ด่วน พระเซนถ่มน้ำลายใส่พระพุทธรูป?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ชาไม่รู้, 21 กันยายน 2009.

  1. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    [​IMG]


    ธรรมกายพระยูไล



    ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฌานาจารย์ม่าจู่เต้าอี้นั่งสมาธิภาวนา เกิดไอไม่หยุด จึงขากเสลด
    ถ่มเสมหะส่พระพุทธรูปตามสะดวกของท่าน



    พระอุปัฏฐากที่นั่งอยู่ด้านข้างเกิดเห็นเข้า จึงถามว่า
    " อาจารย์ถ่มเสมหะใส่พระพุทธรูปได้หรือ ? "



    ฌานาจารย์ม่าจู่หยุดไอทันที ย้อนถามพระอุปักฐากว่า " ในความว่างเปล่าทุกแห่ง
    ล้วนมีธรรมกายขององค์ยูไล เจ้าลองบอกอาตมาซิว่าจะให้ถ่มเสมหะไปที่ใด ? "



    - ( เซ็น : วิถีแห่งความสุขที่แท้ ) -

    ธรรมกายพระยูไล=
     
  2. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    บทสนทนา ระหว่าง
    พระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งกับท่านหม่าจูเต้าอ
    ี ​
    พระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งแห่งหนันเอวี้ยเหิงซันประสงค์ที่จะฉุดช่วยท่านหม่าจูเต้าอีซึ่งนั่งสมาธิเหมือนกับท่อนไม้แห้ง จึงได้อยู่ที่ด้านข้างท่านหม่าจูเต้าอีแล้วนำก้อนอิฐมาฝน ฝนไป 1 ก้อน, 2 ก้อน,3 ก้อน, 4 ก้อน... โดยใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก
    ท่านหม่าจูเต้าอีจึงได้ออกจากฌานสมาธิแล้วเรียนถามพระ-ฌานาจารย์ไฮว่ยั่งว่า "พระคุณเจ้าผู้อาวุโส ท่านฝนก้อนอิฐไปเพื่อทำอะไร ? "
    "ทำกระจก" พระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งตอบ
    ท่านหม่าจูเต้าอีจึงพูดขึ้นว่า "ฝนก้อนอิฐให้เป็นกระจก จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าขอรับ ? "
    พระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งจึงเห็นเป็นโอกาส แล้วพูดขึ้นว่า "ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อาจที่จะฝนก้อนอิฐให้เป็นกระจกได้ แล้วการนั่งฌานสมาธิของท่านจะสามารถบรรลุสู่พระพุทธะได้ละหรือ ?"
    ท่านหม่าจูเต้าอีจึงเรียนถามพระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งว่า "ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าควรจะทำเช่นไร "
    พระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งไม่ได้ตอบคำถามของท่านหม่าจูเต้าอีตรง ๆ แต่ได้ถามกลับไปว่า "ถ้าเกวียนซึ่งเทียมด้วยโค ไม่เคลื่อนที่ควรจะทำเช่นไร ?
    "ตีโค" ท่านหม่าจูเต้าอีตอบ
    พระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งจึงได้พูดขึ้นว่า "แต่ว่าในขณะนั้นท่านกำลังตีเกวียนอยู่มิใช่หรือ ?" และได้พูดต่อไปว่า "การนั่งสมาธิอยู่คนเดียว โดยยังไม่กระจ่างแจ้งในพุทธจิตญาณเดิม ก็เปรียบได้กับท่อนไม้แห้งท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง"
    เมื่อถึงขณะนั้นท่านหม่าจูเต้าอีจึงได้สำนึกรู้ตื่นขึ้น ภายหลัง ท่านจึงได้ติดตามพระฌานาจารย์ไฮว่ยั่งไปบำเพ็ญปฏิบัติด้วย
    ฉะนั้น การนั่งนิ่งดั่งท่อนไม้แห้งนั้น จึงเป็นดังที่พระอาจารย์จี้กงได้ตรัสไว้ว่า นั่งเฝ้าซากศพ นั่นเอง
    ในเมื่อพวกเราได้รับธรรมะกันแล้ว จึงควรทำความเข้าใจที่จะใช้กายปลอมมาบำเพ็ญให้กายจริงปรากฏ
    ดังมีคำกล่าวที่ว่า "ถ้าไม่รู้พุทธจิตญาณตน นั่งฌานสมาธิไปก็ไร้ประโยชน์"
     
