังหวัด ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำฝนนี้ สามารถหาอ่านได้ใน วารสารน้ำ ของการประปาส่วนภูมิภาค ฉบับเดือน มิถุนายน 2534

    เครื่องกรองน้ำฝนนี้จะ ต่างจากเครื่องกรองน้ำประปาก็ตรงที่ เครื่องกรองน้ำประปาจะเป็นเครื่องที่ต้องต่อเข้ากับท่อประปา ภายในจะมีไส้กรองสำหรับกรองตะกอน และมีการใช้สารเคมีเช่น ถ่านกัมมันต์(Activated Carbon) และสารเรซิ่น(Resin) ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองและสารเคมีเป็นประจำ แต่เครื่องกรองน้ำฝนนี้ไม่ต้องต่อเข้ากับท่อประปา ใช้ตักน้ำฝนจากโอ่งมาใส่เครื่องกรองได้เลย ภายในเครื่องไม่มีการใช้สารเคมี มีแต่ทรายธรรมชาติ ซึ่งเมื่อทำการบ่มทรายเรียบร้อยแล้ว จะสามารถกรองเชื้อโรคออกจากน้ำฝนได้ เครื่องกรองน้ำฝนนี้ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีการบำรุงรักษาเป็นประจำ การกรองน้ำฝนหากตักเอาแต่น้ำใสๆ ไม่ตักเอาตะกอนก้นโอ่งใส่เข้าไปกรองด้วย เครื่องกรองน้ำฝนนี้จะสามารถใช้ได้นานกว่า 10 ปี โดยไม่มีการอุดตันของหน้าทราย ไม่ต้องล้างทรายกรอง ยิ่งใช้นานประสิทธิภาพในการกรองเชื้อโรคยิ่งเพิ่มขึ้น


    น้ำประปา
    น้ำ ประปานับเป็นน้ำดื่มที่คนส่วนใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในเมืองใช้ดื่มกิน สารเคมีที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตน้ำประปา มีมากกว่า 30 ชนิด จำนวนสารเคมีที่ใช้จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของแหล่งน้ำดิบ ที่นำมาใช้ผลิตน้ำประปา ถ้าแหล่งน้ำดิบมีคุณภาพต่ำก็ต้องใช้สารเคมีหลายชนิด แต่อย่างน้อยที่สุดสารเคมีที่การผลิตน้ำประปาจะขาดไม่ได้คือ คลอรีน ซึ่งใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคในน้ำ แหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำประปา สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน
    สารเคมีที่ใช้ใน การผลิตน้ำประปาจากน้ำบาดาลจะมีไม่มากนัก เพราะน้ำบาดาลส่วนใหญ่ที่ใช้ผลิตน้ำประปาจะมีคุณภาพดี ใส่คลอรีนอย่างเดียวก็ใช้ได้แล้ว น้ำบาดาลบางแห่ง ที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ก็จำเป็นต้องใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปอีก เช่น น้ำบาดาลที่เป็นน้ำกระด้าง ก็จำเป็นต้องใส่ปูนขาวและโซเดียมคาร์บอเนต หรือใช้สารเรซินช่วยแก้ความกระด้าง ส่วนแหล่งน้ำที่เป็นน้ำผิวดิน เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร อ่างเก็บน้ำ บึง สระ ก็จะต้องใช้สารเคมีมากขึ้น ตามความสกปรกของแหล่งน้ำนั้น สารเคมีที่ต้องนำมาใช้กับน้ำผิวดินแทบทุกชนิด คือ สารส้ม ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้สำหรับการตกตะกอน ทำให้น้ำใสขึ้น และในกรณีที่ตะกอนในน้ำเป็นตะกอนที่มีน้ำหนักเบา ก็อาจจะมีการใส่สารสังเคราะห์ที่เรียกว่า Polymmer เพื่อช่วยให้การตกตะกอนง่ายขึ้น รวมทั้งการใส่คลอรีนเพื่อทำลายสารอินทรีย์หรือตะไคร่ในน้ำ จุนสีหรือ Copper Sulfate ก็เป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในการทำลายตะไคร่น้ำในวงการประปา ในกรณีที่น้ำมีความเป็นกรดเป็นด่างไม่เหมาะสม ก็จะมีการใส่ปูนขาวเข้าไปช่วย แหล่งน้ำผิวดินบางแห่งมีความสกปรกมาก มีปริมาณแมงกานีสสูง ก็อาจจะต้องใส่ด่างทับทิมเข้าไปช่วยแก้ไข น้ำที่มีกลิ่นมีสีก็จะใช้ถ่านกัมมันต์เข้าไปฟอกสีดูดกลิ่นออก เมื่อน้ำผ่านการตกตะกอนและกรองจนใสดีแล้ว ก็จะต้องใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ก่อนที่จะจ่ายออกไปให้ผู้ใช้น้ำต่อไป

    คุณภาพ ของแหล่งน้ำดิบที่นำมาผลิตน้ำประปา นับวันจะยิ่งมีคุณภาพต่ำลงทุกที เพราะมลภาวะทางน้ำที่ยากต่อการควบคุม ได้เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำประปาจะถูกเพิ่มขึ้นจากการใช้สารเคมีที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการลงทุนในการสร้างระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อพยายามทำให้น้ำประปาเป็นน้ำที่มีคุณภาพดื่มได้ ทั้งที่ปริมาณของน้ำประปาที่ถูกใช้เป็นน้ำดื่มหรือน้ำบริโภคมีเพียง 1%เท่านั้น ส่วนน้ำประปาอีก 99% ถูกใช้เป็นน้ำอุปโภค หมายความว่า ในบ้านทั่วๆไป จะใช้น้ำประปาวันละประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือ ประมาณ 1,000 ลิตร น้ำประปา 1,000 ลิตรนี้ จะถูกใช้เป็นน้ำดื่ม, น้ำหุงข้าว ต้มแกง ประมาณ 10 ลิตร ที่เหลืออีก 990 ลิตร จะถูกใช้เป็นน้ำล้างชาม, ซักผ้า, อาบน้ำ, ถูบ้าน, ล้างรถ,รดต้นไม้, ชักโครก, ฯลฯ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพดีเท่าน้ำสำหรับการบริโภค การทำน้ำประปาให้เป็นน้ำที่มีคุณภาพสำหรับการบริโภค จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำน้ำประปาให้มีคุณภาพเพียงแค่ให้เป็นน้ำอุปโภค หลายเท่า และการใช้น้ำที่บริโภคได้ ไปใช้เพื่อการอุปโภค ก็เป็นการสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจอย่างมาก ดังนั้นเมื่อมลภาวะในแหล่งน้ำดิบมีมากขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ที่ทำให้ไม่สามารถผลิตน้ำประปาที่มีคุณภาพดีพอสำหรับการบริโภค หรือผลิตได้ในราคาค่าน้ำที่ผู้ใช้น้ำประปาจะยอมรับได้ การผลิตน้ำประปาในตอนนั้น ก็คงจะทำให้มีคุณภาพเพียงเป็นน้ำสำหรับอุปโภคเท่านั้น ส่วนน้ำบริโภคหากไม่มีน้ำฝน ก็คงต้องพึ่งน้ำดื่มบรรจุขวดโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง

    หากการประปาสามารถรอง น้ำฝนมาผลิตน้ำประปาได้ ก็จะไม่ต้องใช้สารเคมีมากและจะได้น้ำประปาที่สะอาดที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะการผลิตน้ำประปาต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ต่อให้สร้างหลังคาคลุมหมดทั้งเมือง ก็รองน้ำฝนได้ไม่พอผลิตน้ำประปา การประปาจึงจำเป็นต้องใช้แหล่งน้ำ ที่สามารถให้น้ำได้ในปริมาณมากๆ ติดต่อกันตลอดทั้งปี เช่น น้ำในแม่น้ำ ลำคลอง อ่างเก็บน้ำ หรือน้ำบาดาล จึงทำให้การใช้สารเคมีเป็นจำนวนมากในการผลิตน้ำประปา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    ถึงแม้จะมีการยืนยันว่า น้ำประปาปลอดภัยดื่มได้จากก๊อก แต่ก็คงจะมีผู้ที่รองน้ำประปาจากก๊อกมาดื่มโดยตรง ไม่มากนัก นอกจากเป็นกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่จะดื่มน้ำประปา โดยการนำไปต้มก่อน หรือไม่เช่นนั้น ก็มีการใช้เครื่องกรองน้ำประปา และคงจะมีจำนวนไม่น้อย ที่กรองด้วยเครื่องกรองน้ำประปาแล้ว ยังนำไปต้มอีก จึงจะนำมาดื่ม


    เครื่องกรองน้ำประปา
    ปัจจุบันผู้ดื่มน้ำประปา เป็นจำนวนมาก พยายามทำให้น้ำประปาน่าดื่มยิ่งขึ้น โดยการติดตั้งเครื่องกรองน้ำเพื่อกรองน้ำประปาไว้สำหรับดื่ม ซึ่งเครื่องกรองน้ำประปาที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่ ก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ติดตั้งได้ คือ สามารถทำให้น้ำประปาใสขึ้นและปราศจากกลิ่นคลอรีน แต่ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องรับสารเคมีเพิ่มขึ้น จากการที่น้ำไหลผ่านเครื่องกรองน้ำนั้น
    เครื่องกรองน้ำประปาที่ติดตั้ง ตามบ้านส่วนใหญ่จะประกอบด้วยวัสดุกรอง ซึ่งอาจจะเป็นเยื่อบางๆ หรือเป็นแท่งใยสังเคราะห์สำหรับกรองตะกอนที่อยู่ในน้ำ ทำให้น้ำดูใสขึ้น ซึ่งการผลิตวัสดุกรองนี้ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้สารเคมี และเมื่อน้ำผ่านวัสดุกรองนี้ ก็อาจจะละลายเอาสารเคมีที่อยู่ในวัสดุกรองออกมาได้ เครื่องกรองน้ำบางชนิด มีการใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปเพื่อช่วยยืดอายุของวัสดุกรองไม่ให้ตันเร็ว ส่วนตัวสารเคมีที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำจริงๆ ที่ใช้ในเครื่องกรองน้ำทั่วไปได้แก่ ถ่านกัมมันต์ ซึ่งมีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดแท่ง ถ่านกัมมันต์จะเป็นตัวดูดซับกลิ่นและสีที่อยู่ในน้ำ รวมทั้งสารเคมีต่างๆ มาไว้ในตัวมันเอง แต่บางครั้งถ่านกัมมันต์ที่มีอนุภาคเล็กมาก ก็อาจจะหลุดลอยตามน้ำออกมา โดยมีสารเคมีที่มันดูดซับไว้ ติดออกมาด้วย เครื่องกรองน้ำบางเครื่องจะมีสารเรซิน สำหรับทำให้น้ำกระด้างกลายเป็นน้ำอ่อน น้ำมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งสารเรซินนี้จะทำหน้าที่แลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าทางเคมีในน้ำ ซึ่งละอองของสารเรซินนี้ก็อาจจะหลุดลอยออกมากับน้ำได้
    เครื่องกรองน้ำบาง ชนิด ใช้ไส้กรองแบบ Reverse Osmosis (RO.) ซึ่งเป็นไส้กรองที่มีราคาแพง ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ ไส้กรองนี้จะใช้น้ำเปลืองมาก การกรองน้ำ 100 ลิตร จะได้น้ำสะอาดประมาณ 15 ลิตร น้ำที่เหลือ 85 ลิตร ต้องระบายทิ้งไป บางยี่ห้อบางรุ่นได้น้ำสะอาดเพียง 5 ลิตรและระบายทิ้งไป 95 ลิตรก็มี ไส้กรองแบบนี้เหมาะสำหรับการกรองน้ำทะเล เพราะน้ำทะเลไม่มีราคา และมีปริมาณไม่จำกัด แต่การนำมาใช้กรองน้ำประปา น้ำประปาจะถูกระบายทิ้งไปเป็นจำนวนมากอย่างน่าเสียดาย ไส้กรองแบบนี้ต้องใช้แรงดันน้ำมากประมาณ 200 psi. หรือ ประมาณ 20 เท่าของแรงดันน้ำประปาปกติ การกรองน้ำจึงต้องสิ้นเปลืองกระแสไฟฟ้าในการขับเครื่องสูบน้ำที่มีแรงดันสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีในน้ำที่ใช้ไส้กรองแบบนี้ เพียงเพื่อยืดอายุของไส้กรองให้ใช้งานได้นานขึ้น ไม่ใช่เพื่อทำให้น้ำที่กรองออกมามีคุณภาพดีขึ้น และเนื่องจากไส้กรองแบบนี้ไม่ใช่วัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นวัสดุที่ทำจากสารสังเคราะห์ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารสังเคราะห์นี้ จึงเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะปฏิกิริยาของแรงดันอันมหาศาล ที่สามารถแยกอนุภาคของแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำให้แยกออกจากน้ำได้ จะมีผลข้างเคียงอะไร หรือจะกดดันให้สารสังเคราะห์นี้ปล่อยสารอันตรายอะไรตามออกมาอีก ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกได้
    จากความเข้าใจที่ว่าน้ำกลั่นเป็นน้ำที่ บริสุทธิ์ จึงได้มีผู้ผลิตเครื่องกลั่นน้ำประจำบ้านสำหรับทำน้ำดื่มขึ้น การกลั่นน้ำนี้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามาก เพราะจะต้องใช้ไฟฟ้าต้มน้ำให้เดือดกลายเป็นไอตลอดเวลา และสิ้นเปลืองน้ำมากเพราะต้องปล่อยให้น้ำไหลตลอดเวลาเป็นการระบายความร้อน เพื่อทำให้ไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ความจริงน้ำกลั่นไม่ควรที่จะใช้เป็นน้ำดื่มในชีวิตประจำวัน น้ำกลั่นเหมาะที่จะใช้สำหรับเติมแบตเตอรี่หรือใช้ในห้องทดลอง คุณสมบัติที่เป็นอันตรายของน้ำกลั่นก็คือ ความบริสุทธิ์ น้ำที่บริสุทธิ์ 100% จะมีความสามารถในการละลาย (Solubility) ได้สูงมาก สารพิษที่อยู่ในเนื้อโลหะหรือเนื้อพลาสติกที่น้ำกลั่นสัมผัส จึงมีโอกาสที่จะถูกละลายออกมาอยู่ในน้ำกลั่นได้มาก


