ทำอย่างไรเวลาบริจาคลูกเมียเป็นทาน จะไม่มีผู้ใดคิดปองร้าย ข่มเหง รังแก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirius Galaxy, 14 มิถุนายน 2013.

  1. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    บุคคลผู้ปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญพระโพธิสัตว์ สามารถตั้งจิตอธิฐานให้ภรรยาและบุตรธิดาที่พระโพธิสัตว์จำต้องสละให้เป็นทานนั้น ให้เป็นผู้ที่มีความแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายใดๆทุกประการ ไม่มีผู้ใดมาคิดประทุษร้าย ทำลายร้าง ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ สิ่งที่จะทำให้ได้รับความลำบากแม้เพียงเล็กน้อยนั้นไม่มี เป็นผู้อยู่เป็นสุข และถูกนำตัวไปถวายคืนพระโพธิสัตว์โดยเร็วพลัน

    คำอธิฐานนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เป็นจริงขึ้นได้หรือไม่ครับ

    ความคิดเห็นของท่านทั้งหลายล้วนเป็นวิทยาทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2013
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    พระโพธิสัตว์ ไม่อยู่เหนือกฎแห่งกรรม

    การบริจาคลูกเมียนั้น เพื่อให้พระโพธิสัตว์เรียนรู้ถึง เมตตาไม่มีประมาณ และ อุเบกขาที่แท้จริง

    ทำให้เห็นแจ้งถึงความจริงว่า สัตว์ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมด ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง

    หากยังคิดแต่ว่า นั่นคือ ภรรยาของเรา นั่นคือลูกของเรา เขาต้องปลอดภัย ต้องได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษมากกว่าสัตว์โลกอื่นๆ กำลังใจแบบนี้ ถือว่ายังต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก
     
  3. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154

    อนุโมทนาครับ อ่านดูเหมือนยังสละไมขาด

    ธรรมดาครับความรู้สึกนึกคิดตอนนี้ กับเมื่อ

    ถึงเวลาขณะนั้จริงๆอาจคนละอย่างกัน

    ลองเข้าไปศึกษาเรื่อง สังคหวัตถุ๔ ครูอาจารย์

    ท่านที่ละความปราถนาท่านแนะนำมาครับ.
     
  4. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ให้แล้วไม่ห่วงครับ ลองไปอ่านดูในตำราใหญ่ ตอนที่ชูชก ตีสองกุมารต่อหน้า หลังทรงประทานบุตรให้ไปแล้ว ทำได้คือ ทมะ ขันติ เท่านั้น คิดถึงพระโพธิญาณ และมุทิตากับความเสียสละของบุตร ภรรยา ที่ได้เสียสละตนเพื่อร่วมสงเคราะห์สัตว์โลกในอนาคตข้างหน้า ถ้ายังห่วงบารมียังไม่ถึง ก็อย่าไปทำครับ อันนี้ถามมา ไม่ได้รู้เอง ไม่มีปัญญา ^_^
     
  5. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ใช้อธิษฐานบารมีที่ว่ามาก็น่าจะใช้ได้นะคะ
    บางคนอธิษฐานให้คนที่ขอภรรยาและบุตร
    นำท่านทั้งหลายมาคืนพระโพธิสัตว์เองด้วยซ้ำไปค่ะ
    หรือบางคนก็อธิษฐานให้พระอินทร์แปลงกายมาขอและคืน...(เหมือนพระนางมัทรี)
    ซึ่งอันนี้ก็ว่ากันไปตามปัญญาบารมีและตามกำลังบุญกรรมที่ทำไว้ค่ะ
     
  6. Bar

    Bar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +164
    พระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู)

