ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    เค้าบอกว่าบุญที่เราทำไว้ไม่รู้กี่ชาติ..แต่นึกไม่ได้ ก็ขอให้เราอธิษฐานที่เราเคยสร้างมา อะไรที่เราสร้างในปัจจุบัน แสดงว่าอดีตเราก็เคยทำ..จำเอาไว้ ให้เราระลึกถึง เค้าถึงบอกว่าถ้าโยมเคยเจริญทาน ศีล ภาวนา ในปัจจุบันนี้โยมก็ยังทำอยู่ ในชาติที่ผ่านมาโยมก็เคยได้ทำแล้ว ให้อธิษฐานไป ให้มันมารวมกำลังเป็นหนึ่ง เค้าเรียกว่าสร้างกำลังบารมีให้เกิดขึ้น เค้าเรียกว่าเป็น"การอธิษฐานบารมี" เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมอธิษฐานบารมีแล้ว โยมก็ต้องรู้จัก"วัดบารมี" อ้าว..ในทางโลกเค้าเอาอะไรไปวัดกัน (ลูกศิษย์ : เอาศีลไปวัด) โยมจะเอาอะไรไปวัดว่ากำลังบารมีเรามีแค่ไหน เอาอะไรไปวัดจ๊ะ เอาปิ่นโตไปวัด หรือเอาอะไรไปวัดดี เค้าบอกว่าวัดคนน่ะ..ว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่พิการบกพร่องแล้ว เค้าบอกว่าให้ไปวัดที่"ศีล" เครื่องมือวัดอยู่ที่ใด จะรู้ว่าศีลโยมมีกำลังแค่ไหน..ไปวัดที่ใด โยมต้องไปวัดที่"ใจ"

    โยมเชื่อมั่นในศีล ศรัทธาในพระรัตนตรัยเต็มร้อย ศีลโยมก็มีกำลังเป็นร้อย คำว่าศีลมีกำลังเป็นร้อย..จึงเรียกว่าบริวารโยมมีมาก เมื่อบริวารมีมาก..ไม่ว่าโยมจะเกิดอุบัติเหตุแห่งกรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ดี แต่ถ้าโยมเคยเจริญรักษาศีลอยู่แล้วจึงเรียกว่าบริวาร บริวารจะทำหน้าที่ขัดขวาง เข้าไปหยุดยั้ง เข้าไปปะทะป้องกัน ไม่ให้กรรมนั้นเข้าถึงตัวโยมได้ง่าย แต่ถ้าโยมไม่มีศีล จึงเรียกว่าไม่บริบูรณ์บริวาร ถามว่าจะมีอะไรบังโยมมั้ยจ๊ะ เพราะศีลนี้เรียกว่าเท่ากับว่ากำแพงหรือภูเขา หรือกำแพงแก้วทั้ง ๗ ชั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะถ้าโยมมั่นในศีล ๕ โยมก็บรรลุธรรมได้ แต่ที่ศีล ๕ มันไม่มั่น เพราะโยมไม่เข้าถึงในศีล เค้าเรียกว่าศีลนั้นไม่บริสุทธิ์ จึงมีคำว่าไม่บริสุทธิ์..ก็ต้องตรงกับคำว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นที่ให้โยมรักษาศีลก็เพราะว่าให้โยมนั้นชำระล้างโรค..ก็คือยาพิษ
    พญามัจจุราชได้ใส่ยาพิษไว้ในบ่อน้ำ ที่โยมดื่มกินเข้าไปทุกวันๆ คืออกุศลมูล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเค้าไม่ต้องการให้โยมหนีออกจากคุก เข้าใจมั้ยจ๊ะ สังโยชน์นี้คือความกว้างใหญ่ไพศาลของอาณาเขตแห่งวัฏจักรของคุก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ทำไมโยมจึงเกิดมาเป็นมนุษย์ อ้าว..เพราะว่าโยมได้เป็นนักโทษชั้นดี จึงเลื่อนภพเลื่อนภูมิมาอยู่ใจกลางแห่งภพ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถามว่าโยมหมดกรรมหรือยัง อ้าว..เค้าเพียงแต่ว่าให้โยมนั้นมาเปลี่ยนแดนขัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้ามาเปลี่ยนแดนขัง พอถึงเวลาเค้าก็ให้เสวยสุข แต่ถ้าโยมไปไกลจนเกินเขตอภัยทานเมื่อไหร่ โยมจะหลุดออกนอกจากพิภพจักรวาลนี้

    ดังนั้นผู้ใดมีศีลนั้นแล โยมก็สามารถกลับมาได้ โยมอยู่ในโลกใบนี้คือภพชาติแห่งปัจจุบัน โยมอย่าได้ไปหลงในภพใหม่ที่โยมยังไม่เห็น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมหลงเข้าไปเมื่อไหร่โยมจะไปเจอพวกเปรตอสุรกาย ถามว่าอยู่ในโลกใบนี้หรือไม่..แน่นอนเค้าอยู่ในโลกใบนี้ อยู่คนละภพละภูมิเช่นเดียวกับไส้เดือนตุ๊กแก ถามว่าอยู่ในโลกเดียวกับโยมมั้ยจ๊ะ โยมเห็นเค้ามั้ยจ๊ะ นั่นแหล่ะจ้ะ นั่นก็คือภพภพหนึ่งของเดรัจฉาน

    ดังนั้นเมื่อโยมได้เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์อันว่าเป็นสัตว์อย่างหนึ่ง ความประเสริฐที่ได้เกิดมาที่โยมสามารถมีปัญญาให้เข้าถึงทางออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมีผู้หนึ่งที่ท่านมาชี้ทางออกไว้ แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ให้เชื่อท่าน เพราะสิ่งนี้กล่าวลอยๆไม่ได้ ท่านจุดแสงสว่างเอาไว้ให้เห็น หากใครพอใจจะไป..ก็ไป..ก็ออกได้ แต่ใครไม่พอใจแสงสว่างนั้นก็จะดับลงดับลงริบหรี่กับสำหรับคนนั้น จึงเรียกว่า"มาสว่างไปมืด"

    ทุกคนเกิดมาแล้วล้วนมีบุญวาสนา เกิดมาด้วยความสว่างคือบุญกุศล แต่ความสว่างของโยมนั้นจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเท่าเดิมอยู่หรือไม่..อยู่ที่โยมรักษาไว้ เห็นคุณค่าแห่งการเกิดว่าเป็นมนุษย์นั้นมีคุณค่าเพียงใด นั้นท่านได้ชี้ทางบอกทางเอาไว้ คือทางออกแห่งคุกใหญ่นี้ คุกนี้หนาแน่นซ้อนภพกันจนโยมนั้นเข้าไม่ถึง ถ้าโยมจะออกไปทางใดในโลกนี้..ไม่มีทาง ฆ่าตัวตายโยมก็ต้องกลับมาฆ่าตัวตายอีกเป็นร้อยๆชาติ

    เพราะการตายไม่ได้บอกว่าโยมจะหลุดพ้นจากโทษภัย..ยิ่งซ้ำเข้าไปอีก แล้วทำยังไงเล่าจ๊ะ โยมเกิดมาถือกำเนิดมาให้ได้เกิดมามีตัวมีตน ใช่มั้ยจ๊ะ แต่ก่อนที่โยมจะเกิดโยมเป็นอะไรก่อน (ลูกศิษย์ : เป็นวิญญาณ) ถ้าเป็นวิญญาณโยมก็เรียกว่าตายใช่มั้ยจ๊ะ ทำยังไงโยมจักไม่ไปเกิดอีก โยมเคยโกงความตายมั้ยจ๊ะ บุคคลยังโกงอายุได้เลย อ้าว..ถ้าโยมไม่อยากเกิดเพราะว่าเกิดแล้วเป็นทุกข์ ก่อนที่โยมจะเกิดโยมเป็นวิญญาณ แสดงว่าโยมได้ตายไปแล้ว มีทางเดียวโยมต้องไม่ตาย ทางไหนเล่าจ๊ะที่ไม่ตาย