    น้ำดื่มบรรจุขวด

    น้ำ ดื่มบรรจุขวดซึ่งมีขายอยู่ทั่วไป นับเป็นน้ำดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเป็นน้ำที่สะอาดและปลอดภัย ทั้งที่น้ำดื่มบรรจุขวดส่วนมาก ก็ผลิตจากน้ำประปาซึ่งเต็มไปด้วยสารเคมีดังที่กล่าวมาแล้ว การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดส่วนใหญ่ จะใช้เครื่องกรองน้ำที่มีระบบการทำงานคล้ายกับเครื่องกรองน้ำที่ใช้ตามบ้าน เพียงแต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่า มีความสามารถในการผลิตน้ำได้มากกว่า โดยมีการใช้สารเคมีทำนองเดียวกับสารเคมีที่ใช้กับเครื่องกรองน้ำตามบ้านที่ กล่าวมาแล้ว สารเคมีที่อาจจะมีเพิ่มเติมเข้ามาในน้ำดื่มบรรจุขวดก็คือ สารเคมีที่อยู่ในเนื้อพลาสติกที่ใช้ทำขวดบรรจุน้ำดื่มนั้นนั่นเอง น้ำที่แช่อยู่ในขวดพลาสติกนานๆ ก็อาจจะละลายเอาสารเคมีที่อยู่ในเนื้อพลาสติกออกมาได้ไม่มากก็น้อย


    การดื่มน้ำที่มีสารเคมี

    น้ำ ดื่มที่ผ่านกระบวนการผลิตที่สลับซับซ้อน และใช้สารเคมีชนิดต่างๆ สามารถผลิตน้ำให้ดูใสสะอาดปราศจากสีปราศจากกลิ่น ไม่ได้เป็นสิ่งที่แสดงว่าน้ำนั้นไม่มีสิ่งที่เป็นอันตรายเจือปนอยู่ สารเคมีที่มีอันตรายเป็นจำนวนมาก สามารถละลายตัวอยู่ในน้ำ โดยไม่ปรากฏสีและกลิ่นให้สัมผัสได้ ปริมาณของสารเคมีถึงแม้จะมีเพียงน้อยนิด แค่หนึ่งส่วนในล้านส่วน ก็อาจจะถือว่าอันตรายได้ อันตรายในน้ำดื่ม ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้รู้ได้ ด้วยการดื่มน้ำนั้นเพียงแก้วเดียว แม้จะดื่มสัก 10แก้ว 100แก้ว หรือดื่มไปเป็นปีๆ ก็อาจจะยังไม่รู้สึกผิดปกติ เพราะสารเคมีนั้นยังสะสมอยู่ในร่างกายไม่มากพอ กว่าจะรู้สึกผิดปกติหรือมีอาการเจ็บป่วยขึ้นมา ก็อาจจะต้องดื่มน้ำนั้นติดต่อกันเป็นสิบๆ ปี น้ำดื่มนี้เราไม่ได้ดื่มเพียงสิบๆ ปี แต่เราต้องดื่มไปตลอดชีวิต ซึ่งอาจจะเป็น 60ปี, 70ปี หรือนานกว่านี้ก็ได้ จึงไม่สมควรที่จะยอมให้มีสิ่งที่เป็นอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย มาอยู่ในน้ำที่เราใช้ดื่มเป็นประจำ นอกจากจะใช้ ดื่มแก้ขัด ชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้น
    สารเคมีที่บริโภคเข้าไปวันละเล็กวันละน้อย ถึงแม้จะมีการรับรองกันว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่หากสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะสารเคมีเป็นสิ่งที่สังเคราะห์ขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่มีตามธรรมชาติ เป็นสิ่งแปลกปลอมในธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง การดำรงชีวิตจึงควรจะเป็นไปตามธรรมชาติให้มากที่สุด การบริโภคสารเคมีจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด


    การพิสูจน์น้ำดื่ม
    น้ำ ฝนหากไม่ได้ถูกใช้เป็นน้ำดื่มมาตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ในโลกนี้ น้ำฝนก็น่าจะถูกใช้เป็นน้ำดื่มมานานหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว มนุษย์สามารถสืบเผ่าพันธุ์ต่อมา โดยไม่มีใครรู้จักโรคมะเร็ง น้ำประปาถูกทดลองใช้เป็นน้ำดื่มเมื่อมีการสร้างระบบประปาขึ้นมา ซึ่งระบบประปาก็ถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านไปนี้เอง และโรคมะเร็งก็เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในยุคนี้ น้ำดื่มบรรจุขวดก็เพิ่งจะแพร่หลายเมื่อ 10 กว่าปีนี้เอง ปัจจุบันก็มีการผลิตน้ำดื่มชนิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา เช่น การผลิตน้ำดื่มด้วยระบบรีเวิร์สออสโมซีส การผลิตน้ำดื่มด้วยเครื่องกลั่นน้ำ การที่จะพิสูจน์ว่าน้ำดื่มชนิดไหนไม่ปลอดภัย คงต้องใช้เวลาอีกนาน ความรู้และเครื่องมือเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่ามีอันตรายอะไร จึงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งธุระกิจน้ำดื่มเหล่านี้ได้ ต้องปล่อยให้ผู้ที่ชอบทดลองของใหม่ ทดลองดื่มไปเรื่อยๆก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วอายุคน กว่าจะรู้คำตอบ แต่ในระหว่างที่ยังไม่มีคำตอบ เราก็สามารถป้องกันตัวเองได้ โดยการหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่มีสารเคมี หันไปดื่มน้ำฝนธรรมชาติ ซึ่งเป็นน้ำดื่มที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นน้ำดื่มที่ปลอดภัย โดยบรรพบุรุษของเราซึ่งดื่มน้ำฝนนี้มาตลอด และสามารถสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์มาจนถึงปัจจุบันได้
    ในการผลิตน้ำดื่ม ชนิดต่างๆที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าน้ำฝนสามารถทำให้เป็นน้ำดื่มได้โดยไม่ต้องใช้สารเคมี เพราะน้ำฝนที่รองจากหลังคาเก็บไว้ในโอ่งจะเป็นน้ำที่สะอาดที่สุด ส่วนน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด หรือน้ำดื่มจากเครื่องกรองน้ำประปา ล้วนแต่ต้องใช้สารเคมีทั้งนั้น จำนวนสารเคมีที่ใช้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่นำมาผลิตว่ามีความ สกปรกมากหรือน้อย ยิ่งสกปรกมากก็ยิ่งต้องใช้สารเคมีมาก น้ำฝนจึงเป็นน้ำดื่มชนิดเดียวที่ปลอดสารเคมี

    ขอบคุณข้อมูลจาก: :: Pantown :: everyone's online society

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    บุญใหญ่อานิสงส์ไม่มีประมาณ ร่วมสร้างบันไดกราบรอยพระพุทธบาท ณ. วัดลำจังหัน
    รายละเอียดคลิกอ่านลิงค์ด้านล่าง
    http://palungjit.org/forums/%E0%...ml#post5535416
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012
  13. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [SIZE=+2]คู่มือเครื่องกรองน้ำฝน พรพิรุณ [/SIZE]​

    [​IMG]
    ส่วนประกอบ

    ท่อ พีวีซี. รูปตัว ”U” 1 อัน
    ทรายกรองน้ำฝน 14 กก.
    ก๊อกน้ำบอลล์วาวล์ 1 อัน
    เหยือกน้ำพลาสติก 1 อัน
    ฝาครอบพลาสติก 1 อัน
    ตะปูเกลียว+แป้นยาง ใช้ยึดผนัง 1 อัน
    ตะปูเกลียวตัวเล็ก ใช้ยึดฝาครอบ 1 อัน
    หนังสือคู่มือ (ที่ถืออยู่นี้) 1 เล่ม

    1.การเลือกที่ตั้งเครื่องกรองน้ำฝน
    ที่ตั้งเครื่องกรองน้ำฝน ควรจะอยู่ในบริเวณที่สะดวกกับการใช้งาน เช่น บริเวณห้องอาหาร ห้องครัว หรือบริเวณที่ตั้งโอ่งเก็บน้ำฝน ควรตั้งโดยตรงกับพื้นและอยู่ชิดผนัง.

    2.การติดตั้งเครื่องกรองน้ำฝน
    ให้ติดตั้งก๊อกน้ำเข้ากับเครื่องกรองน้ำฝนก่อน โดยใช้มือหมุนเข้าไป ไม่ควรใช้ประแจขัน แล้วจึงติดตั้งเครื่องกรองน้ำฝน โดยใช้ตะปูเกลียวที่มีแป้นยาง ยึดเครื่องกรองน้ำฝนติดกับผนัง อย่าให้เครื่องกรองน้ำฝนล้มได้ การขันตะปูเกลียว จะต้องขันด้วยความระมัดระวัง อย่าให้หัวตะปูเกลียวกดแป้นยางมากเกินไป ขันเพียงให้หัวตะปูเกลียวแตะแป้นยางก็พอแล้ว มิฉะนั้นอาจทำให้รอยเชื่อม พีวีซี.แตกหักได้.