    สตฺถา สมเด็จพระบรมครูสัพพัญญูเจ้าของเราตรัสพระธรรมเทศนาว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาพระยามาราธิราช ผู้เป็นธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โลกทั้งหลายจะสูญจากสมเด็จพระพุทธเจ้าสิ้นกาลช้านานถึง ๘ กัปป์ แผ่นดินตั้งขึ้นมาใหม่ได้แสนแผ่นดิน แผ่นดินนั้นสูญเปล่าเป็นสุญญกัปป์ หาบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้าไม่ ในเมื่อสุญญกัปนับได้แสนแผ่นดินล่วงไปแล้ว จึงบังเกิดแผ่นดินมาใหม่ มีชื่อว่ามัณฑกัปนั้น เป็นแผ่นดินทรงพระพุทธเจ้าได้ตรัส ๒ พระองค์ คือ
    - พระยาอสุรินทราหู ๑
    - โสณพราหมณ์ ๑
    อันว่าพระยาอสุรินทราหูจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ลำดับนั้นโสณพราหมณ์จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสืบไปฯ
    เมื่อพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงพระนามว่าพระนารทะ
    - มีพระองค์สูงได้ ๒๐ ศอก
    - มีพระชนมายุยืนได้หมื่นปีเป็นกำหนด
    - มีไม้จันทร์เป็นพระมหาโพธิ
    - ประกอบไปด้วยรัศมีสว่างรุ่งเรืองทั้งกลางวันและกลางคืน เปรียบประดุจดังว่าสายฟ้าในกลีบเมฆ พระพุทธรัศมีที่เป็นแผ่นแผ่ทึบเป็นแท่งเดียวนั้น ปรากฏสัณฐานดุจดอกปทุมชาติอันตั้งขึ้นมา
    - ครั้นศาสนาพระยาอสุรินทราหูนั้น ในแผ่นดินประเทศทั้งปวงเกิดรสภักษาหาร ๗ ประการ มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคภักษาหาร ๗ ประการ อันเกิดแก่แผ่นดิน ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตของอาตมาเป็นสุขสำราญมิได้ขาด

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร อันว่าพระนารทผู้ทรงพระภาคนั้น มีพระรัศมีเห็นปานดังนี้ คือพระยาอสุรินทราหูแต่ก่อนได้สร้างบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลาย ๑๐ ประการมาเป็นอันมากแล้ว จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ แต่กองบารมีอันหนึ่ง พระยาอสุรินทราหูได้กระทำเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่ง ปรากฏเป็นอัศจรรย์ พระองค์มีพระพุทธฎีกาดังนั้นแล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงแล้วช้านาน ในเมื่อพระสาสนาพระพุทธกัสสปทศพลญาณ พระยาอสุรินทราหูนี้ได้เสวยพระชาติเป็นบรมกษัตริย์ เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในมัลลนคร เป็นเอกราชอันประเสริฐ ทรงพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช มีพระราชอัครมเหสีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชบุตร พระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชบุตรมีนามว่า เจ้านิโครธกุมาร พระราชธิดามีนามว่า นางโคตมี อยู่มาวันหนึ่งยังมีพราหมณ์ ๘ คน พากันมาสู่สำนักแห่งพระยาสิริคุตต์ กราบทูลขอพระนคร พระองค์ก็ทรงโสมนัสบังเกิดพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานพระนครให้แก่พราหมณ์ทั้ง ๘ ยังแต่พระราชอัครมเหสีและพระราชโอรสกับพระราชธิดาทั้ง ๒ ก็พากันออกจากพระนครเข้าไปในอรัญประเทศ กระทำอาศรมอาศัยอยู่บนยอดเขาใหญ่ พร้อมกันทั้งสี่กษัตริย์ทรงเพศเป็นบรรพชิตอยู่ในอาศรมบทฯ

