งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 21 กันยายน 2011.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ

    วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๐๖ ตอนค่ำ

    ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต

    [​IMG]


    งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ หากไม่มีผีมันก็ไม่งาม ผีเป็นของงามทุกอย่าง จะดูข้างนอกก็ประดับตกแต่งดีกว่าที่อยู่ของคนผู้ที่ยังไม่ตาย จะดูข้างในก็เป็นของปฏิกูลน่าดูทุกอย่าง ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถจะให้คนทั่วไปดูได้ ผู้ดูผีเป็นของดีแบบว่านั้น เป็นองค์พระได้เลย พระจึงชอบดูแต่ผีซึ่งเป็นของดี ๆ ทั้งนั้น พระดูทั้งคนเป็นคนตายเห็นเป็นซากผีไปหมด ใจของพระจึงเป็นที่ละความสวยความงามในของอสุภได้ ท่านสอนกัมมัฏฐานให้พิจารณาอสุภในคนตายแล้วและยังมีชีวิตอยู่ เป็นอสุภเสมอเหมือนกันทั้งหมด แต่พอความตายมาปรากฏเฉพาะหน้า บางคนเลยเกลียดหรือกลัวไป มันเข้าหลักธรรมที่ว่า


    ธมฺม เทสฺสี ปราภโว
    ผู้เกลียดชังธรรม เป็นผู้พ่ายแพ้ดังนี้



    ถ้าความตายมาปรากฏให้เห็นเฉพาะหน้า น้อมนำเอามาพิจารณาถึงตัวของเราว่า เราก็จะต้องเป็นเช่นเดียวกันนั้น ตายแล้วเปื่อยเน่าเป็นอสุภ แม้มีชีวิตอยู่ก็ปฏิกูลโสโครกเป็นของน่าเบื่อหน่าย แล้วจะหายจากความเกลียดความกลัวและจะมุ่งหน้าบำเพ็ญแต่ความดีอันมีสาระให้เกิดประโยชน์แก่ตน ทั้งโลกนี้และโลกหน้าสมกับธรรมที่ว่า


    ธมฺมกาโม ภวํโหติ
    ผู้ใคร่ต่อธรรม เป็นผู้เจริญ ดังนี้


    ความตายเป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่ค่อยจะมีเสมอนัก ฉะนั้น เมื่อความตายมาปรากฏเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทใกล้ชิด หรือห่างไกลเราก็ตาม จึงเป็นเหมือนธรรมเทศนาอัปมาทธรรม ของเทวทูตกัณฑ์หนึ่งก็ว่าได้ เป็นของไม่น่าเกลียดและน่ากลัวเลย คนที่เกลียดและกลัวคนที่ตายไปแล้วเพราะไม่ได้น้อมนำเข้ามาพิจารณาในตน เห็นว่าตนดีกว่าคนที่ตายไปแล้ว เป็นคนที่สะอาดสวยงามเป็นของน่ารักน่าใคร่ คนอื่นเห็นเข้าแล้วเขาจะยินดีพอใจ คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นเป็นผีที่น่าเกลียด แต่หาได้รู้ไม่ว่าตัวของเราก็เป็นผีสดศพหนึ่งดี ๆ นี่เอง นอกจากจะเป็นผีสดแล้ว ยังเป็นป่าช้าที่ฝังผีของสัตว์ต่าง ๆ มีหมู วัว เป็ดไก่ เป็นต้น ซึ่งเราขนมาฝังอยู่ทุก ๆ วันคนที่ตายแล้วเขาไม่ได้เป็นป่าช้าของสัตว์อื่นอีกต่อไปแล้ว ที่กลัวก็วาดภาพขึ้นมาหลอกตัวเองว่าคนที่ตายไปนั้นจะต้องมีหน้าตาบิดเบ้ บู้บี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งวาดไปแต่ทางที่ไม่น่าดูน่าแล ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียดทั้งนั้น แต่ซากของผู้ตายเองก็หาได้รู้ด้วยไม่ เป็นภาพของผู้กลัวคิดวาดภาพเอาเอง แล้วก็กลัวไปเอง จะเรียกว่าผีหลอกให้คนกลัวได้อย่างไร ควรเรียกว่าคนกลัวนั่นเองหลอกตนเอง แล้วไปใส่ร้ายผีต่างหาก คนผู้พิจารณาไม่เป็นไม่เห็นธรรม จึงเป็นของยากที่จะให้เห็นจริงได้


    ธรรมดามนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาเบื้องต้นแล้วต้องตายด้วยกันทั้งหมดเป็นที่สุด เมื่อตายแล้วพากันสมมติว่าผี เพราะตนไม่ชอบดังกล่าวแล้ว แต่สัตว์ทั้งหลายมีกุ้ง ปลา หมู เป็ดไก่ เป็นต้น ตายแล้วทำไมไม่เรียกว่าผี ไม่มีใครเกลียดใครกลัวเลย กลับชอบใจชิงกันซื้อขายวุ่นวายกันไปหมด ผีหมู่นี้มีที่ไหนมาก ๆ ที่นั้นคนก็จะรุมยุ่งกันทุกแห่ง ดูที่ตลาดสดนั่นซิวันหนึ่ง ๆ เขาขนผีไปกองไว้ขายนับศพไม่ถ้วน วันไหนผีไม่มีหรือมีน้อย แย่งซื้อไม่ทันวันนั้นต้องทำหน้าแห้งบ่นกันอู้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมบ้าง คนเราเป็นเสียอย่างนี้เห็นคนอื่นเป็นของน่าเกลียดน่ากลัวไปเสียหมด ส่วนตัวของเราเองเห็นเป็นดีไปทั้งนั้น เรากลัวผีวาดภาพคนตายขึ้นมาแล้วกลัว ก็ใส่ร้ายว่าผีหลอกเรา แต่อยากผีเอาผีมากินเป็นอาหาร ก็ถือว่าเนื้อว่าปลาเอร็ดอร่อยชอบใจ แกล้งทำเข้าข้างตนเองแท้ ๆ



    ธรรมไม่ต้องไปค้นคว้าแสวงหาที่อื่นที่ไกลหรอก ธรรมะ คือ ของจริง ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่แสวงหาธรรมในของจริงนั้น คัมภีร์และตำราทั้งหลายที่เขียนไว้ล้วนแล้วแต่เป็นของจริง เว้นเสียแต่ว่าจะจริงมากจริงน้อยเท่านั้นพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ไม่มีตำราคัมภีร์ แต่ตรัสรู้ คือ รู้ของจริงตามหลักธรรมดา ซึ่งเป็นตำราธรรมชาติมีอยู่แล้วอย่างนั้น แล้วทรงนำเอาของนั้นมาเผยแพร่ และก็เขียนเป็นตำราสืบมา ที่เรียกว่าคัมภีร์พุทธศาสนา ตัวของเรามีความจริงอยู่บริบูรณ์ทุกประการ ถ้าจะว่าถึงเรื่องผี ตัวของเราก็เป็นผีอยู่แล้วดังแสดงมาข้างต้น และยังเป็นผีพิสดารกว่านั้นอีก มิใช่แต่จะวาดภาพหลอกตัวเองเล่นเท่านั้นบางทียังหลอกคนอื่นให้กลัวให้เจ็บให้ป่วย จนกระทั่งหลอกให้คนอื่นเขาเสียข้าวเสียของ เสียผู้เสียคน ให้ฉิบหายตายโหงไปก็มาก ผีชนิดนี้เป็นผีจริง มิใช่ผีวาดภาพหลอกเอาดังกล่าวแล้ว