    3.การบรรจุทรายใส่เครื่องกรองน้ำฝน
    เมื่อยึดเครื่องกรองน้ำฝนติดกับผนังได้มั่นคงแล้ว ตักน้ำสะอาดประมาณ 5 ลิตร ใส่ในเครื่องกรองน้ำฝน แล้วจึงใช้ถ้วยน้ำตักทราย ใส่ในเครื่องกรองน้ำฝน โดยใส่สลับข้างกันไปมา ท่อข้างขวา 1 ถ้วย ท่อข้างซ้าย 1 ถ้วย ค่อยๆใส่ เติมให้ทรายเต็มขึ้นมา เฉลี่ยให้ทรายทั้ง 2 ท่อมีระดับสูงเท่ากัน และอยู่ต่ำจากก๊อกน้ำประมาณ 10 ซม.

    4.การล้างละอองทราย
    ถึงแม้ทรายจะถูกล้างมาอย่างดีแล้ว แต่ในระหว่างการขนส่ง เมล็ดทรายจะเสียดสีกันเอง ทำให้เกิดละอองทราย เมื่อบรรจุทรายลงในเครื่องกรองน้ำฝน จะสังเกตเห็นว่าน้ำขุ่นหรือมีฟองสีน้ำตาลลอยอยู่ จึงควรล้างทรายที่บรรจุลงในเครื่องกรองน้ำแล้วอีกยก โดยใช้น้ำสะอาดเติมลงในท่อข้างที่ไม่มีก๊อกให้เต็ม ปิดก๊อกน้ำ รอให้น้ำซึมผ่านทรายขึ้นมาในท่อข้างที่มีก๊อกจนเต็ม โดยคอยเติมน้ำในท่อข้างที่ไม่มีก๊อกให้เต็มอยู่เสมอ ถ้ามีฟองสีน้ำตาลลอยอยู่ ให้ช้อนออก เปิดก๊อกน้ำเต็มที่ ให้น้ำไหลแรงๆ เพื่อพาเอาทรายที่อาจตกค้างอยู่ในก๊อกออกไป ปล่อยน้ำจนหมดแล้วปิดก๊อกน้ำ ทำการล้างทรายเช่นนี้อีกสัก 3-4 ครั้ง ทรายก็จะสะอาด เอาฝาครอบปิดปากท่อข้างที่มีก๊อก ขันตะปูเกลียวตัวเล็ก.

    5.การบ่มทราย
    การบ่มทรายเป็นการทำให้ทรายธรรมดา กลายเป็นทรายที่กรองเชื้อโรคได้ การบ่มทรายสามารถทำได้ โดยการปล่อยน้ำฝนให้ไหลซึมผ่านทรายที่อยู่ในเครื่องกรองน้ำฝน จากข้างที่ไม่มีก๊อกน้ำ ไปสู่ข้างที่มีก๊อกน้ำ ติดต่อกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ในอัตรา 5 ซีซี./นาทีในสัปดาห์แรก และค่อยๆเพิ่มขึ้นถึง 20 ซีซี./นาทีในสัปดาห์สุดท้าย
    หากจะใช้เครื่องกรองน้ำฝนทันที โดยไม่ทำการบ่มทรายตามวิธีดังกล่าวข้างต้น ควรนำน้ำที่กรองได้ไปต้มก่อนดื่ม เพราะทรายยังกรองเชื้อโรคไม่ได้ ต่อเมื่อใช้เครื่องกรองน้ำฝนติดต่อกันไปประมาณ 3 เดือน ทรายจึงจะสามารถกรองเชื้อโรคได้เหมือนทรายที่บ่มแล้ว.

    6.การกรองน้ำ
    ตักน้ำฝนที่ต้องการกรอง 1 เหยือก(ประมาณ 2 ลิตร) เทใส่ลงในท่อข้างที่ไม่มีก๊อกน้ำ น้ำฝนจะค่อยๆซึมผ่านทราย มาขึ้นที่ท่อข้างที่มีก๊อกน้ำ การเทน้ำฝนเข้าไปในเครื่องกรองน้ำฝน ไม่ควรเทครั้งละหลายๆเหยือก แต่ละเหยือกควรเว้นระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง น้ำที่กรองได้จะค่อยๆสะสมเพิ่มขึ้นในท่อข้างที่มีก๊อก เมื่อต้องการใช้น้ำดื่ม ก็สามารถเปิดรองจากก๊อกนี้ได้โดยตรง.

    7.การล้างทรายกรอง
    การใช้เครื่องกรองน้ำฝนโดยปกติแล้ว ถ้าใช้กรองน้ำฝนที่ใส ปราศจากตะกอน จะสามารถใช้เครื่องกรองน้ำฝนได้นานกว่า 10 ปี โดยไม่ต้องล้างทรายกรอง การล้างทรายกรองควรทำต่อเมื่อทรายกรองเกิดการอุดตัน หรือเครื่องกรองน้ำฝนกรองน้ำได้ในอัตราที่น้อยกว่า 1 ลิตรต่อชั่วโมง
    การล้างทรายกรอง ไม่ควรเอาทรายทั้งหมดออกมาล้าง เพราะการอุดตัน เกิดขึ้นเฉพาะส่วนบนของทรายในท่อด้านที่ไม่มีก๊อก การเอาทรายส่วนนี้หนาประมาณ 10 ซม.ออกมาล้าง ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ก่อนนำทรายออกมา ควรใช้ผ้าถูสิ่งสกปรก ที่อยู่ภายในท่อด้านที่ไม่มีก๊อกส่วนที่อยู่เหนือทราย ให้สะอาดก่อน แล้วเติมน้ำให้เต็ม (ท่อด้านที่มีก๊อกก็เติมน้ำให้เต็มด้วย) โดยใช้น้ำที่สะอาด ใช้สายยางทำกาลักน้ำ ดูดเอาทรายส่วนที่ต้องการล้างออกมาพร้อมกับน้ำสกปรก ใส่ลงในถังน้ำ ล้าง ทรายในถังน้ำโดย รินน้ำสกปรกทิ้งไป ระวังอย่าให้ทรายไหลตามน้ำออกไป ใส่น้ำสะอาด และใช้มือทั้งสองข้างกอบทรายขึ้นมาถูในมือ ให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากทราย รินน้ำสกปรกทิ้งไป เติมน้ำสะอาดใส่ถังล้างอีก ทำเช่นนี้หลายๆครั้งจนทรายสะอาด จึงนำทรายใส่กลับไปในเครื่องกรองน้ำฝนอย่างเดิม และทำการบ่มทรายตามวิธีที่กล่าวในข้อ5 แต่ใช้เวลาบ่มเพียงครึ่งเดียวก็ใช้ได้.

    8.รายละเอียดเพิ่มเติม
    หาก ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ขอเชิญติดต่อได้ที่ พรพิรุณ 16/29 ซอย ธนินทร17 ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02 536 1632.

    ดื่มน้ำฝนธรรมชาติ
    เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

    470313


    ขอบคุณข้อมูลจาก: :: Pantown :: everyone's online society


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    บุญใหญ่อานิสงส์ไม่มีประมาณ ขอเชิญร่วมบุญสร้างบันได กราบรอยพระพุทธบาท วัดลำจังหัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  14. Flashman

    Flashman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +75
    ขอบคุณมากครับ :cool:
     
  15. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]


    เปิดผังเมืองใหม่กทม.รับท่วมใหญ่ปี55

    ยกเครื่องผังเมืองใหม่กทม. เปิดทางฟลัดเวย์รับมือน้ำท่วมใหญ่ปี55 : ธนัชพงศ์คงสาย สำนักข่าวเนชั่น @tanatpong_nna รายงาน

    เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปี2554 ถือเป็นการบ้านชิ้นใหญ่ของภาครัฐ ในการต้องตื่นตัวเร่งวางระบบป้องกัน แจ้งเตือน การบริหารจัดการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นทั้งจังหวัดและกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไม่ให้ปัญหากลับไปซ้ำรอยเดิม


    ในส่วนกทม.ได้เริ่มนับหนึ่งภายหลังน้ำก้อนสุดท้ายไหลลงสู่ทะเล สั่งตรงทุกหน่วยงานในสังกัด วางกรอบ กำหนดแผน นโยบายการป้องกันน้ำท่วม ซึ่งส่วนหนึ่งโฟกัสไปที่ สำนักผังเมือง หน่วยงานสำคัญในการจัดระเบียบเมือง กรุงเทพฯ

    การประชุมปรับปรุงผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร(ปรับปรุงครั้งที่ 3) ซึ่งมีการประชุมนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้สรุปโดยเฉพาะหมวดการแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยขีดเส้นการพัฒนาเมืองบริเวณพื้นที่น้ำหลาก หรือ ฟลัดเวย์ ตามแนวทางพระราชดำริในฝั่งตะวันออกเพื่อทำหน้าที่รับน้ำจากเหนือลงใต้ ป้องกันพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน

    สำนักผังเมือง ได้ตกผลึกมาตรการปรับปรุงพื้นที่โล่งตามแนวถนนการปรับปรุงฟื้นฟูแม่น้ำ คูคลอง และมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครบังคับใช้ในปี 2525 ซึ่งเป็นข้อกฎหมายสำคัญเพื่อควบคุมการก่อสร้างอาคาร ไม่ให้เกิดการเติบโตในพื้นที่แนว "ฟลัดเวย์"

    นอกจากนี้ยังได้กำหนดพื้นที่โครงการกิจการสาธารณูปโภคที่เกี่ยวกับการระบาย น้ำและป้องกันน้ำท่วม อาทิ โครงการอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำ พื้นที่แก้มลิง ซึ่งเป็นโครงการหลักที่ได้มีการประสานกับสำนักการระบายน้ำ กทม. ไว้เบื้องต้น

    อีกหนึ่งข้อเสนอสำนักผังเมือง ได้เตรียมแผนผังบังคับตามพระราชบัญญัติการผังเมืองพ.ศ.2518 อาทิ แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน แผนผังแสดงที่โล่ง แผงผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง หรือแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค เพื่อวางแผนผังและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วม

    แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯในพื้นที่เขตลาดกระบัง มีนบุรี คลองสามวา และหนองจอก ส่วนฝั่งตะวันตกในเขตตลิ่งชัน ทวีวัฒนา และบางขุนเทียน (รูปประกอบ)

    1.ฝั่งตะวันตก หรือฝั่งธนบุรี ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบน้ำท่วมอย่างหนัก คณะกรรมการร่างผังเมืองเสนอไม่ควรใช้พื้นที่สำหรับการพัฒนา เพราะอาจจะมีการสร้างตึกแถว บ้านแฝด หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ หากมีน้ำท่วมพื้นที่ฝั่งธนบุรีอีกครั้ง การก่อสร้างจะกระทบกับแนวทางระบายน้ำได้

    2.ฝั่งตะวันออกในแนว ฟลัดเวย์ ถือ เป็นพระเอก ในการพากรุงเทพฯพ้นวิกฤติน้ำท่วม ทำหน้าที่ระบายน้ำจากทิศเหนือให้ลงสู่ทะเลของกรุงเทพฯ ซึ่งตามแผนที่จะถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรอย่างเดียว เพราะหากมีการสร้างหมู่บ้านจัดสรร ตึกแถว สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ จะไปขวางแนว "ฟรัดเวย์" ตามแนวที่สำนักผังเมืองวางไว้

    นอกจากนี้รายละเอียดการร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร(ปรับปรุงครั้งที่ 3) ยังมีการทบทวนแผนผังโครงการกิจการสาธารณูปโภค เน้นตามแนวทางตามพระราชดำริในการระบายน้ำจากทิศเหนือให้ลงสู่ทะเล โดยการพัฒนาคลองในแนวทิศเหนือและใต้ ประกอบด้วย