    ในกาลครั้งนั้นยังมียักษ์ตนหนึ่ง มีนามว่ายันตะ ยักษ์ใหญ่สูงได้ ๑๒๐ ศอก ออกจากประเทศราวป่ามาเฉพาะต่ออาศรมแห่งกษัตริย์ทั้ง ๔ องค์ ยืนอยู่ในที่นั้นแล้วจึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นยักษ์รักษาพนาลี มีแต่เลือดและเนื้อเป็นภักษาหารเลี้ยงชีวิต ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ปรารถนาจะขอพระราชโอรสและพระราชธิดา ทั้ง๒องค์ เป็นภักษาหาร ถ้าพระองค์ทรงพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานให้แล้ว ไปในอนาคตเบื้องหน้า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นแม่นมั่น เมื่อหน่อพระชินวงศ์ได้ทรงฟังยันตะยักษ์ทูลขอพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง ๒ นั้น พระยาสิริคุตตราชฤาษีผู้แสวงหาพระโพธิญาณก็ชื่นบานในกมลหฤทัยแสนทวี ท้าวเธอจึงมีสุนทรสารทีตรัสแก่ยันตะยักษ์ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญเอ๋ย พระราชกุมารและพระราชกุมารีทั้ง ๒ องค์นี้ ใช่ว่าเราจะไม่มีความเสน่หาอาลัยหามิได้ ด้วยเรารักใคร่ในพระโพธิญาณยิ่งกว่ากุมารทั้ง ๒ ได้ แสนเท่าพันทวี เราจะสละพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง ๒ ศรี ให้เป็นทานแก่ท่านในกาลบัดนี้ ตรัสแล้วเท่านั้นก็เสด็จลุกจากอาสน์ จูงเอาข้อพระหัตถ์พระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง๒ ผู้ร่วมพระราชหฤทัย มาพระราชทานให้แก่ยันตะยักษ์ แล้วหล่อหลั่งอุทกธาราให้ตกลงเหนือมือแห่งยักษ์ พระองค์จึงประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าและนางพระธรณีให้เป็นสักขีพยานว่า เดชะแห่งผลทานนี้จงสำเร็จแก่พระสร้อยเพชุดาญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด พอสิ้นความปรารถนาก็บังเกิดมหัศจรรย์ทั่วโลกทุกห้องจักรวาล ปานแผ่นพสุธาจะทรุดจะทำลายฯ
    เบื้องหน้ายันตะยักษ์ครั้นได้รับพระราชทานพระราชกุมารและพระราชกุมารีแล้ว ก็บังเกิดมีความชื่นชมยินดี พาตรุณสองศรีไปยังหลังพระบรรณศาลา ก็ก้มศีรษะลงกัดเอาคอกุมารและกุมารีทั้งสองให้ขาดด้วยอำนาจของอาตมา แล้วก็ดื่มโลหิตกินเป็นภักษาหาร แล้วก็เคี้ยวซึ่งเนื้อและกระดูกกลืนเข้าไป เสียงเคี้ยวนั้นดังกร้วมๆ พระฤๅษีผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเห็นหยาดเลือดย้อยลงจากปากยันตะยักษ์ในขณะเมื่อเคี้ยวนั้น มิได้มีพระทัยไหวหวาดด้วยโลกธรรม จึงร้องประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าทุกหย่อมหญ้าลดาวัลย์ทั้งปวงจงมาชื่นชม ด้วยทานของเราบัดนี้เป็นอันประเสริฐแล้วฯ

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ในเมื่อพระศาสนาของของพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
    - ฝูงชนทั้งปวงประกอบไปด้วยรูปศิริวิลาสเป็นอันงาม ควรจะนำมาซึ่งความสิเนหา ด้วยเดชะผลานิสงส์ที่ให้ลูกทั้งสองเป็นทานฯ
    - ซึ่งพระองค์ประกอบได้ด้วยพระพุทธรัศมีส่องสว่างสิ้นทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นด้วยเดชะผลานิสงส์ที่เห็นโลหิตกุมารทั้ง ๒ หยดย้อยลงจากปากยักษ์ มิได้มีความหวาดหวั่นไหวในมหาทานเลย
    แสดงมาด้วยเรื่องราบพระยาอสุรินทราหูบรมโพธิสัตว์คำรบ ๕ ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ
     
