ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 4 กรกฎาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    วันที่ 3 กรกฎาคม. 2545
    สถานที่ : สวนแสงธรรม

    ทีนี้จนกระทั่งมาถึงนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปีมันไม่ใช่เป็นเสี้ยนเป็นหนาม มันเป็นหอกเป็นหลาวจะว่าไง มันไม่ใช่เสี้ยนใช่หนามนะมันเต็มอยู่หัวใจเรา มันเป็นหอกเป็นหลาว จะก้าวไปวัดไปวาก็ก้าวไม่ได้ หอกหลาวเป็นขอนซุงทั้งท่อนขวางหน้ามันอยู่มันข้ามไปไม่ได้ซิ จะข้ามไปทางจงกรมก็ข้ามไม่ได้ ข้ามไปไม่ได้ หงายไปทางหลังก็ถูกหมอนมันก็ลงเร็วเข้าใจไหม อันนี้ถ้าหงายมาทางหลังแล้วถูกหมอน ๆ ไปข้างหน้าถูกแต่ซุงทั้งท่อนๆ กิเลสมันกีดมันขวางเอาไว้ ทำให้เราขี้เกียจขี้คร้าน ฟาดมันลงไปอย่าไปถอยนะ

    เราพูดอย่างนี้เรามาระลึกได้อีกว่า เราอยู่นี้เราไม่ได้อยู่ด้วยความเสียดายอะไร ๆ นะเราไม่มี หมดโดยประการทั้งปวง ยังเหลือแต่ขันธ์ล้วน ๆ ดังที่พูดเมื่อวานนี้ ที่รับผิดชอบกันอยู่เท่านี้ พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย เดี๋ยวเจ็บหัวตัวร้อนปวดนั้นปวดนี้ มีแต่เรื่องของขันธ์มันเป็นของมันเอง ก็ดูมันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ความอุปาทานไม่มี มีแต่ความรับผิดชอบเป็นสัญชาติญาณประจำตน เพราะฉะนั้นเวลาท่านมีธาตุมีขันธ์อยู่ กิริยาของธาตุของขันธ์ของพระอรหันต์กับคนเราจึงไม่ได้ผิดกัน เหมือนกัน

    เช่น ก้าวเดินไปนี้ลื่น เอ้า คนปุถุชนลื่นเราก็รู้ไม่สงสัย ลื่นมันก็ต้องป้องกันตัวช่วยตัวเองไม่ยอมให้ล้ม ถ้าไม่สุดวิสัยไม่ยอมล้ม ทีนี้พระอรหันต์เดินไปด้วยกันก็เอาซิน่ะ เดินไปพอลื่นนี้พระอรหันต์ก็ช่วยตัวเองเหมือนกันกับปุถุชน นี่เห็นไหม มันเป็นสัญชาติญาณไม่ได้เป็นความอุปาทานของท่านนะ หากเป็นสัญชาติญาณความรับผิดชอบตัวเอง พระอรหันต์ลื่นพระอรหันต์ก็ช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยว ถ้าพระอรหันต์สู้ไม่ได้พระอรหันต์ก็ต้องล้มเข้าใจไหม นี่ให้จำเอานะ

    การหัวเราะก็เหมือนกัน เมื่อหัวเราะได้ การร้องไห้เรียกว่าธรรมสังเวชทำไมจะมีไม่ได้มันอยู่ในขันธ์ ขันธ์อันนี้ทำงานโดยสมบูรณ์ตลอดเวลาไม่มีอะไรบกพร่อง ตรัสรู้ธรรมไม่ได้สังหารธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์มียังไง โลกมีอยู่ยังไง มันก็มีแบบเดียวกันกับโลก ต่างกันแต่จิตที่บริสุทธิ์แล้วเท่านั้น พากันเข้าใจเสีย เรื่องธาตุเรื่องขันธ์อะไรมีสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม เคยอยู่เคยกินเคยหลับเคยนอนต้องเป็นต้องไป เป็นแต่เพียงว่าจิตไม่เข้าไปยึด เป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งของจิต อันนี้เป็นเรื่องของขันธ์ต่างหาก เพราะฉะนั้นพระอรหันต์กับพวกเรา จึงไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันในกิริยาอาการที่แสดงออก เป็นแต่เพียงภายในนั้นเป็นคนละฝั่งแล้ว ท่านรู้ของท่านเองอันนั้น ให้พากันเข้าใจ