  3. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
  4. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ฝั่นเฝือกันไป
     
  5. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    แล้วอะไรคือไม่ผั่นเพือน
     
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ล้ำลึก.....
     
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ชื่อกระทู้ ร้าวใจจริง ๆ ... เอาไปใช้ เดี๋ยวเลอะเทอะ [​IMG]



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2009
  8. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    ว้า....เราโง๊...โง่ ม่ายยเข้าใจแหะ ต้องขยันศึกษาเพิ่มเติมแล้ว...
     
  9. nutt2522

    nutt2522 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +70
    ถ่มรดที่อื่นไม่ได้หรอ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าเห็นชัดอาจจะไม่กล้าถ่มต้องกลืนลงคอสถานเดียว

    " ในความว่างเปล่าทุกแห่ง
    ล้วนมีธรรมกายขององค์ยูไล เจ้าลองบอกอาตมาซิว่าจะให้ถ่มเสมหะไปที่ใด ? "


    แต่ถ้าปลดวางความยึดมั่นถือมั่นลงเสียแล้ว จะถ่มหรือไม่ถ่ม ย่อมสมควรแก่การคารวะ

    [​IMG] อันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เนาะ... (แซวคนบริจาค กระโถน นะเจ้าคะ)
     
  11. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    จิงด้วย ที่อื่นก็มีถมไป ทามมายต้องเจาะจงพระพุทธรูปด้วย

    พอพูดถึงความว่างเปล่าก็ทำให้นึกเรื่องเมื่อวานได้
    เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาได้ไปศึกษาธรรมะกับอาจารย์ ท่านก็เอ๋ยถึงความว่างเปล่าเหมือนกัน ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่าการนั่งสมาธิแล้วหลับในสมาธินะมันสบายหรือ? (การหลับในสมาธิเปนอาการเดียวกับคนที่เข้าสู่ภวังค์ไม่รู้สึกตัว เหมือนท่อนไม้)

    ข้าพเจ้าก็ตอบว่า "สบายมาก" ไม่รู้สึกตัว ว่าง ดับความฟุ้งซ่าน ดีออก หลุดโลกไปเลย ไม่ต้องวุ่นวายใจ

    ท่านหัวเราะและตอบว่า ถ้าตายก็ไม่รู้ตัวละสิ? ไม่มีสติแบบเนี่ย?
    การนั่งสมาธิต้องมีสติ มีสมาธิ จึงเกิดปัญญาพิจารณาความไม่เที่ยง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
    ใช่ร่างกายของเรา จิตของเราเปนตัวศึกษาให้เข้าใจในความจริงไม่ใช่ปล่อยให้หลุดโลกเยี่ยงนี้

    ถ้าไม่เปนเพี้ยนหรือหลงอยู่ในแดนว่างเปล่า เรียกว่า หลงทางจะทำให้ไม่ได้ปัญญาที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง .....:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2009
  12. uppercut

    uppercut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    617
    ค่าพลัง:
    +1,551
    จะไม่ตอบว่าถูกหรือผิดแต่สำหรับผมแล้วเซนก็คือลัทธิแห่งปรัชญาเท่านั้นไม่ใช่พุทธเพราะพุทธคือศาสนาของผู้หลุดพ้น.

    ผมเคยได้รู้ได้เห็นความยึดติดที่เกินไปมาก็มากแต่ครั้งนี้กลับมาได้อ่านได้รู้เรื่องราวของความไม่ยึดติดจนเกินไปของท่านไฮวยั่ง.