    อันว่านิพพานไม่มีที่ว่าให้เกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป เค้าเรียกว่าพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่มั้ยจ๊ะ ท่านก็ได้ชี้ทางไว้ในข้อปฏิบัติให้ถึงการหลุดพ้น ในการเจริญทาน ศีล ภาวนา โยมจะเชื่อศรัทธาหรือไม่ ท่านไม่ได้บังคับ ฉันก็บังคับโยมไม่ได้ แต่ที่แน่ๆเมื่ออายุขัยโยมมากขึ้นๆเท่าไหร่ ไฟในกายสังขารโยมก็ริบหรี่เท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเมื่อโยมยังเห็นว่าไฟโยมหรือเรียกว่ากำลังโยมยังคงมีอยู่ ขอให้โยมลองเดินดูว่าทางออก..มันใช่ทางออกจริงหรือไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่โยมอย่าลืมนะจ๊ะ ถ้าโยมจะเข้าไปในทางเดินนี้จะมีพญามัจจุราชแห่งมารคอยหลอกหลอนอยู่ คือเค้าจะทดสอบโยมว่าโยมมีความศรัทธาถึงหรือไม่ เพราะถ้าโยมศรัทธาไม่ถึง โยมจะเห็นแสงสว่างแห่งธรรมนั้นเป็นไฟของกระสือกระหัง ก็คิดว่าทางนี้เป็นทางที่ลวง..เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ผู้มีปัญญา ผู้เป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิตแล้วไซร้
    ก่อนนอนนั้นแลควรเจริญอาราธนาศีล
    เพราะในขณะที่โยมหลับนอนนั่นแหล่่ะจ้ะ
    โยมไม่ได้เอากาย วาจา ใจไปทำกรรมชั่วอันใด
    ศีลโยมบริสุทธิ์ที่สุดเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
    แล้วยังเป็นอานิสงส์ ยังเป็นประโยชน์เมื่อโยมฝันร้าย
    "ศีล"ก็ยังตามไปคุ้มครอง

    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ ช่วยขยายความปรมัตถ์ทาน เพราะว่าผมได้ยินมาว่าการบริจาคเลือดนี่เป็นปรมัตถ์ทาน ผมก็ทำอยู่เป็นประจำครับ เลยอยากให้ช่วยขยายความ
    หลวงปู่ : มันยังไม่เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่หรอกจ้ะ เพราะโยมยังไม่รู้ว่าเลือดที่โยมให้ไปนั้นน่ะ มีคุณประโยชน์อย่างไร ถ้าโยมไม่รู้คุณประโยชน์ โยมก็จะให้อย่างนี้จนเรื่อยไป..จนเลือดในกายโยมไม่มีจะให้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันว่า"ปรมัตถ์ทาน" คือทานบารมีอันยิ่งใหญ่ คือกำลังที่สูงสุดแห่งทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อันว่าทานที่สูงสุดนั้น..คือมีกำลังแห่งปัญญาที่จะตัดโลภ โกรธ หลงแห่งอวิชชาให้ขาดสะบั้น นั่นเรียกว่าปรมัตถ์บารมีทานอันยิ่งใหญ่ แต่ทานที่โยมสละเลือดลงไปนั้น ถ้าโยมให้ด้วยใจนั้นเรียกว่ากุศล จึงเรียกว่าเมตตาบารมี แต่ถ้าโยมสละกายสังขารเพื่อให้สัตว์ก็ดีให้เค้าได้ลิ้มรสกายสังขารโยมเป็นอาหารโดยที่โยมไม่กลัวตายนี่แหล่ะจ้ะ เรียกว่าปรมัตถ์ทานบารมี เพราะว่าอีกชาติหนึ่งไม่ว่าโยมจะเกิดขึ้นมาอีก โยมจะเข้าถึงธรรมอันวิเศษ เพราะมนุษย์ถ้าไม่กลัวตายแล้ว จิตวิญญาณแห่งอรหันต์ย่อมบังเกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่การสละเลือดเป็นทาน..นั่นเป็นแค่ทานบารมีที่จะเข้าถึงในการให้ คือการสละ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นทานอันสูงส่ง เพราะถามว่าเลือดในกายโยมยังมีอีกมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีค่ะ) นั่นเรียกว่ายังไม่สูงส่ง แต่ถ้าชีวิตโยมมีแค่ชีวิตเดียวแล้วโยมให้..นั่นเรียกว่าสูงส่ง จำไว้นะจ๊ะ อะไรที่โยมยังมีงอกขึ้นมาอีกแล้วโยมให้ได้อยู่ตลอด..ยังไม่ที่สุด ถ้าสิ่งไหนมีแค่อย่างเดียว เช่นไตโยมมีกี่ข้างจ๊ะไต (ลูกศิษย์ : สองข้างค่ะ) อ้าว..ให้มันทุกไตเลย..จนไม่มีจะให้ ชีวิตมีได้ชีวิตเดียว..โยมกล้าให้นั่นแหล่ะจ้ะ..ปรมัตถ์บารมีทาน คือทานที่เป็นโพธิสัตว์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นสิ่งที่โยมให้เลือดไปนี้ยังไม่ใช่สูงสุด เพราะเลือดโยมยังไม่ได้หมดกาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ทานบารมีปรมัตถ์บารมีเป็นทานอันยิ่งใหญ่ คือสร้างทาน คือไม่เบียดเบียน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่เบียดเบียน ไม่เอาชีวิต นี่แหล่ะจ้ะคือทานอันยิ่งใหญ่ อ้าว..เลือดที่โยมให้ไปในกายโยม แต่เลือดที่โยมให้จึงเรียกว่าเป็นอานิสงส์ อานิสงส์คือผลที่จะได้เป็นอย่างไร จึงเรียกว่าเป็นกุศล

    การบริจาคเลือดให้เป็นทานในขณะที่โยมยังมีลมหายใจ ฟังให้ดีนะจ๊ะ..ในขณะที่โยมยังมีลมหายใจ แต่ในขณะที่โยมบริจาคกายสังขารที่จะไม่มีลมหายใจ เลือดแม้หยดเดียวที่โยมให้ด้วยใจด้วยอันเมตตาให้สัตว์โลกเป็นทานมีอานิสงส์มากมายมหาศาล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมให้ด้วยใจ จึงเรียกว่าอานิสงส์มีกำลังมาก เพราะว่าเมื่อโยมจะขาดลมหายใจจะตายลงไป..เลือดหยดนั้นจะมาหนุนโยมให้มีชีวิตต่อ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าเราเคยทำมาอย่างนั้น เขาเคยทำมาอย่างนั้น จึงมีผลกรรมมาช่วยเหลือกัน..พยุงกรรมกันไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งถ้าไม่ใช่แค่สิ่งเดียว คือลมหายใจ..ความตายของเรานี้..ถ้าสละได้..นั่นคือทานอันสูงสุด ถ้าเลือดที่โยมให้ไปยังไม่ใช่ทานอันสูงสุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมรู้ความหมาย บุญกุศลในสิ่งที่โยมให้ไปด้วยเห็นว่าสัตว์โลกนี้มีความตาย ความแก่ ความเจ็บเป็นธรรมดา เราที่สละไปนี้..ขอทานกุศลแห่งเลือดในกายของข้าพเจ้านี้ จงสำเร็จประโยชน์ต่อจิตวิญญาณ ต่อร่างกายสังขารผู้ที่รับได้อาศัยเลือดนี้ให้ยังคงมีชีวิตอยู่ ขอเลือดของข้าพเจ้าในกายนี้โลหิตนี้ที่ได้สละไปแล้ว จงเป็นทานบารมีอันสูงสุดให้เข้าถึงการหลุดพ้น..นั่นแหล่ะจ้ะบุญโยมถึงจะได้สูงสุดตรงนั้น