  7. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    หากเข้าใจเรื่อง การส่งผลของวิบากกรรม ก็น่าจะ มีวิธีตระเตรียมให้ความปราถนานี้เป็นจริงขึ้นมาได้ครับ
    ลองศึกษา พระพุทธเจ้า พระองค์อื่นๆ ช่วงเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ต้องบริจาคบุตรธิดา เช่น พระมังคละพุทธเจ้า เพราะสมัยเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ยักษ์ตนหนึ่งได้ปลอมตัวเป็นพราหมณ์ได้มาขอบุตรสองคนจากพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงบริจาคให้โดยถือว่าเป็นบารมีไปสู่โพธิญาณ พอยักษ์ได้เด็กแล้วก็กินเด็กทั้งสองต่อหน้าพระโพธิสัตว์
    เนื่องจาก บุตรสองคนนั้นมีวิบากกรรม ที่ส่งผลให้ต้องโดนยักษ์กิน จึงต้องเป็นเช่น ซึ่งหากบุตรสองคนนั้น ไม่มีวิบากกรรม เหตุการก็จะเป็นอย่างอื่นไป
    ย้อนกลับมาดูที่ สมัยพระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์ จะพบว่า พระชาลีและพระกัณหา มีวิบากกรรมที่จะต้องโดน แค่ถูกทารุณ แต่ไม่ถึงกับต้องตาย ก็จึงเป็นเช่นนั้น
    ส่วนพระนางมัทรี ไม่มีวิบากกรรม กลับจะมีแต่บุญกุศล ซึ่งบุญกุศลนั้น ได้ส่งผลให้ พระอินทร์ เสด็จลงมาช่วย
    หากเข้าใจเรื่อง การส่งผลของวิบากกรรมแล้ว คุณก็จะต้องตระเตรียมภรรยาและบุตรธิดา ให้มีแต่บุญกุศล ไม่มีวิบากกรรม ซึ่งอาจต้องใช้เวลาตระเตรียมนานหลายๆ กัป ล่วงหน้า ก่อนถึงชาติที่ต้องทำการบริจาค
    และ คำอธิฐาน ของคุณที่ว่ามาทั้งหมดนั้นก็จะเป็น ส่วนช่วยทำให้เป็นจริงขึ้นได้ เหมือนหางเสือเรือ ช่วยกำกับอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกันครับ
     
  8. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    บางอย่างก็ควรอธิฐานครับท่านพี่
    บางอย่างก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิฐานครับ

    ตามนี้เลยครับ...+++
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ให้ไปอ่านตัวอย่าง ของพี่ พีทีโอ (วิริยาธิกะพิเศษ บันทึก) นั่นน่ะของจริง ที่เขาทำถึงไหน เขาจะย้ำ อยู่ตรงนั้น ครับ ถ้าพูดเกิน จะอ้างตำรา ของครู บาอาจารย์ต่างๆ เข้าไปดูและลองคุยกันได้ครับ


    ถามดี มีประโชน์มากครับ และพุทธภูมิ กำลังไม่เหมือนกัน ต้องศึกษา ผู้ที่ใหญ่กว่า ตามขั้นตอน ของสิ่งนั้นๆ พวกนี้ไม่เชื่อใครง่ายๆหรอก ต้องทำเอง และก็ไม่ประฏิเศษ และต้องเกิด ร่วมกับอุทรณ์ พระธิสัตว์ น้อยใหญ่ ศึกษา เกื้อกูล กันและกัน เหมือนครูบาอาจารย์ต่างๆ อีกมากมายครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  10. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ที่ลูกเมีย โดนทำร้าย เมื่อบริจาคไปแล้ว ก็เพราะกรรมเก่าของลูกเมีย มาให้ผลครับ

    หากเขาไม่มีกรรมตรงนี้ บริจาคไป ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นครับ

