บุญหล่อพระ..ทองคำหล่อพระ..และพิมพ์หนังสือ

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย บุญรักษา, 16 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    ๑.ทำบุญหล่อพระเพื่อประดิษฐานในซุ้มจรนำวัดพระธาตุดอยกวางคำ อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน
    ๒.ซื้อทองคำร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ๕นิ้วประดิษฐานในเจดีย์วัดพระธาตุดอยกวางคำ
    ๓.พิมพ์หนังสือคาถาเงินล้านถวายวัดธรรมยาน
     
  2. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    โอนเงินเข้าบัญชี นายบุญทรงแจ่มศรี 902 0 54969 3 ออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาหาดใหญ่
    ..เชิญร่วมบุญ ..

    หมดเขตโอนเงิน 8 มีนาคม 2556..ย้ำนะครับ
     
  3. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    คณะศรัทธาในพระพุทธศาสนา (ตามรายชื่อ) จะดำเนินการรวบรวมปัจจัย ซึ่งเป็นการตัดสินใจรวบรวมเป็นคณะกรรมการช่วยกันบอกบุญ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทางเครือข่ายได้ดำเนินกิจกรรมนี้เอง...ทางวัดไม่ได้เป็นคนใช้ให้บอกบุญหรือเรี่ยไรแต่ประการใด ความไม่เหมาะไม่ควรที่เกิดหากท่านผู้รู้เห็นว่าไม่ถูกต้องก็ขอให้ตำหนิมายังเบอร์โทรและอีเมลล์ที่ให้ไว้...สำหรับกรรมการที่อยู่ต่างจังหวัดเพื่อความสะดวก..
    โอนเงินเข้าบัญชี นายบุญทรง แจ่มศรี 902-0-54969-3 บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทยสาขาหาดใหญ่
    กรรมการทุกท่าน โอนเงินได้ตลอดเวลา สิ้นสุดภายในวันที่ 8 มีนาคม 2556
    โมทนาบุญกับทุกท่านและมีพระนิพพานเป็นที่หมาย...สาธุ
    โทรแจ้งที่ 089-7329660 อีเมล boontrongjamsri@gmail.com
     
  4. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    หนังสือสั่งพิมพ์ สองพันเล่ม..ตั้งใจจะให้ทันงานปฏิบัติธรรมวัดธรรมยานที่หลวงพี่วิรัช โอภาโสเป็นเจ้าอาวาสอยู่นะครับ
     
  5. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    เจดีย์ที่วัดดอยกวางคำ บูรณะและเตรียมหุ้มทองจังโก..ซุ้มพระที่เห็นแหละครับรับเป็นเจ้าภาพไว้หนึ่งองค์สามหมื่นบาท..สำหรับทองคำวัดจะหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำเพื่อบรรจุในเจดีย์..ทำครั้งเดียวได้บุญสามประการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    หลวงปู่เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ มีความเกี่ยวพันกับอดีตชาติของท่านมาก หลวงปู่จึงเรียกดอยกวางคำแห่งนี้ว่า สุสานเก่าของท่าน ผู้เขียนเคยสนทนากับชาวบ้านที่อยู่รอบดอยกวางคำ ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงทั้งหมด ทำให้ทราบว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยกวางคำ มีความสำคัญต่อหลวงปู่ไม่น้อย โดยจะเห็นได้จาก ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่จะแวะมาพักที่วัดพระธาตุดอยกวางคำเสมอเมื่อมีโอกาส เช่น เวลารับกิจนิมนต์ข้างนอกที่เป็นทางผ่าน หลวงปู่มักจะแวะมาฉันเพล หรือไม่ก็แวะมาพักผ่อนหลังจากเสร็จกิจนิมนต์แล้ว จึงจะกลับวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    ผู้เขียนเคยขออนุญาตสร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุเนื้อกวางคำ หลังจากที่หลวงปู่ได้เล่าให้ทราบความเป็นมาของพระธาตุดอยกวางคำจากปากของหลวงปู่เอง และหลวงปู่ก็ได้อนุญาตด้วยดี ทั้งนี้โดยมี รองศาสตราจารย์ ณรงค์ อาจฤทธิ์ เป็นเจ้าภาพสร้างถวาย โดยหลวงปู่เป็นผู้แนะนำในการออกแบบ รวมทั้งกำหนดสถานที่ที่จะสร้าง ซึ่งในขณะนี้ก็ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    ข้อความที่หลวงปู่ให้บันทึกไว้บนเนื้อกวางคำที่เป็นหิน
    จากการที่ได้สร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุเนื้อกวางคำ ทำให้ผู้เขียนทราบว่า หลวงปู่มีความเกี่ยวพันกับวัดพระธาตุดอยกวางคำนี้อย่างไร โดยจะเห็นได้จาก ข้อความที่หลวงปู่ให้บันทึกไว้บนเนื้อกวางคำที่เป็นหินดังนี้ (โปรดดูภาพประกอบ)

    “เนื้อพญากวางคำ ที่มาฟังเทศน์มหาเถรเจ้า หมอพรานมายิงกวางคำตาย เมื่อฟังเทศน์จบ ได้เกิดเป็นเทพบุตรกวางอยู่ชั้นดาวดึงส์ ปราสาทสูง 12 โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ เทวดามาเป็นบริวารหลายพันองค์

    พรานบ่กล่ากินเนื้อกวาง จึงกองไว้จนกลายเป็นเนื้อหิน ที่เอาบรรจุไว้ที่นี้ทั้งหมด เพื่อเป็นอนุสรณ์ ให้ลูกหลานได้กราบไหว้บูชาภายหน้าต่อไป

    เทวบุตรกวางตัวนี้ได้จุติลงมาเกิดเป็นครูบาเจ้าชัยยะวงศาปัจจุบันนี้ก็บ่แน้แลนาย”

    เรื่องประวัติพระพุทธบาทดอยกวางคำ

    จากหนังสือธรรมปกิณกะ เล่ม 1

    ขอเอาเรื่องของครูบาบางเรื่องมาเขียนไว้ เผื่อลูกศิษย์ใหม่ๆบางคนอาจจะไม่เคยทราบ บางคนทราบเรื่องแล้วก็จะได้ระลึกถึงท่าน ....

    ในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ มีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่ง ธุดงค์ไปตามป่าเขา และไปสถิตอยู่บนยอดดอย (ปัจจุบันนี้เรียกว่าขุนห้วยโป่งแดง) พระมหาเถระเจ้าก็บำเพ็ญเมตตาภาวนาอยู่ในระยะใกล้รุ่ง ท่านก็สวดมาติกาและอภิธรรม ณ ที่นั้น

    ในขณะที่ท่านกำลังสวดอยู่ มีพรานเนื้อกลุ่มหนึ่งไปล่าเนื้อในป่า ก็ไปพบ พญากวาง เมื่อพญากวางตัวนั้น เห็นพรานเนื้อหมู่นั้น ก็กลัวพวกพรานทั้งหลาย จะทำร้ายต่อบริวาร ก็โดดหลอกล่อ ออกไปให้ห่างจากฝูง

    วิ่งขึ้นไปบนจอมเขา พอไปถึงบริเวณที่ใกล้พระมหาเถระสวด พญากวางก็ได้ยินเสียงพระมหาเถระเจ้า ก็ดักนิ่งฟังอยู่ มันเข้าใจว่าคำนี้เป็นคำของพระพุทธเจ้า มันก็ฟังอยู่ถูกใจมาก

    ส่วนพวกพรานเนื้อติดตามเข้ามาไม่ใกล้ไม่ไกลกวางตัวนั้นเท่าไร ก็เห็นกวางตัวนั้น แต่ว่าเขาไม่เห็นพระมหาเถระเจ้า หมอพรานก็ยกธนูยิงกวางตัวนั้น ลูกธนูก็ถูกใส่กวาง ส่วนพญากวางก็ไม่รู้ว่าถูกยิงเพระว่ากำลังฟังเทศน์เพลินอยู่

    เมื่อพระมหาเถระสวดจบ พญากวางก็ลืมตาขึ้นนึกว่า สาธุยินดีซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อรู้ตัวก็เป็นเทวบุตรอยู่ชั้นฟ้าดาวดึงษา อยู่ปราสาทวิมานทองคำสูง 12 โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ อยู่เสวยบุญเป็นเทวบุตร ตายจากชั้นฟ้า ก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พยายามสร้างบารมีอยู่จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า

    ในขณะที่หมอพรานยิงกวางตาย พระมหาเถระเจ้าก็เดินไปดูกวางตัวนั้น และทักว่า

    "หมอพรานทั้งหลาย ยิงกวางตัวนี้ทำไม กวางนี้ไม่ใช่กวางธรรมดาสามัญ เป็นพญากวาง กำลังฟังเทศน์อยู่ เจ้าก็มายิงมันตาย เดี๋ยวนี้พญากวางก็ไปเกิดเป็นเทวบุตร อยู่บนชั้นฟ้าดาวดึงษาโน้นแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายนี้ ทำไมไม่มีความเมตตา มายิงกวางตัวนี้ตายไป"

