ฉบับที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 14 สิงหาคม 2005.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ





    [​IMG]

    ถาม : ถ้าเรามีทิพจักขุญาณแจ่มใสเราสามารถ (ฟังไม่ชัด)?
    ตอบ : ต้องดูด้วยว่าทิพจักขุญาณแจ่มใสน่ะของเราถนัดด้านไหน ถ้าเราไปถนัดในด้านรู้อดีตรู้อนาคตเรื่องของเจโตปริยญาณมันไม่เอาไหนเหมือนกัน ญาณทั้ง ๘ ไม่ได้หมายความว่าเราจะคล่องตัวหมดบางอย่างที่เราจะคล่องมากบางอย่างเราก็จะน้อย ตัวอย่างเช่น พระอนุรุทธ ท่านเป็นพระวิชชชาสามแท้ ๆ แต่ท่านคล่องทิพจักขุญาณมากถึงขนาดพระปฏิสัมภิทาญาณสู้ท่านไม่ได้ ท่านก็เลยเป็นเอตะทัคคะเลิศในทางทิพจักขุญาณ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้หมายความว่าเราจะคล่องทั้งหมด
    อย่างปฏิสัมภิทาญาณสี่อันนี้ บางคนก็คล่องไม่เหมือนกัน บางคนก็คล่องในเหตุคล่องในผล บางคนก็คล่องในทางภาษา บางคนก็คล่องในทางปฏิภาณ แต่ว่าอันอื่นได้อยู่ ได้เหมือนกัน แต่จะไม่คล่องตัวเท่ากับอันที่ตัวเองเด่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นอาจจะรู้ชัดเจนก็ได้ หรือขณะเดียว อาจจะรู้นิดหน่อยหรือจนกว่าจะสะกิดถึงรู้ก็ได้
    ถาม : แล้วเวลาอย่างที่จิตส่งถึงกัน อย่างผมคิดว่าถึงหลวงพ่ออย่างนี้ล่ะครับ มันเป็นกระแสที่พุ่งไปหา...?
    ตอบ : บางทีมาทั้งตัวเลย เราคิดถึงใครถ้าหากว่าบุคคลที่เขาได้ อภิญญาใหญ่จะเห็นเราไปตรงนั้นทั้งตัวเลย มันไม่ใช่แค่กระแสเฉย ๆ แต่ว่าท่านที่ได้เบากว่านั้น อย่างเช่นวิชชาสามจะรู้สึกว่ามันเป็นกระแสความคิดของอีกคนหนึ่งติดต่อมาแล้วเราก็รับได้ชัดเจน ไม่ต้องถึงวิชชาสามหรอกสองก็พอแล้ว
    ถาม : กราบพระอยู่ดี ๆ บางทีรู้สึกว่าหลวงพี่มานั่งกราบอยู่ข้าง ๆ นี่คิดผิดหรือเปล่าครับ?
    ตอบ : ผิดแหง ๆ เลย ก็ดูนั่งอยู่เนี่ยะ (หัวเราะ) ขืนไปรับรองนี่มันเอาบ่อย (หัวเราะ) ขืนรับรองให้เดี๋ยวเอาบ่อย งั้นต้องรีบ ๆ เลี่ยงให้ไกลตัวหน่อย
    ถาม : มันจะเป็นฟุ้งซ่านไปได้ไหมครับ?
    ตอบ : ถ้าฟุ้งซ่านในด้านดีก็ฟุ้งซ่านไปเถอะ
    ถาม : ตกลงหลวงพี่คล่องทางไหนล่ะครับ?
    ตอบ : กิน ส่งมาเถอะไม่เกี่ยงหรอกถ้าไม่เกินเที่ยง บอกแล้วว่าลื่นจนจับไม่ติด มันไปได้ทุกช่องเลย
    ถาม : เขาเรียกปฏิภาณไช่ไหมครับ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน เขาเรียกอันธพาลหรือเปล่าก็ไม่รู้?
    ถาม : พวกนี้มันก็ ...(ไม่ชัด)....มันเหมือนกับเรารู้ ๆ อยู่ เราเลยขาดอะไรบางอย่างที่...(ไม่ชัด)...อยากจะถามอะไร
    ตอบ : ทาน ศีล ภาวนา เหมือนเดิม ทำไปเรื่อย พอถึงเวลาถึง วาระมันก็ลงตัวของมันเองนะ ที่เราทำมานั่นมันถูกแล้ว เพียงแต่ว่าถ้ากลัวว่า จะผิดก็ใช้ศีลเป็นเครื่องวัด วัน ๆ เราตรวจสอบดูว่าศีล ๕ เราบกพร่องไหม? เราได้ล่วงศีลด้วยตนเองหรือเปล่า? ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีลหรือเปล่า? หรือว่ายุให้คนอื่นล่วงศีลหรือเปล่า? ถ้ายังอยู่ในกรอบของศีล ๕ ถือว่ายังปฏิบัติไม่ผิด ใช้ศีลเป็นเครื่องวัดดีที่สุด
    ถาม : ที่คุยเรื่องส่งจิตถึงกันนี่ย้อนคิดสมัยก่อนหน้าช่วงปีที่แล้ว จะผูกพันกับเพื่อนอยู่คนหนึ่งอยู่อุตรดิตถ์ ก็จะนึกถึงตลอดเวลาแล้วก็คุยกัน เพื่อนก็พูดให้ฟังว่าตอนที่ทำบุญ ๑๐๐ วันให้แฟน เจอกันวันเสาร์ตอนนั้นยังไม่เคยไปเจอกันเลยคุยกันทางอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าผมไปอยู่ตรงนั้นด้วย ทีนี้ฟังแล้วตอนนั้นยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่มาคุยกันนี่ก็เป็นการยืนยัน
    ตอบ : คำตอบอันเดียวกันว่าถ้าเราคิดถึงใคร ถ้าบุคคลนั้นกำลังของเขาสูง จิตใจของเขาสะอาด บางทีเขาเห็นเราไปอยู่ที่นั่นทั้งตัวเลย ถ้ากำลังต่ำลงมาหน่อยก็รับกระแสความคิดของเขาได้อย่างชัดเจน ตัวนี้ไม่ยากหรอกเป็นเจโตปริยญาณในทิพจักขุญาณนั่นแหละ
    ถาม : เมื่อกี้นี้ถึงเรื่องที่พูดถึงเขาเรียกว่าอะไรนะครับ มีผูกพันเป็นเวรเป็นกรรมกัน ชาตินี้เป็นพ่อเป็นลูกกันชาติหน้าก็อาจจะมา...?
    ตอบ : อาจจะเจอกันในฐานะอื่น
    ถาม : อย่างในกรณีของผมนี้ครอบครัวผม ผม น้อง พ่อ แม่ คงเป็นเวรเป็นกรรมกันเป็นปุพเพอะไรกัน ทีนี้น้องผมก็เสียไปแล้ว ผมกับน้องก็มาจากไหนก็ไม่รู้ มันก็เหมือนกับ...
    ตอบ : บุคคลที่เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกันต้องมีเวรกรรมที่เนื่องกันมาตั้งแต่อดีตอยู่แล้ว
    ถาม : ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากท้องเดียวกันก็ตามเหรอครับ?
    ตอบ : สรุปง่าย ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคนเราที่เกิดมาแล้วได้พบกันเห็นกัน ในอดีตนั้นไม่เคยมีความผูกพันต่อกันนั้นไม่มีอย่างน้อย ๆ ฐานะใดฐานะหนึ่งก็ต้องเป็นจ้ะ เฉพาะเพื่อนอย่างเดียวก็บานแล้ว
    ถาม : เยอะสุด ๆ เลยครับ
    ตอบ : ใช่ เพราะฉะนั้นฐานะใดฐานะหนึ่งก็ต้องเป็น พระพุทธเจ้า ท่านยืนยัน ลงว่าได้มาเจอะกันละก็จะต้องเคยมีอะไรมาแล้ว
    ถาม : ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับลาพุทธภูมิ กรณีอย่างถ้าเกิดว่าเรายังไม่พร้อมเกาะพระนิพพานเราก็ยังอยากจะเกิดอีก ขึ้นอยู่กับตัวเราเหรอครับ
    ตอบ : มันอยู่ที่เรา ถึงเราลาก็ตามแต่ถ้ายังไปไม่ถึงนิพพานตราบในก็ยังคงต้องเกิดอยู่ตราบนั้น
    ถาม : ปกติไม่สู้คน เดือนที่แล้วสู้ค่ะ
    ตอบ : เป็นไปได้ยังไงเราไม่สู้คน
    ถาม : ไม่สู้ เป็นคนเก็บ แล้วก็พยายามทนมากที่สุดเท่าที่จะทนได้ ทนไม่ได้จริงถึงจะพูด ปกติไม่สู้ คราวนี้สู้ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเองแต่ว่ามันเก็บก็เก็บไม่ได้แล้ว เขาทำมาตั้งแต่ปี ๓๘ แล้วมันกี่ปีแล้วล่ะ ทนไม่ได้ก็เอาสักทีหนึ่ง แล้วก็ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ทำยังไงดีที่ว่าจะให้ตัวเองนี่ปฏิบัติได้ถูกทางด้วยแล้วก็ไม่เก็บกดด้วย?
    ตอบ : ต้องคิดให้เป็น ลักษณะการคิดนี่เป็นตัวพิจารณา เราต้องเห็นว่าตัวเขาเองไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเขาและตัวเราอย่างไร เขาถึงได้ทำ เขาคิดว่าดีเขาจึงทำ คนที่ไม่มีปัญญาหรือว่าปัญญาน้อยขนาดเห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่ดีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าโกรธ แต่น่าสงสารมากกว่า เราต้องคิดให้เป็น ถ้าคิดเป็นขนาดนี้กำลังใจมันคลายตัวลง มันจะโกรธแค่ตอนนั้น แล้วจะไม่ผูกโกรธไปนาน มันคล้าย ๆ กับว่า เรารับมาแล้วก็กองเอาไว้ มันไม่แบกต่อ มันก็จะไม่หนัก แต่ของเรามันอยู่ในลักษณะเก็บสะสมไว้เรื่อย พอถึงระยะหนึ่งมันเหมือนกับลูกโป่งที่พองเต็มที่แล้ว มันก็แตกดังตูม ที่เราบอกว่าเราไม่สู้น่ะ ความจริงแล้วก็คือว่ามันพร้อมที่ตอบโต้ตลอดเวลา แต่พยายามเบรกตัวเองเอาไว้จนกระทั่งถึงจุด ๆ หนึ่งที่มันเบรกไม่ได้ ฟางเส้นสุดท้ายแล้ว มันก็เกิดอาการอย่างที่เกิดขึ้นมา
    เพราะฉะนั้นเราต้องคิดให้เป็นว่าเขาเองน่าสงสารมาก สิ่งที่เขาทำกับเรามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าหากว่าเขาตายตอนนั้นกำลังใจที่เศร้าหมองของเขาก็พาเขาลงนรก การลงนรกนี่ถ้าหากว่าลงขุมใหญ่ กว่าจะพ้นขึ้นมาสู่อุสุทนรก กว่าจะพ้นมาสู่ยมโลกีนรก กว่าจะพ้นแต่ละขุม แต่ละขุมขึ้นมายาวนานเหลือเกิน แล้วยังต้องมาใช้เศษกรรม ด้วยการเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานอีก มันทำให้เขาห่างความดีไปไกลถึงขนาดนั้น
    เพราะฉะนั้นคนที่ทำในลักษณะนี้ไม่ใช่เป็นคนที่น่าโกรธ หากแต่ว่าน่าสงสารมากเพราะว่าเขาไม่เห็นทุกข์เห็นโทษที่จะเกิดกับเขาในเบื้องหน้า ดังนั้นแทนที่เราจะโกรธเขาควรให้อภัยเขาดีกว่า เราคิดอย่างนี้เป็นกำลังมันจะคลายตัวแต่ถ้าคิดไม่เป็นมันก็จะเก็บกด



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L12_1.jpg
      L12_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.3 KB
      เปิดดู:
      645
    • L12_2.jpg
      L12_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.2 KB
      เปิดดู:
      101
    • L12_3.jpg
      L12_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.9 KB
      เปิดดู:
      94
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : มันจะทำได้เป็นพัก ๆ ค่ะ
    ตอบ : ก็ทำบ่อย ๆ
    ถาม : หินทับหญ้า ไม่ใช่ถอนหญ้าค่ะ
    ตอบ : นั่นแหละ ทำบ่อย ๆ พอทำบ่อย ๆ เดี๋ยวมันถอนหญ้าได้เองมันอาจประเภทเด็ดทีละใบ ทีละข้อ ทีละก้าน แต่นาน ๆ ไป เดี๋ยวมันจะขุดรากมันขึ้นมาได้
    ถาม : อีกอย่างหนึ่ง...ฟังหลายรอบแล้ว แล้วทำไม่ได้ คือทรงอารมณ์อย่างสมมุติว่าเวลาปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จะทรงอารมณ์ต่อทำยังไงคะ?
    ตอบ : ถ้าเราภาวนาแล้วอารมณ์ใจมันทรงตัว ความรู้สึกของเราในตอนนั้นก็คือว่า เรารู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติ พยายามรักษาอารมณ์รู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติเอาไว้ นั่นคือการทรงอารมณ์ แล้วเราพยายามตรวจสอบอยู่เสมอว่า ในขณะที่เรารู้ลมหายใจโดยอัตโนมัติอยู่นี้ สิ่งไม่ดีต่าง ๆ โดยเฉพาะนิวรณ์ห้ามันเข้ามากินใจเราได้ไหม? ใจของเรามันแลบออกไปในทางกามฉันทะ คือระหว่างเพศหรือเปล่า? ในตัวพยาบาท โกรธ เกลียด อาฆาต แค้น คนอื่นหรือเปล่า? ในตัวถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน ตลอดถึงขี้เกียจหรือเปล่า? ในตัวอุทธัจจะ คือฟุ้งซ่านเป็นอารมณ์อื่นหรือเปล่า? ในวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยในใจหรือเปล่า?
    ถ้าหากว่านิวรณ์หน้าตัวนี้กินใจไม่ได้ กำลังใจของเราอยู่กับลมหายใจเจ้าออกอยู่ คือการรักษาอารมณ์ตัวนั้นไว้ ถ้าสามารถเกาะลมหายใจอยู่ในลักษณะนี้ได้นานเท่าไรเราก็จะสุขเท่านั้น เย็นเท่านั้นการรักษาอารมณ์ก็คือการประคับประคองความรู้ สติ สัมปชัญญะทั้งหมดของเราให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกไว้
    ถาม : ปกติทำบุญนี่ไม่หวงค่ะ แผ่ได้อะไรได้ แต่กับคนที่บอกนี่มีความรู้สึกว่าหวง ไม่อยากแผ่...มันโกรธ
    ตอบ : ธรรมดา... การที่เราจะแผ่เมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้เราแผ่เมตตาต่อคนที่เรารักก่อน เรารัก เราย่อมให้เขาได้ แล้วเมื่อกำลังใจทรงตัว แผ่เมตตาต่อคนที่เรารักจนคล่องตัว จนชินแล้ว ก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด อย่างเช่นว่าคนทั่ว ๆ ไป หรือว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วหน้า หลังจากที่ให้กับคนที่ไม่รักไม่เกลียดจนชินแล้ว ก็ค่อยให้กับคนที่เราเกลียดน้อยจนกระทั่งกำลังใจมันทรงตัว มันชิน ไม่มีความหนักใจแล้ว
    คราวนี้ค่อยไปให้กับคนที่เราเกลียดมาก ถ้าอยู่ ๆ เราไปให้กับคนที่เราเกลียดมากทีเดียวกำลังใจมันจะไม่ไป มันจะต่อต้าน เพราะฉะนั้น ต้องไปที่ละขั้นแต่ละขั้นอย่างที่ว่า มันไม่ใช่หวงหรอก(หัวเราะ)กำลังใจมันต่อต้าน มันก็เลยไม่ยอมไป
    ถาม : เคยบอกว่าโกรธได้ แต่ว่าอย่าอาฆาต
    ตอบ : พอโกรธ โกรธตอนนั้นแหละ แต่ว่าอย่าไปคิด ถ้าไปคิดแสดงว่าจิตของเราประกอบด้วยวิหิงสาวิตก คือตรึกในการอาฆาตพยาบาทอยู่ เพราะฉะนั้นต้องลืมมันให้ได้ตรงนั้นเลย
    ถาม : ทำไงถึงจะลืมได้?