    1.ฝั่งตะวันออก แบ่งเป็น 1.1 คลองพระยาสุเรนทร์-คลองบางชัน-คลองลาดบัวขาว-คลองทับช้างบน-คลองแม่จัน-คลอง ตาพุก-คลองสิงโต-คลองอาจารย์เกตุ 1.2 คลองสามวา-คลองบึงไผ่-คลองสาม-คลองลาดกระบัง-คลองบางปลาร้า 1.3 คลองสิบ-คลองนกแขวกและคลองบึงใหญ่-คลองลำปลาทิว-คลองหนองงูเห่า-คลองบางปลา 1.4 คลองสิบสาม-คลองลำผักชี-คลองลำปลาทิว-คลองหัวตะเข้-คลองหัวเกลือ

    2.ฝั่งตะวันตก แบ่งเป็น 2.1 คลองทวีวัฒนา-คลองเลนเปน 2.2 คลองบัว-คลองพระยาราชมนตรี-คลองขุนราชวินิจใจ 2.3 คลองบางมด-คลองตาหมื่น 2.4 คลองบางพึ่ง-คลองขุนสมุทรไทย

    สำหรับแนวคลองระบายน้ำบางสายที่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้แก่ คลองพระยาสุเรนทร์-คลองบางชัน คลองบึงไผ่-คลองสาม คลองทวีวัฒนา-คลองเลนเปน และคลองบัว-คลองพระยาราชมนตรี สำนักผังเมือง ได้เสนอให้สร้างความเชื่อมโยง โดยการขุดคลองเชื่อมระบบระบายน้ำ สร้างอุโมงค์เชื่อมระหว่างคลอง หรือการสร้างถนนที่ใช้สำหรับการระบายน้ำในภาวะฉุกเฉิน

    ที่สำคัญกทม.เตรียมประสานกับรัฐบาล กำหนดกรอบแนวทางป้องกันร่วมกับจังหวัดปริมณฑล ทั้งนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ในการวางผังเมืองรวม หรือการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดเป็นภาพรวมการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างจริง จัง

    ด้านม.ร.ว.เปรมศิริ เกษมสันต์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง ให้ความเห็นถึงการจัดทำผังเมืองรวมครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมากรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ความสำคัญกับร่างการปรับปรุงผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครเป็นพิเศษ ซึ่งช่วงที่มีการประชุม บริษัทกรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของกทม. ในฐานะคณะกรรมการที่ปรึกษา ได้เสนอให้มีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบ แอร์พอร์ตลิงก์ สถานีลาดกระบังเพื่อรองรับการขยายตัวแต่สำนักผังเมืองเห็นว่าบริเวณนั้นเป็น พื้นที่แนว ฟลัดเวย์ สำคัญที่สุดคณะกรรมการจึงต้องสงวนพื้นที่ "ฟลัดเวย์" ต่อไปตามแนวทางพระราชดำริ

    นโยบายการใช้ที่ดินในแนวฟลัดเวย์เช่นในพื้นที่ลุ่มต่ำ พอมีน้ำมามาก กทม.จะสามารถให้ผันน้ำเข้าพื้นที่ในแนวฟลัดเวย์ เพื่อป้องกันพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ทางสำนักผังเมืองจึงต้องกำหนดพื้นที่ให้เป็นทางน้ำหลากจากเหนือลงใต้ให้ ชัดเจน

    ส่วนข้อสรุปการจัดทำผังเมืองใหม่นั้นม.ร.ว.เปรมศิริระบุว่า ภายในเดือนมกราคมจะนำข้อเสนอแนวทางปรับปรุงผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 3) ทั้งหมด เสนอต่อกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งทางผังเมืองใหญ่จะมีการตั้งอนุกรรมการเพื่อประชุมร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะสามารถประชุมนัดแรกได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จากนั้นจะเปิดเวทีให้ภาคประชาชนที่มีส่วนได้เสียกับร่างผังเมืองใหม่ มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุป ก่อนประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

    จากนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ของหน่วยงานรัฐคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กรุงเทพมหานคร สานแผนโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมใหญ่ ไม่ให้ซ้ำรอยวิกฤติอุทกภัยเหมือนปีที่ผ่านมา

    ที่สำคัญบรรดานักการเมืองก็ต้องเปิดใจก้าวข้าม"เกมการเมือง" มิเช่นนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดอาจจะเป็นเพียง สัญลักษณ์ เท่านั้นเอง

    ..........

    ที่มา: สำนักข่าวเนชั่น

    http://www.komchadluek.net/detail/20120123/120984/เปิดผังเมืองใหม่กทม.รับท่วมใหญ่ปี55.html


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    บุญใหญ่อานิสงส์ไม่มีประมาณ ขอเชิญร่วมบุญสร้างบันได กราบรอยพระพุทธบาท วัดลำจังหัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2012
  16. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]


    การวางแผนและการเตรียมพร้อมชุดการอยู่รอดฉุกเฉิน จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัย และรู้สึกสบายใจในสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ชุดการอยู่รอดฉุกเฉินที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ ทำไมถึงมีความสำคัญต่อการอยู่รอดกับคุณและครอบครัว

    จากเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคททริน่าในประเทศสหรัฐอเมริกา ในเหตุการณ์นี้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ ได้รู้สึกถึงความล่าช้าในการช่วยเหลือของทางราชการอย่างมาก ทำให้พวกเขาได้คิดว่า หากมีภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกในอนาคต และไม่รู้จะเกิดในระยะเวลานานหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนอย่างไร
    แม้การเตรียมเป้ฉุกเฉินสำหรับ 3 วันหรือ 72 ชั่วโมง อาจจะเหมาะกับการรับมือแผ่นดินไหว แต่ถ้าลองนึกถึงภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น พายุไต้ฝุ่น น้ำท่วม เหล่านี้แล้ว ดังนั้นจึงควรเตรียมไว้ให้สามารถใช้ได้ไม่น้อยกว่า 1 เดือน หรือมากกว่านั้น

    ทำไมถึงไม่ซื้อชุดการอยู่รอดแบบสำเร็จรูป ???

    ในสถานการณ์ปกติแล้ว คุณสามารถเดินหาซื้อสินค้าได้ตามร้านค้าทั่วไป ไว้ล่วงหน้าได้ ชุดการอยู่รอด หรือ Emergency Kit แบบสำเร็จรูป ที่ผู้ผลิตมักจะผลิตเพื่อจำหน่าย เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า แต่ในการผลิตแต่ละครั้ง ผู้ผลิตมักจะผลิตให้ได้ราคาต่ำที่สุด เพื่อหวังผลกำไร มันจึงส่งผลให้คุณภาพสินค้าหรือชุดการอยู่รอดของคุณน้อยลงไป หากมีการเก็บไว้นานๆ แล้ว สินค้าจะเสื่อมคุณภาพและไม่สามารถใช้งานในสภาวะฉุกเฉินได้เลย

    นอกจากนี้ การที่คุณเลือกจับจ่ายสินค้าเอง มันทำให้คุณได้เลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับคุณเอง และครอบครัว โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาวะอากาศในท้องถิ่นของคุณ จำนวนสมาชิกในครอบครัว นิสัยการรับประทานอาหารของสมาชิก รวมไปถึงกิจกรรมที่คุณจะวางแผนในช่วยเกิดภัยพิบัติ ซึ่งแต่ละครอบครัวมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    หมายเหตุ การซื้อชุดฉุกเฉินที่มีราคาถูก อาจทำให้คุณมีความเสี่ยงได้ การที่คุณจัดชุดฉุกเฉินเอง มันทำให้คุณประหยัด และเลือกอุปกรณ์ที่คุณไม่ต้องการ ตัดทิ้งออกไปได้ และเหมาะสมกับคุณเองโดยเฉพาะ

    รายการชุดฉุกเฉิน (Emergency & Survival Kit List)


    อาหารฉุกเฉิน

    ชุดการอยู่รอดในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับบ้านของคุณ ควรมีการจัดหาอาหารเพิ่มเติม นอกเหนือจากอาหารที่คุณรับประทานประจำ คุณควรหาที่เก็บไว้แยกต่างหาก เช่น คุณอาจจะจัดชั้นวาง ช่องแข็งในตู้เย็น เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับ อาหารที่คุณเตรียมไว้ยามฉุกเฉิน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในขณะที่แต่ละวันคุณจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า คุณอาจจะซื้ออาหารแห้ง หรืออาหารแช่แข็งติดๆ มาด้วยก็ได้

    ข้อควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารในสถานการณ์ภัยพิบัติ คุณควรวางแผนการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ดีที่สุด ด้วยสภาพจิตใจที่มีความเครียดในภาวะฉุกเฉิน คุณอาจจะเผชิญกับโรคลำไส้อักเสบ หรือ ท้องเสีย ดังนั้น คุณควรวางแผนการรับประทานอาหารให้ดี และให้เหมาะสมกับสภาพจิตใจที่เราอยู่ ณ ขณะนั้นด้วย ลองกลับไป จินตนาการดูว่า คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร ที่ต้องมานั่งรับประทานอาหาร ด้วยความเครียดและกังวลในสภาวะภัยพิบัติธรรมชาติ

    ในการเลือกอาหาร เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่รอดของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่า คุณได้เลือกรายการอาหารที่ดีที่สุด สามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน ควรเป็นอาหารแห้ง โดยไม่ต้องแช่ในตู้เย็น หากคุณซื้ออาหารกระป๋องมาเก็บไว้ คุณควรดูวันหมดอายุ และวางแผนในการเก็บรักษา โดยการหมุนเวียนเปลี่ยนอาหารให้สม่ำเสมอ มีความสดใหม่อยู่เสมอ ทำอย่างเคร่งครัด ให้อาหารของคุณมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาในภาวะภัยพิบัติธรรมชาติ

    อาหารสำหรับชุดการอยู่รอดของคุณ ควรคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ ผมขอยกตัวอย่างรายการอาหารในเวลาฉุกเฉิน ดังต่อไปนี้

    - เครื่องกระป๋องทุกประเภท รวมไปถึง ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์
    - ถั่วเมล็ดแห้ง และข้าว
    - อาหารเช้าแบบซีเรียล รวมไปถึงข้าวโอ๊ต
    - นมผง
    - ผลไม้แห้ง
    - ปลากระป๋อง
    - เกลือ , ลูกอม
    - หากมีเด็กทารก คุณควรจัดอาหารสำหรับเด็กทารกด้วย

    อย่าลืมที่เปิดกระป๋อง อุปกรณ์รับประทานอาหารอื่นๆ

    น้ำดื่มฉุกเฉิน


    ในหลายสัปดาห์คุณสามารถอดอาหารได้ แต่น้ำไม่สามารถอดได้ เนื่องจากว่าร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ในช่วงระหว่างการเกิดภัยพิบัติ การทำน้ำให้สะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

    ชุดการอยู่รอดของคุณ อาจจัดหาน้ำบรรจุขวด หรือแกลลอนก็ได้ แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับระยะยาว ตามหลักแล้ว คุณและครอบครัว ต้องมีน้ำอย่างน้อย 1 แกลลอน สำหรับบริโภคและอุปโภค หากสมาชิกในครอบครัวของคุณมี 4 คน คุณควรมีน้ำอย่างน้อย 120 แกลลอนต่อเดือน

    ในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ เป็นที่น่าเสียดายว่า น้ำในประปาหรือรอบบ้านของคุณ เป็นน้ำที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ที่อาจเกิดจากน้ำป่าไหลหลาก หากคุณดื่มน้ำนี้เข้าไป อาจเป็นอันตรายกับคุณได้ เพราะน้ำเหล่านี้ มักจะมีเชื้อปรสิต ที่เป็นอันตรายต่อความสามารถในการอยู่รอด เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย คุณควรทำน้ำให้สะอาดและปลอดภัย ในการอยู่รอดให้ได้