    ส่วนพวกกรานทั้งหลายก็นมัสการกราบไหว้พระมหาเถระเจ้า และขอให้พระมหาเถระเจ้ายกโทษแก่พวกเขาทั้งหลาย เพราะความไม่รู้

    โดยบอกว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายก็เป็นหมอพราน ต้องล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่อย่างนี้แหละ"

    พระมหาเถระเจ้าก็เทศน์เรื่องบาปเรื่องกรรมทั้งหลายให้หมอพรานฟัง แล้วก็ให้หมอพรานทั้งหลายรับศีล 5 พวกพรานทั้งหลายก็กลัวบาป กลัวโทษ กลัวกรรม และตั้งใจจะทิ้งธนูเสียหมดทุกคน พร้อมทั้งขอรับศีล 5 กับพระมหาเถระเจ้า แล้วก็ขออนุญาตพระมหาเถระเจ้าว่า

    "ข้าพเจ้าได้ยิงกวางตายเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออนุญาตเอาชิ้นเนื้อกวางไปกิน แต่ว่าต่อไปจะไม่ทำอีก"


    มณฑปที่สร้างครอบชิ้นเนื้อกวางคำที่กลายเป็นหิน
    พระมหาเถระเจ้าก็ว่า "ตามใจเถอะ"

    หมอพรานทั้งหลายก็ปาดเนื้อกวางตัวนั้นออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็ปันให้แก่พรรคพวกเดียวกัน คนละชิ้น ส่วนเขากวางและกระดูกกวาง พระมหาเถระเจ้าก็ขอเอาไปบรรจุไว้ในอุโมงค์หลุมลึก 4 ศอก ที่ข้างวัดนั้น

    ต่อมาวัดนั้นก็เรียกว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ จนถึงปัจจุบัน

    ส่วนชิ้นเนื้อพญากวางที่หมอพรานหาบไป ต่างคนต่างคิดว่าเราจะทำอย่างไร กวางนี้เขาฟังเทศน์เราจะกินเนื้อเขาก็ไม่ดี เราเอามาบรรจุรวมไว้เป็นจุดเป็นกองเสีย ในเนินดอยที่นี่ดีกว่า

    ดังนั้นพวกหมอพรานต่างคนต่างเอาชิ้นเนื้อกองไว้ ชิ้นเนื้อนั้นก็เป็นหินมาจนถึงทุกวันนี้

    บริเวณบนจอมเขานั้น หมอพรานก็ขอพระมหาเถระเจ้าให้ประทับรอยพระบาทไว้ พระมหาเถระเจ้าก็เหยียบรอยพระบาทไว้ให้พวกพรานทั้งหลายได้ไหว้และสักการบูชาต่อไปจนถึงในยุคปัจจุบันนี้

    ใน พ.ศ. 2521 อาตมา (พระชัยยะวงศา) ได้แนะนำพวกกระเหรี่ยงให้ขึ้นไปที่จอมเขานั้น ก็เห็นรอยพระบาทมหาเถระเจ้า และได้ชวนกันสร้างตึกครอบพระบาทไว้เพื่อเป็นที่กราบไหว้ และสักการบูชา

    พ.ศ. 2522 พวกกระเหรี่ยงบ้านหัวขัว และโป่งแดง พร้อมใจกันนิมนต์อาตมา เป็นประธานก่อสร้างพระเจดีย์ไว้จอมดอยที่นั้นซึ่งเป็นที่ฝังหัวกวาง
     
  7. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
  8. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    กำลังหาอาสาสมัครไปรับหนังสือในตัวเมืองเพชรบูรณ์เพื่อนำไปให้วัด...ใครอยู่เพขรบูรณ์................
     
  9. หวงจื้อเซวียน

    หวงจื้อเซวียน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,296
    ค่าพลัง:
    +8,718
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ขอไปบอกบุญเพื่อนๆก่อนนะครับ แล้วค่อยโอนเงินร่วมบุญ
    ทีเดียวเลย
     
  10. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    เหรียญอิทธิมงคลเก้า..
    ..สมัยเว็บอินทราพงษ์เคยขอวัตถุมงคลมาแจกที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ท่านโอ๋มิตรเมืองเหนือเลยส่งเหรียญรุ่นนี้พร้อมด้วยพระปิดตาหลวงพ่อประสิทธิ์วัดป่าหมู่ใหม่ จำนวนพอประมาณ เน้นแจกคนในพื้นที่เป็นหลัก พี่สาวของผมซึ่งรับราชการอยู่ในพื้นที่ผมให้เหรียญรุ่นนี้ไปและย้ำว่า ให้กับคนที่เอาไปห้อยเหรียญติดตัวจะดีที่สุด บังเอิญทหารที่ตามคุ้มครองครูชุดที่คอยคุ้มครองคณะครูที่พี่สาวผมทำงานอยู่ มีอยู่นายหนึ่งขอเหรียญๆนี้ไปหนึ่งเหรียญ พอเปลี่ยนชุดคุ้มครองชุดอื่นเข้ามาก็ไม่ได้เจอกันอีก ผ่านไปสัก ๔ ปี เย็นวันหนึ่งหลังเลิกงานพี่สาวเดินขึ้นรถสองแถวเพื่อกลับบ้านตามปกติ ก็มีทหารมาเรียกที่ท้ายรถโดยสาร ว่า จำเขาได้รึเปล่าพี่สาวก็จำไม่ได้เพราะทหารจะเปลี่ยนกันไปหลายชุด เขาเลยบอกว่าเป็นทหารที่เคยได้เหรียญไปหนึ่งเหรียญ พอออกจากที่นี่(ปัตตานี)เขาก็โดนส่งไปนราธิวาส มีอยู่ครั้งหนึ่ง นั่งรถออกพื้นที่ ปรากฎว่ารถโดนระเบิดอย่างจังเต็มคัน เพื่อนๆเจ็บหนัก แต่ตัวเขาเองแค่ถลอกปอกเปิกเท่านั้นเอง..เขาพูดกับพี่สาวผมว่า หากผมไม่ได้เหรียญนี้ไปจากแม่ ผมคงตายไปแล้ว เขาบอกว่าทุกวันนี้ก่อนออกปฏิบัติงานเขาจะพูดกับเหรียญว่า ครูบาลูกจะออกไปทำงานขอให้ลูกแคล้วคลาดปลอดภัย กลับมาตอนเย็นก็จะพูดกับเหรียญอีกครั้ง...
    ..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทหารท่านนั้นเล่าให้พี่สาวผมฟังด้วยตัวเองและตัวเขาเองก็มีอาการตื่นเต้นที่ได้เล่าให้พี่สาวฟัง แต่ด้วยเล่ากันท้ายรถโดยสารพี่สาวผมเลยลืมถามชื่อลืมขอรายละเอียดเพราะรถก็กำลังจะออก
     
  11. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    ก่อนอื่นฉันต้องทำความเข้าใจกับคำว่าพระอิรยสงฆ์เสียก่อน จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525
    อริยะ-อริยะ น. ในพระพุทธศาสนาเรียกบุคคลผู้บรรลุ ธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้นว่า พระอริยะหรือพระอริยะบุคคล
    ปฏิบัน (แบบ) น. ผู้ดำเนินไปแล้ว ผู้บรรลุแล้ว ผู้ตรัสแล้วรู้ บางครั้งจึงเรียก พระสุปฏิปันโน