    ตอบ : ถ้าอันนี้ยากหน่อย แต่ถ้าพยายามรักษากำลังใจของเราไว้ คิดให้เป็นอย่างที่ว่ามาอย่างเมื่อครู่นี้ แล้วเราพยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับสติสัมปชัญญะเฉพาะหน้า ตัวนี้จะกินเราไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเผลอเมื่อไหร่มันจะเข้ามาอีก ต้องคอยไล่มันออกไปอยู่เรื่อย ไล่ไปไล่มา พอนานๆ เข้า ไม่มีอาหารจะกิน เพราะเราไม่โกรธตามมัน เดี๋ยวมันก็เฉาไปเอง พอไปเฉามา มันก็ตาย
    ถาม : เมื่อไหร่จะคิดเป็นสักที (หัวเราะ)
    ตอบ : ไม่เป็นไร ไปไม่รอดเมื่อไร ค่อยกลับมาถามอีกที
    ถาม : คราวนี้จะของทางโลก ดูหนังสือสอบจากปีที่แล้ว ปีนั้นขาดไปเปอร์เซ็นต์หนึ่ง ปีนี้ขอเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ขอให้ดูแล้วเข้าใจ เพราะว่าดูหนังสือแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
    ตอบ : (หัวเราะ) ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ คาถาสหัสสะเนตโตน่ะ ว่านะโมสามจบ ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์รับกระดาษคำถามมาอย่างเพิ่งอ่านให้คว่ำลง ว่าคาถาสักสามจบ เสร็จแล้วพลิกกระดาษขึ้นมา อ่านคำถามดู ถ้ายังตอบได้ไม่หมดให้คว่ำลง แล้วว่าอีกเจ็ดจบ
    คราวนี้ความรู้สึกบอกว่าอย่างไร อยากจะเขียนอย่างไร อยากจะตอบอย่างไร ทำตามนั้นเลย จะเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง ขอให้เชื่ออารมณ์แรกอย่าไปฝืน คาถาสั้น ๆ ว่า สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจังขุง วิโสธายิ แค่นี้แหละ ตอนหลังเขาเติม อิกะวิติ พุทธสังมิ โลกะวิทู ลงไปหน่อยหนึ่ง อิกะวิติเป็นหัวใจอิติปิโส พุทธสังมินี่หัวใจไตรสรณาคมน์ โลกะวิทูก็รู้แจ้งในโลก อะไร ๆ มา ก็รู้หมด ใช้คาถาตัวนี้ให้ชิน ก่อนอ่านหนังสือก็ว่าไปซะห้าจบ สิบจบ หลังอ่านก็ว่าไปซะห้าจบ สิบจบ ซ้อมให้คล่องเข้าไว้ถึงเวลามันจะได้ชินแต่ว่าระวังตอนที่ท่านช่วยเราจริง ๆ นะ อารมณ์ใจที่ส่งมานี่เหมือนยังกับเรากำลังตื่นเต้น หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมือไม้ก็สั่นไปหมด มันจะเขียนแทบไม่เป็นตัว ต้องคอยบังคับลายมือตัวเอง แล้วจะเอาเท่าไหร่ก็บอกท่าน ขอให้มันถูกต้องและถูกใจคนตรวจด้วย กี่เปอร์เซ็นต์บอกท่านได้เลย ถ้าเรามั่นใจจริง ๆ ได้ตามนั้นทุกอย่าง
    เพราะว่าช่วงที่สอบนักธรรมเอก ป่วยอยู่ไม่มีเวลาดูหนังสือ ก็ไปสอบทั้ง ๆ ที่ไม่ดูนั่นแหละ ปรากกว่าหลวงปู่พระมหาอำพันท่านบอกว่า คุณเก่งนะสอบแค่สิบห้านาทีได้แล้ว ผมเองตกอยู่สิบสองปี หลวงปู่ท่านเป็นเปรียญหกแล้วนะ ตกอยู่สิบสองปี ถ้าไม่ได้นักธรรมเอก เขาไม่ให้เรียนเจ็ด แปด เก้า เปรียญเจ็ด แปด เก้า เขาเรียกว่า เปรียญเอก เปรียญสี่ห้า หก เขาเรียกว่า เปรียญโท หนึ่ง สอง สาม เขาเรียกว่า เปรียญตรี ต้องจบนักธรรมตรี ถึงเรียนตรีได้ ต้องจบนักธรรมโท ถึงเรียนเปรียญโทได้ ต้องจบนักธรรมเอก ถึงเรียนเปรียญเอกได้
    เพราะฉะนั้นมันก็ยากสาหัสอยู่ หนังสือเป็นตั้งออกแค่เจ็ดข้อสมัยโน้น สมัยนี้ออกสิบข้อแล้วเป็นตั้งบางทีเราไม่อ่านน่ะมันออก แต่ถ้าเราอ่านมันไม่ออก ปีนั้นท่องมหาสติปัฏฐานสูตรแทบตายเลย มันไม่ออกสักตัวเดียว แต่ถ้าหากว่าเราไม่ท่องแล้วมันออกเราก็เดี้ยง เพราะฉะนั้นมันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ
    ถาม : ทำยังไงครับ นั่งยิ้มได้ทั้งวัน?
    ตอบ : พยายามรักษากำลังจให้มันทรงตัวให้ได้ กำลังที่ว่านี่มันทรงตัวนานไป ๆ แรก ๆ มันเหมือนหินทับหญ้า แต่ถ้าทับไปทับมาหญ้ามันเฉาเข้า กำลังมันไม่มี เราก็ยิ้มเยาะมันได้ เอาเถอะค่อย ๆ ทำไป ที่เห็นนั่งยิ้มอยู่นี่ไม่ใช่นั่งยิ้มแต่แรกหรอก มันตั้งนานตั้งเนแล้วที่ค่อยทำมา กว่าจะถึงจุดนี้ไม่ใช่ง่าย แต่ว่ายืนยันว่า ถ้าทำแล้วได้จริง ๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ............
    ตอบ : สมัยโบราณพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พระใช้ผ้าบังสุกุลเพียงสามผืน คือ สบง จีวร และสังฆาฏิเท่านั้น พระท่านก็ต้องทะนุถนอมจีวรไว้ให้ดี ถึงเวลาอาบน้ำอาบท่านก็ต้องแก้ผ้ากันเลย
    คราวนี้มีอยู่วันหนึ่งที่เชตุวันมหาวิหาร นางวิสาขามหาอุบาสิกานิมนต์พระเอาไว้ว่าให้มาฉันภัตตาหารที่บ้าน ก่อนถึงเวลาฝนตก พอใกล้ถึงเวลาก็เลยให้คนใช้วิ่งไปนิมนต์พระ คนใช้ไปถึงบอกไม่มีพระเลยมีแต่ชีเปลือย คือพวกชีเปลือยพระแก้ผ้าของทางอินเดียเขามีเป็นปกติอยู่แล้ว นางวิสาขาได้ยินเข้าก็เข้าใจ ก็เลยบอกคนใช้ว่ารอเดี๋ยว ตอนนี้ชีเปลือยเขาคงมากัน อีกสักพักหนึ่งเขากลับแล้ว เราค่อยไปนิมนต์พระ
    พอฝนหยุดก็บอก ตอนนี้ชีเปลือยกลับไปกันหมดแล้วล่ะ ไปนิมนต์พระได้ พอเขาวิ่งกลับไปใหม่พระห่มผ้าครองจีวรเรียบร้อยแล้วนี่ ก็นิมนต์พระมา เสร็จแล้วท่านเป็นคนฉลาด ท่านก็เลยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าว่าให้รับผ้าคหปติจีวรคือจีวรที่ผู้พอมีอันจะกินเขาถวายในขณะที่ในหน้าฝนได้ใช้ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง เขาเรียกว่าผ้าวัสสิกสาฏก
    ตั้งแต่นั้นมาก็มีธรรมเนียมถวายผ้าอาบน้ำฝน แต่ว่าถ้าหากว่าใช้เฉพาะช่วงหน้าฝนมันสิ้นเปลืองเกินไป ส่วนใหญ่ถ้าได้มาก็อธิษฐานยาวไปจนกว่าเปื่อยพังไปข้างหนึ่ง แต่ว่าสมัยนี้เขาก็อยู่ลักษณะนี้แหละ ถ้าพอที่จะมีที่ถวายจริง ๆ ไม่ใช่เพียงผ้าอาบน้ำฝน แต่เป็น ผ้าไตรมาแบบนี้
    ถาม : ..........
    ตอบ : กฐินปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของเกาะพระฤๅษีที่อาตมาจะรับได้ในนามของตัวเอง เพราะว่าหลังออกพรรษาแล้วท่านเจ้าคุณวัดท่ามะขามท่านบัญชาให้ไปอยู่วัดท่าขนุน ท่านจะเอาตัวเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่เป็นลูกศิษย์อาตมาเองและเป็นเจ้าคณะตำบลด้วยไปเรียนต่อเพื่อรอเป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านบอกว่าทองผาภูมิมันจะเป็นแยกออกเป็นจังหวัด ตัวท่านเองต้องไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด
    คราวนี้อายุท่าน ๗๒ แล้ว พระนี่เขาเกษียณกันอายุ ๘๐ อายุราชการเหลืออีกหน่อยเดียวหรือว่าผมอาจแก่ตายก่อนก็ได้ ท่านพูดอย่างนี้ สิ้นจากผมแล้ว ผมมองไม่เห็นใครเลยนอกจากคุณ หมายตาคุณเอาไว้ คุณก็ไม่เอา คุณปฏิเสธทุกทีก็เลยต้องเอาท่านสมพงษ์ไป เลยกราบเรียนท่านว่า ลูกศิษย์ของเราอีกคนหนึ่ง คือท่านปรีชาที่มาเรียนอยู่ บอกว่ามหาปรีชาไงล่ะครับ ท่านบอกว่ามหาปรีชาหัวมันไม่ทันเขา คำว่าหัวมันไม่ทันเขาอยู่ในลักษณะที่ว่าซื่อเกินไป ไปเจอคนชั่วพลิกแพลงเข้าจะแย่ มันจะปกครองเขาไม่ได้ เลยจะเอาท่านสมพงษ์ซึ่งว่าเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ท่านอยู่ลักษณะที่คล่องตัวพอ ก็จะเอาไปเรียนต่อ เลยไปอยู่ที่โน่น ก็จะเป็นในนามวัดท่าขนุน ซึ่งจะชื่ออาจารย์สมพงษ์ไม่ใช่ชื่อของเราแล้ว
    เพราะฉะนั้นปีนี้ถ้าจะถวายกฐินก็ถือว่าปีสุดท้ายของอาตมาแล้ว มีเท่าไหร่ก็รีบทุ่มไปเถอะ ท่านจะให้เป็นเจ้าคณะตำบลมาหลายยกแล้วหนีท่านคราวนี้ท่านไม่ให้เป็นแล้ว ให้เป็นตาแก่เฝ้าวัดไว้เฉย ๆ ประชดด้วยนะ ถามอาจารย์สมพงษ์ว่า เฮ้ย ! สมพงษ์ ยอดเขาว่างไหม? บอกว่างครับ เออ...นั่นแหละ ท่านเล็กเขาชอบเงียบ ๆ ให้เขาไปอยู่ข้างบนนั่นแหละ (หัวเราะ)
    ถาม : ...............
    ตอบ : ตัวคาถาฆะเฏสิ นี่จริง ๆแล้ว ป้องกันอันตรายทุกอย่างนะ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว อาจารย์ยุคหลัง ๆ ท่านถือให้เป็นคาถากันขโมยมันเริ่มจากว่ามีชายเข็ญใจคนหนึ่ง หัวทื่อมากเลย ทำอะไรมันก็ไม่เอาไหน อาจารย์ท่านเลยให้คาถานี้ไปท่อง ตัวคาถามันว่า ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ ความหมายก็คือว่าทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร เจ้านั่นประเภทคนซื่อคนขยันน่ะ อาจารย์ให้ก็ท่องตะบันราดเลย
    วันหนึ่งพระราชาออกตรวจงานราษฏร์ตอนกลางคืน คล้าย ๆ กับว่า ตรวจดูความสงบเรียบร้อย โจรมันกำลังจะย่องเบาอยู่ มันตั้งท่าจะปีนบ้าน เจ้านี่ละเมอก็ตะโกนออกมา ตะโกนคาถาบทนี้ มันก็แปลว่า ทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร โจรมันก็แผ่นแนบเลย เพราะนึกว่าเจ้าของบ้านตื่น พระราชาท่านก็แปลกใจ โผล่เข้าไปเห็นเลยปลุกมันขึ้นมาถามว่าเรื่องอะไรกัน ก็เลยบอกว่าคาถาวิเศษบทนี้อาจารย์ให้มาบอกว่าป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง พระราชาเลยขอเรียน บอกว่าถ้าจะขอเรียน ต้องยอมตนเป็นลูกศิษย์ถึงจะสอนให้ พระราชาก็เลยต้องไหว้คนเข็ญใจ
    ตัวนี้ก็คือว่าถ้าหากว่าคุณต้องการวิชาคุณจะถือตัวถือตนไม่ได้ พอให้ไปพระราชาก็ท่องเป็นประจำอยู่เหมือนกัน ท่องไปท่องมามีอยู่วันหนึ่งบรรดาพวกเชื้อพระวงศ์ต้องการจะปฏิวัติรัฐประหารชิงราชสมบัติก็จ้างให้กัลบก คือช่างตัดผม บอกว่าเวลาที่โกนหนวดให้พระราชานี่ปาดคอซะจะให้รางวัล พระราชาท่านหลับเพลิน ๆ ก็ละเมอคาถาบทนี้ออกมามั่ง ช่างมันก็ตัวสั่นตกใจนึกว่าพระราชารู้ เลยสารภาพหมด พระราชารอดไปได้ ในเมื่อท่านรอดมาได้ก็คิดว่าเพราะอาจารย์ที่เป็นคนเข็ญใจเลยรับตัวมาเลี้ยงไว้ในวังเป็นอย่างดี จริง ๆ อุปเท่ห์การใช้ของมันใช้ป้องกันอันตรายทุกชนิด
    แต่ว่าในระยะหลังท่านบอกว่าให้ใช้กันขโมย ก่อนนอนก็ตั้งใจว่าคาถานี้สักเจ็ดจบ อธิษฐานว่าถ้าหากจะมีขโมยหรือมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเราขอให้เรารู้ตัวก่อน ให้ตื่นมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เพื่อได้แก้ไขเหตุการณ์ณ์ให้ลุล่วงไปด้วยดี ฟังดูแล้วน่าเล่น ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณัง ...กิงกะระณา คือ ทำอะไรอยู่....ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
    ถาม : ..........
    ตอบ : มีคนถามบ่อย สองวันนี่ถามเป็นสิบรายแล้ว ถามว่าเข้าพรรษาแล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? พรรษาจริง ๆ แปลว่าฤดูฝน จำพรรษาคือการอยู่ประจำที่ในฤดูฝน คราวนี้บางครั้งมันก็มีเหตุอันจำเป็น อันทำให้ต้องไปไหนมาไหนทั้ง ๆ ที่อยู่ในระหว่างจำพรรษา พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ไปได้แต่ต้องไปไม่เกิน ๗ วัน ภาษาบาลีเรียกว่า สัตตาหะกรณียะ คือเวลามีเหตุอันควรให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน เหตุอันควรนั้นท่านระบุไว้ชัดเลยว่า
    ๑. พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ถ้าสามอย่างนี้ให้ไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ ถือว่าเป็นความกตัญญู แต่ว่าต้องไม่เกิน ๗ วัน
    ๒. เพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้ามปรามเขา ไปได้แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน แต่อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ตอนนี้สำหรับข้อนี้แล้วไม่อนุญาต ใครอยากสึกให้มันสึกไป สมัยก่อนโน้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้เพราะทราบว่าพระองค์นั้นถ้าอยู่ต่อแล้วจะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยอนุญาตให้ไปห้ามได้
    ๓. วัดพัง ไปหาทัพสัมภาระมาเพื่อซ่อมวัด สมัยก่อนต้องเข้าป่าตัดไม้ ไปหาหวายหาอะไรมา มันช้า วันเดียวไม่เสร็จแน่เลย ต้องไปค้างคืน ให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน
    ๔. ข้อสุดท้าย ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธา ไปได้ อย่างเช่นมาที่นี่ ก็คือมาเพื่อเจริญศรัทธาชาวบ้าน มาเพื่อรับการถวายสังฆทาน เหล่านี้เป็นต้น อันนี้ถือว่ารักษากำลังใจเจริญศรัทธาญาติโยมให้ไปได้ แต่ว่าก่อนไปก็ต้องมีพิธีกรรม เขาเรียกว่าขอสัตตาหะ คือขอกับเพื่อนพระด้วยกัน ถ้าทุกองค์เห็นพ้องกันว่าไปได้ ก็ไปได้ ถ้ามีค้านสักองค์หนึ่งก็ไม่ต้องไป
    แต่ว่าข้อสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าใครก็ตามที่มันอยู่ติดที่ไม่เป็นแต่มันไปติดโยมแทน ถึงเวลาแอบเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์ไปเพื่อให้เขานิมนต์ อย่าให้ข้ารู้ ข้าตีกบาลแยกเลย มีเหมือนกันนะ มีประเภทที่ให้โยมเขานิมนต์ แอบไปบอกเขาให้นิมนต์เพื่อตัวเองจะมีข้ออ้างไปได้ในระหว่างอยู่ในพรรษา หลวงพ่อท่านปิดช่องเกลี้ยงเลย เบี้ยวไม่ได้
    ด้วยเหตุนี้ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แต่ว่ายังดีนะ คนเขามีปัญญาเขาสงสัยแล้วเขาถาม ประเภทสงสัย ๆ เปล่า ๆ เสร็จแล้วคอยระแวงไปด้วยเลยกระทั่งพรรษามันยังไม่อยู่เป็นที่เป็นทางดันทะลึ่งมาอีก อะไรอย่างนี้ ไอ้นั่นคิดมากเป็นโทษแก่ตัวเอง ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ............