    อย่างกัณหาชาลี ก็มีกรรมที่เคยเฆี่ยนตีวัวควายที่เคยเลี้ยงไว้ในชาติก่อนๆครับ
     
  11. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    สามารถทำได้ครับ แต่จะเป็นช่วงบารมีเข้มข้นถึงข้นเลยครับ แบบว่าบารมี 30 ทัศเต็มแล้วจนนับไม่ถ้วน

    แต่ว่าช่วงบารมีต้นๆนี่ ลูกเมียทำบุญบารมีช่วงต้นๆมาพอๆกับท่านอาจเหนื่อยบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    อันนี้กล่าวชอบแล้ว สาธุ
    ขอเพิ่มเติมอีกนิดครับ

    การให้ทานของพระโพธิสัตว์นั้นจะให้แบบไม่มีเงื่อนไข ไม่มีกั๊ก ไม่มีอิดออด พร้อมจะให้โดยไม่มีข้อแม้ ดังนั้นจึงไม่สามารถเลือกผู้รับได้ เพราะถ้ายังเลือกผู้รับเฉพาะที่ดีๆ ทานนั้นจะไม่เป็นมหาทาน กลายเป็นทานที่เลือกให้เฉพาะบุคคลไป บารมีจะไม่เต็ม
    อย่างพระกัณหาชาลีที่ถูกชูชกเฆี่ยนตีเอาก็เพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ตามมาส่งผล เป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ อย่างเช่นพระมังคลพุทธเจ้า ที่มีรัศมีแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุตลอดเวลายิ่งกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ มาดูกันว่าในสมัยที่พระองค์สร้างบารมีแบบพระเวสสันดร ทรงทำอย่างไร มาดูในพระไตรปิฎกกัน

    ครั้งนั้น ยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งกินมนุษย์เป็นอาหาร ชอบเบียดเบียนคนทุกคน ชื่อขรทาฐิกะ ได้ข่าวว่า พระมหาบุรุษชอบให้ทาน จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เข้าไปหา ทูลขอทารกสองพระองค์กะพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัยว่า เราจะให้ลูกน้อยสองคนแก่พราหมณ์ดังนี้ ได้ทรงประทานพระราชบุตรทั้งสองพระองค์แล้ว ทำให้แผ่นดินหวั่นไหวจนถึงน้ำ ขณะนั้น ทั้งที่พระมหาสัตว์ทรงเห็นอยู่ ยักษ์ละเพศเป็นพราหมณ์นั้นเสีย มีดวงตากลมเหลือกเหลืองดังเปลวไฟ มีเขี้ยวโง้งไม่เสมอกันน่าเกลียดน่ากลัว มีจมูกบี้แบน มีผมแดงหยาบยาว มีเรือนร่างเสมือนต้นตาลไหม้ไฟใหม่ๆ จับทารกสองพระองค์ เหมือนกำเหง้าบัวเคี้ยวกิน พระมหาบุรุษมองดูยักษ์ พอยักษ์อ้าปาก ก็เห็นปากยักษ์นั้น มีสายเลือดไหลออกเหมือนเปลวไฟ ก็ไม่เกิดโทมนัสแม้เท่าปลายผม เมื่อคิดว่าเราให้ทานดีแล้ว ก็เกิดปีติโสมนัสมากในสรีระ. พระมหาสัตว์นั้นทรงทำความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองนี้ เมื่อพระองค์อาศัยความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีทั้งหลายจึงเปล่งออกจากสรีระ แผ่ไปตลอดสถานที่มีประมาณเท่านั้น.