    ปี พ.ศ. 2524 หลังจากผมไปบรรยายวิชาการบริหารงานด้วยคอมพิวเตอร์ให้กับนายทหารนักเรียนหลักสูตร “คอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริหาร” ของศูนย์ กรรมวิธีข้อมูลทหาร สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด นาวาเอกไชยวัฒน์ สุพัฒนานนท์ ซึ่งเข้าเรียนในหลักสูตรนั้นได้ชวนผมไปหาพระทั้ง ๆ ที่ผมกับนาวาเอกไชยวัฒน์ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พระที่ชวนผมไปหาผมก็ไม่รู้จัก และผมเองก็ไม่ใช่คนเข้าวัด เพราะร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ จะไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่ได้พิสูจน์ เมื่อท่านชวนไปกราบพระที่วัดอาวุธวิกสิถาราม บางพลัด ก็ไปเนื่องจากมีเวลาว่างพอ ไปถึงวัดเห็นมีพระอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งอายุมากแล้วท่าทางน่าเคารพ ท่านแจกแป้งให้กับทุกคนที่เข้าไปกราบ ก็เข้าไปกราบด้วย ได้แป้งมาทาหน้า หลวงปู่องค์นั้นก็คือ หลวงปูบุดดา ถาวโร จากวัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี อีกองค์หนึ่งอายุน้อยกว่า พูดเสียงเบา พูดภาษากลางไม่ค่อยชัด ต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษจึงจะฟังรู้เรื่อง ท่านคือหลวงปูครูบาชัยยะวงศาพัฒนา แห่งวัดพระพุทธบามห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
    เมื่อได้กราบพระทั้งสององค์ก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะยังไม่ได้สัมผัสเรื่องอื่น แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายามสัมผัสท่านทั้งสองต่อไป เพราะอยากรู้ว่าพระที่เขาเรียกพระอริยสงฆ์นั้นเป็นอย่างไร เคยได้ยินข่าวว่าพระองค์นั้นเป็นพระสุปฏิปันโน พระองค์นี้เป็นอริยสงฆ์ จึงอยากจะทดสอบดู จากนั้นเมื่อท่านทั้งสองลงมากรุงเทพฯ ก็จะไปกราบท่านเสมอ โดยหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา จะมาพักทีวัดบุบผาราม ธนบุรี ส่วนหลวงปู่บุดดา จะมาพักที่วัดอาวุธวิกสิถารามบ้าง ตามบ้านลูกศิษย์บ้าง
    ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ทางวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จะจัดพิธีตานใช้ตานแทน (พิธีชำระหนี้กรรมทางภาคเหนือ) ครั้งที่ 2 (จัดครั้งแรกเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2522) นาวาเอกไชยวัฒน์ ชวนให้ไปร่วมในพิธีให้ได้ ก็ไปกับท่านด้วย โดยจัดรถบัสปรับอากาศไปกันหลายคันรถ ออกเดินทางประมาณ 20.00 นาฬิกา ไปสว่างที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง แวะให้ทุกคนเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ชำระร่างกาย ทำธุรกิจส่วนตัวให้เสร็จที่ร้านอาหารซึ่งเป็นที่พักรถ
    หลังจากนั้นก็ไปตามเส้นทาง เถิน-ลี้ ซึ่งเป็นเส้นทางแคบ ๆ บนภูเขา เส้นทางวกไปวนมาคดเคี้ยว ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร แต่รถวิ่งตั้งหลายชั่วโมง เมื่อไปถึงวัดคนมากมายแน่นวัด ที่นอนก็นอนในศาลาซึ่งพื้นเป็นดินแข็ง ๆ แต่ทางวัดเอาเสื่อมาปูให้ หรือไปนอนตามระเบียงศาลาต่าง ๆ ก็ได้ เรื่องมุ้งไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มียุง คงเลือกกินลำบากเพราะคนมาก ผมเองและคณะนาวาเอกไชยวัฒน์ไปนอนในศาลาพระพุทธบาท ส่วนการอาบน้ำก็ต้องเดินไปที่ลำธาร ซึ่งเขาต่อท่อน้ำมาจากภูเขา น้ำไหลออกจากท่อตลอดเวลา คนส่วนใหญ่ก็ไปอาบที่นั่น บางส่วนก็อาบที่ห้องน้ำของวัด โดยมีชาวกระเหรี่ยงไปขนน้ำมาจากลำธารมาใส่ตุ่มไว้ให้
    ราว ๆ 18 นาฬิกากว่า ๆ ทุกคนก็เข้าไปรวมที่ศาลาใหญ่ ซึ่งเป็นศาลาพิธีและเป็นที่พักของหลวงปู่ชัยยะวงศาพัฒนาด้วย ณ. ที่นั้นมีพระผู้ใหญ่นั่งอยู่หลายองค์ ผมเองไม่รู้จักแต่ตอนเย็นได้กราบมาแล้ว 1 องค์ ซึ่งมารู้ภายหลังว่าพระองค์นั้นคือ ครูบาธรรมชัย ส่วนอีกองค์หนึ่งท่านอายุมากแล้วกำลังครึ่งนั่งครึ่งเอนอยู่กับหมอนอิงสามเหลี่ยม ผมและคณะอยู่ไกลมาก แต่ด้วยความอยากทดลองจึงเดินออกไปข้างนอกแล้วมาเดินเข้าอีกทางหนึ่ง แต่คนนั้นอยู่มากแน่นไปหมดประมาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคน ทั้งคนที่ไปจากต่างจังหวัดและชาวเขาที่เคยเป็นลูกศิษย์ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา และชาวเขาบริเวณวัด
    ผลปรากฏว่า ผมเดินเข้าไปหาท่านไม่ได้จึงเดินกลับมาที่ซึ่งเคยนั่งอยู่ก่อนแล้ว มาถึงจึงนั่งและยกมือขึ้นพนม และกล่าวด้วยเสียงพอคนข้างเคียงได้ยินได้ว่า ผม พันโทประสงค์ ปานเจริญ ถ้าผมได้มีโอกาสอยู่รับใช้ประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในทางที่ถูกที่ควร ขอให้เข้าถึงท่านด้วย คำกล่าวของผมได้ยินไปถึงคนที่มาด้วยท่านหนึ่งท่านเป็นคุณหญิงภรรยาท่านรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ท่านจึงถามว่า ประสงค์ทำอะไร ก็เลยเรียนท่านว่า ตะกี้นี้ผมเดินไปจะกราบพระองค์นั้น (รู้ต่อมาภายหลังว่าท่านแห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นอุปฌาชย์ของหลวงปู่บาชัยยะวงศาพัฒนานั่นเอง) แต่เข้าไม่ถึง ถ้าบารมีของผมมีผมควรจะเข้าไปถึงได้ จึงกลับมาอธิษฐานแล้วก็ออกเดินไปใหม่ไปเข้าทางเดิม ซึ่งเคยไปมาแล้วแต่เข้าไม่ได้
    คราวนี้ไปถึงคนที่นั่งอยู่ก็หลีกทางให้ผมค่อย ๆ เดินไปจนถึงครูบาพรหมจักรสังวร เข้าไปกราบที่ตักของท่าน ท่านจึงเอามือลูบหัวผมแล้วก็กล่าวเหมือนที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนออกมากราบท่าน จากนั้นก็อยากจะถวายปัจจัยกับท่านเหมือนกัน เมื่อเห็นผมถวายปัจจัย ต่างก็ส่งปัจจัยมาจำนวนมากมายให้ผมได้เอาถวายท่าน เมื่อถวายปัจจัยเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับไปนั่งที่เดิม ได้เวลาพอสมควรหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวรก็เทศนาเรื่องกรรมและการใช้หนี้กรรม ซึ่งเป็นคำเทศนาที่ให้ความรู้และคุณค่าเป็นอย่างมาก
    หลังจากฟังเทศนาเสร็จแล้วคณะที่ไปร่วมพิธีและคนที่ไปต่างก็แยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตนเพื่อพักผ่อน เพราะประมาณตีห้าของวันอาทิตย์ 1 พฤศจิกายน 2524 ก็ต้องตื่นมาทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ เพื่อไปรอตักบาตรพระจากนั้นจึงจะเข้าร่วมพิธีตานให้ตานแทน เสร็จพิธีแล้วต่างคณะก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาของตน คณะของนาวาเอกไชยวัฒน์ก็กลับกรุงเทพมหานครด้วยความปลอดภัย
    หลังจากกลับจากวัดพระพุทธบาทด้วยต้มแล้ว ผมยังคงไปกราบนมัสการหลวงปู่ทุกครั้งที่ท่านลงมากรุงเทพฯ วันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่ที่บ้านเนื่องจากลาพักร้อนก็นึกในใจว่าเราก็คุ้นเคยกับหลวงปู่มามากแล้ว และหลวงปู่บอกให้เรียกท่านว่าหลวงพ่อ และท่านก็เรียกผมว่าลูกค้า แต่ไม่เคยถามท่านว่า เหตุใดจึงให้เรียกอย่างนั้น ทำไมเราจึงไม่นิมนต์หลวงปู่มาฉันภัตตาหารที่บ้านเราบ้าง จะได้เป็นมงคลกับบ้าน เพราะเห็นศิษย์คนอื่นนิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารที่บ้านบ้าง บ้านญาติของเข้าบ้าง นั่งคิดอยู่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้นึกคิดอะไรต่อไป อยู่มาไม่นานในช่วงบ่าย ๆ วันนั้นได้รับโทรศัพท์จากนาวาเอกไชยวัฒน์ว่าหลวงพ่อมาพักที่วัดบุบผาราม และหลวงพ่อสั่งให้ไปหาด้วย