    ตอบ : หลังจากออกพรรษาต้องไปอยู่ประจำที่วัดท่าขนุน วันก่อนไปดูกุฏิแล้ว เจ้าประคุณเถอะ ! หลังมันใหญ่กว่าห้องนี้อีก เป็นกุฏิที่ไม่มีใครยอมอยู่เลย เจ้าของกุฏิเก่าพระครูอะไรนะ จำไม่ได้ เราเรียกหลวงตาเหงี่ยม ตอนเป็นพระก็ดุ เป็นผีก็ดุเข้าไปใหญ่ กุฏิหลังนั้นเลยทิ้งร้างโทรมอยู่ไม่มีใครดูแล หลังคาก็รั่ว พื้นก็ผุ ประตูก็พัง หน้าต่างก็หลุด ไปนั่งคลำ ๆ ดู
    ท่านสมพงษ์บอกว่าถ้าอาจารย์มาผมจะซ่อมให้ บอกว่าคุณไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวผมหางบซ่อมเอง แต่ดู ๆ ลักษณะมันแล้วแสนหนึ่งน่าจะเอาไม่อยู่ (หัวเราะ) กุฏิหลังใหญ่มาก สบายมากเลย ไปนอนมาแล้วดีทุกอย่าง แต่คนอื่นเขากลัว ของในกุฏิไม่มีใครกล้าแตะแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งไปถึงบอกท่านว่านั่นน่ะพวกสบง จีวร อะไรนั่น ของดี ๆ ทั้งนั้นไปแจกพระแจกเณรซะ แล้วข้าวของอื่นใครต้องการจะใช้เอาไปเลยเดี๋ยวผมรับผิดชอบให้เอง หลวงตาท่านไม่ว่าอะไรหรอก เขากลัวกัน จริงๆ กลัวประเภทที่ว่าทิ้งพังไปเลย ไม่มีใครเข้าไปแตะ กุฏิหลังใหญ่มากน่าอยู่ด้วย ก็เลยว่าปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่จะจัดงานกฐิน เพราะว่าเมื่อไปอยู่ที่โน่นแล้วความคิดก็คือว่าจะไม่พยายามรับตำแหน่งเหมือนเดิม ก็คือให้อาจารย์สมพงษ์ เขาเป็นเจ้าคณะตำบลและเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในนามตัวเราเองบริหารอยู่ข้างหลัง
    คราวนี้พอเราอยู่ในลักษณะนั้นเราเองก็เลยรับกฐินในนามตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องเป็นของทางโน้นเขา ซึ่งเขาจะมีกรรมการอะไรยุ่งยามไปหมดเลย ส่วนใหญ่พวกกรรมการ ตั้งขึ้นมาแล้วมันไม่คิดทำอะไรหรอกนอกจากจะคุมเงินพระ หลวงพ่อก็บอกว่าถ้าจะตั้งกรรมการพวกแกหาพระในวัดที่ไว้ใจได้ตั้งขึ้นมาสัก ๖ องค์ ๗ องค์ มีความเห็นร่วมกัน จะได้ทำงานได้พร้อมกัน มัวแต่ไปรอฆราวาส อยู่บางทีมันขัดขึ้นมาสักคนเดียวงานก็ไม่ได้ทำแล้ว ในเมื่อเขามีกรรมการมีอะไรอยู่ก็ไม่อยากเข้าไปทำให้มันยุ่งยาก
    เลยกลายเป็นว่าปีนี้อาจเป็นปีสุดท้ายที่ได้ทำในนามของตัวเอง ผลัดท่านไว้ว่าขอออกจากพรรษาก่อน ความจริงท่านจะให้ไปเลยแล้วก็จะให้อาจารย์สมพงษ์ เขาสัตตาหะ คือท่านบอกว่า การเรียนมันสำคัญมาก อนุญาตให้สัตตาหะไปเพื่อติวได้ก็ให้มหาทองดีที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ตอนนี้ได้เปรียญ ๖ แล้ว กำลังจะขึ้นเปรียญ ๗ ที่เป็นเปรียญเอก ประเภทที่ว่ากันตัวต่อตัว ยังไง ๆ ก็ให้มันทันสอบปีหน้า ซึ่งจะเท่ากับว่าไม่ต้องเสียเวลาไปปีหนึ่ง แต่อาจารย์สมพงษ์ก็คล้าย ๆ กันเป็นพระที่ไม่ค่อยจะเอาอะไรหรอก หลบได้ก็หลบ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
    ตอนที่ท่านโดนยัดเป็นเจ้าคณะตำบลนี่ท่านหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะว่าของเราจับยัดให้ท่านเอง รู้จักกับท่านมาตั้งแต่ท่านบวชพรรษาแรก ปีนั้นหลวงพ่อสายเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมรณภาพพอดี ท่านขาดครูบาอาจารย์ก็เลยมาขอพึ่ง เท่ากับว่าท่านเป็นลูกศิษย์ ตอนนี้อยู่ทองผาภูมินี่ดังน่าดู เท่ากับว่ามีลูกศิษย์เป็นเจ้าคณะตำบลไปสองสามตำบลแล้วท่านเจ้าคุณถึงได้ต่อว่าให้ตำแหน่งแล้วไม่ยอมรับ ก็เลยให้คนอื่นไปแทน นี่ถ้าหากว่าบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดในทองผาภูมิทราบว่าท่านเจ้าคุณคิดยังไงร้องไห้กันหมด
    โดยส่วนใหญ่แล้วท่านจะคิดว่าท่านมีความสามารถหารู้ไม่ว่าผู้ใหญ่เขามองทะลุหมด โดยส่วนใหญ่ใช้ความสามารถไปหาผลประโยชน์ใส่ตัว ท่านดูออกว่าใครทำเพื่อส่วนรวม ใครทำเพื่อส่วนตัว แล้วลูกศิษย์สายหลวงพ่อส่วนใหญ่แล้วจะว่ากันตรงไปตรงมา ในเมื่อว่ากันตรงไปตรงมา ไม่เอาก็คือไม่เอานะ ก็จะต้องไปเฝ้าให้เขา
    คราวนี้มันสำคัญตรงว่าอาจารย์สมพงษ์เขาเรียนจนกลับมาแล้วต้องเป็นใหญ่ขึ้นไปดีไม่ดี เราจะโดนจับยัดอีก หนีไม่พ้น... ลูกศิษย์มันใหญ่กว่าอาจารย์ ถึงเวลาเราเอาอะไรไปเขาต้องเซ็นให้อยู่แล้ว (หัวเราะ) ระยะหลังนี่สบายขึ้นนะ อย่างเช่นว่า เวลาที่เข้าพรรษาทุกอย่างมันก้าวหน้าขึ้น
    เมื่อกี้ที่ปรารภขึ้นว่าตอนนี้มันมีรถตู้ไปถึงอุทัยสบาย ๆ สมัยก่อนไปหาหลวงพ่อ โอ้โห... ฝุ่นแดงตลบจนกรทั่งหัวดำ ๆ กลายเป็นหัวแดงไปเลย ต้องเอารถไปลงแพทีละคัน ๆ สมัยนี้ทางลาดยางผ่านหน้าวัดสบายมาก รถวิ่งถึงที่การถวายเทียนพรรษาก็เลยชักจะกลายเป็นหลอดไฟมากขึ้น ๆ สะดวกดีและไม่อันตรายด้วย เพราะว่าไฟฟ้ามันช๊อตมันก็ดับเลยใช่ไหม หลอดมันขาด แต่ว่าเทียนพรรษานี่ถ้าเผลอนะ เทียนนี่จริง ๆ สำหรับคนละเอียดและมีสติรอบคอบเพราะว่าเผลอเมื่อไหร่มั้นไหม้วัดจริงๆ ก็เลยเปลี่ยนเป็นหลอดไป แต่ว่าอานิสงส์ก็ยังเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยแสงสว่างซึ่งจะมีผลด้านทิพจักขุญาณ
    พระอนุรุทธท่านเป็นพระวิชชาสามแต่ว่ามีทิพจักขุญาณเหนือกว่าพระอัครสาวกอย่างพระโมคัลลาน์พระสารีบุตรอีก พระโมคคัลลาน์นี่ถือว่าเป็นยอดของปฏิสัมภิทาญาณ เลิศกว่าผู้อื่นในทางด้านมีฤทธิ์ ทิพจักขุญาณยังสู้พระอนุรุทธไม่ได้ พระอนุรุทธก็เลยได้รักการตั้งว่าเป็นเอตะทัคคะ คือเป็นผู้มีความสารถยอดเยี่ยมในทางทิพจักขุญาณ
    ในอดีตชาติท่านเคยถวายบูชาพระพุทธเจ้าด้วยประทีปโคมไฟ ได้อานิสงส์ทิพจักขุญาณมากกว่าคนอื่นเขา ในขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังดำเนินกิจไปเพื่อนที่จะเข้าสู่ปรินพพาน มีพระอนุรุทธผู้เดียวที่ตามทัน บอกได้ตลอดเลยว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ระดับฌานไหน กำลังเข้าฌานไหน ออกฌานไหน จากฌานนั้นมาเข้าฌานไหน ขณะนี้กำลังดำเนินจิตอยู่ในลักษณะยังไง บอกถูกหมด คนอื่นสู้ไม่ได้
    แรก ๆ ก็สงสัยมาก ข้องใจมากด้วย อย่างพระพุทธเจ้านี่อ่านตามพุทธประวัติและปฐมสมโพธิกถาท่านบอกว่ายามต้นบรรลุบุพเพนิวาสาสุสติญาณคือระลึกชาติได้ ยามที่สองบรรลุจุตูปปาตญาณ คือรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดนั้นมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ยามสุดท้ายคือยามสามทำจิตให้ผ่องใสไกลกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง สรุปแล้วพระพุทธเจ้าเป็นพระวิชาสาม แล้วทำไม่สอนลูกศิษย์เป็นอภิญญาหกเป็นปฏิสัมภิทาญาณบานเบอะเลย
    มีผู้กล้าหาญกราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงพ่อทำตอบสั้นและกระชับมาก ท่านบอกว่า วิชาสามของช้างมันเหนือกว่าอภิญญาของมดอยู่แล้ว (หัวเราะ) ชัดเลยใช่ไหม? อย่างพระอนุรุทธท่านก็วิชาสาม แต่ว่าทิพจักขุญาณของท่านเลิศกว่าอัครสาวกซะอีก เพราะว่าความสามารถพิเศษไม่ว่าจะเป็นอภิญญาหรือว่าปฏิสัมภิทาญาณก็มีแบ่งไปตามระดับ ตามความถนัดเฉพาะตัว
    อย่างพระจุลปันถกะ อ่านตามบาลีนะ ท่านเป็นเลิศทางมโนมยิทธิ คนอื่นเก่งแค่ไหนก็เก่งไปแต่ของท่านนี่เยี่ยมกว่าคนอื่นเขาสามารถถอดจิตออกมาเป็นกายเนื้อ ๆ ให้เห็น ๆ ได้ทีละพันพร้อมกัน แล้วไม่ใช่ว่าทำอะไรเหมือนกันนะ ทำคนละอย่าง ง่ายดี องค์โน้นกวาดลาน องค์นี้ตักน้ำ องค์นั้นซักจีวร องค์โน้นถูกุฏิ สบายดีงานมันเสร็จเร็ว เสร็จแล้วพอคนถามว่า องค์ไหนชื่อว่าจุลปันถกะ ท่านก็ตอบพร้อม ๆ กันว่าอาตมาเอง คนนิมนต์ก็เสร็จ
    คราวนี้พอไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไปนิมนต์ใหม่ ถามว่าองค์ไหนชื่อ จุลปันถกะ ถ้าองค์ไหนตอบก่อนให้จับแขนองค์นั้นไว้ คือ องค์อื่นจะเป็นตัวกายในที่ท่านถอดออกไป คราวนี้ท่านเลิศมากเลย เพราะตัว มโนมยิทธิ ถ้าทำได้จริง ๆ จะเป็นในลักษณะนั้น ท่านใช้คำว่าถอดกายในออกไป เหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง คือ หญ้าปล้องมันจะมีปล้องแก่ พอดึงออกมาจะเป็นปล้องอ่อน มันเหมือนกันเปี๊ยบเลย แล้วอันหนึ่งแก่ อันหนึ่งอ่อน หรือว่าเหมือนกับถอดดาบออกจากฝัก คือดึงออกมาง่ายๆ ท่านชำนาญมาก คือทำออกมาได้ทีละพันร่างพร้อมๆกัน
    ท่านบอกว่า องค์ไหนตอบก่อนให้สังเกตไว้จะตอบก่อนคนอื่นเขาแป๊บหนึ่งแล้วคนอื่นเขาพูดตามเหมือน ๆ กันลักษณะเหมือนกับเสียงสะท้อน ถามว่าองค์ไหน องค์ไหนตอบผมครับก็คว้าเอาไว้ คนที่ไปนิมนต์ก็เล็งเอาไว้ พอถึงเวลาก็คว้าแขนปุ๊บ อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าองค์ก็ต้องรวมกลับคือเป็นหนึ่งเดียว ตัวต้นฉบับโดนล็อคแล้วนี่ เมื่อความสามารถพิเศษเหล่านี้ยังต่างกัน
    การบรรลุมรรคผลและความสามารถของพระท่านบรรลุเท่ากันเหมือนคนจบปริญญา ถ้านับปริญญาตรีเป็นหลัก เหมือนพระอรหันต์เป็นว่าจบตรีเท่ากัน แต่ว่าความสามารถและแขนงวิชาต่างกันไป ก็เลยว่ามีประเภทอภิญญาหกระดับปกติสาวก คือทั่ว ๆ ไป อภิญญาหก ระดับมหาสาวกอภิญญาหกระดับอัครสาวก อย่างนี้เป็นต้น ถึงได้ก็ไม่ใช่ว่าได้เท่ากัน
    พวกเราหลายคนที่ได้มโนยิทธิอยู่เป็นครูฝึกสอนคนอื่นเขาด้วย เราก็ดูตัวเองซิ ญานแปดอย่างน่ะเราไม่ได้คล่องทุกอย่างหรอก มันจะมีถนัดชำนาญอยู่อย่างหนึ่งส่วนอย่างอื่น ๆ จะมีแค่พออาศัยเท่านั้นเอง สังเกตดูได้เลย ลักษณะนี้แหละทำให้ความสามารถทางใดทางหนึ่งมันต่างกันไป
    พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามว่า ภิกขเว ภิกษุทั้งหลาย เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่กำลังเสวนาอยู่กับพระโมคคัลลาน์ลูกเราหรือไม่? พระบอกว่าเห็นพระเจ่าข้า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่หนักในทางฤทธิ์อภิญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่เสวนาอยู่กับพระโสณะโกฬิวิสะลูกเราหรือไม่? บอกว่าเห็น ท่านบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้เลิศในทางความเพียร แล้วก็ถามภิกษุ ท่านเห็นภิกษุทั้งหลายที่กำลังเสวนาอยู่กับพระปุณณะมัฌตานีบุตรหรือไม่? ภิกษุทั้งหลายบอกว่าเห็นพระเจ้าข้า บอกว่าภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบใหนทางธรรมกถึก คือเป็นนักเทศน์ คือบุคคลที่เข้าไปกาเก่งทางไหนบรรดาผู้ที่เข้าไปหาคือผู้ที่ชอบในทางนั้นเหมือนกัน
    แล้วจริตนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน การสร้างสมบารมีมาในอดีตชาติที่ต่างกันทำให้ความสามารถต่างกันไป เพียงแต่ว่าเวลาหมดกิเลส หมดกิเลสเหมือน ๆ กัน แต่การสร้างสมบุญบารมีมาทำให้ต่างกันตรงความสามารถพิเศษ เหมือนกับคนจบปริญญาตรีมาแล้วอีกคนหนึ่งมันเล่นกีฬาเก่งจังเลย ขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เอาอะไรเลยก็มีหรือไปถนัดเล่นดนตรีเลยก็มี ทำให้ต่าง ๆ กันไป

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    คราวนี้ช่วงของการเข้าพรรษา ก่อนจะมาก็อบรมพระ ช่วงของการเข้าพรรษาสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง จะเป็นช่วงที่ติวเข้มตัวเอง ๓ เดือน ความจริงมันน่าจะ ๙ เดือนนะ มันกลายเป็นว่าเราอาศัยว่าช่วงจังหวะดี เรียกง่าย ๆ ว่ามันต้องอาศัยฤกษ์ดี ครูดี คณะดี ใช่ไหม ? เอาดียากหน่อยแต่ว่าก็ยังดีว่าเรายังมีเวลาตั้งตาทำอยู่ เราต้องคอยตรวจต้องคอบทบทวนกำลังใจของตัวเองไว้เสมอๆ ว่ากำลังใจของเราตอนนี้ดีหรือว่าเลว ต้องรู้ตัวโดยที่ไม่เข้าข้างตัวเองด้วย เช็คอยู่เสมอว่าตอนนี้ความดีในใจของเรามีหรือไม่ ? ถ้าไม่มีทำให้มันมีขึ้นมา ถ้ามันมีอยู่แล้วทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตอนนี้ความชั่วในใจของเรามีหรือไม่ ? ถ้ามันมีขับไล่มันออกไปแล้วคอยระวังไว้อย่าให้มันเข้ามาต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ อยู่ตลอดเวลา
    อย่างที่พระเขาพิจารณาเตือนตัวเองฆราวาสก็ใช้ได้ เช่นท่านบอกว่า บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าขณะนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ แล้วกริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกริยาอาการนั้น ๆ ก็หมายความว่าจะคิดจะพูดจะทำต้องอยู่ในความเป็นพระ คราวนี้พวกเราเป็นนักปฏิบัติ ต้องเรียกว่าพระโยคาวจรได้กำไรกว่าพระจริง ๆ ซะอีก เพราะพระจริง ๆ เรียกสมมติสงฆ์ยังไม่เป็นพระเลย
    แต่นักปฏิบัติที่มุ่งมั่นจะเอาดีพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพระโยคาวจร เป็นพระแล้ว ในเมื่อเราก็ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งแล้ว เป็นพระอยู่ในตัวแล้ว เราจะพิจารณาอย่างเดียวกันก็ได้ อย่างเช่นท่านบอกว่า บรรพชิตควรพิจารณาควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวเราติตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ? เราทบทวนว่าเราบกพร่องนี่ เรากล่าวโทษโจทย์ตัวเองได้ไหม ? บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าผู้รู้ติเราโดยศีลได้หรือไม่ ? คนที่เขารู้จริง รู้ว่าเราทำผิดอย่างนี้ เขาตำหนิติเตียนมาได้ไหม? เรามีข้อบกพร่องให้เขาว่าได้หรือเปล่า? บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจนั้น หมายความว่าสิ่งที่เหนือกว่านี้ยังมี
    ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานเราหยุดไม่ได้ ต่อให้เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าท่านยังไม่ไปสู่พระนิพพานคือยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ยังไม่ประมาทยังดำเนินใจในลักษณะระมัดระวัง คอยจ้องในทางลดละเลิกกิเลสอยู่เสมอ ๆ เหมือนกับพวกเรานี่แหละ ยิ่งไปได้สูงมากเท่าไร สติปัญญา สมาธิยิ่งสูงมากเท่านั้น สมาธิก็ยิ่งเข้มมาก เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นแล้วเลิกเลย ดังนั้นว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำ กาย วาจา ใจนั้น บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรายินดีในที่สงัดหรือไม่ ? หลายคนนิยมเม้าท์แตกน่ะระวังไว้ เรายินดีในที่สงัดจริงหรือไม่ ?
