ครอบครัวธรรมมะ "ว่องวานิช"

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย omio, 17 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    แป้งตรางู สินค้าไทยๆ ในกระป๋องขาวๆ ดูไม่ทันสมัยก็จริง แต่ถ้ามองย้อนลึกเข้าไปในองค์กรที่เป็นเจ้าของ ก็จะพบว่าบริษัทแห่งนี้มีการบริหารจากผู้ที่ใช้ชีวิตที่ทันสมัย และสำเร็จการศึกษาในระดับสูงจากต่างประเทศทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ยังเป็นผู้ที่กำลังสานต่อวัฒนธรรมขององค์กรทางด้านศาสนาอย่างเหนียวแน่นอีกด้วย



    ดร.บุญยง ได้เลี้ยงดูลูกๆ อย่างใกล้ชิดศาสนา ตั้งแต่วัยเด็ก อัญญา อนุรุธ ล้วนชาย และเพิ่มหญิง จึงเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถสวดมนต์บทยาวๆ และ ฝึกนั่งวิปัสสนากันตั้งแต่เล็กๆ ทุกคน โดยเฉพาะ อนุรุธ พี่ชายคนโตนั้นหลังจากจบการศึกษากลับมาเมืองไทย เมื่ออายุเพียง 24 ปี นอกจากต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจเพื่อเตรียมรับช่วงบริหารงานต่อจากผู้เป็นพ่อแล้ว ยังได้เข้าไปเป็นกรรมการของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนี้มาเป็นเวลาถึง 11 ปี ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน





    อนุรุธ กับล้วนชายเริ่มการศึกษาเบื้องต้นจากอัสสัมชัญ และจบการศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับ ดร.บุญยง ในขณะที่อนุรุธเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.1 ส่วนล้วนชายกำลังเรียนชั้น ป.7 ก็ได้ส่งไปเรียนต่อที่ปีนังพร้อมกับอัญญาและเพิ่มหญิง ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.3 และ ป.4 โรงเรียนมาแตร์เดอี ดร.บุญยงเลือกปีนังเพราะต้องการให้ลูกได้มีพื้นฐานทางด้านภาษาจีน ซึ่งเป็นประเทศที่จะยิ่งใหญ่ทางด้านการค้าในอนาคต หลังจากนั้นทั้งหมดก็ไปเรียนต่อที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งอนุรุธจบปริญญาตรี 2 ปริญญาทางด้านเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ อัญญาจบปริญญาโททางด้านวิทยาศาสตร์และเคมีและปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ ล้วนชายจบปริญญาโททางด้านการเงินและพัฒนาที่ดิน ส่วนเพิ่มหญิงจบทางด้านเภสัชจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย



    "คุณพ่อเป็นผู้วางยุทธวิธีรวมทั้งเทคนิคต่างๆ เพื่อให้เราสนใจเรื่องการศาสนามาตั้งแต่เด็ก" อนุรุธเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง และบอกว่าทุกวันนี้เขาก็ได้เริ่มเอากลยุทธ์นี้มาใช้กับ "น้องบอส" เจ้านายตัวเล็กวัย 3 ขวบ ที่บ้านด้วยเช่นกัน
    "อย่างแรกเลย คุณพ่อให้เราคุ้นเคยกับห้องพระ โดยจะให้เข้าห้องพระพร้อมกันทุกคน จำได้ว่าวันหนึ่งเพิ่มหญิงซึ่งตอนนั้นยังเล็กมากแต่ต้องเข้าห้องพระ สวดมนต์พร้อมพวกพี่ๆ สักพักหนึ่งเธอเกิดหลับกลิ้งอยู่กับพื้น พี่ๆ ก็ปลุกเพราะกลัวคุณพ่อดุ แต่คุณพ่อกลับ บอกว่าไม่เป็นไร พ่อเพียงต้องการฝึกให้เข้าห้องพระให้เป็นนิสัยไม่ให้คิดว่าห้องพระน่ากลัวก่อนเท่านั้น "