    แหม ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ พ่อแม่มึงตายแล้วมาหัวเราะได้ไหม นี่กูยังไม่ตายกูหัวเราะได้ มันเป็นอะไรวะก็ว่าอย่างนั้น เข้าใจไหม อ้าว มันต้องตอบอย่างนั้นซิ ว่าทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ พ่อแม่มึงตายมึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ได้ กูยังไม่ตายกูหัวเราะได้จะเป็นอะไร เอากันตรงนั้นซิ เข้าใจไหม ก็เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ พากันจำเอานะ สิ่งที่เหมือนโลกเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรผิด เป็นแต่เพียงว่าจิตไม่เข้ามายึด อันนั้นเป็นฝั่งหนึ่งแล้วโดยหลักธรรมชาติ จะทำอะไรให้ยึดก็ไม่ยึด เป็นสิ่งตายตัวแล้ว ธรรมชาติของมันก็เป็นของมันเองอย่างนี้ จึงไม่มีอะไรบกพร่องต่างกัน ระหว่างพระอรหันต์กับปุถุชน สำหรับการแสดงออกของขันธ์จะเหมือนกัน พากันเข้าใจ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    มหาปรินิพพานสูตร


    เป็นอีกเหตุการณ์ในพุทธศาสนา เรื่องท่าทีธัมสังเวช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2012
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขนาด ท้าวสหัสบดีพรหม แล ท้าวสักกะ ผู้มี ตาทิพย์ ส่องเห็น บุคคลในสววรคิ์
    ในดุสิต ในจุฬาฯ ในธรรมศาสตร์ ยังเกิดธรรมสังเวชใน ปรินิพพานของพระพุทธองค์

    ก็ถ้า พระพุทธองค์แค่ ทิ้งสรีระสังขารไว้ในโลก แล้วไปนั่งอยู่ใน จุฬาฯ
    ธรรมศาตร์ต่อได้ แล้ว ท้าวสหัสบดีพรหมจะต้องสะเทือนพระทัย เกิด ธรรม
    สังเวช ทำไม

    ควรจะดีใจ มิใช่หรือ เพราะ จะได้เจอบ่อยๆ ได้เห็นพระองค์ออกมาต้อนรับ

    ยิ้มไหม? ยิ้ม!!

    ให้กันได้บ่อยๆ ด้วยซ้ำไป
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6yjN8QeFjk0]เป็นพระอรหันต์ทำไมน้ำตาร่วง - YouTube[/ame]
     
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ตกลงเป็นพระอรหันต์กันตรงไหน
    ขันธ์๕?
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รู้ชัดเหตุเกิด และความดับแห่งผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง
    รู้ชัดเหตุเกิด และความดับแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง
    รู้ชัดเหตุเกิด และความดับแห่งมหาภูตรูป ๔ ตามความเป็นจริง
    รู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
     
  7. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    หาคำว่า หัวเราะ และ ร้องไห้ ไม่ได้อะครับ

    ปล.คำว่าขันธ์ ๕ ข้างบนโน้น หมายถึง การบรรลุอรหันต์ เกี่ยวอะไรกับร่างกายขันธ์๕
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดับเวทนาเสียแล้ว หัวเราะ และ ร้องไห้ จะไปหาได้ที่ไหนกันครับ
     
  9. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ผม ไม่เชื่อ สิ่งที่ ตาบัว เทศนา....คิดเอาเอง..

    ในพระไตรปิฏก ก็กล่าว ไว้แล้ว...
    ผู้ปราสจาก ราคะ(( ตัณหา ความอยากต่างๆ ความแส่ส่าย ทั้งหลาย))

    ไม่มี ทางร้องไห้ และ หัวเราะ เพระ ตามระลึกสติ ไม่ทัน..หาก บุคคลนั้น บรรลุสภาวะ นิพพานแล้ว...

    แม้แต่ตอน ที่ พระพุทธองค์ ทรง เสด็จ ปรินิพพานนั้น..พระ ที่ยังไม่บรรลุธรรม ต่าง ร้องไห้ กัน..แต่พระ ที่ พ้น โลกแล้ว ก็ แค่ ปลงสังเวช..อาการปลงสังเวชคือ ความนิ่ง และ ปล่อยวาง ทุก อารมณ์ เป็นปกติ...ตา สามัญลักษณะ ทั้ง 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา......

    นี่แหละ หนา พระ เทศฯ ขาก ถุยย ๆๆๆๆๆๆๆๆ..และ ก็ ด่า ฮีพ่อ ฮี แม่...
    พวก ลิ่วล้อ ก็ เฮๆๆๆ กันไป ยก ตูด..กันไป....

    ใครจะเชื่อ ตาบัว ก็ เชื่อไป แต่ผม ไม่เชื่อว่าท่าน เห็น สภาวะ นิพพาน แล้ว...
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๑๙๒/๔๑๘
    ๗. ธาตุสูตร
    [๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
    พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
    เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน
    คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
    อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว
    มีสังโยชน์ในภพนี้ สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจ
    และไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕เหล่าใด เป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย
    อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไป
    แห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ


    ดูกรภิกษุทั้งหลายก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว
    มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
    เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้น
    ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
    ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
    พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่ง
    มีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง)
    เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่าอนุปาทิเสส
    ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุง แต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
    ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลส เพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ละภพได้ทั้งหมด ฯ
    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๗
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระอรหันต์ประเภท สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังมีเวทนาอยู่ เสวยสุขและทุกข์อยู่
    พระอรหันต์ประเภพ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับเวทนาได้ เวทนาเป็นของดับเย็น หมดสิ้นตัณหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2012
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
    [๑๒๒] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อปุกกุสมัลลบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน
    ได้น้อมคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้นเข้าไปสู่พระกายของพระผู้มีพระภาค
    ผ้าที่ท่านพระอานนท์น้อมเข้าไปสู่พระกายของพระผู้มีพระภาคนั้น ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลว
    ฉะนั้นท่านพระอานนท์ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์
    เหตุไม่เคยมีมามีแล้ว พระฉวีวรรณของพระตถาคตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก คู่ผ้าเนื้อ
    ละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนี้ ข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่พระกายของพระผู้มีพระภาค
    ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลว ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น อานนท์ ในกาลทั้งสอง กายของตถาคตย่อม
    บริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ในกาลทั้งสองเป็นไฉน คือ ในราตรีที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตร
    สัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ในราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ ดูกรอานนท์
    ในกาลทั้งสองนี้แล กายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ดูกรอานนท์ ในปัจฉิม
    ยามแห่งราตรีวันนี้แล ความปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวัน
    อันเป็นที่แวะพัก ของมัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ในเมืองกุสินารา มาไปกันเถิด อานนท์ เราจักไปยัง
    แม่น้ำกกุธานที ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
    [๑๒๓] ปุกกุสะนำผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคีเข้าไปถวายพระศาสดา
    ทรงครองคู่ผ้านั้นแล้ว มีพระวรรณดังทอง งดงามแล้ว ฯ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ในหลวง สนทนาเรื่อง “พุทธภูมิ” กับ หลวงตามหาบัว

    “...เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดคือ เมื่อปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาไปในงานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหน แต่ตอนที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ไปนิมนต์ ท่านไปนิมนต์ด้วยพระองค์เอง เรายังจำได้..

    วันนั้นเป็นวันที่ 7มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชรัชมังคลาภิเษกที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใดในประวัติศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์หลวงตาเข้าวัง มาเป็นขบวนใหญ่ หลวงตาท่านจะอยู่ที่กุฏิ ท่านให้เราควบคุมดูแลญาติโยม ดูแลพวกทหารที่มา พระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาตอน 6 โมงเย็น

    เมื่อขบวนพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาถึง เรายืนตรงนี้ ผู้ว่าฯ สายสิทธิ์ยืนตรงนี้ หมออวย แล้วใครต่อใครยืนเป็นแถวรอรับเสด็จ แล้วท่านก็ขึ้นไปข้างบนซึ่งหลวงตารอท่านอยู่แล้ว ส่วนเราก็อยู่ตรงบันได ส่วนหลวงตาอยู่ข้างบน

    ที่ขึ้นไปก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จครบหมดเลย พระราชินี พระบรมฯ พระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ หมดทั้งครอบครัว เพื่อจะนิมนต์หลวงตาไปงานพิธีในวัง พอพระองค์ท่านกราบหลวงตาเสร็จ ท่านก็ถวายคำถามแรก (พระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกหลวงตาว่า “หลวงปู่”)

    “หลวงปู่... สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร”

    โอ้... พระเจ้าอยู่หัวถามปัญหาหลวงตาขนาดนี้ หลวงตาตอบว่า...

    “พุทธภูมิ ก็เหมือนดั่งเรานั่งรถไฟ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไปอุดร นั่นแหละพุทธภูมิ แต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไป นั่นแหละ...สาวกภูมิ

    เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการ นำคนไปได้เยอะๆ ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆ ไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิ เข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง”

    พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอบหลวงตาว่า

    “เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะ หลวงปู่”

    หลวงตาตอบ “อ้อ พ่อหลวง เหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ

    แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้ นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน”

    และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า) ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่ หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า...

    “พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ ขอเองได้” ท่านว่างั้นนะ...

    “พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง” ท่านบอกไปเลยนะว่า...ให้พระเจ้าอยู่หัวทรงขอเองจัดการเอง อาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก

    พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กราบลาว่า

    “เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้ว ท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม”

    หลวงตาท่านได้เทศน์สั้นๆ ว่า

    “การเป็นพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้า ก็มีพุทธกิจ 5 คือ

    ตอนเช้าบิณฑบาต
    ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไป
    ตกเย็นสอนนักบวชสมณะชีพราหมณ์
    ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดา
    พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก

    สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้

    แต่... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไร ทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน... เอาล่ะๆ...อาตมาจะให้พร”

    (ที่มา : นิตยสาร น่านฟ้า ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนธันวาคม 2550)

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 123 กุมภาพันธ์ 2554 โดย กองบรรณาธิการ)

    คัดลอกมาจาก BlogGang.com : : sirivinit :
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ชาวพุทธเราเวลานี้เป็นบ้าวัตถุไปหมดแล้วนะ