    ในสมัยพุทธกาลก็มีพวกลัทธิเดียรถีย์แบบทำนองนี้อยู่มากถ้าพวกใหนมีบุญมากหน่อยก็ได้รับการโปรดสอนปรับเปลี่ยนทิฐธิให้ถูกต้องโดยพระศาสดาเอกของโลกพระสัมมาสัพุทธเจ้าของเรา. ธรรมดาครับบนโลกใบนี้ทุกยุคทุกสมัยก็มีอย่างนี้ทั้งนั้น. อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะอยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะ กฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่ตายไปก็รู้เอง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2009
  13. ANGKOR

    ANGKOR สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +19
    สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามเรื่องของมัน อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อย่างเป็นอิสระ ไร้ขอบเขตแห่งความหมาย

    แต่เมื่อมี " เรา " สิ่งต่าง ๆ จึงถูกกำหนดว่า ถูก หรือ ผิด โดยเอา เรา เป็นบรรทัดฐาน

    ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ แล้ว แม้แต่ " เรา " เองนั้นเมื่อไม่มีอวิชชาครอบงำ ก็ไม่มีตัวตนอยู่แต่เดิม

    เมื่อใดที่ ดวงตาประกอบด้วยวิชชา จึงจะสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณให้พ้นออกจากการจองจำของสิ่งที่ยึด " เรา " ให้จมอยู่กับความไม่รู้เสียได้
     
  14. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ตอบ
    ..ก็ ถ่มน้ำลายใส่ตัวท่านก็ได้ นี่น่า...ทุกข์ ของตนเอง ใยต้องผลักใสใส่องค์ืยูไลด้วย.....กลับไปปฏิิบัติธรรมเสียใหม่ นะ ท่านอาจารย์.....
     
  15. ongsoffer

    ongsoffer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +484
    ไม่เข้าใจหรือครับ ว่าข้อความนี้ บอกถึงอะไร ท่านเป็นผู้เคารพ ในพระพุทธและธรรม มากกว่าเราซะอีก แต่ท่านรู้ถึงความจริง แห่งการยึดติด และไม่ยึดติด หลักธรรมแท้ การเคารพแท้ แล้วสิ่งถูกควร ความรู้ใหม่ของผมนะครับ ทุกศาสนาแห่งความจริง สามารถ บรรลุธรรมได้เช่นกัน นี่คือความเห็นของผมครับ อนุโมทนา และ อโหสิกรรม
     
  16. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ลัทธิเซน เหมาะสำหรับคนบางจำพวกเท่่านั้น

    บังเอิญว่ามัน ดูแนว ดูแหก ดูล้ำ ดูขบถ
    ก้เลยเป็นที่นิยมของวัยรุ่น

    หากได้เคยมีประสพการณ์มาบ้าง
    จะเห็นว่าคนพวกนี้ไม่มีกำลังในการรับผลกรรมอะไรเลย
    เวลาภัยมาถึงตัว มักติดนิสัย ผลักไสมัน ให้อะไรซักอย่างที่ ไม่ใช่ฉัน

    จะพบว่า ไม่เคยเห็นลัทธิเหล่านี้ กล่าวโทษโจทย์ความผิดตนเลย

    ทั้งๆที่เกือบทุกบันทัดของคำภีร์ เป็นการกล่าวโทษโจทย์ความผิด
    อะไรซักอย่าง ที่ไม่ใช่ "ฉัน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2009
  17. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    แต่อย่าเพิ่งตำหนิพวกเขา
    มันมีอยู่ก็เพราะมันต้องมี

    บางท่านรู้เลยว่าจะต้องโดนผลกรรมอะไรบ้าง
    แต่ก็ทำ
    และรู้ด้วยว่าลูกศิษย์ของตนหากเชื่อแล้วเอาไปถ่ายทอดต่อจะโดนอะไรบ้าง
    แต่ก็ทำ