    พอโตหน่อยทั้งสี่คนพี่น้องก็ได้เที่ยวได้ทัศนาจรเหมือนเด็กคนอื่นๆ เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการทัวร์วัดเสียมากกว่า พออายุย่างเข้า 8-9 ขวบ ต้องเริ่มหัดนั่งสมาธิ หัดฝึกลมหายใจเข้าออก ตามคำสอนของหลวงพ่อลี โดยมีคุณพ่อให้เหตุผลชักจูงใจว่าคนที่มีสมาธิจะเรียนหนังสือเก่งกันทุกคน บางครั้งถึงกับลงทุนจ้างให้สวดมนต์ และอดทนกับลูกๆ ทุกอย่างให้สนใจพุทธศาสนา รวมทั้งหาหนังสือให้อ่านพาไปปฏิบัติธรรม ซึ่งลูกๆ ทุกคนต้องทำเหมือนกันหมด
     
  2. TJ69

    TJ69 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +152
    อนุโมทนาสาธุ

    -------------------------------------------
    อย่าลืมดูแลหัวใจคนอื่น...ด้วยการถ่อมตน
    <!-- / message -->
     
  3. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    "พอผมมีลูกเลยซึ้งเลยว่าการที่จะให้ลูกทำได้อย่างนี้นั้น เป็นเรื่องที่ยากของคนเป็นพ่อเหมือนกันนะเพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่จะตามใจลูก แต่พ่อผมจะบอกตลอดว่าเรื่องที่ถูกใจอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องพ่อก็ไม่ยอม เห็นใจมากนะลูกแต่ป๋าไม่เห็นด้วย เป็นคำพูดที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดในวัยเด็ก"


    เมื่ออายุเพียง 13 ปี ครั้งหนึ่งของการปิดภาคเรียนอนุรุธได้กลับมาบวชครั้งแรก และบวชครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2526 พร้อมล้วนชายที่วัดปากน้ำ การบวชครั้งที่ 2 นี้เป็นการบวช เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เป็นแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง แต่โยมแม่ได้รับบาตรจากลูกชายทั้ง 2 เพียงเดือนกว่าก็เสียชีวิต อนุรุธเล่าว่าการบวชครั้งนั้นเคร่งมากจะขยันมากทั้ง 2 คนพี่น้องนั่งสมาธิกันเพื่อส่งบุญให้แม่หายป่วยเพราะเข้าใจแบบเด็กๆ ว่าถ้าเราทำดีมากๆ เราคงไปแลกกับเจ้ากรรมนายเวรได้แม่จะได้มีชีวิตต่อแต่ก็เจอกับความจริง หลังจากแม่เสียชีวิตอนุรุธ และล้วนชายก็ได้กลับไปศึกษาต่อจนจบ



    "ความจริงแล้วตอนแรกคุณบุญยงต้องการให้ลูกคนโตเข้าไปในวงการการเมือง เพราะจะได้อำนาจในการช่วยประชาชนส่วนใหญ่ด้วย และท่านเองก็มีเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการเมืองหลายคน แต่เมื่อมองแล้ว สรุปได้ว่างานการเมืองเป็นของร้อน มีเล่ห์กลทางการเมืองหลายอย่างที่วุ่นวายมาก เลยเปลี่ยนใจให้ลูกมาทำงานเย็นดีกว่า คือเข้าไปช่วยงานที่ยุวพุทธซึ่งเป็นงานทางด้านศาสนา" คนเก่าแก่ท่านหนึ่งในบริษัทเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง


    ตลอดเวลาที่ผ่านมารายได้ส่วนหนึ่งประมาณ 5% ของการขายสินค้าของบริษัทในเครือว่องวานิชต้องบริจาคให้กับ มูลนิธิว่องวานิชที่ดร.บุญยงได้สร้างขึ้นเมื่อ ปี 2517 เพื่อทำการสาธารณกุศลต่างๆ รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ใน ธรรมสถานว่องวานิช ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ ปี 2529 พื้นที่ติดกันกับโรงงานของบริษัทและหมู่บ้านล้วนพฤกษาบนถนนเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ



    เดิมทีธรรมสถานแห่งนี้ ดร.บุญยงตั้งใจจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อเก็บของเก่าแก่ของตระกูล เช่น เครื่องมือทางด้านการแพทย์ต่างๆ เครื่องคิดเลข เข็มฉีดยาต่างๆ แต่เมื่อดร.บุญยงมารู้จักคุณแม่สิริ กรินชัยนักวิปัสสนาชื่อดัง ความคิดก็เปลี่ยนไปกลายเป็นสร้างธรรมสถานแทน ซึ่งสถานที่แห่งนี้ได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมและกิจการทางศาสนาของบริษัทว่องวานิช และบริษัทในเครือต่างๆ
    นอกจากนั้น ในช่วงเวลาปิดภาคเรียนยังเป็นสถานที่สำหรับพักแรมของเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของลูกค้าของพนักงานต่างๆ ในเครือ โดยเริ่ม ที่โปรแกรม ST. LUKE'S GENIUS เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5-7 พฤษภาคม 2543 ที่ผ่านมามีเด็กอายุตั้งแต่ประมาณ 6-15 ปี ประมาณ 60-70 คน เข้าร่วมมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น Mind Map ซึ่งเป็นก้าวแรกของบทนำและใช้มโนทัศน์ในการคิดและบริหารสมอง เรียนรู้การเจริญสติ สมาธิกับชีวิตประจำวันรวมทั้งกิจกรรมนันทนาการที่ใช้สติด้านศิลปะวาดรูป โดยมีธัญญา ผลอนันต์มาเป็นวิทยากร
     
  4. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    สำหรับอาคารว่องวาณิชสำนักงานใหญ่ มีแผนกพัฒนาจิตใจ ซึ่งมีพจนา ประกาศเวชกิจ ผู้จัดการสำนักประธาน เป็นผู้ดูแล โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การฝึกสมาธิ เจริญสติ บรรยายธรรม ทำบุญให้ทานได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีการบังคับ เพียงแต่ชักชวนโดยมีผู้บริหารแต่ละฝ่ายเข้าร่วมทุกเช้าประมาณ 8.00 น. จะมีกิจกรรมการไหว้พระ ใส่บาตร รวมทั้งจัดงานทำบุญในวันพระและวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ โดยแต่ละแผนกหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพในการจัดการ รวมทั้งมีโปรแกรมทัวร์วัดเกิดขึ้นเสมอมาในวันหยุด เป็นการเอาศาสนามาใช้กับชีวิตประจำวัน จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่บริษัทนี้

    http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=718



    "คนส่วนมากเข้าใจว่า ธรรมะกับธุรกิจสองอย่างนี้ไปด้วยกันไม่ได้ ธุรกิจต้องฉวยโอกาสต้องเฉือนกันให้ถึงที่สุดให้ได้กำไรมากๆ แต่ในด้านด้านธรรมะนั้น มีแต่ความเมตตาไม่ทำให้ใครเดือดร้อน สองทฤษฎีนี้เดินสวนทางกัน"...



    "ผมเป็นนักธุรกิจที่ได้ศึกษาธรรมะมาบ้างตามสมควร ผมคิดเอาเองว่าเป็นหน้าที่ของผ ที่จะมาบอกมาทำความเข้าใจว่า ธุรกิจนั้นขาดธรรมะไม่ได้" ข้อความดังกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของคำบรรยายของ ดร.บุญยง ว่องวานิช ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2534 ในขณะนั้นท่านเป็นนายกกิตติมศักดิ์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยและเป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัทในเครือว่องวานิชด้วย