    พุทธะเลยไปอยู่ตามตู้ตามหีบตามคัมภีร์ตามพระพุทธรูป ตามสถานที่เจดีย์ต่าง ๆ ไปหมดเสียแล้วพุทธะ พุทธะในหัวใจของคนที่จะได้รับความสุขความเจริญแท้ ๆ ไม่ได้สนใจสร้าง เสียตรงนี้นะ ชาวพุทธเราเวลานี้เป็นบ้าวัตถุไปหมดแล้วนะ พุทธศาสนาก็เป็นจุดศูนย์กลางเป็นเครื่องมือให้ทั้งคนดีคนชั่ว ถ้าคนดีก็มีจำนวนน้อยกราบไหว้บูชาปฏิบัติตนให้เป็นคนดีไปตามคำสอน ถ้าเป็นคนที่มืดหนาสาโหด ก็เลยเป็นเครื่องมือของพวกนี้ไปเสีย

    เช่นอย่างจะไปปล้นเขาอย่างนี้ เอาพระพุทธรูปแขวนคอไปปล้นเขา ไปปล้นเขาเขาฆ่าตายล่ะซิ พระพุทธรูปหรือเครื่องของขลังเต็มคอเห็นไหมล่ะ นี่ละมันเอาไปเป็นเครื่องมือ บ้านนี้ก็มีมาปล้นเขาล่ะซิ บ้านตาดนี้ เครื่องรางของขลังพระพุทธรูปเต็มคอมาปล้นเขา เขายิงตายแล้วไปดูมีตั้งแต่เครื่องรางของขลังเต็มคอ เป็นอย่างนั้นนะ มันเอาไปเป็นเครื่องมือได้พวกนี้ ไปปล้นเขา เขาก็คนเขาก็ยิงเอา ไม่ได้นึกว่ามีแต่เราคนเดียวในบ้านนี้เป็นเจ้าอำนาจ ไปปล้นเขา เขาเป็นเจ้าของสมบัติ เขาก็มีสิทธิมีอำนาจมีใจเหมือนกันกับเรา ไม่ได้คิดล่ะซิ นึกว่ามีใจแต่เรา มีอำนาจแต่เราคนเดียว ไปปล้นบ้านเขา คนที่ถูกปล้นก็ถูก คนที่ไม่ถูกปล้นก็ด้อมเข้ามาข้างหลังยิงใส่เปรี้ยงตายเลย พอได้ยินเอะอะก็วิ่งมาแล้ว คนมาปล้นบ้านเขา เอะอะมาปล้น มาเห็นมันก็ยิงเอาเลยจะว่าไง ตาย พระพุทธรูปเต็มคอ ของขลังไม่เห็นขลัง

    พระพุทธรูปท่านสอนคนให้ไปปล้นอย่างนี้เหรอ แล้วเอาท่านมาทำไม แล้วจะไปตำหนิพระพุทธเจ้าว่าไม่ขลังได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้มาขลังแบบถูกเขายิงตายอย่างนี้ ให้ไปปล้นเขาเขายิงตาย เราตถาคตจะอยู่ในคอนั่นแหละจะว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นหลวงตาบัวเอามากี่องค์เอาหลวงตาบัวไปด้วย หลวงตาบัวก็อยู่คอพวกแกก็ตายไปเถอะ ข้าเป็นหลวงพ่อคูณข้าไม่ตาย ข้าโดดลงแต่ ๙๐ นู้นแล้ว แน่ะก็ไปอย่างนั้นถ้าเป็นหลวงตาบัวเข้าข้างหลวงพ่อคูณทันทีเลย เป็นอย่างนั้นมันขลังข้างนอก นี่เราพูดถึงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีเลยไหลไปทางไหนก็ไม่รู้นะ พลังของจิตเมื่อรวมตัวแล้วมีพลังมาก

    เดี๋ยวนี้ดูโลกมันจะดูไม่ได้นะ มองไปที่ไหนมีแต่ดีดแต่ดิ้น ดิ้นกันทั่วโลกทั่วสงสาร ไม่ใช่เฉพาะพวกเรานะ คือมันเหมือนกันหมด วิ่งไขว่โน้นคว้านี้ คว้าโน้นคว้านี้ คว้าอะไรหลุดไม้หลุดมือ ๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระพอจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้เลย แต่คว้ากันทั่วโลกดินแดน เพราะเขาไม่รู้จักว่าจะคว้าอะไรดี อะไรก็ว่าดีไปหมดแล้วก็เหลวไปหมด ๆ นี่มันไม่มีหลักยึด เพราะฉะนั้นเมื่อได้สอนอรรถสอนธรรมเข้าให้มีหลักใจ นี้คือมีหลักยึด ศาสดาองค์เอกมาสอนไว้แล้ว ธรรม-ธรรมอันเอกมาสอน ยึด เกาะนี้ปั๊บติด ไปได้ ๆ คนเรา มันไม่มีอันนี้นั่นซีโลกถึงได้ร้อนไม่มีหยุดมียั้งนะ ยังจะร้อนไปอีกไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีเกาะอันเหมาะสมเข้ายึด เช่น ธรรม ถ้าธรรมแล้วพอเป็นพอไปคนเรา

