บทความให้กำลังใจ(ฟังกันบ้าง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    ความมั่นคงของชีวิต ความจริงที่ต้องรู้
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อพูดถึงความมั่นคงของชีวิต อันเป็นยอดปรารถนาของผู้คน ส่วนใหญ่แล้วมักนึกถึงความมั่งคั่งร่ำรวย เพราะเมื่อมีเงินแล้ว สวัสดิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายก็ตามมา ยังไม่ต้องพูดถึงบริษัทบริวารที่ห้อมล้อม แต่ทั้งหมดนี้จะมีความหมายอะไร หากชีวิตไม่มีความสุข ปราศจากความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวและมิตรสหาย ถึงจะมีพวกแต่ไร้เพื่อน จิตใจก็คงอ้างว้าง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวในยามที่อยู่คนเดียว ยิ่งเงินที่มีอยู่นั้น มิได้มาด้วยวิธีการที่ชอบธรรม ก็ย่อมเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ

    ในขณะที่ผู้คนพากันแสวงหาความมั่นคงของชีวิตนั้น สิ่งที่มักถูกมองข้ามไปก็คือ ความมั่นคงของจิตใจ แม้จะมีเงินมากมายมหาศาล แต่ถ้าจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หวาดกลัว รุ่มร้อน รู้สึกพร่อง ไม่รู้จักพอ ขาดความสุขสงบเย็น ก็ยากที่จะรู้สึกว่าชีวิตมีความมั่นคง

    ในสมัยพุทธกาลมีพระราชาองค์หนึ่งชื่อว่าพระเจ้าภัททิยะ เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า ต่อมาได้ออกบวชเพราะทนการรบเร้าอ้อนวอนของเพื่อน(คือเจ้าชายอนุรุทธะ)ไม่ได้ เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์ ไม่ว่าท่านอยู่ที่ใด ในป่าหรือใต้ร่มไม้ ท่านมักเปล่งอุทานว่า “สุขหนอ ๆ”เป็นประจำ เพื่อนภิกษุได้ยินก็เข้าใจว่าท่านไม่ยินดีในการบวช จึงกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกท่านมาแล้วถามเหตุผล พระภัททิยะจึงตอบว่า เมื่อครั้งเป็นฆราวาสครอบครองราชสมบัติ แม้มีทรัพย์และบริวารมาก มีคนคอยดูแลปกป้องรอบข้าง ก็ยังอดสะดุ้งจิตหวาดกลัวไม่ได้ แต่บัดนี้ไม่ว่าข้าพระองค์อยู่ที่ใดเพียงลำพัง ก็ไม่รู้สึกสะดุ้งกลัว มีแต่ความสุขในทุกหนแห่ง จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น

    สำหรับพระภัททิยะแล้ว แม้เป็นกษัตริย์ก็มิได้รู้สึกมีความมั่นคงในชีวิตเลย สาเหตุก็เพราะจิตใจไม่มีความมั่นคงอย่างแท้จริง

    มีหลายสิ่งที่ทำให้คนเราไม่รู้สึกมั่นคงในจิตใจ สิ่งหนึ่งก็คือ ความกลัว ดังกรณีของพระภัททิยะ หลายคนอาจไม่ได้กลัวอันตราย แต่กลัวการสูญเสีย อาทิ การสูญเสียทรัพย์ เป็นธรรมดาที่ว่า ยิ่งฝากชีวิตไว้กับทรัพย์สินเงินทองมากเท่าใด ก็ยิ่งกลัวการสูญเสียทรัพย์มากเท่านั้น นี้คือทุกข์ข้อแรกของคนมีทรัพย์ ซึ่งนำไปสู่ทุกข์ประการต่อมา คือ ต้องเหน็ดเหนื่อยในการปกป้องรักษาทรัพย์ แม้ไม่เหนื่อยกายก็เหนื่อยใจ ยังไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านั้นที่ต้องดิ้นรนขวนขวายในการหาทรัพย์ ซึ่งแม้ประสบความสำเร็จ แต่ความสุขที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานก็รู้สึกเฉย ๆ หรืออาจถึงกับเบื่อด้วยซ้ำ ทำให้อยากได้ของใหม่ (คนที่ดีใจเพราะได้iPhone 4S เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ส่วนใหญ่คงไม่ปลื้มกับมันแล้วเพราะเห็นiPhone 5 วางตลาด)

    ดังนั้นนอกจากความกลัวแล้ว ความอยากได้ไม่รู้จบก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จิตใจไม่มั่นคง เพราะรู้สึกพร่องอยู่เสมอ คนที่คิดว่าคำตอบของชีวิตอยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง (รวมไปถึงอำนาจ) จะไม่เคยรู้สึกพึงพอใจในชีวิตเลย เพราะได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าแม้ได้อะไรมามากมาย แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิต

    เฟอร์ดินันด์ มาร์คอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ซึ่งทรงอำนาจอย่างยิ่งเมื่อ ๔๐ ปีก่อน ได้เปิดเผยความในใจในบันทึกของตนเมื่อครั้งที่ถึงจุดสูงสุดของชีวิต ว่า

    “ผมมีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องคือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยา ซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ มีลูก ๆ ที่ฉลาดหลักแหลมและสืบทอดวงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต”
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    สำหรับมาร์คอส ความมั่นคงของชีวิตที่ผู้คนเห็นจากภายนอกนั้น มีความหมายต่อเขาน้อยมากตราบใดที่เขายังไม่รู้สึกพึงพอใจในชีวิต

    มาร์คอสกับพระภัททิยะนั้นเป็นภาพที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งมีทรัพย์และอำนาจล้นฟ้าแต่ไม่มีความสุข อีกคนไม่มีอะไรเลยนอกจากบาตรและจีวร แต่มีความสุขอย่างยิ่ง

    สิ่งที่ชีวิตของคนเราต้องการอย่างแท้จริงนั้น หาใช่ทรัพย์สินเงินทองไม่ แต่คือความสงบเย็นในจิตใจ พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าทรัพย์สินไม่สำคัญ ทรัพย์สินนั้นมีประโยชน์ตราบใดที่เรารู้จักใช้มัน ไม่ลุ่มหลงเพราะรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอย่างไร แต่หากลุ่มหลงมันแล้ว เราก็กลายเป็นทาสของมันทันที อีกทั้งมันจะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เราเข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ อันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความสุขและความมั่นคงในจิตใจอย่างแท้จริง

    ความสงบเย็นในจิตใจนั้น เกิดจากการหมั่นทำความดี เริ่มด้วยการแบ่งปันทรัพย์สินแก่ผู้ที่ทุกข์ยากหรือผู้ที่ทำประโยชน์ส่วนรวม(ทาน) จากนั้นก็รักษากายและใจไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น รวมไปถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยกำลังกายและสติปัญญา (ศีล) ตามมาด้วยการฝึกฝนอบรมจิตใจให้เป็นกุศล(ภาวนา) เช่น มีสติ สมาธิ และสันโดษ(ความรู้จักพอ) ที่สำคัญคือการบ่มเพาะใจให้เกิดปัญญา คือเห็นและเข้าใจความจริงของชีวิต

    ความจริงของชีวิตอย่างหนึ่งที่ควรตระหนัก และจะช่วยให้จิตใจมั่นคงอย่างยิ่ง นั่นคือความจริงที่ว่า ชีวิตนี้แท้จริงแล้วไม่มีความมั่นคงเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกคนเมื่อเกิดมา นอกจากต้องแก่ ต้องป่วยแล้ว ยังหนีความตายไม่พ้น ชีวิตที่มีความตายเป็นจุดหมายโดยมีความเจ็บป่วย ความแก่อยู่ระหว่างทาง (ไม่นับความสูญเสียพลัดพรากที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน) จะเป็นสิ่งที่มั่นคงได้อย่างไร

    ไม่ว่ามีเงินมากมาย มีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่อาจป้องกันความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ (ทำได้อย่างมากก็แค่ชะลอเท่านั้น) ใช่แต่เท่านั้น เงินทองและอำนาจก็ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่จิรัง ไม่มั่นคง แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ในเมื่อตัวมันเองยังไม่มั่นคง มันจะไปค้ำยันชีวิตเราให้มั่นคงได้อย่างไร

    ใช่หรือไม่ว่า ความมั่นคงของชีวิตนั้นแท้จริงเป็นของชั่วคราว หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ มันเป็นมายาภาพ ที่เราหลงคิดว่าเป็นความจริง ตราบใดที่เรายังหลงในมายาภาพดังกล่าว เราจะไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย ต่อเมื่อเราเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้หรือมั่นคงอย่างแท้จริงเลย เราจึงจะพบกับความสงบเย็น เพราะจิตไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งใด ๆ อีกต่อไป ไม่ว่ามีอะไร ก็รู้ว่าสักวันหนึ่งมันย่อม “หมด” ไป ดังนั้นเมื่อวันนั้นมาถึง จึงไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศก เสียใจ หรือโกรธแค้น จิตใจยังคงเป็นปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหว

    โลกและชีวิตนี้เต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน เมื่อใดเราเปิดใจยอมรับและเห็นความจริงดังกล่าว ไม่ยึดหรืออยากให้ทุกอย่างเที่ยงแท้มั่นคงหรือเป็นไปตามใจเรา ความผันผวนนั้นจะไม่อาจทำให้เราทุกข์ได้ต่อไป ถ้าไม่อยากทุกข์ใจเพราะความผันผวนดังกล่าว ก็ควรพากเพียรสั่งสมความดีและฝึกใจให้เห็นความจริงดังกล่าว อย่ามัวแต่แสวงหาเงินทองหรือสะสมวัตถุจนมองข้ามสิ่งที่สำคัญและประเสริฐกว่าไปเลย

    :- https://visalo.org/article/budTisco.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    บุญและทานในไทย
    พระไพศาล วิสาโล
    ในช่วง ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมามีประเพณีอย่างใหม่ได้เกิดขึ้นในภาคเหนือ ได้แก่การทอดผ้าป่าข้าว ปกติแล้วการทอดผ้าป่าทั่วไป ผู้คนจะถวายเงินแล้วรวบรวมถวายพร้อม “ผ้าป่า” ให้แก่ทางวัดเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เช่น สร้างโบสถ์ วิหาร แต่สำหรับการทอดผ้าป่าข้าว ชาวบ้านจะร่วมกันบริจาคข้าว(และเงิน)เข้ากองผ้าป่า จุดหมายคือเพื่อเป็นการสนับสนุนกองทุนข้าวในหมู่บ้านที่นำผ้าป่าไปทอด กองทุนข้าวดังกล่าวตั้งขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านที่ยากจนกู้ยืมโดยมีดอกเบี้ยต่ำ แต่บางปีที่เกิดความแห้งแล้ง กองทุนข้าวบางหมู่บ้านไม่มีข้าวเพียงพอที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นจึงพร้อมใจกันเข้ามาช่วย วิธีนี้ทำให้หลายหมู่บ้านที่ยากจนสามารถช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีเงินเหลือสำหรับสนับสนุนกองทุนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เช่น กองทุนการศึกษาสำหรับเยาวชน และกองทุนอาหารกลางวัน

    การทอดผ้าป่านั้นเป็นประเพณีที่ได้รับความนิยมมากในเมืองไทยเพราะถือว่าทำแล้วจะได้บุญมาก แต่ทอดผ้าป่าข้าวนั้นแปลกออกไปตรงที่ แม้จะทอดที่วัด แต่จุดมุ่งหมายสำคัญคือเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาหมู่บ้านที่ชาวบ้านเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นเมื่อวัดได้เงินผ้าป่าแล้ว ก็มีการทำพิธีมอบให้แก่ชาวบ้านอีกที วิธีนี้เท่ากับส่งเสริมบทบาทของวัดในการสงเคราะห์ชุมชน ซึ่งเป็นมาช้านาน(แต่เพิ่งสะดุดไปเมื่อไม่นานมานี้) ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือผู้ที่นำข้าวและเงินมาทอดนั้น มิใช่ใครที่ไหนหากได้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้านข้างเคียงที่ต้องการช่วยเหลือหมู่บ้านที่ลำบากกว่า การทอดผ้าป่าข้าวจึงช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นเครือข่ายในระหว่างหมู่บ้านให้แน่นแฟ้นขึ้น เป็นการวางรากฐานสำหรับการทำงานพัฒนาชุมชนในระดับที่กว้างกว่าหมู่บ้าน นอกจากการค้ำจุนกองทุนข้าวที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว การทอดผ้าป่าข้าวซึ่งจัดขึ้นติดต่อกันเกือบทุกปียังมีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนให้เกิดกองทุนข้าวใหม่ ๆ ในหลายหมู่บ้าน

    นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการประยุกต์ประเพณีทำบุญให้เกื้อกูลต่อการพัฒนาชุมชนและขจัดความยากจน ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมทัศนคติที่ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นก็ถือว่าเป็นบุญเช่นกัน


    มิใช่ว่าบุญจะต้องทำกับพระเท่านั้น อันที่จริงทัศนคตินี้ก็มีอยู่เดิมแล้วในภาคเหนือ ดังมีประเพณีที่เรียกว่า “ทานทอด” คือการนำวัตถุไปสงเคราะห์แก่คนยากไร้ โดยวางไว้ใกล้ที่อยู่ของเขา หลังจากนั้นจึงจุดประทัดเพื่อเป็นสัญญาณว่ามีคนเอาของมาให้ ถือว่าทำเช่นนี้ก็ได้บุญเช่นเดียวกับการทอดผ้าป่า

    อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ประเพณีทานทอดได้หายไปแล้วเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้เอง ทำให้การทำบุญมีความหมายเรียวและแคบลง เหลือเพียงแค่การให้ทานแก่พระเท่านั้น อันที่จริงในอดีตการให้ทานกับพระกับการสงเคราะห์ชุมชนนั้น ไม่เคยเป็นเรื่องที่แยกจากกัน การทอดผ้าป่าไม่ได้เกิดประโยชน์แก่วัดเท่านั้น หากยังเป็นประโยชน์ต่อชุมชนด้วย เพราะวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน จานชามที่ถวายให้วัด ชาวบ้านก็มายืมไปใช้ในงานศพหรืองานแต่งงาน แต่มาระยะหลัง วัดกับบ้านเหินห่างจากกัน การทำบุญกับพระจึงไม่ค่อยได้เกิดประโยชน์แก่ชาวบ้าน

    ในปัจจุบันมีความพยายามจากหลายกระแสที่ประยุกต์ประเพณีการทำบุญให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เฉพาะประเพณีทอดผ้าป่า นอกจากทอดผ้าป่าข้าวแล้ว ก็มีทอดผ้าป่าหนังสือ หรือทอดผ้าป่าปัจจัย ๔ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีการพยายามคิดค้นกิจกรรมใหม่ ๆ โดยอิงแนวความคิดเกี่ยวกับบุญ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการประยุกต์แนวคิดเกี่ยวกับบุญให้สอดคล้องกับยุคสมัยมากขึ้น ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งได้แก่ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)

    กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์เป็นการพัฒนามาจากแนวคิดเรื่องกลุ่มออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการระดมเงินออมของชาวบ้านเพื่อให้ชาวบ้านกู้ยืมกันเอง โดยไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือนายทุนเงินกู้ แต่สัจจะสะสมทรัพย์ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งโดยการเอาแนวคิดทางพุทธศาสนามาเป็นรากฐาน อาทิ หลักสัจจะ กล่าวคือสมาชิกทุกคนจะต้องถือสัจจะว่าจะนำเงินมาสะสมทุกเดือนไม่ขาด โดยจำนวนเงินต้องไม่น้อยหรือมากกว่าเดิม นอกจากนั้นยังนำเอาแนวคิดเรื่องบุญมาใช้ด้วย กล่าวคือให้ชาวบ้านตระหนักว่าการมาเป็นสมาชิกกลุ่มนั้นเป็นการทำบุญร่วมกัน เพราะเงินที่นำมาฝากนั้น คนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือประสบปัญหา สามารถมากู้ยืมเอาไปใช้บรรเทาความเดือดร้อนได้ เท่ากับว่าได้ช่วยสงเคราะห์เขา นี้คือการฟื้นฟูคุณธรรมดั้งเดิมขึ้นมาได้แก่การสงเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในอดีตคุณธรรมข้อนี้มีเด่นชัดมากและแนบแน่นกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย เช่น การตั้งน้ำดื่มไว้หน้าบ้าน การให้ข้าวให้น้ำแก่คนแปลกหน้า สร้างศาลาที่พักแรมแก่คนเดินทาง ไปจนถึงการลงแขกเกี่ยวข้าว ปลูกเรือน หรือช่วยกันบูรณะถนนหนทาง สร้างศาลาท่าน้ำ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ชาวบ้านถือว่าเป็นบุญด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งนั่นคือ มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งมีวิธีดำเนินการกับผู้ที่เอาเปรียบหมู่คณะ นอกจากมีระเบียบกฎเกณฑ์แล้วยังมีการสร้างสำนึกทางคุณธรรมควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันก็หันมาใช้วิธีระดมเงินแทนที่จะระดมแรงเหมือนก่อน ที่น่าสนใจก็คือความริเริ่มดังกล่าวเกิดขึ้นจากพระสงฆ์รูปหนึ่งคือพระสุบิน ปณีตโต ซึ่งสามารถจัดตั้งกลุ่มแบบนี้ได้ร่วม ๓๐๐กลุ่มแล้วในหลายจังหวัด เฉพาะจังหวัดตราดซึ่งเป็นบ้านเดิมของท่านมีกลุ่มเหล่านี้ในเกือบ ๒๐๐ หมู่บ้าน หรือกว่าครึ่งหนึ่งของจังหวัด