    เย็นวันนั้นจึงไปวัดบุบผาราม ไปถึงกุฏิที่ท่านพักเห็นมีคนอยู่มากมายต่างก็ห้อมล้อมหลวงพ่อ ด้วยความเกรงใจก็ไม่กล้าแทรกเข้าไปใกล้ ๆ จึงนั่งอยู่ที่บันได หลวงพ่อหันมาเห็นจึงเรียกให้เข้าไปหา ผมจึงถามหลวงพ่อว่าเรียกลูกหรือ หลวงพ่อจึงบอกว่าจะใช้พ่อไม่ใช่หรือ ก็เข้าไปกราบ หลวงพ่อจึงบอกว่าพรุ่งนี้ 6 โมงเช้ามารับไปฉันข้าวที่บ้านพร้อมด้วยพระติดตามอีกองค์หนึ่ง
    เอาล่ะซิ พอหลวงพ่อจะมาฉันภัตตาหารที่บ้านก็ต้องสองถามผู้ที่เคยนิมนต์หลวงพ่อไปฉันภัตตาหาร เพราะหลวงพ่อฉันอาหารเจและเคร่งครัดมาก เมื่อทราบรายการแล้วก็รีบกลับบ้านเพื่อให้ทางบ้านและเพื่อนบ้านได้เตรียมอาหารเจสำหรับหลวงพ่อและพระที่ติดตามจะได้เข้ามากราบนมัสการหลวงพ่อ ถามปัญหา ต่าง ๆ และจะได้บุญกุศลโดยทั่วกัน
    วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 25 มิถุนายน เช้าก็ไปรับหลวงพ่อมาฉันภัตตาหารเช้าที่บ้าน เมื่อฉันเสร็จแล้วขณะที่จะไปส่งที่วัดบุบผาราม ท่านก็หันมาบอกให้ช่วยสร้างพระพุทธรูปให้หนึ่งองค์ เมื่อรับคำสั่งก็งง เพราะข้าราชการทหารยศพันโท มีลูก 3 คน ยังกำลังเรียนหนังสือ บ้านต้องผ่อนส่ง จะเอาเงินที่ไหนมาสร้างพระพุทธรูปได้
    ขณะที่คิดอยู่นั้นท่านก็บอกว่า ถ้าลูกไม่มีเงินก็สร้างองค์เล็ก ๆ ก็ได้ ผมจึงเรียนท่านไปว่าจะสร้างให้ และจะสร้างขนาดหน้าตัก 59 นิ้ว เพราะชอบรัชกาลที่ห้ากับรัชกาลที่เก้า ขอให้ท่านออกแบบให้ด้วย ท่านจึงเอาแบบพระมาให้ดู ท่านบอกว่าจะต้องสร้างพระไปไว้ที่วัดดอยกวางคำ (วัดดอยหัวขัว) เพราะหลวงพ่อและลูกมีความสัมพันธ์กับสถานที่แห่งนี้ รับปากหลวงพ่อแล้วไปส่งท่านที่วัดบุบผาราม กลับมาถึงบ้านได้เวลารับภรรยาไปเลี้ยงพระเพลที่โรงพยาบาลสงฆ์พอดี เพราะวันนั้นเป็นวันเกิดภรรยา
    ผมได้มีโอกาสสร้างพระองค์แรกในชีวิต ขนาดหน้าตักกว้าง 59 นิ้ว ราคา 5 หมื่น 5 พันบาท หล่อโดยโรงหล่อพุทธปฏิมาพรเลิศ วิธีการหาเงินของผมก็ออกใบเชิญชวนสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 59 นิ้ว แจกเพื่อน ๆ ที่สนใจ ได้เงินมาประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นบาท มากกว่าค่าพระกว่าเท่าตัว จึงเอาเงินส่วนที่เหลือมาสร้างพระจำลอง ให้ย่อขนาดมาเหลือหน้าตัก 5 นิ้ว มอบให้กับผู้ที่บริจาค เป็นอันว่าการสร้างพระพุทธรูปองค์แรกในชีวิตก็สำเร็จได้ด้วยดีทุกประการ
    วันหนึ่งหลวงพ่อจะไปวัดที่กระเบียด อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลวงพ่อต้องไปวัดนั้นเพราะเจ้าคุณธรรม เจ้าอาวาสบุบผารามสร้างพระประธานไปไว้ในอุโบสถที่กระเบียด นาวาเอกไชยวัฒน์ต้องการให้ผมไปด้วย เพราะผมเป็นคนใต้จะได้ติดต่อประสานงานได้สะดวก โดยเฉพาะจะไปรถไฟขบวนไหนที่จะหยุดสถานีนั้น และจะกลับรถไฟขบวนไหน และจะค้างคืนที่ไหน ผมและนาวาเอกไชยวัฒน์จึงกราบนมัสการหลวงพ่อถึงการเดินทาง จะต้องขึ้นรถไฟไปจากสถานีหัวลำโพงลงที่สถานีรถไฟกระเบียด อำเภอฉวาง แล้วไปนมัสการพระประธานในวัด แล้วมีเวลาเหลือจึงขึ้นรถไฟกลับมาลงที่ไชยาซึ่งเป็นบ้านผมและจะค้างคืนที่อำเภอไชยา ผมจึงกราบนมัสการถามหลวงพ่อว่าจะค้างคืนที่ไหน จะค้างคืนที่วัดหรือจะค้างคืนที่บ้าน ถ้าค้างคืนที่บ้านก็ค้างที่บ้านผม ถ้าค้างคืนที่วัดผมก็จะติดต่อวัดให้ หลวงพ่อท่านเอากระดาษและดินสอมาวาดรูปบ้านผม บ้านหันไปทางทิศไหน บันไดบ้านอยู่ตรงไหน ซึ่งตรงกับบ้านผมทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นคนเหนือ และไม่เคยไปบ้านผมเลย ท่านบอกว่าท่านค้างที่บ้านนั้นแหละ
    เมื่อถึงวันเดินทาง ไปนมัสการพระประธานที่วัดเสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับมาลงที่สถานีไชยา จากนั้นก็นั่งรถยนต์ไปบ้านผม ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 5 กิโลเมตร สมัยนั้นรถยนต์ยังเข้าไม่ถึงบ้าน ต้องเดินอีกประมาณ 300 เมตร ขณะที่เดินไปหลวงพ่อหันมาถามนาวาเอกไชยวัฒน์ว่า มีใครเพิ่งตายบ้างบริเวณนี้ ผมบอกไปว่า ญาติผมซึ่งบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นเพิ่งจะตาย ญาติคนนั้นจะสนิทสนมกับผมมาก ทุกครั้งที่ผมพาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯไปเที่ยวไชยา ถ้าแม่ผมไม่อยู่บ้าน ผมก็ต้องไปตามญาติผู้นี้ให้มาช่วยทำกับข้าวให้คณะของผม หลวงพ่อจึงบอกให้ผมแจ้งให้ลูก ๆ ของเขาทำอาหารมาถวายท่านในวันรุ่งขึ้น ท่านจะได้ส่งไปให้ถึงแม่ (ผู้ที่จะทำบุญส่งไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะต้องทำกับพระที่มีศีลครบบริบูรณ์ ถ้าศีลไม่ครบบริบูรณ์ก็เหมือนกับให้ทานเท่านั้น)
    ขณะที่ท่านเดินผ่านต้นตาลโตนด ท่านก็บอกว่าต้นตาลโตนดต้นนี้ไม่ดี ผมจึงมาทราบกับพ่อทีหลังว่าต้นตาลต้นนี้แหละที่พ่อประสบอุบัติเหตุขณะที่ขึ้นไปพาดพะโองเพื่อเอาน้ำหวานออกมาทำน้ำตาลโตนด
    เมื่อหลวงพ่อไปถึงบ้านผมคืนนั้น ผมจัดดอกไม้ ธูปเทียน หลวงพ่อก็นำญาติ ๆ นั่งกรรมฐาน วันรุ่งขึ้นหลังจากท่านฉันภัตตาหารเช้าแล้วก็พาท่านไปวัดพระบรมธาตุไชยาไปสวนโมกขพลาราม เมื่อไปถึงสวนโมกขพลารามปรากฏว่าท่านพุทธทาสออกมานั่งรออยู่แล้ว ผมจึงจัดดอกไม้ ธูปเทียน ให้หลวงพ่อซึ่งอ่อนพรรษากว่า และเป็นพระอาคันตุกะเพื่อคารวะผู้อาวุโส
    ท่านพุทธทาสบอกท่านว่า อย่ากราบ ให้ไหว้เฉย ๆ หลังจากท่านปฏิสัณฐานกันพอสมควรแล้ว ผมก็นำท่านไปดูโรงมหรสพทางวิญญาณ จากนั้นก็พาท่านไปที่ธารน้ำไหล เพราะวัดนี้ชาวบ้านเรียกวัดธารน้ำไหล มีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านวัดตลอดปี
    ขณะที่ผมพาท่านผ่านสระนาฬิเกผมเดินนำหน้าไปมาก หลวงพ่อบอกนาวาเอกไชยวัฒน์ให้บอกครูณรงค์ช่วยบอกผมให้หยุดอยู่ก่อน ให้หลวงพ่อนำทางไปธารน้ำ ที่ธารน้ำมีงูมาขอส่วนบุญอยู่ ถ้าผมไปก่อนจะถูกงูกัด ผมจึงหยุดให้หลวงพ่อนำไป เมื่อไปถึงก็พบว่ามีงูเล็ก ๆ ตัวหนึ่งกำลังแผ่แม่เบี้ย หลวงพ่อก็ว่าภาษาของหลวงพ่อ ซึ่งผมฟังไม่ออกอยู่พักหนึ่ง งูตัวนั้นก็เวียนขวาแล้วว่ายทวนน้ำขึ้นไปทางต้นน้ำ
    หลังจากออกจากสวนโมกขพลาราม หลวงพ่อให้ไปที่ตำบลพุมเรียงซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองไชยาในสมัยก่อน เพราะท่านต้องการไปดูพลับพลาซึ่งเป็นสถานที่ ๆ พระเจ้าตากสินแวะพักทัพเมื่อยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช หลวงพ่อบอกว่าครั้งนั้นหลวงพ่อมาด้วย และชี้ให้ดูเจดีย์ซึ่งพระเจ้าตากสินได้สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เจดีย์นั้นยังคงอยู่ที่ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนพลับพลานั้นไม่มีแล้วมีแต่สถานที่ จากนั้นหลวงพ่อพาไปที่หาดทรายริมทะเล เอาไม้เท้าของท่านวาดแผนที่การเดินทัพจากกรุงธนบุรีมาที่เมืองไชยา พักทัพแล้วไปตีเมืองนครศรีธรรมราช
    หน้ากฐินนั้นหลวงพ่อจะไปร่วมกฐินสามัคคีกับหลวงปู่บุดดา ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข แต่จะไปได้หรือไม่ยังไม่แน่ ให้ผมรอฟังโทรศัพท์จากพระติดตามท่านตอนประมาณ 4 ทุ่ม ก่อนวันทอดกฐิน ผมเองไม่ค่อยไปวัดกลางชูศรี แต่ต้องขับรถไปให้หลวงพ่อ เพราะคนอื่น ๆ เขาไม่รู้ว่าหลวงพ่อครูบาชัยยะวงศาพัฒนาจะไปร่วมในพิธีกฐินทุกคนจึงจัดรถบัสไปล่วงหน้ากันแล้วตั้งแต่เช้า
    ประมาณ 4 ทุ่มพระติดตามหลวงพ่อโทรศัพท์มาบอกผมว่า ตีห้าให้ไปรับหลวงพ่อที่วัดบุบผารามด้วย สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่มี ถ้ามีโทรศัพท์มือถือเหมือนปัจจุบันนี้ ผมก็คงไม่ได้ประสบการณ์ตามที่จะเล่าให้ฟังต่อไป