    บางคนให้อยู่เงียบไปฏิบัติน่ะ พักเดียวเท่านั้นแหละฟุ้งซ่าน ต้องวิ่งไปหาคนอื่นเขาสักเกตตัวเองให้ดี ถ้าใครเป็นแบบนี้แล้วรีบแก้ซะ อาตมาเจอพระมาหลายองค์แล้วน่าสงสารมาก แทนที่โยมติดพระกลายเป็นพระติดโยม ถึงเวลาต้องตะกายไปเพื่อหาเพื่อนคุย ถ้าหากว่าไม่มีญาติโยมนี่งุ่นง่านเป็นชะมดติดจั่นไปเลย ดังนั้นต้องดูตัวเองว่าเรายินดีในที่สงัดหรือไม่? ยืน เดิน นั่ง นอน ให้อยู่ในความสงบ สงัด อยู่เสมอ
    พระพุทธเจ้าท่านถึงได้กล่าวไว้ว่า ไม่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการกล่าวถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่ฟุ้งซ่านย่อมต้องห่างจากสมาธิ มันพาพังไปโน่น ดังนั้นการที่คุยกันดี ๆ น่ะ มันน้อย กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา สนทนาธรรมในระยะเวลาอันสมควร มีน้อย ส่วนใหญ่พอเข้าวงได้มันพากันเตลิดเปิดเปิงกลายเป็นเดรัจฉานคาถา คือวาจาอันเป็นเครื่องขวางต่อความดี ชวนไปฟุ้งซ่าน แล้วจะไปกินที่โน่น แล้วจะไปเที่ยวที่นี่ แล้วหนังเรื่องนั้นสนุกไปกันไหม ? อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวก็ตามกันไปเป็นพรวน มันจะพาเสีย บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ? เพื่อที่จะไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมมิกของเราไต่ถาม ต้องเอาดีให้ได้ ถ้าไม่ดีเขาถามขึ้นมา มันอายนะ
    อย่างพวกเราประกาศตัวว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไม่ว่าจะชื่อไหนก็ตาม นั่นคือครูบาอาจารย์ที่เราถือว่าเลิศแล้ว เป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพสุดจิตสุดใจแล้ว ไม่ต้องการให้คนอื่นมาปรามาสแม้แต่ กาย วาจา ใจ เพียงเล็กน้อย ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดนั้นเก่งขนาดนั้น แล้วตัวเราล่ะ? เราไม่ต้องการให้คนอื่น ดูถูกปรามาสครูบาอาจารย์ของเรา เรามีอะไรไปอวดเขา ครูบาอาจารย์ของเราเก่งขนาดนั้นน่ะ คำหนึ่งก็หลวงพ่อ สองคำก็หลวงพ่อ แล้วเราได้ อะไรจากหลวงพ่อไว้บ้าง
    ต้องพิจารณาอยู่เสมอ ๆ บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเราทุกคนมีกรรมเป็นของตน ไม่ว่ากระทำอันใดย่อมได้รับผลของการกระทำอันนั้น ที่ท่านใช้คำบาลีว่า กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิจสะระโน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดก็ต้องรับผลอันนั้น </ b>กัลยาณังวา ปาปะกังวา</B> ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ตัสสะธรรม ทายาทา ภะวิสสติ กรรมอันนั้นย่อมเป็นทายาท ตามสืบเนื่องต่อ ๆ ไป
    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นใครดีใครชั่ว ดีเราโมทนาแต่ ถ้าเขาทำไม่ดีที่เรียกว่าชั่วเมื่อครู่นี้ ขอให้รู้ตัวไว้ว่าเราทำมาก่อน พอเราก้าวข้ามจุดนั้นมาเราเห็นข้อบกพร่องตรงนี้ เราเห็นว่ามันไม่ดีอย่างไร เรารู้ว่ามันน่าเกลียดน่าชังอย่างไร แล้วเราไปตำหนิคนอื่นเราทำมาก่อนแล้วคนอื่นมาทำตาม ไอ้นั่นน่ะ ลูกหลานเราเอง ทายาทเราเอง ที่เขาสืบเนื่องซึ่งกรรมอันนั้น
    เพราะฉะนั้นคนทำผิดไม่ใช่คนที่น่าตำหนิ เขาเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูก ที่ควร เป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย เราตำหนิเขา มันใช้ไม่ได้ มันควรจะสงสารและหาทางช่วยเขาให้พ้นจากจุดนั้นมากกว่า ตัวเราเอยู่ตรงจุดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด ถูกทั้งหมด มันดีแค่นี้ มันถูกแค่นี้พอกำลังใจเราก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดีกว่านั้นถูกกว่านั้นมันมีแล้ว
    เรามองย้อนกลับ อ้าว...คราวที่แล้วมันผิดนี่หว่า แต่เรียกว่ามันผิดก็ไม่ถูก ถ้าเรายืนอยู่ในจุดนั้นเราจะเห็นว่ามันดี ว่ามันถูก แบบเดียวกับว่า เวลาเข้าพรรษาพวกเรามาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ มาติวเข้มตัวเองกันแต่ขนาดเดียวกันคนบางจำพวกมันก็ยังกินเหล้าเมายาอยู่เหมือนเดิม นั่นเขาเห็นว่าดีเขา ถึงทำ ถ้าเขารู้ตัวว่ามันไม่ดี เห็นว่าดี เขาจะไม่ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หรอก ทุกคนเขาเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีแล้วจึงทำ
    ดังนั้นคนที่เขาเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิมีโอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิเป็นคนที่น่าสงสารมาก ไม่ใช่คนที่น่าโกรธน่าเคืองน่าตำหนิ ในเมื่อเขาน่าสงสารอย่างนั้น เราควรที่จะแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำให้เขาหันมาสู่ทางที่ดี ๆ ถ้าทำได้ก็ควรจะแนะนำเขา ถ้าแนะนำแล้วไม่สามารถทำได้ แล้วค่อยวางอุเบกขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระคิด พิจารณา ทบทวนตัวเอง อยู่เสมอ ๆ หลวงพ่อก็บอกพวกเราเสมอว่าอย่าสนใจจริยาคนอื่น ให้กล่าวโทษ โจทย์ตัวเองเท่านั้น
    ดังนั้นในช่วง ๓ เดือนของพรรษา เราเป็นนักปฏิบัติ พระทำอย่างไร หลวงพ่อสอนให้พระทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้นได้ตรวจตราตัวเอง ตำหนิตัวเองอยู่ทุกวัน ก่อนนอนนั่งทบทวน ดูศีล ๕ หรือศีล ๘ ของเรา ตรงไหนบกพร่องบ้าง อย่างเข้าข้างตัวเอง บกพร่องแม้แต่นิดเดียวก็ต้องโทษตัวเองไว้ก่อน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่เคี่ยวเข็ญสั่งสอนมาใครอย่าคิดว่าหลวงพ่อไม่ได้สอน พระองค์ไหนปฏิเสธองค์นั้นถือว่าใช้ไม่ได้เลย หลวงพ่อสอนอยู่ตลอดเวลาเทปมีหนังสือมี จริยาต่าง ๆ ที่ท่านแสดงออกเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่พระลูกพระหลาน ที่ฆราวาสจะเลียนแบบและทำตาม ท่านสอนทั้งด้วยวาจา ทั้งด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่รู้จักว่าท่านเคี่ยวเข็ญเราอย่างไร ไม่รู้จักเลียนแบบเพื่อทำตามก็เป็นอันว่าเราขาดทุน
    สมัยที่ท่านเคี่ยวเข็ญอยู่อย่างนั้น ถึงเวลาเราทบทวนตัวของเราเอง ถ้าหากว่ามันมีข้อบกพร่องเราก็แก้ไขตามนั้น แต่ในบางครั้ง อาตมาทวนแล้วทวนอีกหาความผิดตัวเองไม่เจอ มันเป็นไปได้อย่างไรที่หาความผิดตัวเองไม่เจอ ...ลงซ้ายลงขวา ในทีสุดก็จับยัดให้ว่าเอ็งผิดตั้งแต่เสือกเกิดมาแล้ว ถ้าไม่เกิดมามันจะมาทุกข์อย่างนี้ได้ยังไง เออ ! เอามันให้ได้
    ในที่สุดก็หาผู้รับผิดจนได้ ยัดให้มันเข้าไปให้หมด แล้วเราก็เริ่มต้นแก้ไขใหม่ ในเมื่อเราผิดเพราะเราเกิดมาเราก็ไม่ควรเกิดอีก มันจะได้ไม่ผิด เออ ! ก็ใช้วิธีอย่างนี้แต่ว่าตอนหลวงพ่ออยู่ พลาดหน่อยเดียวท่านตีจมดินเลย แต่ว่าดีอยู่อย่างว่า ครูบาอาจารย์ ถ้าไม่รักเราท่านไม่ตีไม่ด่า ถ้าหากว่าท่านยังตียังด่าอยู่แสดงว่าเมตตา ยังอยากให้เราได้ดีอยู่ ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่ว่า อะไรเลยแม้แต่คำเดียวนะ ไม่แน่ว่าท่านจะรักเรานะ ท่านอาจปล่อยให้เราเป็นไปตามกรรมก็ได้
    ดังนั้นช่วง ๓ เดือนนี้ ก็อยากจะให้ทุกคนใช้เป็นเวลาที่เร่งรัดการปฏิบัติของตัวเอง อาตมาเองก็ไม่รู้จะอยู่ให้โยมดูหน้าได้นานเท่าไหร่ งานมันเยอะ บางทีก็เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ รู้ตัวอยู่เหมือนกัน ว่ามันไม่แน่ว่าจะอยู่ได้ เป็นมากขึ้นมาทีไรก็รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราอาจต้องไปในเมื่อเจ้าตัวพร้อมที่จะไป
    พวกเราถ้าหากว่ายึดคนเป็นที่พึ่งก็จะลำบาก เราต้องยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ยึดการปฏิบัติเป็นที่พึ่งอย่างเช่น ว่าเรายึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งแล้วไปยึดร่างกายของหลวงพ่อเราก็พลาดต้องมานั่งเสียอกเสียใจเวลาที่ท่านจากไป แต่ถ้าเรายึดในสังฆานุสติคือคุณความดีที่หลวงพ่อทำไว้ ระลึกถึงเมื่อไหร่ก็เด่นชัดอยู่ในใจของเรา
    ท่านเมตตาสั่งสอนอบรมเรามายังไง ด่าเรายังไง หัวเราะยังไง เป่ายานัตถุ์ยังไง ถือไม้เท้าเคาะกะโหลกเรายังไง นึกออกหมด พยายามนึกภาพเหล่านี้เอาไว้ให้อยู่ในจิตในใจของเรา มันสบาย มันชุ่มชื่นใจ แล้วภาวนาของเราต่อไป เป็นสังฆานุสติเต็มระดับ ไม่ต้องเสียเวลาภาวนานาน ใครเคยเจอหลวงพ่อนึกออกทันที ต่อไปใครไม่เคยเจอหลวงพ่อต้องอิจฉาพวกเรา นึกเมื่อไหร่ก็นึกออก มาถึงยังไง ทักทายยังไง หัวเราะยังไง เคี้ยวหมาก เป่ายานัตถุ์ อิริยาบถไหน สั่งน้ำมูกยังไงนึกออกหมด มันก็จะได้เปรียบคนอื่นเขาเยอะ รักษาชื่อเสียงพ่อไว้อย่าให้เขาดูถูกดูหมิ่นได้ โดยเฉพาะความสามารถในทางด้าน มโนมยิทธิ
    ปัจจุบันนี้อาตมารู้สึกสงสารทุกคนมาก ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้ผิดกันหมด มโนมยิทธิมีคุณวิเศษเหลือเกิน ยิ่งกว่าแก้วมณีที่เป็นโคตรเพชรเสียอีก ประมาณราคาไม่ได้ มีคุณวิเศษตรงที่ว่าเราเกาะพระนิพพานได้ การที่จิตเราเกาะพระนิพพานเราเป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิงตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ เราเกิดโทสะกระทบขึ้นมาอาศัยกำลังความเคยชินพุ่งใจขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน เกิดราคะกระทบใจขึ้นมาอาศัยความเคยชิน ความคล่องตัวในมโนมยิทธิขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกายเมื่อไม่มีใจคอยปรุงคอยแต่งมันไม่สามารถจะอยู่นานได้ อย่างเก่งนาทีสองนาทีมันก็เงียบ มันเหมือนกับหมดเชื้อ ไม่มีใครไปคอยใส่ไฟให้มัน ใจเราไปกราบพระอยู่ต่อหน้าพระ เป็นวิธีตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด สะดวกสบายที่สุด ตายตอนนั้นก็อยู่ที่นั่นเลย
    หลวงพ่อท่านใช้ความพยายามมาสิบหกอสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย และจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้ ปั้นผีลุกปลุกผีนั่ง อยู่หลายสิบปีกว่าจะหาวิธีที่ง่ายที่สุดมาให้ลูก ๆ ปฏิบัติเหมือนยังกับท่านเตรียมอาหารให้พร้อม ๆ ทุกอย่างแล้ววางอยู่ตรงหน้านี่ไม่ตักใส่ปากมันก็โหดร้ายกับพ่อเกินไป แล้วขณะเดียวกันตักแทนที่จะใส่ปากเอาไปละเลงหัวคนอื่นเขาก็มี ดังนั้นวิชาที่พ่อท่านให้ไว้ประเมินราคาไม่ได้ นับเป็นร้อยล้านพันล้านไม่ได้ แต่พวกเราเอาไปใช้สลึงเดียว เขาให้รู้เพื่อละและมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างเดียว จิตเกาะนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด ไม่มีวิธีไหนง่ายกว่านี้อีกแล้ว ถ้าหากว่ามันเคยชินกิเลสมันก็ขาดไปโดยสิ้นเชิงเองได้ง่าย ๆ เลย
    คราวนี้พวกเราก็เอาไปใช้ผิด ไปดูว่าชาติก่อนเป็นยังไง คนโน้นก็พ่อกู คนนี้ก็แม่กู นี้ก็ลูกกู นั่นผัวกู เมียกู สบายมาก แทนที่จะเลิก ไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ แทนที่จะละได้กลายเป็นกอดคอกันจมตายทั้งขบวน เห็นแล้วน่าสงสารมาก อยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกเราใช้ผิด แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าวาระบุญมันยังเข้าไม่ถึง กรรมมันยังแทรกอยู่ ถึงบอกไปมันก็ไม่ฟังหรอก
    สมัยก่อนอาตมาก็ทำแบบนี้แหละ ใครให้ดูอะไร ดูให้เขาไปหมด พอเขาชมว่า แหม ! รู้ชัดเจนแจ่มใสดีจัง เก่งอะไรอย่างนี้ มันพอง มันอยากจะลอยทั้งตัว ลอยไปลอยมา หลวงพ่อตีกบาลร่วงตุ๊บเลย คือวันหนึ่งมันถึงวาระแล้วเข้าไปที่บ้านสายลมเพื่อทำหน้าที่ คืนนั้นหลวงพ่อท่านทศน์ว่าบุคคลที่สามารถทรงกรรมฐาน ๔๐ ได้ ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือว่าวิชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นอย่างนี้นะไม่ใช่กั้นตามยาว ได้ยินเข้าเหงื่อหยดเลย ขนาดทรงกรรมฐานได้ตั้ง ๔๐ กองก็ไม่พ้นนรก ถ้ายังตัดกิเลศไม่ได้
    แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า วิธีที่จะพ้นมีวิธีเดียว คือ ต้องเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แล้วท่านก็เทศน์ต่อไปว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร บอกให้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ให้ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน ง่ายแค่นี้แหละ ง่ายจนนึกไม่ถึง แล้วพวกเราก็ทำเลยไปทุกทีมันง่ายเกินไปเดี๋ยวคนเขาจะไม่ชมว่าเก่ง ก็เลยก้าวผ่านของดีไป
    หนังสือหลวงพ่อทุกเล่ม เทปหลวงพ่อทุกม้วน ลองไปอ่านดู ฟังดู เราจะได้อะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ จะเป็นจุดที่สะดุดหูเราอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นอ่านแล้วไม่เจอ ฟังแล้วไม่ได้ยินเพราะว่าเราทำถึงตรงไหนกำลังมันจะจดจ่ออยู่ตรงนั้น พอหลวงพ่อ กล่าวถึงตรงนั้นมันก็จะกระทบใจเรา กระทบตาเรา แต่ถ้าเรายังทำไม่ถึงมันก็จะเลยไปเฉย ๆ ดังนั้นตำราอย่าทิ้ง โดยเฉพาะตำราของหลวงพ่อ ตำราของหลวงพ่อแทบจะทั้งหมดท่านแทรกวิปัสสนาญาณไว้เกิน ๘๐ % ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาเอง อ่านแล้วฟังแล้วตัดสินใจตามไปได้เลย ได้ประโยชน์ล้วน ๆ ถ้าเราไปพิจารณาเองบางทีปัญญามันไม่ถึง นึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำไปว่าจะนึกต่อยังไง

    ดังนั้นภายในพรรษานี้ อยากจะให้พวกเราเคี่ยวเข็ญตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ ขี้เกียจมานานเต็มทีแล้ว ขี้เกียจจนพ่อตายไปทั้งองค์แล้ว มันจะขี้เกียจต่อจนอาตมาตายไปอีกก็เกินไป ขยันขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ให้มีไฟขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องไปเกรงใจว่ากิเลสมันจะเศร้าหมอง ตีมันให้ตายไปเลย มันตายเมื่อไรเราก็สบายเมื่อนั้น ถ้ามันยังอยู่เมื่อไร ก็บังคับเราต่อไป กลายเป็นทาสของมันต่อไป พ่อสอนอย่างไร พระทำอย่างไร เพราะที่เป็นพระโยคาวจรอยู่ก็ทำอย่างนั้น
    ท่านเคยอบรมพระ ท่านบอกว่าพวกแกไปไหนก็บอกว่าท่าซุง ๆ แกเอาซุงดี ๆ หรือซุงผุ ๆไปอวดเขา ถ้าซุงผุ ๆ ไปอวดเขาก็ขายหน้าพ่อใช่ไหม? มันต้องเอาซุงดี ๆ ไป หรือถ้ามีฝีมือก็แกะสลัก เป็นเรือสุพรรณหงส์ไปเลย ถ้าทำได้ยังงั้นพ่อจะดีใจมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกไว้แล้วว่า ถ้าเราไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติท่านก็จะอยู่กับเราตลอดเวลา ลูกอยู่ไหนพ่อก็อยู่ด้วยพร้อมจะช่วยลูกทุกประการท่านบอกไว้ชัดแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะใช้ผิดหรือไม่ก็โดนกิเลสหลอกแล้วก็ไปทำอย่างอื่นแทน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ......................
    ตอบ : ปล่อยปลา ส่วนใหญ่ที่ปล่อยปัจจุบันนี้ก็พวก ปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ พวกนี้จะอดทนกว่าเขา มันไม่ตายง่าย ๆ แล้วบางทีคนที่เราใช้ให้ไปปล่อย เขาไปเจอปลาหงายท้องผลึ่งแหงแก๋ก็กำลังใจตก เลยต้องหาที่มันอึด ๆ หน่อย แข็งแรงหน่อย เชื่อว่าปล่อยไปแล้วรอดแน่ ๆ เพราะพวกปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอนี่ เขามีความสามารถพิเศษคือเก็บอากาศไว้กับเหงือกตัวเองได้เยอะ เขาจะเดินทางบนบกแห้ง ๆ นี่ได้ไกล ได้เป็นชั่วโมง ๆ เลย
    ดังนั้นที่เขาใส่กาละมังเอาไว้ มันมีน้ำขลุกขลิกอยู่บ้างเขาเลยอยู่ได้สบาย แต่ว่าปลาพวกนี้ก็แพง โดยเฉพาะปลาช่อนก็แพง คิดเป็นกิโลเลย ถ้าปลาไข่นี่จะแพง ฤดูนี้มันเลยแล้ว ปลาไข่นี่จะเป็นช่วงน้ำหลาก ๆ ใหม่ ๆ ฝนลงใหม่ ๆ นี่ปลาไข่จะออกเยอะ ถ้าช่วงนั้นราคาจะแพงหน่อย
    ถาม : .............