    ถ้าเป็นสาวกภูมิ ต้องเลือกให้ คือเลือกทำทานในทักขิไณยบุคคลเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิจะต้องให้โดยไม่เลือก คือให้กับผู้ที่ต้องการโดยเสมอกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  13. naproxen

    naproxen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +742
    ไม่กลัว ไม่เกลียด ไม่กังวล

    ใช้ปัญญา กล้า มั่นใจ ให้เลย สำเร็จสัพพัญญุตญาณ อย่างแน่นอน
     
  14. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    สรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามเหตุ
    เมื่อทราบเหตุผล ก็จะเข้าใจ ปล่อยวาง ปราศจากความครั่นคร้ามและกังวล

    ท่านอื่นๆได้กล่าวไว้หมดเเล้ว โมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  15. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ถ้าทำในสมัยนี้เขาเรียกว่าเลวสัตว์นรกเลยครับ ที่ทิ้งลูกทิ้งเมียให้ไปเป็นภาระของคนอื่น ที่เอาไปทิ้งขว้างเพื่อให้ตัวเองสบาย การที่ละกิเลสไม่ใช่หมายถึงการทิ้งขว้างไปเลยนะครับ การให้ลูกเมียคนอื่นไปต้องถามความสมัครใจของลูกเมียด้วย เพราะเทวดาคอยปกป้องคุ้มครองมันไม่มีจริง แล้วคุณก็ไม่ได้มีบารมีเหมือนพระเวชสันดรด้วย ที่มีเครือญาติที่มีอิทธิพล คนจะทำอะไรก็ต้องเกรงใจ เงื่อนไขมันไม่เหมือนกัน จะมาทำอย่างนี้ทำไปก็ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์หรอก
     
  16. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ทำอย่างไรเวลาบริจาคลูกเมียเป็นทาน จะไม่มีผู้ใดคิดปองร้าย ข่มเหง รังแก

    ตอบ: ทำอย่างพระเวสสันดร อดกลั้น แล้ว ยินดีในทานที่ได้กระทำไป เรื่องการจะโดนปฏิบัติยังไง ก็ไม่เป็นอะไรมากเพราะแก้ที่เหตุคือ ใจ
    ส่วนเรื่องกรรมเดิมให้ผลแต่ล่ะท่านไม่เหมือนกัน โดนจับกิน โดนเฆี่ยน โดนขายต่อ โดนสารพัดหลายรูปแบบ กรรมเดิมมาส่งผลโทษใครไม่ได้เลย เพราะแต่เดิมผู้ที่จะโดนบริจาคได้ ผู้นั้นเดิมต้องปราถนามาเพื่อให้พระโพธิสัตว์บริจาคตนเองเป็นทานให้บารมีเต็ม ตั้งใจเดิมมาแต่แรกแล้ว งอแงไม่ได้ โอดครวญไม่ได้ เลือกมาเองแบบนี้ พระโพธิสัตว์ห้ามปรามตั้งแต่แรกไปแล้ว แต่ก็ขอมาทำอย่างนี้ เวลาที่พระโพธิ์สัตว์บริจาค ก็คือการสำเร็จความตั้งใจเดิมของตนแล้วนั่นเอง ไม่บริจาคสิกลับเป็นการเสียสัจจะ

    ฟุ้งไปหน่อย เท่านี้พอ
    กรรมใด ๆ จะพึงมี ขอท่านทั้งหลายอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าตราบเข้านิพพานด้วยเทอญ
     
  17. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    คนสมัยปัจจุบัน มักพิจารณาโดยยกกำลังใจของตนเป็นประมาณแล้วประมาณกำลังใจของผู้อื่นโดยกำลังใจของตน ไม่เสมอไปหรอกครับท่าน ในสมัยปัจจุบัน ยังไม่เจอใครที่ทำแบบพระเวสสันดร แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครทำไม่ได้เลย
    บริจาคให้ไปทั้ง ๆ ที่รักสุดดวงใจ ไม่ได้บริจาคด้วย เบื่อ ระอา รังเกียจ แล้วมาอ้าง ทานบารมี อ้างแนวพระโพธิสัตว์ ไปเรื่อยเปื่อย ถ้าบริจาคโดยเหตุ แบบหลัง คำข้างต้นของคุณนั่นตรงทีเดียว แต่ถ้าเป็นแบบแรก แย่แน่ ๆ ถ้าหลงไปตำหนิเข้า