    ทุกข์ยากก็ทุกข์ด้วยกัน เกิดมาในท่ามกลางแห่งกองทุกข์จะเอาความสุขมาจากไหน ก็ต้องมี แต่สาระสำคัญที่เราจะพึ่งพิงอาศัยคือธรรมก็ให้มี สำคัญอันนี้นะ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเราในเมืองไทยนี้เหลวไหลเอามากจริง ๆ มองไปไหนเป็นวัตถุไปหมดเลยไม่ได้เป็นนามธรรม คือจิตใจที่สงบร่มเย็นเพราะการปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีและไม่มี นั่นฟังซิ เป็นขั้น ๆ นี่เราพูดย่อม ๆ นะว่าไม่ค่อยมี เราอยากจะพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ว่า มันไม่มีว่างั้นเลย ใครจะไปสนใจกับอรรถกับธรรม มองไปที่ไหนเห็นแต่มันดิ้น มันไม่ได้เห็นดิ้นเข้ามาหาธรรมให้พอมองเห็นว่าพอมีบ้าง

    นี่ละหลักใจคือธรรมนะ ให้พากันยึดถ้าอยากมีฝั่งมีฝา ให้ยึดอรรถยึดธรรม ยึดสิ่งภายนอกเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครที่จะพึ่งกันได้แหละ ตายไปก็พังไปด้วยกันหมด มหาเศรษฐีตายไปก็พัง สมบัติเงินทองข้าวของพังไปด้วยกันหมด ไม่มีความหมายอะไรเลย ใจก็พังใจไม่มีที่เกาะ ยึดอันนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้ายึดธรรมแล้วอะไรจะพังไม่พังก็ตามใจกับธรรมไม่พัง นั่นไปพับเลย เศรษฐีตายก็เป็นสุขได้ คนจนตายก็เป็นสุขได้ถ้ามีธรรมในใจ ไม่ว่าคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด เดินตามแถวของกิเลส ไอ้ฉลาด ๆ ไปตามแถวธรรมไม่ค่อยมีนะ ฉลาดก็ฉลาดเพื่อโง่ ฉลาดเพื่อสร้างกองทุกข์ใส่ตัวเองดังที่เป็นอยู่เวลานี้

    ทำให้โลกร้อนอยู่เวลานี้ มีแต่เสกสรรตัวเองว่าเป็นคนฉลาดทั้งนั้นแหละ เป็นนักวิชาการดอกเตอร์ดอกแต้ ครั้นเวลาเรียนมาแล้วก็มาถลุงพุงตัวเองนั่นแหละ ชาติตัวเองให้แหลกเหลวไปหมด มันฉลาดยังไงจึงทำอย่างนั้นล่ะ ถ้าฉลาดจริง ๆ เรียนมาแล้วก็มาพยุงชาติตัวเองให้ดีขึ้น พยุงผู้เกี่ยวข้องชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต่างคนต่างเรียนมา ต่างคนต่างเป็นนักวิชาการมาพยุงส่งเสริมตัวเองและชาติของตัวเองให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ นี่เรียกว่าความรู้เป็นไปตามแถวธรรม จากนี้แล้วเป็นความรู้ของมหาภัยสังหารตนเองและผู้อื่นด้วย แล้วเวลานี้ความรู้ของพี่น้องชาวไทยเราเป็นความรู้ประเภทไหน ควรจะนำไปตั้งปัญหาถามตัวเอง เรียนมาแล้วเอามาสังหารชาติบ้านเมืองอย่างนี้หรือความรู้อย่างเอกน่ะ มันเอกอย่างนี้นะกิเลส มันเอาให้จมได้นะความรู้ประเภทนี้ ถ้าเป็นความรู้ของด้านธรรมะเรียนมามากมาน้อย มาปรับปรุงพยุงให้ดีขึ้น ๆ เรียกว่าธรรม ความรู้อย่างนี้เป็นธรรม เป็นอย่างนั้นนะ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เอะอะวัตถุๆ มันเอาวัตถุออกหน้าวัตถุเป็นศาสนา

