ทำไมไดโนเสาร์ถึงสูญพันธุ์?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 14 พฤษภาคม 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ยักษ์ใหญ่สูญพันธุ์ได้อย่างไร ..... รู้ไหมเอ่ย ทำไมไดโนเสาร์ถึงสูญพันธุ์? เพราะไดโนเสาร์ตัวโตกินจุเลยกินอาหารจนหมดโลกเหรอ? ไม่ใช่ ... เอหรือเพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันแล้วพวกมันปรับตัวไม่ทัน? ก็ไม่ใช่อีก ... แล้วเพราะอะไรล่ะ ก็เพราะมันออกลูกมาเป็นตัวผู้มากเกินไปน่ะสิ !

    เป็นที่ทราบกันดีว่า ..... ทฤษฎีเรื่องการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือ ทฤษฎีที่ว่ามีดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่บนโลก โดยความรุนแรงจากการพุ่งชนทำให้เกิดฝุ่นควันลอยฟุ้งไปทั่วจนท้องฟ้าบนโลกมืดมิด และเพราะมีฝุ่นปกคลุมไปทั่วอากาศบนโลกจึงเย็นลง

    นอกจากนี้ ..... การชนของดาวเคราะห์น้อยยังเป็นตัวการทำให้ภูเขาไฟระเบิด จึงยิ่งทำให้เกิดฝุ่นควันหนาแน่นขึ้นไปอีก เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงในที่สุดเจ้าสัตว์ยักษ์จึงสูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    เพศของลูกจระเข้ขึ้นอยู่กับ ..... การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างอยู่ในไข่ แต่ถึงแม้จะมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่วายสรรหาทฤษฎีใหม่ๆ เพื่อไขความกระจ่างอยู่เสมอ ล่าสุดเดวิด มิลเลอร์ จากยูนิเวอร์ซิตีออฟลีดส์ ได้ออกมาป่าวร้องว่า ที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ก็เพราะในช่วงหลังๆ พวกมันมีลูกตัวผู้เสียเป็นส่วนใหญ่

    ถ้าไดโนเสาร์เป็นเหมือนกับพวกสัตว์เลื้อยคลานยุคใหม่ ..... พวกมันจะเปลี่ยนเพศตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป และหากในช่วงที่พวกมันมีจำนวนประชากรเพียงน้อยนิดแล้วยังมีประชากรเพศผู้มากกว่าพวกมันก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด

    แม้ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะเชื่อ ..... ตามทฤษฎีดาวเคราะห์พุ่งชนโลกมากกว่า แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าไดโนเสาร์นั้นคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกันแน่ แต่ถ้ามันคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานล่ะ?

    ในกรณีของสัตว์เลื้อยคลานนั้น ..... พวกมันมีระบบการเผาผลาญและดูดซึมอาหารที่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นอย่างมาก และมีวิธีกำหนดเพศของลูกหลายรูปแบบ ในขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีการกำหนดเพศของลูกที่แน่นอนด้วยโครโมโซมเอ็กซ์และวาย กล่าวคือ หากโครโมโซมเพศของตัวอ่อนเป็นเอ็กซ์กับเอ็กซ์ ลูกที่เกิดมาจะเป็นเพศเมีย แต่ถ้าโครโมโซมเพศเป็นเอ็กซ์กับวายลูกจะเป็นเพศผู้


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ..... เพราะดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกจริงหรือ ... การมีโครโมโซมคอยกำกับทำให้การกำหนดเพศของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมค่อนข้างแน่นอนซึ่งจะมีความผิดพลาดน้อยมาก และในสัตว์เลื้อยคลานบางชนิด เช่น นก งู และสัตว์เลื้อยคลานจำพวกจิ้งจกก็มีกลไกกำหนดเพศเช่นเดียวกันกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

    แต่ในกรณีของ ..... สัตว์ตระกูลจระเข้ เต่า และปลาบางชนิดนั้น อุณหภูมิมีผลอย่างมากต่อการกำหนดเพศของตัวอ่อนที่อยู่ในไข่ ซึ่งจากการวิเคราะห์โดยทีมวิจัยของมิลเลอร์ แสดงให้เห็นว่า ตามหลักแล้วเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงก็มีแนวโน้มที่ตัวอ่อนจะเป็นเพศผู้มากกว่าเพศเมีย และจากการศึกษาชิ้นอื่นๆ ก็ชี้ว่า การมีเพศเมียน้อยเกินไปจะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

    เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ..... โลกไม่ได้มีก๊าซพิษมากมายถึงขนาดทำให้สิ่งมีชีวิตต้องตายจนหมดเกลี้ยง แต่อุณหภูมิบนโลกได้เปลี่ยนไป และไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็ไม่มีกลไกกำหนดเพศแหมือนมนุษย์" ดร.เชอร์แมน ซิลเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบพันธุ์ ในเซ็นต์หลุยส์ ซึ่งร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าว

    อย่างไรก็ตาม ..... จะต้องไม่ลืมว่าเต่าและจระเข้ก็มีชีวิตอยู่ในช่วงที่มีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน แล้วพวกมันอยู่รอดมาได้อย่างไรกัน

    ในประเด็นนี้ ..... มิลเลอร์และทีมของเขาให้เหตุผลว่า จระเข้และเต่าเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ พวกมันอยู่ได้ทั้งบริเวณปากแม่น้ำและก้นแม่น้ำ ซึ่งการดำรงชีวิตแบบนี้อาจจะช่วยปกป้องพวกมันจากผลกระทบอันหนักหนาสาหัสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ด้วยเหตุนี้เอง พวกมันจึงมีเวลาพอที่จะปรับตัวให้อยู่รอดได้มาจนทุกวันนี้


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ไดโนเสาร์ในการ์ตูนที่เห็นได้ทั่วๆ ไป

    ทำไมหนอไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์ ..... การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นมากมาย และบรรดาผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ต่างก็ต้องการทราบสาเหตุที่แท้จริงซึ่งทำให้สัตว์ใหญ่ขนาดไดโนเสาร์ต้องมาพบจุดจบ ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ออกทำการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัย และตั้งทฤษฎีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ขึ้นซึ่งก็มีความแตกต่างกันไป ดังนี้

    1. ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก ..... การชนทำให้เกิดการระเบิดและฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองสู่บรรยากาศโลก เป็นเสมือนม่านบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดความมืดและความหนาวเย็นอย่างฉับพลันนานเป็นเดือนๆ จนไดโนเสาร์ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ถูกคัดค้านด้วยคำถามที่ว่าทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงรอดชีวิตมาได้

    2. สภาวะของโลกเปลี่ยนไป ..... ทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่าสภาพอากาศของโลกค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และไดโนเสาร์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่แห้งลงและเย็นลงได้ นอกจากนี้อาหารที่เคยมีอยู่อุดมสมบูรณ์สำหรับไดโนเสาร์กินพืชยังลดน้อยลง เมื่อไดโนเสาร์กินพืชไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไดโนเสาร์กินเนื้อจึงสูญพันธุ์ตามไปโดยปริยาย

    3. ไดโนเสาร์เป็นโรคจนสูญพันธุ์ ..... อีกทฤษฎีหนึ่งระบุว่าเกิดโรคระบาดร้ายแรง ทำให้ไดโนเสาร์จำนวนมากติดเชื้อและล้มตายจนสูญพันธุ์ในที่สุด

    ------------------------------------------------------------
    พลังจิต เว็บพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>

    เสียงไดโนเสาร์ 75 ล้านปี ..... นักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์เสียงไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 75 ล้านปีมาแล้วโดยศึกษาจากโครงสร้างของกระดูกศีรษะและใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ช่วยแก้ปัญหาด้านการคำนวณ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ภาพวาด ..... ของพาราซอโรโลฟัสหรือไดโนเสาร์ปากเป็ดที่จินตนาการจากซากดึกดำบรรพ์

    ผู้ที่เคยชม ..... ภาพยนตร์เรื่องจูราสสิกพาร์ค (Jurassic Park) หรือเรื่องเดอะลอสต์เวิลด์ (The Lost World) อันเป็นภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับไดโนเสาร์ของสตีเวน สปีลเบิร์กคงยังจำความตื่นตาตื่นใจกับไดโนเสาร์ (ปลอม) เป็นจำนวนมากที่นำมาเข้าฉากได้ และคงมีหลายคนที่ช่างสงสัยและตั้งคำถามขึ้นมาว่าแล้วมนุษย์ในยุคปัจจุบันทราบได้อย่างไรว่าไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆที่สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้นับสิบนับร้อยล้านปีมาแล้วนี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?