    โดยวิธีการที่ดีที่สุดในการทำลายเชื้อโรคเหล่านี้ ควรทำโดยวิธีการต้มน้ำ น้ำเดือดสามารถทำให้เชื้อโรคเหล่านี้ตายได้ ในทางตรงกันข้าม หากใช้วิธีการกรองน้ำ หรือยาบำบัดน้ำ อาจทำให้เชื้อบางตัวไม่สามารถตายได้

    ด้วยเหตุนี้ชุดการอยู่รอดของคุณในเวลาฉุกเฉิน ควรหาอุปกรณ์ที่ไว้สำหรับต้มน้ำ เตรียมพร้อมไว้ เช่า เตาแก๊ส เตาถ่าน เพราะหากน้ำประปาถูกปิด คุณอาจจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำจากนอกบ้านของคุณที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคมากมาย และการเลือกอุปกรณ์สำหรับต้มน้ำ คุณควรดูสภาวะแวดล้อมบ้านของคุณว่า สามารถจุดไฟได้หรือไม่

    หากคุณมองถึงว่าการต้มน้ำเป็นสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับคุณ บางคนหันไปใช้ยาบำบัดน้ำ แต่คุณลองนึกถึงว่า ยาบำบัดน้ำก็มีอายุการใช้งานของมัน ภัยพิบัติไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดนานหรือไม่ นอกจากนี้ หากคุณมีสมาชิกในครอบครัวหลายคน คุณลองนึกถึงว่า คุณต้องใช้ยาบำบัดน้ำกี่เม็ด ถึงจะพอสำหรับแกลลอนน้ำจำนวนพันแกลลอน

    อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำน้ำให้สะอาดขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

    - แกลลอนน้ำที่สามารถใส่น้ำดื่มได้ ได้รับการรับรองว่าสามารถใส่น้ำเพื่อบริโภคได้
    - หม้อโลหะขนาดใหญ่ สำหรับต้มน้ำ
    - เตาถ่าน เตาแก๊ส และควรมีเชื้อไฟ เช่น ถ่านไม้ แก๊สกระป๋อง น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
    - ยาบำบัดน้ำ เครื่องกรองน้ำ กรุณาตรวจสอบประสิทธิภาพของมันว่า สามารถฆ่าเชื้อโรคอะไรได้บ้าง

    ไฟฉุกเฉิน หรืออุปกรณ์ให้แสงสว่าง

    ส่วนหนึ่งของชุดการอยู่รอดของคุณ คุณควรหาอุปกรณ์ให้แสงสว่าง เนื่องจากว่า ภัยพิบัติอาจทำให้กระแสไฟฟ้าของบ้านคุณถูกตัดขาด นับสัปดาห์ หรือหลายเดือน คุณควรหาอุปกรณ์ให้แสงสว่างไว้ เช่น ไฟฉาย เทียนไข ตะเกียง สามารถนำไปใช้ในที่พักอาศัยของคุณ หรือใช้เพื่อขอส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้

    ผมแนะนำให้คุณมีไฟฉายให้ครบทุกคนในครอบครัว และควรมีหลอดไฟ แบตเตอรี่สำรอง ถ้าเป็นไปได้ คุณควรใช้ไฟฉายแบบคาดหัวที่นักเดินทางหรือนักปีนเขาชอบใช้ ไม่ต้องใช้มือในการถือไฟฉาย คุณอาจจะต้องเดินทางยกกระเป๋าไปไหนต่อไหน หรืออาจจะต้องมีการซ่อมแซมอุปกรณ์อื่นๆ ในที่มืดก็เป็นไปได้ มันทำให้สะดวกต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก

    นอกจากนี้ คุณควรหาเทียนขนาดใหญ่ หรือมีขนาดยาวไว้ และควรมีแท่งเรืองแสงไว้เพื่อขอความช่วยเหลือ เพื่อความสะดวกในการค้นหาของเจ้าหน้าที่กู้ภัย

    ผมขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ดังนี้

    - ไฟฉาย
    - แบตเตอรี่สำรอง หลอดไฟ
    - เทียนขนาดใหญ่ จุดได้นาน
    - แท่งเรืองแสง
    - ตะเกียง เชื้อเพลิง เช่น น้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซินขาว แก๊สกระป๋อง

    การสื่อสารในยามฉุกเฉิน

    ทุกชุดการอยู่รอดของคุณ คุณควรมีวิทยุ AM FM หรือวิทยุพลังไดนาโม ซึ่งจะทำให้คุณได้ทราบการติดตามความคืบหน้า การถ่ายทอดฉุกเฉินจากสถานีวิทยุ เพื่อให้คุณได้ทราบข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับสถานะของการดำเนินการช่วยเหลือ และขั้นตอนการอพยพ

    โปรดจำเอาไว้ว่า โทรศัพท์มือถือ หรือ อุปกรณ์สื่อสารรูปแบบอื่นๆที่มีความทันสมัย อาจไม่ทำงานในสภาวะฉุกเฉิน การส่งสัญญาณอาจมีคลื่นรบกวนได้ กรุณาอย่าคิดว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่จะช่วยเหลือคุณได้เสมอไป

    ชุดการอยู่รอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควรจะมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถทำงานได้ง่ายมากขึ้น เช่น กระจกสะท้อนแสง นกหวีด เป็นต้น ในขณะที่คุณสามารถตะโกนเป็นระยะเวลาสั้นๆ ได้ แต่เสียงของคุณอาจะถูกกลบไปด้วยเสียงรบกวนอื่นๆก็เป็นไปได้ ดังนั้นคุณควรมีนกหวีดที่เสียงดัง และสามารถใช้ได้ในกรณีที่เปียกน้ำ นอกจากนี้ กระจกส่องสัญญาณก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะสามารถขอความช่วยเหลือ จากการค้นหาของเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางอากาศได้

    ผมขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่สามารถส่งสัญญาณหรือสื่อสารได้ ดังนี้

    - โทรศัพท์เคลื่อนที่
    - วิทยุ AM FM พร้อมแบตเตอรี่สำรอง / วิทยุพลังไดนาโม
    - กระจกส่องสัญญาณ
    - นกหวีดเสียงดังๆ

    การปฐมพยาบาลในยามฉุกเฉิน

    ชุดการอยู่รอดของคุณ ควรมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เป็นของตนเอง รวมไปถึงยาประจำตัวอื่นๆ ที่จำเป็น กรุณาตรวจสภาพ เช็ควันหมดอายุอยู่ตลอดเวลา และควรหมุนเวียน เปลี่ยนกันใช้บ้าง เพื่อสามารถใช้ได้ท่วงทีในยามฉุกเฉิน

    คุณไม่จำเป็นต้องไปฝึกอบรม หรือต้องมีอุปกรณ์ครบครันอย่างในโรงพยาบาล คุณอาจจะมีคู่มือปฐมพยาบาลขั้นต้นเผื่อไว้ หรือมีการศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้บ้าง และกรุณาอย่าแสดงอาการตกใจเมื่อคุณปฐมพยาบาลให้กับผู้ป่วย หรือบาดเจ็บ

    อุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่คุณควรจะมี ดังนี้

    - ถุงมือปลอดเชื้อ หรือ ถุงมือแพทย์
    - กรรไกรขนาดเล็ก
    - แหนบ
    - ปิโตรเลียมเจล (วาสลีน)
    - สบู่ ครีมล้างมือแบบฆ่าเชื้อโรค
    - พลาสเตอร์ยา ประเภทต่างๆ หลายๆขนาด
    - น้ำยาล้างตา
    - ปรอทวัดไข้
    - ยาและเวชภัณฑ์ ที่ต้องการ
    - แอสไพริน หรือ ไอบูโปรเฟน
    - ยาแก้ท้องเสีย
    - ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    - ยาระบาย
    - ครีมกันแดด

    ที่พักฉุกเฉิน

    ในระหว่างสถานการณ์ภัยพิบัติ บ้านของคุณอาจไม่สามารถอยู่ได้ คุณอาจถูกบังคับให้อพยพ ด้วยเหตุนี้ชุดการอยู่รอดของคุณ ควรมีอุปกรณ์ทำที่พักอาศัยและเครื่องนอน

    ที่พักที่เหมาะสมที่สุด และพอสำหรับในสมาชิกครอบครัวของคุณ นั่นคือ เต็นท์ขนาดใหญ่ เพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ควรมีถุงนอน หรือผ้าห่ม แผ่นรองนอน ผ้าห่มรักษาอุณหภูมิ (Emergency Blanket)

    ความถูกสุขลักษณะในยามฉุกเฉิน

    ประปาในบ้านของคุณอาจใช้ไม่ได้ ในระหว่างการเกิดภัยพิบัติ มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่คุณจะต้องแก้ปัญหาว่าคุณต้องขับถ่ายอย่างไร คุณจะมีวิธีการทำให้สะอาดอย่างไร เพราะถ้าคุณไม่ทำให้ถูกสุขลักษณะแล้ว อาจทำให้บ้านของคุณกลายเป็นที่แพร่พันธุ์เชื้อโรค และสมาชิกในครอบครัวของคุณอาจเจ็บป่วยได้ ดังนั้นคุณอาจจำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์ดังต่อไปนี้

    - กระดาษชำระ , กระดาษเช็ดก้นเด็ก (ทิชชู่เปียก)
    - น้ำยาฆ่าเชื้อโรค
    - ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผู้หญิง เช่น ผ้าอนามัย
    - ถังขนาดใหญ่ ไว้สำหรับทำเป็นห้องน้ำแบบพกพา
    - ถุงขยะ หรือ ถุงดำ

    การค้นหาและการกู้ภัยในยามฉุกเฉิน

    หลายครั้ง ผลที่เกิดจากภัยพิบัติ สมาชิกในครอบครัวของคุณอาจจะติดอะไรสักอย่าง ไม่สามารถออกได้ ในการค้นหาและกู้ภัย คุณควรจัดชุดการอยู่รอดของคุณ ให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่จำเป็น สำหรับปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือ ดังนี้

    - เครื่องมือเอนกประสงค์
    - มีดแบบใบตาย
    - พลั่ว
    - ถุงมือ
    - หน้ากากปิดจมูก
    - เทปผ้าเอนกประสงค์แบบกันน้ำ
    - เชือก
    - ขวาน

    ชุดอุปกรณ์การอยู่รอดเพิ่มเติม เช่น

    - ไม้ขีดไฟกันน้ำ
    - แท่งจุดไฟ
    - เชื้อไฟอย่างดี
    - แว่นตากันแดด
    - เชือกร่ม 100 ฟุต
    - เป้แบบสะพาย สำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว
    - กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ ในกรณีสำหรับขนย้ายสิ่งของด้วยยานพาหนะ
    - ยากันแมลง ยากันยุง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2012
  17. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สัญญาณวิปโยค

    แค่ดูในหนังฮอลลีวูดยังลุ้นระทึก ตื่นเต้น หวั่นไหวไปด้วย

    แต่ ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศรายงาน สภาวะอากาศหนาวเย็นจัดเป็นประวัติการณ์ได้คุกคามหลายประเทศในทวีปยุโรป ทั้งยูเครน โปแลนด์ โรมาเนีย บัลแกเรีย เช็ก อิตาลี เกิดหิมะตกหนัก อุณหภูมิติดลบถึง 38 องศาเซลเซียส

    ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตพุ่งทะลุหลัก 300 ราย

    ขณะ เดียวกันก็มีรายงานว่า ประชาชนเซอร์เบียอย่างน้อย 11,000 คน ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พบผู้เสียชีวิตแล้วหลายราย โดยหน่วยฉุกเฉินแสดงความกังวลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เนื่องจากบางพื้นที่หิมะตกหนาถึง 5 เมตร เจ้าหน้าที่ต้องส่งเฮลิคอปเตอร์เพื่อหย่อนสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน ในหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากหิมะที่ตกแทบจะไม่หยุด