    เรื่องวัตถุมันพิลึก เอะอะวัตถุๆ มันเอาวัตถุออกหน้าวัตถุเป็นศาสนา หัวใจไม่ได้เป็นเจ้าของของศาสนานะเดี๋ยวนี้ มองเห็นนี้ เราเคารพพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคารพวัตถุของจิตใจคนต่ำทราม เอาเท่านั้นแหละ สนใจปฏิบัติตัวเองให้ดีเยี่ยมไม่มีนี่นะ มองดูแล้วสะเทือนใจๆ ว่าเอาเสียบ้างซิ พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นแบกพระพุทธรูปไป สาวกไปทำความเพียรในป่าสำเร็จเป็นอรหัตอรหันต์มา ท่านไม่เห็นแบกพระพุทธรูปไป ไปไหนมีแต่พระพุทธรูป วัตถุๆ หัวใจไม่ดู มันน่าสังเวชนะเรา เอะอะวัตถุออกแล้วๆ ออกหน้าๆ ธรรมในหัวใจไม่ได้ออก
    นี่ดูแต่หัวใจ มันจ้าที่หัวใจ เลิศเลอที่หัวใจ ไม่ได้เลิศเลอกับวัตถุเหล่านี้นะ นิวเคลียร์มันก็มีเหยียบย่ำไปมาไม่เห็นวิเศษอะไร ให้ธรรมเข้าสู่ใจซิ ใครจะวิเศษไม่วิเศษตั้งยศตั้งลาภอะไรให้มา ตั้งไม่ตั้งไม่สนใจ นั่นเห็นไหมตกออกหมดเลย นินทา สรรเสริญเยินยอจะเลิศขนาดไหน ไม่เลิศเท่าจิตกับธรรมเป็นอันเดียวเป็นธรรมธาตุแล้ว นี่เลิศสุดยอดแล้ว เท่านั้นพอ เอาตรงนั้นซิ เอาละให้พร

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อะไรขัดธรรมปัดออกหมด

    อะไรขัดธรรมปัดออกหมด
    (มีผู้ชายผู้หญิงสองคนนำพระพุทธรูปมาถวายหลวงตาครับ) แล้วทำไง (พระทางนี้ก็เลยรับไว้ ) จะเอาไปไหนก็เอาไปซี เอามามัดคอเราทำไม (ขออนุญาตนำไปไว้ที่วัด......ครับ) แล้วท่านจะรับไหมล่ะ ไปดูเสียก่อนซี ไปบุกท่านไม่ได้นะ อย่างที่เขามาบุกนี้ไม่ได้กับเรา ถ้าบุกเราใส่ปั๊วะเลย ไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ ทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้กับเรา ธรรมเป็นอย่างนั้น แต่กิเลสสุ่มสี่สุ่มห้า อันนี้ก็เหมือนกันก่อนที่จะไปถวายท่าน ต้องปรึกษาปรารภเสียก่อนซี เอะอะไปบุกๆ ไม่เอานะอย่างนั้น
    ในวัดเหมือนกัน วัดป่าบ้านตาด โถ ถ้าหากว่าจะรับแล้วนี้ศาลาวัดป่าบ้านตาดจนจะไม่มีที่ไว้พระพุทธรูป มาจากไหนๆ หลั่งไหล หลั่งไหลมาไล่คืนทั้งนั้นๆ เราไม่เอา อย่ามาอุตริใส่เรานะ พระพุทธเจ้าเรากราบตลอดเวลา แต่ทำอย่างนี้เราไม่เคารพผู้ทำ ให้เอาคืนๆ อย่างนั้นนะมันทำ บุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง
    วัดป่าบ้านตาดถ้าหากว่ารับนี้ ศาลาหลังนั้นไม่มีที่ไว้พระพุทธรูปนะ เต็มหมดเลย เราปัดทั้งนั้นละ ปัดทั้งนั้น จึงไม่ค่อยมีพระพุทธรูป มีไว้เฉพาะสำหรับกราบไหว้บูชา นั่นเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ใครทำยังไงก็ทำสุ่มสี่สุ่มห้าตามนิสัยโกโรโกโสนั้นแหละ มาทำอย่างนี้ก็เลยกลายเป็นโกโรโกโสไป เราไม่เอา ไม่ว่าอะไรๆ ไหลเข้ามาในวัดนั้นนะ พวกเก้าอี้โซฟาโซแฟอะไรเหล่านี้เหมือนกัน เอามาเท่าไรให้ขนกลับคืนให้หมด เราบอก พระพุทธเจ้าไม่ได้บวชมาเพื่อเก้าอี้โซฟา พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมีเก้าอี้มีโซฟา มีที่หลับที่นอนหมอนมุ้งตามเสด็จที่ไหน ไม่เคยมี ไอ้พวกเรามันเก่งกว่าครู ให้เอาคืน เราไม่เก่งกว่าครูเราไม่เอาละ ไล่คืนเลย

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  17. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    แน่ใจเหรอ ที่พระอรหันต์หัวเราะ ร้องไห้ ได้ มันใช่อรหันต์เหรอนั้น มันต่างจากคนทั่วไปตรงไหนนะ หรือ หลวงตาหาบัว มั่ว ตัวเองยังไม่เป็นอรหันต์เลย แล้วคนที่เอามาเผยแพร่ ไม่กลัวว่าหลวงตามาบัวจะโดนลบหลู่เหรอ มั่วจริงเลย
    คำถามง่าย ถ้าเราร้องไห้ หรือเราหัวเราะ เพราะมีสิ่งมาเร้าใช่เปล่า แสดงว่ายังอดกลั่นต่อสิ่งเร้าไม่ได้ แค่นี้มันเป็นอรหันต์เหรอ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สายทางที่จะนำเราให้หลุดพ้นจากทุกข์