    ตอบ : เพิ่งกลับจากพม่ามา การไปพม่างวดนี้มันมีของแปลก ๆ หลายอย่างเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่นายกทักษิณอยู่พม่า ทางด้านพม่าเขาเล่นไสยศาสตร์หนักกว่าที่เราคิด ทำทุกอย่างเลย กระทั่งวันเวลาที่ของเราเป็นฝ่ายไปเยือนว่าเมื่อไหร่ อย่างไร นี่มันจะเป็นฤกษ์ที่ดีแก่เขานะ ที่กิน ที่อยู่ อาหารอย่างไหนที่มันจะอยู่ในลักษณะที่เรียกได้ว่าทำแล้วสะกด มันจะข่มฝ่ายไทยได้ทำเดี๋ยวนั้นหมด กระทั่งต้นไม้ที่นายกทักษิณปลูกก็ยังเอาต้นโศกมาให้ปลูก
    ถาม : คนทำนี่เป็นผู้นำของเขาหรือครับ?
    ตอบ : คือพวกหมอไสยศาสตร์จะเป็นคนแนะนำ แล้วทางด้านนี้ก็จะจัดการตามที่เขาแนะนำมา มันเล่นกันหนักขนาดนั้นจะอยู่ในลักษณะที่ว่ากดไทยไม่ให้โงหัวขึ้นเลย มีอะไรก็จะต้องอ่อนน้อมค้อมตัวยอมเขาอยู่ตลอดอย่างนั้น ดู ๆ แล้วมันน่าสนุกดี เราไปป่วนงานของเขาเลยไปโดนจับซะ เขาแจ้งข้อหาตลกมาก ข้อหาถ่ายรูปแขกของรัฐบาล เอาไปสอบสวน ๒ ชั่วโมง พอไม่ได้อะไรเลยมันต้องเอารถไปส่งเรา สบายไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่
    ถาม : ............
    ตอบ : คือของบ้านเขาเมืองเขานี่เรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องของโหราศาสตร์ เรื่องของการถือฤกษ์ถือยามของเขานี่ยังเข้มข้นมากเลย วันไหนวันจมวันไหนวันลอย ดีแก่ตัวไม่ดีแก่ตัว ควรเดินทางไม่ควรเดินทาง เขาทำอย่างนั้น ของเราเองเคยชินกับการมาถึงก็มีรถออกตามเวลานั่นไปถึงเขาบอกวันนี้วันไม่ดีรถไม่ออก เราก็เดี้ยงแล้วไปไม่ได้
    โอ้โห...มันเอากันหนักขนาดนั้นนะ เขาเชื่อถือกันอย่างชนิดฝังจิตฝังใจเลย ของเราก็มีเขาเรียกยามอุบากอง อุบากองนั่นจริง ๆ คือ อูบาเก็ง อู ก็แปลว่าท่านหรือว่านายสำรหับผู้ที่อาวุโสหน่อย แกโดนจับได้ในสมัยที่รบกับไทยแล้ว ก็ติดคุกไทยอยู่แล้วก็เอาไอ้วิชานี้มาเผยแพร่ เขาดูตามฤกษ์ตามยามของเขานั่นแหละ พวกเราอาจจะเคยเห็นที่มันมีจุด ๆ แล้วก็มีกากบาท อะไรพวกนั้นแหละ ที่เขาว่า
    <TABLE height=1 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD> ศูนย์หนึ่งอย่าพึ่งจร</TD><TD> แม้นรารอนจะอัปรา</TD></TR><TR><TD> สองศูนย์เร่งยาตรา</TD><TD> จะมีลาภสวัสดี</TD></TR><TR><TD> สามศูนย์จะพูนผล</TD><TD> จรดลลาภมากมี</TD></TR><TR><TD> สี่ศูนย์พูลสวัสดิ์</TD><TD> ภัยพิบัติลาภไม่มี</TD></TR><TR><TD> กากะบาดตัวอัปรีย์ </TD><TD> เร่งจรรีจะอัปรา</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปรากฏว่าอูบาเก็งเขาแหกคุกตามฤกษ์ปลอดของเขา แล้วเขารอดไปได้แต่ว่าก่อนไปเขาถ่ายทอดวิชานี้เอาไว้ให้กับเพื่อนที่ติดคุกด้วยกันที่เป็นคนไทย เพื่อนคนนั้นสักติดแขนเอาไว้ พอออกมาก็เอามาเผยแพร่เลยเรียกว่ายาม พม่าแหกคุกหรือยามอุบากอง แล้วคนไทยเราออกเสียไม่ค่อยชัดนะ อูบาเก็งก็เลยกลายเป็นอุบากองไป
    ทางด้านโน้นเขาถือฤกษ์ถือยามถืออะไรทุกอย่าง แล้วเขาคิดว่าเวลาเราทำอะไรนี่ทำแบบส่งเดช ไม่มีฤกษ์ไม่มียาม พระผู้ใหญ่ทางด้านโน้นแรก ๆ เขาไม่เชื่อถือหรอก มางานวางศิลาฤกษ์โบสถ์แล้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี่ล่ะ เขาเห็นเราทำตามแบบพระพุทธเจ้า จะเรียกว่าแบบพระพุทธเจ้าก็ได้เพราะว่าหลวงพ่อท่านต้องถามตรงอยู่แล้วว่าทำอย่างไรการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุถึงจะถูกต้องและสมเกียรติยศที่สุดใช่ไหม? มันต้องมีการบรรจุโดยการปูผ้าขาวชั้นแล้วชั้นเล่าอะไรอย่างนั้น แล้วมีการบรรจุของมีค่าแล้วถึงเอาลงแล้วก็ปูผ้าขาวทับกี่ชั้นต่อกี่ชั้น ระหว่างแต่ละชั้นจะมีการใช้น้ำหอมโปรยเป็นพุทธบูชาอยู่ตลอดทำตามแบบนั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ตอนแรกที่ไม่ได้ทำตามแบบนั้นก็แค่จะตั้งเครื่องบวงสรวง อาจารย์ใหญ่ยานิกะ พูดง่าย ๆ ว่าท่านจบมหาตั้งแต่ยังเป็นเณรอยู่ปัจจุบันอายุ ๖๙ ก็เท่ากับว่าพรรษาท่าน ๔๙ พรรษาแล้ว เป็นอาจารย์ของบรรดาครูบาอาจารย์ เจ้าอาวาสหรือระดับเจ้าคณะปกครองในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์ท่านหมด ที่ท่านมานั่นท่านมาเพราะว่าท่านต้องการให้เราช่วยเหลือเกี่ยวกับการก่อสร้างท่านบ้างท่านก็อุตส่าห์มา แต่มาแล้วความเป็นอาจารย์ใหญ่ ความเคยชินมันก็กร่างซะจนเคยตัว
    ของเราตกลงกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ววางศิลาฤกษ์แล้วก็จะบวชพระฉลอง ของท่านเองท่านจะบวชพระก่อน ปรากฏว่าฝนมันกระหน่ำตั้งแต่ตี ๔ จนกระทั่งฉันเช้าเสร็จแล้วมันก็ยังตกไม่เลิกเลย บวชพระไม่ได้ แต่ของเรารื้อโบสถ์ลงมาหมดแล้วทำแต่ฐานรอไว้อยู่อย่างเดียว มันจะมีแต่ฐานโบสถ์กับฐานวิหาร ๒ อย่าง ที่เทปูนรออยู่เรียบร้อยแล้วหลังคาไม่มี แน่จริงก็บวชไปซิ
    ฝนมันตกไม่เลิกท่านเองก็ดื้อจะบวชให้ได้ มาล็อบบี้เราเป็นการใหญ่ บอกว่าแล้วแต่ท่านอาจารย์ครับ ถ้าคิดว่าบวชได้ก็เชิญ แต่ว่าผมจะบวงสรวงตามแบบของหลวงพ่อ เราก็ตั้งโต๊ะกลางฝนปูผ้าขาวกลางฝนนั่นแหละ พอยกเครื่องบวงสรวงชิ้นแรกออกมาปุ๊บฝนก็หยุดเลย นั่นแหละท่านถึงยอมรับไปคุยกับพระผู้ใหญ่ด้วยกัน บอกว่าตอนี้ยอมรับแล้วว่างานนี้มันสำคัญอยู่ตรงอาจารย์สุธัมมะคือหมายถึงเราแหละ กับครูบาน้อยเขาจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมรับนี่
    ทีนี้พอถึงเวลาแล้วเราบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามแบบของหลวงพ่อ มันจะเป็นการบรรจุที่มีผ้าขาว ๙ ชั้น ปู้มันชั้นแล้วชั้นเล่าสรุกสนานกันไปเลย ญาติโยมเขาโปรยเงิน โปรยทอง ข้าวตอกดอกไม้ อะไรกันเต็มไปหมด พอทำตามแบบแล้วเขาถึงได้รู้จริง ๆ แล้วของเรามันมีแบบอย่างของครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องอยู่ ก่อนหน้านั้นคิด ท่านคิดว่าคนไทยไม่ถือฤกษ์ถือยามอะไรที่ดีเหมือนเขา
    แต่ความจริงของเรา ถือฤกษ์สะดวกแต่อันไหนที่หลวงพ่อบอกว่าดีมันไม่เกินวิสัยของเราทำได้ไม่ยากนักเราก็ทำตามนั้น เขาถึงได้ยอมรับว่าของเราก็เป็นศิษย์มีครูเหมือนกัน ไม่ได้มั่วอย่างที่ท่านคิด
    เสร็จแล้วท่านนาวิน บอกว่าทำไมอาจารย์ไม่บอกเขาว่าผมทำแบบนี้แหละผมถึงมีเงินมาสร้างวัดขนาดนี้ บอกว่าขืนบอกมัน มันก็ขอเราอ่วมเท่านั้น (หัวเราะ) อุตส่าห์ไปเอาคัมภีร์สวดกรรมวาจโบราณมา กรรมวาจ คือ กรรมวาจา ทางผ่ายพม่านี่เขาไม่ได้อวดความรู้ เก่งแค่ไหนแม่นอักขระแค่ไหนก็ตาม เขาจะถือตำราเข้าไป แล้วตำราเขานี่จะมีไม่กี่แผ่น คือว่าถ้าบวชพระก็จะเอาแผ่นที่สวดเกี่ยวกับบวชพระเข้าไป
    ถ้าหากว่าสวดกฐินก็จะเอาแผ่นที่สวดกฐินเข้าไป สวดอัพภาณ ก็จะเอาแผ่นที่สวดอัพภาณเข้าไป คัมภีร์นี่มันเป็นคัมภีร์ที่เขาตั้งใจทำเป็นการบูชาพระรัตนตรัย จารึกในลักษณะว่าจารึกธรรมะเป็นการบูชาพระรัตนตรัย เขาทำงามมาก คัมภีร์ที่เอามาถวายท่านบอกว่าทางฝั่งพม่านี่เขาอยากได้กันมาก เพราะเป็นคัมภีร์เก่าโบราณ
    ส่วนใหญ่แล้วที่ได้ไปจะเอาไปหลอมทำเป็นวัตถุมงคล เพราะว่ามันเป็นโลหะไม่ทองเหลืองก็ทองแดง ปิดทองแล้วเขียนอักขระลายมืองดงามมากแถมยังวาดลวดลายอะไรเอาไว้อีก คือเขาทำเต็มที่เป็นการถวายเป็นพุทธบูชาคัมภีร์อันนี้ได้มากจากเจดีย์ไจ๊ซานลาน ไจ๊ซานลานแปลว่าสยามพ่าย คือแพ้เขา
    สมัยพระนเรศวรยกทัพไปตั้งใจจะตีพม่า พม่ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็เลยออกอุบายว่า รบกันคนตายทั้ง ๒ ฝ่ายใช่ไหม ไม่ได้ประโยชน์อะไร เรามารบกันโดยธรรมยุติดีกว่า คือสร้างเจดีย์แข่งกันภายในเวลา ๑ คืน ถ้าหากว่าใคร สร้างเจดีย์เสร็จก่อนก็เป็นฝ่ายชนะ ถ้าพม่าชนะไทยต้องยกทัพกลับห้ามแตะต้องอะไรของพม่า ถ้าไทยชนะพม่าจะมอบบ้านมอบเมืองให้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลารบกัน คนไทยก็ตกลง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ในเมื่อตกลงพม่าวางแผนอยู่แล้ว ให้ไทยสร้างที่เนินฝั่งเมืองมะละแม่ง ตัวเองข้ามฝั่งอ่าวเมาะตะมะไปสร้างทางเมืองเมาตะมะ เราเล็งด้วยสายตาแล้ว อ่าวช่วงนั้นมันประมาณ ๓ ไมล์ มองแทบจะไม่เห็น ปรากฏว่าพอใกล้สว่างทางไทยมองไปเจดีย์พม่าเสร็จแล้วขาวโพลงเลย ก็ต้องยกทัพกลับตามสัญญา ปรากฏว่าพม่ามันแหกตาเอา มันใช้ไม้ไผ่ ทำโครงแล้วเอาผ้าขาวพัน ๆ ขึ้นไปเท่านั้น
    ของไทยเราสร้างไปตั้งค่อนองค์แล้วทิ้งเอาไว้พม่ามาบูรณะต่อเติม เติมยอดฉัตร เติมอะไรไปกลายเป็นแบบพม่า ถ้าเราเอามือปิดยอดฉัตรแล้วจะเห็นว่าเป็นองค์เจดีย์ไทย อันนี้ถ่ายรูปมาอยู่ในอัลบั้ม พอไทยเรายกทัพกลับพม่าก็รีบสร้างของมันให้เสร็จแล้วก็มาบูรณะของเราจนเสร็จเรียกว่า เจดีย์สยามพ่าย มาจนทุกวันนี้ คือไทยแพ้เขานะ คราวนี้เจดีย์นี้พอมันผ่านมา ระยะเวลาจากโน่นมาจนถึงปัจจุบัน
    สมัยพระนเรศวรมาจนถึงนี่ก็ประมาณเกือบๆจะ ๔๐๐ ปีแล้วมั้ง...ใช่มั้ย ? กรุงเทพก็ ๒๐๐ กว่าปีแล้วนี่ กรุงธนบุรีอีก ๑๕ ปี อายุจะอยู่ราว ๆ สัก ๔๐๐ ปี เจดีย์เคยพังลงมาทีหนึ่งสิ่งที่เขาบรรจุไว้ถวายเป็นพุทธบูชาตอนสร้างเจดีย์มันมีคัมภีร์กรรมวาจเล่มนี้อยู่ ทำด้วยทองเหลืองหรือทองแดงก็ไม่ทราบนะ ปิดทองอย่างงามเลย เขียนลาย เขียนอักขระงดงามมาก ใคร ๆ ก็อยากได้เพราะทางโน้นเขาถือว่าเป็นของขลัง เขามั่นใจถึงขนาดว่าอาวุธปืนชนิดไหนก็ตาม ยิงไม่ออก
    ส่วนใหญ่เขาจะไปหลอมทำเป็นวัตถุมงคลหรือไม่ก็ตัดไปม้วนเป็นตะกรุด อาจารย์ยานิกะเอามาถวาย บอกอาจารย์สุธัมมะความจริงแล้วคัมภีร์เล่มนี้มีโครงการจะถวายสมเด็จพระเทพฯ (มึงหาคุกให้กูแล้ว...หัวเราะ) มีโครงการจะถวายสมเด็จพระเทพฯ แต่ผมบอกลูกศิษย์ว่า ผมขอเถอะผมจะไปถวายอาจารย์สุธัมมะ จะขอเงินมาสร้างโบสถ์ซักหลัง ๕๐ แสนพม่าก็อยู่แล้วเขาว่าอย่างนั้น ๕๐ แสนพม่ามันก็ ๕ ล้านพม่าใช่มั้ย ? ๕ ล้านพม่านั่นแหละ เขาตีราคาขนาดนั้น
    เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ ท่านชาติชายเดินทางไปพม่าครั้งแรกของท่าน ท่านไปถึงย่างกุ้งก็ปรากฏว่ามีเจ้าอาวาสวัดที่ย่างกุ้งสร้างวัดอยู่แล้วไม่มีทุนทำต่อก็เอาคัมภีร์กรรมวาจเก่านี่มา แต่ว่าเล่มนั้นอายุประมาณ ๖๐ ปีเท่านั้นเขาตีราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาทไทย ๒๐๐,๐๐๐บาทไทยก็ราว ๆ ๒๐ แสนพม่า ปี ๓๘ ท่านชาติชายก็บอกว่าผมเองไม่มีปัญญาหรอกจะพาไปหาอาจารย์ของผม คราวนี้เขามาถึงเจดีย์แล้ว แล้วกลัวว่าท่านชาติชายจะหลอกมาเพื่อจะอมคัมภีร์นี้ซะ เขาก็เลยเดินทางกลับย่างกุ้งไป เราก็สบายไม่ต้องจ่าย ๒๐๐,๐๐๐
    ปรากฏว่างวดนี้ได้มาเก่ากว่าอีกประมาณ ๔๐๐ ปีได้ ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะทำหนังสือรับรองมาเลยว่าเป็นของที่ท่านถวายมา เราไม่ได้ขโมยวัตถุโบราณออกนอกประเทศ เขากลัวพวกด่านตรวจเจอ ปรากฏว่าเราถือเดินเทิ่ง ๆ มาไม่มีใครถามสักคนหนึ่งเลย หนังสือรับรองก็คากระเป๋าอยู่ไม่ได้ใช้เก็บอยู่ที่วัดไม่ได้เอามา
    นั่นแหละสิ่งที่เขาเชื่อถือ ยึดถือมันยังมีอยู่มากต่อมากด้วยกัน แต่เราเองเอามาแล้วก็คือตั้งถวายบูชาหน้าพระเลย อย่าลืมว่าคัมภีร์พระธรรมนะคุณ เอาไปหลอมเป็นวัตถุมงคลหรือเอาไปตัดทำตะกรุดก็คือทำลายพระธรรมใช่มั้ย ? แต่ทางด้านโน้นของเขาเรื่องนี้ทำไมมันหยาบนักไม่รู้ เขาไม่ค่อยรู้สึกรู้สากันหรอกเขากะจะว่ากันท่าเดียวนั่นแหละ
    พอรู้ว่าเราได้มาอาจารย์ใหญ่ธัมมเสนะย่องมาดูเป็นคนแรกเลย ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ใหญ่ยานิกะท่านบอกว่าคุณรอเอาไว้ตอนไม่มีคนแล้วค่อยแกะดูไม่งั้นถ้าเขารู้เข้าเดี๋ยวพัง เขากลัวว่าเรื่องมันจะลือออกไป เพราะว่าคัมภีร์เล่มนี้พอได้มาเขาเก็บเงียบเลย รออยู่อย่างเดียววาระสำคัญ ๆ เมื่อไหร่แล้วถึงจะเอาออกมาโชว์กัน
    อาจารย์ใหญ่แกไปตามเค้นคอลูกศิษย์แกเอามา ลูกศิษย์ลูกหาแกดังทั่วบ้านทั่วเมืองเลย โดยเฉพาะครูบาใหญ่เมียงจีงูเป็นพระที่ดังมหาศาล แต่ดังทางอะไรรู้มั้ย ? เป็นหัวหน้ากองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (หัวเราะ) นั่นลูกศิษย์ของอาจารย์ยานิกะท่าน ครูบาใหญ่เมียงจีงูนี่ท่านเก่งทางอภิญญาแต่ว่ามันเป็นโลกียอภิญญา อาวุธทุกชนิดไม่ได้รับประทานท่านหรอก
    คราวนี้พอทหารมันตั้งใจจะแยกจากกะเหรี่ยงคริสต์ของโบเมียะมาเข้ากับฝ่ายรัฐบาล มันต้องจัดตั้งกองกำลังที่มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ทางรัฐบาลถึงจะเชื่อถือและเซ็นสัญญากับตัวหัวหน้าใหญ่ มันไม่รู้จะเอาใครมันเอาครูบาเมียงจีงูมาเป็นหัวหน้ากองกำลังเล่นเอาพระเดือดร้อน อยู่ ๆ มันลากเอาไปเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารเฉยเลย
    ตอนนี้ทางด้านโน้นกะเหรี่ยงก็แยกออกเป็นหลายสายเหลือเกิน กะเหรี่ยงคริสต์ของโบเมียะยังอยู่เขาเรียกทหารป่าเพราะว่าพวกนี้เข้ากับรัฐบาลไม่ได้ เจอหน้าเมื่อไหร่ก็ยิงกัน
    วันที่เดินทางกลับนั่นพอเราไปถึงเวสาลีปั๊บก็จะเข้าที่พัก เจ้าของแพพักมันก็ทำอะไรไม่ถูกมือสั่นตีนสั่นอยู่ เขาบอกว่าทหารป่ามันออกมาแล้วทหารพม่ามันมา มันเพิ่งจะยิงกันก่อนท่านมาอึดใจเดียวนี่แหละ ตัวเองยังตกใจมือตีนสั่นทำอะไรไม่ถูกอยู่ ขนาดทอนเงินยังทอนผิดทอนถูกเลย (หัวเราะ) แล้วก็ทหารกะเหรี่ยงคริสต์ของโบเมียะส่วนหนึ่ง แล้วก็ทหารกะเหรี่ยนงพุทธภายใต้การนำของครูบาเมียงจีงูส่วนหนึ่ง ทหารกะเหรี่ยงพุทธภายใต้การนำของนายพลซอตูมูแฮส่วนหนึ่ง ใต้การนำของนายพลซอตูมูแฮนี่จะวางอาวุธต่อรัฐบาลโดยสิ้นเชิงเลย นายพลซอตูมูแฮความจริงเป็นผู้บังคับกองพัน พอยอมวางอาวุธต่อเขา รัฐบาลรับเข้าเป็นทหารก็เลยตั้งให้เป็นนายพล

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> แล้วก็นายพลพะโด้อ่องซานนี่เป็นกะเหรี่ยงคริสต์ยอมวางอาวุธเหมือนกัน แล้วก็มาผู้พันซออ่องจีวินที่สนิทกันมากทุกวันนี้ เข้า-ออกนี่อาศัยบารมีแกนะ รายนี้ยอมเซ็นสัญญาสงบศึกเฉย ๆ แต่ไม่ยอมวางอาวุธ จะมีของทางด้านครูบาเมียงจีงูที่ว่าไม่ได้วางอาวุธเหมือนกันแต่ว่ายอมเซ็นสัญญาเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาล เฉพาะกะเหรี่ยงอย่างเดียวก็แตกแยกออกจนนับไม่ถ้วน พวกนี้ก็เลยต้องเสาะหาสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุมงคลที่เขาเชื่อมั่นว่าขลังแน่ ๆ เอาไว้ติดตัว ของเราไปครั้งแรกไม่มีอะไร
    พอครั้งที่ ๒ พวกทหารกะเหรี่ยงพุทธพร้อมลูกน้องพร้อมผู้พันซออ่องจีวินมันมากันบานเลย สงสัยว่ามาทำอะไรกัน ? มันมาขอพระตอนที่ไปครั้งแรกเอาเหรียญสมเด็จองค์ปฐมไปฝากครูบาน้อยไว้ บอกว่าให้แจกญาติโยม ปรากฏว่าพวกนี้มันมาครูบาน้อยก็แจกพวกทหารไป เสร็จแล้วมันจับกะเหรี่ยงคริสต์ได้คนหนึ่งเอาไปสอบสวนตัดสินโทษประหาร เจ้านั่นก็กะว่ายังไงก็ตายแน่แล้วในเมื่อตายแน่แล้วมันก็สู้ มันแย่งอาวุธทหารกะเหรี่ยงพุทธแล้ววิ่งหนีเข้าป่า
    พวกนี้มันมัวแต่ตกตะลึงอยู่ยิงไม่ทันก็ต้องตามล่ากัน ล่าไปล่ามาไปถึงขุมเหมืองที่ขุดแร่เป็นเหมืองร้างมีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ไอ้นั่นมันซ่อนในขุมเหมืองพวกนี้ไม่รู้พอผ่านไปได้ยินแต่เสียงนกปืนมันสับแชะ ๆ หาตัวไม่เจอ พอเจอก็รุมกันซัลโวซะเละเป็นบะช่อไปเลย พอไปตรวจปืนมันเขาบอกว่าหนาวเลย กระสุนทุกนัดมีแต่รอยสับหมดแต่ไม่ลั่นสักนัดเดียว
    สรุปได้ว่ามีของดีอยู่อย่างเดียวก็คือ เหรียญสมเด็จองค์ปฐมที่ไปรับมาจากครูบาน้อย พออาตมาไปมันแห่กันมาอย่างชนิดที่เรียกว่ามีเท่าไหร่ก็ต้องให้มันเท่านั้น งวดนี้ผู้พันแกไม่ว่างแกมาอยู่ที่ด่านเจดีย์สามองค์เห็นว่าคงจะเกี่ยวกับเรื่องปิดด่าน-เปิดด่าน เขาให้ผู้กองวินหย่งไปแทน พาลูกน้องไป ๑๐ คน บอกใช้ยังไงก็ได้ใช้ให้เป็นทาสไปเลยก็ได้ คือเอามาดูแลรักษาในงานก็ได้หรือว่าใช้งานได้ทุกอย่าง คือคนเราเวลาศรัทธาแล้วกลายเป็นว่ามีอะไรก็ยอมทุ่มเท
    ตัวผู้พันเองแกเป็นนักศึกษาทนการกดขี่ของรัฐบาลไม่ได้เลยจับปืนเข้าป่า ๒๐ กว่าปี กว่าจะออกจากป่ามาก็แก่แล้ว ๔๐ กว่าจะ ๕๐ แล้ว ปรากฏว่าแฟนที่รักกันตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษายังรออยู่เลยก็เลยแต่งงานกับคนแก่เป็นเพื่อนกันต่อไป (หัวเราะ) แก่ต่อแก่ด้วยกันเห็นบ่น ๆ ว่าอยากมีลูกก็คงไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ตัวเล็ก ๆ นิดเดียว
    ในฐานะของแกปัจจุบันนี้ลักษณะเหมือนกับเป็นแม่ทัพภาค เพราะว่าคุมตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ขึ้นไปยันแม่สอดเลย ทุกเมืองตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ถึงแม่สอด อยู่ภายใต้กองกำลังของผู้พันซออ่องจีวิน แกยังเป็นผู้พันอยู่เป็นนายพลไม่ได้ เพราว่าแกไม่ยอมวางอาวุธ ถ้าวางอาวุธพม่ามันตั้งให้เป็นนายพลเลย
    อย่างนายพลซอตูมูแฮ นาพลพะโด้อ่องซานพอวางอาวุธมันตั้งให้เป็นนายพลเลย ทีนี้พอเขาถือในเรื่องเหล่านี้แล้วก็พยายามเสาะหากัน มีของดีที่ไหนมันก็ไปที่นั่น โดยเฉพาะจากฝั่งไทย พวกนายพลซอหม่อง นายพลขิ่นยุนท์นี่ถึงเวลามีอาจารย์ดี ๆ จากฝั่งไทยข้ามไปเขาก็จะเชิญไปฉันที่บ้าน ให้ไปสวดไปอะไรในลักษณะตัดเคราะห์ ตักรรม เสริมดวงชะตาอะไรให้เขาทุกที
    ช่วงที่ไปพอดีตรงกับนายกทักษิณท่านไป เมื่อตรงกับนายกทักษิณท่านไป เราพอดีไปไหว้เจดีย์ชเวดากอง เจอคณะของนายกเข้าก็ถ่ายรูปนายก โดนสายลับมันล็อกตัวไป มันแจ้งข้อหาว่าถ่ายรูปแขกของรัฐบาล ก่อนที่มันจะปล่อยตัวมานั้นมันถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐาน ช่วงมันถ่ายรูปเรามันเกิดคันขึ้นมาหมั่นไส้มันเรื่องมากนักก็เลยตั้งใจว่าไม่ให้ติด ไปกันพระ ๒ ฆราวาส ๒ รูปแรกตั้งใจว่าไม่ติดทั้งหมด ส่วนรูปที่ ๒ ตั้งใจไม่ให้ติดคนเดียว กว่ามันจะใช้งานฟิมล์ม้วนนั้นหมด กว่ามันจะล้างออกมา เราก็กลับมาเมืองไทยแล้ว
    คราวนี้มันคงพลิกแผ่นดินหาว่าพระองค์นี้อยู่ที่ไหน คราวหน้าเอ็งถ้ามาจะเตะมันทีละคน ๆ เลย ตอนนี้เราเป็นต่อแล้วนี่ พอถึงเวลาเขาคลานเข้ามาหาแปลว่าเขาต้องง้อเราแล้ว แต่ตอนนั้นมันจับเรา(หัวเราะ) ท่านนาวินเขาบอก อาจารย์ไปแกล้งมันอย่างนั้นนะมันมี ๒ อย่างคือว่า ถ้าไม่กลับไปไทยซะก่อนก็ไม่ได้กลับเลย มันไม่ให้กลับแน่มันเอาเก็บไว้ให้อยู่พม่านั่นแหละ
    คราวนี้ของเรามั่นใจว่ารูปของมันงานพวกนี้มันไม่ได้ใช้บ่อย มันก็คาม้วน คาฟิล์มคากล้องมันอยู่ กว่ามันจะใช้งานหมดเราก็มานอนตีแปลงเมืองไทยนานแล้ว ไม่กลัวมันหรอก นิสัยส่วนตัวสันดานมันเป็นอย่างนั้น หมั่นไส้ใครแล้วจะแกล้งเขาเรื่อย แกล้งมันมาหลายยกแล้วพวกพม่า แกล้งซะจนเข็ดไปตาม ๆ กันพวกเจ้าหน้าที่ที่หลวงพ่อมหามุนีที่มัณฑเลย์</B>ปีหลังสุดนี่มันเริ่มรู้แล้ว เจอหน้ามันขอพระอย่างเดียว เพราะว่าก่อนเวลาที่เขาจะเปิดเราเข้าไปนั่งสวดมนต์รออยู่ข้างในนานแล้วลูกขุนแผน วิชาขโมยมันต้องเก่ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เก่งยังไงครับ?
    ตอบ : วิชาแบบขุนแผนนี่ถึงเวลาแล้วจะไปไหนก็ไป แต่ว่าเขามีข้อแม้ว่า ห้ามหนีกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นถ้าพม่ามันจับเราต้องยอมให้จับ ถ้าหนีกฎหมายบ้านเมืองวิชาจะเสื่อม ขุนแผนกลางคืนสะเดาะกลอนไปนอนกับเมีย กลางวันก็รีบกลับไปนอนในคุกหนีกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ โบราณาจารย์ที่ท่านบัญญัติวิชาพวกนี้ขึ้นมาท่านป้องกันลูกศิษย์กลางเป็นเสือเป็นสางไป เดี๋ยวไปปล้นไปฆ่าแล้วก็แหกคุกหนีอย่างเดียว ฉะนั้นต้องยอมรับโทษตามกฎหมายบ้านเมอง
    อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ไม่รู้ว่าพวกเราเคยได้ยินไหม? เป็นฆราวาสทรงอภิญญา ก็น่าจะอยู่รุ่นพ่อรุ่นปู่ของเรานี่เองแหละ อาจารย์ฟ้อนแกเก่งมาก ตำรวจไม่เชื่อ ชิหาว่าแกหลอกลวงชาวบ้านจับเข้าคุก ถึงเวลาก็ลั่นกุญแจหันหลังให้อาจารย์ฟ้อนก็หมู่ประตูไม่ได้ล็อค หมู่หันมาอ้าวกุญแจไม่ได้ล็กคดันกรึ๊บเข้าไปหันหลังให้ หมู่กุญแจยังไม่ได้ล็อค เจอไป ๓-๔ ที คุณหมู่ต้องยกมือไหว้ อาจารย์ครับขอร้องเถอะ (หัวเราะ) ถ้าอาจารย์แกล้งผมอย่างนี้เจ้านายเล่นผมตายแน่เลย แกถึงได้ยอม ก็เพราะเจ้านายมันไม่เชื่อมันส่งลูกน้องจับไปอยู่ที่นั่น
    นอกจากเรื่องของการถือฤกษ์ถือยาม ถือไสยศาสตร์โหราศาสตร์อะไรอย่างเข้มข้นแล้ว มันยังมีของแปลก ๆ เยอะไปเจอกล้วยไม่มีปลีที่นั้น มันเป็นกล้วยที่ออกมาลักษณะเหมือนกับหัวปลี แต่พอปลีมันบานออกปุ๊บมันเป็นเครือเลย กาบมันจะร่วงหมดไม่มีหัวปลีห้อยอยู่ แบบกล้วยบ้านเรา มันมีกี่หวีมันก็มีเท่านั้นกาบเท่านั้น พอบานมันก็ร่วงหมด ดู แล้วก็บอเออ ไอ้กล้วยนี้มันก้าวหน้าแฮะ มันประหยัดวัสดุการผลิตเหลือเกิน มีกี่หวีมันเอาแค่นั้น ไม่เหมือนบ้านเราเหลืออยู่ยาวปรี๊ดเลย แล้วก็เจอกาฝากมันเกาะต้นอะไรรู้ไหม ? ต้นมะเขือพวง มันเกาะไปได้ยังไง มะเขือพวงกินมันเท่านิ้วมือ สงสัยกาฝาก ๒ ต้อนนี้มันหน้ามือไม่ดี อะไรจะกินมันกินกระทั่งต้นมะเขือพวง
    ก็มานึกถึงเรื่องของธรรมะ บอกว่า อะไรก็ตามที่ต่างไปจากการรับรู้ของเรา เราก็ไปว่ามันผิดปกติ แต่ถ้าเรารู้ว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันก็เป็นปรกตินี่เอง ฟังเข้าใจมั้ย อะไรที่ผิดไปจากการรับรู้ของเรา เราก็ไปว่าเขาผิดปกติ แต่ความจริงปกติของเขาเป็นอย่างนั้น เพียงแต่เรายังไม่เคยเห็น แล้วก็ไปเจอความซื่อของคนพม่าเข้า
    โดยเฉพาะคนหนองบัวนี่ล่ะนะ ไปถึงใหม่ ๆ หน้าเห็นมัดก็ผัดเห็นใส่ผักบุ้งมา เราก็ เออ แปลกดี พออีกวันหนึ่ง มันผัดกลอยใส่ผักบุ้งมา เราก็อ๋อเลย มันทำตามที่โบราณเขาทำมา หรือทำตาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำมาโดนที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร ทำไปแล้วเป็นยังไง อีกไม่กี่วันมันต้มยำเห็ด มันใส่ข้าวมาเป็นข้าวต้มเห็นเลย เราก็นั่งหัวเราะมัน ถามคนทำเขาเป็นครูอยู่ บอกครู่ทำนี่เพื่ออะไรใส่ข้าวงไปด้วย เขาบอกว่าให้อร่อย ความจริงมันไม่ใช่หรอก
    โบราณนี่ถ้าหากว่า ได้ผักได้หญ้าอะไรมาที่เขา ไม่มั่นใจว่ากินแล้วจะปลอดภัยหรือเปล่า เขาจะเอาข้าวสุกใส่ลงไปด้วย ถ้าข้าวสุกกลายเป็นสีดำก็แปลว่ามีพิษกินไม่ได้ ทีนี้เขาเองเห็นผู้ใหญ่ใส่ก็ใส่ไปเรื่อยคิดว่าอร่อย ไม่ได้รู้หรอกว่าใส่เพราะอะไร ใส่ไปใส่มามันก็เลยเล่นซะกลายเป็นข้าวต้มเห็น ส่วนเห็ดกับกลอยนี่ที่เขาใส่ผักบุ้งมา ผักบุ้งเป็นยาถอนพิษนะจำไว้ให้แม่น ๆ เลยว่า ถ้าโดนพิษโดนอะไรให้เอาผักบุ้งตำแล้วคั้นน้ำกรอกปากเข้าไปส่วนใหญ่มันจะถอนพิษได้
    คราวนี้ความไม่แน่ใจที่ไม่รู้จักเห็ดแต่ว่ามันจำเป็นต้องกินไม่งั้นมันไม่มีอย่างอื่นเขาก็เอาผักบุ้งผสมเห็ดนี่แหละแล้วก็ผัดเผื่อเหนียวไว้ก่อนเลย ถ้าคุณกินเข้าไปอันตรายมันก็น้อยเพราะผักบุ้งมันถอนพิษแล้ว มันเอากลอยมามันก็ใส่ผักบุ้งมาเราก็ไม่ว่าอะไร หรอก แต่หัวเราะมันตรงที่ว่าเห็ดโคนเรารู้จักอยู่แล้วมันใส่ผักบุ้งมาทำไมมันไม่รู้จักพลิกแพลงเลยเหรอ แล้วที่ทำเห็นต้มยำมาก็เห็ดโคน เห็ดปลวกนั่นแหละ
    ในเมื่อรู้จักแล้วแต่พลิกแพลงไม่เป็นก็มานั่งคิดอยู่ว่า การที่เราเชื่อถือผู้ใหญ่ปฏิบัติตามโบราณโดยไม่คัดค้านเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันน่าจะศึกษาซะหน่อยว่าเขาทำเพื่ออะไร ถึงเวลามันจะได้หาเหตุหาผลได้จะได้ตอบคนอื่นได้ นี่มันหลับหูตาตามอย่างเดียวมันลักษณะเถรส่องบาตร เถรส่องบาตรนี่หลวงพ่อท่านเคยว่าทีหนึ่ง คือโบราณนี่พระเถระท่านมีบาตรอยู่ บาตรดินมันก็เป็นรูทะลุอยู่ คือเขาบอกไว้ว่าถ้าทะลุจนนิ้วมือลอดได้ก็เป็นอันว่าเปลี่ยนบาตรได้
    พระท่านเวลาบิณฑบาต ล้างบาตร เช็ดบาตร ท่านก็ส่องดูว่ารูมันใหญ่แค่ไหนแล้ว ลูกศิษย์ก็ไม่รู้เห็นอาจารย์ส่องทุกวันกูก็ส่องบ้างเขาก็เลยเรียกว่าทำเหมอนเถรส่องบาตร คือทำตามโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าเขาทำอะไร เพื่ออะไรไปเจอพวกพม่าเป็นเถรส่องบาตรซะหลายคน มันทำตามอย่างเดียวจริง ๆ แล้วก็กลัวการเปลี่ยนแปลงมาก งานไม่เคยทำมันก็ไม่บอกเรานั่งละล้าละลังทำอะไรไม่ได้อยู่นั่นแหละ เราให้เขาทำโครงหลังคาด้วยเหล็กเขาไม่เคยทำงานเหล็กมาเลยทำแต่ไม้ ก็ข้องใจมากว่าทำไมไม่ขึ้นหลังคาซะที
    จนกระทั่งไปแงะปากมันว่ามันแต่ทำอะไรกันอยู่ถึงไม่ขึ้นหลังคาซะที มันถึงได้สารภาพว่ามันเคยทำ เราก็บอกว่าตัดยาวเท่านี้นะ ลักษณะเป็นฉากเท่านี้เป็นมุมเท่านี้อะไรอย่างนี้ มันทำอันที่ ๑ ไปแล้วมันก็วิ่งมาถามอันที่ ๒ ทำยังไง หลังคาเดียวกันนะ ทุกอันมันก็ต้องทำเหมือนกันซิวะ (หัวเราะ) มันต้องวิ่งมาถามว่ายังไง แล้ววางแปก็วางไม่เป็น พอโครงมันเสร็จแล้วมันก็ต้องวางแปเพื่อที่จะมุงกระเบื้องก็บอกว่า กระเบื้องนี่แผ่นหนึ่งมันยาว ๔ ฟุต คุณก็ให้หัวครึ่งฟุต ท้ายครึ่งฟุตเท่ากับว่าคุณต้องวาง แปตัวละ ๓ ฟุต
    คราวนี้มันคำนวณคานผิดแต่แรกแล้วนี่ ในเมื่อมันวางตรงผิดมามันก็ ๓ ฟุตไม่ได้มันก็จะพาซื้อวาง ๓ ฟุต ๓ ฟุตแล้ว ไอ้ตัวบนก็เหลือคืบกว่า ๆ บอกว่าในเมื่อมันไม่พอ ๓ ฟุตคุณก็หารไปเลยซิว่า ๔ ตัวมันลงเท่าไหร่แล้วก็พอดี ๆ ไปมันจะได้ดูสวยไม่ใช่ทะลึ่งวาง ๓ ฟุตไป ๒ ตัว แล้วเสร็จแล้วตัวสุดท้ายก็เหลือคืบกว่า ๆ มันผ่าวางไปอีกตัวจี้มัน มันก็ทำผิด พอทำผิดเราก็ต้องมาแก้ไข เสียหายหมด ดูแล้วเป็นไง กลุ้มใจแทนมั้ย ? งานนี้ยังต้องปล้ำกันไปอีกหลายยกเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ...........