    ตีห้าของวันทอดกฐิน ผมไปรับหลวงพ่อและพระติดตามที่วัดบุบผาราม หลวงพ่อแวะทำธุระที่ดอนเมืองก่อน เสร็จธุระแล้วให้ผมขับรถไปเรื่อย ๆ ผมขับรถไปก็แวะถามเส้นทางเขาไปเรื่อย ๆ หลงทางไปบ้างวกไปวนมาบ้าง แต่ก็ไปจนถึงวัดกลางชูศรีจนได้ ขับรถไปจอดหน้ากุฏิหลวงปู่บุดดาเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสิบแปดนาที ไปถึงพลเอกเชาว์ออกมากราบหลวงพ่อ และหันมาบอกผมว่า “สงค์เก่งมาก” ผมจึงเรียนท่านไปว่าไม่เก่งหรอก หลงทางต้องแวะถามเขามาตลอดทาง จึงได้รับทราบว่า คณะทางวัดกลางชูศรีเห็นว่าฝนจะตก จึงขอให้หลวงปู่บุดดาฉันภัตตาหารเพล จะได้ทอดกฐินและกลับกรุงเทพฯก่อนฝนตก หลวงปู่บุดดาบอกคณะว่ายังไม่ฉัน คอยหลวงปู่ชัยยะวงศาพัฒนา หลวงปู่จะมาถึงวัดเวลาสิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบนาที จัดอาหารเจไว้ให้แล้ว 2 ที่ บังเอิญผมพาหลวงปู่มาถึงก่อนเวลา 2 นาที ซึ่งนาฬิกาอาจจะไม่ตรงกันก็ได้
    เมื่อพระฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้วก็ทอดกฐินสามัคคี เสร็จงานผมก็ขับรถพาหลวงพ่อและพระติดตามกลับ แต่พอจะออกจากวัดเห็นรถบัสที่คณะของนาวาเอกไชยวัฒน์เช่ามาตกหล่ม คนที่นั่งก็ลงจากรถ ผู้ชายก็ช่วยกันเข็น ยิ่งเข็นหล่มก็ลึกลงเรื่อย ๆ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ หลวงพ่อให้ผมหยุดรถ แล้วท่านก็ลงไปที่รถบัสบอกให้ทุกคนช่วยเข็น แล้วท่านก็เอาไม้เท้าดัน คราวนี้รถก็ขับออกไปได้ จากนั้นผมก็ขับรถพาหลวงพ่อและพระติดตามกลับกรุงเทพฯ
    หลังจากติดตามหลวงพ่อพระชัยยะวงศาพัฒนาและพระอริยสงฆ์องค์อื่น ๆ อยู่ประมาณ 4 ปี ได้เห็นการปฏิบัติของพระอริยสงฆ์แต่ละองค์ ทุก ๆ วันท่านต้องนำศิษย์นั่งวิปัสสนากรรมฐาน สิ่งที่ท่านทำให้เห็นท่านไม่เคยพูดว่าท่านจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แต่ท่านก็แสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านเห็นว่าผมเป็นศิษย์หัวดื้อ ดื้อรั้นไม่เอาไหน แถมไม่ค่อยเชื่อเสียอีก แต่จากสิ่งที่ได้เห็นจากท่านก็ทำให้ผมเชื่อว่า บาป บุญ คุณ โทษ การปฏิบัติที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะให้ผลที่แท้จริงเช่นกัน ผมจึงขอให้หลวงพ่อขึ้นครูกับมัฏฐานให้ เพื่จะได้นำไปปฏิบัติตัวเองบ้าง
    *** กัมมัฏฐาน, กรรมฐาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 น. ที่ตั้งแห่งการงาน หมายเอาอุบายทางใจมี 2 ประการ คือ สมถกรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ และวิปัสสนากรรมฐาน เป็นอุบายเรื่องปัญญา
    สมาธิ น. ความตั้งมั่นแห่งจิต ความสำรวมใจให้แน่วแน่ เพื่อเพ่งเล็งในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยพิจารณาอย่างเคร่งเครียด เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งนั้น ***
    หลังจากผมขึ้นครูกัมมัฏฐานแล้วก็ไปเล่าให้พันเอกหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้าของผมและท่านนับถือศาสนาคริสต์ ท่านก็อยากจะลองขึ้นครูกัมมัฏฐานบ้าง ผมจึงไปจัดหาของให้แล้วพาท่านไปขึ้นครูกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อ เสร็จพิธีแล้วหลวงพ่อก็เอาเทียนมาเล่มหนึ่ง แล้วเอาเล็บขีดแบ่งเป็น 3 ส่วน เท่า ๆ กัน แล้วบอกว่าคืนนี้กลับไปนอน ตอนเช้าตื่นตีสี่ขึ้นมาจุดเทียนเล่มนี้แล้วนั่งสมาธิจนเทียนไหม้ถึงขีดที่แบ่งไว้ก็หยุด ทำอย่างนั้น 3 คืน ก็จะหมดเทียนเล่มนั้น
    เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อผมไปถึงที่ทำงานก็พบพันเอกหญิงท่านนั้น ท่านเรียกผมไปในห้องทำงานของท่านแล้วบอกผมว่าเมื่อคืนตอนตีสี่หลวงพ่อไปปลุกท่านให้ท่านลุกขึ้นนั่งสมาธิ ท่านก็นั่งสมาธิไปเรื่อย ๆ ปรากฎว่าเมื่อเทียนไหม้มาถึงจุดที่ท่านทำขีดแบ่งไว้ให้นั่งสมาธิในแต่ละคืนเทียนก็ดับไปเอง ผมก็เรียนท่านว่า ท่านอาจจะกังวลใจจึงลุกขึ้นมาเอง ท่านยืนยันกับผมว่าไม่ใช่ เพราะถ้าท่านลุกขึ้นมาเองจะงัวเงีย ปรากฏว่าต่อมา พันเอกหญิงผู้นี้หันมานับถือพุทธศาสนา และเป็นศิษย์ที่มีบารมีในการหาปัจจัยสนับสนุนกิจการของหลวงพ่อที่สำคัญคนหนึ่ง
    พูดถึงการที่หลวงพ่อจะไปพบคนโน้นคนนี้ โดยที่คนอื่น ๆ ไม่มีทางทราบนอกจากตัวผู้ที่ท่านจะไปพบเท่านั้นมีอยู่บ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งขณะที่พ่อของผมป่วยหนักอยู่ที่บ้านที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่าไม่ช่วยเหลือได้แล้ว เพราะปอดขยายตัวแล้วไม่หด ผมกลับมากรุงเทพฯ และหลวงพ่อมาที่วัดบุบผาราม ผมก็เอาสังฆทานไปถวายท่านและบอกว่าช่วยส่งให้เจ้ากรรมนายเวรของพ่อด้วย
    ทุกเย็นวันศุกร์ผมจะกลับไปไชยาเพื่อดูอาการของพ่อ เมื่อพ่อเห็นหน้าผมก็บอกผมว่าเมื่อคืนหลวงพ่อมาเยี่ยมท่านที่นี่ มาตอนตีสอง ผมเลยถามพ่อว่าพ่อฝันไปหรือเปล่า เพราะหลวงพ่ออยู่ที่วัดบุบผาราม ท่านก็บอกว่าไม่ได้ฝัน หลวงพ่อท่านมาจริง ๆ มาถึงก็ถามว่าลุงเป็นอะไร เจ็บตรงไหน และบอกให้พ่อนั่งให้ท่านดู แล้วท่านก็สั่งถังเปล่ามาให้พ่อจึงบอกว่าถังเปล่าไม่เอาหรอก ผมเลยบอกพ่อว่าถังเปล่านั้นหมายความว่า เจ้ากรรมนายเวรของพ่อรับของสังฆทานไปหมดแล้ว
    หลวงพ่อครูบาชัยยะวงศาพัฒนา มีบารมีกับพระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุอย่างมาก มีภูเขาแถบอำเภอลี้ กลางคืนจะมีลำแสงส่องสว่างอยู่เสมอ ๆ ชาวเขาถึงถามหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่าบนภูเขานั้นมีพระธาตุที่เรียกว่าพระธาตุข้าวบิณฑ์ ท่านว่าสมัยก่อนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งได้เสด็จมาโปรด ณ ที่นั้น (พระพุทธเจ้าไม่ได้มีแต่สมเด็จพระสมณโคดมเท่านั้น ในกับป์ก่อนก็มีพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง 28 พระองค์ ในกับป์นี้ก็มีมาแล้ว 4 พระองค์)
    หลังจากท่านฉันภัตตาหารที่มีผู้เอามาถวายแล้วก็ล้างบาตรและคว่ำบาตร เศษข้าวที่เหลืออยู่ในบาตรที่ตกอยู่ ณ ที่นั้นก็กลายเป็นพระธาตุ หลวงพ่อจึงนำชาวบ้านขึ้นไปเอามาแจกจ่ายคณะศิษย์ คณะศิษย์ที่เอาไปบูชาบางท่านเมื่อบูชาไประยะหนึ่ง พระธาตุข้าวบิณฑ์ก็กลายเป็นเพชรไปก็มี ที่ท่านนาวาเอกไชยวัฒน์ ท่านมีจำนวนมาก ท่านยังแบ่งให้ผมมาบูชาด้วย
    ครั้งหนึ่ง มีผู้จัดรถทัวร์ไปร่วมงานบุญที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านก็แจกพระธาตุข้าวบิณฑ์ให้คนละหนึ่งองค์ มีหัวหน้าทัวร์บางท่านโลภมากไปหน่อยบอกหลวงพ่อว่า ในรถของเขามีคนอยู่เท่านั้นเท่านี้ พลวงพ่อก็ให้ไปตามที่บอก ปรากฏว่าหัวหน้าทัวร์เหล่านั้นพูดไม่จริง พอรถออกนอกเขตวัด รถยางแตกกันเป็นแถว นั่นอาจจะเป็นผลที่โกหกพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    เรื่องพระธาตุกับหลวงพ่อยังมีอีกมาก วันหนึ่งภรรยาผมได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ การประปานครหลวง และจะย้ายที่ทำงาน ในคืนก่อนวันที่ย้ายทำงาน หลวงพ่อลงมากรุงเทพฯ และให้นาวาเอกไชยวัฒน์โทรศัพท์หาผม และเป็นจังหวะที่ช่วงนั้นได้มีการนำพระธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์มาแสดงอยู่ที่พุทธมณฑลให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้ และผมก็ไปมาแล้ว ผมบอกนาวาเอกไชยวัฒน์ว่าภรรยาผมจะย้ายที่ทำงาน อยากให้หลวงพ่อมารับสังฆทานที่ที่ทำงานของภรรยาผมในเวลา 14.00 นาฬิกา หลวงพ่อบอกว่าจะไปพุทธมณฑล ไม่แน่ใจว่าจะได้ไปหรือไม่เมื่อท่านบอกว่าไม่แน่ว่าจะไปได้หรือไม่ก็เลยไม่ได้เตรียมเครื่องสังฆทาน และไม่ได้เชิญชวนพนักงานประปาสาขาบางกอกน้อยซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันมาร่วมทำบุญ