    ส่วนที่กรุง ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวจัดจากพายุหิมะเข้าถล่ม ทำให้ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ต้องสั่งยกเลิกเที่ยวบินกว่า 30 เที่ยว เนื่องจากวิสัยทัศน์ไม่เอื้ออำนวยจากหิมะที่ตกอย่างหนัก

    หนาวสุดขั้ว พายุหิมะถล่มเมือง

    ย้ำ นี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่ฉากวิปโยคในภาพยนตร์แต่อย่างใด

    เอา ให้ใกล้ตัวเข้ามาอีกหน่อย เหตุเกิดที่เมืองไทย นายแพทย์ไกรศักดิ์ ทองรอง รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า อากาศในจังหวัดอำนาจเจริญมีความแปรปรวนเป็นอย่างมาก นอกจากหนาวแล้วยังมีฝนตกกระจายทั่วทั้งพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ และโรคปอดบวมเป็นจำนวนมากเข้ารับการรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย

    และที่ทำเอาผวาไปตามๆกันกับฝนหลงฤดูที่มาเร็วกว่าปกติ ถล่มกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง โดยเฉพาะ กทม.เกิดภาวะน้ำท่วมขัง ตามสถานการณ์กร่อยๆ ที่ศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม กทม. รายงานน้ำท่วมขังบนพื้นผิวจราจร เช่น บริเวณซอยสุขุมวิท 62–64 มีน้ำท่วมขัง 20–25 เซนติเมตร ส่งผลให้ไฟฟ้าในบริเวณดังกล่าวดับ ทำให้เครื่องสูบน้ำในพื้นที่ไม่สามารถทำงานได้ ในท่ามกลางความว้าเหว่ที่ตามข่าวผู้บริหาร กทม.เพิ่งตื่นลอกท่อ ลอกคลองระบายน้ำ

    น้ำท่วมยังไม่ทันหายเหนื่อย ยังไม่ทันซ่อมแซมบ้าน ต้องผวากันอีกแล้ว

    โดย สัญญาณที่เกิดขึ้นทั่วโลก เตือนให้มวลมนุษยชาติทุกเผ่าพันธุ์ ทุกทวีปได้รู้ตัวว่าสภาวะอากาศของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ ทั้งน้ำท่วม ภัยหนาว ภัยแล้ง ที่จะคุกคามไม่หยุดหย่อน

    ต้องหาทางป้องกัน เอาตัวรอดจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป

    ก็ มีแต่มนุษย์บางจำพวกในหมู่นักการเมืองไทยที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนี่แหละ ที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาถึงภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ ยังคงสนุกกับการเล่นเกมชิงอำนาจ ชิงผลประโยชน์กันไม่ลดละ

    ปล่อยประชาชนคอยลุ้นชะตากรรมกันเอาเอง ตัวใครตัวมัน.

    ที่มาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    สัญญาณวิปโยค - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2012
  18. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร)




    สมิทธ-ปราโมทย์'สอนรับมือภัยพิบัติ


    มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ นำโดย ดร.สมิทธ ธรรมสโรช และ อาจารย์ปราโมทย์ ไม้กลัด เดินสายให้ความรู้แก่ปชช.ในพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ นำร่องพื้นที่แรกที่ จ.ระนอง เตรียมความพร้อมรับมือพิบัติภัย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 55 ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผย ในระหว่างการลงพื้นที่ จ.ระนองว่า ทางมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้นำคณะลงมา จ.ระนองเพื่อจัดประชุมเสริมสร้างองค์ความรู้การจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสร้างเครือข่ายการเตือนภัยในจังหวัดพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ โดยจะเริ่มใน จ.ระนอง

    จุดประสงค์หลักของการจัดประชุมฯ เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และหลักการจัดการให้อยู่กับธรรมชาติอย่างมีความสุขแก่ชุมชน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้การจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากหลายรูปแบบใน ท้องที่จังหวัดระนอง ซึ่งทางมูลนิธิกำหนดจัดเป็นจังหวัดแรก และจังหวัดพื้นที่เสี่ยงภัยอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อการเตือนภัย และช่วยเหลือผู้ประสบภัยภายในชุมชนและระหว่างชุมชน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ แกนนำชุมชนหมู่บ้านในพื้นที่เสี่ยงภัย , องค์กรภาครัฐ , เอกชน รัฐวิสาหกิจ , องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน

    ดร.สมิทธ กล่าวต่อว่าในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมาทุกภาคในประเทศไทยมักประสบปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นหลาก หลายรูปแบบซึ่งปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มีความรุนแรงก่อผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนมากกว่าใน อดีต ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่สำคัญ คือสภาวะโลกร้อนที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าได้ส่งผลกระทบเป็นปัจจัยเสริมทำให้ทั่วโลกเกิด ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดในประเทศไทย

    ปัจจุบันพบว่า มีภัยจากสภาพลมฟ้าอากาศที่วิปริต ภัยจากสภาพน้ำได้แก่ อุทกภัย ทั้งประเภทน้ำป่าไหลหลากพัดถล่มบ้านเรือนพังราบ หรือปริมาณน้ำมากไหลล้นตลิ่งไปท่วมพื้นที่ชุมชน และพื้นที่ทางการเกษตรเป็นบริเวณกว้าง คลื่นพายุซัดฝั่ง รวมถึงคลื่นยักษ์สึนามิ ภัยจากการเคลื่อนตัวของแผ่นดิน ได้แก่ดินโคลนถล่ม และแผ่นดินไหว รวมไปถึงภัยจากโรคเชื่อโรคระบาดต่างๆ "จากพิบัติภัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทางมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรจัดทำโครงการ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทุกรูปแบบ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภัย และแนวทางการจัดการภัยที่เหมาะสมให้เข้าถึงในรายละเอียดทุกด้าน ทุกประเด็นแก่ท้องถิ่นและชุมชนจังหวัดต่างๆ ที่มักประสบภัยธรรมชาติเป็นประจำ นอกเหนือจากการประกาศเตือนภัยที่ทำตามปกติ ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยให้ชุมชนที่เสี่ยงภัยของแต่ละจังหวัดนั้นสามารถ บรรเทาหรือลดความเสียหายกรณีมีภัยเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ


    "สมิทธ" ดันสร้าง "เขื่อนกั้นน้ำทะเล" ป้องกันกทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม จมบาดาล



    ออกมาพูดเตือน-ให้ข้อมูลประเมินความเสี่ยงทางวิชาการด้ายภัยธรรมชาติทีไร อันต้องกลายเป็น "ข่าวสาร" ที่คนในสังคมไทยต้องเงี่ยหูรับฟังกันให้ดีๆ เพื่อความไม่ประมาท!

    ไม่ใช่ใครที่ไหน ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันนั่งควบตำแหน่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหาร จัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.)

    โดยครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ 23 ก.พ. 2555 ดร.สมิทธได้กล่าวระหว่างร่วมวงเสวนาเรื่อง " บทบาทและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแก้ไขภัยพิบัติธรรมชาติ" ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า

    ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องนำ "บทเรียน" ภัยพิบัติร้ายแรงในอดีตมาศึกษาข้อถ่วงแท้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยขึ้นอีก พร้อมกับออกตัวว่าที่ผ่านมาโดนด่าหนักๆ มาโดยตลอดเวลาพูดเตือนอะไรออกไปแล้วเกิดขึ้นบ้าง ไม่เกิดบ้าง..

    แต่กระนั้นในครั้งนี้ ดร.สมิทธ ก็ยังมุ่งมั่นในวิถี "กันไว้ดีกว่าแก้" เสนอแนวคิดก่อสร้าง "เขื่อนกั้นน้ำทะเล" เพื่อป้องกันมหาอุทกภัยในอนาคตอีกด้วย โดยแนวคิดและข้อมูลที่ระบุในวงเสวนา มีดังนี้

    ประเทศไทยเคยเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ร้ายแรงมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยนำมาเป็นบทเรียนหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ทั้งจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว สึนามิ

    ล่าสุดกับมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นก็เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของมนุษย์

    ไม่ใช่เรื่องภัยธรรมชาติ

    อาจจะมีคนเห็นว่าผมวิพากษ์วิจารณ์มากเกินไป ก็อยากให้ปลดจาก "กยน." จะได้วิจารณ์มากกว่านี้ แม้ตอนนี้จะยังไม่ปลด แต่ก็อาจปลดในอนาคตได้

    ผมเคยเสนอหลายครั้งแล้วว่าการป้องกันน้ำท่วม จะต้องสร้าง เขื่อนกั้นน้ำทะเล จาก จ.ฉะเชิงเทรา ถึงชะอำ จ.เพชรบุรี ระยะทาง 96 ก.ม.

    เนื่องจากปกติเมื่อเกิดอุทกภัยน้ำจากแม่น้ำหลักทั้ง 3 สาย คือ แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง จะต้องระบายน้ำลงสู่ทะเล

    แต่หากน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมาสมทบกับปริมาณน้ำจำนวนมหาศาล อาจทำให้ระบายน้ำออกไม่ได้ ปริมาณน้ำก็จะเท่าเดิม เขื่อนที่สร้างนี้จะให้น้ำจืดในแม่น้ำไหลลงมาให้สุดในพื้นที่ที่เตรียมไว้

    แล้วจึงเปิดประตูระบายน้ำออกในช่วงที่น้ำทะเลลดลง

    นอกจากจะมีประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำแล้ว เขื่อนกั้นน้ำทะเล จะเป็น "เส้นทางการคมนาคมแห่งใหม่" จากภาคตะวันออกสู่ภาคใต้ โดยไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ

    ทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณเพียงแค่การก่อสร้างรถไฟฟ้า 1 สายเท่านั้น

    หากไม่ทำ ภายในปี 2558 พื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม จะถูกน้ำท่วมถาวร เหมือนที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดเคยวิจัยไว้Ž

    ที่มา ข่าวคมชัดลึก


    ปี "2012"...หนีน้ำท่วมโลก!!