    โยมต้องอธิษฐานบุญ ถ้าโยมให้จนหมดกายในสังขารโยม แต่โยมไม่รู้ประโยชน์ในการสละเลือดแม้แต่หยดเดียว..โยมก็แค่ให้เปล่าๆ เป็นแค่ทานบารมี ไม่เข้าถึงปรมัตถ์บารมี แต่ถ้าโยมอธิษฐานบุญลงไปแม้หยดเลือดแค่หยดเดียวที่โยมสละด้วยจิตเป็นกุศล ด้วยความอาจหาญ โยมก็มีอานิสงส์เท่ากับแผ่นฟ้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    การพิจารณาธรรมเมื่อพิจารณาแล้วทำให้โยมนั้นละสละปลงในอารมณ์นั้นได้ ให้จิตโยมนั้นเข้าสู่ความสงบนั้นแล นั้นเรียกว่าเป็นหลักที่ถูกต้อง ถ้าหลักที่โยมพิจารณาไปแล้วทำให้จิตฟุ้งซ่าน..สิ่งนั้นไม่ใช่หลัก ไม่ควรยึดเอามาเป็นธรรม ไม่ว่าโยมจะภาวนาสิ่งการใดแล้วทำให้จิตสงบนั้นแล..ก็เอาสิ่งนั้นแลทำต่อไป เพราะความสงบมันเป็นเบื้องบาทแห่งฌาน เพื่อเอาฌานนั้นแลมาเป็นเบื้องบาทแห่งการเจริญปัญญาวิปัสสนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมไม่เพ่งอยู่ในอารมณ์เดียวแล้วจิตมันจะตั้งมั่นได้อย่างไร เมื่อจิตไม่ตั้งมั้นจดจ่อ เมื่อจิตมันไม่จดจ่อ เมื่อจิตไม่จดจ่อแล้วไซร้สมาธิมันจะเกิดได้อย่างไร ต้องทำให้อารมณ์นั้นเป็นหนึ่ง นั้นทำให้อารมณ์เป็นหนึ่งเราต้องหาอุบาย เช่นมีองค์ภาวนาก็ดี ใช่มั้ยจ๊ะ การภาวนาเป็นการดึงจิตหรือการเกลี้ยกล่อมจิต ถ้าอุปมาจิตนี้เหมือนเป็นเด็กก็ดี หรือเป็นลิงก็ดี เพราะมันไวมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ อารมณ์มันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป สลายไป แตกไปเป็นอณู หรือเรียกว่าเราไม่เท่าทันมันได้เลย เพราะเราไม่คุ้นชินกับจิต หรือไม่เท่าทันอารมณ์

    เพราะอะไรที่เราไม่เท่าทันอารมณ์ เพราะเราไม่รู้โทษรู้คุณ หรือไม่เคยพิจารณาอารมณ์เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ พออยาก..ก็กิน พอมีความกำหนัด..ก็เสพ เพราะอะไรจ๊ะ เพราะไม่เคยกำหนดรู้เลย ว่าสิ่งที่เราทำมาจนคุ้นเคยนั้น..มันทำเพราะอะไร ได้อะไร มีโทษมีคุณอย่างไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เมื่อเราหยุดพิจารณาดู เราจะเห็นโทษเห็นคุณมัน แม้เราจะหักห้ามใจมันไม่ได้ ที่เราจะเสวยหรือเสพ แต่เรารู้ว่าเสพไปทำอะไร เมื่อเราเสพไปบ่อยๆแล้วไซร้ หรือทำไปบ่อยๆแล้วเราจะรู้ว่าทำไปได้อะไร เมื่อทำไปไม่ได้อะไรมันจะเกิดการคัดค้านในดวงจิตอีก ๑ ดวง..คือดวงธรรม

    แล้วดวงธรรมดวงนี้ที่มันคัดค้านกับอกุศล ทีนี้กุศลมันก็เกิดขึ้น..อกุศลมันก็เกิดขึ้นมาพร้อมกัน ทีนี้มันอยู่ที่ว่าเราปรารถนาสิ่งใด เมื่อเราปรารถนาสิ่งใด..ก็ทำในสิ่งนั้น แม้จะเป็นอกุศลก็ขอให้มีสติ ถ้ามันเป็นกุศลก็ให้เจริญให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมไม่ต้องมาถามเลยว่าประพฤติปฏิบัติอยู่ แต่ว่ากิเลสกามก็ดี อกุศลก็ดี โทสะ โมหะ โลภะก็ดีก็ยังตัด ยังขาด ยังระงับไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บอกให้โยมไประงับ ไปตัด หรือไปทำลาย แต่ให้โยมรู้..มีสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เหมือนโทสะที่มันเกิดขึ้น โยมไปสั่งไปห้ามมันว่าอย่าเกิดไม่ได้ หากโยมยังมีสังขารในขันธมารเหล่านี้อยู่ อันว่า"มาร"ก็เป็นสิ่งที่คอยปิดบังดวงจิตให้เรานั้นทำคุณงามความดีให้มันเกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้าเราฝืนทำอยู่บ่อยๆให้จิตมีดวงธรรมที่มันมีอยู่ในกายอยู่นี้มันเติบโตขึ้นมา ในขณะที่อกุศลนั้นมันมีกำลังน้อย กุศลมีกำลังมาก เราก็เอาเวลานั้นแลอารมณ์นั้นแลเจริญให้มากๆ..เพาะเชื้อ เมื่อเชื้อมันมีกำลังมากกว่า มันจะผลักดันอกุศลออกมาเอง แต่เราไม่ได้ไปฆ่ามัน

    ไม่มีใครฆ่ากิเลสให้ตายได้ ฆ่ากิเลสให้ตายได้มนุษย์ไม่ต้องเกิดหมดแล้ว แต่เค้าบอกว่าให้มีกำลังเพื่อเราจะข้ามมันไป หือ..ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเค้าเรียกว่า"ชนะใจ"ตัวเอง ส่วนมากมนุษย์มันตาย..มันตายอะไร..มันตายน้ำตื้น อ้าว..เจ็บหน่อยก็ทนไม่ได้ อะไรหน่อยก็ตกโวยวายไปหมด สิ่งเหล่านี้เพราะจิตเราสติเราไม่ได้ฝึก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นขอให้โยมอย่าไปสนใจในสิ่งใด ทำความดีทำกุศลเจริญเข้าไป มันจะให้ผลตอนไหน ก็บอกแล้วอันว่ากรรมฐานที่โยมฝึกเจริญไว้นี้แล มันจะให้ผลก็ต่อเมื่อโยมนั้นเป็นทุกข์..คือทุกข์ร้อนแล้ว บุญกุศลคือความร่มเย็น มันก็เหมือนว่าเมื่อเราเจ็บป่วยหรือมีความทุกข์ร้อน บุญกุศลเป็นต้นโพธิ์ต้นไทรจะมาครอบคลุมให้เรานั้นเกิดความร่มเย็นเป็นสุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเรียกว่าขจัดปัดเป่าได้ หรือว่าในขณะจิตสุดท้ายที่โยมจะต้องไปเกิดไปตาย ไปเสวยวิบากกรรมใดก็ตาม บุญกุศลนั้นจะมาหนุนนำให้โยมนั้นได้มีสติระลึกถึงบุญกุศล อย่างน้อยจิตโยมก็ยังไปเสวยในเทวดาเทพพรหมนั้น..ไปสร้างคุณงามความดีต่อได้

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    การให้อภัยทานแล้วแผ่เมตตาเป็นทานให้กับสรรพสัตว์มีอานิสงส์เท่ากับว่าสร้างโบสถ์ได้ ๑ หลัง สิ่งนี้เป็นของทำได้ยาก โบสถ์หนึ่งหลังใช้เวลาสร้างให้อย่างต่ำ ๑๐ ปี ใช้ปัจจัยอัฐเบี้ยมากมายพอสมควร ใช่มั้ยจ๊ะ แต่เมื่อโยมมาอบรมบ่มจิต..เห็นว่าการถือโกรธนี้เป็นโทษอย่างยิ่ง ทำให้ผิวพรรณนั้นหยาบกร้าน ทำให้โรคภัยในกายบังเกิดขึ้นมา ทำให้เป็นเนื้อเลือดเนื้อร้ายทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้เป็นผู้อับโชคก็ดี

    แต่เมื่อเรามาพิจารณาอย่างนี้ ก็ควร"ละ"อารมณ์เหล่านี้เสียให้เป็นทาน สิ่งเหล่านี้ถ้าใครทำได้เค้าบอกว่ามันไม่ได้ทำมาแค่ชาติเดียว เค้าบอกว่าเป็นการอบรมบ่มจิตเห็นโทษภัยนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอารมณ์นี้ เห็นมั้ยจ๊ะ การที่โยมจะดึงร่างกายสังขารหรือฟอกตัวให้กิเลสมันรู้โทษรู้คุณน่ะ..เป็นของที่ทำได้ยาก เปรียบดังว่าอกุศลนี้มันเข้าไปซึมอยู่ในเนื้อเลือดในกายสังขารโยม เมื่อโยมจะต้องเอาออกมันต้องมีการกรีดเลือดกรีดเนื้อลง ถามว่าโยมเจ็บปวดขนาดไหน ใช่มั้ยจ๊ะ..