    ตอบ : ลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบคนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อยไป เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายกรายการ เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจนมีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่าคราวนี้ระหว่างชาวบ้านกับพระราชา เขาแข่งกันอยู่ในที แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้านเขา ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่มันจะเอาดีก็คงจะไม่เท่าไหร่ ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา
    จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสด ๆ ถวายพระเลย บรรดาที่เป็นหัวหน้าท่านก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ ๑ พันกหาประไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาขอซื้อเขา ให้เราไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปนะนั่นแหละ
    เชื่อว่าคนเขาขายให้อยู่แล้วเราะปกติราคามันไม่ถึงนั้น ราคาไม่ถึงกหาปนะซะด้วยซ้ำไป หนึ่งกหาปนะในปัจจุบันถ้าเทียบอันตรากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลนะ คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้าก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย
    พอมาถึงประตูเมืองบรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่านี่พ่อคุณเราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปนะจะขายมั้ย? พระสีวลีท่านได้ยินท่านก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาดถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้แพงจัง ลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ ไม่ขาย พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปนะ ๔, ๘ กหาปนะให้ไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑๐๐๐ กหาปนะนะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็บอกว่าแล้วท่านคิดราคาเท่าไหร่ถึงจะขาย
    พระสีวลีก็ถามว่าท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้ เขาก็บอกว่าจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากันต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควรแก่สมณะบริโภคให้มีให้ครบถ้วน ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวถึงได้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อเพื่อให้ได้ทำบุญ พระสีวลีบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ขายแต่ให้ไปแจ้งกับนายของเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรี ๆ เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและก็อนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้วพระสีวลีได้ทำบุญปิดท้าย
    คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวคั้นแล้วพอพระทุกองค์ทั้ง ๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาลเพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา
    คราวนี้พระสีวลีท่าน ท่านไม่ได้เกาะกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่งเพราะว่า อดีตชาตินานมาแล้วท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่า ๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็เป็นพระอรหันต์
    เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการเสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่าน แล้วจะขาด มีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็ม ๆ
    ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยม พระเรวัตตะที่เป็นน้องชายคนเล็กของพระสารีบุตรท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าตะเคียนถามทางกับพระอานนท์ว่าหนทางที่จะไปถึงพระเรวัตตะนั้นไกลมั้ย? พระอานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นทางตรงปราศจากโคจรคามเพื่อบิณฑบาตมีแต่เหล่าอมนุษย์เป็นระยะทางแค่ ๖๐ โยชน์ แต่ถ้าเป็นทางอ้อมสะดวกสบายด้วยหนทางและการโคจรบิณฑบาตเป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ มากกว่าเท่าหนึ่ง พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ สีวลีได้ไปด้วยหรือไม่? พระอานนท์บอกว่าไปด้วยพระเจ้าข้า เพราะเขามีการจัดพระเพื่อตามพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ ถ้าสีวลีไปด้วยเราไปทางตรงกัน ไม่ทีที่บิณฑบาตไม่มีอะไรมีแต่อมนุษย์ก็ไปกัน
    พอท่านไปปรากฏว่าบรรดาเทวดาทั้งหลายที่เคยร่วมบุญในครั้งนั้น พอเห็นเข้าก็พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเดินทางไปในป่าแล้ว ก็รีบไปตกแต่งสถานที่ โยชน์หนึ่งตั้งศาลาไว้หลังหนึ่งให้เพียงพอกับพระทั้งหมด โยชน์หนึ่ง เตรียมสถานที่เอาไว้ โยชน์หนึ่งเตรียมสถานที่เอาไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าระยะทาง ๖๐ โยชน์ ปกติพระพุทธเจ้าเดินทางครึ่งวัน งวดนั้นเดินซะ ๒ เดือน
    แล้วเรื่องของอานุภาพบุญก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มากปกติใคร ๆ ก็จะต้องแย่งกันทำบุญถวายต่อพระพุทธเจ้าแต่ปรากฏว่าบรรดาเทวดาที่เป็นเพื่อนร่วมบุญในครั้งนั้นตั้งหน้าตั้งตาเอามาถวายพระสีวลีองค์เดียว แต่ว่าของนั้นก็มากพอที่พระสีวลีถวายต่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดแล้ว ยังเหลือเฟืออยู่จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ๒ เดือนระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ปรากฏว่างวดนั้นเดินซะ ๒ เดือนรอเทวดาเขาทำบุญ
    คราวนี้พระสีวลีนิพพานไปแล้วหลวงพ่อท่านบอกว่าผลบุญใดก็ตามนะที่เป็นของพระอรหันต์ท่าน โดยเฉพาะพระอรหันต์ที่เป็นเอตะทัคคะคือ มีความเป็นเลิศพิเศษในทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราบูชาท่านผลบุญที่ท่านไม่ต้องใช้แล้วเพราะท่านเข้านิพพานแล้วผลบุญนั้นจะมีสำเร็จแก่เราด้วย ดังนั้นเขาถึงได้บอกกันว่าคนที่บูชาพระสีวลีส่วนใหญ่จะมีลาภมากคือ ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ลาภอันนั้นแล้วเข้านิพพานไปแล้วกุศลที่ท่านทำก็เลยตกถึงผู้ที่บูชาท่านด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ............
    ตอบ : ลองดูมั้ย เมื่อกี้เค้าทำบุญปิดท้ายรายการน่าลองดูบ้าง สมบูรณ์ บริบูรณ์ เดี๋ยวเอาไว้ตอนผ้าป่าถวายหลวงปู่แล้วกันลูกศิษย์หลวงพ่อยุคเก่า ๆ จะรู้ส่วนใหญ่เขาจะแย่งกันปิดท้ายไปเรื่อย ๆ มันก็เลย ปิดกันไม่รู้จบซะที จนกว่าหลวงพ่อจะบอกพอแล้วนั่นแหละถึงจะหยุดกัน เดี๋ยวงวดนี้พวกเราไปผ้าป่าแล้วก็ไปลองดูว่าใครจะปิดท้ายกว่ากัน
    บางทีหลวงพ่อท่านก็หัวเราะประเภท ๓ หมื่นกว่า ๆ เท่าไหร่ กว่าเท่านั้นร้อยเท่านี้ร้อยเติมไปเติมมาให้ครบพัน หลวงพ่อบอกว่ายังไม่ครบ ๔ หมื่นเลย (หัวเราะ) เป็นลักษณะนั้นแหละก็เติมกันไปเรื่อย เติมไปเติมมามันมีแต่เกิน มันไม่มีขาดมันก็ต้องเติมกันไปเรื่อยเศษสตางค์มันมีทุกที
    ถาม : ...............
    ตอบ : อานิสงส์พิเศษต่าง ๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกมา ส่วนใหญ่แล้วพวกคนเก่า ๆ เขารู้แต่บางทีก็จำแล้วลืมไม่ค่อยได้จดกันเอาไว้ อันนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จด ๆ กันเอาไว้หน่อย เผื่อคนรุ่นหลังเขามาอ่านดูเขาจะได้รู้บ้างว่ามีอะไร
    ถาม : แล้วถ้าอย่างไปแย่งกันทำสังฆทานเป็นคนแรก?
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็อานิสงส์เหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัญญาโกณฑัญญะ บรรลุมรรคผลเป็นองค์แรกสุดในพุทธศาสนา ในอดีตชาติ พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระสุภัททะ เป็นพี่น้องกัน ท่านมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งท่านก็แบ่งกันคนละครึ่ง พระอัญญาโกณฑัญญะพอลงมือไถที่เพื่อทำนาท่านก็ทำบุญ หว่านกล้าท่านก็ทำบุญ ข้าวตกรวงท่านก็ทำบุญเกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ ขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ ท่านทำตลอด ทุกระยะนะ
    ส่วนพระสุภัททะนี่ท่านทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว อานิสงส์นี่มันข้ามชาติมากี่หมื่นกี่แสนชาติก็ไม่รู้ มาถึงชาติสุดท้ายพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุมรรคผลเป็นองค์แรกในพุทธศาสนา ส่วนพระสุภัททะหวิดไป พระพุทธเจ้าป่วยหนักแล้วใช่มั้ย กำลังพักผ่อนอยู่ที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ สุภัททะซึ่งเป็นปริพาชกคือนักบวชศาสนาอื่น ตั้งใจจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหาธรรมกับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ไม่ให้เข้าแล้ว พระอานนท์นี่เลิศทางพุทธอุปัฏฐากท่านย่อมรู้ว่าเวลาไหนควรเวลาไหนไม่ควรเป็นพระองค์เดียวที่เป็นเลิศถึง ๕ อย่าง มีสติ มีคติ มีธิติ มีความเพียร แล้วก็เป็นพุทธอุปัฏฐาก ไม่มีใครมีมากว่านี้อีกแล้ว อย่างเก่งก็ ๒ ทาง
    อย่างเช่นพระสุภูตะเถระ เลิศในทางอยู่อรณวิหาร ก็คือการเข้านิโรธสมาบัติ และก็เป็นทักขิเณยยบุคคล คนเข้านิโรธสมาบัติก็ต้องเป็นบุคคลที่สมควรแก่การถวายทานอยู่แล้วใช่ไหม อันนี้เลิศ ๒ อย่าง มีพระอานนท์องค์เดียว ๕ อย่าง ในเมื่อท่านเลิศในพุทธอุปัฏฐาก เลิศทางผู้มีสติ มีคติ ท่านก็ย่อมรู้ว่า เวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควร ก็บอกว่า สุภัททะปริพาชกนั้นไม่ควรจะเข้าพบพระพุทธเจ้าเราะว่าทรงพักผ่อนแล้ว พระพุทธเจ้าได้ยินปุ๊บบอกว่าอานันทะดูก่อนอานนท์ให้เธอเข้ามาเถอะตถาคตรอเธออยู่
    พอท่านทูลถามปัญหาธรรมพระพุทธเจ้าแก้ให้ท่านก็บรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าท่านก็ประทานเอหิภิกขุคือ บวชให้ด้วยตัวเอง ท่านประทานโอวาทว่าจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้วจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด คือเป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ท่านจะบอกว่า จงปฏิบัติเพื่อความถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด
    ในเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เลยบอกว่าจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด เป็นสาวกองค์สุดท้ายในพุทธศาสนาที่บวชกันในลักษณะนั้น อานิสงค์ก็จะเหมือนพระโกณฑัญญะแย่งกันบรรลุก่อนดูซิใครจะหัวแตก วิ่งแย่งกันทำบุญชนกันหัวแตกเลย
    จำไว้ให้แม่น ๆ นะทำบุญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินมาก ๆ ไม่ได้อยู่ที่ของมาก ๆ หากอยู่ที่กำลังใจในการสละออกของเรา เราทำบุญเพื่อตัดโลภะ คือความโลภของเรา เราทำบุญเพื่อสร้างทานบารมีของเราให้เต็ม คนเขามีเยอะเขาทำบุญมาก ๆ เราไม่ต้องไปอิจฉาเขาหรอกโมทนาตามเขาเลย เรามีแค่ไหน เราทำตามกำลังของเราไม่ให้ตนเดือดร้อน ไม่ให้คนรอบข้างเดือดร้อน ถือว่าใช้ได้แล้ว มันไม่ได้มากไม่ได้น้อย มันสำคัญตรงการสละออก
    ถาม : .................
    ตอบ : เรื่องของการหลับตามันมืดเป็นปกติอยู่แล้วเราอย่าไปใส่ใจมัน ที่มันปวดหัวมันมีอยู่ ๒ ทาง อย่างแรก เขาเรียกว่า ขันธมาร คือร่างกายมันคอยขวางไว้ไม่ให้ทำความดี อย่างที่ ๒ ก็คือเราตั้งใจจะให้มันสว่างเราก็เลยใช้สายตาไปเพ่งเอา เราใช้สายตาไปยิ่งเพ่งมากเท่าไหร่ มันจะทำให้ประสาท เครียดและปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น เราหลับตาสบาย ๆ นึกเหมือนกับย้อนเข้าไปอยู่ข้างในของเรา ให้ใจของเราอยู่สุดของตรงลมหายใจเข้า เขาเรียกว่าศูนย์กลางกาย มันเรียกยาก
    เป็นอันว่าเราหายใจเข้าไปสุดตรงไหนก็นึกถึงตรงนั้น แล้วเวลาหายใจเข้านึกว่าพุท ให้ลงไปสุดตรงนั้น หายใจออกนึกว่า โธ ให้ออกจากตรงนั้นมา เอาใจจดจ่ออยู่ที่เดียวไม่ต้องให้เคลื่อนไปไหน ตั้งใจมองสบาย ๆ นึกเหมือนกันกับเรามองอยู่ในท้องของเรา ลมมันลงไปสุดตรงไหนนึกถึงตรงนั้นแหละ พุทเข้า โธออก นึกตามไปแค่นี้พอนะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : นั่งอย่างนี้เขาเรียกว่านั่งทับสมาธิใช่มั้ยคะ?
    ตอบ : เรียกว่า สมถะภาวนา คือการทำใจให้สงบก่อน พอใจมันสงบ แล้วต่อไปมันมีการคิดต่อเพื่อพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของโลกนี้และร่างกายเขาเรียกวิปัสสนา
    ถาม : พอนั่งทีไรแล้วปวดหัวทุกทีเลย
    ตอบ : นั่นอาจจะเป็นเพราะเราทำผิดวิธี
    ถาม : นั่งทับสมาธิแล้วใช่มั้ยคะ?
    ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ มันอาจเป็นเพราะเราทำผิดวิธี บางทีเราอาจจะใช้สายตาเพ่งมันอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็เรามีบุญเก่าจำนวนมาก ถ้าเราเริ่มทำมันจะได้ดีเร็ว เขาจะพยายามขวางเรา พวกมารเขามีอยู่ ๕ อย่างที่จะขวางความดี อันนี้อย่างหนึ่งเขาเรียกขันธมาร คือร่างกายมันช่วยขวางด้วย ถ้าหากเราไม่ทำความดีมันก็ปกติ ถ้าทำความดีเมื่อไหร่มันชวนให้เจ็บป่วยอยู่ตลอด
    ถาม : อ่านจากหนังสือหลวงพ่อฤๅษี มีนะคะใช้วิธีการเพ่งกสิณ
    ตอบ : ถ้าเพ่งกสิณเราต้องหาวัตถุมาจ้ะ
    ถาม : อย่างนี้เราต้องฝึกพุทโธให้คล่องก่อนใช่มั้ยคะ?