    ด้วยแนวทางที่ชัดเจนในการดำรงชีวิตปี 2539 ดร.บุญยงได้ตัดสินใจลาบวชตลอดชีวิต แต่ด้วยปัญหาทางด้านสุขภาพ และความสะดวกในการปรนนิบัติ ของลูกๆ ท่านจึงจำเป็นต้องสึกออกมารักษาตัวที่โรงพยาบาลและบ้านวนเวียนกันอยู่อย่างนี้นานเกือบ 2 ปีแล้วแต่ภาระทางด้านศาสนาดังกล่าว ทั้งที่ธรรมสถานและที่บริษัทใหญ่ ลูกๆ กำลังดำเนินรอยตามอย่างต่อเนื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  5. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    ย้อนอดีตยุวพุทธฯ

    ในการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ อาจารย์มันตา หอรัตนชัย อุปนายกกิตติมศักดิ์ของยุวพุทธฯ ได้กล่าวว่า “ยุวพุทธที่ได้เติบโตมาจนทุกวันนี้ เพราะคุณบุญยง ว่องวานิช ท่านเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทมากต่อยุวพุทธฯมาก เป็นผู้หนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งยุวพุทธฯ และได้สละกำลังกาย ...กำลังใจ กำลังทรัพย์สนับสนุนยุวพุทธฯ ชวนให้มารดา ญาติพี่น้อง ผู้ที่สนิทชิดใกล้ ให้เข้ามาทำบุญบริจาคทรัพย์ให้ยุวพุทธฯตลอดมา”

    ทำให้ย้อนไปถึงอดีตของยุวพุทธฯ อยากเล่าให้อนุชนรุ่นหลังฟัง จึงค้นข้อมูลได้จากหนังสือเก่าของยุวพุทธฯ จำนวนหลายเล่ม แต่มาพบและประทับใจในหนังสือที่ระลึก “อาจารย์ เสถียร โพธินันทะ – บุคคลของพระพุทธศาสนา” ที่ คุณบุญยง ว่องวานิช พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกแด่อาจารย์ ซึ่งได้เล่าถึงการก่อตั้งยุวพุทธฯ ไว้ดังนี้...

    วันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับอาจารย์เสถียร โพธินันทะ
    เย็นวันหนึ่งหลังจากเลิกงาน เมื่ออาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้านั่งเล่นอยู่ที่ระเบียงชั้นสองหน้าบ้าน ข้าพเจ้าเห็นคุณสุพจน์ แสงสมบูรณ์ก้าวผ่านประตูรั้วเข้ามามีเด็กหนุ่มอายุ ราวๆ ๒๐ เดินตามหลังมาติดๆ รูปร่างเด็กหนุ่มคนนั้นผอมบาง หน้าแป้นๆ ขาวๆ และค่อนข้างจะซีด หูกาง แสดงว่าเป็นคนมีสติปัญญา สวมกางเกงสีขาวนวลๆ สวมเสื้อฮาวายสีขาว
    ปล่อยชาย เวลาเดินแกว่งมือไปมา แปลกกว่าคนธรรมดาทั่วไป เมื่อมาถึง คุณสุพจน์แนะนำว่าผู้ที่นำมานี้คือ อาจารย์เสถียร โพธินันทะที่ข้าพเจ้าสนใจอยากพบ ข้าพเจ้าเป็นคนง่ายๆ อาจารย์เสถียรก็เป็นคนง่ายๆ เรานั่งคุยกันบนเก้าอี้หวายระเบียงหน้าบ้าน ปรากฏว่าคุยกันถูกคอมาก ถ้าเป็นเรื่องพระพุทธศาสนา อาจารย์เสถียรจะเป็นผู้พูดคุณสุพจน์จะเป็นผู้เสริม แต่บางครั้งก็ขัดคอถ้าความเห็นไม่ตรงกัน ส่วนข้าพเจ้าเป็นผู้ฟังและผู้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ เราคุยกันอย่างเพลิดเพลิน และสนุกสนานมาก บางครั้งคุยกันตั้งแต่เวลาเย็นจนถึง จนถึงเวลาอาหารค่ำ อาจารย์เสถียรก็ร่วมวงรับประทานอาหารกับครอบครัวของข้าพเจ้า รับประทานอาหารเสร็จก็ตั้งวงคุยกันต่อจนดึกดื่น จนลืมเวลาว่าดึกเท่าไรแล้ว