    ปรากฏว่าเวลา 14.00 นาฬิกา ภรรยาผมโทรศัพท์ไปบอกผมว่าหลวงพ่อมาถึงที่ทำงานแล้ว ขณะนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ผมจึงบอกให้ใครไปเตรียมเครื่องสังฆทานและเชิญชวนผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเข้ามาถามธรรมะจากหลวงพ่อ อีก 30 นาทีผมจะไปถึง เพราะขณะนั้นผมทำงานอยู่ที่สนามเสือป่า เมื่อผมไปถึงทุกอย่างก็พร้อมที่จะถวายสังฆทานได้แล้ว ผมจึงเข้าไปกราบที่ตักหลวงพ่อ ๆ ถามผมว่าเคยเห็นพระธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ไหม ผมบอกว่าเคยเห็นที่พุทธมณฑลที่เขานำมาแสดง แต่ดูไกลมาก ดูไม่ชัด ท่านจึงหยิบดอกบัวมาจากย่ามแล้วคลี่ดอกบัวให้ทุกคนได้ดู ท่านว่าหลังจากที่ท่านไปกราบพระธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์แล้ว ท่านก็นั่งสมาธิจนกระทั่งพระธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งของพระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ในดอกบัวที่ท่านตั้งบูชาไว้ นี่คือสาเหตุที่ท่านบอกว่าไม่แน่ว่าจะมาถึงที่ทำงานภรรยาผมในเวลา 14 นาฬิกาหรือไม่ เพราะท่านจะนั่งภาวนาจนกว่าพระธาตุจะเสด็จมา
    หลังจากดูพระธาตุกันเรียบร้อยแล้วผมก็ก้มลงกราบท่าน พอผมเงยหน้าขึ้นท่านก็บอกผมว่า ลูกปีนี้ลูกได้เป็นนายพลน๊ะ แต่หลังจากได้เป็นนายพลแล้ว ลูกมีภาระอีกอย่างหนึ่งคือต้องสร้างศาลาที่วัดดอยกวางคำ (หรือวัดดอยหัวขัว) วัดที่ผมสร้างพระพุทธรูปไปถวายไว้นั่นเอง ขณะนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2538 ยังเวลาอีกตั้งหลายเดือนกว่าคำสั่งแต่งตั้งนายพลทหารจะโปรดเกล้า แต่ผมก็ได้รับพระราชทานยศเป็นพลตรีในเดือนตุลาคมปีนั้นจริง ๆ ผมก็เป็นประธานทอดผ้าป่าหาเงินตั้งต้นสร้างศาลาที่วัดดอยกวางคำ แต่ได้ไม่มากหรอก เงินที่สร้างส่วนใหญ่ได้มาจากบารมีหลวงพ่อทั้งนั้น เห็นว่าหมดไปหลายล้านบาท
    เหตุการณ์ที่ผมพบด้วยตนเองระหว่างผมกับหลวงพ่อยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อถ้าไม่เจอด้วยตัวเอง วันหนึ่งศิษย์ที่เคยเรียนหนังสือกับผมในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอกชน เมื่อจบการศึกษาแล้วไปทำงานที่บริษัทการบินไทย และเป็นศิษย์ของหลวงพ่อครูบาชัยยะวงศาพัฒนาด้วย เธอได้มาหาผมและบอกว่าหลวงพ่อให้สร้างพระเจ้าสุทโธธนะ พระนางสิริมหามายา จ่าเลี้ยงแพะ แพะ ท้าวจตุโลกบาล และพระพุทธรูป แต่เธอฟังไม่ถนัดนักว่าจะสร้างอย่างไร เธอยินดีจะหาเงินสร้างให้ ขอให้ผมช่วยไปประสานในรายละเอียดให้ด้วย ผมก็ไปประสานรายละเอียดทั้งหมด หลวงพ่อกำหนดแบบมาทุกอย่าง ผมก็บอกศิษย์ที่อยู่ที่บริษัทการบินไทยในรายละเอียดและราคาค่าก่อสร้าง ทางร้านพุทธปฏิมาพรเลิศเขาคิดในราคาห้าแสนบาท ปรากฏว่าศิษย์ที่อยู่บริษัทการบินไทยบอกว่าเขาเข้าใจผิด คิดว่าจะสร้างองค์เล็ก ๆ ในราคาประมาณ 2-3 หมื่นบาท จึงรับปากว่าจะทำให้ แต่ถ้าราคา ขนาดนี้เขาหมดปัญญาทำแน่ ๆ ผมเลยบอกว่าไม่เป็นไร ผมรับอาสาหลวงพ่อไว้แล้วว่าจะทำให้ก็ต้องทำ ส่วนเรื่องเงินค่อยว่ากันภายหลัง เพราะโรงหล่อกับผมและนาวาเอกไชยวัฒน์เคยทำงานมาด้วยกันมากแล้ว ผมจึงขอให้เขาทำให้ก่อน
    เมื่อทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ผมเพิ่งจะได้เงินมากจากผู้มีจิตศรัทธาประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท จึงนำของทั้งหมดไปถวายหลวงพ่อที่วัด ขณะนั้นหลวงพ่ออาพาธอยู่ในกุฏิ ผมจึงเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อว่าของที่ให้ทำ ทำมาเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ผมยังหาเงินได้ไม่ครบ แต่จะขอถวายก่อน เนื่องจากหลวงพ่ออาพาธคงไม่สะดวกที่จะออกไปรับข้างนอก ผมจึงดึงสายสิญจน์จากของมายังที่พักหลวงพ่อ หลวงพ่อให้หามหลวงพ่อไปดูของและทำพิธีถวายที่นั่นเลย
    วันนี้มีคนไปไม่มาก เพราะไม่ใช่เทศกาลที่มีงาน มีคณะไปประมาณ 2-3 คันรถตู้เท่านั้น ผมก็เชิญทุกคนเข้ามาร่วมกันถวาย หลวงพ่อก็ชี้ไปที่รูปหล่อแต่ละรูปถามราคา ผมก็กราบนมัสการไปและถามว่าใครจะเป็นเจ้าภาพบ้าง และจะเป็นเจ้าภาพรูปไหนก็จะสลักชื่อที่ฐานของรูปทุกรูป ถ้าวันนี้ยังไม่นำเงินมาสลักชื่อไว้ก่อนค่อยชำระเงินให้ภายหลังก็ได้ แต่ห้ามเกินยอดเงินสามแสนห้าหมื่นบาท เพราะผมมีอยู่แล้วหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท
    มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุไม่เกิน 10 ปี บอกเตี่ยของเขาว่าให้เตี่ยจองรูปนี้ (พระเจ้าสุทโธทนะ) เพราะเมื่อคืนตอนนอนท่านนำเที่ยวรอบพระพุทธบาทห้วยต้ม ปรากฏว่าเดี๋ยวนั้นเองมีผู้จองเป็นเจ้าภาพหมด ผมก็ไม่ต้องเป็นหนี้โรงหล่อ ทั้งหมดนี้เป็นบารมีของหลวงพ่อ และเป็นบารมีที่ผมจะได้ช่วยทำในสิ่งที่หลวงพ่อต้องการให้ทำให้เสร็จ ของทั้งหมดนี้ขณะนี้บรรจุอยู่ในพระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัยที่ใกล้ ๆ กับวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
    ภาพปั้นทั้งหมดนี้ เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
    - พระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดา
    - พระนางสิริมหามายา พระมารดา
    - จ่าเลี้ยงแพะ คือคนที่เอาหญ้ามาปูที่นั่งให้ในวันตรัสรู้
    - แพะ เป็นสัตว์เลี้ยงของจ่าเลี้ยงแพะ
    - พระพุทธรูป เป็นรูปแทนพระพุทธเจ้า
    - ท้าวจาตุโลกบาล
    ในวันที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์พิจารณาธรรมะต่าง ๆ ท้าวจาตุโลกบาลได้ผลัดกันมาเฝ้าพระพุทธองค์ ท้าววธตรฐ มาถึงก่อนขณะที่พระพุทธองค์กำลังรำพึงถึงพระคุณของพระบิดา พระมารดา ท้าววธตรฐ “นโม ตัสสะ” แล้วก็เสด็จไป
    ต่อมาท้าว วิรุฬหะมาถึงขณะที่พระพุทธองค์กำลังพิจารณาธรรมะ มีปัญญาเกิดมากขึ้น ท้าววิรุฬหะรู้ว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า เรียก “ภควโต” แล้วก็หลีกออกไป ต่อมาท้าววิรูปักขะ มาถึง เมื่อพระพุทธองค์ตัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้วจึงเปล่งอุทานว่า “อรหะโต” เป็นพระอรหันต์แล้วก็ออกไป ท้ายที่สุด ท้าว กุเวร มาถึงเห็นพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้แล้ว รู้ว่าท่านเป็นสัพพัญญูรู้หมดทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเหลือจึงกล่าวว่า “สัมมาสัมพุทธธัสสะ”
    พระพุทธองค์จึงได้รวบรวมคำเหล่านี้ไว้ด้วยกันคือ “นะโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” และกำหนดให้ใช้เป็นคำกล่าวข้างต้น ก่อนที่จะทำพิธีกรรมใด ๆ ทางศาสนา”
    ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อหลวงปู่พรหมา ปภากโร แห่งวัดสิริพงษ์ธรรมนิมิต ถนนรามอินทรา ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อายุประมาณ 96 ปี หรือ 97 ปีแล้ว แต่ท่านยังดูแข็งแรง กระฉับกระเฉง เดินเหินคล่องแคล่วว่องไว ผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน เคยอ่านประวัติท่านในหนังสือพระ ก็ตั้งใจจะแวะไปกราบท่าน พอดีวันเสาร์ผมต้องไปบรรยายวิชาคณิตศาสตร์ให้นักเรียนที่จะสอบเข้าสถาบันอุดมศึกษาที่โรงเรียนแถว ๆมีนบุรี เลิกบรรยายตอนเที่ยง รีบทานข้าวแล้วมาแวะที่วัด เพราะพอมีเวลาอยู่บ้าง เนื่องจากจะต้องไปรับลูกที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ในเวลา 15 นาฬิกา
    เมื่อแวะไปที่วัดท่านกำลังรับแขกอยู่ที่ศาลา มีลูกศิษย์ลูกหาห้อมล้อมอยู่มากมาย ผมเองไม่เคยรู้จัก ไม่มีใครนำทาง ไปเดี่ยว ๆ ก็นั่งอยู่ข้างนอกไกลจากท่านพอประมาณ มีคนเข้าไปถามปัญหาธรรม ปัญหาส่วนตัว ไปพรหมน้ำพระพุทธมนต์ นั่งอยู่นานเห็นว่าไม่มีโอกาสได้เข้าไปกราบแน่แล้ว เพราะถึงเวลาที่จะต้องไปรับลูก จึงคิดในใจว่าเราคงต้องการกราบท่านตรงนี้ก
     
