บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น สู่ธรรมแห่งความตื่นรู้ ณ ปัจจุบันขณะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aprin, 16 เมษายน 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    จากเหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้น นับเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่สำหรับคนทั่วโลก ที่จะได้ตระหนักและตื่นรู้ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ดังคำกล่าวที่ว่า “หนึ่งคนตาย ขอให้ล้านคนตื่น”....

    จากเหตุการณ์วิกฤตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหว ธรณีพิบัติสึนามิ ตลอดจนเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว สร้างความสะเทือนใจต่อผู้ที่ได้รับข่าวสารทั่วโลกเป็นอย่างมาก จากเหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้น นับเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่สำหรับคนทั่วโลก ที่จะได้ตระหนักและตื่นรู้ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ดังคำกล่าวที่ว่า “หนึ่งคนตาย ขอให้ล้านคนตื่น”
    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่าน ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย แสดงทัศนะต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ให้บทเรียนแก่คนทั่วโลกมากมาย ทั้งการรู้เท่าทันธรรมดาของโลก การรู้เท่าทันทัศนะที่ผิด และมนุษย์หลงตัวเอง

    ทำให้คิดว่าจากมิจฉาทิฐิเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดมิจฉาปฏิบัติ คือ การปฏิบัติที่ผิดต่อโลก 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

    ประเด็นที่หนึ่ง เมื่อเราเข้าใจว่าเราเป็นนายของโลก มนุษย์ก็ยังอยู่กับโลกด้วยท่าทีที่เป็นศัตรูต่อกันและกัน คือตัวเองเป็นนาย โลกเป็นบ่าว มนุษย์คิดว่าตัวเองเป็นนาย

    ประเด็นที่สอง เมื่อมีความเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นนายของโลกแล้ว จากนั้นมนุษย์ก็มองว่าโลกนี้ รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์ต้องการอะไรก็ตาม มนุษย์ก็สามารถไปฉกชิงช่วงใช้จากโลกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจโลก นั่นเป็นเหตุให้มนุษย์สูบดินสูบฟ้าเอามาปรนเปรอกิเลสตัวเองอย่างไม่ปรานี ขุนเขาถูกทลายลง วันหนึ่งๆ ไม่รู้กี่หมื่นกี่พันลูก พลังงานใต้ดินซึ่งใช้เวลาเป็นแสนปีล้านปีกว่าจะกลั่นตัวมากลายเป็นพลังงาน ถูกมนุษย์สูบขึ้นมาวันเดียวหมด หิน แร่ธาตุ ต้นไม้ แม่น้ำ ลำธาร ถูกมนุษย์ไปขุดไปค้นไปแปรรูปเอามาบำบัดความต้องการของตนเองอย่างไม่ปรานีปราศรัย ทำประหนึ่งว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่เฉพาะในเจเนอเรชันนี้เท่านั้น แทบไม่นึกว่าเรายังต้องส่งต่อทรัพยากรของโลกให้คนรุ่นหลังของเราด้วย

    นี่เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่มนุษย์ในยุคของเรานี้ สูบดินสูบฟ้าเอามาปรนเปรอตนเอง ดังหนึ่งว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ชั่วคนรุ่นเดียว ทั้งๆ ที่ยังจะมีคนอีกจำนวนมากมายเกิดตามหลังเรามา

    ประเด็นที่สาม เมื่อเราเชื่อมั่นว่าเราพิชิตโลกได้ มนุษย์ก็ประมาท เช่น พอเกิดพายุทอร์นาโด มนุษย์ก็สร้างเครื่องจับทอร์นาโด หรือว่าเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว มนุษย์ก็สามารถสร้างเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวที่ทันสมัยที่สุดในโลก จนกระทั่งรู้ว่าทุกวินาทีแผ่นดินไหวที่ไหนบ้างในโลก เพราะมนุษย์เชื่อมั่นว่ามนุษย์สามารถจัดการกับธรรมชาติได้ และเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้ สิ่งหนึ่งที่ตามมาจากความเชื่อมั่นผิดๆ ก็คือ อหังการ์

    [​IMG]

    มนุษย์ซึ่งตามหลักความจริงแล้ว เป็นเพียงผงคลีธุลีดินในจักรวาลนี้ แต่เพราะมนุษย์มีความเข้าใจผิด ก็เลยหลงผิดคิดไปว่าตนเองนั้นเป็นนายเหนือโลก และสามารถบริหารจัดการโลก รวมทั้งภัยธรรมชาติต่างๆ ได้ ฐานคิดเช่นนี้ทำให้มนุษย์ประมาท และเมื่อประมาท วันหนึ่งเมื่อภัยธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมดาของโลกเกิดขึ้น เช่น สึนามิ แผ่นดินไหว มนุษย์ก็แพ้อย่างสิ้นเชิง