    หากไม่มีรสนิยมไปในแนวทางเดียวกัน
    อยู่ให้ห่างๆกันไว้

    ถ้าเราดีจริง เราก็ไม่รู้จะติอะไรใคร
    และถ้าเค้าดีจริง เค้าหาเหตุผลมาติ หรือชื่นชมอะไรไม่ได้หรอก

    คนพวกนี้หากทำจนถึงจุดหนึ่ง จะเป็นพระอริยะเจ้าไม่ได้
    บางคนจงใจทำ

    ศาสนาพุทธเป็นของส่วนรวม ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
    มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมบ้าง
     
  18. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    นิกายที่เหลือ คือนอกจากเถรวาทเกิดขึ้นแล้วเป็นดุจกาฝากเกิดอยู่ที่ต้นไม้

    จาก

    พระอรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑

    ความว่า

    ๑. ภิกษุผู้ลามกทั้งหลาย ผู้เป็นชาววัช-

    ชีบุตร ผู้เป็นอธรรมวาที ถูกพระเถระ ผู้

    เป็นธรรมวาที ทั้งหลายขับออกแล้ว ได้พวก

    อื่นจึงตั้งคณาจารย์ใหม่.

    ๒. ภิกษุเหล่านั้นมีประมาณหมื่นรูปได้

    ประชุมกันรวบรวม คือทำการร้อยกรอง

    พระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น การร้อยกรอง

    พระธรรมวินัยนี้ ท่านจึงเรียกว่า "มหาสังคีติ"

    แปลว่า การร้อยกรองใหญ่.

    ๓. ภิกษุทั้งหลายผู้ทำมหาสังคีติ ได้ทำ

    ความขัดแย้งไว้ในพระศาสนา ทำลายสังคาย-

    นาเดิม แล้วทำการรวบรวมธรรมวินัยไว้เป็น

    อีกอย่างหนึ่ง.

    ๔. ภิกษุเหล่านั้นได้แต่งพระสูตรที่สัง-

    คายนาไว้แล้วให้เป็นอย่างอื่น และทำลาย

    อรรถและธรรมในพระวินัยในนิกายทั้ง ๕ ด้วย.

    ๕. อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นไม่รู้แม้ซึ่งธรรม

    อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดย

    ปริยายและทั้งโดยนิปปริยาย ไม่รู้อรรถที่พระ

    ผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำไว้แล้วและทั้งไม่รู้

    จักอรรถที่ควรแนะนำ.

    ๖. ภิกษุเหล่านั้น ๆ ได้กำหนดอรรถ

    ไว้เป็นอย่างอื่นจากอรรถที่พระผู้มีพระภาคเจ้า

    ตรัสไว้โดยหมายเอาอย่างหนึ่ง ได้ยังอรรถ

    มากมายให้พินาศไปเพราะฉายาแห่งพยัญชนะ

    ๗. ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งพระสูตรบางอย่าง

    และพระวินัยอันลึกซึ้งเสีย แล้วแต่งพระสูตร

    เทียม พระวินัยเทียมทำให้เป็นอย่างอื่น.


    ๘. คัมภีร์บริวารอัตถุธาระก็ดี อภิธรรมทั้ง

    ๖ ปกรณ์ก็ดี ปฏิสัมภิทานิทเทสก็ดี ชาดกบางส่วนก็ดี.

    ๙. คัมภีร์มีประมาณเท่านี้ ถูกภิกษุเหล่า-

    นั้นจำแนกไว้ต่าง ๆ กันแล้วแต่งให้เป็นอย่าง

    อื่นทั้ง นาม ลิงค์ บริขาร และอากัปปกรณียะ.

    ๑๐. ภิกษุผู้เป็นหัวหน้าคณะ ผู้มีวาทะ

    อันแยกกันแล้ว ผู้ทำมหาสังคีติเหล่านั้นได้พา

    กันละทิ้งซึ่งความเป็นปกตินั้นเสียแล้วแต่งให้

    เป็นอย่างอื่น.