  12. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    เมื่อแวะไปที่วัดท่านกำลังรับแขกอยู่ที่ศาลา มีลูกศิษย์ลูกหาห้อมล้อมอยู่มากมาย ผมเองไม่เคยรู้จัก ไม่มีใครนำทาง ไปเดี่ยว ๆ ก็นั่งอยู่ข้างนอกไกลจากท่านพอประมาณ มีคนเข้าไปถามปัญหาธรรม ปัญหาส่วนตัว ไปพรหมน้ำพระพุทธมนต์ นั่งอยู่นานเห็นว่าไม่มีโอกาสได้เข้าไปกราบแน่แล้ว เพราะถึงเวลาที่จะต้องไปรับลูก จึงคิดในใจว่าเราคงต้องการกราบท่านตรงนี้ก็แล้วกัน โอกาสหน้าค่อยมาใหม่ ให้มีเวลามาก ๆ จะได้คอยท่านได้ พอนึกเสร็จเท่านั้นแหละ ท่านประกาศทางเครื่องกระจายเสียงขอให้คนอื่นหยุดก่อน นายพันเอก กำลังจะรีบไปให้เขาเข้ามาพบท่านก่อน
    วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และผมยังไม่ได้เป็นพันเอก เป็นพันโท แต่ครองยศพันเอกแล้ว เมื่อท่านเรียกผมก็มองนึกว่าท่านเรียกคนอื่นที่เป็นพันเอก เมื่อไม่เห็นมีใครเคลื่อนไหวผมก็เข้าไปกราบท่าน เรียนท่านว่าเคยอ่านหนังสือประวัติท่าน วันนี้ผ่านมาทางนี้ก็แวะมากราบนมัสการและถวายปัจจัยบ้าง แล้วแต่ท่านจะเอาไปทำอะไร และก็ต้องรีบไปเพราะจะต้องไปรับลูกและกราบเรียนท่านว่าผมเองยังไม่ได้เป็นพันเอก แต่ครองยศพันเอกก็ต้องได้รับเงินเดือนขั้น 2 ขั้น ท่านก็บอกว่าได้ และปีนั้นผมก็ได้เป็นพันเอกจริง ๆ
    ท่านเมตตาผมค่อนข้างมาก เพราะต่อจากนั้นผมก็แวะเวียนไปกราบนมัสการท่านบ่อย ๆ เวลาท่านจะพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ท่านจะเอาน้ำอมในปากแล้วเอาเทียนเล่มโต ๆ เท่าหัวแม่มือ 2 เล่ม จุดไฟใส่ในปากควันจะออกทางจมูกท่าน เทียนก็ไม่ดับ สักพักหนึ่งท่านก็จะเอาเทียนออกจากปาก แล้วจะดึงหัวผมไปแล้วพ่นน้ำพระพุทธมนต์ใส่ ท่านไม่ได้ทำอย่างนี้กับศิษย์ทุกคน และเพราะท่านพรมน้ำมนต์แบบนี้คอท่านจึงอักเสบบ่อย ผมยังเคยพานายแพทย์วัฒนะ แพทย์โรค หู คอ จมูก ไปรักษาคอให้ท่าน
    มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นวันเกิดของภรรยา ผมจึงพาไปขอพรท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อไปถึงวัดเห็นผู้หญิงร่างเล็ก ๆ คนหนึ่ง มีผู้ชาย 3 คน ช่วยกันจับพามาวางหน้าหลวงพ่อ เพราะผู้หญิงคนนี้ดิ้นและพูดอยู่ตลอดเวลา ถามผู้ที่เอามาเขาบอกว่าผีเข้า ซึ่งผมก็ไม่เคยเห็น หลวงปู่เอาน้ำมนต์มาพรมก็แล้ว รดก็แล้ว เอาสายสิญจน์คล้องคอก็แล้วก็ยังดิ้นอยู่อย่างนั้น ผู้ชาย 3 คน จับไม่ค่อยอยู่ หลวงปู่ว่าคาถาอาคมอยู่นานพอสมควร แล้วเอาด้ายสายสิญจน์นี่ทำคล้าย ๆ สร้อยคอคล้องคอ จึงหยุดดิ้น เมื่อหยุดดิ้นก็หมดแรงไม่ต้องจับอีก ก็เป็นปรากฎการณ์แปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    การที่อยู่ใกล้ชิดพระอริยสงฆ์ ต้องระมัดระวังตัวระมัดระวังจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะเรานึกคิดอะไรท่านก็รู้วาระจิตของเรา บางครั้งเราก็ทำบาปโดยไม่รู้ตัว ครั้งหนึ่งผมตั้งใจว่าจะไปกราบนมัสการหลวงปู่พรหมาที่วัด เช้านั้นผมไหว้พระแล้วนั่งสมาธินึกถึงท่านว่า เวลาประมาณ 11.00 นาฬิกา จะไปกราบท่านที่วัด โดยที่เราไม่รู้ว่าท่านจะมีธุระจะต้องไปทำที่ไหนหรือไม่ เพราะขณะนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่นิยมเหมือนเดี๋ยวนี้
    ปรากฏว่าเวลา 11.00 นาฬิกา ผมไปถึงวัด พระลูกศิษย์บอกว่า ท่านจะไปทอดผ้าป่าที่จังหวัดนครราชสีมา จะออกเดินทางประมาณ 9 นาฬิกา แต่ท่านบอกว่าผมจะไปหาท่าน ท่านจึงคอยผม ผมไปถึงท่านอยู่บนรถพร้อมออกเดินทาง ผมจึงต้องรีบเข้าไปกราบขออภัยจากท่านแล้วก็ถวายปัจจัยเพื่อขอทำบุญร่วมกับท่าน
    ประมาณปี พ.ศ. 2535 ขณะที่ผมกำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยการทัพบก วันนั้นจะต้องไปทัศนศึกษาดูงานที่โรงงานทำน้ำมะเขือเทศ แถบบริเวณอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ผมเคยอ่านหนังสืออัตตโน ประวัติและธรรมเทศนา ของพระนิโรธารังสีคัมภีรปัญญาจารย์ หรือหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แต่ยังไม่เคยได้กราบองค์จริงท่านเลย ก็ชวนเพื่อนนักศึกษา 3-4 คน ที่สนใจจะไปกราบท่าน จึงขออนุญาตอาจารย์ผู้ควบคุมหลักสูตรเพื่อขอเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ไปกราบนมัสการท่าน แล้วจะมาสมทบกับคณะตอนทานอาหารกลางวัน โดยแยกไปด้วยรถตู้ 1 คัน อาจารย์ผู้ควบคุมหลักสูตรอนุญาตแต่ก็บอกว่าไม่ได้กราบหรอกเพราะท่านกำลังอาพาธ พวกคณะที่จะไปก็ยืนยันจะไป ถึงแม้ว่าไม่ได้กราบก็ไม่เป็นไร
    ขณะที่นั่งรถไปต่างก็ทำสมาธิส่งกระแสจิตขออนุญาตพบท่าน พอไปถึงพระที่ดูแลท่านก็ลงมาบอกให้รอท่านจะลงมา แต่อย่าถามปัญหาท่านมากเพราะท่านอาพาธ เจ็บคอ เมื่อท่านลงมาพวกเราก็กราบนมัสการ ถวายปัจจัยและขอถ่ายรูปร่วมกับท่าน เพื่อที่ถ่ายภาพถ่ายเสร็จก็บอกว่า คงไม่ชัดเพราะถ่ายย้อนแสง แต่ท่านอนุญาตในตำแหน่งนั้น ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายไว้ เมื่อล้างออกมาก็ชัดเจนปกติ
    หน้ากฐิน ปี 2535 ผมเป็นประธานพาศิษย์เก่าที่เคยเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2501 ไปทอดกฐินที่จังหวัดเลย แล้วเดินทางผ่านอำเภอศรีเชียงใหม่ จึงแวะทอดผ้าป่ากับหลวงปูเทสก์ แล้วจะไปพักค้างคืนที่เขื่อนน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
    เมื่อมาถึงวัดหินหมากเป้ง ก็มีคณะอื่น ๆ อยู่หลายคณะรอกราบนมัสการท่านอยู่แล้ว พระผู้ดูแลท่านบอกว่าวันนี้หลวงปู่ไม่ลงมา ให้วางของที่จะถวายไว้ ผมก็บอกเพื่อน ๆ ว่าขอโทษด้วยที่ไม่ได้พบองค์ท่าน พอวางเครื่องผ้าป่าและบริวารไว้จะออกเดินทางกลับก็ได้ยินประกาศทางเครื่องกระจายเสียง ให้คณะพันเอกประสงค์รออยู่ก่อน หลวงปู่จะลงไปรับผ้าป่าด้วยตนเอง
    เมื่อได้ยินประกาศอย่างนั้น ทุกคนก็กลับมาที่กุฏิหลวงปู่ทั้งหมดอีกครั้ง ทุกคนก็ได้กราบนมัสการหลวงปู่เทสก์อย่างใกล้ชิด อิ่มบุญไปตาม ๆ กัน
     