    ควรกล่าวย้ำว่าบุญหรือทานในอดีตนั้นมีความหมายที่กว้างมาก ท่านอาจารย์พุทธทาสเล่าว่า เมื่อท่านยังเด็ก โยมแม่จะสอนคาถาประจำใจเวลาทำนาว่า “นกกินก็เป็นบุญ คนกินก็เป็นทาน” บุญนั้นไม่จำกัดที่การทำกับผู้อยู่เหนือเรา เช่น พระสงฆ์เท่านั้น แม้ทำกับผู้ที่อยู่ระดับเดียวกับเรา เช่นผู้คนทั่วไป หรือที่อยู่ต่ำกว่าเรา ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ หรือสิงสาราสัตว์ ก็ถือว่าเป็นบุญเช่นกัน ทั้งนี้โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นการให้ทานหรือให้วัตถุสิ่งของเท่านั้น แม้แต่การเอื้อเฟื้อด้วยแรงกายหรือแรงปัญญา รวมถึงการชี้แนะชักชวนในทางที่ดีงาม ก็เป็นบุญเช่นกัน

    บุญในความหมายนี้แหละที่เป็นปัจจัยถักทอสังคมทุกสังคมให้ปรองดองกลมเกลียวและผาสุก อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานในการสร้างสังคมให้เข้มแข็งมั่นคง ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มมีความพยายามในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุญตามหลักพุทธศาสนา เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาแ ละสังคมไทยเป็นกลุ่มหนึ่งที่รณรงค์ในเรื่องนี้อย่างแข็งขันในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา

    การรณรงค์ของกลุ่มนี้เริ่มต้นด้วยการจัดทำคู่มือทำบุญชื่อ “ฉลาดทำบุญ” ซึ่งแนะนำชาวพุทธไทยให้รู้จักวิธีการทำบุญ ๑๐ ประเภทตามหลักพุทธศาสนา นอกจากการชี้แนะวิธีการทำบุญแก่พระสงฆ์อย่างถูกต้อง ไม่ตกเป็นเหยื่อของระบบบริโภคนิยมแล้ว ยังได้เสนอวิธีทำบุญแบบใหม่โดยไม่จำกัดว่าต้องทำกับพระ เช่น การทำอาหารเลี้ยงเด็กกำพร้า การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนพิการ หรือจัดสันทนาการให้แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ เยี่ยมคนชรา ปลูกป่า แจกหนังสือธรรมะ นอกจากนั้นยังเสนอวิธีการทำบุญในโอกาสสำคัญเช่น งานวันเกิด วันแต่งงาน งานทำบุญบ้าน เปิดสำนักงานใหม่ ตลอดจนงานศพ ทั้งหมดนี้มุ่งที่การสงเคราะห์ผู้ประสบทุกข์ และการเอื้อเฟื้อให้เกิดการพัฒนาจิตและปัญญา

    หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษาเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว ทันทีที่หนังสือเล่มนี้ออกมาก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง จนถึงปัจจุบันมีการพิมพ์ซ้ำเกือบ ๔๐ ครั้ง รวมเกือบ ๒๐๐,๐๐๐ เล่ม มีผู้คนนิยมซื้อไปแจกในงานต่าง ๆ โดยเฉพาะงานวันเกิดและงานศพ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำบุญที่คนเป็นอันมากไม่รู้มาก่อน การตอบรับอีกส่วนหนึ่งมาจากคนที่ไม่พอใจกับการทำบุญในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยพิธีกรรมอันสิ้นเปลืองและไร้ประโยชน์ หาไม่ก็เน้นที่วัตถุเช่น การสร้างโบสถ์ วิหาร

    เมื่อปีที่แล้วเครือข่ายชาวพุทธได้จัดพิมพ์คู่มือทำบุญอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเล่มเล็กกว่า และอ่านง่ายกว่า มีภาพประกอบสี่สี ชื่อว่า “๓๐ วิธีทำบุญเพื่อคุณภาพชีวิตและสังคม” ท้ายเล่มยังได้แนะนำหน่วยงานที่พร้อมรองรับผู้ต้องการทำบุญ ทั้งโดยการบริจาคเงินและเป็นอาสาสมัคร รวมทั้งสถานที่ที่เปิดอบรมสมาธิภาวนา หนังสือดังกล่าววางขายตามปั๊มน้ำมันในกรุงเทพ ฯ ต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน ต้องพิมพ์ใหม่ ๗ ครั้ง ยอดพิมพ์ร่วม ๒๐๐,๐๐๐ เล่ม อีกทั้งยังได้รับการตอบสนองจากสื่อมวลชนทุกประเภท ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ หนังสือทั้งสองเล่มยังเป็นที่ต้องการอยู่กระทั่งปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะได้เห็นและมีส่วนร่วมในการทำบุญอย่างใหม่ที่สร้างสรรค์ทั้งคุณภาพชีวิตและสังคม มิใช่สักแต่ว่าทำบุญไปตามประเพณีโดยหวังความมั่งมีศรีสุขในชาตินี้หรือสวรรค์ในชาติหน้าเท่านั้น

    หลังจากที่รณรงค์ในด้านแนวคิดมาพอสมควรแล้ว ในปีนี้ เครือข่ายชาวพุทธ ฯ มีแผนการที่จะยกระดับการรณรงค์ไปสู่ขั้นปฏิบัติการทางสังคม นั่นคือ การเชิญชวนให้คนไทยมาทำบุญช่วงเข้าพรรษาด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม โครงการนี้มีองค์กรต่าง ๆ เข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายที่กว้างขึ้น โดยเลือกประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเด็ก มาเป็นแกนกลางในการรณรงค์ ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายที่จะชักชวนมาเป็นอาสาสมัครได้แก่พนักงานตามบริษัทห้างร้านและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โครงการนี้นอกจากจะสร้างสำนึกแก่ชาวพุทธไทยว่าการทำบุญมีความหมายมากกว่าการให้ทานหรือสละสิ่งของเท่านั้น ยังประสงค์ที่จะสร้างขบวนการอาสาสมัครที่ตั้งอยู่บนแนวคิดเกี่ยวกับบุญ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นรากฐานของสังคมไทยมาช้านาน ขณะเดียวกันก็ต้องการที่จะฟื้นฟูแนวคิดเรื่องบุญเพื่อให้มีพลังในการสร้างสรรค์สังคมไทย มิใช่จำกัดตัวอยู่แต่ในวัดหรือในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น

    แม้ว่าขบวนการทางสังคมที่มีบุญเป็นรากฐานจะยังไม่เข้มแข็ง แต่ในปัจจุบันได้มีปัจเจกบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ทำงานช่วยเหลือสังคมบนวิถีแห่งบุญ นอกจากสอนหนังสือ หรือช่วยเด็กยากจนแล้ว บางคนอุทิศตนให้แก่การปลูกต้นไม้บนพื้นดินว่างเปล่ารวมทั้งริมถนนรวมแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ล้านต้น สำหรับเขาแล้ว “การปลูกต้นไม้เป็นการทำบุญที่ถูกต้องที่สุด มันยั่งยืนกว่า และช่วยเหลือทุกคนได้ชั่วลูกชั่วหลาน” ความพยายามตลอด ๑๕ ปีของเขามีส่วนสำคัญในการทำให้อำเภอที่เคยแห้งแล้งกันดารของบุรีรัมย์ กลับเขียวขจีด้วยต้นไม้นานาชนิด การปลูกและฟื้นฟูป่าเป็นการทำบุญที่นับวันจะมีผู้นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ บางแห่งได้พัฒนามาเป็นการบวชต้นไม้

    น่าสนใจที่ว่าแนวคิดเรื่องบุญได้ขยายไปสู่การช่วยเหลือระหว่างสัตว์กับสัตว์ มีเจ้าของสุนัขจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันที่นิยมนำสุนัขของตนไปให้เลือดเพื่อช่วยเหลือสุนัขตัวอื่น ๆ ที่จำต้องใช้เลือดสำหรับการผ่าตัด เมื่อถามถึงแรงจูงใจ หลายคนตอบว่า ต้องการให้สัตว์เลี้ยงของตนได้ทำบุญ บางคนเชื่อว่าบุญจะช่วยให้สัตว์เลี้ยงของตนได้เกิดเป็นคนในชาติหน้า

    เมื่อพิจารณาจากบุญ ๑๐ ประเภทในพุทธศาสนาแล้ว จะเห็นว่าบุญนั้นเกื้อกูลต่อสุขภาวะทั้งทางกาย ความสัมพันธ์ จิต และปัญญา ซึ่งเป็นสุขภาวะทุกมิติที่มนุษย์ต้องการ ขณะเดียวกันบุญก็มิได้สร้างสรรค์เฉพาะคุณภาพชีวิตเท่านั้น หากยังเอื้อเฟื้อต่อคุณภาพสังคมด้วย ทุกครั้งที่ให้ทานอย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยลดความเห็นแก่ตัว ฝึกตนเป็นผู้ให้ด้วยมิใช่เป็นแค่ผู้รับอย่างเดียว ยังช่วยให้สังคมเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน มีความสงบร่มเย็น บุญอีก ๙ ประเภทที่เหลือก็เช่นกันย่อมเกื้อกูลทั้งชีวิตและสังคมอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ แต่หากเข้าใจบุญอย่างผิด ๆ บุญก็ไม่ต่างจากยัญกรรมของพราหมณ์ หรือการแลกเปลี่ยนเพื่อหวังกำไรที่มากกว่า ตามคติทุนนิยม

    บุญที่แท้ในพุทธศาสนานั้นยังมีพลังสร้างสรรค์สังคมอยู่โดยเฉพาะในสังคมที่มีพุทธศาสนาเป็นรากฐานมาช้านาน แต่พลังนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเข้าถึงแก่นแท้ของบุญแล้วนำมาประยุกต์กับชีวิตและสังคมได้อย่างสมสมัย
    :- https://visalo.org/article/budBoonandTan.htm


     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    ถึงเวลากลั่นกรองผู้บวชได้แล้ว
    พระไพศาล วิสาโล
    ใกล้ถึงวันเข้าพรรษา วัดวาอารามต่าง ๆ จะคึกคักขึ้นมาก โดยเฉพาะวัดที่มีเจ้าอาวาสเป็นอุปัชฌาย์ เพราะผู้คนจะพากันมาบวชในช่วงนี้มาก น่าสังเกตว่ามีจำนวนไม่น้อยเลยที่เพิ่งลางานมาได้หมาด ๆ และไม่เคยพบหน้าอุปัชฌาย์เลยด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์ดังกล่าวในด้านหนึ่งบ่งชี้ว่าประเพณีการบวชของไทยยังไม่เสื่อมคลาย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าการบวชในปัจจุบันง่ายดายจนน่าเป็นห่วง เพราะใคร ๆ ก็สามารถบวชได้โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวแต่อย่างใด

    นั่นหมายความว่าคณะสงฆ์ไทยในเวลานี้ นอกจากจะขาดระบบกำกับและระบบกล่อมเกลาภิกษุเพื่อให้มีความประพฤติที่ถูกต้องดีงามแล้ว ยังขาดระบบกลั่นกรองผู้ที่จะมาบวชอีกด้วย

    กระบวนการบวชส่วนใหญ่ในเวลานี้มิได้มีอะไรมากไปกว่าพิธีอุปสมบท ซึ่งก็กลายเป็นพิธีกรรมไปแล้ว ใครที่สามารถกล่าวคำขานนาคได้และมีอัฏฐบริขารครบก็สามารถบวชพระได้ ร้ายกว่านั้นก็คือเดี๋ยวนี้บางแห่งหย่อนยานกระทั่งว่าแม้เมาจนท่องจำคำขานนาคไม่ได้เลย ก็ยังสามารถบวชเป็นพระได้ ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงสามารถเข้ามาเป็นพระให้คนกราบไหว้ได้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เคยต้องปาราชิกหรือถูกจับสึกมาแล้ว

    อันที่จริงการกลั่นกรองผู้ที่จะมาบวชนั้นมีอยู่แล้วตามวินัยโดยอุปัชฌาย์เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้และเป็นผู้รับรองต่อคณะสงฆ์ ในสมัยก่อนอุปัชฌาย์มักรู้จักผู้ที่ขอบวช เพราะถ้าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็เคยเห็นหน้ากันเนื่องจากอยู่ในละแวกเดียวกัน บางครั้งก็เป็นญาติกันด้วยซ้ำ หาไม่ก็เคยเป็นเด็กวัดมาก่อน จึงรู้จักอุปนิสัยใจคอดีว่าสมควรบวชให้หรือไม่ บางกรณีแม้จะไม่รู้จักเป็นส่วนตัว แต่ก็คุ้นเคยกับผู้ที่พามาบวช จึงเท่ากับมีผู้รับรองหรือค้ำประกันกลาย ๆ นอกเหนือจากการเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขอบวช

    แต่ทุกวันนี้อุปัชฌาย์แทบไม่ได้ทำหน้าที่กลั่นกรองผู้บวชอีกแล้ว เพราะนอกจากจะไม่รู้จักผู้ขอบวชเป็นส่วนตัวแล้ว ผู้ที่มาขอบวชปีหนึ่ง ๆ มีมากมายหลายคน ยิ่งในช่วงเข้าพรรษาด้วยแล้ว อาจมีเป็นร้อยที่รอบวชจนต้องเริ่มทำพิธีบวชกันตั้งแต่เช้าตรู่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีการควบคุมจำนวนอุปัชฌาย์ ในตำบลหนึ่งมีได้เพียงหนึ่งซึ่งก็คือเจ้าคณะตำบลซึ่งย่อมยากที่จะรู้จักผู้คนในพื้นที่ของตนได้อย่างทั่วถึง ยิ่งไปกว่านั้นอุปัชฌาย์ยังมีงานคณะสงฆ์มากมายในฐานะที่เป็นเจ้าคณะระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ตำบลไปจนถึงจังหวัด จึงมักไม่มีเวลาที่จะตรวจสอบผู้ขอบวชได้ ดังนั้นจึงปรากฏว่าผู้ที่ไม่พร้อมจะเป็นพระสามารถเข้ามาเป็นสมาชิกคณะสงฆ์ได้เป็นจำนวนมากและอย่างง่ายดาย

    สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่มีผู้มาบวชเป็นจำนวนมากในปีหนึ่งๆนั้น ก็เนื่องจากการที่พระวินัยมิได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอบวชอย่างเข้มงวดมากนัก หากมิได้มีอันตรายิกธรรม (เช่น เป็นหนี้ เป็นโรคเรื้อน) ก็สามารถบวชได้ ประกอบกับการบวชพระในเมืองไทยไม่ได้ผูกพันไปจนตลอดชีวิต สามารถสึกเมื่อไรก็ได้ นอกจากนั้นเมืองไทยยังมีการบวชตามประเพณี เช่นบวชเมื่อครบอายุ บวชทดแทนบุญคุณ รวมทั้งบวชหน้าไฟ ที่สำคัญคือประเพณีบวชเรียนซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในชนบท ปัจจัยเหล่านี้นอกจากทำให้มีผู้มาขอบวชเป็นจำนวนมากแล้ว ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วัดวาอารามต่าง ๆ ไม่เข้มงวดในการกลั่นกรองผู้มาบวช จึงบวชได้อย่างง่าย ๆ แม้จะบวชเพียง ๓ วันก็อนุญาต
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    คุณภาพของพระสงฆ์ในเมืองไทยจะดีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคณะสงฆ์มีการกลั่นกรองผู้ขอบวชให้รัดกุมกว่านี้ แต่การกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอบวชให้เข้มงวดขึ้น (เช่นกำหนดคุณวุฒิ ความรู้ หรือวัย) การสอบข้อเขียนหรือการอบรมให้มีความรู้ทางธรรมระดับหนึ่งก่อนจึงอนุญาตให้บวชได้ เหล่านี้อาจไม่ใช่วิธีที่ดีนักสำหรับคณะสงฆ์ไทย เนื่องจากเหตุผลทางด้านประเพณีดังได้กล่าวแล้ว อีกทั้งยังเป็นเพราะว่าการบวชในพุทธศาสนานั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อการฝึกฝนพัฒนาตนเป็นหลักอยู่แล้ว (มิใช่เพื่อมาทำหน้าที่เผยแผ่หรือบำเพ็ญศาสนกิจเลยดังศาสนาอื่น) ดังนั้นจึงเปิดกว้างสำหรับทุกคนโดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ คุณวุฒิ และอายุ (แม้ไม่ถึง ๒๐ ปีก็ยังบวชเณรได้) และภูมิหลัง (เช่น เป็นโจรแต่พ้นคดีแล้ว) กระทั่งยังนับถือศาสนาอื่นอยู่ก็ยังมาบวชได้หากต้องการมาศึกษาตามหลักพุทธศาสนา

    วิธีหนึ่งที่จะช่วยในการกลั่นกรองได้ก็คือ การทดลองก่อนบวช โดยให้ผู้ประสงค์บวชมาอยู่วัดชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนบวช เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการครองเพศบรรพชิต โดยถือศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมกับศึกษาให้มีความรู้เบื้องต้นในด้านธรรมและวินัย ทั้งปริยัติและปฏิบัติตามสมควร ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติวัฏฐากอุปัชฌาย์และพระในวัด เพื่อเรียนรู้และฝึกตนให้คุ้นเคยชีวิตพระไปพร้อม ๆ กับเปิดโอกาสให้อุปัชฌาย์ได้รู้จักอุปนิสัยของผู้ขอบวชมากขึ้น ผู้ที่มีความพร้อมก็สามารถบวชได้ในเวลาไม่นาน ส่วนผู้ที่ยังไม่พร้อม ก็จะต้องอยู่วัดนานขึ้นจนกว่าอุปัชฌาย์จะเห็นควรให้บวช วิธีนี้อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ที่ไม่พร้อมบวช (เช่น ว่ายากสอนยาก ยังเลิกยาเสพติดไม่ได้) หรือมาบวชเพราะหวังลาภสักการะและความสะดวกสบายถูกกรองออกไปได้ในระดับหนึ่ง

    สำหรับวิธีนี้ ลำพังวัดของอุปัชฌาย์ย่อมไม่สามารถรองรับผู้มาทดลองอยู่ก่อนบวชได้หมด โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าพรรษา อีกทั้งอุปัชฌาย์ก็คงไม่มีเวลาอบรมและทำความรู้จักผู้ขอบวช ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือจัดหาวัดสัก ๒-๓ วัดในตำบลเพื่อเป็นที่รองรับผู้มาทดลองอยู่ก่อน เนื่องจากอุปัชฌาย์มักเป็นพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะ คือตั้งแต่เจ้าคณะตำบลขึ้นไป ดังนั้นจึงสามารถมอบหมายให้เจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในเขตปกครองทำหน้าที่ดูแลผู้ที่จะมาบวชแทนท่าน รวมทั้งให้คำรับรองต่ออุปัชฌาย์ว่าผู้นั้นพร้อมที่จะบวชได้หรือไม่

    ลำพังคำสั่งของเจ้าคณะผู้ปกครองย่อมไม่สามารถบันดาลให้วัดใดวัดหนึ่งมีความพร้อมในการรองรับผู้ขอบวชได้ วัดดังกล่าวจะทำหน้าที่นี้ได้ต่อเมื่อได้รับความสนับสนุนจากเจ้าคณะโดยเฉพาะด้านบุคคลากรเพื่อให้การอบรมเบื้องต้นแก่ผู้ขอบวช ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการระดมพระที่มีความรู้ความสามารถในท้องที่ไปช่วยงานชั่วคราว โดยอาจมีการกำหนดหลักสูตรพื้นฐานเพื่อให้การอบรมทำได้สะดวกขึ้นและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

    ควรกล่าวด้วยว่าการกำหนดให้มีการทดลองอยู่วัดก่อนบวช เป็นระเบียบที่หลายวัดใช้อยู่ในปัจจุบันอาทิ วัดสายพระอาจารย์ชา สุภัทโท หรือสำนักของสมณะโพธิรักษ์ แม้จะไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนอกแวดวงแต่ก็ประสบความสำเร็จในการกลั่นกรองผู้บวช นอกจากนั้นยังมีวิธีการอีกหลายอย่างที่น่าเป็นแบบอย่างให้แก่คณะสงฆ์โดยรวมได้ เช่นการกำหนดขั้นตอนหรือสถานะต่าง ๆ ที่บุคคลจะต้องผ่านก่อนถึงจะได้รับอนุญาตให้อุปสมบทได้ อาทิ เป็นผ้าขาวถือศีล ๘ หากมีความพร้อมหลังจากอยู่ครบกำหนด (เช่น ๓ เดือน) ก็สามารถอุปสมบทได้เลย แต่ถ้ายังไม่พร้อม ก็ต้องเป็นผ้าขาวต่อไป หาไม่ก็เขยิบขึ้นไปเป็นเณร ต่อเมื่ออุปัชฌาย์อาจารย์เห็นว่ามีอุปนิสัยพร้อมแล้ว จึงเลื่อนขั้นเป็นพระ

    การกลั่นกรองผู้บวชเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับการกำกับและกล่อมเกลาพระ หากระบบกลั่นกรองไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงแล้ว ก็น่าสงสัยว่าจะแก้ไขอีกสองระบบได้อย่างไร
    :- https://visalo.org/article/matichon254401.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    ความคิดที่อันตราย
    พระไพศาล วิสาโล
    ในการบรรยายคราวหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับคำถามจากแพทย์หญิงท่านหนึ่งว่า หากผู้ป่วยใกล้เสียชีวิต เธอควรทำอย่างไร เนื่องจากมีผู้เตือนว่า หากเธอช่วยเหลือเขา จะเป็นการแทรกแซงกรรมของเขา การกระทำของเธอนั้นแม้เป็นบุญ ก็เป็น “บุญสีดำ” ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อเธอ
    แม้ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่อง “บุญสีดำ”มาก่อน (คุ้นแต่คำว่า กรรมดำ กรรมขาว) แต่ไม่รู้สึกแปลกใจกับความเห็นดังกล่าว เนื่องจากระยะหลังได้ยินบ่อยขึ้น ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินอาจารย์พยาบาลท่านหนึ่งพูดว่า การช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายนั้นอาจทำให้ “เจ้ากรรมนายเวร”ของเขาไม่พอใจ และมาทำร้ายเราได้ เธอมีความเห็นว่า คนใกล้ตายนั้นกำลังชดใช้กรรม ดังนั้นจึงควรปล่อยให้เขารับกรรมไป เธอคงหมายความต่อไปว่า หากเขายังไม่หมดบุญหมดกรรม ก็คงยังไม่ตายง่าย ๆ

    ความคิดที่ว่า คนใกล้ตายนั้นกำลังชดใช้กรรม ดังนั้นเราจึงควรปล่อยเขาไป (ตามบุญตามกรรม) ไม่ควรยื่นมือไปช่วยเหลือเขา เป็นความคิดที่อันตรายมาก เพราะถ้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ต่อไปเมื่อเห็นใครกำลังจมน้ำตาย เราก็ไม่ควรไปช่วยเขา เห็นคนประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน นอนรอความตาย ก็ไม่ควรพาเขาส่งโรงพยาบาล เห็นใครที่กำลังตายเพราะน้ำท่วมไฟไหม้ ก็ต้องปล่อยเขาไป ถือเสียว่าเป็นกรรมของสัตว์
    ถ้าคิดต่อไปตามตรรกะของความเชื่อดังกล่าว ก็หมายความว่า ใครที่กำลังประสบความทุกข์ยากเดือดร้อนแม้จะยังไม่ใกล้ตาย เราก็ไม่ควรช่วยเขา เพราะเขากำลังใช้กรรม(ที่อาจทำไว้ในอดีตชาติ) หากเห็นผู้หญิงกำลังถูกฉุดคร่าอนาจารหรือกระทำชำเรา ก็ควรนิ่งเฉยหรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เห็นคนหิวโหย หรือประสบภัยพิบัติ ก็ต้องปล่อยเขาให้เขาเผชิญทุกข์ตามลำพัง ความคิดดังกล่าวถ้ามองให้สุดสาย ก็เห็นได้ไม่ยากว่า ถ้าคนไทยคิดแบบนี้กันหมด เมืองไทยก็เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นดินแดนอนารยะสมบูรณ์แบบ เพราะผู้คนอยู่อย่างตัวใครตัวมัน ไม่มีความเมตตาปรานีต่อกันเลย

    แม้จะไม่มีความรู้ทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องกฎแห่งกรรมเลย ก็น่าจะเห็นได้ไม่ยากว่าความคิดดังกล่าวมีจุดอ่อนอย่างมาก ใครก็ตามที่มีความคิดดังกล่าว ลองนึกภาพว่าหากลูกสาว หรือน้องสาวของตน ถูกฉุดคร่าอนาจารหรือทำร้าย ถ้ามีคนเห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตา คุณอยากให้คนเหล่านั้นนิ่งเฉยหรือไม่ และหากเขานิ่งดูดาย โดยให้เหตุผลว่า ลูกสาวหรือน้องสาวของคุณกำลังใช้กรรม จึงไม่อยากแทรกแซงกรรม คุณจะรู้สึกกับคนเหล่านั้นอย่างไร จะว่าไปแล้วไม่ต้องคิดให้ไกลตัว คนที่มีความคิดดังกล่าว หากเห็นลูกของตนกำลังถูกทำร้ายอยู่ต่อหน้า คุณจะอยู่นิ่งเฉยเพราะเห็นว่าลูกกำลังชดใช้กรรมหรือไม่

    ถ้าคุณไม่ยอมนิ่งเฉย อีกทั้งไม่อยากให้ใครนิ่งเฉยปล่อยให้ลูกของคุณถูกทำร้ายด้วยเหตุผล ดังกล่าว ควรหรือไม่ที่คุณจะนิ่งเฉยเวลาเห็นลูกของคนอื่นเดือดร้อนหรือกำลังจะตายด้วยเหตุผลเดียวกัน

    ความคิดดังกล่าวนอกจากจะทำให้ผู้คนไม่อยากเป็นพลเมืองดีแล้ว ยังทำให้คนไทยไม่อยากทำหน้าที่ของตนให้ถึงที่สุดด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ช่วยชีวิตผู้อื่น เช่น หมอ พยาบาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากความคิดเช่นนี้แพร่หลายในหมู่หมอและพยาบาล อะไรจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหนักหรือผู้ป่วยระยะสุดท้าย (ที่จริงอาจต้องถามต่อไปว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับอาชีพหมอและพยาบาล เพราะในเมื่อเป็นอาชีพที่ต้อง “เสี่ยง”กับการถูกเจ้ากรรมนายเวรหรือ “บุญสีดำ”เล่นงาน จะมีอาชีพนี้ทำไม สู้ไปเป็นวิศวกร ทนายความ หรือนักร้องนักแสดงไม่ดีกว่าหรือ)
    ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความคิดดังกล่าวถูกขยายความให้ครอบคลุมไปถึงความพยายามทุกอย่างที่เป็นการช่วยชีวิตผู้คน แม้จะไม่ใช่การลงมือช่วยด้วยตัวเอง แต่เป็นการช่วยในเชิงนโยบาย ก็ถือว่าเป็นการแทรกแซงกรรม ที่ส่งผลให้ผู้ช่วยเหลือเดือดร้อนด้วย เมื่อสามปีที่แล้ว แพทย์ใหญ่ท่านหนึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ก็มีการพูดกันในหมู่แพทย์จำนวนหนึ่งว่าเป็นเพราะท่านผลักดันนโยบาย ๓๐ บาทรักษาทุกโรคจนสำเร็จ ทำให้ผู้คนจำนวนมากรอดตาย เจ้ากรรมนายเวรของคนเหล่านั้นจึงหันมาทำร้ายท่านแทน
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    ทุกวันนี้ “เจ้ากรรมนายเวร” เป็นสิ่งที่คนไทยสะพรึงกลัวกันมาก และถูกมองว่าเป็นต้นเหตุแห่งความวิบัตินานาประการของผู้คน แต่ไม่เคยมียุคใดที่ฤทธานุภาพของเจ้ากรรมนายเวรจะขยายขอบเขตกว้างขวางอย่างทุกวันนี้ จนสามารถทำร้ายคนดีที่ช่วยเหลือผู้อื่น โดยมีพฤติกรรมไม่ต่างจากเจ้าพ่อหรือนักเลงที่หากแก้แค้นศัตรูของตนไม่ได้ ก็หันมาเล่นงานคนที่ช่วยเหลือศัตรูของตน

    ความคิดแบบนี้จัดว่าเป็นของใหม่ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง และไม่สอดคล้องกับหลักการของพุทธศาสนา จริงอยู่พุทธศาสนาสอนว่า ความชั่วเมื่อได้ทำลงไป ย่อมส่งผลให้ประสบความทุกข์ร้อน หากทำร้ายใครก็ย่อมประสบผลร้ายในเวลาต่อมา ในชาดกมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับผู้เคยมีเวรมีกรรมหรือถูกกระทำในชาติก่อน แล้วมาแก้แค้นกันในชาติถัดมา นั่นคือที่มาของคำว่า เจ้ากรรมนายเวร แต่เจ้ากรรมนายเวรในแง่นี้มิใช่อำนาจมืดที่ทรงฤทธานุภาพและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมจะทำร้ายใครก็ตามที่ขัดขวางการแก้แค้นของตนอย่างที่เข้าใจในคนบางกลุ่มเวลานี้
    แนวคิดเรื่องเจ้ากรรมนายเวร หากเชื่อแล้วทำให้คนกลัวบาป ไม่กล้าเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเชื่อแล้วทำให้นิ่งดูดาย หรือไม่กล้าช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังขัดกับคำสอนทางพุทธศาสนาที่เน้นเรื่องเมตตากรุณา และการทำความดี เพราะ “ทำดีย่อมได้ดี” หากทำความดี อุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ได้รับผลตอบแทนคือประสบเคราะห์จากกรรมนั้น ก็เท่ากับขัดแย้งกับพุทธพจน์ที่ว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

    การช่วยเหลือผู้อื่นที่ประสบความทุกข์ยากนั้น หาใช่การแทรกแซงกรรมหรือกฎแห่งกรรมไม่ เพราะถึงอย่างไรกฎแห่งกรรมก็ไม่มีใครสามารถแทรกแซงหรือขัดขวางได้อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นกฎธรรมชาติที่แน่นอนตายตัว จริงอยู่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัย แต่ก็ไม่สมควรที่เราจะเหมารวมว่า ใครก็ตามที่ประสบความทุกข์ร้อน นั่นเป็นเพราะเขาเคยทำความไม่ดีในอดีตชาติ ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้เขารับกรรมไป ใครที่มีความเชื่อเช่นนั้น ก็แสดงว่ากำลังสมาทานลัทธินอกพุทธศาสนาที่ชื่อ “ลัทธิกรรมเก่า” (คือความเชื่อที่ว่า สิ่งใดก็ตามที่ประสบ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ล้วนเป็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อน)
    คนไทยจำนวนมากสมาทานลัทธิกรรมเก่า (ปุพเพกตเหตุวาท) โดยสำคัญผิดว่าเป็นคำสอนทางพุทธศาสนา ดังหลายคนเชื่อว่าความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลแห่งกรรมในอดีตชาติ (ทั้ง ๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่าคนเราเจ็บป่วยด้วยหลายสาเหตุ ไม่ใช่เพราะกรรมอย่างเดียว) แต่น่าแปลกก็ตรงที่ว่าคนที่มีความเชื่อแบบนี้ เวลาล้มป่วยแทนที่จะอยู่นิ่งเฉย กลับแสวงหาการรักษาพยาบาล หรือไม่ก็พยายามเยียวยาตนเอง โดยไม่คิดว่าเป็นการแทรกแซงกรรมแม้แต่น้อย แต่เหตุใดเวลาคนอื่นประสบความทุกข์ยาก จึงกลับวางเฉย ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการแทรกแซงกรรมของเขา

    เมื่อเห็นคนประสบความทุกข์ยาก ปุถุชนอย่างเราย่อมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขากำลังรับผลกรรมจากอดีตชาติหรือไม่ แต่ถึงรู้ก็สมควรที่เราจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ เพราะนั่นเป็นคุณธรรมและหน้าที่ที่มนุษย์พึงมีต่อกัน มองอย่างเห็นแก่ตัว หากเราไม่ทำ นั่นก็แสดงว่าเรากำลังสร้างกรรมใหม่ที่เป็นอกุศลกรรมให้แก่ตนเอง ใครจะไปรู้ว่าในวันหน้าหากเราประสบเหตุร้ายแบบเดียวกัน คนอื่นอาจเมินเฉยอย่างเดียวกับที่เราเคยทำกับผู้อื่น หากเราไม่ปรารถนาให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่ควรทำสิ่งเดียวกันนี้กับผู้อื่น
    จริงอยู่ผู้ประสบเภทภัยหรือผู้ป่วยใกล้ตาย อาจกำลังรับผลแห่งกรรมหนักที่เคยทำไว้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราควรจะนิ่งดูดาย แต่หากทำเต็มที่แล้ว ไม่สามารถเยียวยารักษาหรือช่วยเหลือได้ ก็ต้องทำใจปล่อยวาง ถึงตอนนั้นจะบอกว่าเป็นกรรมของเขา เราไม่อาจฝืนกรรมของเขาได้ ก็มิใช่เรื่องเสียหาย ดีกว่าที่จะวางเฉยแต่แรกโดยอ้างว่าเป็นกรรมของสัตว์

    พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเมตตากรุณา กฎแห่งกรรมคือความจริงที่พระพุทธองค์นำมาสอนเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทำความดี หนีความชั่ว หมั่นสร้างบุญกุศล และเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น รวมทั้งฝึกฝนจิตใจเพื่อให้ลดละความเห็นแก่ตัว จนหลุดพ้นจากความยึดติดถือมั่นในตัวตน ทำให้มีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์อย่างไม่มีประมาณ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ นับวันกฎแห่งกรรมถูกใช้เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตัว อยู่อย่างตัวใครตัวมัน ไร้น้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ขณะที่บุญกุศลถูกตีความเพื่อส่งเสริมความโลภ (เช่น ทำบุญเพื่อให้ถูกหวยรวยพนัน หรือถวาย ๑๐๐ บาทแต่หวังรวยเป็นล้าน) มุ่งเอาเข้าตัวยิ่งกว่าจะเผื่อแผ่ผู้อื่น

    ทัศนคติดังกล่าวลุกลามไปจนถึงขั้นมีความเชื่อในคนบางกลุ่มว่า เราไม่ควรแผ่ส่วนบุญให้ใครมากนัก เพราะจะทำให้บุญของเราเหลือน้อยลง (คนที่คิดเช่นนี้ไม่เข้าใจแม้กระทั่งคำสอนพื้นฐานเรื่องบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ปัตติทานมัย หรือการทำบุญด้วยการการแผ่ส่วนบุญให้ผู้อื่น ซึ่งหมายความว่ายิ่งแผ่ส่วนบุญให้ผู้อื่น เราก็ยิ่งได้บุญมากขึ้น)

    สัตว์ที่กำลังรอถูกเชือด หากเราช่วยไถ่ชีวิตเขาออกมาได้ ย่อมถือว่าเป็นบุญฉันใด การช่วยเหลือผู้ใกล้ตายให้มีชีวิตรอด หรือจากไปอย่างสงบ ก็ถือว่าเป็นกุศลฉันนั้น ชาวพุทธไม่มีความคิดว่าการไถ่ชีวิตสัตว์เป็นการแทรกแซงกรรมฉันใด ก็ไม่ควรมองว่าการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์เป็นการขัดขวางกฎแห่งกรรมฉันนั้น
    :- https://visalo.org/article/matichon255311.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    มุ่งไปสู่หนใด
    พระไพศาล วิสาโล
    คงมีน้อยคนที่รู้ว่าภูฐานเริ่มมีการพัฒนาประเทศพร้อม ๆ กับไทย คือ ปี ๒๕๐๔ โดยมีแผนห้าปีเช่นเดียวกัน แต่ในขณะที่ไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการสร้างถนน เขื่อน และโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย ท่ามกลางคำขวัญ “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ” ภูฐานกลับพัฒนาอย่างเชื่องช้า ในช่วงสิบปีแรกนั้นเน้นที่การสร้างถนน โรงเรียน และอาคารสำหรับหน่วยงานรัฐบาล เพราะก่อนหน้านั้นอย่าว่าแต่สนามบินเลย แม้แต่โรงพยาบาล บริการไปรษณีย์ โทรศัพท์ โรงเรียนประชาบาล ภูฐานไม่มีแม้แต่อย่างเดียว

    ก่อนยุคพัฒนา ภูฐานมีสภาพไม่ต่างจากเมืองไทยเมื่อ ๑๕๐ ปีก่อน แม้เมื่อเริ่มพัฒนาประเทศ ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่เพราะว่าทั้งประเทศเต็มไปด้วยป่าเขาอันทุรกันดาร อีกทั้งยังขาดทุนรอนและการช่วยเหลือจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากยังเป็นความตั้งใจของผู้ปกครองประเทศที่ต้องการให้การพัฒนาดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะตระหนักดีถึงผลเสียของการเปิดรับเทคโนโลยีและเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจจากภายนอกอย่างเต็มที่ นโยบายเปิดประตูแบบแง้ม ๆของภูฐานเห็นได้ชัดจากการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ คน


    หลังจากพัฒนาประเทศไปแล้วเกือบ ๓๐ ปี ภูฐานจึงเริ่มมีสถานีโทรทัศน์ประจำชาติเป็นครั้งแรก พร้อม ๆ กับการเปิดใช้อินเตอร์เน็ตและเคเบิลทีวี หลังจากนั้นอีก ๑๐ ปีจึงมีการจัดเก็บภาษีเงินได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๔๕ แม้จะห่างไกลจากประเทศไทยมากในแง่ความเจริญทางวัตถุ แต่ในด้านคุณภาพชีวิตของประชากรแล้ว ภูฐานล้ำหน้ากว่าไทยในหลายด้าน อาทิ ประชากรร้อยละ ๙๘ มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง แม้รายได้ของประชาชนจะอยู่ในระดับต่ำหากวัดเป็นตัวเงิน (ร้อยละ ๒๓ มีรายได้ต่ำกว่าเส้นยากจน) แต่นั่นเป็นเพราะการซื้อขายมีไม่มาก ชาวบ้านสามารถผลิตปัจจัยสี่เลี้ยงตัวเองได้ คนอดอยากหรือยากไร้จึงมีน้อยมาก สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาคนภายนอกก็คือ บ้านเรือนของคนภูฐานที่แม้อยู่ในชนบทห่างไกลก็แต่ก็มีสภาพดีและมีขนาดใหญ่โต กระท่อมซอมซ่อนั้นเห็นได้น้อยมาก ส่วนในเมืองก็ไม่สู้มีคนขอทานหรือคนไร้บ้าน คนว่างงานซึ่งมีมากในประเทศพัฒนาทั้งหลาย กลับไม่เป็นปัญหาในภูฐานเลย กล่าวได้ว่าภูฐานไม่มีคนว่างงานเลยเพราะชนบทยังสมบูรณ์และที่ทำกินยังมีอีกมาก

    สภาพดังกล่าวตรงข้ามกับประเทศไทย หลังจากพัฒนามา ๕๐ ปี ปัญหาที่ดินได้ลุกลามจนกลายเป็นวิกฤต ปัจจุบันมีเกษตรกรไร้ที่ทำกินกว่า ๘ แสนครัวเรือน เกือบ ๕ ล้านครอบครัวมีที่ทำกินไม่เพียงพอ ทั้ง ๆ ที่มีที่ดินถึง ๓๐ ล้านไร่ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่ได้ทำประโยชน์เพราะมีการซื้อตุนเพื่อเก็งกำไร ใช่แต่เท่านั้นการสูญเสียที่ดินยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัญหาหนี้สิน แม้คนไทยที่มีรายได้จัดว่ายากจนมีเพียงร้อยละ ๖ แต่เกือบทั้งประเทศมีปัญหาหนี้สิน (เฉลี่ยเกือบแสนบาทต่อครัวเรือน) โดยเฉพาะเกษตรกร มีหนี้สินเกือบ ๒ แสนบาทต่อราย แทบทุกปีต้องประสบกับการขาดทุนเพราะราคาพืชผลตกต่ำขณะที่ต้นทุนสูงขึ้นไม่หยุด จำนวนไม่น้อยต้องทิ้งไร่นาไปเป็นกรรมกร สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการล่มสลายของชนบท ในขณะที่ที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือคนจำนวนน้อยมากขึ้นทุกที (ประมาณว่าที่ดินร้อยละ ๙๐ อยู่ในมือคนเพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้น)

    ในขณะที่ประเทศไทยปล่อยให้มีการสูญเสียที่ดินอย่างอิสระเสรีนั้น ภูฐานกลับทำสิ่งตรงข้าม คือส่งเสริมให้ที่ดินกระจายสู่มือประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ในอดีตนั้นองค์กรสงฆ์มีที่ดินอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก ที่ดินเหล่านั้นเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของวัด สิ่งที่รัฐบาลภูฐานทำก็คือ ให้องค์กรสงฆ์หันมารับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลแทน ส่วนที่ดินขององค์กรสงฆ์ รัฐบาลก็ขอซื้อเพื่อเอาไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนซึ่งขาดแคลนที่ทำกิน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี ๒๕๒๕

    แม้ชีวิตในชนบทภูฐานจะไม่สะดวกสบาย เพราะถนนหนทางไม่สะดวก ไฟฟ้าก็ไม่ทั่วถึง แต่ชนบทภูฐานก็ยังมีชีวิตชีวาอยู่มาก ครอบครัวอบอุ่น มีคนหลายรุ่นอยู่ด้วยกัน คนหนุ่มสาวไม่จำเป็นต้องไปหางานทำในเมือง เพราะที่ดินและงานการไม่ขาดแคลน ที่สำคัญคือธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก นั่นเป็นเพราะรัฐบาลมีนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติมาตั้งแต่แรก ภูฐานจึงมีพื้นที่ป่ามากถึงร้อยละ ๗๒ โดย ๑ ใน ๓ ได้รับการจัดตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติ

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)

    ต้องถือว่าเป็นเพราะเห็นการณ์ไกลรัฐบาลจึงมีนโยบายเช่นนี้ ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ป่าไม้ถูกตัดอย่างมโหฬารตั้งแต่เริ่มพัฒนาประเทศ เพราะต้องการส่งไม้ไปขายต่างประเทศเพื่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แม่น้ำลำคลองกลายเป็นที่รองรับมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมก็เพื่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จนแม้กระทั่งทุกวันนี้ธรรมชาติก็ยังถูกทำลายในนามของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลร้ายในระยะยาวต่อประชาชนอย่างไรบ้าง ไม่ใช่แต่เฉพาะชาวบ้านรอบชุมชนอุตสาหกรรมอย่างมาบตาพุดเท่านั้นที่มีสุขภาพย่ำแย่ หากชาวบ้านที่เคยพึ่งพาความอุดมสมบูรณ์จากธรรมชาติแวดล้อมเพื่อการยังชีพและการทำมาหากินก็เดือดร้อนถ้วนหน้า มิไยต้องเอ่ยถึงคนในเมืองที่ต้องกินอาหารที่เต็มไปด้วยสารพิษอันเป็นผลจากการใช้สารเคมีทางเกษตร ซึ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นเนื่องจากธรรมชาติเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว


    นโยบายดังกล่าวแม้จะทำให้เงินไหลมาเทมาในเวลาอันสั้น แต่ได้สร้างปัญหาระยะยาวไว้มากมายหลายประการ ที่สำคัญคือการผลักภาระนานาประการให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ ในขณะที่คนส่วนน้อยได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะเม็ดเงินที่กระจุกอยู่ในกลุ่มคนดังกล่าว ผลก็คือเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในชาติ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น กล่าวคือคนร้อยละ ๒๐ ซึ่งเป็นกลุ่มรวยที่สุดมีรายได้มากกว่าคนกลุ่มจนที่สุดเกือบ ๑๓ เท่า และหากคำนวณจากทรัพย์สินครัวเรือนแล้ว ความแตกต่างก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ประมาณว่าครัวเรือนร้อยละ ๒๐ ซึ่งรวยที่สุดมีสินทรัพย์มากกว่าครัวเรือนที่จนที่สุดถึง ๖๙ เท่า เมื่อมองจากค่าดัชนีความเหลื่อมล้ำของรายได้แล้ว เมืองไทยอยู่ในระดับที่ไม่ต่างจากประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกา เช่น ไนเจอร์ มาลี หรือแซมเบียมากนัก

    ภายในชั่วเวลา ๔๒ ปี คือนับแต่ปี ๒๕๐๘ ถึงปี ๒๕๕๐ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยได้เพิ่มขึ้นถึง ๒๕ เท่า แต่ความสุขนอกจากไม่ได้เพิ่มขึ้นแล้ว กลับลดลงด้วยซ้ำ ดูจากสัดส่วนคนที่มีปัญหาทางจิตเพิ่มมากขึ้น (เมื่อปี ๒๕๕๒ พบว่าประชาชนอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป มีปัญหาสุขภาพจิตร้อยละ ๑๒ หรือประมาณ ๕ ล้านคน) และมีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น (ปี ๒๕๓๖ คนไทยฆ่าตัวตาย ๒.๗ คนต่อประชากรแสนคน ๑๖ ปีต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น ๕.๗ คนต่อประชากรแสนคน) ตรงกันข้ามกับภูฐานซึ่งมีปัญหาเหล่านี้น้อยมาก แม้ว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวจะไม่ถึงครึ่งของไทยก็ตาม แต่กล่าวได้ว่าคนภูฐานมีความสุขกว่ามาก เคยมีการทำดัชนีวัดความสุขของทุกประเทศทั่วโลก ปรากฏว่าภูฐานมาเป็นที่ ๘ จาก ๑๗๘ ประเทศ

    ใครที่ได้ไปภูฐานย่อมอดประทับใจไม่ได้ในน้ำใจไมตรีของผู้คนที่นั่น ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสและไว้วางใจคนแปลกหน้า ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็มีมากกว่า คดีอุกฉกรรจ์แทบไม่ปรากฏ ขณะที่การลักขโมยก็มีน้อยมากโดยเฉพาะในชนบท นักธุรกิจชาวตะวันตกผู้หนึ่งที่อยู่ในเมืองบุมทังกล่าวว่า เขาสามารถทิ้งเงินสด ๑ ล้านเหรียญไว้บนโต๊ะในสำนักงานได้โดยไม่มีใครแตะต้องเลย นักท่องเที่ยวต่างชาติล้วนรู้สึกแปลกใจเมื่อกลับมายังที่พักของตน แล้วพบว่ากุญแจห้องไม่ได้อยู่ที่โต๊ะรับรอง แต่เสียบคาไว้ที่ประตูห้องของตน ทั้งนี้เพราะพนักงานโรงแรมแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเปิดห้องนั้นนอกจากแขก

    สภาพเช่นนี้สูญหายไปจากเมืองไทยนานแล้ว อาชญากรรมและความรุนแรงเกิดขึ้นทั่วไป อย่าว่าแต่ตามท้องถนนเลย แม้กระทั่งบ้านเรือนของตนก็หาใช่สถานที่ปลอดภัยอย่างสิ้นเชิงไม่ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมตำรวจ กระทรวงสาธารณสุข ระบุตรงกันว่าปัจจุบันนอกจากเด็กจำนวนมากถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแล้ว ยังถูกทำร้ายจากในบ้านมากกว่านอกบ้าน ทั้งจากผู้เป็นพ่อแม่ คนรู้จัก ขณะเดียวกันภรรยาที่ถูกสามีทำร้ายก็กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