    ๑๑. ก็โดยการเรียนแบบอย่างแห่งภิกษุ

    เหล่านั้น ได้มีลัทธิอันแตกแยกกันขึ้นมาก-

    มาย และภายหลังแต่กาลนั้นมาได้เกิดแตก-

    แยกกันขึ้นในมหาสังฆิกะนั้น ดังนี้คือ :-

    ๑๒. ภิกษุผู้มหาสังฆิกะได้แตกแยกกัน

    เป็น ๒ พวก คือ เป็นโคกุลิกะพวกหนึ่งเป็น

    เอกัพโยหาริกะพวกหนึ่ง ต่อมาอีกนิกาย

    โคกุลิกะแตกกันออกเป็น ๒ พวก คือ :-

    ๑๓. เป็นนิกายพหุสสุติกะพวกหนึ่ง เป็น

    นิกายบัญญัติพวกหนึ่ง แต่นิกายเจติยะนั้น

    แตกแยกมาจากพวกมหาสังคีติได้เป็นอีกพวกหนึ่ง.

    ๑๔. ก็นิกายทั้ง ๕ เหล่านี้ทั้งหมดมีมูล

    มาจากพวกทำมหาสังคีติที่ทำลายอรรถและ

    ธรรม และทำลายการสงเคราะห์ธรรมวินัยบางอย่าง.

    ๑๕. ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งคัมภีร์บางคัมภีร์

    และกระทำให้เป็นอย่างอื่นทั้ง นาม ลิงค์

    บริขาร และอากัปปกรณียะ.

    ๑๖. อนึ่ง ในเถรวาทผู้บริสุทธิ์ เหล่า

    ภิกษุผู้ละทิ้งปกติภาวะและกระทำให้เป็นอย่าง

    อื่นนั้น ได้เกิดการแตกแยกกันขึ้นอีก ดังนี้

    คือ :-

    ๑๗. เป็นมหิสาสกะพวกหนึ่ง เป็นวัช

    ชีปุตตกะพวกหนึ่ง สำหรับพวกวัชชีปุตตกะ

    นั้นได้แตกแยกออกไปอีก ๔ พวก คือ:-

    ๑๘. ธัมมุตตริกะ ๑. ภัทรยานิกะ ๑.

    ฉันนาคาริกะ ๑. สมิติยะ ๑. ในกาลต่อมา

    พวกมหิสาสกะแตกแยกกันเป็น ๒ พวกอีก

    คือ :-

    ๑๙. เป็นพวกสัพพัตถิกวาทะ และ

    ธัมมคุตตวาทะ สำหรับสัพพัตถิวาทะยังแตก

    ออกเป็นนิกายกัสสปิกะ ต่อมานิกายกัสสปิกะ

    แตกแยกเป็นนิกายสังกันติกวาทะ.

    ๒๐. ต่อมาสังกันติกวาทะแตกกันเป็น

    สุตตวาที ได้แตกแยกกันมาโดยลำดับดังนี้

    วาทะ คือนิกาย เหล่านี้ทั้ง ๑๑ นิกายแตก

    แยกออกไปจากเถรวาททั้งสิ้น.

    ๒๑. ภิกษุเหล่านั้นทำลายทั้งอรรถและ

    ธรรม ทำการรวบรวมอรรถธรรมไว้บางอย่าง

    และได้ทอดทิ้งคัมภีร์บางคัมภีร์ ทั้งกระทำให้

    เป็นอย่างอื่น.

    ๒๒. ตลอดทั้ง นาม ลิงค์ บริขาร และ

    อากัปปกรณียะ ได้พากันละทิ้งความเป็นปกติ

    เสียแล้ว.

    ๒๓. นิกายที่แตกแยกกัน ๑๗ นิกาย

    นิกายที่ไม่แตกแยกกันมี ๑ นิกาย คือเถรวาท

    รวมนิกายทั้งหมดเป็น ๑๘ นิกาย อีกอย่าง

    หนึ่งท่านเรียกว่า ตระกูลอาจารย์ ๑๘ ตระกูล.