    แต่เราไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เคยทำมาแล้ว ด้วยการทรมานกาย เล็บเนี่ยะทิ่มเข้าไปในเนื้อ ท่านก็ยังทนได้ อดอาหารจนผอมซูบผอมเซียวท่านก็ยังทำได้ จนที่ว่าไม่มีใครสามารถจะทำได้อย่างท่าน ถามว่าก็ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แม้ทรมานกิเลสแล้ว..มันก็ยังไม่ตาย แล้ว"กิเลส"ไปอยู่ส่วนไหนของสังขารของจิตวิญญาณเล่าถ้าแบบนั้น กิเลสมันไปอยู่ที่ไหน ใครก็หามันไม่เจอ ที่แท้ที่จริงไอ้ผู้ที่สร้างกิเลสขึ้นมาก็คือใจ..ที่ยังไปยึดเพาะเชื้อมันอยู่ เพราะเราไม่ได้ทำลายเชื้อมันนั่นเอง ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วกายสังขาร..เป็นแค่ตัวอาศัยให้เราได้สร้างความดีและความชั่วเท่านั้น ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นกายสังขารนี้ไม่ใช่กิเลสเลย โยมบอกว่าสิ่งที่โยมเห็นเกิดความพอใจนุ่งน้อยห่มน้อยว่าเกิดมีความกำหนัด..นั่นเรียกกิเลส..ไม่จริง นั่นเป็นเพียงแค่วัตถุกาม เห็นแล้วเกิดศรัทธายกมือไหว้เรียกอะไร..วัตถุมงคล ใช่มั้ยจ๊ะ เห็นแล้วรู้สึกกลัว..วัตถุอันตราย เห็นมั้ยจ๊ะ ดังนั้นสิ่งที่โยมเห็นเรียกว่าเป็น"วัตถุ"ทั้งนั้น เป็นของสมมุติ ใช่มั้ยจ๊ะ

    แท้ที่จริงมันเกิด"ใจ"เป็นมโนจิตที่เป็นกุศลและอกุศลต่างหาก อ้าว..ลองพิจารณาไป บางคนเห็นแล้วนุ่งน้อยห่มน้อย บางคนเห็นแล้วพิจารณาไม่ทันหรอกจ้ะว่ามันต้องเป็นอสุภะ..ไม่จริง ให้เห็นว่านั่นน่ะคือญาติพี่น้องเราก็ได้ อะไรก็ตามที่เราเห็นแบบด้วยความเมตตาที่จิตนั้นด้วยไม่มีความใคร่ซะแล้ว..นั่นเป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่จิตที่มีความใคร่เข้าไปเจือปนนั้นแล..กามราคะก็ดี ความกำหนัดก็ดีก็บังเกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าเปรตอสุรกายครอบงำจิต

    ดังนั้นต้องทำยังไง ก็ต้อง"ละรูป"เพราะไปยึดรูปว่าสวยว่างาม ดังนั้นสิ่งเหล่านี้มีให้พิจารณาให้มาก แต่แท้ที่จริงโยมไม่ได้พิจารณาให้มาก จึงเรียกว่าเลยไม่ได้ละมากนั่นเอง พอไม่ละมากมันก็เลยไปตรงกันข้ามกับพูดมาก เลยไม่มีเวลาทำ ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าบอกคนจะบรรลุธรรมน่ะ จักไม่ค่อยพูด อันที่สองตรงข้ามกับคนที่พูดไม่ได้คือเป็นใบ้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นขอให้โยมพิจารณาธรรมให้มากๆ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    มนุษย์มันขาดโอกาส คนที่มีศีลย่อมเห็นโอกาส คนที่ขาดศีลย่อมทำให้มืดบอดด้วยอวิชชา..หรืออดีตแห่งกรรมนั้นมาบดบังเส้นทางแห่งกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นคนที่มีอกุศลหรือเรียกว่านิสัยที่ไม่ดี..ก็จักหาคนคบค้าสมาคมได้ยาก สิ่งเหล่านี้ถ้าโยมไม่ให้โอกาสเขา..ก็เท่ากับว่าโยมยังไม่มีเมตตาจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นโยมต้องเมตตาให้เป็นทานเสียก่อน เขาจะไม่ดีกับเราอย่างไร..แต่เรานั้นจะไม่ร้ายตอบกับเขา คือไม่เป็นอย่างที่เขาเป็น..เท่านั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับหมาอีกตัวเห่า..หมาอีกตัวไม่เห่าตอบ ถามว่าไอ้ตัวที่เห่ามันจะเห่าทั้งคืนมั้ยจ๊ะ ถ้ามันรู้ว่ามันเห่าแล้วมันเหนื่อยมันก็จะไม่เห่า แต่ที่มันเห่าไม่หยุดเพราะว่ามันมีอีกฝ่ายเห่าตอบ..มันก็เลยมีเรื่อง แล้วคราวนี้ไอ้ตัวนั้นบอกว่ามึงก็ไม่ดี..ไอ้ตัวนี้บอกว่ามึงก็ไม่ดี อย่างนี้ไม่มีใครดีเลย แม้ไอ้ผู้นั้นถือศีลอยู่..ก็ยังไม่เรียกว่าเข้าถึงศีลจริง สังคมสมัยนี้จึงเห่าใส่กันแบบนี้

    เมื่อเห่ากันมากๆแล้ว อกุศลที่เป็นวิญญาณในทางจิตย่อมมีกำลัง ใครมีกำลังมากก็มีการกระทำลงไป เพราะว่ามีอกุศลคือความคิดเป็นเชื้ออยู่แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ย่อมมีการประหัตประหารกันได้ ดังนั้นเมื่อมีหมาเห่าหนึ่งตัวแล้ว เราก็"อย่าเป็นอย่างหมา" เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ยอมซะ ให้เขารู้ว่าเขาชนะไปแล้ว นั่นแหล่ะจ้ะ..เราก็ยังได้ให้ทานเขา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่คนที่ชนะที่แท้จริงคือการ"ชนะใจ"ตัวเองที่เรานั้นไม่เห่าตอบ ไอ้สิ่งนี้แลเรียกว่าทำได้ยากในสังคมยุคนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    กำหนดรู้ลม ลมมันอยู่ที่ไหนจ๊ะ ลมก็อยู่ในกายเรานี้แล ถ้าในกายโยมไม่มีลม..โยมก็จักไม่มีชีวิต เพราะเรามีชีวิตอาศัยกองลม จึงเรียกว่ากองลมนี้คือกรรมฐานอย่างหนึ่ง โยมก็เอาจิตนั้นแลสตินั้นแลไประลึกรู้ที่กองลมเข้าและออก ออกและเข้า จนไม่เข้าไม่ออก อันว่าไม่เข้าและไม่ออกนั้นแลคือการวางเฉยในลม การวางเฉยในลมนั้นแลเรียกว่าลมนั้นเป็นหนึ่ง อันว่า"เป็นหนึ่ง"เป็นอย่างไร..ก็คือจิตที่ตั้งมั่น มีความสงบในใจนั้นแล..เรียกชื่อว่าสมาธิก็บังเกิด เมื่อสมาธิบังเกิดก็เอาปัญญานั้นแลน้อมนำพิจารณาเห็นความทุกข์ทั้งปวง เห็นความไม่เที่ยง