    ตอบ : ฝึกให้คล่องก่อนได้จะดี แล้วการเพ่งจริง ๆ ก็ไม่ใช้สายตาเพ่งอะไร ลืมตามอง แล้วหลับตาลงนึกถึง พอภาพหายไปลืมตาดูใหม่แล้วหลับตาลงนึก ไม่ใช่ไปนั่งจ้องนะ คำว่าเพ่งคือจิตใจมันจดจ่ออยู่ไม่ใช่ใช้สายตาเพ่ง เดี๋ยวจะเข้าใจผิดพอเราภาวนาจนคล่องตัวแล้ว แล้วค่อยไปทำกสิณ เพราะคำภาวนากสิณมันยาว ถ้าเราไม่คล่องตัวมันจะไม่ได้
    ถาม : แล้วนะมะพะธะ...?
    ตอบ :
     
  15. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ปัจจุบัน เรื่องของวิญญาณ...?
    ตอบ : มีอยู่ คำว่า วิญญาณของเรานี่มันหมายถึงจิต การเกิดของจิตนี่มันยากมันลำบากเต็มที เพราะว่ามันจะต้องประกอบไปด้วยธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะจุดสำคัญที่สุดคือธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้จับเข้าไปเมื่อไหร่ มันถึงปรากฏเป็นจิตขึ้นมา โอกาสเกิดได้แต่ว่าเกิดได้ยากเต็มทีประมาณระยะเวลาไม่ถูก
    แต่ว่าขนาดเดียวกันที่อยู่ข้างล่างคือเป็นสัตว์นรกอยู่แต่ละขุม เอาโลกเราทั้งโลกหย่อนลงไปในนรกขุมหนึ่งก็ประมาณส้มลูกหนึ่งในแข่งขุมเดียวนะ แล้วส้มทั้งแข่งที่เหลือมันเยอะเท่าไหร่ มันมากกว่าถึงขนาดนั้นมันก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อย ๆ พอเขาพ้นกรรมขึ้นมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน พ้นขึ้นมาก็มาเป็นมนุษย์อีกที มนุษย์จะมีการเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันว่าทั้งหมดนี้เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำดี ทำชั่ว กันบ้างไปเรื่อย ๆ จนวาระสุดท้ายก็ทำดีมากกว่าชั่ว ในที่สุดก็หลุดพ้นเข้านิพพานไป
    แต่ว่าที่ไปแล้วทั้งที่เข้านิพพานไปแล้ว ทั้งที่เป็นเทวดา พรหม ถึงมนุษย์รวมกันยังไม่เท่ากับในนรก อันนี้เขาเยอะกว่ามาก แล้วการเกิดของจิตก็เกิดยากเกิดเย็นเหลือขนาด แต่ว่า มันมีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน มันเหมือนกับว่าแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมต่างกัน เอาเป็นว่าทองก็แล้วกัน ทองนี่หลวงพ่อท่านบอกว่าประกอบไปด้วย ตะกั่วเถื่อน ๆ นี่ก็คือดีบุกนะ ตะกั่วเถื่อนตะกั่วป่านั่นแหละ ทองแดง สารปากนกแก้ว แร่เพียงไฟ ๔ อย่างนี้ถ้ามาผสมกันในอันตราส่วนที่เหมาะสมจะเป็นทองคำ
    คนเราก็เหมือนกัน ในสภาพของจิตนี่มันก็จะมีแร่ธาตุต่าง ๆ ในจักรวาลที่มันหมุนเวียนไปมาตามแรงโคจรต่าง ๆ ของมันจะผสมกันไปผสมกันมา สำคัญที่สุดธาตุรู้มันจับปั๊บเข้าไปมันก็เกิดเป็นจิตขึ้นมา พอเกิดเป็นจิตขึ้นมามันก็ต้องแสวงหาที่อยู่มันก็ต้องประกอบไปด้วยกายที่มีดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณนี้รองรับมัน แต่ว่าโอกาสที่มันจะเกิดในลักษณะนี้มันยากเต็มที
    ถาม : แล้วอย่างต้นไม้?
    ตอบ : ต้นไม้มีแต่ประสาทที่เรียกว่าวิญญาณไม่มีจิต มันเป็นแค่ประสาทรับรู้เฉย ๆ คือรู้ว่าจะต้องหาอาหารยังไง แล้วก็รับรู้ในแสงสว่างได้มีประสาทสัมผัสแต่จิตไม่มี ในเมื่อต้นไม้ไม่มีจิตเราก็รู้อยู่ว่าการตัดต้นไม้การตัดหญ้ามันไม่เป็นบาป
    แต่คนสมัยโบราณเขาคิดมากเขาคิดว่า มันมีชีวิตอยู่ ภูตคาม คือสิ่งที่มีชีวิต แผ่นดินก็มีชีวิตเหมือนกัน เขายกว่าต้นไม้มีชีวิต แผ่นดินมีชีวิต ดังนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศีลเกี่ยวกับพวกนี้ท่านบัญญัติเพื่อเอาใจคนในยุคนั้นว่าถ้าภิกษุขุดแผ่นดินต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุพรากของเขียวที่อยู่กับที่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะว่านักบวชศาสนาอื่นลัทธิอื่นเขาเชื่ออย่างนั้น ถ้าเราไปขัดเขาการเผยแพร่ศาสนาจะลำบาก
    ท่านก็เลยบัญญัติเพื่อเอาใจเขาเอาใจชาวโลกเพื่อให้เข้ากับลัทธิความเชื่อของเขาโดยการไม่ใช้ภิกษุขุดแผ่นดิน เพื่อเขาจะได้ไม่ตำหนิโทษ แล้วก็ไม่ให้ภิกษุพรากของเขียว เพื่อไม่ให้เขาตำหนิ ถ้าเขาตำหนิโดยไม่รู้แล้วบังเอิญเป็นพระดีเจ้านั่นซวยไป เลยกันเอาไว้สำหรับพวกเขาด้วยกับคนนอกศาสนาด้วย ต้นไม้มีเพียงประสาท รับความรู้สึกเท่านั้นเขาเรียกว่าวิญญาณในภาษาบาลีไม่ใช่จิต
    ถาม : แล้วอย่างศาสนาอื่นล่ะครับ คนที่นับถือศาสนาอื่น?
    ตอบ : จะนับถือศาสนาไหนก็ตามนรกเดียวกันสวรรค์เดียวกัน ถึงเวลาก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกในสถานที่เหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่า อุปทานความยึดมั่นในแต่ละศาสนาในแต่ละระเบียบประเพณีของเขาไม่เหมือนกันก็เลยทำให้เขาเห็นนรกสวรรค์ต่างกันไป แต่มันมีความเหมือนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ นรกเป็นสถานที่ลงโทษ
    ขณะเดียวกัน สวรรค์เป็นสถานที่เสวยความดีที่ตัวเองทำมา ถ้าเทวดาฝรั่งไปแต่ตัวเหมือนลิเกนุ่งชฎาแหลมเปี๊ยบฝรั่งมันไม่รู้จักหรอก ฝรั่งมันนึกว่าละครหลงโรงมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ทว่าไปชุดขาวรุ่มร่าม ๆ มีวงแสงบนหัวมีปีก เล็ก ๆ ซะหน่อยละก็รู้ว่าอันนี้คือเทวดา เทวดา เขาเลยต้องแสดงให้เห็นในลักษณะนั้น ถ้าแสดงลักษณะอื่นเขาจะไม่รู้ มันเป็นความยึดมั่นตามประเพณี ตามความเชื่อถือของเขา เขาต้องทำอย่างนั้น
    ถาม : เป็นที่มา...?
    ตอบ : ส่วนของเราถ้าไปทำอย่างนี้เรารู้แล้วใช่มั้ยเทวดาฝรั่ง ขึ้นข้างบนแล้วมันไม่มีเชื้อชาติหรอก มันเป็นเทวดาเหมือน ๆ กัน บอกเขาว่าขอรู้ขอเห็นตามความเป็นจริงเขาก็จะแสดงเต็มบุญเต็มบารมีให้เรารู้ หลวงพ่อท่านบอกเคยขึ้นไปเจอพระเยซูใส่ชุดแบบฝรั่งรุ่มร่าม ๆ ที่มันใช้ผ้าขาวพันตัวมา หลวงพ่อก็บอก เฮ้ย ! ข้างบนนี้ไม่มีนะโว้ยฝรั่ง พระเยซูท่านบอกถ้าผมไม่ทำแบบนี้ท่านก็ไม่รู้จักผมนะซิครับ
    ถาม : แล้วคนที่นับถือศาสนาอื่น โอกาสที่จะทำบุญต้องก็น้อยกว่า?
    ตอบ : น้อยกว่า แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยก็ไม่ใช่ อย่างศาสนาพราหมณ์เขาได้ถึงสมาบัติ ๘ เพราะฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนาของเขา โดยเฉพาะภาวนาถือว่าเลิศมาก เพียงแต่เขาขาดปัญญาในจุดสุดท้ายคือไม่รู้จักนิพพาน ไม่เห็นอริยสัจเลย ไม่รู้จักพระนิพพาน มันเหมือนกับว่าถ้าเป็นสิ่งประกอบสักอย่าง เอาเป็นอันว่าของสูงที่สุดคือมงกุฎแล้วกัน พระพุทธเจ้าท่านหาเพชรยอดมงกุฎได้ในขณะที่ศาสนาอื่นเขาหาไม่เจอเมื่อเอาเพชรยอดมงกุฎประดับลงไปความสวยงามสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างก็เกิดขึ้น
    แต่ตราบใดที่ยังไม่มีเพชรยอดมงกุฎคือ อริยสัจ ๔ ที่ท่านตรัสรู้มันก็สามารถที่จะสมบูรณ์แบบได้ อย่าดูถูกศาสนาอื่น ในสัตกนิบาตอังคุตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงศาสดานอกศาสนาคนหนึ่งคือ อารกะ อารกะศาสดานี้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตท่านบอกว่าชีวิตเหมือนกับต่อมน้ำคือ เหมือนฟองน้ำผุดขึ้นมาแล้วก็แตก เหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ ปรากฏวูบเดียวก็หายเลย เหมือนลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขา พรวดมาแล้วก็ผ่านไปเลย เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟคือ ไหม้หมดแน่ ๆ ในระยะเวลาอันไม่นาน เหมือนโคที่เขานำไปฆ่าตายแหง ๆ หมดทางเลี่ยง นั่นศาสดานอกศาสนาสอนศิษย์ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นดูถูกเขาไม่ได้ ศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ
    สมัยนั้นที่มีชื่อเสียงเยอะต่อเยอะด้วยกัน เพียงแต่ว่าพอถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ไปหลงติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หลงในความยึดถือ เชื่อถือ ของคนอื่นเขา เลยคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปทั้งที่ไม่ใช่ของจริง สมัยนั้นที่เขาเรียกคณาจารย์ทั้ง ๖ มี สัญชัยเวลัฏบุตร ที่เป็นอาจารย์ของพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรมาก่อน ปกุธกัจจายนะ อชิตะเกสะกำพล มักขลิโคสาละ นิครนถนาฏบุตร เหล่านี้จะมีชื่อเสียงมหาศาลมากเป็นที่นับถือของคนเป็นหมื่นเป็นแสนเลย เพียงแต่ว่าลัทธิที่เขาสอนมันเข้าไม่ถึงจริงเท่านั้นเอง นักคิดมันเยอะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,017
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วเพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่ลักษณะที่ว่าทำไมคนเกิดมาเขาถึงไม่นับถือศาสนาเดียวกัน?
    ตอบ : มันแล้วแต่สิ่งแวดล้อมและการยึดถือของครอบครัวตัวเอง ครอบครัวตัวเองเชื่อถืออย่างไรก็ทำตามนั้นมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น ตรงนี้มีทั้งคริสต์มีทั้งอิสลามต้องถืออิสลาม
    ถ้าเขาเคยบำเพ็ญบารมีมาในระดับหนึ่งเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันยังไม่ตรงกับใจของตนเองเลย มันเหมือนกับคนหาอาหารกินนะ ได้อาหารที่รสชาติไม่ถูกใจตัวเองก็หาไปเรื่อยจนกระทั่งมาเจอศาสนาพุทธก็เอ้าใช่เลย อาหารรสนี้ที่เราต้องการเขาก็มาเรื่อยเป็นอย่างนี้ ที่มันนับถือแตกต่างกันไป เกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมและระเบียบประเพณีที่ยึดถือกันมาในครอบครัวของตน ขณะเดียวกันฝรั่งน่ะอย่าคิดว่ามันถือคริสต์นะ ตอนนี้อิสลามในอเมริกามีมากพอ ๆ กับคริสต์เลย
    ส่วนใหญ่แล้วตรงจุดที่ว่าแต่ละศาสนา นรกสวรรค์ต่างกัน คนมันจะข้องใจตรงจุดนี้ ที่ต่างกันมันต่างกันตรงที่ความเชื่อถือการยึดถือตามแบบของเขา แต่จริง ๆ ถ้าเราสังเกตจะมีเนื้อหาเดียวกันก็คือ นรกเป็นสถานที่ลงโทษ สวรรค์เป็นสถานที่ตอบแทนผลของความดีที่เราทำเอาไว้ที่เห็นต่าง ๆ กันไปมันตามความเชื่อถือของเขา ถ้าไม่เห็นอย่างนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นสวรรค์ ก็เลยทำให้เห็นแตกต่างไปคนละทิศคนละทาง
    แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดไม่ว่าจะศาสนาไหน นรกเดียวกันสวรรค์เดียวกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าคนไม่ทำความดี ความชั่ว นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี ผลการกระทำที่เรียกว่ากรรมนั้นแหละส่งผลมหาศาลอย่างมาก เมื่อทำชั่วก็มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานขึ้นมารองรับ เมื่อทำความดีก็มีมนุษย์ เทวดา พรหม พระนิพพานขึ้นมารองรับ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีการกระทำ
    ถาม : ยังไงที่เขาเรียกว่าหมดกรรมครับ?
    ตอบ : อะไรเรียกว่าหมดกรรม ยากเต็มที ยกเว้นจุดสุดท้ายก็คือเข้าพระนิพพาน ไม่ได้หมดกรรมหากแต่พ้นกรรม ต้องใช้คำว่าพ้นกรรม เพราะว่ากรรมเก่าที่ทำไว้ยังมีอยู่แต่ว่ากำลังบุญนั้นสูงมากส่งให้หลุดพ้นจากวงโคจรนั้นไปเสียได้ วงโคจรตัวนี้เขาเรียก วัฏฏะสงสาร คือการหมุนวนอยู่ สังสารวัฏที่เวียนวนอยู่ทำให้ตาย-เกิดไม่รู้จบ เมื่อกำลังบุญสูงพอดีดตัวเองพ้นไปได้เป็นอันว่าพ้นกรรมไม่ใช่หมดกรรม พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมดที่เข้านิพพานไม่มีใครใช้กรรมหมด เพียงแต่ว่าสร้างกำลังความดีไว้จนกระทั่งสูงสุดสามารถหลุดพ้นออกไปเท่านั้น
    ถาม : หลวงพี่เป็นลูกศิษย์ของใคร ?
    ตอบ : อาตมาเป็นลูกศิษย์ของพระปิณโฑลภารัชทวาชะ พระปิณโฑลภารัชทวาชะท่านจะถามคนอยู่เสมอว่าใครข้องใจให้มาหาเรา ให้มาถามเรา ท่านเป็นเอตะทัคคะ คือเลิศในบรรลือสิงหนาท หมายความว่าเป็นผู้กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ กล้าพิสูจน์
    เหตุที่ท่านเป็นดังนี้เพราะว่าชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นพญาราชสีห์แล้วมีโอกาสได้รักษาสังขารของพระปัจเจกะพุทธเจ้า คือท่านดูแลจนพระปัจเจกพุทธเจ้ามรณภาพไปนิพพาน ท่านเองก็ยังตกแต่งสถานที่คาบดอกไม้มาบูชาพระศพอยู่แล้วก็คำรามเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามาทำลายศพของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์นั้น อยู่ในลักษณะดูแลรักษาป้องกันอย่างดีตลอดมา แล้วมีโอกาสมาเกิดเป็นคนได้ทำความดีได้พบพระพุทธศาสนาได้พบพระพุทธเจ้าจนกระทั่งกลายเป็นพระอรหันต์ วิสัยเก่าเป็นราชสีห์ก็เลยชินกับการประกาศตนเอง ท่านเองก็เลยประกาศตนเองเป็นประจำว่าใครข้องใจอะไรให้มาถามเรา
    เป็นสมัยนี้นี่อาจารย์เคาะหัวลูกศิษย์แตกแน่เลย แต่พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ที่ไม่มีกิเลส ในเมื่ออาจารย์ไม่มีกิเลสก็เลยไม่อิจฉาลูกศิษย์ ลูกศิษย์แบ่งเบาภาระไปได้เท่าไหร่อาจารย์สบายเท่านั้น
    ถาม : อยากจะเรียนถาม คือหนูยื่นเออรี่เอาไว้นะค่ะ ไม่ทราบว่าจะได้หรือเปล่า?
    ตอบ : อ๋อ อันนี้ถามได้แต่ตอบไม่ได้นะ ทำไมจะรีบออกไปไหนฮึ หนีราชการเหรอ
    ถาม : เบื่อแล้วค่ะ ทำมาหลายปีแล้วเบื่อค่ะ
    ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพดู เรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ เกี่ยวกับบนให้ได้งาน บนให้ออกจากงานอะไรนี่ พระวิสุทธิเทพท่านเคยตรัสบอกกับหลวงพ่อเอาไว้ว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานให้บนฉันได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อสำเร็จแล้ว การแก้บนท่านเอาว่าต้องรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน อย่างอื่นไม่เอาเลย เน้นการทำความดีขนาดหนักล้วน ๆ
    ความจริงเดือนนี้นะ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านทำแบบเอาไว้อาตมาก็มารับสังฆทานไม่ทัน บังเอิญว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำแบบอย่างที่ดีไว้ ก็คือว่าพระวัดท่าซุงท่านให้อธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา แล้วก็ให้ปวารณาพรรษาในวันเทโว เข้าก่อนเขา ๑ วัน ออกทีหลัง ๑ วัน มันจะได้ ๙๐ วันถ้วน ๆ ส่วนใหญ่มันก็เกิน ๙๐ วันอยู่แล้ว
    แต่ว่าถ้าหากว่านับตามทางจันทรคติท่านถือว่า ๓ เดือนถ้วน ๆ ก็เลยกลายเป็นว่าพอวันอาสาฬหบูชาปุ๊บอาตมากับพระทั้งหมดก็อธิษฐานพรรษาอธิษฐานเสร็จเราก็ขออนุญาตลาต่อมาเลยคือขอสัตตาหะ ในขณะที่เข้าพรรษาอยู่ถ้ามีเหตุจำเป็นพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ไปได้แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน เรียกว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...