    หากจำกันได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีข่าวลือเกี่ยวกับคำพยากรณ์ "วันน้ำท่วมโลก" แพร่กระจายไปทั่วสังคมไทย หลายคนเชื่อขนาดยอมขายบ้านที่ดินในเมืองหลวงแล้วย้ายไปอยู่ตามที่ราบสูงแถบ ภาคเหนือและอีสานแทน

    ผู้รู้หลายท่านอ้างว่า วันหายนะจะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.2012- 2017 หรือ พ.ศ.2555 - 2560 แม้ตอนนั้นหลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องชวนขัน แต่เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิถล่มทำลายหลายประเทศตั้งแต่ ต้นปีพ.ศ. 2553 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในประเทศเฮติ พม่า นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่นนั้น ทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่าคำพยากรณ์จะเป็นความจริงขึ้นมา พร้อมเชื่อว่ามหันตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปี 2554 นี้อาจเป็นการเตือนล่วงหน้า


    กลุ่มผู้เชื่อใน "วันน้ำท่วมโลก" ได้อ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หลักๆ 2 ข้อ คือ

    1.ข้อมูลจากนักวิจัยของหมู่เกาะกรีนแลนด์ ซึ่งตั้งในมหาสมุทรอาร์กติกทางเหนือสุดและเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่ประมาณ 2.2 ล้าน ตร.กม. นักวิจัยกลุ่มนี้อ้างถึงผลสำรวจการละลายของน้ำแข็งที่มีปริมาณมหาศาล หรือประมาณ 19 ร้อยล้านตัน เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน น้ำแข็งเหล่านี้กำลังละลายกลายเป็นน้ำวันละถึง 1 ล้านตัน โดยจะไหลลงมาสะสมจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2012 ซึ่งตรงกับคำทำนาย

    ส่วน ที่ 2 เป็นกลุ่มนักวิจัยอวกาศที่อ้างว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) คำนวณว่า ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว หมายความว่า ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้นโลกจะไม่มีพลังจากสนามแม่เหล็กเพื่อป้องกันรังสีต่างๆ จากอวกาศเป็นการชั่วคราว และในวันที่ 22 ธันวาคม จะเป็นวันที่ดวงอาทิตย์แผ่สนามแม่เหล็กและรังสีความร้อนสูงมายังโลก เป็นจังหวะเดียวกับที่โลกไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง หายนะที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลันทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมโลกอย่างรวดเร็วจนคนทั่วโลกหนีไม่ทัน


    กลุ่มผู้รู้ในเมืองไทยที่ถูกอ้างอิงบ่อยๆ คือ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ทำนายว่ากรุงเทพฯ จะจมใต้บาดาลในปี ค.ศ. 2015 และ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้คิดค้นระบบการลงจอดยานอวกาศบนดาวอังคารร่วมกับองค์การนาซา ทำนายว่าโลกต้องเกิดภัยพิบัติครั้งมโหฬารในปี ค.ศ.2017 นอกจากนี้ยังมี พระภิกษุ แม่ชี ฤาษีอีกหลายสำนัก ที่ให้คำทำนายคล้ายกันว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าโลกจะพบอุทกภัยน้ำท่วมครั้งมโหฬาร คำทำนายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคล หลายคนอาจเชื่อหรือไม่เชื่อ
    กลุ่มที่เชื่อได้เสนอแนะวิธีแก้ปัญหาน้ำท่วมโลก ว่า น้ำจะท่วมสูงประมาณ 4-8 เมตร หรือสูงเท่าตึก 2 ชั้น หากใครมีเงินให้ไปจับจองซื้อที่ดินบริเวณ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ฯลฯ หรือ ขอนแก่น อุดรธานี ชัยภูมิ นครราชสีมา ฯลฯ หรือหากใครไม่สามารถย้ายออกจากกรุงเทพฯ หรือจังหวัดที่เป็นพื้นที่ต่ำได้ ก็แนะนำให้ซื้อห่วงยางชูชีพ หรือห่วงยางในรถยนต์แบบที่เล่นน้ำทะเลมาเตรียมไว้ ครอบครัวละ 4-5 ห่วง หรือเท่าจำนวนสมาชิกในครอบครัว หากใครอยู่ใกล้ท่าน้ำหรือทะเลก็ให้เตรียมแพหรือเรือไว้ตลอดเวลาเพื่อความไม่ ประมาท

    ตัวแทนเว็บไซต์ "พลังจิตดอทคอม" (www.palungjit.org) เปิดเผยต่อ "คม ชัด ลึก"

    ว่า แผ่นดินไหวทั่วโลก และภาวะอากาศหนาวในหน้าร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นการเตือนให้รู้ว่าอากาศจะแปรปรวนมากขึ้น ถึงขนาดที่หิมะอาจตกในภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ตอนนี้มีหลายคนย้ายไปอยู่ที่ราบสูงอย่างถาวรแล้ว ถ้าใครไม่เชื่อในคำทำนายก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าใครเชื่อขอแนะนำให้ย้ายไปอยู่บริเวณอื่น เพราะน้ำจะท่วมโลกไม่เกิน 2-6 ปีนี้อย่างแน่นอน พื้นที่แนะนำให้ย้ายไปอยู่คือ ด้านเหนือ จ.สระบุรีขึ้นไป แต่อย่าอยู่ใกล้ "รอยเลื่อนท่าแขก" บริเวณหนองคายและนครพนม ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ควรตั้งบ้านอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เพราะจะมีเหตุการณ์ฝนตกหนัก 7 วัน 7 คืน ถ้าอาศัยอยู่ใกล้ลำน้ำมากจะได้รับอันตราย

    พร้อมแนะนำให้ทำความดีปฏิบัติธรรมและลดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น


    ขณะ ที่ "อดีตนักวิทยาศาสตร์จากนาซา" รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า องค์การนาซามีงานวิจัยด้านอวกาศหลายชิ้นที่ยืนยันได้ว่า จักรวาลกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง โลกไม่ได้ร้อนขึ้นเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือปฏิกิริยาเรือนกระจก แต่โลกร้อนเพราะกาแล็กซีหรือจักรวาลร้อนระอุเพิ่มอย่างรวดเร็ว แกนโลกจากเดิมเอียง 23.5 องศา แต่ตอนนี้เอียงเพิ่มเป็น 24.5 องศาแล้ว ทำให้น้ำแข็งจากทั่วโลกละลายมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ปี 2012 จะเกิดน้ำท่วมโลก ครั้งใหญ่ พวกเขาเตรียมผลิตอาหารและผลิตช็อกโกแลตที่กินเพียง 1 ชิ้นแล้วอิ่มทั้งวันไว้แล้ว เรียกว่า "ช็อกโกแลตยังชีพ" ขอเตือนให้คนไทยเตรียมถุงยังชีพไว้ในบ้านด้วย ในถุงนั้นต้องมีอาหารและน้ำที่พออยู่ได้นานถึง 3 เดือน เพราะหากไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองให้นานที่สุด
    !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  19. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    ใครต้องการตรวจสอบที่อยู่ปัจจุบันว่าอยู่ในระดับปลอดภัยหรือไม่
    เทียบจากระดับน้ำทะเลตาม link ที่ให้ไว้นะค่ะ

    ปล.เตรียมตัวกันได้แล้วค่ะ ไม่เกิน 2-3 เดือน หิมะที่ตกอย่างหนา ทำให้คนหนาวตายไปเยอะ กำลังจะละลาย ต้องมีผลกระทบทำให้น้ำท่วมแน่นอนค่ะ แล้วก็จะกระทบกับระบบนิเวศน์ทั่วโลก

    ค้นหาระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล หาระดับความสูงจากแผนที่
    :VO:VO:VO
     
  20. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    กันน้ำไหลเข้าบ้าน
    การป้องกันน้ำท่วมบ้านเรือน
    การลดความเสียหายจากน้ำท่วมสามารถทำได้โดยให้น้ำอยู่ห่างจากโครงสร้าง ให้น้ำหมดไปจากโครงสร้าง และให้โครงสร้างอยู่ห่างจากน้ำ การป้องกันน้ำท่วมคือการใช้เทคนิคต่างๆเพื่อป้องกันอาคารบ้านเรือนและโครง สร้างอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานต่างๆจากน้ำท่วม หรือเพื่อลดความเสียหายจากน้ำท่วม ความรุนแรงของน้ำท่วมขึ้นอยู่กับจำนวนของตัวแปรต่างๆดังต่อไปนี้ ความลึกของน้ำระยะเวลาของการท่วม ความเร็วในการไหลของน้ำ อัตราการสูงขึ้นของระดับน้ำในแม่น้ำ ความถี่ของการเกิดน้ำท่วม และระยะเวลาการตกของฝน การป้องกันน้ำท่วมที่ได้ผลจะช่วยลดการซ่อมแซมแก้ไขต่างๆของอาคารบ้านเรือน หลังน้ำท่วม ​

    การป้องกันน้ำท่วมสำหรับอาคารบ้านเรือน

    การพิจารณาจุดอ่อนของอาคารขึ้นอยู่กับลักษณะของอาคารชนิดต่างๆ รวมถึงความต้านทานต่อแรงดันน้ำ(แรงดันจากน้ำนิ่ง แรงยกของน้ำและแรงดันจากการไหลของน้ำ) และการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อจมน้ำ(คุณภาพของปูน,พฤติกรรมของทรายและดิน เหนียวใต้ฐานราก)
    อาคารสาธารณะที่ใช้สำหรับเป็นที่พักต้องยกระดับพื้นให้สูงกว่าระดับน้ำท่วม สูงสุดซึ่งสามารถทำได้โดยก่อสร้างอาคารบนพื้นที่สูงหรือถมดินให้สูงขึ้น หรือสร้างอาคารโดยยกพื้นให้สูงขึ้น ในพื้นที่ที่น้ำไหลการกั้นกระสอบทรายก็อาจช่วยป้องกันตัวอาคารได้
    การป้องกันน้ำท่วมสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน
    ความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานจากน้ำท่วมอาจมีสาเหตุจากแรงดันน้ำโดยตรงจากการกัดเซาะ หรือจากทั้งสองสาเหตุรวมกัน
    ความกว้างของช่องเปิดที่ไม่เพียงพอของแม่น้ำใต้สะพานจะทำให้ระดับน้ำเหนือ น้ำสูงขึ้น ท้องน้ำที่จุดเหนือน้ำและท้ายน้ำของสะพานจึงควรเสริมเครื่องป้องกันการกัด เซาะด้วยส่วนมากการป้องกันการกัดเซาะของท้องน้ำจะเสริมท้องน้ำด้วยอิฐ หิน หรือปลูกพืชคลุมดิน
    ความเสียหายของระบบประปาคือการที่น้ำเข้าไปในท่อ ทำให้น้ำมีตะกอนและสารพิษปนเปื้อน ปัญหานี้แก้ไขได้โดยการวางแนวท่อให้สูงกว่าระดับน้ำท่วม สำหรับระบบไฟฟ้า ระบบท่อต่างๆ และสายโทรศัพท์ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยหลักการเดียวกัน
    [​IMG]


    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="26" bgcolor="#E9E9E9"> วิธีป้องกันความเสียหายจากน้ำไหลตามถนน
    </td> </tr> </tbody></table>
    น้ำท่วมที่มาจากรางน้ำที่ถนนหรือท่อระบายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถนนที่ลาดเอียง อาจจะไหลทะลุผ่านทรัพย์สินเข้าไปในทางถนนโล่งเข้าตัวอาคาร ทะลุผ่านที่ต่ำในท่อระบายน้ำหรือรางน้ำเหนือถนน น้ำอาจจะเปลี่ยนทิศทางอย่างเหมาะสมโดยกองถุงบรรจุทรายหรือแผ่นกระดาน หรือไม้หมอนทางรถไฟ อุปสรรคของน้ำนี้จะควบคุมทิศทางของน้ำให้ไกลจากทรัพย์สิน ดังนั้นป้องกันน้ำที่จะกัดกร่อนสวนและสนามหญ้า ถังน้ำไม่ลึก อุปสรรคก็จะป้องกันน้ำไม่ให้ไปถึงบ้าน ถุงทรายหรือ ฝายไม้แสดงในรูปที่ 1 ต้องถูกวางไว้ที่หัวมนและต้องมีความยาวเพียงพอที่จะเปลี่ยนทางน้ำให้ไหลไป ตามถนน โดยจะมีน้ำบางส่วนเท่านั้นที่ผ่านฝายเข้ามา แต่น้ำส่วนที่ไหลแรงจะถูกตีกลับไปที่ถนน

    [​IMG]


    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="26" bgcolor="#E9E9E9"> วิธีการใช้ถุงทรายเพื่อเปลี่ยนทางน้ำ
    </td> </tr> </tbody></table> ระดับของถุงทราย ที่ถูกวางอย่างเหมาะสมจะทำให้การไหลของน้ำไหลอ้อมทรัพย์สินแทนที่จะไหลผ่านทรัพย์สิน
    [​IMG]


    วิธีใช้แผ่นไม้หรือใช้หมอนเพื่อกำหนดทิศทางการไหลของน้ำ
    แผ่นไม้หรือไม้หมอนเมื่อวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนทิศทางการ ไหลของน้ำได้ และให้ผลได้ดีกว่าการใช้ถุงทราย แต่ต้องใช้เวลาในการเตรียมและติดตั้งให้มากขึ้น แต่สามารถใช้คนเพียงแค่คนเดียวที่จะติดตั้งและถอนออกได้อย่างง่ายและรวดเร็ว
    [​IMG]