    เมืองไทยนับวันจะกลายเป็นเมืองแห่งความรุนแรงทุกขณะ เหตุการณ์นองเลือดเมื่อเดือนพฤษภาคมมิใช่อะไรอื่น หากคือส่วนขยายจากความรุนแรงในทุกระดับตั้งแต่ในครอบครัวจนถึงอาชญากรรมบนท้องถนนที่สั่งสมมานาน เมื่อผนวกกับความเหลื่อมล้ำในสังคม ความคับแค้นใจทางการเมือง และอำนาจนิยมโดยรัฐ ความรุนแรงก็พร้อมจะระเบิดกลางเมืองจนทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และไม่มีทีท่าว่าจะยุติง่าย ๆ

    ใช่หรือไม่ว่านี้คือผลพวงของการพัฒนาที่เน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรีบเร่ง ซึ่งนอกจากจะไม่คำนึงถึงมิติอื่น ๆ ที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตแล้ว ยังเป็นการพัฒนาที่ไร้ความเป็นธรรม เพราะมุ่งอำนวยประโยชน์แก่คนส่วนน้อย ลำเอียงต่อภาคอุตสาหกรรม บริการ และเมืองโดยผลักภาระให้แก่ภาคเกษตรกรรมและชนบท ทั้งหมดนี้แยกไม่ออกจากการรวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ผลประโยชน์ถูกจัดสรรอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในภาวะตึงเครียดและแตกแยกจนถึงขั้นวิกฤต

    ภูฐานและเมืองไทยเป็นตัวอย่างที่แตกต่างอย่างเด่นชัดระหว่างการพัฒนาที่เน้น “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” กับการพัฒนาที่เน้น “ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ” แม้หวังได้ยากที่เมืองไทยจะเปลี่ยนจุดหมายการพัฒนาไปเป็นความสุขมวลรวมประชาชาติ แต่ยังไม่สายที่เราจะหันมาเสริมสร้างดุลยภาพภายในประเทศให้มากขึ้นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แทนที่จะมองแต่ข้างนอกเพื่อแข่งขันให้ทันหรือล้ำหน้าประเทศอื่นในทางเศรษฐกิจเท่านั้น เพราะการเร่งรีบอย่างผิดทิศผิดทางนั้นในที่สุดอาจทำให้เมืองไทยไม่ต่างจากรถแข่งที่กำลังพุ่งสู่หุบเหวเบื้องหน้าก็ได้
    :- https://visalo.org/article/matichon255310.htm

     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    เติมเต็มชีวิตในเวลาน้อยนิด
    พระไพศาล วิสาโล
    อาจารย์วิษณุเป็นคุรุชาวอินเดียที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก วันหนึ่งอาจารย์เรียกศิษย์สองคนที่ใกล้ชิดมาหาแล้วพาไปยังห้องเปล่าสองห้อง ให้เงินคนละ ๑ รูปีแล้วสั่งว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ห้องเต็ม ไชยารีบวิ่งไปที่ตลาดทันทีและพยายามหาของที่สามารถซื้อมาใส่ห้องให้เต็มด้วยเงิน ๑ รูปี แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ เพราะ ๑ รูปีนั้นน้อยเกินไป สุดท้ายเขาก็คิดออก เขาไปหาคนเก็บขยะ ใช้เวลาเจรจาไม่นาน เขาก็ขนขยะกองใหญ่ไปใส่ในห้องของตนจนเต็มด้วยความภาคภูมิใจที่ทำงานสำเร็จ

    ส่วนจิตรนั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ก็นั่งสมาธิ ทำจิตสงบอยู่ในห้องพักใหญ่ จากนั้นก็เดินไปที่ตลาด ซื้อไม้ขีดไฟ ธูป และประทีป เมื่อกลับมายังห้องของตน เขาก็จุดธูปและประทีป ไม่นานห้องก็อบอวลด้วยกลิ่นหอมและเต็มไปด้วยแสงสว่าง

    เมื่ออาจารย์วิษณุมาตรวจงานของลูกศิษย์ทั้งสอง เขาเบือนหน้าหนีทันทีที่ย่างเท้าเข้าห้องของไชยาเพราะกลิ่นเหม็นโชยมาอย่างแรงจากกองขยะ แต่อาจารย์กลับแย้มยิ้มเมื่อเดินเข้าไปในห้องของจิตร ซึ่งสว่างไสวและอบอวลด้วยกลิ่นมะลิและไม้จันทน์

    นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความแตกต่างทางสติปัญญาของศิษย์ทั้งสองเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นมุมมองหรือทัศนคติที่แตกต่างกันด้วย ไชยานั้นให้ความสำคัญกับวัตถุหรือสิ่งที่จับต้องได้ เขาจึงนึกถึงแต่การหาวัตถุสิ่งของมาใส่ห้องให้เต็ม แต่ในเมื่อเงิน ๑ รูปีนั้นซื้ออะไรได้ไม่มาก เขาจึงลงเอยด้วยการซื้อกองขยะ กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาวัดความสำเร็จด้วยปริมาณ

    ตรงข้ามกับจิตร เขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่เน้นที่ปริมาณ แต่มุ่งที่คุณภาพ เมื่อต้องหาอะไรมาใส่ในห้องให้เต็ม เขาจึงนึกถึงแสงสว่างและกลิ่นหอม ซึ่งให้ความสุขและรื่นรมย์ใจแก่เจ้าบ้านและผู้มาเยือน

    มองให้ลึก เรื่องของไชยาและจิตร มิใช่อะไรอื่น หากคือภาพสะท้อนของผู้คนในโลกนี้ ห้องนั้นคืออุปมาของชีวิต ส่วนเงิน ๑ รูปีนั้นหมายถึงเวลาอันน้อยนิดที่เรามีอยู่ในโลกนี้ ผู้คนทั้งหลายปรารถนาที่จะเห็นชีวิตของตนได้รับการเติมเต็ม แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเติมเต็มชีวิตของตนด้วยวัตถุ ดังนั้นจึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีเพื่อแสวงหาเงินทองและสะสมทรัพย์สมบัติให้มากที่สุด คนเหล่านั้นรู้สึกว่าชีวิตตนจะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อมีวัตถุประดับประดา ใช้รถหรูราคาแพง หรือใช้สินค้าแบรนด์เนม อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งสิ่งที่หามานั้นมีสภาพไม่ต่างจากกองขยะ คือนอกจากไม่ได้ใช้แล้ว ยังรกบ้าน เป็นภาระแก่จิตใจ ยิ่งทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากการคดโกงหรือการผิดศีลด้วยแล้ว ก็เป็นขยะดี ๆ นี้เอง เพราะเต็มไปด้วยโทษและส่งกลิ่นเหม็นประจานเจ้าของ

    แท้จริงแล้วมีสิ่งอื่นที่ดีกว่าที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของเรา นั่นคือ บุญกุศล ความดีงาม รวมทั้งความสงบเย็นในจิตใจ อันเกิดจากคุณธรรมและความเข้าใจชีวิต ใครที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในจิตใจ จะไม่รู้สึกพร่อง กลับรู้สึกเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา คนแวดล้อมก็มีความสุข ตรงข้ามกับคนที่พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ หากไร้สิ่งเหล่านี้ในจิตใจ จะรู้สึกพร่องอยู่ตลอดเวลา จึงดิ้นรนตักตวงไม่หยุดหย่อน แต่ได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยรู้จักพอ ขณะเดียวกันคนแวดล้อมก็อยู่อย่างไม่เป็นสุข เพราะกลายเป็นที่ระบายความทุกข์ของคนเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา

    เราทุกคนล้วนมีเวลาเพียงน้อยนิดในโลกนี้ เราไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดที่มีเพื่อหาวัตถุสิ่งเสพมาสนองความปรารถนาจนเต็มอิ่มได้ แต่เวลาน้อยนิดที่เรามีอยู่นั้นมากพอที่จะแสวงหาความดีงามมาเติมเต็มจิตใจจนอิ่มเอมได้

    :- https://visalo.org/article/secret255909.html
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    มองเป็น ก็เห็นสุข
    พระไพศาล วิสาโล
    ถ้าให้เลือกระหว่าง ก) มีเพื่อนรวย หรือมีฐานะดีกว่าคุณ ข) มีเพื่อนจน หรือมีฐานะต่ำกว่า คุณจะเลือกข้อไหน

    คนส่วนใหญ่คงเลือกข้อ ก) เพราะว่าเพื่อนรวยนั้นสามารถเป็นที่พึ่งพาได้เวลาเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ไปไหนมาไหนกับเขาก็ได้รับความสะดวกสบาย อาจไม่ต้องควักเงินเลยด้วยซ้ำ บางคนให้เหตุผลว่ามีเพื่อนรวยทำให้รู้สึกโก้ มีหน้ามีตา

    อย่างไรก็ตาม การมีเพื่อนรวยนั้นก็มีข้อเสียอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือ อาจทำให้คุณเจ็บป่วยได้มากขึ้น ไม่นานมานี้นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยชิคาโกได้สอบถามความเห็นและข้อมูลจากคนจำนวน ๓,๐๐๐ คน อายุระหว่าง ๕๗-๘๕ ปี โดยขอให้ทุกคนให้ประเมินสุขภาพของตนและระบุโรคประจำตัวของตน รวมทั้งจัดอันดับสถานะการเงินของตนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนฝูง ครอบครัว เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงาน

    ข้อสรุปที่พบก็คือ คนที่มีฐานะการเงินต่ำกว่าคนอื่น ๆ ที่ตนคบหาอยู่ด้วย มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจ มากกว่าคนที่มีฐานะดีกว่า ถึง ๒๒%

    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลก็คือ คนที่คบเพื่อนรวยนั้น มักจะไม่มีความสุข เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า จึงเกิดความเครียดซึ่งหากสะสมยืดเยื้อ ก็ทำให้เจ็บป่วยได้

    ความเจ็บป่วยนั้นไม่ได้เกิดจากความยากจนอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย หากรู้สึกว่าตัวเองมีเงินน้อยกว่า ฐานะต่ำกว่า ก็สามารถทำให้เป็นทุกข์จนล้มป่วยได้

    การเปรียบเทียบเป็นที่มาของความทุกข์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนที่มีมากกว่า ดีกว่า สูงกว่าเรา ดังนั้นไม่ว่าจะมีมากเท่าไร คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความทุกข์ ตราบใดที่เห็นคนอื่นมีมากกว่าตน แม้แต่เศรษฐีร้อยล้านก็ไม่มีความสุขหากเห็นเพื่อน ๆมีเงินนับพันล้าน

    หลายคนมักปรารถนาจะได้อะไรต่ออะไรมาก ๆ แต่ที่จริงแล้วการได้มามาก ๆ ไม่ทำให้เรามีความสุขเลย หากได้น้อยกว่าคนอื่น ในทางตรงข้าม แม้ได้น้อยแต่ถ้าได้มากกลับทำให้เรามีความสุขมากกว่า

    เคยมีการสอบถามผู้คนว่า จะเลือกข้อไหน ระหว่าง
    ก) ได้เงิน ๕,๐๐๐ แต่เพื่อนร่วมงานได้ ๓,๐๐๐
    ข) ได้เงิน ๑๐,๐๐๐ แต่เพื่อนร่วมงานได้ ๑๕,๐๐๐

    คนส่วนใหญ่เลือกข้อ ก) ทั้ง ๆ ที่ตัวเองได้แค่ครึ่งเดียวของข้อ ข) เหตุผลนั้นมีประการเดียวคือ ต้องการได้มากกว่าคนอื่น ส่วนจำนวนนั้นเป็นเรื่องรอง
    พูดอีกอย่างก็คือ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าตนมีเท่าไร แต่ขึ้นอยู่กับคนอื่นว่ามีเท่าไร ต่างหาก ตราบใดที่เขามีมากกว่าฉัน ฉันก็ไม่มีความสุข
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    ความคิดเช่นนี้แหละเป็นที่มาของความทุกข์ของคนทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าจะได้มากเท่าไร ก็ต้องมีคนอื่นที่ได้มากกว่าเราเสมอ ตราบใดที่เราไม่เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจะหาความสุขไม่ได้เลย แม้จะมีโชคได้แหวนเพชรเม็ดงามก็ยังทุกข์หากรู้ว่าคนอื่นได้เพชรเม็ดใหญ่กว่าหรือแพงกว่า มีรถราคาเป็นล้านก็ยังทุกข์เมื่อเห็นเพื่อนบ้านขับรถราคาแพงกว่า ได้เป็นผู้จัดการก็ยังทุกข์หากรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นได้เป็นซีอีโอบริษัทใหญ่กว่า ได้คู่ครองที่ซื่อตรงก็ยังทุกข์เมื่อเห็นเพื่อนได้คู่ครองที่เอาอกเอาใจมากกว่า รูปร่างดีแต่ก็ยังเป็นทุกข์เพราะเห็นเพื่อน ๆ สวยกว่า ซื้อของได้ถูกกว่าก็ยังทุกข์เมื่อรู้ว่าคนอื่นซื้อได้ถูกกว่าเรา

    ตราบใดที่เรายังเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ เราจะหาความสุขไม่ได้เลย ไม่ว่าร่ำรวยแค่ไหน ได้โชคได้ลาภเพียงใดก็ตาม

    แต่ทันทีที่เรารู้จักพอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้ ความสุขจะบังเกิดขึ้นทันที แทนที่จะเฝ้ามองสมบัติของคนอื่นว่าดีกว่าอย่างไร เราลองหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามี เห็นข้อดีหรือประโยชน์ของสิ่งที่มีอยู่ ความพอใจก็จะเกิดขึ้น ความรุ่มร้อนก็จะหายไป แทนที่จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เราไม่มี ทำไมไม่หาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในขณะนี้

    ถ้าวางใจได้อย่างนี้ แม้จะมีเพื่อนที่รวยกว่า เก่งกว่า ดังกว่า หรือสวยกว่า เราก็ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีทั้งความรู้สึกด้อยหรืออิจฉา กลับรู้สึกยินดีมีมุทาจิตด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วเมื่อหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ เราก็จะพบว่าเรายังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่น่าชื่นชม ซึ่งบางอย่างคนอื่นอาจไม่มีหรือมีไม่เท่าก็ได้ เช่น แม้จะมีเงินน้อยกว่า ตำแหน่งต่ำกว่า แต่เราก็มีสุขภาพดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชีวิตที่ราบรื่น เพียงเท่านี้ก็น่าจะมีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ

    ความสุขมีอยู่กับเราอยู่แล้วทุกขณะ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่เท่านั้น
    :- https://visalo.org/article/secret255405.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    เมื่อตัวกูชูคอ
    พระไพศาล วิสาโล
    โดยวิชาชีพเขาเป็นหมอ แต่ในอีกฐานะหนึ่ง เขาเป็นวิทยากรที่มีความสามารถ ได้รับเชิญไปบรรยายทั่วประเทศ จึงมีภารกิจต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ แต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว โดยเฉพาะการหวีผม ภรรยาจึงมักทักท้วงเขาเสมอก่อนออกไปทำงาน

    เช้าวันหนึ่ง เขามีธุระต้องไปบรรยายเช่นเคย พอภรรยาเห็นหน้า ก็แนะนำเขาให้หวีผมเรียบร้อยก่อน ได้ยินเพียงเท่านั้น เขาก็อารมณ์เสียทันที โพล่งขึ้นมาในใจว่า “พูดอย่างนี้กับกูได้ไง ไม่รู้หรือว่ากูเป็นวิทยากรระดับชาติ” เดชะบุญเขามีสติรู้ทัน ไม่พูดออกไป หาไม่คงเกิดเรื่องกับภรรยาอย่างแน่นอน

    ชายผู้นี้โกรธเพราะตัวตนถูกกระทบ รู้สึกว่า “ตัวกู”ถูกกระแทก ทั้ง ๆ ที่คำท้วงติงของภรรยานั้นน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้เป็นสามี แต่ตอนนั้นเขาคงลืมตัวว่าเป็นสามี เพราะกำลังสำคัญตนว่าเป็นวิทยากรระดับชาติ ตอนที่เขาอยู่ในสถานะนั้นผู้คนมีแต่ให้ความเคารพนับถือเขา เชื่อฟังเขา จึงเพลินและหลงติดในสถานะดังกล่าว กระทั่งกลับมาบ้านแล้ว ก็ยังเอาความเป็นวิทยากรระดับชาติติดมาด้วย พูดอีกอย่างคือ ติดใจใน “หัวโขน” จึงไม่ยอมวางหัวโขนแม้อยู่กับภรรยา ยังคิดว่าตัวเองเป็นวิทยากรระดับชาติอยู่นั่นเอง จึงไม่พอใจเมื่อถูกภรรยาทักท้วง