    ญี่ปุ่นเองก็มีระบบเตือนภัยที่ดี แต่เพราะบนฐานคิดที่ว่าเราเชื่อว่าเราเอาอยู่ เราจัดการมันได้ สุดท้ายเราก็แพ้อย่างราบคาบ นี่เป็นสัจธรรมที่มนุษย์จะต้องรู้ให้เท่าทันว่า เราเป็นคนที่หน้าใหม่มาก เมื่อเทียบกับโลก และท่าทีที่ผิดของเราสามประการดังที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เราอยู่ร่วมกับโลกด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร เราจึงปฏิบัติต่อโลกเหมือนศัตรูที่ปฏิบัติต่อศัตรู และนั่นจึงเป็นเหตุให้ภัยต่างๆ เกิดขึ้นกับเรา ทั้งนี้ ในแง่หนึ่งภัยดังกล่าวเป็นภัยที่เราสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งเราจะต้องตื่นรู้ อีกแง่หนึ่งภัยที่เกิดขึ้นเป็นภัยตามธรรมชาติ เราจะต้องเรียนรู้ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองต่อโลกต่อธรรมชาติ

    ในทางพุทธของเราบอกว่า หนึ่ง มนุษย์ไม่ใช่นายของโลก แต่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลก สอง มนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะช่วงใช้ ฉกชิงทรัพยากรของโลกอย่างไรก็ได้ แต่มนุษย์มีสิทธิที่จะช่วงใช้ทรัพยากรของโลกเท่าที่จำเป็น และประการสำคัญที่สุด จะต้องหาวิธีใช้พลังงาน ใช้ทรัพยากรของโลกนั้นอย่างคุ้มค่าที่สุด และจะต้องส่งต่อทรัพยากรอันอุดมนั้นต่อคนรุ่นหลังให้ได้ด้วย และ สาม มนุษย์ไม่สามารถพิชิตโลกพิชิตธรรมชาติได้ เพราะมนุษย์เป็นเพียงผลคลีธุลีดินของจักรวาลนี้เท่านั้น เราต้องอยู่ในโลกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ในฐานะเป็นเพียงฝุ่นธุลีของจักรวาล จึงจะเป็นท่าทีที่ถูกต้อง

    การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ได้นำของแถมที่พ่วงมาด้วยมากมาย อาทิ สึนามิ กัมมันตรังสีที่แพร่กระจาย สภาวะไร้ญาติขาดมิตร บ้านแตกสาแหรกขาด และกลียุค เราในฐานะของมนุษย์นั้นควรจะเรียนรู้อย่างไร ซึ่งจริยธรรมสำหรับปฏิบัติที่ดีที่สุด คือ การไม่ประมาท

    คุณธรรมที่ควรจะทำที่สุดในตอนนี้ กล่าวโดยสรุปมี 3 เรื่อง คือ
    1.รู้เท่าทันธรรมดาของโลก และสิ่งแวดล้อมว่ามีแง่ดีแง่งามอย่างไร มีคุณอย่างไรและมีโทษอย่างไร

    2.รู้เท่าทันทัศนะที่ผิด ที่มนุษย์มีต่อโลกและธรรมชาติ และจากนั้นก็ปรับเปลี่ยนทัศนะนั้น มาปฏิบัติต่อโลกและธรรมชาติอย่างถูกต้อง

    3.ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เพราะเมื่อเราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เราเห็นว่าภัยธรรมชาติมาถึง เห็นว่ามันเสียหาย ก็คงจะเสียหายน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เตรียม ให้เตรียมรับมืออยู่เสมอ อย่าคิดว่ามนุษย์นั้น สามารถบริหารจัดการธรรมชาติได้ เพราะแท้ที่จริง ธรรมชาติมีความลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่มนุษย์รู้จักกันมากมายนัก อย่าดูถูกธรรมชาติ อย่าสำคัญผิดว่ามนุษย์อยู่เหนือกว่าธรรมชาติ และที่สำคัญทำทุกวันให้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความไม่ประมาท

    ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมา เราจะเติบโตขึ้นมาจากวิกฤตการณ์ แล้วเราจะฉลาดจากความทุกข์ อย่าเผชิญกับสถานการณ์เพียงแค่แสดงความเสียใจ คุณต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจด้วย ลำพังแค่การแสดงความเสียใจต่อความเสียหายของเพื่อนมนุษย์ไม่พอ ถ้ามิเช่นนั้นมันไม่คุ้มกับที่หลายๆ คนล่วงลับดับขันธ์ไป แล้วเราผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ยอมตื่นสักที หนึ่งคนตายก็ต้องให้ล้านคนตื่น นอกจากคุณจะเสียใจแล้วคุณต้องทำความเข้าใจ เมื่อเราทำความเข้าใจแล้ว เราจะได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา และนั่นคือทางออกที่เราควรประพฤติปฏิบัติในเวลานี้

    โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ-จิตใจ : บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น สู่ธรรมแห่งความตื่นรู้ ณ ปัจจุบันขณะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...