    ความทุกข์และความไม่เที่ยงนั้นแลก็เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นมา อะไรว่าไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ อะไรเรียกว่าเป็นทุกข์นั่นเรียกว่าเป็นอนัตตา ที่เราว่าไม่เป็นทุกข์ก็เพราะเรามีความพอใจ แต่ถ้าเราไม่พอใจเสียแล้ว..เราจะเข้าถึงความว่างเปล่า คือการวางเฉยนั้นแล ก็พิจารณาไปตามลำดับขั้นตอน..ลมเข้า..ลมออก เมื่อลมสงบก็เรียกว่าลมดี เมื่อลมไม่สงบจึงเรียกว่าลมยังเสียอยู่ ที่ลมมันเสียเพราะเราเสียอารมณ์ ก็ต้องไปแก้ไขที่อารมณ์ อารมณ์ที่มันเสียมีอะไรบ้าง ในวันๆหนึ่งตั้งแต่แรกเริ่มที่เราตื่นขึ้นมานั้น เรามีอะไรบ้างที่เสียไป ใครมาทำให้เราเสีย เราไปทำให้ใครเสีย แสดงว่าคำว่าเสีย..ไม่มีได้ งั้นจงยอมเสียซะ ยอมเสียนั้นเป็นอย่างไร คือให้สละเป็นทาน คืออภัยทาน ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่ว่าแม้เราเองจะทำให้เสีย เราก็ต้องไม่ถือโทษโกรธเคืองตัวเราเอง คือการให้อภัยตัวเราเองให้ได้

    เมื่อจิตใจเรานั้นปล่อยวาง สภาวะจิตที่เรานี้ไม่มีอกุศลเกิดขึ้นแล้วในจิต จิตเรานั้นจะเข้าถึงในสภาวะที่สงบได้ เมื่อความสงบบังเกิดนี้แล..ธรรมมันก็บังเกิด "ธรรม"คืออะไร ธรรมคือสภาวะความเป็นจริง คืออยู่แต่อารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบันนั้นในขณะนี้เป็นเช่นไร..ก็ให้รู้ ตัวรู้นี้แลคือวิญญาณ จิตของเรานี้เค้าเรียกว่าตัวปัญญา เมื่อเราไปรู้อารมณ์ก็จงพิจารณาให้เกิดขึ้น เมื่อเราพิจารณาเห็นอารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป ก็จะเห็นว่าสภาวะอารมณ์ทั้งหลายนั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะเราไปยึดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแล้ว ก็ทำให้จิตเรานั้นเป็นกังวลเป็นทุกข์ เมื่อนั้นแลไม่ว่าจะอารมณ์ดีหรือไม่ดีก็ตาม จะเป็นคำสรรเสริญ เป็นคำติฉินนินทาว่าร้ายก็ดี ล้วนแล้วหาว่ามีสาระแก่นสารอะไรไม่ ไม่ควรยึดถือมาเป็นอารมณ์

    อารมณ์เหล่าใดก็ตามแล้วที่ทำให้จิตเรานั้นเศร้าหมอง..ล้วนแล้วเป็นโทษอย่างยิ่ง ควรสละ ควรปล่อย ควรกำจัดด้วยการละอารมณ์ออกไป ล้วนแล้วแต่เป็นเสี้ยนหนามที่จะทิ่มแทงให้บุญกุศลของเรานั้นมันรั่วไหล เมื่อเรารั่วไหลแล้วก็เปรียบเหมือนว่าเรานั้นเปิดช่องให้โลหิตของเรานั้นได้ไหลออก สิ่งนี้เค้าเรียกว่าไม่สมบูรณ์ หรือว่าทำให้จิตเราเสื่อม สองทำให้ศีลเรานั้นสั่นคลอน

    จงเจริญศีล จงเจริญภาวนา จงมีสติอยู่แต่อารมณ์ปัจจุบัน อยู่กับตัวรู้ "ตัวรู้"นี้แลคืออะไร คือรู้อยู่ในกาย รู้ในวาจา รู้ในใจของตัวเอง รู้ในอารมณ์ตอนนี้..สงบเป็นอย่างไรไม่สงบเป็นอย่างไร..ก็ต้องให้รู้ เมื่อเรารู้ถึงที่สุดแห่งตัวรู้ มันก็จะวางในตัวรู้นั้น เมื่อเราวางในตัวรู้นั้นแล จิตที่เราวางที่ตัวรู้นั้น..ก็จะทำให้เกิดการเบาจิตเบากาย ปิติสุขมันก็บังเกิดขึ้นมา แม้จิตเราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คืออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อเราวางสภาวะอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว จิตเรานั้นจะคลายความยึดมั่นถือมั่น ถือตัวถือตน ถือเขาถือเรา ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ตัวรู้คือตัวสตินั่นแล จงเอาตัวสตินั้นพิจารณากฏแห่งไตรลักษณ์ไป..ว่าทุกอย่างนั้นเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นอนัตตา จิตจะเข้าถึงความว่าง แต่ในความว่างนั้นยังมีตัวรู้อยู่ ก็เอาตัวรู้นั้นแลพิจารณาไปในความว่าง ในความว่างมันว่างอย่างไร เมื่อเราพิจารณาแล้วมันจักไม่ว่าง แต่ที่ว่างที่จิตว่างคือว่างจากอกุศลมูล

    เมื่ออกุศลมูลไม่เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ไอ้ตัวรู้ที่แท้จริงนั่นแลจักได้พิจารณาในธรรมทั้งปวงให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ในสติปัฏฐาน ๔ คือดูกายก็ดี ดูเวทนาก็ดี ดูจิตก็ดี เพ่งอยู่ในธรรมก็ดี สิ่งเหล่านี้ผู้ที่มีสติแล้วจักไม่พลัดพรากจากฐานทั้ง ๔ นี้ไปได้เลย เมื่อโยมมีสติแล้วมีการพิจารณาแล้ว จึงเรียกว่าจิตโยมมีการมีงานทำ จึงเรียกว่าเข้าสู่ในหมวดแห่งกรรมฐานนั่นแล โยมก็พิจารณาไป อันว่ากรรมฐานเหล่าใดเล่าที่เราพิจารณาแล้วทำให้เรารู้จักสละและปลงนั้นแลก็พิจารณาไป..