    ถ้าจะพูดถึงของปฏิกูลน่าเกลียดแล้ว น้ำเน่าซึมซาบซ่านออกมาจากภายในอยู่ตลอดเวลาวันหนึ่ง ๆ เราชำระล้างตั้ง ๒-๓ ครั้งยังไม่สะอาดเลย แสดงว่าภายในที่เราไม่เห็นด้วยตายังเน่ามากกว่านี้ ช่องทวารต่าง ๆ มีปากเป็นต้น เหม็นเน่าด้วยปฏิกูล แม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไป จะเป็นของดีมีค่าสักปานใดก็ต้องเข้าไปคลุกเคล้าด้วยน้ำลายอันเป็นปฏิกูลเสียก่อน จึงจะกลืนลงไปได้ ที่ท่านกล่าวไว้ว่าเปรตกินน้ำเน่าของปฏิกูลนั้น ถ้าเรามาพิจารณาให้ดีแล้ว มิใช่เปรตอยู่ฟากฟ้าป่าหิมพานต์ น่าจะเป็นเปรตหากินอยู่ในตลาดบ้านเรานี่เอง ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์มีอรรถวิจิตรพิศดาร ไว้ให้ผู้มีปัญญาญาณพิจารณาด้วยตนเอง ลูกไม้ถ้าไม่เก็บไว้ทั้งเปลือกก็เอาไว้นานไม่ได้ ฉันใดคำสอนของปราชญ์เจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เนื้อแท้ต้องหุ้มด้วยเปลือกหนา คนผู้ไม่มีปัญญาจึงไม่สามารถหยั่งรู้ถึงคำสอนของท่านได้


    ธรรมดานิสัยของคนเรา ต้องถือว่าตนดีกว่าคนอื่นเสมอ ทั้ง ๆ ที่ตนเสมอเขาหรือบางทีอาจเลวกว่าเขาไปเสียอีกซ้ำ มานะชนิดนี้เป็นกำแพงปิดกั้นไม่ให้คนเราเกิดปัญญาแสงสว่างรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้ง หลาย ธรรมชั้นสูงมรรคผลนิพพานอย่าไปหาเลยในที่อื่น ในคัมภีร์พระไตรปิฏกทั้งหมดก็ไม่เห็น ถ้าพิจารณาธรรมขั้นต้น ๆ คือไม่เห็นตัวของเราเป็นผีเป็นป่าช้าแล้ว ก็จะกลัวคนอื่นที่ตายไป ไม่เห็นตัวของเราเป็นของปฏิกูลโสโครกพึงเกลียดแล้ว ก็มีแต่จะเพิ่มความเมาเข้าใจว่าตนสวยตนงาม ถึงกับเอากิเลสเป็นฝูงเข้ามาตั้งทัพอยู่ในกายในใจ ประกอบกิจการงานอันใดถึงแม้จะเป็นทางดีหรือทางชั่ว ล้วนแล้วแต่ทำอยู่ใต้บังคับของกิเลสทั้งสิ้น


    ฉะนั้น เมื่อผู้ใดมาพิจารณาตัว คือกายอันนี้โดยแยบคายเห็นตามเป็นจริงแล้วว่า ตัวของเรานี้คือซากศพซากหนึ่ง จะตายหรือยังไม่ตายก็ได้ชื่อว่าเป็นผีและเป็นของปฏิกูลน่าพึงเกลียด เพราะเต็มไปด้วยของปฏิกูลน้ำเน่าของโสโครกไหลออกมาตามช่องทวารต่าง ๆ อยู่เป็นนิตย์ ผู้พิจารณาเห็นชัดอย่างนี้ เรียกว่า เห็นผีเป็นของงาม เป็นดอกไม้ประดับของพระโยคาวจรผู้ท่านไม่ประมาทแล้ว


    ตรงกันข้ามถ้ามาหลงมัวเมาเข้าใจว่ากายก้อนนี้เป็นของดี ประดิษฐ์คิดตกแต่งส่งเสริม เรียกว่าเป็นดอกไม้ของมาร กายหรือผีก้อนนี้จึงเป็นของงามทั้งของพระโยคาวจรและของมารด้วย ถ้าเป็นพระแล้วก็เห็นอย่างพระ ถ้าเป็นมารก็เห็นอย่างมาร แต่ในที่นี้พูดถึงเรื่องของพระ พระเห็นอย่างนั้นแล้วทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท สามารถน้อมนำเข้ามาพิจารณาในกายของตน จนให้เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่าย คลายเสียจากความรักใคร่ยึดมั่นในรูปขันธ์ จนเข้าขั้นฌานสมาธิได้ในที่สุด ฉะนั้นจึงเรียกว่า ดีอยู่ที่พระ คือพิจารณาให้เห็นอย่างพระจึงจะดีอย่างพระได้ จะเป็นพระเป็นเณรก็ตามหากยังพิจารณาไม่เห็นชัดแจ้งอย่างแสดงมาแล้วนี้ เป็นพระเป็นเณรแต่ชื่อแต่เพศ ความรู้ความเห็นยังไม่เป็นพระเป็นเณรก่อน ถ้าพิจารณาเห็นชัดแจ้งดังแสดงมาแล้วนั้น อย่าว่าแต่พระแต่เณรเลย แม้ฆราวาสหรือเด็กที่ยังอมมืออยู่ก็เป็นพระขึ้นมาได้โดยสมบูรณ์พระอะไร ก็พระอริยเจ้านั่นแหละ