    ท่านก็บอกว่าธรรมอยู่ที่ใจ สอนลงที่ใจ สอนที่ใจ ไม่ได้สอนให้แบกพระพุทธเจ้า ไปไหนให้แบกไปนะ ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น นั้นเป็นด้านวัตถุ หยาบๆ ด้านธรรมะที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตน ท่านเน้นหนักในจุดนี้ต่างหาก ไม่มีใครละที่จะห้ามอย่างเรา เรามันไม่สนใจกับอะไรมีแต่เหตุผลอรรถธรรมเท่านั้น นอกนั้นใครจะมาใหญ่กว่าธรรมไม่ได้
    มานี้ โอ๋ย พระพุทธรูปเอาไปถวายพระ ท่านก็เกรงใจ ใครก็ขนไปๆ ให้พระท่านแบก ในห้องมีตั้งแต่พระพุทธรูปที่เขาเอาไปถวายท่านนั่นแหละ จนจะหาที่หลับที่นอนก็ไม่มี เราเห็นด้วยตานี่ เราก็ทราบว่านี้เพราะความเกรงใจอะไรๆ อาจประกอบกับท่านก็ชอบของขลังอยู่ด้วย มันก็เลยบวกขึ้นเป็นอย่างนั้น เลยเกลื่อนไปหมดเรื่องวัตถุ เอะอะปุ๊บปั๊บเอามาแล้ว ปุบปับเอามาแล้ว ปัดเรื่อยนะเรา ไม่เหมือนใคร มันไปอย่างนั้นแหละ มันไม่ได้เข้าไปข้างใน ข้างนอกยุ่งมากที่สุด ข้างในไม่สนใจปฏิบัติ ฝึกฝนทรมานตน
    อันนั้นเป็นเครื่องอาศัยเพียงเล็กน้อยภายนอก เช่น พระพุทธรูป ไปอยู่ที่ไหนพอกราบพอไหว้แล้วก็พอ อันนี้จะกลายเป็นโรงงานขายพระพุทธเจ้าทั้งองค์ๆ ทั่วประเทศเขตแดน มันเป็นอย่างนั้นแล้วนะ โรงงานขายพระพุทธเจ้า โรงงานขายพระเต็มไปหมด ใครมาก็ยื่นให้ๆ ปัดเลยเรา ไม่เอา ไม่เล่นด้วย เราคิดด้วยเหตุด้วยผลเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยทำให้คนลืมตัว มากกว่านั้นก็เลอะเทอะ ไม่รู้สึกตัวเลย
    จุดสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านสอนลงนั้นนะ ไม่เคยมีตำราใดที่สอนไปที่ไหนให้แบกเราตถาคตไปด้วย ถ้าแบกไม่ได้ให้หามนะ ถ้าองค์ใหญ่ให้หามไปนะ ไม่เห็นว่า บอกศีลบอกธรรม บอกการประพฤติปฏิบัติแก้ไขข้าศึกศัตรูซึ่งมีอยู่ภายใน ให้แก้ลงภายในนี้ ดัดแปลงตัวเองนี้ให้ดี มันก็ดีขึ้นๆ กราบพระพุทธเจ้า กราบสนิทอยู่ภายในใจ นั่นกราบโดยแท้ มันเป็นอย่างนั้นนะ ในวัดจึงไม่เห็นมีเท่าไร พระพุทธรูปเห็นไหม แท่นพระเรา ใครอย่ามายุ่งไม่ได้ ให้เอาคืนต่อหน้าเลย
    ใครจะว่าเราประมาทพระพุทธเจ้า เราเทิดทูนพระพุทธเจ้านั่นเอง ตรงกันข้ามนะ เอามาเหมือนของไม่มีค่า เอามาโยนมาทิ้งไว้อย่างง่ายดายๆ สร้างง่าย สร้างพระพุทธรูป เท่าไรบาทก็แล้ว แต่จะสร้างตัวเองไม่สนใจ เอานั้นสร้างนั้นแทน มันเลยเลอะเทอะไปหมดด้วยวัตถุ อยู่ที่ไหนเกลื่อนไปหมด ไม่มีเฉพาะวัดป่าบ้านตาด มีเฉพาะองค์ที่จำเป็นๆ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เอาไว้ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ไม่ได้เลอะๆ เทอะๆ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๑๙๒/๔๑๘
    ๗. ธาตุสูตร
    [๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
    พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
    เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน
    คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ
    อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว
    มีสังโยชน์ในภพนี้ สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่พึงใจ
    และไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕เหล่าใด เป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย
    อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไป
    แห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว
    มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
    เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้น
    ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
    ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
    พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่ง
    มีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง)
    เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่าอนุปาทิเสส
    ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุง แต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
    ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลส เพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ละภพได้ทั้งหมด ฯ
    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๗
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เครื่องประดับพระให้สวยงาม