    พิจารณาธาตุก็ดี อันว่าธาตุเป็นอย่างไร ธาตุดินเป็นอย่างไร ก็พิจารณากระดูกก็ดี ผมก็ดี ฟันก็ดี เล็บก็ดี ดินก็ดี หนังก็ดี เหล่านี้เรียกว่าพิจารณาธาตุ ธาตุมีธาตุดิน มีธาตุน้ำ ในตัวเรามีอะไร มีเลือด มีน้ำหนอง มีน้ำมันไขข้น น้ำมูก น้ำลาย น้ำดีและน้ำเสีย ก็พิจารณาไป ธาตุลม..ลมเข้าลมออก ลมพัดขึ้นเบื้องล่าง ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมหายใจ ลมไม่เข้าและออก ลมที่เข้าและออก ธาตุไฟคืออะไร ความอบอุ่นในกาย ไฟที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ไฟที่เผาไหม้ย่อยอาหาร ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ ไฟแห่งโลภะ เรียกว่าไฟของอกุศลที่เมื่อใครจุดขึ้นมาแล้ว..ย่อมดับลงได้ยาก นั้นทางเดียวที่ไฟสามกองนี้จะดับลงได้ คือ"ไม่จุดไฟเพิ่มเข้าไป" เรียกว่าไม่เพิ่มเชื้อนั่นเอง ขอให้โยมจงพิจารณาตามลำดับขั้นตอนด้วยสติและปัญญาของโยมดู..ก็จักได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑
    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    บุญเมื่อโยมจะเบิกต่อเมื่อบุญโยมนั้นโยมปรารถนา โยมนั้นเดือดร้อนแล้ว แล้วอ้างบุญกุศลที่โยมเคยทำมา นั้นโยมไม่รู้ว่าโยมทำบุญอะไรมาบ้าง ใช่มั้ยจ๊ะ ว่าอะไรมันเป็นบุญแล้วให้ผลอย่างไร เค้าให้ดอกเบี้ยอย่างไรในบุญแบบนี้ บางคนให้ทานได้บุญขนาดนี้ บางคนรักษาศีลเอ้าบุญมากกว่าทาน บุญเมื่อโยมภาวนาได้มากกว่าทานกับศีลอีก บุญเมื่อโยมเกิดปัญญาพิจารณาในกายสังขารมีมากกว่าทาน ศีล ภาวนา สรุปแล้วเมื่อโยมทำมาทุกอย่างแบบนี้สมบูรณ์แล้ว มันก็มีกำลังมาก ดังนั้นขอให้โยมได้เจริญกรรมฐานให้อธิษฐานบุญทันที นั่นเรียกว่ามันเปิดแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ บุญเขาเปิดแล้ว โยมสามารถเบิกได้ตอนนั้น ไม่ต้องกลัวหมดนะ เหมือนการอุทิศบุญกุศล โยมให้บุญใคร โอ้..ไม่ได้ เดี๋ยวฉันไม่มี โยมให้ ยิ่งให้..ยิ่งได้ ยิ่งมาก แต่ยิ่งหวงยิ่งหมด

    เรามาดูเรื่องการ"เบิกบุญ" การเบิกบุญเบิกอย่างไร โยมจะเบิกไปทำอะไรต้องมีด้วย มีไม่ได้ไปบอกเขาแต่บอกกับตัวเองว่าเบิกไปทำอะไร ถ้าโยมไม่รู้เหตุน่ะ โยมจะคิดอยากจะเบิกมั้ยถ้าไม่ใช้อะไร โยมต้องมีเหตุก่อน เหตุตัวนี้มันทำให้ทุกข์หรือสุข โยมมันบกพร่องหรือมันขาดแคลนอะไร มันสามารถเบิกได้ทุกอย่าง ใช่มั้ยจ๊ะ บางคนนั่งสมาธิไม่มีกำลังใจ นี่ก็ต้องเบิกบุญนะ ขอบุญกุศลข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาแล้วในทานศีลภาวนา ในอดีตทั้งหลายทั้งปวง จงมาบรรจบมาเป็นตบะบารมี เป็นเดชาให้กำลังจิตกำลังใจ..นี้เค้าเรียกปลุกธาตุ ให้มันตื่น นี่เค้าเรียกเบิกเหมือนกัน

    แต่เมื่อโยมเจริญภาวนา เจริญศีล เจริญธรรมเสร็จแล้ว เมื่อโยมนั้นจะออกจากกรรมฐานภาวนา ให้อธิษฐาน..อธิษฐานบุญกุศลของโยม นั่นเค้าเรียกการเบิกบุญ ถ้าโยมไม่ทำเบิกไม่ได้นะ โยมต้องเอาของที่โยมทำใหม่ไปแลก ถ้าโยมไปเบิกมาทุกวันหมดนะ ฉันก็เป็นห่วงโยม กลัวโยมจะหมดไม่มีกิน โยมไปเบิกอย่างเดียวทุกวันทุกวันเดี๋ยวหมด พอหมดแล้วเป็นยังไงจ๊ะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน ที่ว่าบิดามารดาเค้าให้ทรัพย์ไว้แต่โยมไม่ทำทรัพย์เพิ่ม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเค้าเรียกว่าที่โยมน่ะมีกินมีใช้เค้าเรียกว่า"ของเก่า" แต่ทุกวันที่โยมทำนี่เป็นของใหม่ จึงกินไม่มีวันหมด ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าบางคนรวยเป็นร้อยเป็นล้านเป็นพันล้าน อ้าว..ทำไมมาเป็นขอทานได้ก็มี เพราะอะไรจ๊ะ มันกินจนหมดน่ะ มันไม่ได้ทำใหม่ คราวนี้พอมันจะมาทำให้มันมีอีกคราวนี้อีกนานเลยทีนี้ ทีนี้ที่โยมมาทำแบบนี้เค้าเรียกโยมสร้างใหม่จึงไม่มีวันหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการอธิษฐานจะออกจากกรรมฐาน หรือจะทำบุญกุศลอันใดนั้นให้"อธิษฐานบุญ" การอธิษฐานบุญนั้นแล เมื่อบุญมันไปสมทบกับสิ่งที่โยมกระทำไว้บุญนั้นก็จะ"ให้ผล"

    การให้ผลนั้นคือเขาให้ดอกโยมมา นี่เรียกการเบิกบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ว่าโอ้โห..แล้วจะเบิกตอนไหนบุญ มันเบิกตอนไหน ใครมันทำหน้าที่ แล้วมีวันหยุดหรือไม่ มันอยู่ที่โยมปรารถนา โยมจะเบิกน่ะ โยมก็ต้องดูก่อนโยมเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือว่าถ้าเป็นผีไปเบิกไม่ได้ เค้าต้องดูก่อนหน้าตา ดีเอ็นเอของโยมน่ะมันตรงกับโยมมั้ย บุญของโยมน่ะ เพราะเทวดาเค้ารักษาไว้ นั้นโยมก็ต้องมีศีลเสียก่อน พอมีศีลก็จะมีธรรม พอมีธรรมก็จะมีบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ พออธิษฐานอะไรเขาก็จะรู้ เทวดาเขาจะรู้ว่าโยมอธิษฐานอะไร โยมพูดรำพึงในใจเขาก็ได้ยินหมดแล้ว แต่คราวนี้บุญโยมจะถึงสิ่งที่โยมปรารถนาหรือไม่ มันถึงเวลาหรือยัง ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าบุญโยมทำสดๆร้อนๆน่ะ เขาก็นิ่งนอนใจอยู่เฉยไม่ได้หรอกจ้ะ เขาต้องหาวิธีใดวิธีหนึ่งให้โยมได้สมปรารถนาในสิ่งนั้น บางคนไม่ได้โดยตรง ก็ได้โดยอ้อม

    จำไว้นะจ๊ะ ให้จำว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มี"บังเอิญ" ล้วนแล้วแต่เกิดจาก"เหตุ"จาก"ผล"แห่งกรรมที่เรากระทำไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าคิดว่าโอ้ฉันโชคดี ไม่ใช่..มันเป็นบุญของโยมที่โยมทำไว้ ถ้าโยมไม่ได้กระทำไว้เลย โยมจะมาโชคดีได้อย่างไร เพราะเราทำความดีไว้ โอ้โชคดีเราทำกรรมชั่วได้รับผล..นั่นก็กรรมของเราอีกเหมือนกัน ไม่มีใครรับ ใช่มั้ยจ๊ะ มันก็ของเราอีกเหมือนกัน ดังนั้นบุญกุศลน่ะเทวดาเขารักษาไว้ให้ ถ้าทรัพย์นั้นมันมาโดยชอบธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ใครจะมาขโมยเขาก็ต้องเอามาคืนโยม โยมไม่ต้องไปบนเลย ถ้าของสิ่งนั้นมันเป็นของๆโยม เทวดาเขาจะเอามาให้เหมือนเดิม..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    การฝึกจิตนี้ก็เพื่อให้มันคุ้นเคย เพื่อให้มันเท่าทันความรู้สึก เมื่อมนุษย์ทั้งหลายหรือเราก็ดียังมีความพอใจความรู้สึกอยู่ แล้วไม่เท่าทันในความรู้สึกนั้น ก็อารมณ์เหล่านี้แลที่เกิดจากความพอใจไม่พอใจเหล่านี้แล จึงเกิดเป็นการสะสมอกุศลทั้งปวง ดังนั้นเมื่อเรามาเจริญจิตภาวนาอย่างนี้..อุบายให้จิตนั้นมาเจริญภาวนาจิต เพื่อให้จิตนั้นเกิดความสงบระงับจากอารมณ์ความฟุ้งซ่านภายนอก เพื่อให้เกิดความสงบภายใน เมื่อมีความสงบภายในมากขึ้นเท่าไหร่ อำนาจแห่งสมาธิมันก็มีกำลังมากเท่านั้น เมื่อมีความสงบมากที่ภายใน เราย่อมเห็นเท่าทันความผิดปรกติของตัวอกุศลได้ง่าย ไอ้ตัวที่มันสงบนั้นแลคือเป็นสภาวะธรรม แต่ตัวที่มันยังไม่สงบนั้นแลคืออกุศลธรรม นั่นก็หมายถึงให้รู้ว่าจิตเรานี้ขณะนี้เกิดสภาวะธรรมแบบใด