    เพราะมาเห็นแจ้งตามสัจจะของจริง จึงเป็นพระอริยขึ้นมาได้ ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเมื่อสรุปความลงแล้ว ก็คือสอนให้ละสิ่งที่ผิดทั้งปวงประกอบแต่สิ่งที่ถูกต่อไปสิ่งที่ผิดนั้นถ้าหากยังพิจารณาไม่เห็นชัดแจ้งด้วยตนตามความเป็นจริงก่อนก็ยังละไม่ได้ ท่านสอนให้ละแต่เฉพาะของที่เป็นจริงมีจริงมิใช่ของไม่มีจริง ถ้าจะว่าถึงของจริงแล้วท่านไม่ว่าละ ท่านว่าเห็นตามเป็นจริงเท่านั้น


    ของจริงต้องเป็นจริงอยู่คงที่ ผู้ไปรู้ไปเห็นตามเป็นจริงแล้ว ของจริงก็มิได้หายสูญไปไหน แต่ผู้ไปเห็นตามเป็นจริงนั้นละถอน ไม่เข้าไปยึดมั่นในสิ่งนั้นต่างหาก



    อะไรเป็นของจริง
    ดังได้แสดงมาแล้วแต่ต้น คือ ตัวของเราท่านว่ามีของจริงอยู่ครบถ้วน เมื่อก่อนเห็นคนอื่นตายเรียกว่าผี ถึงกลับกลัวและเกลียดเมื่อมาพิจารณาจนให้ปัญญารู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้วว่า ตัวของเรานี้ก็คือผีทั้งตัวและเป็นปฏิกูลทั้งตัว จนเกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่าย ไม่เข้าไปหลงยึดถือมั่นสำคัญว่าเป็นตนเป็นตัวจริง ๆ จัง ๆ


    ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ก็ประกอบแต่คุณงามความดี อันจะให้เกิดประโยชน์สุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า การทำทานก็ปราศจากมัจฉริยะโดยเด็ดขาด และยอมสละความสุขจอมปลอมซึ่งเป็นโลกียะ กล้ารักษาศีลด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ แม้จะภาวนาอบรมสมาธิก็จะยอมพลีชีพเพื่อบูชาพระรัตนตรัย ไม่เห็นแก่ความเจ็บเมื่อยปวดเหน็บและทนผจญต่อสู้กับอารมณ์ต่าง ๆ จนให้ลุล่วงถึงจุดหมายปลายทางได้


    อันธรรมของจริงทั้งหลาย มีพร้อมอยู่ที่ตัวของเรานี้ครบถ้วน แต่ก็ยังไม่เห็นตามเป็นจริงของมัน แล้วเมื่อไรเล่าจะไปเห็น เมื่อไม่เห็นตามเป็นจริงของมันอยู่ตราบใดก็ได้ชื่อว่า ยังหลงยึดหลงถือมันอยู่ตราบนั้น เมื่อยังมีชีวิตก็ยังหลงยึดถือมันอยู่ ตายไปแล้วก็ยังยึดถืออยู่ตามเดิม ใครจะมาแก้ให้ หากมาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นตามเป็นจริง เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ไม่หลงยึดถือแล้ว เราเองก็เป็นสุขเพราะอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจตามเป็นจริง ไม่หลงเป็นทาสของร่างกาย ถึงแม้จะบำรุงและถนอมมันไว้ก็ขนาดอุดช่องรั่วของเรือพอเข้าถึงฝั่ง หากจะแตกดับในเวลาใด ก็คล้ายกับเรือเข้าถึงฝั่งแล้ว หมดภาระไปที


    พูดมากก็เป็นเรื่องยืดยาว จึงขอยุติเพียงแค่นี้ เอวํฯ


    คัดลอกจาก http://www.thewayofdhamma.org/page3_2/patum15.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...