    ที่จริงแล้วไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ ..... ที่เรารู้จักกันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแบบยกเมฆหรือจินตนาการขึ้นมาลอยๆ แต่วิธีการได้มาซึ่งรูปพรรณสัณฐานของไดโนเสาร์เหล่านี้ก็เหมือนกับการได้มาของรูปพรรณสัณฐานของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์อื่นๆ นั่นคือจากการศึกษาจากซากดึกดำบรรพ์ (fossil) นักวิทยาศาสตร์จะต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันบวกกับจินตนาการและสร้างเป็นรูปพรรณสัณฐานของสิ่งมีชีวิตในอดีตขึ้นมา ซึ่งเชื่อกันว่าใกล้เคียงกับความจริงพอสมควรทั้งนี้เพราะสร้างขึ้นมาจากหลักวิชาการ ไม่ใช่การเดาสุ่ม

    แต่ถึงแม้เราจะทราบว่า ..... รูปพรรณสัณฐานของไดโนเสาร์นั้นมีเค้าใกล้เคียงความจริง แต่ผู้ที่เคยชมภาพยนตร์ดังกล่าวจะมีใครเคยสงสัยหรือไม่ว่าเสียงร้องกึกก้องของไดโนเสาร์ในภาพยนตร์นั้นใกล้เคียงกับเสียงจริงเพียงใด และมนุษย์ในปัจจุบันทราบได้อย่างไรว่าไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆมีเสียงร้องอย่างไร?

    คำตอบก็คือ ..... การจินตนาการเสียงของไดโนเสาร์หรือแม้แต่เสียงของสัตว์ดึกดำบรรพ์อื่นๆให้ใกล้เคียงความจริงยังยากกว่าการจินตนาการรูปร่างหน้าตา เพราะซากดึกดำบรรพ์ไม่ได้ให้ข้อมูลมากพอที่จะจินตนาการไกลไปถึงเสียงร้องของเจ้าของซากเหล่านั้นได้

    แต่ในปัจจุบัน ..... นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะสังเคราะห์เสียงไดโนเสาร์ได้แล้ว นั่นคือเสียงของไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัส (Parasaurolophus) นับเป็นครั้งแรกในโลกที่เราได้ยินเสียงร้องของไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนานถึง 75 ล้านปี!

    พาราซอโรโลฟัส ..... เป็นไดโนเสาร์ที่มีอยู่ในภาพยนตร์เรื่องจูราสิกพาร์กและเดอะลอสต์เวิลด์ด้วย ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นไดโนเสาร์กินพืช มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เมื่อราว 84-75 ล้านปีมาแล้วมีถิ่นที่อยู่ในแถบอเมริกาเหนือ ชอบอาศัยตามหนองบึง มีความยาวจากหัวจรดหางประมาณ 10 เมตร


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ภาพวาดแสดง ..... รูปร่างและถิ่น ที่อยู่ของพาราซอโรโลฟัส

    ลักษณะพิเศษของไดโนเสาร์ชนิดนี้ ..... คือมีปากแบนคล้ายเป็ด จึงถูกเรียกว่า ไดโนเสาร์ปากเป็ด อีกทั้งยังมีโหนกที่ศีรษะด้านหลังอีกด้วย เดิมทีนักดึกดำบรรพวิทยายังไม่ทราบแน่ชัดว่าโหนกที่ศีรษะนี้มีไว้เพื่อประโยชน์อะไร จึงได้แต่สันนิษฐานกันไปต่างๆนานา เช่น เป็นปล่องหายใจเวลาอยู่ใต้น้ำ ฯลฯ แต่หลังจากที่มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของพาราซอโรโลฟัสที่มีส่วนศีรษะที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าส่วนที่เป็นโหนกนี้เป็นโครงสร้างของกะโหลกศีรษะซึ่งยื่นออกมา ภายในมีช่องกลวงทบกันไปมาและเชื่อมต่อกับโพรงจมูกคล้ายกับโครงสร้างของท่อลมในเครื่องดนตรีทรัมเปตหรือทรอมโบน ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าส่วนโหนกของไดโนเสาร์ปากเป็ดนี้เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในการสร้างเสียงนั่นเอง โดยเมื่อพาราซอโรโลฟัสส่งเสียงร้อง ลมจะผ่านจากลำคอเข้าไปภายในช่องกลวงในโหนกนี้และเกิดเป็นโทนเสียงสูงต่ำขึ้นคล้ายเสียงเครื่องดนตรีซึ่งต่างจากไดโนเสาร์หรือสัตว์อื่นๆที่เปล่งเสียงออกจากลำคอตามธรรมดา