    มันเกิดเป็นสภาวะธรรมแบบใดก็ตามล้วนแล้วแต่มีเหตุแห่งผลที่มันเกิดขึ้นมา สิ่งหนึ่งก็คือ..ไม่ว่าอารมณ์ใดก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ..มันตั้งอยู่..ไม่นานมันก็ย่อมดับลงไป นั้นให้ถือคติเสียว่าไม่ว่าจะเกิดอารมณ์ใดก็ตาม..ก็ขอเป็นผู้รู้ แต่ไม่ควรยึดในอารมณ์ แต่ถ้าอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจิตเรายังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นิ่งสงบ เราต้องมีองค์ภาวนากำกับจิตเข้าไป ตัวกำกับนี้เรียกว่ากำชับจิตนั้น..เป็นการตะล่อม..กล่อมให้อารมณ์นั้นมันสงบ แต่อย่าได้ไปบังคับจิตให้มันสงบ ทำจิตนั้นให้เป็นธรรมชาติ ก็หมายถึงว่า..ขอให้ดูตามความรู้สึกของเรา

    ถ้าร่างกายสังขารมันล้าเราก็ถอนร่างกายสังขาร เอาแต่ผู้ดูจิตก็คือตัวสติ อาศัยกายนี้สังขารนี้เป็นที่ตั้งแห่งฐานของจิตของธรรม จนจิตเรานั้นมีกำลังเราย่อมเห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น อย่าให้จิตนั้นพลัดพรากจากลมหายใจก็ดี จากองค์ภาวนาก็ดี จากในกายสังขารนี้ ขอให้ทรงไว้..นี้แลเค้าเรียกว่า"ทรงธรรม"

    เมื่อเราทรงไว้มากๆเข้า ธรรมมันเติบโตแข็งแรงแล้ว..ธรรมนั้นแลมันจะเป็นผู้สอนคอยบอก แล้วเราก็หยิบยกธรรมทั้งหลายต่างๆนี้มาพิจารณา ในข้อธรรมที่จะมาพิจารณาก็มีมากมาย ธรรมเหล่าใดเล่าที่พิจารณาแล้วเพื่อปลง เพื่อสละ เพื่อคลายกำหนัด..ก็นั่นแลเรียกว่า"อารมณ์แห่งกรรมฐาน" ธรรมเหล่าใดเล่าที่พิจารณาแล้ว ละแล้ว..เกิดความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาได้..ก็เรียกว่าธรรมเหล่านั้นแลเป็นผู้ชื่อว่าละอำนาจแห่งไฟโทสะ ธรรมเหล่าใดแลที่พิจารณาแล้วอบรมบ่มจิตดีแล้วให้รู้จักการสละการให้..ก็เรียกว่าเป็นการเพียรเผาไฟในโลภะ คือความอยาก ความละโมบอยากได้ใคร่ดีตัณหาเหล่านี้ นี่เรียกว่าการละอารมณ์ในขันธ์ ๕

    ทำไมถึงเรียกว่าการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ อ้าว..ก็เรามีขันธ์ ๕ เป็นกองทุกข์ เราก็ต้องอาศัยกายสังขารแห่งขันธ์ ๕ นี้แลเป็นที่ตั้งของจิต เป็นที่ตั้งแห่งการงานของกรรมฐาน เมื่อจิตเรามีการงานของกรรมฐาน จิตรู้อยู่ในกายสังขารนี้ จิตรู้อยู่ในองค์ภาวนาก็ดี ก็จะทำให้จิตเราตื่นรู้ อันว่าจิตตื่นรู้เป็นเช่นใด คือรู้อยู่แต่สภาวะอารมณ์ในปัจจุบัน ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาทำให้จิตเรานั้นฟุ้งซ่านรำคาญใจ เค้าเรียกว่าจิตเราสงบระงับจากเวรภัยภายนอก ก็เหมาะแล้วแก่การจะพิจารณาธรรมทั้งหลาย

    นั้นเมื่อจิตเรายังไม่มีกำลังเท่าที่ควร ก็ให้ทรงอยู่ในกายนี้ อยู่ที่ลมหายใจ อยู่ที่เหนือสะดือก็ดี ประคับประคองมันไว้จนกว่าจิตนั้นจะรวมตัวให้มีกำลัง..นี้เค้าเรียกเป็นการทรงฌาน ทรงจิตไว้ หรือเรียกว่าประคอง อันว่าทรงจึงเรียกว่าประคอง การจะประคองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นไม่ให้พลัดพรากจากอารมณ์แห่งตัวรู้หรือตัวสติให้ได้ เราก็ต้องมีสติ มีกำลังแห่งความศรัทธาแห่งความพอใจในสิ่งที่เราชอบสิ่งที่เรากระทำ จนกว่าสภาวะจิตนั้นมันเบิกบานตื่นรู้ขึ้นมา อาศัยสลับสับเปลี่ยนอย่างนี้

    ถ้าดูจิตได้ก็ดูไป ถ้าดูจิตไม่ได้ก็ดูกาย แล้วถ้าดูกายและดูจิตก็ไม่ได้ก็ให้พิจารณาธรรม ให้เป็นอุบายให้จิตนั้นมีการงาน มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้ ก็เรียกว่า"สมถะแห่งธรรม" อารมณ์เป็นอารมณ์เป็นเบื้องบาทแห่งความสงบ แม้ว่าจะมีความสงบเล็กน้อย ในขณะหนึ่งของความสงบมันก็ยังมีตัวสติอยู่ ก็ยังมีตัวรู้อยู่ ก็เอาตัวรู้นั้นแลไปพิจารณาให้ตัวรู้นั้นมีกำลัง หากเราทำใคร่ครวญพิจารณาในจิตในธรรมอยู่บ่อยๆแล้ว ก็เรียกว่าธรรมนั้น..ปัญญานั้นมันก็จะมีกำลัง มันก็จะเติบโต

    เมื่อมีความพอใจเพลิดเพลิน..การเจริญความเพียร เจริญภาวนา เจริญปัญญานี้มันก็ทำให้ตั้งมั่นยิ่งได้นาน จนเห็นสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสังขาร คือเห็นทุกข์ เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อเราเห็นว่าสภาวะการเกิดเป็นทุกข์เสียแล้ว จิตเรานั้นมันก็จะน้อมเข้าหากฏแห่งไตรลักษณ์ คือการเพ่งโทษ เพ่งอกุศลกรรม สร้างกุศลกรรมให้บังเกิด เหล่านี้แลชื่อว่าเป็นผู้เพียรประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์เพื่อเข้าสู่ทางภาวะนิพพาน คือทิศที่มนุษย์ทั้งหลายยังไม่เคยไป นั้นถ้าโยมจะไปในทางนี้ โยมต้องมีความเชื่อมั่นในทางนี้ก่อน เชื่อว่าทิศนี้มันมีจริง ถ้าเราจะรู้ว่ามันมีจริงไม่จริงเพียงใด ก็ขอให้โยมทั้งหลายนั้นได้ตั้งหน้าตั้งมั่นมีความศรัทธาลองเดินในทางนี้ดู...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    อันว่ากายสังขารนี้เป็นของมีทุกข์อยู่แล้ว เราจงอาศัยสังขารนี้เพื่อฝึกจิตให้รู้ทุกข์ ไม่ได้บอกว่าให้เรานั้นหนีออกจากทุกข์ เมื่อเราเกิดมาพร้อมกับกองขันธ์ พร้อมกับความทุกข์ เราจะไปหนีทุกข์นั้น..เป็นของที่ทำได้ยาก แต่ทางหนึ่งที่เราทำได้คือรู้ทุกข์ เมื่อเรารู้ทุกข์เท่ากับว่าเราจักรู้กรรม เมื่อเรารู้กรรมเราจึงค่อยไปกำหนดกรรม ตั้งจิตให้มันดีให้มันมั่น..อธิษฐานบุญกุศลที่เราเคยทำมา แผ่เมตตาจิตให้กับสภาวะร่างกาย