    คืนวันหนึ่งคุณป้าของข้าพเจ้าซึ่งอยู่บ้านติดกันโผล่หน้าต่างออกมาถามว่า “ นี่เกือบตีหนึ่งแล้วยังจะคุยกันอีกหรือ? ” เราทั้งสามตกใจ คุณสุพจน์และอาจารย์เสถียรและคุณสุพจน์ก็มาหาข้าพเจ้า และตั้งวงสนทนากันอีก เรื่องที่คุยเป็นเรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนาเสีย ๙๐เปอร์เซ็นต์
     
  6. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    การก่อตั้งยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย

    เราทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกันว่า “ธรรมะมีประโยชน์และจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของ
    คนหนุ่มสาว” เมื่อ ๔๘ ปีก่อน พระพุทธศาสนาเริ่มมีแนวโน้มว่าจะเสื่อม วัตถุนิยมกำลัง
    แทรกเข้ามาเรื่อยๆ เราทั้งสามยอมรับความจริงข้อนี้และมีความวิตกกังวล

    วันหนึ่งข้าพเจ้าถามอาจารย์เสถียรว่า ในประเทศไทยของเรายังมีเด็กหนุ่มๆ สาวๆ ที่สนใจในพระพุทธศาสนาอย่างพวกเราอยู่อีกบ้างหรือไม่ ? อาจารย์เสถียรตอบว่ายังมีอยู่ เพราะ
    ได้เคยพบในวันวาอารามต่างๆ ข้าพเจ้าจึงเสนอความเห็นว่า ศาสนาอื่นเขามี Y.M.C.A และ
    Y.M.C.A. สำหรับศาสนาพุทธในประเทศไทยเรายังไม่มี เราควรตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ในการพบปะและเผยแผ่ธรรมะ เพื่อนทั้งสองเห็นด้วยทันที แต่อาจารย์เสถียรบอกว่าที่พบตามวัดต่างๆ เป็นผู้หญิงก็มี ข้าพเจ้าจึงเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นเราตั้ง Y.B.A คือมีสมาชิกทั้งหญิงและชาย ทั้งสองก็เห็นด้วยอีกเช่นกัน

    ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้อาจารย์เสถียร และคุณสุพจน์ไปรวบรวมเอาคนหนุ่มสาวเหล่านี้มาพบปะหารือเพื่อจัดตั้งเป็นสมาคม Y.B.A. ในขณะนั้นเรายังมาไม่ได้คิดชื่อ “ยุวพุทธิกะ” จึงใช้คำว่า Y.B.A. แทน อาจารย์เสถียรแนะนำให้ใช้วัดกันมุยารามเป็นที่ตั้งชั่วคราว อยู่กลางใจเมืองมีความสะดวกในการคมนาคม และท่าน“สุชีโวภิกขุ” ซึ่งเป็นพระหนุ่มที่มีความรู้และมีชื่อเสียงมากเป็นเจ้าอาวาส ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย

    การพบปะสังสรรค์ครั้งแรกที่อุโบสถวัดกันมาตุยาราม ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ข้าพเจ้าได้พบคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งจำนวนสิบกว่าคนอายุประมาณ ๑๗ - ๒๗ ปี ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุเพียง ๒๓ ปี คุณสุพจน์ แสงสมบูรณ์ อายุเท่าข้าพเจ้า ส่วนอาจารย์เสถียรนั้นอายุประมาณ ๒๐ ปี เราพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายครั้ง ในที่สุดตกลงจะตั้งเป็นสมาคมโดยแต่งตั้ง “คณะกรรมการผู้ก่อตั้งสมาคม” ขึ้นชุดหนึ่ง ทำการร่างข้อบังคับ ออกแบบเครื่องหมายและจดทะเบียนให้ถูกต้องตามถูกต้องตามกฎหมาย ที่ประชุมได้พร้อมใจกันตั้งข้าพเจ้าเป็น “ประธาน” ของคณะกรรมการผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...