    หลังจังหัน

    จวนเข้าพรรษานี่ ใครมาก็เทียนพรรษาๆ เท่าต้นเสานี่ก็มี เทียนพรรษาๆ โหย ไม่ใช่ธรรมดา รถบรรทุก ๑๐ ล้อบรรทุกเทียนพรรษาก็ไม่หมด เท่าต้นเสาๆ เราดูวันดูคืนดูไปทุกวัน สักเดี๋ยวปัญหาก็ออกรับกันละซี จากนั้นมาสงบ ไม่ค่อยมีนะ มีแต่เทียนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นซุงทั้งท่อนๆ เหมือนแต่ก่อน นั่นละโดนเอาเสียบ้างอย่างนั้นซิจะว่าไง สอนคนต้องสอนอย่างนั้น ความเลยเถิดเลยแดนไม่มีเหตุมีผล เอาธรรมสอนเข้าไปด้วยความมีเหตุมีผล ผู้ต้องการอรรถธรรมก็ฟัง ฟังแล้วก็ดัดแปลงแก้ไขไปเรื่อยๆ มันก็ดีไป ระยะสองปีมานี้ดูไม่ค่อยมีละขอนซุง เทียนพรรษาเท่าต้นเสานี่ โถ มันกำเริบเสิบสานกันอะไรนักหนา ทำอะไรไม่มีเหตุมีผล
    อย่างพระพุทธรูปก็เหมือนกัน เราเห็นทีไรเราสลดสังเวชๆ ถ้าควรจะเตือนเราก็เตือนบ้าง ถ้าไม่ควรเตือน เดี๋ยวพวกนั้นจะหาบกรรมเอาอีก แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเตือนของเราจะกลายเป็นโทษไป เอะอะมาก็มีแต่พระพุทธรูป ซื้อพระพุทธรูปมา ขายทั่วตลาด พระพุทธเจ้าเป็นสินค้าอันใหญ่หลวง โรงงานมันก็ผลิตขึ้นๆ พระพุทธเจ้ากลายเป็นสินค้าขึ้นมา เราจริงๆ เคารพพระพุทธเจ้าแต่ไม่อยากรับไว้ เพราะเป็นการส่งเสริมในทางที่ไม่ดี เรากราบพระพุทธเจ้าอยู่ภายในใจดีกว่าที่จะมาแบกมาหามจากบรรดาศรัทธาทั้งหลายมาถวายอย่างไม่มีประมาณเช่นนี้ เราว่างั้น
    ทำง่ายนี่พระพุทธรูป ทำง่ายๆ ซื้อง่ายขายคล่องเชียว โรงงานก็ผลิตขึ้นๆ ใครจะไปคำนึงถึงอรรถถึงธรรมว่าเป็นสินค้าหากินได้ง่าย มันก็เอาๆ น่ะซิ นี่ดูอยู่ทุกวัน พิจารณาทุกวัน หากว่าจะทำเป็นการบูชาเฉพาะกาลเวลา ไม่ใช่ทำแบบสินค้านั้นก็ไม่ขัดข้องอะไรนัก นี่ทำเป็นสินค้าไปเลย พระพุทธรูปไม่มีค่ามีราคา กลายเป็นสินค้าไปหมด เราสลดสังเวชนะ ควรฟังบ้างพี่น้องทั้งหลาย ทำอะไรให้มีเหตุมีผล อย่าให้เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงใช้ไม่ได้ ธรรมพระพุทธเจ้ามีประมาณทุกอย่างๆ เอาไปไว้ในบ้านแล้วมันก็ไม่ได้กราบนะ ทิ้งไว้โก้ๆ ดีไม่ดีเอาไปประดับบ้านประดับร้านเสียอีก เป็นอย่างนั้นนะ พระพุทธรูปกลายเป็นเครื่องประดับบ้านประดับร้าน กลายเป็นลายครามไปแล้ว
    มองไม่ทันนะ มองดูกิเลสนี้มองไม่ทัน เพราะไม่มอง ถ้าจะตั้งใจมองบ้างก็จะได้เห็นแง่ของกิเลสไปโดยลำดับ นี้คือไม่มอง ต่างคนต่างเป็นบ้าไปตามกัน เห่อไปตามกัน ไม่ได้คิดเหตุคิดผลอะไรเลย ท่านสอนไว้ว่ากระต่ายตื่นตูมในนิทานอีสป ตั้งแต่สมัยเราเรียนหนังสือเป็นเด็กเป็นนักเรียนอยู่ ครูเอานิทานอีสปมาให้อ่าน นี่ละที่ว่ากระต่ายตื่นตูม เราก็ดู เวลาบวชเวลาเรียนที่ไหนได้อยู่ในพระไตรปิฎก ธรรมะที่เอาออกมาสอนเด็กๆ นี้ เอามาเป็นคติเครื่องเตือนใจทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เอามาจากพระไตรปิฎก เวลาอ่านไปๆ อ๋อ อยู่ตรงนี้ๆ ตรงนี้เรื่อยไปเลย

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     

แชร์หน้านี้

Loading...