    อันว่าร่างกายสังขารเรานี้ เราก็สามารถแผ่เมตตาจิตได้ แผ่อย่างไร..ก็ว่ากุศลอันใดที่ว่าข้าพเจ้าได้เคยทำมาแล้วในทาน ศีล ภาวนา ในทุกภพทุกชาติหรือในขณะนี้แล้วก็ตามที ด้วยอำนาจบุญกุศลแห่งพระรัตนตรัย จงช่วยขจัดปัดเป่าแห่งภัยพาล ในโรคอะไรก็ตาม คุณลมคุณไสยที่ข้าพเจ้าในสังขารนี้ จงช่วยขจัดภัยใดทั้งหลายนี้ ให้สภาวะกายสังขารของเรานี้เป็นปรกติ ด้วยอำนาจศีล ทาน ภาวนาที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ขอบุญกุศลเหล่านี้จงสำเร็จประโยชน์กับทุกดวงจิตที่ข้าพเจ้าได้เคยเบียดเบียนด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะเป็นภพใดก็ตาม ทุกรูปทุกนาม ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด จงมาโมทนาบุญกับกุศลกับข้าพเจ้า และจงอโหสิกรรมในกรรมทั้งปวงที่เคยได้มีอาฆาตพยาบาทมาดร้ายต่อกัน ขออำนาจบุญกุศลแห่งพระรัตนตรัยจงอดอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ขจัดปัดเป่าภัยให้มลายหายลงไป..ก็ด้วยอำนาจบุญกุศลนี้ด้วยเทอญ

    นี่เรียกเป็นการรักษากายสังขารของเรา เราก็ต้องรักษาด้วยบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วอธิษฐานบุญกุศลว่าเราจะเอากายสังขารที่เรามีกำลังพอที่จะใช้งานอยู่นี้เอาไปทำอะไร หากเมื่อเราจะต้องการเอากายสังขารนี้ไปเพื่อเจริญบุญกุศล เจริญพระศาสนาก็ดี เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ดี จะมีเทพเทวดาก็ดี ท้าวเวสสุวรรณโณก็ดีจะคอยตามดูแลรักษากายสังขารของเรานั้นเมื่อเราจะสร้างความดี เค้าเรียกเป็น"การชะลอ" เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรียกเป็นการปกป้องคุ้มกันภัยให้เรา

    ดังนั้นเมื่อกายเรานี้ไม่มีอะไรคุ้มครองดูแลก็ดี หรือเรียกว่า"จิตอ่อน" จิตที่ไม่ถูกฝึกจึงเรียกว่าจิตอ่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตผู้ที่ฝึกแล้วย่อมเข้มแข็ง นั้นเราต้องดูว่าจิตเรานั้นเป็นอย่างไร คนที่จิตแข็งเป็นอย่างไร จิตมีภูมิคุ้มกันเป็นอย่างไร จิตมีอะไรป้องกันก็ดีนั้นเรียกว่าถ้าอารมณ์อะไรเกิดขึ้นแล้ว..เรียกว่าเราเท่าทันอารมณ์ ละวางอารมณ์และดับอารมณ์นั้นได้ ไม่ยึดไม่ติดในอารมณ์ ไม่ถือในอารมณ์นั้นได้ เรียกว่าเรานี้ได้ฝึกจิต..จิตเรามีภูมิคุ้มกันมาแต่ปางก่อน คือวาสนาเคยกระทำมา

    ถ้าจิตของผู้ใดไม่มีภูมิคุ้มกัน เมื่ออารมณ์อะไรมากระทบก็ดี มันก็จะอ่อนแอและเข้าไปสิงอยู่ในใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ย่อมทำให้เกิดทุกข์เกิดภัยพาล เกิดความหดหู่เศร้าหมองใจ เกิดความอาฆาตพยาบาทได้ สิ่งเหล่านี้แล..บุคคลพวกนี้เค้าเรียกว่าขาดที่พึ่ง ดังนั้นที่พึ่งที่เป็นธงชัย..ก็คือที่พึ่งแห่งพระรัตนตรัย

    นั้นการที่โยมทั้งหลายจะเจริญภาวนาจิตก็ดี หากได้มีการสำรวมกาย วาจา ใจ ได้เจริญภาวนาสาธยายมนต์แล้วก็ตามที ย่อมทำให้จิตผู้นั้นเข้มแข็ง มีกำลังอาจหาญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะในขณะที่โยมสาธยายมนต์อยู่นั้น ได้เป็นการเปล่งวาจาอันเป็นมงคล เป็นการสรรเสริญคุณงามความดีของพระรัตนตรัย ย่อมจะทำให้เทพเทวดาทั้งหลายมาสถิตมาชุมนุมห้อมล้อมให้เป็นมงคล เกิดรัศมี เกิดอำนาจแห่งทิพย์ เกิดกำลังจิต สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเรานั้นได้ดึงดูดพลังที่ดีเข้ามาสู่ในกาย

    เมื่อพลังที่ดีนี้เข้ามาสู่ในกายย่อมผลักดันสิ่งที่ไม่ดีนั้นออกมาทางกระหม่อมก็ดี จากรูทวารก็ดี จากรูขุมขนก็ดี จากเหงื่อไคลก็ดี จากความร้อนภายในออกมาสู่ภายนอกก็ดี สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็น"พุทธคุณ"ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ มนุษย์อาจจะยังไม่เข้าใจ เห็นว่าการสวดมนต์นั้นมีประโยชน์น้อยและเสียเวลามาก แท้ที่จริงแล้วมันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะการสาธยายมนต์นี้จึงเรียกเป็นการล้างของสกปรกอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ยังไม่ได้ขัดคราบสกปรกออกไป

    การจะขัดคราบสิ่งสกปรกที่มันฝังแน่นในใจนี้ หรือเปรียบเหมือนภาชนะที่มันติดแน่น ก็ต้องอาศัยการขัด การจดจ่อ การเพ่งดู การพิจารณา การอาศัยของเครื่องชำระ ก็ต้องอาศัยทาน ศีล หรือการภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ที่โยมสวดมนต์สาธยายมนต์กันนั้นเพื่อเป็นการอ้อนวอนขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์..นั้นเป็นสิ่งที่ว่างมงาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ว่าการสาธยายมนต์นั้นเป็นอุบายแห่งธรรม เป็นพื้นฐานหรือว่าเป็นปัจจัยหรือองค์ประกอบขั้นแรก..ที่จะนำดวงจิตโยมนั้นเข้าไปสู่ในพระรัตนตรัย เข้าไปสู่ความเชื่อ เพื่อจะให้เข้าถึงความศรัทธา เพราะศรัทธานี้จะเป็นหนทางที่จะเข้าสู่พระนิพพานอย่างหนึ่ง หากโยมไม่มีศรัทธาในสิ่งใดแล้ว..ความหวังก็ดี..จุดหมายปลายทางก็ดี..ย่อมกำหนดอะไรไม่ได้เลย..

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2018
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...