    อันที่จริงความเป็นสามีก็เป็นหัวโขนเหมือนกัน แต่สำหรับปุถุชน ความเป็นวิทยากรระดับชาติเป็นหัวโขนที่มีเสน่ห์กว่า จึงฉวยมาเป็น “ตัวกู” ก่อนอย่างอื่น และยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อยวางง่าย ๆ ครั้นมีความสำคัญมั่นหมายว่า “กูเป็นวิทยากรระดับชาติ” ตัวกูก็จะมีอาการพองโต ไปไหนก็รู้สึกมั่นใจ แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง อะไรที่ใหญ่โต ก็ถูกกระทบง่าย และยิ่งพองมากเท่าไหร่ แค่ถูกกระทบเบา ๆ ก็อาจจะแตกออกมาได้ ไม่ต่างจากลูกโป่งใบใหญ่ที่แค่โดนใบหญ้าบาง ๆ ทิ่มก็ระเบิดโพละทันที

    นอกจากความเป็นวิทยากรระดับชาติแล้ว ยังมีสถานะอื่น ๆ อีกมากมายที่ผู้คนชอบยึดมาเป็นตัวกูเพราะให้ความรู้สึกที่เหนือกว่า เก่งกว่า หรือดีกว่า เช่น ความเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ ดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ นายพล ผู้จัดการ พระครู พระราชาคณะ หรือแม้แต่ความเป็นข้าราชการ

    ข้าราชการวัยใกล้ ๔๐ ผู้หนึ่งมาบวชปฏิบัติที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ในพรรษานั้นมีพระหนุ่มลูกชาวบ้านมาบวชด้วยกันหลายรูป แต่ปฏิบัติตัวไม่ค่อยเรียบร้อย จึงถูกพระรูปนั้นตำหนิ พระหนุ่มไม่พอใจ โต้เถียงกลับไป พระรูปนั้นโกรธขึ้นมาทันที นึกในใจว่า “รู้ไหมว่ากูเป็นใคร กูเป็นข้าราชการชั้นเอกนะเว้ย”

    ตัวกูที่ยึดติดกับความเป็นข้าราชการชั้นเอก ทำให้พระรูปนั้นลืมไปว่าท่านกำลังเป็นพระอยู่ มิได้เป็นข้าราชการแล้ว แต่เนื่องจากมีความสำคัญมั่นหมายว่ากูเป็นข้าราชการ จึงทำใจไม่ได้เมื่อลูกชาวบ้านโต้เถียงตน

    ที่จริงแม้กระทั่งความเป็นพ่อแม่ หากยึดมาเป็นตัวกูเมื่อใด ก็ทำให้เป็นทุกข์ได้ง่ายมาก หลายคนเมื่อพบว่าลูกไม่เชื่อฟังตน ความคิดอย่างแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือ “ฉันเป็นพ่อ(แม่)แกนะ มาเถียงฉันได้ยังไง” ผลก็คือโกรธลูกและอาจต่อว่าลูกด้วยถ้อยคำแรง ๆ ที่ทำให้เสียใจในภายหลัง ทั้ง ๆ ที่มีความรักความเมตตาต่อลูก แต่ในยามนั้นตัวกูที่ผุดขึ้นมาได้ขัดขวางมิให้ความรักความเมตตาแสดงตัวออกมา แต่กลับปลุกเร้าความโกรธให้เกิดขึ้น

    คำพูดใด ๆ ก็ตาม แม้เป็นคำด่าว่าก็ไม่ทำให้เราเจ็บปวดได้เลย หากไม่ชูตัวกูขึ้นมารับคำด่านั้นหรือปล่อยให้ตัวกูออกโรง เพียงแค่รู้สึกว่า “กูถูกด่า” เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความทุกข์แก่เรา ในทางตรงข้ามหากเราเอาสติหรือปัญญานำหน้า เมื่อถูกคนทักท้วงต่อว่า ก็หันมาพิจารณาว่า ที่เขาพูดนั้นจริงไหม ถูกต้องไหม มีประโยชน์ไหม ทำอย่างนี้นอกจากจะไม่ทุกข์แล้ว ยังได้ประโยชน์อีกด้วย

    ปุถุชนแม้จะยังละทิ้งความสำคัญมั่นหมายในตัวกูไม่ได้ แต่ก็สามารถมีสติรู้ทันเมื่อมันโผล่หรือชูคอขึ้นมา ทำให้มันครอบงำใจไม่ได้ แต่หากเผลอให้มันครอบงำใจ อย่าว่าแต่คำตำหนิติเตียนเลย แค่คนอื่นไม่เรียกเราว่า ดอกเตอร์ ศาสตราจารย์ ผู้จัดการ ผู้กำกับ นายพล หรือพระอาจารย์ เท่านี้ก็ทำให้ขุ่นเคืองใจแล้ว
    :- https://visalo.org/article/secret255807.html
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    โลกเป็นอย่างไรเพราะใจเราเป็นอย่างนั้น
    พระไพศาล วิสาโล
    คนเราทุกคนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้เพื่อรับรู้โลกภายนอก ตารับรู้รูป หูรับรู้เสียง จมูกรับรู้กลิ่น ลิ้นรับรู้รส และกายก็รับรู้สัมผัสที่เรียกว่าโผฏฐัพพะ ไม่ว่าจะรับรู้โลกภายนอกอะไร มันก็ส่งมาที่ใจ ใจทำหน้าที่คิด ทำหน้าที่รู้สึก เราก็คงจะสังเกตได้ว่า เรารับรู้อะไร ใจก็มักจะเป็นอย่างนั้น เช่น ถ้าเกิดเราเห็นภาพคนกำลังอดอยากหิวโหย ก็เกิดความรู้สึกเศร้า สงสารในใจของเรา ถ้าเห็นภาพอุบัติเหตุรถยนต์ ก็รู้สึกเสียวสยอง หรือหวาดวิตกในใจ ถ้าเห็นเด็กกำลังร้องไห้ ก็เกิดความรู้สึกเศร้าในใจของเรา แต่ถ้าเกิดเห็นภาพคนกำลังสนุกสนานรื่นเริง ก็มีความยินดีเกิดขึ้นในใจ

    เรารับรู้อะไรก็มีผลต่อใจของเรา รับรู้สิ่งที่เป็นลบ ใจก็พลอยรู้สึกลบไปด้วย รับรู้สิ่งที่เป็นบวก ใจก็พลอยเป็นบวกไปด้วย เพราะฉะนั้นการรับรู้อะไร จึงเป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจ ถ้าเราอยากจะให้ใจเราสงบ ใจเราเป็นสุข ไม่ถูกแผดเผาด้วยความโกรธ ไม่ถูกกดกดดันด้วยความเศร้า หรือไม่ถูกกระตุ้นเร้าด้วยความโลภ ความอยาก อันนี้โยงไปถึงว่า เราเลือกอยู่ที่ไหนด้วย ถ้าเราเลือกอยู่ในที่ที่สงบสงัด ใจก็พลอยสงบ หรือสามารถเย็นใจได้ง่าย

    ดังนั้นธรรมข้อหนึ่งในโอวาทปาฏิโมกข์คือ “พึงนอนและนั่งในที่สงัด” เมื่ออยู่ในที่ที่สงัดหรือที่ที่เป็นรมณีย์ มันก็มีส่วนน้อมใจให้สงบไปด้วย รวมทั้งการรู้จักใช้หู ใช้ตา ใช้จมูกให้เป็น หรือรู้จักรับรู้สิ่งที่เกื้อกูล ต่อการสร้างกุศลธรรมขึ้นมาในใจ อย่างไรก็ตามทำเท่านั้นยังไม่พอ เพราะความจริงมีอยู่ว่า บ่อยครั้งเราไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าเราอย่างที่มันเป็นจริง แต่มีการตีความหรือปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้เกินเลยจากความเป็นจริงด้วย

    คนเราไม่ได้เห็นอย่างที่รูปปรากฏ ไม่ได้ได้ยินอย่างที่เสียงกระทบหูเรา เพราะว่ามีการตีความ หรือปรุงแต่งซ้อน ชนิดที่สนิทแนบแน่นเลย อย่างเช่น เห็นคนกระซิบกระซาบต่อหน้าเรา เราก็อาจจะตีความไปว่า เขากำลังพูดถึงเรา หรืออาจถึงขั้นนินทาเรา แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น หรือว่ามีคนบางคนมองหน้าเรา จ้องเรา เราก็อาจจะตีความว่า เขากำลังหาเรื่องเราก็ได้ หรือเขากำลังไม่พอใจเรา แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ว่าเราเข้าใจไปแล้วอย่างนั้น

    คนเราบางครั้งไม่ได้เห็น ไม่ได้รับรู้สิ่งต่าง ๆอย่างที่มันเป็น แต่ว่ามีการตีความไปด้วย ตีความในทางบวกก็มี ตีความในทางลบก็มี บ่อยครั้งก็สร้างปัญหา หรือสร้างความทุกข์ให้กับเรา แล้วเราก็เผลอคิดไปว่า สิ่งที่จิตตีความ มันคือความจริง ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่ความคิดของเราเอง

    พระทิเบตท่านหนึ่งเล่าว่า มีคราวหนึ่งจะเดินทางขึ้นเครื่องบิน ที่สนามบินมีการตรวจเอกซเรย์สัมภาระ รวมทั้งโทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ ระหว่างที่กำลังรอกระเป๋าเดินทางของท่านที่กำลังผ่านการเอกซเรย์ ท่านก็เหลือบไปมองที่ด่านรักษาความปลอดภัยอีกด่านหนึ่ง ซึ่งเป็นด่านสุดท้าย สังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ มีหนวดเฟิ้มเลย จ้องมองมาที่ท่าน จ้องแบบเขม็งเลย ท่านเหลียวไปมองหลายครั้งก็เห็นว่าเขายังจ้องไม่เลิก ก็รู้สึกไม่ค่อยสู้ดีแล้ว นึกในใจว่าเจ้าหน้าที่คนนี้กำลังสงสัยอะไรเราหรือเปล่า ท่านพยายามนึกว่าทำอะไรให้เขาสงสัย ก็นึกไม่ออก

    ยิ่งเห็นเจ้าหน้าที่คนนั้นจ้องมองท่านมากเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งสังเกตว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ หน้าเหี้ยม ดูหยาบกระด้าง หน้าตาท่าทางเหมือนมาเฟียเลย จู่ๆ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดอะไรสักอย่าง พระทิเบตก็สงสัยว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ แล้วก็จริงด้วย มีเจ้าหน้าที่คนใหม่เดินมาหาชายคนนี้ พูดคุยอะไรกันสักอย่าง แล้วเจ้าหน้าที่ที่มีหนวดก็ชี้นิ้วมาที่ตัวท่าน

    พระทิเบตตอนนี้ใจคอไม่สู้ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนใหม่พอมาถึง ก็พอมายืนแทนเจ้าหน้าที่คนแรกที่มีหนวด จากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นเดินตรงมาหาท่าน แล้วถามว่า “คุณคือมิสเตอร์ยงเกใช่ไหม” ท่านก็ตอบว่า “ใช่ มีอะไรเหรอ” เจ้าหน้าที่คนนั้นก็บอกว่า “ผมอยากจะขอบคุณคุณเหลือเกิน เพราะว่าหนังสือของคุณช่วยผมได้มากเลย อยากจะขอบคุณจริงๆ”
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    เท่านี้แหละ พระทิเบตยิ้มเลย เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยิ้มด้วย แล้วก็จับมือท่านมาเขย่า แสดงความเป็นมิตร ตอนนี้พระทิเบตรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ทีแรกคิดว่าจะมีเรื่องอะไร อ๋อ ที่แท้มาขอบคุณที่ได้อ่านหนังสือของเรา ทีแรกนึกว่าสงสัยเรา คงจะมาค้นตัวเรา หาสิ่งที่ผิดกฎหมาย แล้วท่านก็พบว่าภาพของชายคนนั้น ในสายตาของท่านเปลี่ยนไปเลย จากคนที่มีสีหน้าเหี้ยม กระด้างเหมือนมาเฟีย กลายเป็นคนที่ใจดี สุภาพเรียบร้อย มีความเป็นมิตร

    สักพักท่านก็มาเอะใจ ทำไมเรามองเจ้าหน้าที่คนนี้เปลี่ยนไป ทีแรกเห็นเขาหน้าเหี้ยม หยาบกระด้าง แต่ตอนนี้เห็นเขาเป็นคนสุภาพ มีน้ำใจ ดูเป็นมิตร ก็คนคนเดียวกันนี่แหละ แต่ทำไมเห็นต่างกันชนิดที่ตรงข้ามกันเลย หลังจากที่เขามาทักทายและขอบคุณ

    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าจิตของคนเรา หรือความรู้สึกนึกคิดในใจเรา ส่งผลมากต่อการรับรู้ ตอนที่เห็นเจ้าหน้าที่คนนั้นจ้องมองท่านเขม็งเลย ที่จริงเขาไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับท่านเลย แต่ว่าพระทิเบตท่านนี้ตีความไปแล้วว่า เขาคงไม่ชอบเรา ระแวงสงสัยเรา หรือคิดไม่ดีกับเรา คือตีความไปในทางร้ายแล้ว ไม่ได้เห็นอย่างที่เป็น พอตีความไปในทางร้ายว่าเขาคิดไม่ดีกับเรา ท่านก็เลยรู้สึกไม่ดีกับเขาไปด้วย พอรู้สึกไม่ดีกับเขา ภาพของเขาที่ปรากฏในใจของท่าน ก็กลายเป็นคนที่ดูเหี้ยม กระด้าง เหมือนมาเฟีย หรือเหมือนอันธพาล แต่ว่าพอเขามีอากัปกิริยาในทางที่เป็นมิตร มาขอบคุณท่าน ความรู้สึกของท่านที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไป แทนที่จะเห็นว่าเขาคิดไม่ดีกับเรา ที่แท้เขามาขอบคุณเรา เลยรู้สึกดีกับเขา พอรู้สึกดีกับเขา ภาพของเขาในสายตาของท่านก็เปลี่ยนไปเลย กลายเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย มีความเป็นมิตร
    อันนี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นเลยว่า เวลาเรารับรู้อะไรก็ตาม บ่อยครั้งเราไม่ได้รับรู้อย่างที่มันเป็น แต่มีการตีความ และถ้าเราตีความในทางลบ ว่าเขาคิดไม่ดีกับเรา จิตก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันทีเลย อย่างเช่น พอพระทิเบตคิดว่าคน ๆ นี้คิดไม่ดีกับท่าน ท่านก็รู้สึกไม่ดีกับเขาทันทีเลย พอรู้สึกไม่ดีกับเขา ภาพของเขาที่ท่านเห็นก็กลายเป็นภาพของคนที่มีสีหน้าเหี้ยม ไม่เป็นมิตร มีการเติมแต่ง มีการใส่สี และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเราในชีวิตประจำวัน เรารับรู้อะไร เราไม่เคยรับรู้อย่างที่มันเป็นจริง ๆ แต่ว่ามีการตีความอยู่เสมอ
    ถ้าตีความในทางบวกก็ดีไป แต่ถ้าตีความในทางลบ ก็เกิดความวิตก เกิดความกลัว เกิดความเครียด เกิดความขุ่นมัว ครั้นมีความวิตก มีความขุ่นมัว เวลามองอะไร ก็เห็นแต่ภาพในทางลบ เห็นคนๆหนึ่งก็มองเขาเป็นคนที่เหี้ยม หยาบกระด้าง แต่พอใจเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่มีต่อคนคนนั้นเปลี่ยนไป ภาพที่เห็น หรือที่ปรากฏในใจก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ตรงข้ามกันเลย
    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ไม่ใช่แค่ว่าเราเห็นอะไรใจก็เป็นอย่างนั้น ในทางกลับกัน ใจเราเป็นอย่างไรก็เห็นโลกไปในทางนั้นด้วย ถ้าใจเราขุ่นมัว มีความเครียด หรือมีความรู้สึกเป็นลบ โลกที่อยู่รอบตัวเรา หรือคนที่อยู่ข้างหน้าเรา ก็ถูกเติมแต่งให้เป็นลบไปด้วย มีการใส่สีให้ดูไม่ดี แต่ถ้าเรารู้สึกบวกกับเขา ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นบวกไปด้วย อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลาเลยก็ว่าได้

    โลกเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่ใจของเราว่าเป็นอย่างไรด้วย ฉะนั้นบ่อยครั้ง เวลาเรารู้สึกว่าโลกมันหม่นหมอง ผู้คนไม่น่ารัก อาจจะเป็นเพราะว่าใจเราหม่นหมอง หรือว่าใจเรามีความรู้สึกที่เป็นลบก็ได้ ฉะนั้นก่อนที่เราจะตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ หรือมองว่าโลกนี้มันแย่ บางทีเราต้องกลับมาดูที่ใจของเรา ว่าใจเรามีการเติมแต่ง รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยินหรือเปล่า

    ในปฏิจจสมุปบาท ท่านจะกล่าวตั้งแต่ต้นเลยว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้กับสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้กับวิญญาณ ที่พูดมาก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า สังขารปรุงแต่งวิญญาณอย่างไร สังขารในที่นี้ก็คือการปรุงแต่ง หมายถึงความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ มันไปปรุงแต่งการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้แต่ทางใจ ถ้าใจมีความรู้สึกในทางลบ เช่นคิดลบ หรือรู้สึกลบกับใคร ก็จะเห็นภาพคนๆ นั้นในทางลบไปด้วย เห็นเป็นคนที่กระด้าง เป็นคนเหี้ยม ไม่น่ารัก แต่ถ้าใจมีความรู้สึกเป็นบวก ก็จะเห็นเขาเป็นคนที่สุภาพ เป็นมิตร

    อันนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องของคนผู้ชายคนหนึ่งไปพักที่รีสอร์ต ก่อนนอนก็ถอดสร้อยคอที่คล้องพระสมเด็จราคาแพงด้วย ไว้ที่หัวเตียง ตื่นเช้าก็ออกไปเดินเล่น โดยลืมสวมสร้อยคอ พอกินข้าวเสร็จก็กลับเข้ามาในห้อง แล้วพบว่า สร้อยหายไป เอ๊ะ ใครเอาไป สงสัยพนักงานทำความสะอาดเอาไป เพราะว่าเช้านั้น มีพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งเข้าไปจัดเตียง เขาก็ตามหาว่าใครเป็นพนักงานทำความสะอาดคนนั้น พอเห็นเข ก็ปักใจเชื่อเลยว่าพนักงานคนนั้นขโมยเอาสร้อยคอของเขาไป เมื่อเฝ้าสังเกตผู้ชายคนนั้น ก็พบว่าเขามีพิรุธ แววตาก็มีพิรุธ ไม่กล้าสบตาเขา จึงปักใจว่า ใช่แน่ๆ เลย แกเอาสร้อยคอของฉันไปแน่เลย แต่ปรากฏว่าตอนสายๆ เขาก็พบสร้อยคอตกอยู่หลังเตียง

    พอรู้ว่าพนักงานคนนั้นไม่ได้ขโมยไป ก็เห็นเขาเปลี่ยนไป น้ำเสียงเขาไม่ได้มีพิรุธอะไร พูดจาก็ดี อากัปกิริยาไม่มีอะไรผิดปกติ ภาพของพนักงานทำความสะอาดเปลี่ยนไปเลย ที่จริงเขาไม่ได้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เขาก็เหมือนเดิม ไม่ว่าตอนเช้า ตอนสาย หรือตอนบ่าย แต่ที่เปลี่ยนไปคือใจของผู้ชายคนนั้น ทีแรกปักใจเชื่อว่าพนักงานทำความสะอาดเป็นขโมย พอคิดแบบนั้นเข้า ก็เห็นเขามีพิรุธ แต่พอรู้ว่าเขาไม่ได้ขโมยไป ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป อันนี้เรียกว่าสังขารเป็นปัจจัยให้กับวิญญาณ

    ไม่ใช่เฉพาะกรณีแบบนี้เท่านั้น ในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป เวลาเรามีความทุกข์ ความเครียด เราก็มักจะคิดว่าโลกภายนอก หรือคนรอบตัวเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เช่นเห็นเขาไปในทางลบทางร้าย ทำให้ไม่สบายใจมากขึ้น แต่เราลองสังเกตดูก็ได้ว่า บ่อยครั้งความทุกข์ของเรา มันเกิดจากการที่เราตีความหรือปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ ไปในทางลบ หรือปรุงแต่งไปในทางร้ายหรือเปล่า

    ถ้าเรารู้จักหมั่นสังเกต หมั่นทบทวน ก็จะพบว่าบ่อยครั้งเราเคยเข้าใจผิดเพราะตีความในทางลบ หรือเติมแต่งในทางร้าย จนเกิดความวิตก เกิดความเครียด หรือเกิดความไม่พอใจ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ควรเอาประสบการณ์เหล่านี้มาเป็นบทเรียนสอนใจ มันจะช่วยทำให้เรารู้จักทักท้วงใจของเราบ้าง คือทักท้วงว่าสิ่งที่เราเห็น อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ อาจมีการตีความไปแล้วในทางลบ หรือทักท้วงว่าที่เรารับรู้หรือมองออกไปข้างนอก อาจจะมีการเติมแต่งไปในทางร้ายก็ได้

    ไม่ว่ารับอะไรเข้ามา จะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง หรือมองออกไป ใจเรามักจะมีการตีความหรือเติมแต่ง และก็ไม่จำเป็นต้องเป็นทางลบ อาจจะเป็นไปในทางบวกก็ได้ อย่างที่เขาเรียกว่าฉันทาคติ ฉันทาคติคือลำเอียงเพราะชอบ หมายความว่า มองเห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะว่ามีความชอบ เช่น เขาทำอะไรก็ดูดีไปหมด เขาทำอะไรก็ดูถูกต้องไปหมด ทั้งๆ ที่ที่ผิดก็มี ที่พลาดก็มี แต่ว่าไม่เห็นเพราะว่ามองเห็นแต่ด้านดี อันนี้เรียกว่าลำเอียงเพราะชอบ หรือมิฉะนั้นก็ตรงข้าม คือ มีโทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ หรือภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง

    อย่างกรณีของพระทิเบตท่านนั้น ทีแรกท่านเกิดโทสาคติ ก็เลยเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น เหี้ยม ดุ เหมือนผู้ร้าย เหมือนมาเฟีย แต่พอเขามาขอบคุณ เขามาแสดงความเป็นมิตร ความรู้สึกของท่านก็เปลี่ยนไปเลย ฉันทาคติมาแทนโทสาคติ เห็นเขาเป็นมิตร สุภาพเรียบร้อย อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะสังเกตได้จากประสบการณ์ของตัวเราเอง ว่ามันเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า จะได้เป็นเครื่องเตือนใจเรา เพื่อไม่ให้เราเป็นทุกข์จากสิ่งปรุงแต่งที่สร้างขึ้นมาเอง

    บางครั้งเวลามีความทุกข์เรามักโทษว่าเป็นเพราะคนโน้นคนนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่จริงความทุกข์เกิดจากการปรุงแต่งในทางลบ หรือการตีความในทางร้ายของเรา ครั้นตีความในทางลบแล้ว เห็นเขาทำอะไร ก็ยิ่งรู้สึกลบ และเป็นทุกข์มากขึ้น

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด สำเร็จแล้วที่ใจ” เรื่องที่เล่ามาเป็นตัวอย่างว่า โลกภายนอกที่เราเห็นผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ล้วนแล้วแต่เกิดหรือถูกกำหนดด้วยใจของเรา ถ้าใจเราเป็นลบก็เห็นเป็นลบ ถ้าใจเราเป็นบวกก็เห็นเป็นบวก

    ฉะนั้นการกลับมาดูใจของเรา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าไม่อยากให้เกิดไฟเผาลนใจของเรา ก็ต้องกลับมาสำรวจตรวจตา หรือสอดส่องใจของเราว่า มีอคติ เช่น โทสาคติ ภยาคติหรือเปล่า หรือมีการเติมแต่งในทางลบทางร้ายหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเราก็จะสร้างหรือก่อทุกข์ขึ้นมาในใจของเรา ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น.
    :- https://visalo.org/article/dhammamata17_3.html
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    เตรียมใจยอมรับทุกสิ่ง
    พระไพศาล วิสาโล
    การดำรงชีวิตเปรียบเหมือนกับการเดินทาง ส่วนเส้นทางชีวิตของคนเราก็เปรียบเหมือนกับถนน แต่เป็นถนนที่ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ผิดกับถนนจากกรุงเทพฯ มาชัยภูมิ ราบเรียบตลอดทาง บางช่วงก็ลาดยาง บางช่วงก็เทปูน เป็นถนน 4 เลนบ้าง 8 เลนบ้าง แต่เส้นทางชีวิตคนเราไม่ได้ราบเรียบตลอดทางอย่างนั้น บางครั้งมีหลุมบ่อ บางครั้งก็เป็นป่ารก ถ้าเราคาดหวังว่าชีวิตจะราบเรียบแบบถนน 4 เลน 8 เลน ก็จะผิดหวังได้ง่าย

    ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีชีวิตใดที่ผาสุก ราบรื่นไปได้ตลอด ความทุกข์สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ฉะนั้น คนที่ไม่ประมาทก็จะตระเตรียมป้องกัน เช่น ดูแลรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เป็นการป้องกันทุกข์ที่ชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งเก็บหอมรอมริบเพื่อไม่ให้เกิดความยากลำบากเวลาเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่า เวลาเราสร้างบ้านก็มีประตูหน้าต่างที่แน่นหนา บางคนก็สร้างกำแพงล้อมรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินถูกขโมย

    เราพยายามศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ แม้เรียนจบแล้วเราก็ยังศึกษาพัฒนาทักษะเกี่ยวกับอาชีพของเราต่อไป แม้ไม่ใช่ความรู้ที่เกี่ยวกับอาชีพของเราโดยตรงก็ศึกษาเผื่อไว้หากต้องเปลี่ยนงาน หากความรู้และทักษะที่มีอยู่ล้าสมัยแล้ว เราก็จะได้ปรับตัวเพื่อทำอาชีพใหม่ หรือมีช่องทางทำมาหากินใหม่ ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เราควรทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความยากลำบากในวันข้างหน้า อันนี้เรียกรวม ๆ ว่าทำกิจ

    แต่ไม่ว่าเราจะเตรียมตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้นเพียงใด มันก็เกิดขึ้นได้ในที่สุด

    นี่เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของชีวิต

    เราดูแลสุขภาพดีอย่างไร สักวันหนึ่งก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย อาจจะถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ป่วย ดูแลรักษาทรัพย์สินเงินทองอย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีการสูญเสีย อาจจะมีคนมาลักขโมยหรือโกงเอาเงินทองไป มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ว่าเราจะเตรียมตัวป้องกันอย่างไร ดูแลลูกอย่างดีไม่ให้เจ็บป่วยแต่สุดท้ายลูกก็เจ็บป่วย อยู่ที่ว่าจะน้อยหรือมาก

    เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันเราต้องทำใจ

    ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วทั้ง ๆ ที่ป้องกันอย่างดีเราจะทำอย่างไร

    เราก็ต้องหาทางบรรเทา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษา หากเงินหายหรือถูกโกง ก็ต้องหาทางติดตามกลับมา แต่ก่อนที่จะถึงตรงนั้น สิ่งแรกที่ควรทำคือทำจิต

    เราทำกิจเพื่อป้องกันแล้ว แต่ป้องกันอย่างไรทุกข์ก็ยังเกิดวันยังค่ำ ทุกข์บางอย่างเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ หรือเรียกว่าทำจิต บางอย่างบรรเทาได้ แต่ว่าก่อนที่จะบรรเทา ควรทำจิตเบื้องต้น

    ทำจิตหรือทำใจ ทำอย่างไร

    อย่างแรกที่สุดคือการยอมรับ ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเราไม่ยอมรับ ก็จะกลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง แทนที่จะเสียแค่เงิน ใจก็เสียด้วย บางทีถึงกับเสียศูนย์ไปเลย เสียเงินยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเสียศูนย์จะหนักมาก แทนที่จะป่วยแค่กาย ใจก็ป่วยด้วย และหนักกว่าป่วยกายอีก นั่นเป็นเพราะไม่รู้จักทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
    มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกใจเราเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ใครที่อยู่ในเมืองก็ต้องเจอรถติด สังเกตไหมว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นขณะรถติด เกิดจากอะไร เป็นความทุกข์ชนิดใด มันไม่ใช่ทุกข์กายแต่เป็นทุกข์ใจ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในรถติดแอร์ เปิดเพลง มีขนมกินด้วยซ้ำ ไม่มีความทุกข์กาย แต่ทำไมคนจึงไม่ชอบรถติด นั่นเพราะมีความทุกข์ใจ ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่า ทุกข์ใจไม่ได้เกิดจากรถติด แต่เกิดจากการไม่ยอมรับ จิตมันบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย แต่ทันทีที่เรายอมรับได้ ใจสงบเลย
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    เพื่อนคนหนึ่งเรียกรถแท็กซี่ไปวัดพระแก้วเพื่อจะไปทำบุญ เช้าวันนั้นรถติดมาก เขาต้องโทรศัพท์บอกพี่สาวหลายครั้งว่าจะไปสาย เขาหงุดหงิดรุ่มร้อน แต่สังเกตเห็นว่าคนขับรถแท็กซี่ไม่มีอาการรุ่มร้อนเลย เปิดวิทยุแถมฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข เขาจึงถามคนขับรถว่าพี่ไม่หงุดหงิดเหรอ คนขับรถตอบดี เขาตอบว่า “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไมครับ หงุดหงิดแล้วมันก็ติดเท่าเดิม”

    เขายังพูดต่ออีกว่า แต่ก่อนเขาทำงานบริษัท ตอนหลังเบื่อเลยลาออกมาขับแท็กซี่ มันอิสระดี ที่น่าสนใจคือเขาพูดว่า “ผมรู้ว่าผมเลือกทำอาชีพอะไร แล้วจะต้องเจอกับอะไร ถ้าเลือกขับแท็กซี่ก็ต้องยอมรับได้ว่าต้องเจอรถติด”

    คนขับแท็กซี่ไม่หงุดหงิดเวลารถติดเพราะเขายอมรับมันได้ ส่วนคนที่ทุกข์ใจก็เพราะยอมรับมันไม่ได้ แถมยังคิดปรุงแต่งต่อไปว่าถ้ารถติดหนักกว่านี้จะไปทำงานสาย จะไปส่งลูกไม่ทัน จะตกเครื่องบิน ก็เลยกระสับกระส่าย

    ไม่ว่าเจอทุกข์อะไรก็ตาม ถ้าเรายอมรับไม่ได้ ใจจะเป็นทุกข์มาก เป็นทุกข์ยิ่งกว่าความทุกข์อันแรกที่เจอ

    หญิงผู้หนึ่งพูดไว้ดีว่า “มะเร็งไม่ได้ทำให้ยิ้มคุณหายไป ทุกข์ในใจต่างหากเป็นตัวทำ” ถามว่าทุกข์ใจเพราะอะไร คำตอบคือยอมรับความจริงไม่ได้ สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นสัจธรรมมาก เธอพูดว่า “ในขณะที่เราคิดว่าความจริงมันโหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงนั้นโหดร้ายกว่า เพราะมันเปรียบเหมือนคุกที่ขังใจเราไว้”