    ต่อมาในปี ค.ศ. 1995 ..... มีการขุดค้นพบโครงกระดูกส่วนหัวของพาราซอโรโลฟัสที่สมบูรณ์มากได้อีกครั้งหนึ่งในรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนหัวนี้มีขนาดยาวราว 1.4 เมตร ขาดไปเพียงกระดูกส่วนที่อยู่ใต้ตาลงมาเท่านั้น


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ซากดึกดำบรรพ์ ..... ของพาราซอโรโลฟัส เพื่อขบปริศนาเรื่องเสียงร้องของพาราซอโรโลฟัส ซากโครงกระดูกนี้จึงถูกนำไปศึกษาเพื่อหาทางสังเคราะห์เสียงร้องขึ้น หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการนี้คือห้องปฏิบัติการแห่งชาติแซนเดีย (Sandia National Laboratories) โดยคาร์ล ดีเกิร์ต นักคอมพิวเตอร์ ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งรัฐนิวเม็กซิโก โดยทอม วิลเลียมสัน นักดึกดำบรรพวิทยา

    ทั้งสองร่วมงานกัน ..... โดยนำโครงกระดูกส่วนหัวของพาราซอโรโลฟัสมาผ่านเครื่องฉายรังสีเอ็กซ์ระบบคอมพิวเตอร์โทโมกราฟี (CT scan) จากนั้นนำข้อมูลการดูดกลืนรังสีเอ็กซ์ของส่วนต่างๆของโครงกระดูกนี้มาวิเคราะห์และสร้างเป็นภาพ 3 มิติด้วยคอมพิวเตอร์ โดยวิธีนี้จะทำให้ได้โครงสร้าง 3 มิติของหัวกะโหลกพาราซอโรโลฟัสที่สมบูรณ์มาก รวมทั้งได้รายละเอียดของโครงสร้างช่องกลวงภายในโหนกของศีรษะได้อย่างละเอียดชัดเจนโดยไม่ทำให้ซากโครงกระดูกเสียหาย ดีกว่าการผ่าหัวกะโหลกเป็นชิ้นๆมาศึกษาโครงสร้างภายในเสียอีก

    เมื่อได้โครงสร้าง 3 มิติของศีรษะแล้ว ..... ขั้นต่อไปคือการใช้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะวิเคราะห์โครงสร้างของช่องกลวงนี้ คำนวณหาความถี่ธรรมชาติของเสียงที่จะเกิดขึ้นเพื่อสังเคราะห์เป็นเสียงพาราซอโรโลฟัส ในขั้นตอนนี้ทั้งสองต้องใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วย กล่าวคือ ต้องจินตนาการโครงกระดูกส่วนที่เป็นปากเป็ดและโพรงจมูกขึ้นมา (เพราะซากโครงกระดูกขาดส่วนใต้ตาไป จึงไม่มีข้อมูลเหล่านี้) รวมทั้งต้องจินตนาการเกี่ยวกับกล้ามเนื้อศีรษะและลำคอ เพราะส่วนต่างๆเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเปล่งเสียงด้วย จากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดนี้ไปสังเคราะห์เสียง และเนื่องจากโครงการนี้ต้องอาศัยการคำนวณที่ซับซ้อนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์เลยทีเดียว