  13. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    ยังรอผู้ใจบุญ
     
  14. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    ยังมีเวลา
     
  15. บุญรักษา

    บุญรักษา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    574
    ค่าพลัง:
    +6,112
    8 มีนาคม วันสุดท้ายนะครับ
     
  16. violetmay

    violetmay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +2,919
    เมย์ พี่เค พี่ Apiwat แตงโม พี่เจี๊ยบ พี่นานา พี่สุพล คุณอภิชา โอนเงินทำบุญแล้ว 25 บาท วันที่ 23 ก.พ. ค่ะ

    อนุโมทนาสาธุการวันทามินะค่ะ

    เนื่องจากโอนเงินหลายบุญเป็นร้อยๆบุญเลยลงขันร่วมเงินกันทำ บุญละ 25 บาทค่ะ ^^

    นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
     
  17. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    ร่วมบุญ

    ๑.ทำบุญหล่อพระเพื่อประดิษฐานในซุ้มจรนำวัดพระธาตุดอยกวางคำ อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน
    ๒.ซื้อทองคำร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ๕นิ้วประดิษฐานในเจดีย์วัดพระธาตุดอยกวางคำ
    ๓.พิมพ์หนังสือคาถาเงินล้านถวายวัดธรรมยาน

    การทำรายการ : 29715438232013224 วัน: 24-02-2013 14:24:31
    บัญชีผู้รับโอน : KTB**902-0-54969-3 จำนวนเงิน : 100.00 บาท
     
  18. djunsri

    djunsri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +933
    ร่วมบุญ

    ๑.ทำบุญหล่อพระเพื่อประดิษฐานในซุ้มจรนำวัดพระธาตุดอยกวางคำ อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน
    ๒.ซื้อทองคำร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ๕นิ้วประดิษฐานในเจดีย์วัดพระธาตุดอยกวางคำ
    ๓.พิมพ์หนังสือคาถาเงินล้านถวายวัดธรรมยาน
    โอนเมื่อ 19 /02/13 เวลา 13.12 จำนวน 300 บาท
    ขอโมทนาบุญด้วยครับ
    ขอบคุณพี่ที่บอกบุญให้ผมได้มีโอกาสสั่งสมบุญครับ
     
  19. djunsri

    djunsri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +933
    พอดีได้ไปบอกบุญต่อจึงมีผู้ร่วมบุญมาเพิ่มอีก 1200 บาท ผมเลยขอร่วมบุญเพิ่มอีกน่ะครับเป็นรวม 1500 บาท

    ๑.ทำบุญหล่อพระเพื่อประดิษฐานในซุ้มจรนำวัดพระธาตุดอยกวางคำ อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน
    ๒.ซื้อทองคำร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ๕นิ้วประดิษฐานในเจดีย์วัดพระธาตุดอยกวางคำ
    ๓.พิมพ์หนังสือคาถาเงินล้านถวายวัดธรรมยาน
    โอนเมื่อ 1/03/13 เวลา 16.13 น จำนวน 1500 บาท
    ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  20. AMORNTIP A

    AMORNTIP A เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ข้าพเจ้าและครอบครัวขอร่วมอนุโมทนาบุญหล่อพระและซื้อทองคำร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมพร้อมหนังสือคาถาเงินล้าน จำนวน 30 บาท ( 5/3/56 ) 8.53น. ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...