    ๒๔. คำสั่งสอนของพระชินะเจ้าเป็น

    ของบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นหลัก

    มั่นคงสูงสุดของเถรวาททั้งหลาย ราวกะต้นไม้

    ใหญ่ ชื่อว่า นิโครธ ฉะนั้น.

    ๒๕. นิกายที่เหลือ คือนอกจากเถรวาท

    เกิดขึ้นแล้วเป็นดุจกาฝากเกิดอยู่ที่ต้นไม้
    นิ-

    กายที่แตกแยกกันมาทั้ง ๑๗ นิกายานี้ ไม่มีใน

    ร้อยปีแรก แต่ในระหว่างร้อยปีที่ ๒ คือภายใน

    พระพุทธศักราช ๒๐๐ ปี ได้เกิดขึ้นแล้วใน

    ศาสนาของพระชินะพุทธเจ้า ด้วยประการ

    ฉะนี้แล.

    อนึ่ง อาจริยวาท ๖ แม้อื่นอีก คือ ๑.

    เหมวติกะ ๒. ราชคิริกะ ๓. สัทธัตถิกะ ๔.

    ปุพพเสลิยะ ๕. อปรเสลิยะ ๖. วาชิริยะ

    เกิดขึ้นแล้วในกาลอัน ๆ อีก อาจริยวาท

    เหล่านั้น พระคันถรจนาจารย์ท่านไม่ประสงค์

    จะกล่าวไว้ในที่นี้.

    <!--MsgEdited=0-->
     
  19. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    "พุทธศาสนา" คือ อะไร?

    แต่เดิมเราไม่ได้ใช้คำว่า "ศาสนา" เพราะ คำบาลี ไม่มีคำว่า "ศาสนา"
    มีแต่ "สาสนํ"

    ดัง เมื่อ พระพุทธองค์ ตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 3
    แก่ พระอรหันตสาวก ที่มาประชุมกัน ณ พระเวฬุวันวิหาร ว่า

    ๏ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
    สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

    ๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ
    กุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํ
    เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ

    ๏ อนูปวาโท อนูปฆาโต
    ปาติโมกฺเข จ สํวโร
    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
    ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
    อธิจิตฺเต จ อาโยโค
    เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    ซึ่ง วรรคสุดท้าย ท่านแปลว่า นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    พุทธสานํ จึงหมายถึง คำสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้ง พระพุทธเจ้าองค์
    ก่อนๆ ที่ตรัสรู้มาก่อนนี้

    ดังนั้น สิ่ง ที่ไม่ใช่ คำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่ แต่งขึ้นโดยอัตโนมติ
    ดังพระอรรถกถา ว่า


    .................๗. ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งพระสูตรบางอย่าง

    และพระวินัยอันลึกซึ้งเสีย แล้วแต่งพระสูตร

    เทียม พระวินัยเทียมทำให้เป็นอย่างอื่น.


    จึงไม่นับเป็น "พุทธสาสนํ"

    "ศาสนา" ป็น คำใหม่ ที่ แปลตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า "Religion" ซึ่ง
    เป็นไปตามความเข้าใจแบบโลกๆ

    ดังนั้น ในสมัยปัจจุบัน เราจึงรู้จัก คนที่นับถือ "ศาสนาพุทธ"
    แต่ไม่รู้จัก "คำสอนของพระพุทธเจ้า" เป็นจำนวนมาก

    และ คิดว่า สิ่งอื่นนอกเหนือจาก "พุทธสาสนํ" คือ "ศาสนาพุทธ"
     
  20. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    "เซน" หรือ นิกายเซน เป็นชื่อญี่ปุ่นของพุทธศาสนา นิกายมหายาน โดยมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย และผ่านมาทาง ประเทศจีน เกาหลีและเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าจากประเทศจีนในช่วงระหว่างที่เผยแผ่มาสู่ญี่ปุ่น การฝึกตนของนิกายเซน เน้นที่การนั่งสมาธิเพื่อการรู้แจ้ง

    ...มีเนื้อหาต่อ....

    จากสารานุกรม วิกิพีเดีย

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99
     

แชร์หน้านี้

Loading...