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="26" bgcolor="#E9E9E9"> วิธีป้องกันบ้านและสิ่งก่อสร้างโดยมีพื้นคอนกรีต
    </td> </tr> </tbody></table>
    ป้องกันน้ำท่วมได้โดยฉาบด้วยปูนหรือกำแพงอิฐที่ทาด้วยสีชนิดพิเศษ น้ำจำนวนมากที่อยู่ระหว่างฐานรากกับนอกกำแพง สามารถซึมผ่านพื้นเข้ามาภายในกำแพงได้ ​

    วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้
    1. อัดรอยรั่วภายนอกบ้านทั้งหมด โดยใช้วัตถุกันน้ำทั่วไป
    2. ทำความสะอาดกำแพงและรอยรั่ว รูรั่วอาจจะเกิดมาจากการก่อสร้างๆ แล้วสิ่งสกปรกอาจจะกลับเข้าไปติดในรูรั่ว
    3. วิธีป้องกันกำแพงบ้านแบบชั่วคราว สามารถทำได้โดยหาแผ่นพลาสติกกันน้ำ หรือวัตถุที่คล้ายๆ กันมาวางไว้ข้างกำแพง และปกคลุมขอบล่างของมันด้วยดิน และเอาแผ่นนี้ออกหลังจากที่น้ำหายท่วมแล้ว เพื่อป้องกันการผุพังและเชื้อราที่จะขึ้นบนไม้

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    [​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    [​IMG]</td> </tr> </tbody></table>


    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="26" bgcolor="#E9E9E9"> การป้องกันบ้านและอาคารที่มีพื้นเป็นไม้โครงสร้าง
    </td> </tr> </tbody></table> น้ำสามารถไหลซึมและขังนองในช่องว่างหรือใต้ถุนผ่านรอยแตกของฐานราก รูรั่วของท่อช่องระบายอากาศและหน้าต่าง นอกจากนั้นน้ำยังสามารถซึมผ่านระหว่างผนังบ้านและฐานรากอีกด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่ช่องว่างหรือห้องใต้ถุนเต็มไปด้วยน้ำ น้ำจะเพิ่มระดับและไหลเข้าสู่สิ่งก่อสร้างผ่านพื้นและรอยต่อของผนังจน กระทั่งล้นและมีระดับเดียวกันกับน้ำภายนอก
    ขั้นตอนการปฏิบัติ
    1. อุดช่องระบายอากาศและหน้าต่างด้วย แผงกั้นน้ำ ช่องระบายอากาศนั้นต้องสร้างให้ได้ตามมาตรฐานงานก่อสร้าง เพื่อป้องกันโรคราน้ำค้างและการผุเปื่อย ดังนั้น แผงกั้นน้ำ ทุกชิ้นต้องสามารถถอดย้ายออกได้ หลังจากอันตรายจากน้ำท่วมได้พ้นผ่านไปแล้ว
    2. อุดรอยแตกร้าวของฐานรากและผนัง ด้วยคอนกรีตหรือวัตถุอื่นๆ ที่สามารถใช้อุดรอยแตกได้
    3. อุดรอยรั่วเล็กๆ รอบๆ ท่อด้วยคอนกรีต หรือสารประกอบที่ใช้อุดรูรั่วในเรือ กาวซิลิโคน
    4. อุดรอยต่อระหว่างผนังกับฐานรากด้วยสารประกอบที่ใช้อุดรูรั่ว

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    [​IMG]</td> </tr> </tbody></table> การทำแผงกั้นน้ำ เพื่อใช้อุดฐานราก ช่องระบายและหน้าต่าง
    1. ใช้ไม้อัดขนาด ?” สำหรับทำ แผงกั้นน้ำ คัดไม้อัดให้เหลื่อมกับหน้าต่าง
    2. ติดแถบสักหลาด หรือยาง ด้วยกาวกันน้ำ ให้เหลื่อมกับผิวของ แผงกั้นน้ำ ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายปะเก็นอุดรูรั่ว
    3. ยึด แผงกั้นน้ำ ให้เข้าที่อย่างแน่นหนาด้วยตะปู ตะปูควงหรือสลักเกลียว
    4. ยึด แผงกั้นน้ำ เข้ากับกรอบไม้ด้วยตะปู

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="26" bgcolor="#E9E9E9"> วิธีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันน้ำเข้าทางประตู
    </td> </tr> </tbody></table> วิธีที่ 1 : ใช้ดินน้ำมัน ดินปั้น ดินเหนียวตามธรรมชาติหรือวัสดุอื่นๆ ที่สามารถอุดรอยแตกและรอยต่อรอบๆ ประตู ธรณีประตู และกรอบประตู วัสดุดังกล่าข้างต้นนั้นสามารถขูดออกได้อย่างสะดวก เมื่อน้ำท่วมได้บรรเทาลง
    วิธีที่ 2 : ใช้แผ่นพลาสติกหรือกระดาษกันน้ำที่ใช้ในงานก่อสร้าง

    ข้อควรจำ
    - ทั้งวิธีที 1 และ 2 ข้างต้นนั้นมีข้อควรระวังคือ จะต้องทำการล็อคประตูจากด้านในเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการเปิดประตูและยัง ช่วยป้องกันการแตกของสารกันน้ำที่ใช้อุด
    - แม้ว่าวัสดุที่กล่าวมาเช่น ดินน้ำมัน และดินปั้นจะใช้อุดรอยแตกรอบประตูและกรอบประตูได้ก็จริง แต่ก็มีอายุการใช้งานเพียงระยะเวลาสั้น
    [​IMG]
    วิธีการใช้ แผงกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำเข้าทางประตู
    สามารถป้องกันน้ำที่จะไหลเข้าสู่ประตูทางเข้าได้ด้วยการติดตั้ง แผงกั้นน้ำ
    [​IMG]
    การเตรียมพร้อมติดตั้งแผงกั้นน้ำ เข้ากับประตูทางเข้า-ออก
    ในการติดตั้ง แผงกั้นน้ำ เข้ากับประตูทางเข้า-ออกนั้น ก็คล้ายคลึงกับการติดตั้งหน้าต่าง หรือช่องระบายอากาศ ในกรณีพิเศษจะต้องใช้วัสดุทำเป็นประเก็นรอบๆ ขอบด้านล่างของแผ่นกระดาน เพื่อกันน้ำได้ดียิ่งขึ้น
    ขั้นตอนการปฏิบัติ
    1. ใช้แผ่นกระดานหรือไม้อัดในการทำ แผงกั้นน้ำ ดังแสดงในหน้าตรงข้าม
    2. ตัดแถบยางหรือสักหลาดให้เหลี่ยมกับผิวของไม้กระดานให้กว้างประมาณ 8 เซนติเมตร เพื่อทำเป็นประเก็นแล้วยึดติดกับด้านล่างของไม้กระดานด้วยกาวกันน้ำ
    3. อุดด้านล่างของธรณีประตู รอยแตก และรอยต่อ กรอบประตู โดยปกติแล้ว แผงกั้นน้ำ จะไม่แนบสนิทกับประตูเลยทีเดียว ใช้สารอุดรอยต่อที่คุณภาพสูงจะทำให้มีระยะเวลาการใช้งานนานหลายปี ก็จะทำให้ไม่ต้องซ่อมแซมหรือซ่อมแซมเพียงเล็กๆ น้อยๆ
    4. หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายฉากประตู ก็ใช้สลักเกลียวหรือตะปูควงพร้อมด้วยแหวนรองสลักเกลียวยึดติดเข้ากับเสาด้าน ข้างประตูทั้งสองข้าง
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr> <td>
    [​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    การเตรียมการกันน้ำสำหรับประตูโรงเก็บรถ
    1. ใช้ไม้อัดที่มีความหนาที่เหมาะสมประมาณ 25 มม. สำหรับใช้อุดประตูตัดด้านล่างของ แผงกั้นน้ำ ให้พอดีกับผิวของถนนเพื่อป้องกันน้ำด้านล่าง
    2. สำหรับประตูบานพับ ใช้ แผงกั้นน้ำ แยกกันอุดด้านข้าง และตรงกลางของประตู โดยติดในแนวดิ่งให้สูงกว่า แผงกั้นน้ำ ที่อุดอยู่ด้านล่าง
    3. อุดรอบๆ บานพับด้วยดินน้ำมันหรือกาวจนมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึมอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    [​IMG]


    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td height="26" bgcolor="#E9E9E9"> การควบคุมการชะล้างพังทลายของเนินดิน
    </td> </tr> </tbody></table>
    1. นำน้ำออกจากดิน

    น้ำไหลตามธรรมชาติ
    - ขุดคูน้ำเล็กๆ ให้รอบขอบบนของพื้นที่ ควรขุดขณะดินมีความชื้นสูงจะทำให้ขุดได้ง่าย โดยให้มีความเอียงเล็กน้อยเพื่อให้น้ำสามารถไหลได้ช้าๆ และขุดให้ปลายของคูน้ำ เชื่อมต่อกับทางระบายน้ำ​
    น้ำจากน้ำฝน
    - ขุดคูน้ำเล็กๆ ในส่วนบนเนินดินนั้นไม่ควรขุดให้น้ำไหลมารวมกันทางเดียว ซึ่งจะทำ ให้ดินอ่อนแอและง่ายต่อการชะล้างพังทลาย เราสามารถเพิ่มความมั่นคงของดินได้คือ ใช้แผ่นพลาสติกราคาถูก ปูบนดินนั้น แผ่นพลาสติกจะทำหน้าที่คล้ายกรวด ทำให้น้ำ ส่วนใหญ่ไม่สามารถไหลลงสู่ดินนั้นได้ หรืออาจจะปลูกต้นไม้ทำเป็นรั่วก็ได้เพียงแค่ ตัดพลาสติกให้พอดีกับขนาดของหลุมต้นไม้ ก็จะเป็นการช่วยสร้างความมั่นคงแก่ดิน​
    2. ทำให้น้ำไหลช้าลง
    เมื่อดินเกิดการชะล้าง เราสามารถควบคุมได้โดยการใช้กรวดหรือไม้แผ่นเล็กๆ มาทำหน้าที่คล้ายเขื่อนทำได้ง่ายๆ โดยการโรยกรวด หรือวางแผ่นไม้ข้ามส่วนที่เป็นลำธารเล็กๆ ซึ่งกรวดและแผ่นไม้จะทำหน้าที่เหมือนเขื่อนกันน้ำๆไว้ หากต้องการเพิ่มความมั่นคงยิ่งขึ้น ก็ควรฝังกรวดหรือแผ่นไม้ให้ลึกๆ บนเนินที่มีความชันมากๆ แนะนำให้สร้างคูน้ำเป็นระยะห่างเป็นช่วงๆ และควรดูระดับความสูงของพื้นที่และสามารถปล่อยน้ำให้ไหลเข้าสู่ทางระบายน้ำ
    [​IMG]

    3. เพิ่มความแข็งแรงของดินเพื่อป้องกันการพังทลาย

    ฟางหรือเศษไม้ก็ส่งผลต่อความมั่นคงในดินได้ และยังมีส่วนช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ในดิน ใช้เศษไม้ปกคลุมดินด้วยความหนาประมาณ 3 เซนติเมตรหรือใช้ฟางปกคลุมดินด้วยความหนาประมาณ 30 เซนติเมตร จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินอีกด้วย คือ เพิ่มก๊าซไนไตรเจน​
    4. ปลูกพืชคลุมดิน
    วิธีนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการข้างต้น ควรปลูกพืชก่อนฤดูแล้ง หญ้าที่ทนแล้งหรือปลูกพืชทนแล้งชนิดอื่นปกคลุม


    ขอบคุณข้อมูลจาก:˹
     

แชร์หน้านี้

Loading...