    ประโยคข้างต้นเธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเอง เธอเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะตอนอายุ 30 ปี ขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ หมอเองทีแรกก็ยังไม่เชื่อ เพราะมะเร็งที่เกิดกับเธอนั้นมักเกิดขึ้นผู้สูงอายุหรือสูบบุหรี่จัด แต่เธอไม่เคยสูบบุหรี่ ตอนที่เธอรู้ว่าเป็นมะเร็ง เธอรู้สึกทุกข์มาก ทุกข์กายไม่เท่าไหร่แต่ทุกข์ใจมากเธอเอาแต่คร่ำครวญว่า ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นมะเร็งชนิดนี้ มันไม่น่าจะเกิดกับฉัน ฉันอายุแค่ 30 ปีเท่านั้น พอเธอไม่ยอมรับความจริงนี้ ก็เครียด จนเหวี่ยงวีนใส่หมอ เหวี่ยงวีนแม้กระทั่งกับคนที่บ้าน
    ภายหลังเธอหันมาสนใจการปฏิบัติธรรม เจริญสติ เมื่อสังเกตจิตใจของตนก็พบว่า สาเหตุของความทุกข์ใจคือการไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับโรคมะเร็ง แต่พอเธอยอมรับมันได้ ใจก็สงบ แม้ว่ามะเร็งจะลามไปเยอะแล้ว
    คนเรามักจะมองข้ามความจริงว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราไม่ร้ายเท่ากับการไม่ยอมรับความทุกข์นั้น สิ่งที่เรากลัวเราเกลียด ไม่ร้ายเท่ากับความกลัวความเกลียดสิ่งนั้น ลองพิจารณาดูให้ดีว่า คนที่เป็นปัญหากับเรา ยังไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับความรู้สึกเกลียดชังหรือโกรธคนนั้น มะเร็งก็เหมือนกัน มันไม่ร้ายเท่ากับความกลัวความเกลียดและการไม่ยอมรับมะเร็ง
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    เหตุผลที่เราควรยอมรับความทุกข์
    ประการแรก เราควรยอมรับมันก่อนอื่นใด ก็เพราะมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธ ผลักไสไปได้
    ประการที่สอง ให้ตระหนักว่า ยิ่งผลักไสก็ยิ่งทุกข์ เป็นการซ้ำเติมตัวเอง อย่างที่คนขับแท็กซี่พูด “ผมไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม หงุดหงิดแล้วรถมันก็ติดเท่าเดิม” ความหงุดหงิดทำให้จิตใจรุ่มร้อน ส่วนปัญหาหรือความทุกข์เดิมก็ไม่ได้หายไปไหน

    มีคนเปรียบเทียบชีวิตไว้ดีว่า เหมือนกับการเล่นไพ่ บางครั้งเราก็จั่วได้ไพ่ที่ไม่ดี แต่ป่วยการที่จะบ่น ตีโพยตีพายว่า ทำไมได้ไพ่ใบนี้ คนที่เล่นไพ่เก่งเขาไม่บ่นโวยวายอย่างนั้น แต่เขาจะพยายามใช้ปัญญาเพื่อเล่นให้ดีที่สุด บางครั้งเขาก็ชนะทั้งที่ไพ่ในมือเขาไม่ดีเลย ถ้าเขาโวยวาย ก็หัวเสีย ปัญญาก็ไม่เกิด สู้ตั้งสติให้ดีว่าจะใช้ไพ่ที่มีในมือให้เกิดประโยชน์อย่างไร

    แม่ครัวซึ่งได้เครื่องเคราไม่ครบ เขาไม่มัวหัวเสียบ่นปอดแปดว่าว่าทำไมเครื่องไม่ครบ เขาจะคิดเพียงว่าทำอย่างไรจะปรุงอาหารให้อร่อยหรือดีที่สุดเท่าที่อุปกรณ์มีอยู่ ไม่มีเนื้อ มีแต่ผักก็ไม่เป็นไร ไม่มีน้ำตาล เอาอย่างอื่นแทนได้ไหม ในขณะที่แม่ครัวที่มีเครื่องครบแต่อาจปรุงอาหารไม่อร่อยก็ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าในมือมีอะไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้ของที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์แค่ไหน แต่เราไม่สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์ได้ดีที่สุดหากเรายังหัวเสียหงุดหงิด ไม่ยอมรับกับข้อจำกัดที่เกิดขึ้น

    ผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่งกล่าวถึง พอทำใจยอมรับได้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว นอกจากเธอจะยิ้มได้แล้ว เธอยังมีสติปัญญาที่จะเยียวยาตัวเองต่อไป แต่ถ้าหัวเสียหงุดหงิด ก็คิดอะไรไม่ออก แทนที่จะทุกข์จะบรรเทาทุกข์กลายเป็นทุกข์หนักขึ้น ป่วยการที่จะบ่นโวยวายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน มันไม่ยุติธรรม ฉันอายุแค่ 30 ปี เอง ไม่เคยสูบบุหรี่ ทำไมฉันต้องเป็นมะเร็งปอด ฉันทำดีตลอดชีวิต ทำไมฉันต้องมาป่วย ทำไมต้องเสียลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ หรือฉันออกกำลังกายเป็นปีทำไมต้องมาป่วย คิดแบบนี้เป็นการทำร้ายตัวเอง

    ผู้หญิงคนหนึ่ง ดูแลสุขภาพดีมาก กินอาหารชีวจิต อาหารแมคโครไบโอติก อาหารเสริมที่ใครบอกว่าช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจเธอหามากินหมด อาหารเสริมใดที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ รวมทั้งสไปรูไลนา ใบแปะก๊วย โคคิวเท็น แพงแค่ไหนเธอก็หามา ออกกำลังกายเธอก็ทำเป็นประจำ เพราะเชื่อว่าจะทำให้อายุยืน มีสุขภาพดี แล้ววันหนึ่งเธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เธอทำใจไม่ได้ โกรธมาก รู้สึกว่าถูกโกหก ถูกหลอกลวง ตลอดเวลาที่ป่วยเธอไม่มีความสุขทั้งกายทั้งใจ กราดเกรี้ยวใส่คนรอบข้าง จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็ตายไม่สงบ ในขณะที่คนบางคนเจอโรคร้าย แต่เขารู้จักทำใจ จึงไม่ทุกข์มาก

    หมอคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมผู้ป่วยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เมื่อเธอดูประวัติแล้วก็รู้สึกหนักใจ ชายคนนี้เป็นมะเร็งที่ใบหน้า แผลใหญ่กินตั้งแต่แก้มไปถึงจมูกและริมฝีปาก หมอรู้ดีว่าคนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้จะเจ็บปวดมาก ไม่แค่เฉพาะปวดกาย แต่อาจเจ็บปวดที่ใจด้วย เพราะส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเป็นที่รังเกียจ เนื่องจากแผลที่ใบหน้าเห็นชัด จนอยากเก็บตัวลบลี้หนีหน้าผู้คน และอันที่จริงโรคนี้ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยออกไปนอกบ้านเพราะถ้าโดนแสงแดดจะเจ็บปวดมาก จำเป็นต้องเก็บตัวในบ้าน แถมต้องมีม่านพรางแสงด้วย ซึ่งทำให้ผู้ป่วยทั้งหดหู่ ซึมเศร้า และเครียดมาก ในประเทศสหรัฐอเมริกา คนที่เป็นมะเร็งใบหน้า ฆ่าตัวตายถึง 1 ใน 4

    หมอเองรู้สึกหนักใจที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วยคนนี้ เพราะกลัวว่าจะเจออารมณ์กราดเกรี้ยวของเขา แต่พอเจอเข้าจริง ๆ หมอก็แปลกใจ เพราะเขาโอภาปราศรัยดี คุยอย่างคนปกติ ไม่มีความก้าวร้าวอะไรเลย

    คนไข้เล่าว่า ตอนหนุ่ม ๆ เขาชอบกินเหล้าสูบบุหรี่มาก เมาหัวราน้ำ การงานก็ทำได้ไม่ดี มีครอบครัวก็ต้องเลิกกัน เมียทนไม่ได้ที่เขาเอาแต่กินเหล้า สูบบุหรี่ ลูกก็ต้องไปอยู่กับเมีย เขาเล่าเหมือนกับยอมรับ ว่าที่เขาเป็นมะเร็งก็เพราะมีพฤติกรรมเสี่ยงแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาสงบ ไม่มีอาการหงุดหงิดทุรนทุราย

    เขาเล่าว่าทุกวันเขาไม่มีอะไรทำ นอกจากวาดรูปและเปิดโทรทัศน์ ช่องที่ดูประจำคือ CNN ซึ่งมีข่าว 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย อุบัติเหตุ สงคราม ความอดอยากหิวโหย ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ไฟไหม้ น้ำท่วม เขาดู ๆ ไปไม่นานก็ได้คิดว่า คนเราไม่ว่ารวยหรือจน ชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาใด ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น ความทุกข์เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษยชาติ พอคิดได้แบบนี้เขาก็มองมาที่ตัวเอง แล้วได้คิดว่า ความเจ็บป่วยของเรา ก็เป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ที่เกิดกับมนุษย์ทั้งโลก

    พูดง่าย ๆ ว่า เขามองว่าความทุกข์ที่เกิดกับตัวเองเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอมองอย่างนี้ได้เขาก็ยอมรับมะเร็งได้ ไม่ปฏิเสธ ผลักไสมันอีกต่อไป ใจจึงสงบ
    เขายังบอกอีกว่า ตอนนี้เขาพยายามดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้เพราะที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้อยู่กับลูกเลย ตอนนี้อยากจะอยู่กับลูกให้นานที่สุด
    หมอเจ้าของไข้บอกเขาว่า เขาจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แต่ชายคนนี้อยู่ได้ปีกว่า ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมาน เหมือนผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ ตอนตายก็ตายอย่างสงบ
    ชายคนนี้แม้จะมีความทุกข์กายมาก แต่ใจเขาไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ ทั้งนี้เพราะเขายอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
    การยอมรับช่วยให้ใจสงบ เป็นทุกข์น้อยลง นี้คือเหตุผลหนึ่งที่เราควรยอมรับเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาในรูปใด เช่น ความเจ็บป่วย ความสูญเสีย
    :- https://visalo.org/article/dhammamata14_3.html
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,224
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    ความสงบอันประเสริฐ
    พระไพศาล วิสาโล
    หลายคนที่มาวัดป่าสุคะโต เมื่อมาครั้งแรกมักจะพูดเหมือนกันว่าชอบความสงบ แสดงให้เห็นว่าความสงบนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าทุกวันนนี้ความสงบกลายเป็นเรื่องหายากแล้ว หลายคนจึงรู้สึกประทับใจเมื่อสัมผัสความสงบของที่นี่

    หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าตัวเองชอบความสงบ จนกระทั่งมาพบความสงบที่วัดป่าสุคะโต แล้วรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ตัวเองปรารถนา เพราะส่วนลึกของผู้คนต่างโหยหาความสงบกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคนยุคนี้ ซึ่งมีความไม่สงบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยใหม่ไปแล้ว

    บางอย่างถ้าเราไม่เคยเจอ เราอาจไม่รู้ว่าต้องการสิ่งนั้น แต่พอได้เจอก็พบว่า ใช่เลย เช่นเดียวกับที่สตีฟ จ๊อบส์เคยพูดว่า คนที่ยังไม่เจอไอแพด ก็ไม่รู้ว่าหรอกตัวเองต้องการไอแพด แต่พอเห็นแล้วก็บอกว่า ใช่เลย นี่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอดชีวิต คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าต้องการอะไร จนกว่าจะได้เห็นสิ่งนั้น แต่ไอแพดก็เป็นเพียงสิ่งของที่ให้ความสุขได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ส่วนความสุขจากความสงบนั้นยั่งยืนถาวรกว่า

    ความสงบมี ๒ อย่างคือ สงบกายกับสงบใจ สงบกายหมายถึงไม่มีเสียงรบกวน เช่นในป่า แม้จะมีเสียงบ้างแต่ไม่รู้สึกว่ารบกวน เพราะไม่ใช่เสียงอึกทึกครึกโครม ความสงบอย่างนี้เรียกว่าสงบกาย สงบเพราะไม่มีเสียงดังรบกวน เสียงดังในที่นี้หมายถึงเสียงที่ไม่ชอบ เพราะถ้าเป็นเสียงที่ชอบก็คงไม่เรียกว่าเสียงดัง เช่น ห้องที่เปิดเพลงคลาสสิกหรือเพลงป๊อปที่คนอยากฟัง คนฟังก็จะไม่รู้สึกว่าเสียงดัง หรือไม่สงบ จะเรียกว่าไม่สงบก็ต่อเมื่อมีเสียงคนคุยรบกวน หรือเสียงวิทยุโทรทัศน์ขณะที่ตัวเองกำลังอ่านหนังสือ แต่ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี หรือเสียงพูดคุย ถ้าเป็นเสียงที่ดังมากก็จะรู้สึกว่าไม่สงบทั้งนั้น

    ความสงบอีกอย่างหนึ่งคือความสงบใจ ความสงบใจจะเกิดขึ้นไม่ได้หากสมองคิดไม่หยุด มีความทุกข์ หรือมีอารมณ์มาบีบคั้นเผาลนจิตใจ เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นคนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า ถ้าเป็นความคิดที่ชอบ เช่นคิดถึงเรื่องเที่ยว หรือจินตนาการว่ากำลังอยู่กับแฟน จะไม่เรียกว่าเป็นความไม่สงบ แต่จะเรียกว่าใจไม่สงบก็ต่อเมื่อคิดเรื่องไม่ดี คิดถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวด หรือคิดถึงงานการที่ทำให้เกิดความหนักอกหนักใจ

    แต่ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะคิดถึงความสุขหรือความทุกข์ จะคิดดีหรือคิดไม่ดีก็ถือว่าไม่สงบทั้งนั้น สงบกายก็คือไม่มีเสียงดัง สงบใจคือใจนิ่ง นิ่งเพราะไม่ถูกความคิดกระทบทำให้กระเพื่อม ไม่ถูกอารมณ์บีบคั้นเผาลนจนกระสับกระส่าย ถ้าจิตกระสับกระส่าย หรือจิตกระเพื่อม ไม่ว่าจิตดิ้นรนเพราะความอยากได้หรือผลักไสก็เป็นความไม่สงบทั้งนั้น

    ความสงบใจเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนามากกว่าความสงบกาย เมื่อเราได้มาอยู่ในสถานที่สงบกาย ไม่มีเสียงดัง ไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ป่าเขา เรียกว่ามีความสงบกายแล้ว แต่ใช่ว่าจะสงบใจด้วย บางครั้งอยู่ในที่เงียบ ๆ อยู่ในป่าที่วิเวก แต่ใจไม่ได้วิเวกตาม เพราะจิตใจว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน มีความวิตกกังวล มีความกลัว หรือไม่ก็มีเสียงดังระงมอยู่ในหัวเพราะมีความคิดต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นถึงแม้จะมีความสงบกาย ก็ใช่ว่าจะสงบใจได้ทันที ต่อเมื่ออยู่ไปนาน ๆ สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็ช่วยให้ใจสงบตาม เช่นเวลาที่เรามาอยู่ท่ามกลางป่าเขา ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และไม่พูดคุยกันเอง ใจเราก็จะค่อย ๆ สงบลงได้

    ความสงบใจมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เช่น บังคับไม่ให้มีเสียงดัง หรือมาอยู่วัดก็ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ไม่พูดคุยกันเอง หรือแม้จะมีเสียงแต่เราตัดการรับรู้ เช่น หลับตา พยายามบังคับจิตให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น อยู่กับลมหายใจ หรือเอาจิตมาเพ่งที่เท้าขณะเดิน แม้เสียงรอบตัวจะดังแค่ไหน แต่จิตไม่รับรู้ เพราะจดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียว อย่างนี้ใจก็สงบได้ ในทำนองเดียวกันบางคนก็สงบได้เมื่อเก็บตัวอยู่ในห้องพระ ห้องแอร์ อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว มีการตัดเสียงรบกวนและไม่ให้คนเข้ามายุ่มย่าม จึงไม่มีการรับรู้ที่จะทำให้จิตใจกระเพื่อมได้ ไม่ต้องรับรู้ข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมือง อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะไม่รู้ หรือตัดการรับรู้ เกิดจากการควบคุมสิ่งแวดล้อม หรือควบคุมจิตใจให้แน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    ความสงบใจอย่างที่ ๒ คือสงบเพราะรู้ หมายความว่าแม้หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูป แต่ใจก็สงบได้ บางครั้งอาจจะกระเพื่อมเพราะเห็นรูปหรือได้ยินเสียง แต่เมื่อใจกระเพื่อมแล้วมีสติรู้ รู้แล้ววาง ก็ทำให้สงบต่อไปได้ ความสงบชนิดนี้อาศัยสติเป็นพื้นฐาน เสียงดังแต่ใจยังสงบได้ อย่างที่เคยเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดาว่า มีเสียงเกี๊ยะดังเข้ามาในห้องที่ท่านจำวัดอยู่ ลูกศิษย์รู้สึกรำคาญ แต่ท่านไม่รู้สึกรำคาญ ใจยังสงบได้เพราะไม่เอาหูไปรองเสียงเกี๊ยะ ทำอย่างไรจึงจะไม่เอาหูไปรองเสียงเกี๊ยะได้ ก็ต้องมีสติกำกับใจ หูก็จะไม่หาเรื่อง เสียงดังแต่ใจไม่กระเพื่อมเพราะเสียงนั้น อย่างนี้เรียกว่าสงบเพราะรู้ สงบทั้ง ๆ ที่ได้ยินเสียง แต่สงบได้ เพราะรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะมากระทบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...