    กรรมใดจะพึงมี ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าผู้โง่เขลาด้วยเทอญ
     
  18. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    __/|\__ กราบขอบพระคุณทุกความเห็นครับ

    เรื่องการบริจาคลูกเมียเป็นทานนี้ ใช่ว่าพระมหาโพธิสัตว์จะบำเพ็ญในพระชาติที่เป็นพระเวสสันดรก็หาได้ไม่ แต่ได้ทรงบริจาคมาแล้วหลายต่อหลายชาติดังปรากฏใน ยโสธราเถริยาปทานที่ ๘ ว่าด้วยบุพจริยาของพระยโสธราเถรี ความว่า
    “ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้เป็นภรรยาผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย”
    “ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย”
    “ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อประโยชน์เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย”

    สำหรับการบริจาคบุตรธิดาให้เป็นทานนั้นก็มีปรากฏใน อุบลวรรณาเถริยาปทานที่ ๙ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุบลวรรณาเถรี ความว่า
    “ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ได้ประทานชีวิตแก่หม่อมฉันหลายหมื่นโกฏิกัป แม้หม่อมฉันก็บริจาคชีวิตของหม่อมฉัน เพื่อประโยชน์แก่พระองค์”
    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2013
  19. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    อ่านต่อ
    ตามที่หลายท่านได้กล่าว(เขียน) ไว้ว่าการให้ทานนั้น จะต้องให้โดยไม่มีความหวังในทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ดังที่มีในพระสูตรเรื่อง “ทานสูตร” ดังนี้
    ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนอย่างฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี ผู้บูชามหายัญ ฉะนั้น และไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้
    ดูกรสารีบุตร นี้แลเหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

    แต่การให้ทานของพระโพธิสัตว์นั้น มีลักษณะที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ ให้ทานเพื่อเป็นพลวะปัจจัยให้บรรลุพระโพธิญาณ อันจะเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ดังนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายหรือผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ มักจะอธิฐานพระโพธิญาณในการให้ทานทุกครั้ง
    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2013
  20. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    อ่านต่อ
    ตามที่บางท่านได้กล่าว(เขียน) บุคคลที่จะมาเป็นลูกเมียของพระโพธิสัตว์ที่มีความเที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นผู้ที่เคยตั้งสัจจะอธิฐานมีความปรารถนามาแล้วทั้งสิ้น เมื่อตั้งความปรารถนาแล้วย่อมทราบว่า การมาเป็นลูกเมียของพระโพธิสัตว์นั้น จำต้องถูกพระโพธิสัตว์บริจาคเป็นทานเพื่อพระโพธิญาณ

    ถ้าจะว่าไปแล้ว ผู้ที่จะมาเป็นลูกเมียของพระโพธิสัตว์นั้น เป็นผู้ที่มีความเสียสละ เป็นผู้ที่มีกำลังใจสูงส่ง เป็นผู้ที่มีกำลังใจยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่อนุเคราะห์มีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่สัตว์โลกทั้งหลาย

    คราใดที่พระโพธิสัตว์ตกระกำลำบากได้ความทุกข์ยากแสนสาหัส ลูกเมียก็พลอยได้รับความทุกข์ไปด้วย จึงไปแปลกที่พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายยินดีเป็นผู้ออกจากเรือน ถือเพศเป็นนักบวชบรรพชิต หรือดาบสมุนีต่างๆ แต่พระโพธิสัตว์ไม่สามารถเลือกที่จะเกิดมาเป็นนักบวช ดาบส ฤษี มุนี ได้ทุกๆชาติ เพราะบางชาติต้องอยู่ครองเรือนมีลูกมีเมีย สร้างบารมีในเพศคฤหัสถ์
    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...