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ผลการวิเคราะห์ ..... และสร้างภาพ 3 มิติส่วนโหนกของกะโหลก ศีรษะ ที่เห็นเป็นสีเทาอยู่ด้าน ในคือซากกระดูกของโหนก (ของจริง) ส่วนที่เห็นเป็นภาพ สีสดใสด้านนอกคือภาพ 3 มิติ แสดงโครงสร้างของช่องกลวง ภายในโหนกที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมา

    แต่สิ่งที่ ..... ดีเกิร์ตและวิลเลียมสันยังไม่แน่ใจก็คือพาราซอโรโลฟัสมีเส้นเสียง (vocal cord เป็นกล้ามเนื้อพิเศษที่ใช้สร้างโทนเสียงสูงต่ำได้ ลองนึกภาพของสายกีตาร์ซึ่งสามารถดีดให้เกิดเสียงสูงๆต่ำๆได้) หรือไม่ เพราะหากมีเส้นเสียง เสียงร้องของพาราซอโรโลฟัสก็จะมีโทนเสียงที่ไพเราะน่าฟังกว่าที่ไม่มีเส้นเสียง แต่จากข้อมูลเกี่ยวกับพาราซอโรโลฟัสที่มีอยู่ทั้งหมดก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าไดโนเสาร์ชนิดนี้มีเส้นเสียงหรือไม่ ดังนั้นทั้งสองจึงทดลองสังเคราะห์เสียงออกมาทั้งสองแบบ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    คาร์ล ดีเกิร์ต (ซ้าย) และทอม วิลเลียมสัน (ขวา) .....
    และรูปแบบ ของเสียงไดโนเสาร์ที่สังเคราะห์ ได้บนจอคอมพิวเตอร์

    ทั้งคู่เชื่อว่าเสียงที่สังเคราะห์ได้นี้ ..... เหมือนเสียงพาราซอโรโลฟัสจริงๆมาก เรียกว่า ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง แต่กว่าจะได้ยินกันได้ต้องทุ่มเทกันไปไม่น้อย เพราะใช้เวลาในการค้นคว้าถึง 2 ปีอีกทั้งต้องใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีชั้นสูงชนิดที่ว่าหากทำเมื่อ 10 ปีก่อนก็ไม่สามารถทำได้ขนาดนี้

    แต่ความพยายามเหล่านี้ ..... คงไม่เป็นการเปล่าประโยชน์ เพราะมันทำให้เราเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกดึกดำบรรพ์มากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น เสียงร้องนี้ยังสามารถนำไปทำเป็นของที่ระลึกเช่นพวงกุญแจได้อีกด้วย พวกฝรั่งยิ่งเห่อไดโนเสาร์กันอยู่ เผลอๆอาจรวยไม่รู้เรื่องเพราะเสียงไดโนเสาร์ก็ได้

    --------------------------------------------------------------------------------
    http://www.geocities.com/Athens/Delphi/9699/scipag17.htm



     
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ทฤษฎีไดโนเสาร์ ทฤษฎีจานบิน ทฤษฎีแอตแลนติสฯลฯ
    ล้วนแล้วแต่ฝรั่งเขาวิจัย คนไทยคอยอ่านตาม
    พระปฏิบัติของเรามีมากมายไม่รู้จักแอบบถามท่าน เผื่อท่านเมตตาตอบให้ทราบ ก็จะรู้ว่าฝรั่งมันวิจัยผิดหรือถูกกันแน่
    ขนาดผีหรือวิญญาน โอปาติกะ สัมภเวสี พระท่านเทศน์บอกไว้ทุกๆวันว่ามันมีจริงๆ แต่ฝรั่งมันก็ยังวิจัยไม่ได้ ไม่พบ อย่างนี้นับประสาอะไรไปเชื่อฝรั่ง เชื่อครูบาอาจารย์สายพระป่าบอกดีกว่า ถูกต้อง100% ฮา
     
  4. darkkasipa

    darkkasipa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2009
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +68
    0.0
     
  5. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เป็นไปตามกฏของ"ธรรมชาติ" ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ดำเนินวิถีทางไปตามเส้นทางนั้น ๆ ดังนั้น ผมจะบอกว่า เป็นเรื่อง "ธรรมดา"
     

แชร์หน้านี้

Loading...